นวัตกรรมการบรหิ ารสถานศึกษายุคดิจิทลั จัดทาโดย นางสาวกรรณิการ์ ศิริรตั น์ รหัสนิสติ 61500619 นายโชคชยั อุดพรม รหสั นิสิต 61500664 นางสาวพิชยา สุทธแิ สน รหัสนิสิต 61500709 นางสาวอจั ฉรา อินต๊ะวิน รหสั นิสิต 61500776 เสนอ ดร.วิลาวลั ย์ สมยาโรน E – BOOK นี้เป็นส่วนหนงึ่ ของรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา (Innovation and Information Technology in Education ) รหัสวิชา 176723 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา
ก คานา E– book เร่ือง นวัตกรรมการบริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล น้ี เป็นส่วนหน่ึงของการ เรียนการสอนรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา (Innovation and Information Technology in Education ) รหัสวิชา 176723 จัดทาข้ึนเพ่ือเป็นแนวทางในการ บรหิ ารสถานศึกษา และเผยแพร่ข้อมูลสาหรบั ผู้ที่สนใจ โดยเนื้อหาประกอบด้วยเรื่อง นวัตกรรมเพื่อการบริหารสถานศึกษา การบริหารและ การจัดการสถานศึกษา แนวคิด หลักการและเหตุในการทานวัตกรรม Model และ Flow Chart Nan Budget System และผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั จากการใช้ Model ผู้จัดทาหวังเปน็ อย่างยิ่งว่า E–book น้ีจะเปน็ ประโยชนต์ ่อผู้ที่สนใจศึกษาคน้ ควา้ หาก มีขอ้ ผิดพลาดประการใด ขอนอ้ มรับและขออภยั มา ณ ที่นีด้ ว้ ย คณะผู้จัดทา
สารบัญ ข เรือ่ ง หนา้ คานา ก สารบัญ ข นวัตกรรมเพือ่ การบริหารสถานศกึ ษา 1 การบริหารและการจดั การสถานศกึ ษา 3 แนวคิด หลกั การและเหตุในการทานวัตกรรม 27 Model และ Flow Chart Nan Budget System 30 ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั จากการใช้ Model 31 บรรณานกุ รม ค
1 นวัตกรรมเพื่อการบริหารสถานศกึ ษา เป็นเคร่ืองมือหน่ึงในการบริหารจัดการซึ่งการนาไปใช้จะประสบความสาเร็จหรือไม่ ข้ึนอยู่กับปัจจัยและบริบทต่างๆ อีกหลายประการ ผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากร ทีมงาน ต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมในการบริหารท่ีนามาใช้ สามารถปฏิบัติได้ ถ่ายทอด เป็น และองค์กรหรือสถานศึกษาต้องมีความพร้อมในการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อ นาไปสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ในการรองรับนวัตกรรมเพ่ือการบริหารสถานศึกษา ต่อไป การบริหารสถานศึกษากับนวัตกรรมจึงจาเป็นจะต้องอยู่คู่กันไป เพ่ือนาไปสู่ ความสาเร็จในการบริหารจัดการ และนวัตกรรมในการบริหารมีอยู่หลายประเภท ซึ่งมี นกั วชิ าการและนกั นวัตกรรมได้แบ่งประเภทของนวตั กรรม ไว้ดงั นี้ สานักนวัตกรรมแห่งชาติ(อ้างใน กีรติ ยศยิ่งยง : 2552 ) แบ่งประเภทของ นวัตกรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (Product Innovation) ท่ีประกอบไปด้วยนวัตกรรมของ ผลิตภัณฑ์ทจ่ี ับต้องได้ กับผลิตภณั ฑ์ทจ่ี บั ต้องไม่ได้ 2.นวัตกรรมกระบวนการ (Process Innovation) ท่ีประกอบไปด้วยนวัตกรรม กระบวนการทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมกระบวนการทางองค์กร เชลเวย์ เบคเกอร์ (อ้างใน กีรติ ยศยิ่งยง : 2552 ) แบ่งนวัตกรรมออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. นวตั กรรมทางสนิ ค้า (Product Innovation) ในเร่ืองเก่ยี วกับการสร้างสนิ คา้ ใหม่ การปรบั ปรุงสินคา้ ที่มีอยู่ หรือ รวมสินคา้ ทีม่ ีอยู่เขา้ ไปในสินคา้ ใหม่ 2. นวัตกรรมทางกระบวนการ (Process Innovation) ในเร่ืองของการเปล่ียน วิธีการผลิตสินค้า รวมถึงรูปแบบการบริหาร หรือเกี่ยวข้องกับส่วนประกอบท่ีเกี่ยวกับการ บรหิ ารจดั การ ท่มี ีผลต่อกระบวนการผลิตสนิ ค้าใหม่หรอื ประสิทธภิ าพในกระบวนการผลิต 3.นวัตกรรมทางการตลาด (Marketing Innovation) ในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับบรรจุ ภณั ฑ์ ช่องทางการจดั จาหน่าย หรอื การประเมินและการทานายความต้องการของผู้บริโภค วรภัทร์ ภู่เจริญ (การบริหารนวัตกรรมอย่างยั่งยืนและพอเพียง : 2550) ได้ แบ่งประเภทของนวัตกรรมออกเป็นดังน้ี นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมด้าน กระบวนการ นวัตกรรมด้านการบรกิ าร นวตั กรรมด้านการตลาด นวัตกรรมด้านการเงิน
2 นวัตกรรมด้านภาษา ศิลปะ และวัฒนธรรม นวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ และการ ปกครอง นวตั กรรมด้านความศรัทธา ความคิด และความเช่อื Ralph Kate (การบริหารจัดการนวัตกรรม:2550) ได้แบ่งประเภทของนวัตกรรมไว้ ดังน้ี 1. นวตั กรรมส่วนเพม่ิ และนวตั กรรมทีส่ ร้างความเปลี่ยนแปลงจากเดิมโดยสิ้นเชงิ 2. นวัตกรรมในกระบวนการ 3. นวัตกรรมในบรกิ าร ประเภทของนวัตกรรมท่ีกล่าวมา ในทัศนของผู้เขียนคิดว่าประเภทของนวัตกรรม นา่ จะแบ่งออกเปน็ 5 ประเภทดังน้ี 1.นวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ เป็นการสร้างนวัตกรรมเพ่ือแก้ไขปัญหา หรือ เพ่อื การพฒั นาองคก์ รในการบรหิ ารจัดการท่นี าไปสคู่ วามสาเร็จตามเปาาหมาย 2.นวัตกรรมดา้ นการศึกษา ตามศาสตร์สาขาตา่ งๆ เป็นนวัตกรรมท่ีส่งเสริมการจัด การศึกษาในศาสตร์สาขาต่างๆเพื่อให้ผู้เรียน ผู้ศึกษาในระดับต่างๆมีความรู้ ความเข้าใจ เกดิ การเรียนรทู้ ถ่ี ูกตอ้ งและเร็วขึน้ 3.นวัตกรรมด้านกระบวนการ เป็นการสร้างนวัตกรรมเพ่ือให้มีกระบวนการในการ ดาเนินการเรอ่ื งตา่ งๆให้ง่ายและรวดเร็วข้นึ และประสบความสาเร็จในการดาเนนิ การ 4.นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ เป็นนวัตกรรมท่ีส่งเสริมการผลิตท่ีสร้างสรรค์ แปลก ใหม่ เหมาะกับบุคคลและยคุ สมัยสะดวกในการใช้งาน 5.นวัตกรรมด้านการตลาดและการบริการ เป็นนวัตกรรมในการนาเสนอการขาย การจาหน่ายสินคา้ ผลิตภัณฑ์ตา่ งๆ และการให้บรกิ ารที่เป็นทพ่ี ึงพอใจของผู้รับบรกิ าร จากประเภทนวัตกรรมท่ีสรุปเป็นเบ้ืองต้น ก็มีหลักการ แนวคิด ทฤษฎีท่ีเป็นหลัก คิดหลักการบริหารท่ีผู้บริหารสถานศึกษา นามาใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษา ซึ่ง เป็นนวัตกรรมท่ีสาคัญอีกประเภทหน่ึงในการบริหารสถานศึกษาไปสู่ วิสัยทัศน์ และ เปาาหมายท่ีกาหนดไว้ ซึ่งเคร่ืองมือ หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ท่ีเป็น นวัตกรรม ในการ บรหิ ารดงั กลา่ ว เชน่ 1. การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน(School Based Management) การบริหาร โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เป็นรูปแบบและแนวคิดการบริหารท่ีต้องการกระจายอานาจการ บริหารและการจัดการศึกษาจากส่วนกลาง หรือจากเขตพื้นท่ีการศึกษาไปยังสถานศึกษา
3 โดยตรง ทาให้สถานศึกษามีอานาจและความรบั ผิดชอบในการบริหารตนเองในลักษณะเชิง เบ็ดเสร็จ มีความคล่องตัวและอิสระมากข้ึนในการตัดสินใจสั่งการเกี่ยวกับการบริหาร สถานศึกษาในทุกด้านท่ีเกี่ยวกับภารกิจทั้งในด้านวิชาการและหลักสูตร การเงินและ การงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารท่ัวไป (อุทัย บุญประเสริฐ : 2546 อ้างถึงใน เทคนิคการบริหาร สาหรับ นักบริหารการศึกษามืออาชีพ ,วีระยุทธ ชาตะ กาญจน์ :2552) 2. การบรหิ ารแบบมุ่งผลสัมฤทธ(์ิ Result Based Management)ทิพาวดี เมฆสวรรค(์ อา้ งถึงใน เทคนิคการบริหาร สาหรบั นกั บริหารการศึกษามืออาชพี ,วีระยทุ ธ ชาตะกาญจน์ :2552)ได้ให้ความหมายของ การบรหิ ารแบบมุ่งผลสมั ฤทธ์ิ ว่าเป็นการบริหารโดยมุ่งเน้นท่ี ผลลพั ธห์ รือความสัมฤทธ์ผิ ลเปน็ หลกั ใช้ระบบการประเมินผลงานที่อาศัยตัวชี้วดั เปน็ ตัว สะทอ้ นผลงานให้ออกมาเปน็ รปู ธรรม เพอ่ื การพัฒนาปรบั ปรงุ กระบวนการการปฏิบัตงิ าน ให้ดยี ิ่งขึน้ และแสดงผลงานต่อสาธารณะ 3. การประกันคุณภาพการศึกษา คุณภาพการศึกษา หมายถึง คุณลักษณะของ การจัดการศึกษาท่ีเป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตร ซึ่งก่อให้เกิดประสิทธิผลและ ประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานว่ามีความสอดคล้องกับท่ีได้ กาหนดไว้เป็นอย่างดี ท้ังน้ีต้องก่อให้เกิดความพึงพอใจแก่ผู้มารับบริการ อันได้แก่ นักเรียน และผู้ปกครอง อีกท้ังยังเป็นการตอบสนองความต้องการของสังคมท่ีต้องการ ผู้สาเรจ็ การศึกษาทม่ี ีความรู้ความสามารถ (วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ : 2552) 4. การจัดการความรู้ เปน็ ทงั้ วิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ทผ่ี สมผสานกัน โดยยาก ทจ่ี ะให้คาจากัดความท่ชี ัดเจน แต่อาจสรุปให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ คือ การจัดการความรู้จะ เป็นกระบวนการท่ีมีความสลับซับซ้อน ในการท่ีจะนาความรู้ท่ีมีอยู่มาสร้าง ขยายผล แบ่งปนั จดั เกบ็ และใช้ประโยชน์ (ภารดร จินดาวงศ์ : 2549) การบริหารและการจดั การสถานศกึ ษา หมายถึง การดาเนินงานของกลุ่มบุคคล ซึ่งอาจเป็นการดาเนินงานของผู้บริหาร ร่วมกับครูหรือบุคลากรในโรงเรียน อธิการบดีหรือผู้บริหารร่วมกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธกิ ารร่วมกับอธบิ ดกี รมต่าง ๆ และครอู าจารย์ในสถาบันการศึกษา ตา่ ง ๆ ละกลมุ่ บุคคลเหลา่ น้ีต่างร่วมมือกันพัฒนาคนให้มีคณุ ภาพทงั้ ส้ิน การจะพฒั นาคนให้ มีคุณภาพได้น้ัน จะต้องมีการดาเนินการในการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม การวัดผล
4 การจัดอาคารสถานท่ี และพั สดุครุภั ณ ฑ์ ก ารสรรห าบุคคลม าท าการสอนใน สถาบันการศึกษา การปกครองนักเรียนเพื่อให้นักเรียนเป็นคนดีมีวินัย และอ่ืน ๆ ซึ่งการ ดาเนินงานเหล่าน้ีเรียกว่า “ภารกิจทางการบริหารการศึกษา” หรือ “’งานบริหาร การศึกษา” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาผู้เรียน การบริหารจัดการในสถานศึกษามี ทงั้ หมด 4 ดา้ น คอื 1. ดา้ นวิชาการ 2. ดา้ นงบประมาณ 3. ดา้ นบคุ ลากร 4. ดา้ นการบริหารท่ัวไป โดยแต่ละด้านมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ ดา้ นวิชาการมีขอบขา่ ยและภารกิจดังนี้ 1. การพัฒนาหรือการดาเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตร ท้องถิ่น บทบาทและหนา้ ที่ 1. วิเคราะห์กรอบสาระการเรียนรทู้ อ้ งถิ่นทีส่ านักงานเขตพื้นที่การศึกษาจดั ทาไว้ 2. วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาเพ่อื กาหนดจุดเน้น หรือประเด็นที่สถานศึกษาให้ ความสาคัญ 3. ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษา และชุมชนเพ่ือนามาเป็น ขอ้ มูลจดั ทาสาระการเรียนรทู้ อ้ งถิน่ ของสถานศึกษาให้สมบรู ณ์ยิง่ ขนึ้ 4. จัดทาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นของสถานศึกษา เพื่อนาไปจัดทารายวิชาพ้ืนฐาน หรือรายวิชาเพิ่มเติมจัดทาคาอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือ จัดประสบการณ์และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน ประเมินผล และปรับปรงุ 5. ผู้บริหารศึกษาอนุมตั ิ 2. การวางแผนงานด้านวิชาการ บทบาทและหนา้ ที่ 1. วางแผนงานด้านวิชาการโดยการรวบรวมข้อมูลและกากับดูแล นิเทศและติดตาม เก่ียวกับงานวิชาการ ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน การประกันคุณภาพภายในและ มาตรฐานการศึกษา การพัฒนาและใช้ ส่ือ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การพัฒนาและ
5 ส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้การวิจัยเพ่ือพัฒนา คุณภาพการศึกษา และส่งเสริมชุมชนให้มี ความเขม้ แขง็ ทางวิชาการ 2. ผู้บรหิ ารสถานศึกษาอนมุ ัติโดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา 3. การจดั การเรียนการสอนในสถานศกึ ษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. จดั ทาแผนการเรียนรทู้ กุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ 2. จดั การเรียนการสอนทุกกลมุ่ สาระการเรียนรู้ทกุ ช่วงช้ัน ตามแนวปฏิบัตกิ ารเรียนรู้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ พัฒนาคุณธรรมนาความรู้ตามหลักการปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง 3. ใช้ส่อื การเรียนการสอน และแหลง่ การเรียนรู้ 4. จดั กิจกรรมพัฒนาห้องสมดุ ห้องปฏิบัตกิ ารต่างๆ ให้เออื้ ต่อการเรียนรู้ 5. สง่ เสรมิ การวิจยั และพัฒนาการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ 6. ส่งเสริมการพัฒนาความเป็นเลิศของนักเรียน และช่วยเหลือนักเรียนพิการ ด้อย โอกาสและมีความสามารถพิเศษ 4. การพฒั นาหลกั สูตรของสถานศกึ ษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. จัดทาหลักสูตรเป็นของตนเองโดยจัดให้มีการวิจัย และพัฒนาหลักสูตร ให้ทันกับ การเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม จัดทาหลักสูตรท่ีมุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้ เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้และคุณธรรม สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข จัดให้มีวิชาต่างๆ ครบถ้วนตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาพ้ืนฐานของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร 2. เพิ่มเตมิ เนือ้ หาสาระของรายวิชา ได้แก่ การศึกษาดา้ นศาสนา ดนตรี นาฏศิลป์ กีฬา การศึกษาท่สี ง่ เสรมิ ความเปน็ เลิศ ผู้บกพรอ่ ง 3. เพิ่มเติมเน้ือหาสาระของรายวิชาท่ีสอดคล้องสภาพปัญหาความต้องการของ ผู้เรยี น ผู้ปกครอง ชมุ ชน สังคม และอาเซีย่ น 5. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ บทบาทและหนา้ ที่ 1. จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของ ผู้เรยี นโดยคานึงถึงความแตกตา่ งระหว่างบุคคล 2. ฝึกทักษะ กระบวนการคดิ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพอ่ื ปอา งกันและแก้ไขปญั หา
6 3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิด เป็น ทาเป็นรกั การอา่ นและเกิดการใฝ่รู้อย่างตอ่ เนอ่ื ง 4. จัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ดา้ นตา่ งๆ อย่างไดส้ ดั สว่ นสมดุล กันรวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกกลุ่ม สาระ/วิชา 5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่ือการเรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้ การวจิ ัยเป็นสว่ นหนง่ึ ของกระบวนการเรยี นรู้ ท้ังน้ี ผู้สอนและผู้เรียนรู้อาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากส่อื การเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ 6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลา ทุกสถานท่ี มีการประสานความร่วมมือ กับ บดิ ามารดาและบุคคลในชมุ ชนทกุ ฝ่าย เพอ่ื รว่ มกันพฒั นาผู้เรยี นตามศกั ยภาพ 7. ศึกษาคน้ คว้าพฒั นารปู แบบหรอื การออกแบบกระบวนการเรียนรทู้ ่ี 6. การวดั ผล ประเมินผล และดาเนินการเทียบโอนเท่าผลการเรียน บทบาทและหนา้ ที่ 1. กาหนดระเบียบการวัด และประเมินผลของสถานศึกษาตามหลักสูตรสถานศึกษา โดยให้สอดคลอ้ ง กับนโยบายระดับประเทศ 2. จัดทาเอกสารหลักฐานการศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบการวัด และประเมินผล ของสถานศึกษา 3. วดั ผล ประเมินผล เทียบโอนประสบการณ์ ผลการเรียนและอนมุ ัติผลการเรียน 4. จัดให้มีการประเมินผลการเรียนทุกช่วงช้ัน และจัดให้มีการซ่อมเสริมกรณีท่ีมี ผู้เรยี น ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน 5. ให้มีการพฒั นาเครอ่ื งมือในการวัดและประเมินผล 6. จัดระบบสารสนเทศด้านการวัดผลประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน เพอ่ื ใช้ในการอ้างอิง ตรวจสอบ และใช้ประโยชนใ์ นการพฒั นาการเรียนการสอน 7. ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติผลการประเมินการเรียนด้านต่างๆ รายปี รายภาค และตัดสนิ ผลการเรียนผ่านระดบั ช้ันและจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 8. การเทียบโอนผลการเรียนเป็นอานาจของสถานศึกษา ท่ีจะแต่งตั้งคณะกรรมการ ดาเนินการเพื่อกาหนดหลักเกณฑ์วิธีการ ได้แก่ คณะกรรมการเทียบระดับการศึกษาทั้งใน
7 ระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียน และเสนอ คณะกรรมการบริหารหลักสูตร และวิชาการ พร้อมทั้งให้ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติการ เทียบโอน 7. การวจิ ัยเพือ่ พัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาในสถานศึกษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. กาหนดนโยบายและแนวทางการใช้ การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการ เรียนรู้ และกระบวนการทางานของนักเรียน ครู และผู้เกย่ี วข้องกบั การศึกษา 2. พัฒนาครู และนักเรียนให้มีความรู้เกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยใช้ กระบวนการวิจัยเป็นสาคัญ ในการเรียนรู้ท่ีซับซ้อนข้ึน ทาให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิด การ จดั การ การหาเหตุผลในการตอบปญั หา 3. พฒั นาคุณภาพการศึกษาดว้ ยกระบวนการวจิ ยั 4. รวบรวม และเผยแพร่ผลการวิจัยเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการศึกษา ร ว ม ทั้ ง ส นั บ ส นุ น ให้ ค รู น า ผ ล ก าร วิจั ย ม าใช้ เพื่ อ พั ฒ น าก าร เรีย น รู้แ ล ะพั ฒ น าคุ ณ ภ าพ การศึกษาของสถานศึกษา 8. การพัฒนาและส่งเสริมใหม้ ีแหล่งเรียนรู้ บทบาทและหนา้ ที่ 1. จัดให้มีแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลาย ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา ให้ พอเพียงเพือ่ สนับสนนุ การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองกับการจดั กระบวนการเรียนรู้ 2. จัดระบบแหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียนให้เอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น พัฒนาห้องสมุดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องดนตรี ห้อง คอมพิวเตอร์ ห้องพยาบาล ห้องศนู ย์วชิ าการ สวนสุขภาพ สวนหนังสือ เปน็ ต้น 3. จัดระบบข้อมูลแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้ ของผู้เรียน ของสถานศึกษาของตนเอง 4. ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนได้ใช้แหล่งเรียนรู้ ท้ังในและนอกสถานศึกษา เพ่ือ พัฒนาการเรียนรู้ และ นิเทศ กากับติดตาม ประเมินและปรบั ปรงุ อย่างตอ่ เน่ือง 5. สง่ เสรมิ ให้ครู และผู้เรยี นใช้แหลง่ เรยี นรู้ท้ังภายในและภายนอก 9. การนิเทศการศกึ ษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. สร้างความตระหนักให้แก่ครู และผู้เกี่ยวข้องให้เข้าใจกระบวนการนิเทศภายในว่า เป็นกระบวนการทางานร่วมกันท่ีใช้เหตุผลการนิเทศ เป็นการพัฒนาปรับปรุงวิธีการทางาน ของแต่ละบุคคล ให้มีคณุ ภาพการนิเทศเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการบริหาร เพ่ือให้ทุกคน
8 เกิดความเชื่อมั่นว่าได้ปฏิบัติถูกต้อง ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน และตัวครู เอง 2. จัดการนเิ ทศภายในสถานศึกษาให้มีคณุ ภาพทั่วถึง และต่อเนื่องเป็นระบบและ กระบวนการ 3. จัดระบบนิเทศภายในสถานศึกษาให้เชื่อมโยงกับระบบนิเทศการศึกษาของ สานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษา 10. การแนะแนว บทบาทและหนา้ ที่ 1. กาหนดนโยบายการจัดการศึกษา ท่ีมีการแนะแนวเป็นองค์ประกอบสาคัญ โดยให้ทุกคนในสถานศึกษาตระหนักถึงการมีสว่ นร่วมในกระบวนการแนะแนว และการดูแล ช่วยเหลือ 2. จัดระบบงานและโครงสร้างองค์กรแนะแนว และดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ สถานศึกษาให้ชดั เจน 3. สร้างความตระหนักให้ครูทุกคนเห็นคุณค่าของการแนะแนว และดูแลช่วยเหลือ นกั เรียน 4. ส่งเสริมและพัฒนาให้ครูได้รับความรู้เพ่ิมเตมิ เรื่องจิตวิทยาและการแนะแนวและ ดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อให้สามารถบูรณาการในการจัดการเรียนรู้และเชื่อมโยงสู่การ ดารงชีวิตประจาวนั 5. คัดเลือกบุคลากรท่ีมีความรู้ ความสามารถและบุคลิกภาพท่ีเหมาะสม ทาหน้าท่ี ครแู นะแนว ครทู ี่ปรึกษา ครปู ระจาชนั้ และคณะอนุกรรมการแนะแนว 6. ดูแล กากับ นิเทศ ติดตามและสนับสนุนการดาเนินงานแนะแนว และดูแล ช่วยเหลือนกั เรยี นอย่างเปน็ ระบบ 7. สง่ เสรมิ ความร่วมมือ และความเข้าใจอนั ดรี ะหว่างครู ผู้ปกครอง และชมุ ชน 8. ประสานงานด้านการแนะแนวระหว่างสถานศึกษา องค์กร ภาครัฐและเอกชน บา้ น ศาสนสถาน ชุมชนในลกั ษณะเครอื ข่ายการแนะแนว 9. เช่อื มโยงระบบแนะแนว และระบบดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน
9 11. การพฒั นาระบบประกนั คณุ ภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. กาหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2. จัดทาแผนสถานศึกษาท่มี ุ่งเนน้ คุณภาพการศึกษา (แผนกลยุทธ์/แผนยุทธศาสตร์) 3. จดั ทาระบบบริหารและสารสนเทศ 4. ดาเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษาในการดาเนินโครงการ/กิจกรรม สถานศึกษาตอ้ ง สรา้ งระบบ การทางานที่เขม้ แขง็ เน้นการมีสว่ นร่วม และวงจรการพฒั นาคุณภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle) หรือทร่ี ู้จักกนั ว่าวงจร PDCA 5. ตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยการดาเนินการอย่างจริงจังต่อเนือ่ ง ดว้ ยการสนบั สนนุ ให้ครู ผู้ปกครองและชมุ ชนเขา้ มามีสว่ นร่วม 6. ประเมินคณุ ภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานท่ีกาหนด เพ่อื รองรับ การประเมินคุณภาพภายนอก 7. จัดทารายงานคุณภาพการศึกษาประจาปี (SAR) และสรุปรายงานประจาปี โดย ความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด และ เผยแพร่ต่อสาธารณชน 12. การส่งเสริมชมุ ชนใหม้ ีความเขม้ แข็งทางวชิ าการ บทบาทและหนา้ ที่ 1. จัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน ศาสนา สถานประกอบการและ สถาบนั อื่น 2. สง่ เสรมิ ความเข้มแข็งของชุมชน โดยการจัดกระบวนการเรียนรภู้ ายในชุมชน 3. ส่งเสริมให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ขา่ วสารและเลอื กสรรภูมิปญั ญา วิทยาการต่างๆ 4. พัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการรวมท้ังหาวิธีการ สนบั สนนุ ให้มีการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ระหวา่ งชมุ ชน
10 13. การประสานความรว่ มมือในการพัฒนาวชิ าการกบั สถานศกึ ษา และองค์กรอ่นื บทบาทและหนา้ ที่ 1. ระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษา ตลอดจนวิทยากรภายนอกและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้าง พัฒ นาการของนักเรียนทุกด้าน รวมทั้งสืบสานจารีตประเพณี ศิลปวฒั นธรรมท้องถิน่ 2. เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับ องค์กรท้ังภาครัฐ และเอกชน เพ่ือให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการของชุมชน เพื่อให้ สถานศึกษาเปน็ แหล่งวิทยาการของชุมชน และมีส่วนในการพฒั นาชมุ ชนและทอ้ งถิน่ 3. ให้บริการด้านวิชาการท่ีสามารถเช่ือมโยงหรอื แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับแหล่ง วิชาการในทอ่ี น่ื ๆ 4. จัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับ ศิษย์เก่า การประชุม ผู้ปกครองนักเรยี น การปฏิบตั ิงานร่วมกับชุมชน การร่วมกิจกรรมกับ สถาบนั การศึกษาอ่นื เป็นต้น 14. การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการ และสถาบนั อ่นื ที่จัดการศกึ ษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถาน ประกอบการและสถาบัน สังคมอ่ืนในเร่ืองเกี่ยวกับสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษา 2. จัดให้มีการสร้างความรู้ความเข้าใจ การเพิ่มความพร้อมให้กับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอ่ืน ท่ีร่วมจัด การศึกษา 3. ร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กร เอกชนองคก์ รวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคม อ่นื ที่รว่ มจดั การศึกษา และใช้ทรัพยากรรว่ มกนั ให้เกิดประโยชนส์ งู สุด
11 4. ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ระหว่างสถานศึกษากับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบนั สงั คมอน่ื 5. ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนาสถานประกอบการและสถาบันสังคมอ่ืน ได้รับความช่วยเหลือทางด้าน วิชาการตามความ เหมาะสมและจาเป็น 6. ส่งเสริม และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ เพ่ือการเรียนรู้ ตลอดชวี ิตอย่างมีประสทิ ธภิ าพ 15. การจัดทาระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกบั งานด้านวิชาการของสถานศกึ ษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. ศึกษาและวิเคราะห์ระเบียบ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของ สถานศึกษาเพ่อื ให้ ผู้ที่ เกีย่ วขอ้ งรบั รู้ และถอื ปฏิบตั ิเป็นแนวเดียวกนั 2. จัดระเบียบ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา เพ่ือให้ผู้ท่ี เก่ยี วข้องรบั รู้ และถอื ปฏิบตั ิเป็นแนวเดียวกัน 3. ตรวจสอบร่างระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา และแก้ไขปรับปรงุ 4. นาระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษาไปสู่การ ปฏิบัติ 5. ตรวจสอบ และประเมินผล การใช้ระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้าน วิชาการของสถานศึกษาและนาไปแก้ไขปรับปรุง ให้เหมาะสมต่อไป 16. การคดั เลือกหนังสือ แบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศกึ ษา บทบาทและหนา้ ที่ 1. ศึกษา วิเคราะห์ คัดเลือกหนังสือเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ท่ีมีคุณภาพ สอดคล้องกบั หลักสูตรสถานศึกษา เพอ่ื เปน็ หนังสอื แบบเรียนใชใ้ นการจัดการเรียนการสอน 2. จัดทาหนังสือเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์ หนังสืออ่านประกอบ แบบฝึกหัด ใบงาน ใบความรู้ เพอ่ื ใช้ประกอบการเรียนการสอน 3. ตรวจพิจารณาคุณภาพ หนังสือเรียนเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์หนังสือ อา่ นประกอบ แบบฝึกหัด ใบงาน ใบความรู้ เพอ่ื ใช้ประกอบการเรียนการสอน
12 17. การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา บทบาทและหนา้ ที่ 1.จัดให้มีการร่วมกันกาหนดนโยบาย วางแผนในเร่ืองการจัดหาและพัฒนาส่ือการ เรียนรแู้ ละเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา 2. พัฒนาบุคลากรใสถานศึกษาในเร่ืองเกี่ยวกับการพัฒนาส่ือการเรียนรู้ และ เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาพร้อมท้ังให้มีการจัดต้ังเครือข่ายทางวิชาการ ชมรมวิชาการเพื่อ เป็นแหล่งการเรียนรู้ 3. พัฒนาห้องสมุดของสถานศึกษา ให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา และ ชุมชน 4. นเิ ทศ ตดิ ตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของบคุ ลากรในการจัดหา ผลติ ใช้ และพัฒนาส่อื และเทคโนโลยีทางการศึกษา ด้านงบประมาณขอบขา่ ยของงานประกอบดว้ ย รายจ่ายตามงบประมาณ จาแนกออกเป็น 2 ลักษณะ 1. รายจ่ายของสว่ นราชการและรัฐวสิ าหกิจ - งบบุคลากร - งบดาเนินงาน - งบลงทุน - งบเงินอุดหนนุ - งบร่ายจ่ายอ่นื 2. รายจ่ายงบกลาง หมายถึง รายจ่ายที่ตั้งไว้เพอ่ื จดั สรรให้สว่ นราชการและ รฐั วสิ าหกิจโดยทว่ั ไปใช้จ่ายตามรายการดงั ตอ่ ไปน้ี 3. เงินนอกงบประมาณ 1. เงินรายได้สถานศึกษา 2. เงินภาษหี กั ณ ทจ่ี ่าย 3. เงินลูกเสือ เนตรนารี 4. เงินยวุ กาชาด 5. เงินประกันสัญญา 6. เงินบรจิ าคทีม่ ีวัตถุประสงค์
13 4. งานพัสดุ 5. สวสั ดิการและสิทธิประโยชน์ 6. การเบิกค่าพาหนะ 7. ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม 8. ค่ารักษาพยาบาล 9. การศึกษาบุตร 10. ค่าเช่าบา้ น 11. กองทนุ บาเหน็จบานาญขา้ ราชการ (กบข.) ด้านบุคลากรมีขอบขา่ ยและภารกิจดงั นี้ วางแผนอัตรากาลงั /การกาหนดตาแหนง่ มหี น้าท่ี 1. จดั ทาแผนงาน/โครงการ แผนปฏิบัตงิ านประจาปีและปฏิทนิ ปฏิบัตงิ าน 2. จัดทาแผนงานอตั รากาลังครู / การกาหนดตาแหนง่ และความต้องการครูใน สาขาทีโ่ รงเรียนมีความต้องการ 3. จดั ทารายงานอัตรากาลังครตู ่อหน่วยงานต้นสงั กัด การสรรหาและบรรจแุ ต่งตง้ั มีหน้าท่ี 1. วางแผนดาเนนิ การสรรหาและเลอื กสรรและกาหนดรายละเอยี ดแผนปฏิบตั ิงาน 2. กาหนดรายละเอียดเกย่ี วกับการสรรหาการเลือกสรรคุณสมบัติของบุคคลท่รี บั สมคั ร 3. จัดทาประกาศรบั สมัคร 4. รับสมัคร 5. การตรวจสอบคณุ สมบตั ิผู้สมัคร 6. ประกาศรายชือ่ ผู้มีสทิ ธริ ับการประเมิน 7. แต่งต้ังคณะกรรมการดาเนินการสรรหาและเลือกสรร 8. สอบคัดเลอื ก 9. ประกาศรายชือ่ ผู้ผ่านการเลอื กสรร 10. การเรียกผู้ที่ผ่านการคัดเลอื กมารายงานตวั 11. จดั ทารายต่อหน่วยงานต้นสงั กดั
14 การพฒั นาบคุ ลากร มหี น้าท่ี 1. จดั ทาแผนงาน/โครงการ/แผนปฏิบตั กิ ารประจาปี 2. สารวจความต้องการในการพัฒนาครแู ละบุคลากรในโรงเรยี น 3. จัดทาแผนพฒั นาตนเองของครแู ละบุคลากรในโรงเรยี น 4. สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ให้ครแู ละบคุ ลากรไดร้ บั การพัฒนา 5. จดั ทาแฟามบคุ ลากรในโรงเรยี น 6. ตดิ ตาม ประเมินผล สรุปรายงานผลการปฏิบัติงานเสนอผู้อานวยการ 7. งานอน่ื ๆ ทไ่ี ด้รับมอบหมาย การเลอ่ื นข้นั เงนิ เดือน มีหน้าท่ี 1. จัดทาแผนงาน/โครงการ/แผนปฏิบัตกิ ารประจาปี 2. นเิ ทศ ตดิ ตามผลการปฏิบตั งิ านของครแู ละบุคลากรในโรงเรยี น 3. ประชมุ คณะกรรมการในการพจิ ารณาเลอ่ื นขนั้ เงินเดือนประจาปี 4. จัดทาบญั ชีผู้ท่ไี ด้รบั การพิจารณาเลื่อนขน้ั ประจาปีโดยยึดหลกั ความโปร่ งใส คณุ ธรรมจริยธรรมและการปฏิบัตงิ านท่รี ับผิดชอบ 5. แต่งตั้งผู้ทีไ่ ด้รบั การเล่อื นข้ันเงินเดอื นรายงานตอ่ ตน้ สังกดั เครื่องราชอิสริยาภรณ์ มีหน้าท่ี 1. จัดรวบรวมเอกสารในการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 2. สารวจความต้องการขอพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ของคณะครแู ละ บคุ ลากร 3. สง่ เสรมิ และสนับสนนุ ขอพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ของคณะครแู ละ บคุ ลากรในโรงเรียน 4. จดั ทาแฟามข้อมลู การไดร้ ับพระราชทานเครือ่ งราชอสิ รยิ าภรณ์ของคณะครูและ บุคลากรในโรงเรียน วนิ ยั และการรักษาวินัย มีหน้าท่ี 1. จัดรวบรวมเอกสารเกย่ี ววินยั และการรกั ษาวินยั ของขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากร ในโรงเรียน
15 2. จัดทาแฟามข้อมูลเกีย่ วกับการทาผิดเกี่ยวกับวินยั ของข้าราชการครูและบุคลากร ในโรงเรียน สวัสดิการครู มหี น้าท่ี 1.วางแผนดาเนนิ งานเกี่ยวกบั สวสั ดกิ ารของครูและบคุ ลากรในโรงเรียน 2. มอบของขวญั เปน็ กาลงั ใจในวันสาคัญต่างๆ วันเกิด แสดงความยินดีท่ผี ่านการ ประเมินครูชานาญการพิเศษ ของครูและบุคลากรในโรงเรยี น 3. ซื้อของเยี่ยมไขเ้ มื่อเจ็บปว่ ยหรอื นอนพกั รักษาตัวในโรงพยาบาล สามะโนนักเรียน/รับนกั เรียน มีหน้าท่ี 1. วางแผนในการจัดทาสามะโนนกั เรยี น 2. สามะโนนักเรยี นในเขตหมู่ 4 , 5 และหมู่ 6 ซงึ่ เป็นเขตบริการของโรงเรียน 3. จดั ทาเอกสารการรับสมัครนกั เรยี น เด็กเลก็ ชั้นอนบุ าล 1 ประถมศึกษาปีท่ี 1 และช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 4. เปิดรับสมคั รนักเรียน เดก็ เลก็ ช้ันอนบุ าล 1 ประถมศึกษาปีที่ 1 และช้ัน มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 5. จดั ทาแฟามนักเรยี น เด็กเลก็ ชั้นอนุบาล 1 ประถมศึกษาปีที่ 1 และชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 6. สรปุ การจัดทาสามะโนนักเรยี นรายงานหน่วยงานตน้ สังกัด การปฏิบัติราชการของขา้ ราชการครู 1. การลา การลาแบง่ ออกเปน็ 9 ประเภท คอื 1. การลาป่วย 2. การลาคลอดบตุ ร 3. การลากจิ สว่ นตัว 4. การลาพกั ผ่อน 5. การลาอปุ สมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮจั ย์ 6. การลาเข้ารบั การตรวจเลือกหรือเข้ารบั การเตรียมพล 7. การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบตั ิการวิจัย
16 8. การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ 9. การลาติดตามคู่สมรส วนิ ยั และการดาเนินการทางวนิ ยั การควบคมุ ความประพฤตขิ องคนในองคก์ รให้เปน็ ไปตามแบบแผนทีพ่ งึ ประสงค์ วินัยข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา : ขอ้ บญั ญัติท่กี าหนดเป็นข้อห้ามและ ขอ้ ปฏิบตั ิตามหมวด 6 แห่งพระราชบัญญตั ริ ะเบียบขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการ ศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิม่ เติมฉบบั ท่ี 2 พ.ศ. 2551 โทษทางวินัย มี 5 สถาน คอื วินัยไม่รา้ ยแรง มีดงั นี้ 1. ภาคทัณฑ์ 2. ตัดเงินเดอื น 3. ลดข้ันเงินเดอื น วินยั ร้ายแรง มีดังนี้ 4. ปลดออก 5. ไล่ออก การวา่ กลา่ วตักเตอื นหรือการทาทณั ฑ์บนไม่ถอื ว่าเป็นโทษทางวินยั ใช้ในกรณีทเ่ี ปน็ ความผิด เลก็ นอ้ ยและมีเหตุอันควรงดโทษ การว่ากล่าวตักเตือนไม่ต้องทาเป็นหนงั สือ แต่การทาทัณฑ์บนตอ้ งทาเปน็ หนงั สอื (มาตรา 100 วรรคสอง) การเลอ่ื นข้นั เงนิ เดือน ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจะได้รับการพิจารณาเลอ่ื นข้ันเงินเดอื นใน แต่ละคร้ังต้องอยู่ในเกณฑ์ ดังน้ี 1. ในครึ่งปีทีแ่ ลว้ มามีผลการปฏิบัตงิ าน ความประพฤติในการรกั ษาวนิ ัย คณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพอยู่ในเกณฑ์ทีส่ มควรได้เลอ่ื นข้ันเงินเดอื น 2. ในครึ่งปที แ่ี ล้วมาจนถึงวันออกคาสง่ั เล่ือนข้ันเงินเดอื นไม่ถูกลงโทษทางวินัยทีห่ นัก กว่าโทษ ภาคทัณฑ์ หรือถูกลงโทษในคดอี าญาให้ลงโทษในความผิดทเ่ี ก่ยี วกบั การปฏิบตั ิ หน้าทร่ี าชการ หรือ ความผิดท่ที าให้เสื่อมเสียเกยี รติศกั ดิ์ของตาแหนง่ หนา้ ท่รี าชการของตน ซึง่ ไม่ไช่ความผิดทไ่ี ด้กระทา โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
17 3. ในครึ่งปที แ่ี ล้วมาต้องไม่ถูกส่ังพกั ราชการเกินกว่าสองเดือน 4. ในครงึ่ ปีท่แี ล้วมาตอ้ งไม่ขาดราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร 5. ในครึง่ ปที แ่ี ล้วมาไดร้ ับการบรรจุเขา้ รบั ราชการมาแลว้ เปน็ เวลาไม่น้อยกว่าสี่ เดือน 6. ในครึ่งปที แ่ี ล้วมาถ้าเปน็ ผู้ได้รับอนญุ าตไปศึกษาในประเทศฝึกอบรมและดูงาน ณ ตา่ งประเทศต้องได้ปฏิบัตหิ น้าทร่ี าชการในครึง่ ปีทแ่ี ล้วมาเปน็ เวลาไม่น้อยกว่าสเ่ี ดือน 7. ในครึ่งปที ่แี ล้วมาตอ้ งไม่ลาหรอื มาทางานสายเกินจานวนครงั้ ที่หวั หน้าส่วน ราชการกาหนด 8. ในครึ่งปที แ่ี ล้วมาต้องมีเวลาปฏิบัติราชการหกเดือนโดยมีวันลาไม่เกินยีส่ ิบสาม วนั แตไ่ ม่รวมวันลา ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) ลาอปุ สมบทหรือลาไปประกอบพธิ ฮี ัจย์ 2) ลาคลอดบุตรไม่เกินเก้าสบิ วนั 3) ลาปว่ ยซึ่งจาเป็นตอ้ งรักษาตัวเป็นเวลานานไม่ว่าคราวเดยี วหรอื หลายคราว รวมกันไม่เกินหกสิบวนั ทาการ 4) ลาปว่ ยเพราะประสบอนั ตรายในขณะปฏิบัตริ าชการตามหนา้ ที่หรือในขณะ เดินทางไป หรือกลับจากการปฏิบตั ริ าชการตามหนา้ ที่ 5) ลาพกั ผ่อน 6) ลาเขา้ รับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล 7) ลาไปปฏิบัติงานในองคก์ ารระหว่างประเทศ การฝึกอบรมและลาศึกษาตอ่ การฝึกอบรมหมายความว่า การเพิ่มพูนความรู้ความชานาญ หรือประสบการณ์ ดว้ ยการเรียน หรอื การวิจัยตามหลกั สูตรของการฝึกอบรม หรือการสัมมนาอบรมเชิง ปฏิบตั ิการ การดาเนินงานตาม โครงการแลกเปล่ียนกบั ตา่ งประเทศ การไปเสนอผลงาน ทางวิชาการ และการประชุมเชิงปฏิบัติการ ทงั้ นโี้ ดยมิไดม้ ีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือให้ไดม้ าซึ่ง ปรญิ ญาหรอื ประกาศนยี บตั รวิชาชีพท่ี ก.พ.รับรอง และหมายความรวมถงึ การฝึกฝนภาษา และการรบั คาแนะนากอ่ นฝึกอบรมหรอื การดูงานที่เปน็ สว่ นหนึง่ ของการฝึกอบรมหรือต่อ จากการฝึกอบรมนั้นดว้ ย
18 การดงู าน หมายความว่า การเพิ่มพนู ความรู้และประสบการณ์ดว้ ยการ สังเกตการณ์ และการแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ (การดงู านมีระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ตาม หลักสตู รหรือโครงการ หรือแผนการดูงานในต่างประเทศ หากมีระยะเวลาเกนิ กาหนดให้ ดาเนินการเป็นการฝึกอบรม) การลาศึกษาต่อ หมายความว่า การเพิ่มพูนความรู้ด้วยการเรียนหรอื การวิจยั ตาม หลักสตู รของสถาบัน การศกึ ษา หรือสถาบันวชิ าชีพ เพ่อื ให้ไดม้ าซึง่ ปริญญาหรือ ประกาศนียบตั รวิชาชีพท่ี ก.พ.รับรองและหมายความรวมถึงการฝึกฝนภาษาและการไดร้ ับ คาแนะนากอ่ นเข้าศกึ ษาและการฝึกอบรม หรือการดูงานท่ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของการศึกษา หรือตอ่ จากการศึกษานั้นดว้ ย การออกจากราชการของขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาออกจากราชการเมื่อ(มาตรา 107พ.ร.บ. ระเบยี บขา้ ราชการครฯู ) 1) ตาย 2) พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยบาเหน็จบานาญข้าราชการ 3) ลาออกจากราชการและได้รับอนญุ าตให้ลาออก 4) ถกู สง่ั ให้ออก 5) ถูกสงั่ ลงโทษปลดออกหรือไลอ่ อก 6) ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เว้นแต่ได้รับแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งอ่ืนท่ี ไม่ต้องมี ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพ ดา้ นการบริหารงานทว่ั ไปมีขอบขา่ ยและภารกิจดังนี้ งานสานกั งานกลุ่มบริหารทว่ั ไป 1. งานสารบรรณกลุม่ บริหารบริหารท่วั ไป มีหน้าทร่ี บั ผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1.1 จัดทาแผนพัฒนางาน/โครงการ แผนปฏิบัติราชการและปฏิทินงานเสนอ รองกลุ่มบริหารทวั่ ไปเพอ่ื จดั สรรงบประมาณ 1.2 จดั หา จัดซือ้ ทรัพยากรทจ่ี าเปน็ ในสานกั งานกลุ่มบรหิ ารท่ัวไป 1.3 จัดทาทะเบียนรับ – ส่ง หนังสือราชการ โดยแยกประเภทของเอกสาร และหนังสือของสานักงาน ให้เป็นหมวดหมู่มีระบบการเก็บเอกสารท่ีสามารถค้นหาเรื่องได้ อย่างรวดเรว็
19 1.4 โต้ตอบหนังสือราชการ ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร หลักฐาน ให้ถูกต้องตามระเบียบของงานสารบรรณอย่างรวดเรว็ และทนั เวลา 1.5 จัดส่งหนังสือราชการ เอกสารของกลุ่มบริหารทัว่ ไป ให้งานท่รี บั ผิดชอบ และติดตามเรื่องเก็บคืนจัดเขา้ แฟามเรอ่ื ง 1.6 จัดพิมพ์เอกสารและจัดถ่ายเอกสารต่าง ๆ ของกลุ่มบริหารท่ัวไป เช่น บนั ทกึ ขอ้ ความ แบบสารวจแบบสอบถาม แบบประเมินผลงานระเบียบและคาสงั่ 1.7 ประสานงานด้านข้อมูลและร่วมมือกบั กลุ่มบริหารงานต่าง ๆ ในโรงเรียน เพอ่ื ให้เกิดความเข้าใจและรว่ มมืออันดตี อ่ กนั ในการดาเนนิ งานตามแผน 1.8 ประเมินผลและสรุปรายงานผลปฏิบตั ริ าชการประจาปี 1.9 ปฏิบตั ิหนา้ ที่อืน่ ๆ ตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย 2. งานพสั ดุกลุม่ บริหารท่ัวไป 2.1 ประสานงานในกลุ่มงานบริหารท่ัวไป วางแผน จัดซื้อ จัดหาวัสดุ ครุภัณฑ์ท่ีจาเป็นในการซ่อมแซมอาคารสถานท่ี สาธารณูปโภคและอุปกรณ์อานวยความ สะดวกทช่ี ารดุ โดยประสานงานกับพสั ดุโรงเรยี น 2.2 จัดทาบัญชีควบคุมการเบิกจ่ายวัสดุ ยืมวัสดุให้ถูกต้องมีระบบและเป็น ปัจจุบนั 2.3 จัดทาระเบียบ แนวปฏิบัติ แบบรายงาน แบบฟอร์มตา่ ง ๆ ท่ีจาเป็นใน การให้บริการปรับซ่อม 2.4 ติดตามการปรับซ่อมและบารุงรักษาสภาพวัสดุ ครุภัณฑ์ให้มีอายุการ ใช้งานยาวนาน 2.5 ประเมิน สรุปผลการดาเนินงานประจาปีการศึกษาและรายงานต่อ ผู้เก่ยี วข้อง 2.6 ปฏิบตั ิหนา้ ที่อืน่ ๆ ตามที่ไดร้ ับมอบหมาย 3. งานสารสนเทศกลุ่มบริหารทว่ั ไป 3.1 วางแผนงาน/โครงการ และจัดทรัพยากรท่ีใช้ในงานสารสนเทศของกลุ่ม บรหิ ารทว่ั ไป
20 3.2 ประสานงานด้านความร่วมมือเกี่ยวกับข้อมูลกับงานต่าง ๆ เพ่ือ รวบรวมและจัดระบบข้อมูลสารสนเทศท่ีถูกต้องเหมาะสมและทันสมัยท่ีจะบง่ บอกถึงสภาพ ปญั หาความต้องการ 3.3 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของโรงเรียน เกณฑ์การประเมิน มาตรฐานแนวทางการปฏิรปู การศึกษา 3.4 จัดทาเอกสารเผยแพร่ข้อมูลให้กลุ่มงาน ได้ใช้ประโยชน์ในการวางแผน แก้ปัญหาหรือพัฒนางานในกลมุ่ งานตอ่ ไป 3.5 ร่วมมือกับสารสนเทศของโรงเรียน เผยแพร่งานของกลุ่มบริหารทั่วไป 3.6 ประเมิน สรุป รายงานผลการดาเนินงานประจาปีการศึกษา 3.7 ปฏิบัติหนา้ ที่อื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย 4. งานแผนงานกล่มุ บริหารทัว่ ไป 4.1 ประสานงานจัดทาแผนพฒั นางาน แผนปฏิบัติราชการ/โครงการ ปฏิทิน ปฏิบตั ิงานกลุ่มบรหิ ารท่ัวไป เสนอผู้บรหิ ารเพือ่ จดั สรรงบประมาณ 4.2 พิจารณาจัดแผนงาน/โครงการของกลุ่มบริหารท่ัวไป ให้สอดคล้องกับ นโยบายของโรงเรยี นและเกณฑ์ประเมินมาตรฐานและการปฏิรูปการศึกษา 4.3 กากับ ตรวจสอบดูแลงาน/โครงการ ให้เกิดการดาเนินงานให้เป็นไป ตามแผน 4.4 ประสานงานกับแผนงานของโรงเรียนและกลุ่มงานต่าง ๆ เพ่ือนาเอา เทคโนโลยีมาใช้ให้มีประสทิ ธภิ าพ 4.5 ประเมิน สรปุ รายงานผลการดาเนินงานตามแผนงาน/โครงการ 4.6 ปฏิบตั ิงานอ่นื ๆ ทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
21 5. งานอาคารสถานที่และสภาพแวดลอ้ ม มีหน้าท่รี บั ผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1. วางแผนกาหนดงาน /โครงการงบประมาณแผนปฏิบัติงานด้านอาคาร สถานที่และสภาพแวดลอ้ มตลอดจนการตดิ ตามการปฏิบตั ิงานของนักการ แม่บ้านทาความ สะอาด 2. วางแผนร่วมกับแผนงานโรงเรียน พัสดุโรงเรียน เพ่ือเสนอของบประมาณ จัดสร้างอาคารเรียน และอาคารประกอบ เช่น ห้องเรียน ห้องบริการ ห้องพิเศษให้ เพยี งพอ กบั การใช้บริการของโรงเรยี น 3. จัดซื้อ จัดหาโต๊ะ เก้าอ้ี อุปกรณ์การสอน อุปกรณ์ทาความสะอาด ห้องเรยี น ห้องบรกิ ารห้องพิเศษ ให้เพยี งพอและอยู่ในสภาพทด่ี อี ยู่ตลอดเวลา 4. จัดเครอ่ื งมือรักษาความปลอดภัยในอาคาร ติดต้ังในท่ีท่ีใช้งานได้สะดวก ใช้งานได้ทนั ที 5. จัดบรรยากาศภายในอาคารเรียน ตกแต่งอย่างสวยงาม เป็นระเบียบ ประตูหน้าต่างอยู่ในสภาพดี ดูแลสีอาคารต่าง ๆให้เรียบร้อย มีปาายบอกอาคารและห้อง ตา่ ง ๆ 6. ประสานงานกับพัสดุโรงเรียนในการซ่อมแซมอาคารสถานท่ี ครุภัณฑ์ โตะ๊ เกา้ อี้ และอื่น ๆให้อยู่ในสภาพทเ่ี รียบรอ้ ย 7. ดูแลความสะอาดท่ัวไปของอาคารเรียน ห้องน้า ห้องส้วม ให้สะอาด ปราศจากกล่นิ รบกวน 8. ติดตาม ดูแลให้คาแนะนาในการใช้อาคารสถานท่ี โดยการอบรม นกั เรียนในดา้ นการดแู ลรักษาทรพั ย์สนิ สมบัติของโรงเรยี น 9. ประสานงานกับพัสดุโรงเรียนในการจาหน่ายพัสดุเส่ือมสภาพออกจาก บญั ชีพสั ดุ 10. ประสานงานกับหัวหน้าอาคาร โดยนาข้อเสนอแนะ มาปรับปรุงงานให้ ทนั เหตกุ ารณ์และความตอ้ งการของบคุ ลากรในโรงเรยี น 11. อานวยความสะดวกในการใช้อาคารสถานท่ีแก่บุคคลภายนอก รวมทั้ง วัสดอุ ืน่ ๆ จดั ทาสถิติการให้บรกิ ารและรวบรวมขอ้ มลู 12. ประเมิน สรุปและรายงานผลการดาเนินงานตามแผนงาน/โครงการ ประจาปีการศึกษา
22 13. ปฏิบตั งิ านอ่นื ๆ ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย 6. งานสาธารณปู โภค มีหน้าทร่ี บั ผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1. จัดทาแผนงานพัฒนางาน/โครงการเพื่อเสนอต่อผู้บริหาร เพ่ือจัดสรร งบประมาณ 2. จดั ซอื้ จัดหา สาธารณูปโภคในโรงเรยี นให้เพยี งพออยู่ตลอดเวลา 3. กาหนดขอ้ ปฏิบัติและตดิ ตามการใช้น้า ใช้ไฟฟาาให้เป็นไปอย่างประหยดั 4. จัดบริการและติดตามการใช้สาธารณูปโภคให้เป็นไปอย่างประหยัดและ คมุ้ ค่า 5. มีมาตรการตรวจสอบคุณภาพของน้าด่ืม น้าใช้ เคร่ืองกรองน้า หม้อ แปลงไฟฟาา ตโู้ ทรศัพทแ์ ละสาธารณูปโภคอน่ื ๆ ให้อยู่ในสภาพทไ่ี ด้มาตรฐาน 6. จัดทาปาา ยคาขวัญ คาเตือน เกย่ี วกับการใช้น้า ใช้ไฟฟาา และโทรศัพท์ 7. ร่วมมือกบั งานกิจกรรมนักเรียน อบรมนักเรียนเก่ียวกับการใช้ไฟฟาา ใช้ โทรศัพท์ 8. สารวจ รวบรวม ขอ้ มลู เกีย่ วกับสาธารณูปโภคที่ชารดุ 9. ซ่อมแซมสาธารณูปโภคท่ีชารุดให้อยู่ในสภาพท่ีดี และปลอดภัยอยู่ ตลอดเวลา 10. ประเมินผลและสรุปรายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนงาน/โครงการ 11. ปฏิบัติงานอน่ื ๆ ที่ไดร้ บั มอบหมาย 7. งานธุรการ และสารบรรณ มีหน้าทร่ี บั ผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1. รับ-ส่งเอกสาร ลงทะเบียนหนังสือเข้า – ออก จัดส่งหนังสือ เข้าหรือ เอกสารให้หน่วยงานหรอื บคุ คลท่เี ก่ยี วข้อง 2. จดั ทาคาสั่งและจดหมายเวียนเรือ่ งต่าง ๆ เพ่ือแจ้งให้กบั ครูและผู้เกี่ยวข้อง ได้รบั ทราบ 3. เก็บ หรือทาลายหนงั สอื เอกสารตา่ ง ๆตามระเบยี บงานสารบรรณ 4. รวบรวมเอกสาร หลักฐาน ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คาสั่ง และวิธี ปฏิบัติที่เกีย่ วขอ้ งให้เป็นปัจจุบนั อยู่เสมอ และเวียนให้ผู้ทเ่ี กย่ี วข้องทราบ 5. ร่างและพิมพ์หนังสือออก หนงั สือโตต้ อบถึงสว่ นราชการและหนว่ ยงานอน่ื
23 6. ตดิ ตามเอกสารของฝ่ายต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกบั ทางโรงเรียนและเก็บรวบรวม เพอ่ื ใช้เป็นขอ้ มลู ในการอา้ งองิ 7. ประสานงานการจัดส่งจดหมาย ไปรษณีย์ พัสดุและเอกสารต่าง ๆ ของ โรงเรยี น 8. เปน็ ทีป่ รึกษาของรองผู้อานวยการฝ่ายบรหิ ารทว่ั ไปในเร่อื งงานสารบรรณ 9. ควบคมุ การรบั – สง่ หนังสอื ของโรงเรยี น (E – Office) 10. บรกิ ารทางจดหมายและสิง่ ตพี ิมพ์ทม่ี ีมาถงึ โรงเรียน 11. จัดหนังสอื เขา้ แฟามเพ่อื ลงนาม 12. ปฏิบตั หิ น้าท่อี น่ื ๆ ตามที่ไดร้ ับมอบหมาย 8. งานยานพาหนะ มีหน้าท่รี บั ผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1. จัดทาแผนงาน / โครงการ เกี่ยวกับการจัดหา บารุงรักษา การ ให้บริการยานพาหนะแก่คณะครูและบุคลากรของโรงเรียนตลอดจนกาหนดงบประมาณ เสนอขออนุมตั ิ 2. กาหนดหน้าท่ีความรับผิดชอบ ให้ความรู้ พนักงานขับรถ ตลอดจน พิจารณา จัดและให้บรกิ ารพาหนะแก่บคุ ลากร 3. กากับ ติดตาม จัดทาข้อมูล สถิติ การใช้ และให้บริการยานพาหนะของ โรงเรยี น 4. กาหนดแผนตรวจสอบ ซ่อมบารุง เพื่อให้พาหนะใช้การได้ และปลอดภัย ตลอดเวลา ให้คาแนะนา เสนอผู้มีอานาจอนมุ ัติ 5. ประเมินสรุปผลการดาเนินงานประจาปี 6. ปฏิบัติหนา้ ทีอ่ ื่น ๆ ตามที่ผู้บังคบั บัญชามอบหมาย 9. งานประชาสมั พันธ์ มีหน้าทร่ี บั ผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1. กาหนดนโยบาย วางแผน งานโครงการ การดาเนินการประชาสัมพันธ์ให้ สอดคล้องกบั นโยบายและจดุ ประสงคข์ องโรงเรียน 2. ประสานงาน ร่วมมือกับกลุ่มสาระฯ และงานต่าง ๆ ของโรงเรียนในการ ดาเนินงานดา้ นประชาสัมพนั ธ์ 3. ตอ้ นรบั และบรกิ ารผู้มาเยีย่ มชมหรอื ดงู านโรงเรยี น
24 4. ต้อนรับและบริการผู้ปกครองหรือแขกผู้มาติดต่อกับนักเรียนและทาง โรงเรยี น 5. ประกาศข่าวสารของกลุ่มสาระฯ หรือข่าวทางราชการให้บุคลากรใน โรงเรยี นทราบ 6. ประสานงานดา้ นประชาสมั พันธ์ทั้งในและนอกโรงเรยี น 7. เป็นหน่วยงานหลักในการจัดพิธีการหรือพิธีกรในงานพิธีการต่าง ๆ ของ โรงเรยี น 8. เผยแพร่กจิ กรรมต่าง ๆ และชื่อเสียงของโรงเรยี นทางสื่อมวลชน 9. จัดทาเอกสาร – จุลสารประชาสัมพันธ์เพ่ือเผยแพร่ข่าวสาร รายงานผล การปฏิบัตงิ านและความเคลอ่ื นไหวของโรงเรยี นให้นักเรียนและบคุ ลากรท่ัวไปทราบ 10. รวบรวม สรุปผลและสถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์และจัดทา รายงานประจาปีของงานประชาสัมพนั ธ์ 11. งานเลขานุการการประชุมครโู รงเรียนบรมราชินีนาถราชวิทยาลยั 12. ปฏิบัติหนา้ ทีอ่ ื่น ๆ ตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย 10. งานพยาบาลและอนามัย มีหน้าท่รี ับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1. กาหนดนโยบาย วางแผนงานโครงการ การดาเนินงานของงานอนามัย โรงเรยี นให้สอดคล้องกับนโยบายและวัตถปุ ระสงคข์ องโรงเรียน 2. ประสานงานกับกลุ่มสาระการเรียนรู้และงานต่าง ๆ ของโรงเรียน ในการ ดาเนินงานดา้ นอนามัยโรงเรยี น 3. ควบคุม ดูแล ห้องพยาบาลให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ 4. จดั เครือ่ งมือ เคร่ืองใช้ และอุปกรณ์ในการปฐมพยาบาล รักษาพยาบาลให้ พร้อมและใช้การได้ทันที 5. จดั หายาและเวชภณั ฑ์ เพอ่ื ใช้ในการรกั ษาพยาบาลเบือ้ งตน้ 6. จัดปฐมพยาบาลนักเรียน ครู – อาจารย์ และคนงานภารโรงในกรณี เจ็บปว่ ย และนาสง่ โรงพยาบาลตามความจาเป็น 7. จัดบริการตรวจสุขภาพนักเรียน ครู – อาจารย์ นักการภารโรงและชุมชน ใกล้เคยี ง
25 8. จดั ทาบัตรสุขภาพนกั เรียน ทาสถิติ บันทึกสุขภาพ สถิตินา้ หนักและสว่ นสูง นกั เรียน 9. ติดต่อแพทย์หรือเจ้าหน้าท่ีอนามัยให้ภูมิคุ้มกันแก่บุคลากรของโรงเรียน หรือชุมชนใกลเ้ คียง 10. ตดิ ต่อประสานงานกับผู้ปกครองนักเรยี นในกรณีนกั เรยี นเจ็บปว่ ย 11. แนะนาผู้ป่วย ญาติ ประชาชนถึงการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากโรค ให้ ภูมิคุ้มกนั โรค 12. ให้คาแนะนาปรกึ ษาดา้ นสขุ ภาพนกั เรียน 13. ประสานงานกับครูแนะแนว ครูท่ีปรึกษาหรือครูผู้สอนเกี่ยวกับนักเรียนท่ี มีปญั หาด้านสุขภาพ 14. ให้ความร่วมมือด้านการปฐมพยาบาลแก่หน่วยงานอ่ืนหรือกิจกรรมของ โรงเรยี นตามควรแก่โอกาส 15. จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพอนามัย เช่น จัดนิทรรศการเกี่ยวกับสุขภาพ อนามัย จัดต้ังชมรม ชมุ ชน อาสาสมัครสาธารณสขุ 16. จัดทาสถิติ ข้อมูลทางด้านสุขภาพอนามัยและจัดทารายงานประจาภาค เรียน ประจาปีของงานอนามยั 17. ปฏิบัติหนา้ ที่อื่น ๆ ตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย 11. งานคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน มีหน้าท่ีรับผิดชอบในขอบข่าย ตอ่ ไปนี้ 1. รวบรวมประมวลวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลท่ีใช้ในการประชุม คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน 2. สนับสนุนข้อมู ล รับทราบห รือดาเนินก ารตาม มติท่ีประชุมของ คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน 3. ดาเนินงานด้านธุรการในการจัดประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน พื้นฐาน 4. จัดทารายงานการประชุมและแจ้งมติท่ีประชุมให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือทราบ ดาเนินการหรอื ถือปฏิบตั ิแลว้ แต่กรณี
26 5. ประสานการดาเนินงานตามมติการประชุมในเร่ืองการอนุมัติ อนุญาต สั่ง การ เร่งรัด การดาเนินการและรายงานผลการดาเนินการให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พ้ืนฐาน 6. ปฏิบัติหนา้ ทีอ่ ื่นๆ ตามที่ไดร้ ับมอบหมาย 12. งานชุมชนสัมพันธ์และบริการสาธารณะ มีหน้าท่ีรับผิดชอบในขอบข่าย ตอ่ ไปนี้ 1. วางแผนกาหนดงาน โครงการงบประมาณแผนปฏิบัติงานด้านชุมชน สัมพนั ธแ์ ละบริการสาธารณะตลอดจนการติดตามการปฏิบตั ิงาน 2. รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลของชุมชน เพ่ือนาไปใช้ในงานสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างชุมชนกับโรงเรียนและบรกิ ารสาธารณะ 3. ให้บริการชุมชนในด้านข่าวสาร สุขภาพอนามัย อาคารสถานท่ี วัสดุ ครภุ ัณฑ์ และวิชาการ 4. จัดกิจกรรมเพ่ือพัฒนาชุมชน เช่น การบริจาควัสดุ ส่ิงของ อุปโภคบริโภค ให้ความรู้และจดั นทิ รรศการ 5. การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ประเพณีไทย ศาสนา และงานท่เี กย่ี วกับชุมชน 6. สนับสนุนส่งเสริมให้มีการจัดต้ังองค์กรต่าง ๆ เพ่ือช่วยเหลือโรงเรียน เช่น สมาคมฯ มูลนิธิ 7. ประสานและให้บริการแก่คณะครู ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต่างๆท้ัง ภาครัฐและเอกชนในดา้ น อาคารสถานที่ วัสดุ ครุภัณฑ์ บคุ ลากร งบประมาณ 8. รวบรวมขอ้ มูล จัดทาสถิติ 9. ประเมินสรุป รายงาน ผลการการดาเนินงานตามแผนงาน/โครงการ ประจาปีการศึกษา 10. ปฏิบตั ิงานอ่นื ๆ ท่ไี ด้รับมอบหมาย 13. งานปอ้ งกนั อบุ ัติเหตแุ ละอัคคภี ยั มีหน้าท่รี ับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปน้ี 1. จัดทาแผนงาน / โครงการ เกี่ยวกับการให้ความรู้เกี่ยวกับการปาองกัน อุบัติเหตุและอคั คีภยั ของโรงเรียน
27 2. กาหนดแนวทางปฏิบัติในการปาองกันอุบัติเหตุและอัคคีภัย ให้ความรู้ นกั เรียน ครู และบุคลากร 3. กากับ ติดตาม จัดทาข้อมูล สถิติ ต่างๆ เกี่ยวกับการปาองกันอุบัติเหตุและ อัคคีภยั 4. กาหนดแผนตรวจสอบ ซ่อมบารุง เพ่ือให้อุปกรณ์ปาองกันอัคคีภัยใช้การได้ และปลอดภัยตลอดเวลา ให้คาแนะนา เสนอผู้มีอานาจอนุมัติ 5. ประเมินสรุปผลการดาเนินงานประจาปี 6. ปฏิบตั ิหนา้ ที่อืน่ ๆ ตามที่ผู้บังคบั บัญชามอบหมาย แนวคิด หลกั การและเหตุในการทานวตั กรรม การศึกษาขั้นพ้ืนฐานเกิดจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2540 ในมาตรา 43 วรรคหนง่ึ บัญญัติไว้ว่า บุคคลย่อมมีสิทธเิ สมอกันในการรับ การศึกษาข้ันพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีท่ีรัฐจะต้องจัดให้อย่างท่ัวถึงและมีคุณภาพโดยไม่ เก็บค่าใช้จ่าย (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน. 2548 : 1-2) จาก รัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงนาไปสู่การจัดทาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2 ) พ.ศ. 2545 ในมาตรา 39 60 และ 61 กาหนดให้มีการ บริหารและการจัดการศึกษาโดยยกระดับการศึกษาของชาติให้ได้มาตรฐาน และจัดการ ศึกษาได้อย่างมีคุณภาพให้ท่ัวถึง จึงได้บัญญัติให้มีการกระจายอานาจการศึกษาในการ บริหารวิชาการ การบริหารงบประมาณ การบริหารบุคคลและการบริหารงานทั่วไป ไปยัง สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาและสถานศึกษาในเขตพื้นท่ีการศึกษาโดยตรงสามารถจัด องค์กรและดาเนินการได้อย่างอิสระคล่องตัว รวดเร็ว ทาให้สถานศึกษาจัดหารายได้ ผลประโยชน์และระดมทรัพยากรมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษาได้มากข้ึน (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน. 2549 : 1) การบริหารงานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้บริหารงานตามมาตรา 39 แห่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ท่ี บัญญัติไว้ว่า ให้กระทรวงกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา 4 ด้าน ได้แก่ ดา้ นวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหาร งานบุคคลและด้านการบริหารท่ัวไป (สานัก นายกรัฐมนตรี. 2545 : 25)
28 งบประมาณเป็นปัจจัยสาคัญยิ่งต่อการบริหารงานขององค์กรเพราะการท่ีจะดาเนิน กิ จ ก ร ร ม ให้ ส า เร็ จ ได้ น้ั น จ า เป็ น ต้ อ ง ใช้ ท รั พ ย า ก ร ท่ี ห ล า ก ห ล า ย ม า ป ร ะ ก อ บ กั น ง า น งบประมาณเป็นตัวจัดหาและจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ที่จาเป็นไปสู่งาน/โครงการตา่ ง ๆ ของ องค์กร เพื่อให้สามารถทางานได้ตามหน้าท่ีตรงตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้อย่างมี ประสิทธิภาพ เหมาะสมตามความต้องการ งานงบประมาณจึงเปรียบเสมือนหัวใจของการ บริหารท่ีทาหน้าท่ีสูบฉีดทรัพยากรท่ีจาเป็นให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ในปัจจุบันปัญหาเกีย่ วกับ การบริหารงานงบประมาณปรากฏอยู่หลายลกั ษณะ และนบั วันจะขยายมากข้นึ ตามภารกิจ งาน ทาให้การบริหารงบประมาณตอ้ งประสบปัญหานานปั การจะทาอย่างไรให้การจ่าย เงินงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุดใช้เงินน้อยได้งานมาก ประหยัดเวลาและไม่ผิดระเบียบ กฎหมายทีเ่ กี่ยวขอ้ ง (สมศกั ด์ิ หลีคว้ น. 2546 : 1-2) การบริหารงานของสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดขอบข่าย การบริหารงบประมาณและการเงินสาหรับผู้บริหารได้ปฏิบัติในสถานศึกษาแต่สถานศึกษา ของแต่ละเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มักประสบปัญหาลักษณะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เจ้าหน้าท่ี ขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่มีทักษะและประสบการณ์ในการตรวจสอบตลอดจนไม่เห็น ความสาคัญจึงทาให้ขาดการปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่าเสมอ และเน่ืองจากครูปฏิบัติการ สอนเป็นส่วนใหญ่ต้องมีงานสอนและปฏิบัติงานอ่ืน ๆ มาก หากเป็นไปได้ควรจัดให้มี ตาแหน่งเจ้าหน้าท่ีการเงินและบัญชีโดยรับผู้ท่ีสาเร็จการศึกษาในสาขาวิชาท่ีเกี่ยวข้องกับ การเงินและบัญชีโดยตรง (ดวงเดือน กุลดี. 2547 : 47) และเมื่อมีการปรับปรงุ เปลี่ยนแปลง ระบบการบริหารงานการเงิน พ.ศ. 2544 ทาให้เจ้าหนา้ ที่ผู้ปฏิบตั ิงานดา้ นการเงินส่วนใหญ่มี ทกั ษะ ความชานาญ ความเขา้ ใจดาเนนิ งานยงั ไม่แม่นยา เมื่อนามาปฏิบัติท่ีสถานศึกษาจึง ไม่ถูกต้องตามระเบียบ รัฐได้นาระบบงบประมาณแบบแสดงแผนงาน (Programming Budget) มาใช้ร่วมกับงบประมาณแบบแสดงรายการซึ่งส่วนราชการต่าง ๆ ต้องเสนอแผนงาน หรือ โครงการท่ีจะดาเนินการพร้อมทั้งจานวนเงินท่ีต้องใช้จ่ายประกอบการของบประมาณ รายจ่ายประจาปีด้วยวิธีการจัดทางบประมาณก็มีการปรับปรุงและพัฒนาค้นหาวิธีการท่ี เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา(ณรงค์ สัจพันโรจน์.2541:1) ทาให้เจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานด้าน การเงินบางส่วนท่ีเข้ารับการอบรมความรู้ในเร่ืองการจัดทางบประมาณแบบใหม่ของต้น สังกัดใช้เวลาอบรมรับการถ่ายทอดความรู้อย่างจากัด ทาให้มีทักษะความชานาญ ความ เข้าใจในการดาเนินงาน จานวนหลักฐานทางการเงินและบัญชีมีเป็นจานวนมากการควบคุม
29 เอกสารทางการเงินยงั ไม่ชัดเจน และนามาปฏิบัติจึงมีบ้างท่ีไม่ถูกต้องตามระเบียบ (สมพงษ์ ยุบลนติ ย์. 2548 : 101) สภาพการบริหารงบประมาณของแต่ละหน่วยงาน สถานศึกษามีความแตกต่างกัน ท้ังน้ีอาจจะข้ึนอยู่กับขนาดของหน่วยงาน สถานศึกษาและความสามารถของผู้บริหาร ถ้าหน่วยงานหรือสถานศึกษาขนาดเล็กงานบริหารงบประมาณย่อมมีน้อยกว่า หน่วยงาน หรือโรงเรียนขนาดใหญ่หรือในหน่วยงาน สถานศึกษาท่ีมีบุคลากรจานวนมาก ทรัพย์สิน งบประมาณตลอดจนองค์ประกอบอ่ืน ๆ ก็มีมากข้ึน อีกทั้งยังมีวิธีการท่ีเป็นระบบและ ซับซ้อนมากข้ึน แต่ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน สถานศึกษาขนาดใดก็ตามผู้บริหารจะต้อง รับผิดชอบต่องานงบประมาณและการเงินของสถานศึกษาด้วยกันทั้งน้ัน ในการบริหาร งบประมาณ บุคคลท่ีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการช่วยให้การบริหารงบประมาณของ สถานศึกษา คือ ผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหารสถานศึกษา เจ้าหน้าท่ี และครูท่ีปฏิบัติงานใน การบริหารงบประมาณของหน่วยงานหรือโรงเรียน ซึ่งจะเป็นผู้จัดทาบัญชีงบประมาณ ตรวจสอบการใช้จ่ายของหน่วยงานหรือโรงเรียน ความสามารถในการบริหารงบประมาณก็ มีผลอย่างยิ่ง การบริหารงานงบประมาณและการเงินของหน่วยงานและสถานศึกษาขั้น พ้ืนฐานในสังกัด สานักงานศึกษาธิการจังหวัดน่าน มีปัญหาในการบริหาร คือ การ บริหารงานงบประมาณและการเงินในหน่วยงาน สถานศึกษา และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องไม่ เป็นระบบ ขาดแผนท่ีชัดเจนในการกาหนดทิศทางการบริหารงานไม่สามารถคานวณต้นทุน เพื่อนามาลงในแผนการใช้จ่ายเงิน แผนการจัดซื้อจัดจ้าง และใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตาม วตั ถุประสงคท์ ก่ี าหนดไว้คาสัง่ มอบหมายงาน จากแนวคิด หลักการและเหตุดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจท่ีจะแก้ปัญหาในส่วน น้ี จึงคิด “นวัตกรรมการบริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล” ท่ีชื่อว่า Nan Budget System เพื่อ นามาแก้ไขปัญหาทางด้านการบริหารงบประมาณ ของหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นท่ี จังหวัดน่าน
30 Nan Budget System School สพฐ. สช. สอศ. อปท. สานัก ศกศ.นน. ตชด. พุทธ หน่วยงานต้นสงั กดั ระดับ ไม่ผ่าน กระทรวง สายดว่ น (กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวง Budget มหาดไทย,สานกั นายกรัฐมนตรี) System สานัก งบประมาณ ผ่าน Big Data
31 Nan Budget System Nan Budget System เป็นโปรแกรมบริหารจัดการด้านงบประมาณ สาหรับ หน่วยงานทางการศึกษาในพื้นท่ีจังหวัดน่าน ซึ่งประกอบด้วย สถานศึกษา หน่วยงานต้น สังกัดของสถานศึกษา กระทรวงต้นสังกัด สานักงบประมาณ โดยมีขั้นตอนในการ ดาเนินงาน และขั้นตอนในการใช้โปรแกรม ดงั น้ี 1. หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษามีหน้าท่ีสร้างการรบั รู้ สร้างความเข้าใจในการ ใช้โปรแกรมบริหารจัดการด้านงบประมาณ และตรวจสอบข้อมูลในการจัดทางบประมาณ ของสถานศึกษาให้ถูกต้องและเปน็ ไปตามระเบียบฯ 2. หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาตรวจสอบข้อมูลในการจัดทางบประมาณของ สถานศึกษาให้ถูกต้องและรวบรวมข้อมูลในระบบสารสนเทศสง่ ให้กับกระทรวงตน้ สังกัด 3. กระทรวงต้นสังกัดดาเนินการตรวจสอบข้อมูลและรวบรวมข้อมูลในระบบ สารสนเทศสง่ ให้กบั สานกั งบประมาณ 4. สานักงบประมาณดาเนินการส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานกลางเพื่อดาเนินการ รวบรวม พิจารณาและจดั สรรงบประมาณตอ่ ไป 5. สถานศึกษา หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษา กระทรวงต้นสังกัด สานัก งบประมาณ สามารถตรวจสอบข้ันตอนการดาเนินการของตนเองได้ โดยมีรหัสผ่านของแต่ ละระดบั ในการเขา้ ดูขอ้ มลู 6. มีสายด่วน Budget System สาหรับรับเร่ืองร้องทุกข์ ร้องเรียน ในขั้นตอนการ ดาเนินงาน และต้องการทราบข้อมูล ผลทีค่ าดวา่ จะได้รับ - ผู้บรหิ ารและเจา้ หน้าที่สามารถตรวจสอบข้ันตอนการ ดาเนินงานได้ - ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดาเนนิ งาน ประหยดั เวลา ไดง้ านทร่ี วดเรว็ และถกู ตอ้ ง - แสดงรายงานได้รวดเร็ว อา่ นง่ายและชัดเจน - ได้รปู แบบงบการเงินตรงตามทีผ่ ู้ใช้งานตอ้ งการ - มคี วามปลอดภัยของขอ้ มูล และทาให้ความลับของขอ้ มูลไม่รั่วไหล - ทาให้ผู้บรหิ ารหนว่ ยงาน สถานศกึ ษาสามารถตัดสนิ ใจได้ง่าย - มีหน่วยงานกลางทีค่ อยชี้แนะ ช่วยเหลอื ในการดาเนินงานให้สาเรจ็ ตาม จุดประสงค์
ค เอกสารอ้างอิง สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน. (2548). หลกั เกณฑ์การใช้จา่ ยงบประมาณ เงินอดุ หนนุ .กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ของคณะสงฆ์เพื่อชาวพุทธ. สานักนายกรัฐมนตรี. (2545). พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทีแ่ ก้ไข เพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545. กรงุ เทพฯ : พริกหวานกราฟฟิค สมศกั ดิ์ หลีคว้ น. (2546). การศึกษาปัญหาการดาเนินงานการเงิน บัญชีและพัสดุของ โรงเรยี นในสังกดั สานักงานการประถมศกึ ษาจังหวัดนครราชสมี า. วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (สาขาการบรหิ ารการศึกษา). นครราชสีมา : บณั ฑิตวทิ ยาลัย สถาบนั ราชภัฎนครราชสีมา สมพงษ์ ยบุ ลนติ ย์. (2548). การศึกษาปัญหาการบรหิ ารงบประมาณของสถานศึกษาใน สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาร้อยเอด็ เขต 2.วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. (สาขา บรหิ ารการศึกษา).สุรินทร์: บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภัฏสุรนิ ทร์. ดวงเดือน กุลด.ี (2547). ปัญหาการปฏิบตั งิ านการเงินของสถานศึกษาข้ันพื้นฐานในจังหวดั เชยี งราย.วิทยานิพนธ์ ค.ม. (สาขาการบรหิ ารการศึกษา). เชียงราย: บณั ฑิต วิทยาลยั มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชยี งราย. กีรติ ยศยิ่งยง,องค์กรแห่งนวตั กรรม แนวคิด และกระบวนการ,สานักพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย,2552 วรภทั ร์ ภู่เจริญ ,การบริหารนวตั กรรมอย่างยัง่ ยืนและพอเพียง ,หจก.สามลดา, กรุงเทพมหานคร,2550 วีระยทุ ธ ชาตะกาญจน์ , เทคนิคการบรหิ าร สาหรบั นักบรหิ ารการศึกษามือ อาชีพ,สานกั พมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ,2552 ภารดร จินดาวงศ์, การจัดการความรู้,ซีดบั บลิวซีพร้นิ ต้งิ ,กรุงเทพมหานคร,2549
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: