โครงงานคอมพวิ เตอร เรอ่ื งเตียงวิเศษ กลมุ สาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลย ี จดั ทําโดย 1.นายฤทธิกร ศุภสุข เลขท่ี 8 2.นางสาวกานตธดิ า พรมสาขา เลขที่ 19 3.นางสาวณฐั พร ภาระเวช เลขท่ี 24 ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 4/4 รายวิชา ว31108 วทิ ยาศาสตรก ารคาํ นวณ ปก ารศึกษา 2562 โรงเรียนนนารีนกุ ูล เขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษาอบุ ลราชธานี เขต 29
เกยี่ วกับโครงงาน โครงงานคอมพิวเตอร เรอ่ื ง เตียงวิเศษ ผูจดั ทํา 1.นายฤทธกิ ร ศุภสุข เลขที8่ 2.นางสาวกานตธิดา พรมสาขา เลขท่ี 19 3.นางสาวณัฐพร ภาระเวช เลขท่2ี 4 ครูทป่ี รึกษา 1.นายพนัส แกนอาสา ตาํ แหนง ครู อนั ดบั ท่1ี 2.นางสาวพชิ ญาดา สุยะรา ตําแหนง ครู อนั ดับที2่ สถานที่ศึกษา โรงเรียนนารีนกุ ลู อําเภอเมืองอุบล สํานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต29 ปการศกึ ษา 2562
กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานนสี้ ําเร็จขึ้นไดด ว ยความกรุณาจากคณุ ครูภทั รดนยั พลสูงเนิน อาจารยท ีป่ รกึ ษาโครงงานท่ี ใหไดคําเสนอแนะ แนวคดิ ตลอดจนแกไ ขขอบกพรอ งตา งๆ จนโครงงานเลมนส้ี าํ เรจ็ สมบรู ณ ผจู ดั ทําโครงงาน จงึ ขอกราบขอบพระคุณเปนอยา งสูง ขอกราบขอบพระคุณคุณพอ คุณแม และผูปกครอง ที่ใหคําปรกึ ษาใน เรื่องตา งๆ รวมทง้ั เปนกําลงั ใจทด่ี ีเสมอมา ขอบคุณเพื่อนๆทช่ี วยแนะนํา ช้ีแนะในแนวทางแกปญหา เกี่ยวกับ โครงงานชิ้นน ี้ ทายสดุ นผ้ี จ็ู ัดทาํ หวังเปนอยางยิ่งวา โครงการนี้จะเปน ประโยชนต อคนอนื่ ๆตอ ไป คณะผจู ัดทํา 1.นายฤทธกิ ร ศุภสขุ 2.นางสาวกานตธิดา พรมสาขา 3.นางสาวณฐั พร ภาระเวช
หวั ขอโครงงาน : เตยี งวเิ ศษ ประเภทของโครงงาน : โครงงานประเภทสงิ่ ประดษิ ฐ ผเู สนอโครงงาน : นายฤทธิกร ศภุ สขุ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท4่ี /4 เลขท่8ี นางสาวกานตธิดา พรมสาขา ช้นั มัธยมศึกษาปท 4่ี /4 เลขที1่ 9 นางสาวณัฐพร ภาระเวช ชั้นมัธยมศึกษาปท4่ี /4 เลขท่2ี 4 ครูท่ปี รึกษาโครงงาน : นายภัทรดนยั พลสงู เนิน ปก ารศกึ ษา : 2562 บทคดั ยอ การจัดทําโครงงานในคร้ังนม้ี วี ตั ถุประสงคสราง เตยี งวิเศษ ท่ีสามารถใชเ พอื่ เปน ประโยชนต อชีวิต ประจาํ วันได โดยศกึ ษาการทํางานของระบบลูกสูบและสายพานเพือ่ ตอเขากบั มอเตอร เพอ่ื ท่ีจะใชส ราง เตียง วเิ ศษ และศึกษาการจัดทาํ โครงงานคอมพวิ เตอร ผลการศึกษาและการจดั ทําโครงงานพบวา สามารถนาํ เรอ่ื งที่ศึกษาเก่ยี วกบั การทาํ งานของระบบ ลูกสูบและสายพานมาใชใ นการทาํ เตียงวเิ ศษจนเกดิ ผลสมั ฤทธิ์ และสามารถจดั ทาํ โครงงานไดอ ยา งสําเร็จ สมบูรณ
สารบัญ เร่ือง หนา เกี่ยวกบั โครงงาน กิตตกิ รรมประกาศ บทคัดยอ บทท่ี 1 บทนาํ -ท่มี าและความสาํ คญั ของโครงงาน -วตั ถปุ ระสงค -ขอบเขตการศกึ ษาคนควา -ประโยชนท ่คี าดวา จะไดน ับ บทท่ี 2 เอกสารและโครงงานท่เี กย่ี วขอ ง บทที่ 3 วธิ กี ารจดั ทําโครงงาน บทที่ 4 ผลการศกึ ษา บทที่ 5 สรปุ ผลและขอเสนอแนะ -สรุปผลการศกึ ษา -ประโยชนท ไี่ ดจากโครงงาน -ขอเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ขอ มลู ผูจดั ทาํ
บทท่ี 1 บทนาํ ท่มี าและความสาํ คัญของโครงงาน เน่อื งจากในปจจุบันมวี ัยรุนจํานวนมากท่มี ปี ญ หาในชีวติ ประจําวนั ซง่ึ ในโครงงานผูจดั ทาํ ไดจดั ทําโครง งานเก่ยี วกบั การตนื่ สาย ซง่ึ สอดคลอ งกับปญ หาในชวี ติ ประจาํ วนั ของผูจดั ทําดว ย โดยสาเหตุของปญหามาจาก การนอนดกึ การทําการบา นที่ครูสัง่ ในปริมาณทม่ี ากทําใหเรามีเวลาพกั ผอ นไมเ พยี งพอ และการดูซีรยี ท ท่ี าํ ให เรามคี วามรูสกึ อยากดูตอ จงึ ทําใหเ รานอนดึก โดยแนวทางในการแกปญหาคือ ผูจ ัดทาํ ไดอาศยั หลกั การการ ทาํ งานของลกู สบู และสายพาน แลว นําไปตอกับมอเตอร เพือ่ ท่จี ะใชทําเตยี งวเิ ศษ ซง่ึ จะทําใหเรามแี รงกระตนุ ในการตนื่ เชามากขน้ึ วัตถุประสงค 1.เพือ่ แกป ญ หาการตื่นสายในชีวติ ประจาํ วนั 2.เพื่อใหไปทนั เวลาเขา แถวในโรงเรียน 3.เพือ่ ใหม เี วลาในการแตงกายใหถ ูกระเบียบมากขึน้ 4.เพื่อใหไมต ดิ นสิ ัยในการตนื่ สาย 5.เพือ่ ใหมีเวลารบั ประทานอาหารเชา 6.เพอื่ ใหสแกนใบหนาทนั ตามเวลาทีก่ าํ หนด ขอบเขตของการศึกษาคน ควา 1.ศกึ ษาเกี่ยวกบั ขนาดของเตยี ง 2.ศกึ ษากลไกการทาํ งานของระบบลูกสูบ 3.ศึกษาการทํางานของสายพาน 4.ศึกษาประโยชนข องมอเตอร 5.ระยะเวลาทใ่ี ชใ นการศกึ ษานาน 3 อาทิตย ประโยชนทค่ี าดวาจะไดร ับ 1.ไมต่ืนสาย 2.สามารถไปทนั เวลาเขาแถวในโรงเรียนได 3.สามารถแตงกายใหถ ูกระเบยี บได 4.สามารถต่นื เชาได 5.สามารถรบั ประทานอาหารเชา ได 6.สามารถแสกนใบหนาทนั ตามเวลาท่ีโรงเรียนกาํ หนดได
บทท่ี2 เอกสารท่ีเกีย่ วขอ ง ในการจดั ทาํ โครงงานคอมพวิ เตอรกลุมของขาพเจา ไดศ กึ ษาเก่ียวกบั กลไกการทาํ งานของลูกสบู และ สายพาน การทํางานและการเชอ่ื มตออปุ กรณอิเลก็ ทรอนิกสกับมอเตอรแ ละการทํางานของไทมเมอร อีกทัง้ ยัง ศกึ ษาโครงสรา งของเตยี ง เพื่อท่ีจะไดโ ครงสรางเตยี งที่เหมาะกับอปุ กรณท จ่ี ะประกอบเขาไปกับเตยี งได และได รวบรวมขอมูลจากเว็บไซตต างๆมาดังน ี้ 1.กลไกของลกู สูบ เครอ่ื งยนต 4 จงั หวะ ในรปู ภาพคุณจะไดเ หน็ วา ลูกสูบนน้ั เปรียบเทียบไดก บั ลูกปน ใหญ โดยตอลกู สูบเขา กับกา นลกู สบู (Connecting rod) และเพลาขอเหวีย่ ง (Crankshaft) ขณะท่ีเพลาขอเหวย่ี งหมุนมนั จะไปหมุนลอ ขบั เคลือ่ นใหร ถไปขา งหนา เครื่องยนต 4 จังหวะมหี ลักการทาํ งานดงั น ี้ เคร่ืองยนตท ่ีใชกนั ในรถยนตปจ จุบันนน้ั เปนเครือ่ งยนตแบบ 4 จงั หวะ คอื ดดู อดั ระเบดิ คาย จะทํางานภาย ใตการหมุนของเคร่อื งยนต 2 รอบ หรือ 1 Cycle 1.ดูด ( Intake ) จงั หวะดดู น้นั เรม่ิ ตนจากลูกสบู อยดู า นบนเคล่อื นทีล่ งมาสูด า นลา งเพอ่ื ดดู สว นผสม ไอดี(นา้ํ มนั และอากาศ)เขามาในกระบอกสูบโดยดูดผานทางวาลว ไอดี ซง่ึ วาลวไอดจี ะปด เมอื่ สนิ้ สุดจงั หวะดูด โดยที่การเคล่ือนที่ของลูกสบู จะขน้ึ อยูกับเพลาขอ เหวยี่ ง(Crank shaft ) ดงั รปู ทางซา ยมอื 2. อัด ( Compression ) เม่ือวาลวไอดีปด เรยี บรอยแลว ลูกสูบก็จะเคลือ่ นที่จากลา งขึ้นบน เพอ่ื อดั สว นผสมไอดีทถ่ี ูกดดู เขา มาทัง้ หมด ถกู อัดตัวทําใหแรงดนั ในกระบอกสูบสูงขึ้น สมมตุ ิ อตั ราสว น กําลังอดั 10ตอ 1 กห็ มายความวา ลูกสบู ลกู หนึง่ สามารถดูดอากาศเขา ไปได 10 ลิตรลกู สูบก็จะตองอดั อากาศ 10 ลติ รใหเ หลอื เพยี ง 1 ลติ ร ดูจากรปู ทางขวา
3.ระเบิด ( Expansion ) รปู ดานซายจะเห็นวา ในจงั หวะน้ีจะตอเน่ืองกบั จงั หวะท่ีแลว คือในตาํ แหนง ที่ลูกสบู ขนึ้ ไปสูงสดุ นน้ั จะมีการเผา ไหมเกิดขน้ึ ตามรูปทางซา ยมือ ซงึ่ หวั เทียนเปนตวั ทาํ ใหเ กดิ ประกายไฟเพ่ือไปจดุ สวนผสมระหวา งน้ํามนั กับ อากาศใหเ กิดการเผาไหม และในจงั หวะระเบดิ น้เี องทส่ี งกําลงั ออกมาใหใชงานกัน และลูกสบู กจ็ ะเคลอื่ นทล่ี ง มาสูด านลา ง และวาลว ไอเสียก็จะเริ่มเปด 4.คาย ( Exhaust ) เปนการทํางานตอจากจงั หวะระเบิด เมอื่ ลกู สูบไดรบั แรงกระแทกมาจากการเผาไหม ทําใหลูกสูบเคลื่อนท่ลี งมา สดู านลา ง พรอมกับเปด วาลว ไอเสยี แลว ลกู สูบกจ็ ะเคล่อื นท่ีขึน้ สดู านบนพรอมกบั จดั การกวาดเอาไอเสียออก ไป และเมื่อลกู สบู ข้ึนไปจนสดุ วาลว ไอเสียกจ็ ะปด วาลวไอดกี จ็ ะเริ่มเปดเพอ่ื เขา สกู ารดูดอกี คร้ัง และจะวนอยู แบบนไ้ี ปเร่อื ยๆ เมื่อสนิ้ สดุ จงั หวะคาย ซึ่งเปนจังหวะท่ี 4 ก็หมนุ วนซํ้าเขาสจู ังหวะดูดอีกครั้ง ความแตก ตา งระหวางการเคลื่อนทีข่ องลกู สบู กับลกู ปนใหญ คอื ลกู สบู เคล่อื นท่กี ลับไปมา สว นลูกปนใหญเคลอื่ นที่ แบบเสนตรง เพราะในเครอื่ งยนตม กี า นลกู สูบ และเพลาขอเหวี่ยงเปลยี่ นการเคลือ่ นท่ีในแนวเสนตรงของ ลกู สบู ไปเปนการเคลอ่ื นที่แบบการหมุน 2.การทํางานของสายพาน สายพานสงกาํ ลงั (Transmission Belt) จะทาํ หนาทีใ่ นการสงถายกาํ ลงั จากท่หี นึง่ ไปยังอีกทีห่ น่งึ โดย ผา นลูกลอหรอื ทเ่ี รยี กวา พูลเล( Pulley) ต้งั แต 2 ลูกข้นึ ไป ลกู ลอหรือพลู เล(Pulley)ทเ่ี ปน จดุ กาํ เนิดตนกําลงั เราจะเรียกวาพูลเลข ับ(Drive Pulley) และลูกลอหรอื พูลเล(Pulley) ท่ีรับแรงขับทส่ี ง ผา นมาจากสายพานสง กําลัง(Transmission Belt) จะเรียกวา พูลเลต าม (Tail Pulley) นอกจากน้อี าจจะมีลกู ลอ หรือพูลเล(Pulley) ทเี่ ปน ตวั ปรับต้ังแรงตึงสายพาน, หมุนฟรอี ยูก บั ทต่ี ัวเปลาเรยี กวา พูลเลกลาง(Idle Pulley) โดยทัง้ หมดจะมีสายพานสงกาํ ลัง(Transmission Belt) เปน ตัวสงผานแรงจากแหลง กาํ เนิด สงผา นลกู ลอหรอื พลู เล(Pulley)ในแตละลูก ทําใหกลไกในสวนอ่นื ๆทํางานน้ันเอง ภาพการทาํ งานของสายพาน
3.การทํางานของมอเตอร การทํางานปกติของมอเตอรไฟฟา สว นใหญเกิดจากการทาํ งานรวมกนั ระหวา งสนามแมเหลก็ ของแม เหล็กในตวั มอเตอร และสนามแมเ หล็กที่เกดิ จากกระแสในขดลวดทาํ ใหเ กิดแรงดูดและแรงผลกั ของสนามแม เหล็กทง้ั สอง ในการใชง านตวั อยางเชน ในอตุ สาหกรรมการขนสง ใชมอเตอรฉุดลาก เปนตน นอกจากน้ันแลว มอเตอรไ ฟฟายงั สามารถทาํ งานไดถึงสองแบบ ไดแ ก การสรางพลังงานกล และ การผลิตพลงั งานไฟฟา มอเตอรไฟฟาถกู นําไปใชงานทหี่ ลากหลายเชน พัดลมอุตสาหกรรม เครื่องเปา ปม เครอ่ื งมือเคร่อื งใช ในครวั เรอื น และดสิ กไ ดรฟ มอเตอรไ ฟฟาสามารถขบั เคลอ่ื นโดยแหลงจายไฟกระแสตรง (DC) เชน จาก แบตเตอร่ี, ยานยนตห รอื วงจรเรยี งกระแส หรอื จากแหลงจา ยไฟกระแสสลบั (AC) เชน จากไฟบา น อินเวอร เตอร หรอื เคร่อื งปน ไฟ มอเตอรขนาดเลก็ อาจจะพบในนากิ าไฟฟา มอเตอรท วั่ ไปท่มี ีขนาดและคณุ ลกั ษณะ มาตรฐานสงู จะใหพลงั งานกลท่สี ะดวกสําหรับใชใ นอตุ สาหกรรม มอเตอรไ ฟฟาทใี่ หญท ี่สุดใชสาํ หรับการใชงาน ลากจูงเรอื และ การบีบอัดทอ สง นา้ํ มันและปม ปส ูบจัดเกบ็ นํ้ามนั ซง่ึ มีกําลงั ถึง 100 เมกะวตั ต มอเตอรไฟฟา อาจจําแนกตามประเภทของแหลง ท่ีมาของพลงั งานไฟฟา หรือตามโครงสรางภายในหรอื ตามการใชงานหรอื ตามการเคลอ่ื นไหวของเอาตพ ุต และอื่น ๆ อปุ กรณเชนขดลวดแมเ หลก็ ไฟฟา และลําโพงท่ีแปลงกระแสไฟฟา ใหเปน การเคล่อื นไหว แตไ มไดสราง พลังงานกลที่ใชง านได จะเรียกถูกวา actuator และ transducer ตามลาํ ดับ คาํ วามอเตอรไฟฟา นัน้ ตอ งใช สรางแรงเชงิ เสน(linear force) หรอื แรงบดิ (torque) หรือเรียกอีกอยางวา หมนุ (rotary) เทาน้นั
4.การทํางานของตัวไทมเมอร รเี ลยตั้งเวลา (Timer relay) สาํ หรบั รเี ลยต ้ังเวลาจะใชไ ดดวยกันหลายชนดิ แตท ่ีไดรับความนยิ มใน การนาํ มาใชง านสว นมากแบงออกเปน 2 แบบ ตามชนดิ การทํางานของหนาสัมผสั ซ่ึงก็มดี งั น ี้ 1.หนวงเวลาหลังจากเอาไฟเขา เปน แบบทเ่ี มอ่ื จายไฟเขา หนา สัมผัสของรีเลยจะอยใู นตําแหนงเดมิ หากถงึ เวลาทตี่ ัง้ เวลาไว หนาสมั ผัสจงึ จะไปอยใู นสภาวะทีต่ รงกันขามและคางไวจนกวา จะหยุดการจายไฟ 2.หนวงเวลาหลังจากเอาไฟออก เ ปนแบบทเ่ี มื่อจา ยไฟเขา หนาสัมผสั ของรเี ลยจะเปลีย่ น เมอื่ ถงึ เวลา ท่ีตงั้ ไวห นา สมั ผัสจะกลับมาอยูในตาํ แหนง เดมิ ซงึ่ การทาํ งานใน 3.ลักษณะแบบนี้ หากเปนรเี ลยแ บบอิเลกโทรนิกและรเี ลยแบบมอเตอรข บั จะไมสามารถทาํ งานได ขนาดของเตียงนอน (Bed Size) สาํ หรบั การเลือกซือ้ ทน่ี อน (Mattress) และ เตยี งนอน (Bed) น้ันมกั จะเปนของคกู นั เสมอ ซ่ึงสง่ิ สาํ คญั ทเี่ ราควรจะคํานึงถึงเปน สิ่งแรก คือเร่ืองของขนาดและความเหมาะสมของเตยี งนอน วา เหมาะกับพื้นท่ขี องหอง นัน้ ๆ หรือไม และ ความตองการทีจ่ ะใชกับหอ งที่มคี นพักอยูมากนอ ยแคไหน รวมไปถึงขนาดตวั ของผูพกั อาศัย เพือ่ ท่จี ะนํามาตดั สนิ ใจในการเลือกขนาดของทีน่ อน วาควรจะใชข นาดเทา ไร หรอื ใชเตยี งแบบไหนถงึ จะตอบ โจทยความตอ งการไดม ากทสี่ ุดนน่ั เอง และกอ นท่ีจะไปพดู ถึงเตียงนอนในแตล ะขนาดนั้น ขอบอกวา ในแตล ะ ประเทศในโลก เขาก็มีการแบง ขนาด และ มีชอื่ เรียกของขนาดทแ่ี ตกตา งกันออกไปมากมาย (ขอไมก ลา วถงึ ทั้งหมด) ซง่ึ ในประเทศไทย ท่วั ไปแลว เราจะแบงขนาดของเตียงออกเปน 2 ประเภท หลกั ๆ ดงั ตอไปน ี้
1. เตียงเดี่ยว (Single Bed) เตียงประเภทแรกคอื เตยี งเดีย่ ว หรอื “Single Bed” ในประเทศไทย จะมขี นาดมาตรฐานความกวาง จะอยูทปี่ ระมาณ 3.5 ฟตุ บวกลบไดน ดิ หนอ ย (ภาษาชาวบา น ทมี่ กั ไดยนิ กนั บอยๆ ก็คือ “เตียงนอนสามฟุต ครึง่ “) เตียงนอนประเภทน้ี จัดเปนเตยี งท่ีมีขนาดเล็กๆ ไมก ินพื้นทหี่ องมากนัก เหมาะสาํ หรับใชน อนคนเดียว และใชก ับหองที่มพี นื้ ทจ่ี าํ กดั นอกจากน้แี ลว ในหอ งพกั นั้นๆ อาจจะมีการวางเตยี งเด่ียวไวม ากกวา 1 เตยี งก็ได หากในหอ งพักน้ันๆ มกี ารวางเตยี งนอน เอาไว 2 เตียง โดยสากล ตามโรงแรม รีสอรท ท่พี กั อาศยั ตา งๆ เขามกั จะเรยี กมนั วา “Twin Bed” ซงึ่ พอหลายคนเห็นคาํ วา Twin มกั จะเขา ใจวาเปนเตยี งคูแบบทีเ่ ปน เตยี งขนาด ใหญๆ แตแ ทจรงิ แลว มนั คือเตียงเดยี่ ว 2 เตยี ง ท่ถี ูกจัดวางไวอ ยคู ู ในหองเดยี วกันตางหาก และมกั จะมโี ตะ หัว เตยี ง หรอื โตะ ที่วางโคมไฟ ต้งั คนั่ กลางไวอยรู ะหวา งทง้ั 2 เตยี ง 2. เตียงคู (Double Bed) เตยี งประเภท เตียงคู หรือ “Double Bed” หรือบางประเทศอาจจะเรียกวา “Full Bed” นี้ จะเปน เตียงแบบขนาดใหญ เรม่ิ ตง้ั แต 4 ฟุต เปน ตนไป คุณสมบตั จิ รงิ ๆ ของมนั คอื มันจะมพี ้นื ทใ่ี หสามารถนอนพลิก ตัวไปมาไดสะดวกสบายมากขนึ้ เหมาะกับหอ งทีม่ ีขนาดและพื้นท่ีคอนขางกวางขวาง โดยความกวา งของทนี่ อน ในรปู แบบเตยี งคนู ้ี จะมใี หเลอื กหลากหลายขนาดดว ยกัน ในประเทศไทย ก็จะมแี บงหลกั ๆ ออกเปน 3 ชนนดิ ดวยกัน คอื 1. Double Size Bed (เตียงนอน 4 ฟตุ ) 2. Queen Size Bed (เตยี งนอน 5 ฟตุ ) 3. King Size Bed (เตยี งนอน 6 ฟตุ ) สรปุ ขนาด ความกวาง ความยาว ของเตียงนอนทีน่ า สนใจ
สว นนจ้ี ะเปน สว นของการสรุป ขนาดของเตียงนอนมาตรฐานท่ีนิยมใชก นั ในประเทศไทย (Thailand Standard Bed Size) โดยหลักๆ แลว ท่ีขายอยูในทอ งตลาด กจ็ ะมอี ยทู ง้ั หมด 4 ขนาดดว ยกนั ตามราย ละเอียดดานลา งเลย ชื่อเรียกทน่ี อน ขนาดของทน่ี อน ขนาดของท่ีนอน (หนวยฟุต – ft.) (หนว ยเซนตเิ มตร – cm.) เตียงเดี่ยว กวาง 3.5 x กวาง 107 x ยาว 198 (3.5 ฟตุ ) ยาว 6.5 Single Bed
เตียงคู (4 ฟุต) กวาง 4.0 x กวา ง 122 x ยาว 198 ยาว 6.5 Double Size Bed เตยี งคู (5 ฟตุ ) กวาง 5.0 x กวาง 152 x ยาว 198 ยาว 6.5 Double or Full Size Bed เตียงคู (6 ฟตุ ) กวาง 6.0 x กวา ง 183 x ยาว 198 King Size Bed ยาง 6.5 (หมายเหตุ : ขอ มูลนาํ มาจากเวบ็ ไซต https://en.wikipedia.org/wiki/Bed_size) ความหนาของที่นอน (Mattress Thickness) ในสวนนจ้ี ะมาดู ความหนาของที่นอน (Mattress Thickness) หรือบางแหง อาจจะเรยี กวา ความสงู ของทนี่ อน (Mattress Height) นน้ั เปนอกี หนงึ่ ปจ จัยทีส่ าํ คญั มาก เพราะในสว นของความหนาน้ัน มันสามารถ เปนตวั บง ชี้ถงึ คุณภาพ และประสทิ ธภิ าพของที่นอน ในประเภทตา งๆ ไดเ ปนอยา งด ี
โดยทั่วไปแลว ทน่ี อนทย่ี ิ่งมีความหนา (Thickness) มากเทาไหร กจ็ ะยิ่งมคี ณุ ภาพ และ ราคาทสี่ งู กวา ดวย ซึ่ง ความหนาของทีน่ อนนน้ั ท่พี บเหน็ กนั มากๆ กจ็ ะมตี งั้ แต 6-12 นวิ้ หรอื อาจจะเปน การวางทน่ี อนแบบซอนกัน เพ่ือใหเ กดิ ความหนามากขน้ึ กวา นั้นอกี ก็สามารถทาํ ไดเชน กนั ซ่ึงในการเลอื กความหนาของทนี่ อน ก็ตองข้ึนอยู กับรูปแบบของเตียงและประเภทของทีน่ อนดวย ไมว า จะเปน 1.เตยี งที่มีพนกั พงิ บรเิ วณหวั นอน ท่ีสามารถใชน ัง่ พงิ หลงั ไดแ บบโซฟา อาจจะเลอื กใชท ี่นอนทไ่ี มหนา มากจนเกนิ ไป เพ่ือใหระดบั ความสูงของศรีษะเวลาทน่ี ่งั หลังพงิ พนกั อยูในระดบั ทพี่ อดี และเหมาะสม 2.ทน่ี อนแบบสปริง ควรจะเลอื กท่ีมีความหนามากๆ เอาไว เพราะโดยสวนใหญแลว ที่นอนแบบสปริง ทมี่ คี วามหนากวา มักจะใชว ัสดขุ องสปริงที่มคี ุณภาพสูงกวา สามารถยืดหยนุ ใหต ัว และ รองรบั นํา้ หนักไดดี กวา 3.ทนี่ อนยางพาราแท อาจจะไมจําเปน ตอ งเนนเร่ืองความหนามากนกั เพราะเปนที่นอนท่ใี ชวัสดุ ธรรมชาติที่คอนขางมนี ้าํ หนกั และความนมุ ยืดหยนุ ในตัวอยูแลว อาจจะเลือกความหนาอยูท่ีประมาณ 4-8 นว้ิ ยง่ิ มคี วามหนามากข้นึ ก็จะมคี วามนุม และยืดหยนุ มากข้นึ แตราคากจ็ ะสงู ขน้ึ ตามไปดวย
4.ทน่ี อนท่วี างไวต ดิ กับพื้น (แบบทีไ่ มใชเ ตยี ง) ไมว า จะเปนทน่ี อนประเภทไหน ควรเลือกใช ความหนาทมี่ ากหนอ ย ซึง่ ไมควรนอยกวา 8 น้ิว เพ่อื ชว ยใหก ารลกุ ยนื จากท่ีนอน สามารถทาํ ได สะดวกมากขึน้ ประเภทของที่นอน (Mattress Type) ประเภทของทน่ี อนนั้น สามารถแบงออกไดห ลายประเภทมากๆ ซึ่งวสั ดุหลกั ทน่ี าํ มาใชทํา ทีน่ อนน้นั จะมีทั้ง แบบท่ีทาํ มาจากวสั ดจุ ากธรรมชาติ (Natural Materials) และ วสั ดสุ งั เคราะห (Synthetic Materials) รวมทง้ั แบบวัสดใุ นแบบทีผ่ สมผสานกันระหวาง วสั ดุธรรมชาติ และ วสั ดุ สงั เคราะห โดยเราสามารถแบงประเภทของที่นอนหลักๆ ออกเปน หมวดตางๆ ทงั้ หมด 5 หมวด ดัง ตอไปน ี้ 1.ทนี่ อนยางพารา (Latex Mattress) 2.ท่นี อนนุน (Kapok Mattress) 3.ท่นี อนใยมะพรา ว (Coconut Fiber Mattress)
4.ทน่ี อนฟองน้ํา (Sponge Mattress) 5.ทน่ี อนสปริง (Spring Mattress) 1. ทนี่ อนยางพารา (Latex Mattress) ประเภท ที่นอนยางพารา หรอื “Latex Mattress” (ภาษาไทยอานออกเสียงวา “ลาเทก็ ซแมทเทร“) จดั เปน ทน่ี อนท่ที ํามาจากวสั ดุธรรมชาติ จริงๆ ใชง านไดย าวนาน คงทน มคี วามนมุ และ ยืดหยนุ ไดด ี แตก็มีน้าํ หนักและราคาท่ีมากกวา เมื่อเทยี บกบั ท่นี อนท่ีทํามาจากวสั ดุธรรมชาตติ วั อ่ืนๆ อยางเชน นุน หรือ ใยมะพราว โดยที่นอนยางพารานน้ั จะมอี ยู 2 รูปแบบหลกั ๆ คอื ที่นอนยางพาราแท กบั ที่นอนยางพาราแบบอดั แนน นัน่ เอง 1.1 ท่ีนอนยางพาราแท 100% (Natural Latex Mattress) ท่นี อนประเภท ที่นอนยางพาราแท ความหมายของมันก็ตามชอื่ เลย คอื เปนทน่ี อนที่ทาํ มาจาก ยางพาราแท จากธรรมชาตแิ บบ 100% จริงๆ โดยไมมีการปะปนกบั วัสดสุ งั เคราะหอืน่ ๆ ท่ีนอนยางพาราแท จะถกู ข้นึ รูป
และผานกระบวนการอบในระดับอุณหภูมทิ เ่ี หมาะสม ใหออกมาในลกั ษณะของแผน สีขาวขนาดใหญ และนํา แผนมาวางซอนกนั เปนชั้นๆ (Layer) เพ่ือใหเกดิ ความหนาขนึ้ ขอ ด ี ● มผี วิ สัมผัสทนี่ มุ ละเอียด และยืดหยนุ มาก ● มอี ายุการใชง านทีย่ าวนาน สามารถคงรปู ทรงไดดี ดแู ลรกั ษาไดง า ย ● รองรบั กบั น้าํ หนกั มากๆ ได ● รองรับสรีระ ของรางกายแตล ะคนไดเ ปน อยา งด ี ● ชวยลดแรงสนั่ สะเทอื น จากการนอนดน้ิ การนอนพลิกตัวไปมา ไดเ ปนอยา งด ี ● ไมเกบ็ ความชนื้ รวมถึงฝนุ ละอองตางๆ ทําใหท่ีนอนไมเกดิ กลน่ิ อับ ● เปน วัสดจุ ากธรรมชาติ ไมม สี ารสงั เคราะหท ่อี าจทาํ ใหเ กิดภูมแิ พ ขอ เสยี ● มรี าคาคอนขางแพง เน่อื งจากมตี นทนุ การผลิตทส่ี งู ● อาจมกี ล่ินยาง ในชวงแรกๆ ทใี่ ชงาน ● มีนํา้ หนกั มากกวา เมอื่ เทียบกบั ทีน่ อนที่ทาํ มาจากวสั ดุธรรมชาติอ่นื ๆ อยาง นนุ หรอื ใยมะพราว อาจจะตอ งใชคนยกหลายคน ในขณะขนสง
1.2 ท่ีนอนยางพาราแบบอัดแนน (Compressed Latex Mattress) มาถึงทน่ี อนยางพาราประเภทท่ี 2 คือ ที่นอนยางพาราแบบอัดแนน เปน ท่นี อนทที่ ํามาจากวสั ดขุ อง เศษ ยางพาราแท โดยนาํ มาสงั เคราะหและบีบอัดรวมกนั เปน กอ นใหญๆ แลว จึงนํามาขนึ้ ใหอ ยใู นรูปทรงของเตียง ( หลกั การลักษณะคลา ยๆ กบั ไมป าตเิ ก้ิล และ ไม MDF ทเี่ อาไวใชทําเฟอรนเิ จอร) โดยกลิ่นตอนซอ้ื มาใหม จะ ข้นึ อยูกับวสั ดุหอหมุ ของท่นี อนวา เปน อะไร ขอ ดีของทีน่ อนยางพารา ● มคี วามแขง็ กวาที่นอนแบบยางพาราแท พอสมควร หากใครชอบนอนท่ีนอนแขง็ ๆ ตอ งถูกใจ ● สามารถรองรบั กับนํ้าหนักมากๆ ไดค อนขา งดีพอสมควร ● ไมย บุ งาย ● ชวยลดแรงส่ันสะเทือน จากการนอนดิ้น หรอื การพลิกตัวไปมาได ● มอี ายกุ ารใชงานที่ยาวนาน ● ราคาถกู กวา ท่ีนอนยางพาราแท ขอ เสยี ของท่ีนอนยางพารา ● เมื่อใชง านไปนานๆ อาจมีกลิน่ เหมน็ อบั ของยาง เพราะระบายอากาศไดไมด พี อ ● มนี ้ําหนักมากกวา ทน่ี อนแบบยางพาราแทจ ากธรรมชาต ิ ● ราคาถูกกวา ทน่ี อนยางพาราแท พอสมควร
2. ท่ีนอนนนุ (Kapok Mattress) ที่นอนประเภททส่ี อง คอื ทน่ี อนนนุ หรอื “Kapok Mattress” (ภาษาไทยอา นออกเสียงวา “ เคพ็อคแมทเทรส“) จัดเปน ท่นี อนทีท่ ํามาจากวสั ดุธรรมชาตอิ ีกเชนกนั คอื เปนผลผลิตท่มี าจาก ตน นนุ (Kapok หรอื Ceiba Pentandra) ซ่งึ เปน พชื ผลชนดิ ไมยืนตน ใหผลผลติ เปน เสนใย เหมาะแกก ารเอาใยนนุ ไปทําเบาะ ทน่ี อน หมอน ตางๆ นนั่ เอง โดยปกตใิ นสมยั กอนนั้น ทน่ี อนนุน จะถูกออกแบบในรปู ทรงของทน่ี อนขนาดเล็ก แบบท่ใี ชก ับเตียงประเภท เตียงเดย่ี ว (Single Bed) ขนาดประมาณ 3-4 ฟุต หรือแมแต จะวางบนพนื้ หอ งเลยกส็ ามารถทําไดเ ชนกัน เพราะทนี่ อนนนุ ขนาด 3-4 ฟตุ มีน้าํ หนกั เบา ทําใหสามารถเคล่อื นยายไปไหนมาไหนไดอ ยา งสะดวก รวดเรว็ คนเดียวก็ยกได แตถา ตอ งการใชก บั เตยี งคู หรอื เตยี งท่ีมขี นาดใหญๆ จะนยิ มใชแบบวางตอ กนั เปน ทอนๆ 3 ทอน ตอ กัน (ข้ึน อยูกับขนาดของเตียง) ในสมัยกอ นมกั นยิ มหุมดว ยเน้ือผาอยู 2 แบบ ไดแ ก 1. ผายนหนงั ไก 2. ผา ไหมญีป่ นุ (มีความหนา และ คุณภาพ ทด่ี ีกวา แบบผายนหนงั ไก)
ในปจ จุบนั เราจะสามารถหา ท่ีนอนนุนท่มี คี ณุ ภาพ ไดค อ นขา งยาก เนื่องจากความตอ งการนนั้ ลดลง ทาํ ใหต อง ระวังเร่อื งของ ทน่ี อนนนุ เกา และ ท่นี อนนนุ ผสม ดวย โดยวิธีการสงั เกตงายๆ ทีส่ ามารถทาํ เองไดค อื ● ท่ีนอนนุนใหมจะตอ งมกี ล่ินนนุ ซ่งึ กลน่ิ นจี้ ะเปนกล่ินท่ีไมเหมน็ อับ เปน กลิ่นนนุ ธรรมชาติ จะใช เวลาจางหายไป หลังจากใชง านไปไดประมาณ 1-2 สัปดาห ● ท่ีนอนนนุ ใหมจะมีนํ้าหนกั เบากวา ท่คี ิดไว เนอื่ งจากตวั ใยนนุ ยังคงมีความเปน เสนใย และท่สี าํ คัญ ไมเปน ฝุน ● ท่นี อนนนุ ใหมที่ดีตองยดั แนน ไมน ั่งลงไปแลว รสู ึกยวบยาบ ขอดีของท่นี อนนนุ ● มนี ้ําหนักเบา สามารถยกวาง ขนยายไดง าย (ถงึ แมจะใชก ับเตยี งขนาดใหญๆ ถา เปน ที่นอนนุน แบบฟูก 3 ทอ นตอ กนั ก็สามารถยกนาํ มาผึ่งแดดเองไดไ มย าก) ● ใหความรสู กึ ทเ่ี ยน็ สบาย ไมอบความรอ น ● ทีน่ อนนนุ ท่ดี ี ความยดั แนน จะทาํ ใหไมเปน แอง และ มีอายุการใชง านไดน านหลายสิบป ● มีราคาคอนขา งถกู
● นุน ยงั คงมีความเปนเสนใย ไมเปนฝนุ (สาํ หรบั ทน่ี อนนนุ ใหม เทา นั้น) ● มีตัวไรฝุน (Mite) นอยมากๆ เน่ืองจากเปนท่นี อนทไ่ี มไ ดผานการใชง าน หรอื ถูกนํากลับมาใชมา กอ น (Re-Use) (สาํ หรับท่ีนอนนนุ ใหม เทาน้นั ) ขอเสยี ของทน่ี อนนุน ● หาท่ีนอนท่ีจําหนา ยเปน นุนใหมใ นปจ จุบนั คอ นขางยาก ตองหารานดๆี และ มีนา เชือ่ ถือ ● ที่นอนอาจจะไมน มุ และ เดงดึง๋ แบบ ทนี่ อนสปรงิ หรือ ทน่ี อนยางพารา (แตต รงนจ้ี ะเหมาะกบั คนทมี่ ีปญ หาเร่อื งนอนแลวปวดหลงั มากๆ) ● หากไมเคยใชมากอ น ชวงแรกจะไมชินกบั สัมผัสการนอนมาก แตใชไ ปสักพักประมาณ 2-3 สัปดาห นนุ จะยบุ ลงมาปรบั รองรับกับสรรี ะการนอนมากขึ้น ● สะสมความรอนไดง า ย ไมเหมาะสําหรับคนขร้ี อ น ● ถาถูกหุมดว ยวสั ดุผา ยน หนงั ไก ท่ีนอนจะมขี นาดทบ่ี าง และมคี วามนมุ ท่นี อ ยลง ● ตรวจสอบไดย าก วา เปนนนุ ใหมแ ท 100% และ ไมมกี ารผสมกับเศษผา หรอื วสั ดุอนื่ ๆ เขา ไป ● สะสมฝนุ ละอองไดง าย ไมเ หมาะกับคนทเ่ี ปน ภมู ิแพ (ขอเสยี สาํ หรบั ท่นี อนนุน เกา หรอื ที่นอนนนุ ผสม) ● มีอายกุ ารใชง านไดไ มย าวนาน เสียการคงรูปทรงไดง าย (ขอ เสียสาํ หรบั ทีน่ อนนุนเกา หรอื ท่นี อน นุนผสม) ● เม่อื ที่นอนมกี ารยุบตัวลงแลว อาจทาํ ใหเ กดิ อาการปวดหลังได (ขอ เสยี สําหรบั ท่ีนอนนุนเกา หรอื ทีน่ อนนนุ ผสม)
3. ทนี่ อนใยมะพราว (Coconut Fiber Mattress) ทน่ี อนประเภททส่ี ามคอื “ทนี่ อนใยมะพรา ว” หรอื “Coconut Fiber Mattress” (ภาษา ไทยอานออกเสยี งวา “โคโคนทั ไฟเบอรแมทเทรส“) ประเภทนี้เปนทน่ี อนท่ีทํามาจากวัสดุธรรมชาต ิ วธิ กี ารสรา งนัน้ จะใชว ัตถุดบิ ของเสนใยมะพราวมาแปรรปู ใหเปน แผน และผา นกรรมวิธกี ารอดั แนน จนกลายเปน รปู ทรงของท่นี อน เปน เตียงท่ีมคี วามแขง็ กระดา งคอ นขา งสงู เหมาะสําหรบั คนทีช่ อบ นอนเตยี งทีม่ คี วามแข็งในระดบั หน่ึง (ไมน่มิ มาก มีความยดื หยุนนอ ย) สว นน้าํ หนกั ของที่นอนชนิดน ้ี เม่ือเทียบกบั ท่นี อนยางพาราที่ทาํ มาจากวสั ดธุ รรมชาตเิ หมือนกันแลว จะมนี าํ้ หนักท่เี บากวามาก ดานใน ท่ีนอนใยมะพราว (Coconut Fiber Mattress) รูปภาพจาก Banteenon.com ขอ ดีของท่ีนอนใยมะพรา ว ● มีความแขง็ และกระดางอยใู นตวั ● สามารถคงรูปทรงไดดี และยบุ ตวั ไดยาก ● มนี ํา้ หนกั ทค่ี อ นขา งเบา ● ชว ยลดปญหาการปวดหลัง จากการนอนบนทนี่ อนนม่ิ ๆ ยวบๆ ซงึ่ ไมเ หมาะกบั สรีระรางกายของผู นอน
● สามารถยอ ยสลายไดเองตามธรรมชาต ิ ขอ เสยี ของทีน่ อนใยมะพราว เมอื่ หมดอายุการใชงาน หรอื เมื่อเสอื่ มสภาพแลว จะเกดิ การเปอ ยยยุ กอ ใหเกิดขุย และไรฝนุ ซง่ึ สงผลเสยี ตอ ระบบทางเดินหายใจ ● มคี วามนุม และยืดหยนุ นอ ย ไมเ หมาะกบั คนทีไ่ มช อบนอนท่นี อนแบบแข็งๆ 4. ทน่ี อนฟองนํ้า (Sponge Mattress) ทีน่ อนในประเภททีส่ ่ีคือ “ท่นี อนฟองนา้ํ ” หรอื “Sponge Mattress” (ภาษาไทยอา นออกเสียงวา “สปอง จแมทเทรส“) เปนท่นี อนทใี่ ชว ัสดสุ ังเคราะห ทางวทิ ยาศาสตร โดยการใชเ ศษฟองนํา้ ชน้ิ เลก็ ๆ นํามาบบี อัดดว ย เครอ่ื งอัดแรงดนั สูง (คลา ยๆ กับ ท่นี อนยางพาราแบบอัดแนน) ตามดว ยกระบวนการผสมทางเคมี แลว จงึ นาํ มา ข้นึ รปู ทรงและขนาดตามทต่ี องการ ดา นใน ทนี่ อนฟองนาํ อดั (Compress Sponge Mattress) รปู ภาพจาก Banteenon.com
นอกจากนีแ้ ลว ทน่ี อนฟองน้าํ มกั จะนิยมนาํ ไปผสมกับวัสดใุ ยมะพราว หรือ ที่เรยี กกนั วา ทีน่ อนฟองน้ําใย มะพราว เพอื่ ใหม ีความแข็งมากข้ึน และ เกิดการยุบตวั ทีน่ อ ยลง สามารถรองรบั นา้ํ หนักและสรีระรา งกายไดด ี ในราคาทถ่ี กู กวา (ลองนึกสภาพเหมอื นกับเกาอี้ฟองนํ้า เม่ือนงั่ ไปนานๆ ฟองนํ้ากจ็ ะยุบลงไปเร่ือยๆ จงึ ตองมี การผสมใยมะพราว เขา ไปชว ยดวย) ขอดีของทนี่ อนฟองน้าํ ● ใหความรูสกึ ท่ีนุม คลายกับที่นอนทท่ี ําจากวัสดุยางพารา ● มนี ้าํ หนกั เบา สามารถยก และเคล่ือนยายไดงาย ● มีความยดื หยุน และสามารถรองรับนาํ้ หนกั ไดด ี (แตนอยกวา ท่ีนอนแบบยางพาราแท) ● มีราคาถกู นยิ มใชตามหอพกั (เม่อื เทยี บกบั ท่นี อนยางพารา และ ท่นี อนใยมะพรา ว) ● มคี วามทนทาน ใชงานไดน าน (แตน อยกวา ที่นอนแบบยางพาราแท) ขอเสยี ของทนี่ อนฟองนาํ้ ● วัสดุฟองน้าํ สังเคราะหทไี่ มไดคุณภาพ เม่อื ใชเ ปนเวลานานจะเกิดการยุบตวั ในลักษณะทเี่ ปน แอง ทําใหม ีอาการปวดหลังได ● มีระบบการระบายอากาศไดไ มด ี ทาํ ใหเ กดิ กล่ินอับไดงา ย ● เกดิ ฝุนละอองสะสมบนที่นอนไดงา ย
5. ที่นอนสปรงิ (Spring Mattress) ท่ีประเภททหี่ า เปน “ท่นี อนสปริง” หรอื “Spring Mattress” (ภาษาไทยอา นออกเสียงวา “สปรงิ แมทเทรส“) จัดอยใู นประเภทของทน่ี อน ที่มีการผสมผสานระหวา งวัสดธุ รรมชาติ วสั ดสุ ังเคราะห และ เทคโนโลยีรองรบั น้ําหนกั กระจายนํา้ หนัก รวมเขา ไวดวยกัน จงึ ทําให ท่นี อนสปริง เปนท่ีนอนทใี่ ชกันอยางแพร หลาย มอี ายกุ ารใชงานท่ียาวนานหลายป และมีความนยิ มสูงมาก โดยเฉพาะตามโรงแรม รีสอรทตา งๆ โดย ท่ีนอนสปริง จะมีความหนามากกวาทน่ี อนประเภทอืน่ ๆ เน่ืองจากตองมีการใสตวั สปรงิ เขาไปดา นใน เพ่อื รับนํ้าหนกั และ ดดู ซบั แรงกด แรงกระแทกตางๆ นอกจากนแ้ี ลว ทน่ี อนสปรงิ ยงั มีใหเลือกหลากหลายรปู แบบ อีกดวย ซงึ่ แตละรูปแบบกจ็ ะมเี ทคโนโลยกี ารจดั วางของสปริงทีแ่ ตกตางกันออกไปดว ย ประเภทของทน่ี อนสปรงิ (Types of Spring Mattress) 5.1 ที่นอนบอนแนลลส ปรงิ (Bonnell Spring Mattress) ดานใน ทีน่ อนบอนแนลลสปรงิ (Bonnell Spring Mattress) รปู ภาพจาก Banteenon.com
เปนสปริงแบบด้ังเดมิ ทีส่ รางในลักษณะของการยึดสปรงิ แตล ะลกู เขา ไปในแผน ของท่ีนอน ซึง่ ยังไมม ีความ คงทน แนน หนามากนัก จึงมีโอกาสทําขดลวดของสปริงลม และทําใหรปู ทรงของทน่ี อนผิดรูปไปได และยังมี โอกาสกอ ใหเ กดิ การเสียดสีกนั ระหวางสปรงิ ทาํ ใหเกดิ เสยี งดังขึ้น แตจะมรี าคาท่ีถกู กวาแบบอน่ื ๆ 5.2 ท่นี อนออฟเซตสปรงิ (Offset Spring Mattress) เปนสปริงที่ทาํ งานแบบเชื่อมโยง ขมวดปมถงึ กนั แตจะมคี วามแข็งกระดา ง และไมยดื หยนุ ทําใหเวลาในเวลาที่ผู นอนขยบั หรือ พลกิ ตวั ไปมา จะสง ผลรบกวนกับคนทน่ี อนดวย ซึ่งตอมาไดมกี ารพฒั นาใหกลายเปน แบบ Open Offset เพอ่ื ลดแขง็ กระดา งของสปริงใหน อ ยลง ทําใหร องรับน้ําหนกั รา งกายไดด ีมากข้นึ 5.3 ทีน่ อนพ็อกเก็ตสปริง (Pocket Spring Mattress) พอ็ กเกต็ สปริง (Pocket Spring) จะเปน สปริงแบบแยกอสิ ระ วางเรียงกันเปนแถวๆ เปนรอยๆ ลกู โดยดานบน ของสปรงิ อาจจะเปน แผนฟองนาํ้ อดั เกรดตา งๆ อีกทีหนง่ึ ดานใน ทนี่ อนพอ็ กเกต็ สปริง (Pocket Spring Mattress) รูปภาพจาก Banteenon.com
จากรปู ประกอบดานบน จะสงั เกตเหน็ วา ชุดสปริงจะถกู สวมอยูในถงุ ผา อีกทีหนง่ึ เพอ่ื กนั ปญ หาการเสยี ดสีกนั หรอื ขบกันของสปริงแตละตัว และ ยงั ปอ งกนั ไมใ หเกดิ เสยี งดังรบกวน เวลาขยบั หรอื พลิกตัวขณะนอนนน่ั เอง แถมคนขา งๆ กย็ งั ไมรูสกึ ตัวขณะทีเ่ ราพลิกตัวเชน กนั นอกจากนแี้ ลว ท่นี อนพ็อกเกต็ สปริง ก็ยังสามารถรองรับกบั สรรี ะของรางกายไดเปนอยางดี แตจะมีราคาที่สงู กวา ท่ีนอนสปริงแบบอนื่ ๆ อยเู หมอื นกนั ขอ ดแี ละขอ เสยี โดยรวมของที่นอนสปริง ขอ ดขี องท่นี อนปรงิ ● มีความยดื หยุน และสามารถคืนตวั ไดดี (ในบางรนุ อาจดีกวาแบบ ทนี่ อนยางพาราแท) ● สามารถกระจายนํ้าหนักของรางกาย ไมใ หเ กิดแรงกดทบั ของสรรี ะสวนใดสวนหนึ่งมากเกนิ ไป (โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนตะแคง จะชวยลดการกดทับของไหล และสะโพกไดเ ปนอยา งดี) ● ระบายอากาศไดด ี ใหความรูส กึ ท่ีเยน็ สบายกวา ท่นี อนแบบฟองน้าํ และ ยางพารา ● มีความแขง็ แรงคงทน ใชงานไดนาน (ตอ งเปนแบบสปริงแท คุณภาพดี ไมใชแ บบทเี่ ปน ลกั ษณะ ของ ขดลวด) ● มีใหเลือกหลากหลายราคา(โดยรวมแลว ถูกกวา ทนี่ อนยางพาราแท) ขอเสยี ของท่นี อนสปริง ● เมือ่ ใชเ ปนเวลานานๆ เมอ่ื เกดิ การเสอื่ มของตวั สปรงิ เวลานอนขยับ หรือ พลิกตวั จะเกดิ การ เสียดสีของตัวสปริง ทาํ ใหมเี สียงดังรบกวนขณะนอนหลับ
บทท่ี 3 วธิ ีการจดั ทาํ โครงงาน วสั ด-ุ อปุ กรณ 1.เตียงนอน 2.เครอ่ื งยกคลา ยลูกสบู รถยนต 3.สายพาน 4.มอเตอร 5.นาิกาต้งั เวลา (Timer) วธิ ีการจัดทาํ โครงงาน 1.สืบเสาะหาปญ หาในชวี ติ ประจําวนั 2.รวบรวมขอมูลเก่ยี วกบั ปญหานั้นๆเพือ่ นาํ ไปใชใ นการวางแผนแกป ญหา 3.วางแผนการดาํ เนนิ งาน จากขอ มูลทร่ี วบรวมมาได 4.ดําเนนิ งานตามทีว่ างแผนไว ดังรูปแบบจําลอง
บทท่ี4 ผลการศกึ ษา จากการศึกษาวิธกี ารสรา ง เตียงวเิ ศษ ในการจดั ทาํ โครงงานครง้ั นี้ ผจู ัดทาํ ไดร บความรูแ ละผลการ ทาํ งาน ดงั น ้ี 1.ไดรบั ความรูในเรื่องกลไกของลูกสูบ สายพาน การทํางานของมอเตอรแ ละ ตวั ไทมเ มอร 2.ไดร ับรูวา สงิ่ ประดิษฐที่สรา งหรอื ออกแบบสามารถนําไปใชป ระโยชนใ น ชวี ิตประจําวนั ได 3.ไดร ูวาสามารถสรางรายไดโดยการออกแบบเตียงวเิ ศษ เพอื่ บุคคลที่ตอ งการนําสิง่ ประดิษฐนี้ไปใช 4.ไดร บั ความรูเ กย่ี วกับเตยี งท่จี ะนาํ มาทําวา มีก่ปี ระเภทแบบไหนบางเพอ่ื ท่ีจะมาเลือกสรรคใ นการทํา เตียงวเิ ศษ 5.ไดรับรถู ึงสกั ยภาพของตวั นักเรียน ทส่ี ามารถสรา งสรรคหรือทาํ สงิ่ ประดิษฐนขี้ ึ้นมาได 6.ไดร ับรูว า ผลงานชน้ิ นส้ี ามารถพัฒนาหรือสามารถตอยอดไดอีกโดยการนําการทาํ งานหรือเทคโนโลยี คอมพวิ เตอรท่ที ันสมยั ในปจ จุบนั มาใชไ ด
บทท่ี 5 สรปุ ผลการดาํ เนนิ งานและขอ เสนอแนะ จากการทาํ โครงงานพบวา จากการศกึ ษาและทํางานเกี่ยวกับ เร่ืองเตียงวเิ ศษ ผูจัดทาํ ไดส อดแทรก ความรตู า งๆเพ่ือเปน ประโยชนแ กผูอ าน 5.1การดําเนนิ งานจดั ทาํ โครงงาน 5.1.1 วตั ถุประสงคข องการดําเนนิ งาน 5.1.1.1เพอ่ื แกปญหาการตื่นสายในชวี ติ ประจําวัน 5.1.1.2เพ่ือใหไ ปทันเวลาเขา แถวในโรงเรียน 5.1.1.3เพื่อใหม เี วลาในการแตงกายใหถ ูกระเบียบมากข้นึ 5.1.1.4เพอ่ื ใหไมตดิ นิสัยในการตน่ื สาย 5.1.1.5เพอ่ื ใหม ีเวลารบั ประทานอาหารเชา 5.1.1.6เพ่อื ใหส แกนใบหนา ทันตามเวลาทกี่ ําหนด 5.1.2 วสั ดุ-อุปกรณ 5.1.2.1เตยี งนอน 5.1.2.2เครอ่ื งยกคลา ยลูกสูบรถยนต 5.1.2.3สายพาน 5.1.2.4มอเตอร 5.1.2.5นากิ าตัง้ เวลา (Timer) 5.1.3ขอ เสนอแนะ 5.1.3.1ควรกําหนดวา เตยี ง สามารถรับนํ้าหนกั ไดส ทุ ธิเทา ไหร เพอื่ ที่จะประกนั ความปลอดภัยในการ ใชงาน
บรรณานกุ รม 1.ธานพ สมประสงค. /25582558./รูจ กั กบั เตียงนอน และ ที่นอน ท้งั ทน่ี อนสปริง ทน่ี อนยางพารา ฟองน้ํา./ สบื คน เมือ่ 14 กมุ ภาพนั ธ พ.ศ.2563/.www.thanop.com › บา น และ ทีพ่ กั อาศัย 2.จรัส./2559./การทํางานของลูกสบู 4 จังหวะ (ภาพเคลอื่ นไหว) | ฟสกิ สราชมงคล 7 สบื คนเม่อื 14 กมุ ภาพนั ธ พ.ศ. 2563./nuclear.rmutphysics.com › blog-sci7 3.วกิ ีพเี ดีย./2562./มอเตอร. /สืบคนเมอ่ื 14 กุมภาพันธ พ.ศ.2563./th.wikipedia.org › wiki › มอเตอร 4.ต้ังเงินเส็ง./2560./วิธีการทํางานของสายพานสงกาํ ลงั - TNSG./สบื คน เม่อื 14 กุมภาพนั ธ พ.ศ .2563./http://www.tns1984.com/blog/ 5.แฟคโตมารท ./2562./หลักการทํางานงายๆ ของ Timer Relay | Factomart./สืบคนเม่อื 14 กมุ ภาพันธ พ.ศ.2563./mall.factomart.com › principle-of-timer-relay
ภาคผนวก ภาพที่1 การปรึกษาเก่ยี วกับโครงสรา งกับการทํางานของเตียง ภาพที2่ การสนทนาในกลมุ เรื่องระบบกลไกการทาํ งานของเตยี ง
ขอ มลู ผูจัดทาํ ช่ือ นายฤทธกิ ร นามสกลุ ศภุ สขุ ท่ีอยู 32 ม.9 ต.ไหลท งุ อ.ตระการพชื ผล จ.อุบลราชธานี 34130 เบอร 0968012561 ชื่อ นางสาวกานตธิดา นามสกุล พรมสาขา ทอี่ ยู 43 ม.15 ต.ขามใหญ อ.เมอื ง จ.อุบลราชธานี 34000 เบอร 0938646660 ชือ่ นางสาวณัฐพร นามสกลุ ภาระเวช ทอ่ี ยู 315/3 ม.23 ต.ขามใหญ อ. เมือง จ.อุบลราชธานี 34000 เบอร 0982288163
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: