Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือนิเทศโรงเรียนสบลี

คู่มือนิเทศโรงเรียนสบลี

Published by ongardbankong, 2021-01-13 08:58:58

Description: คู่มือนิเทศโรงเรียนสบลี

Search

Read the Text Version

48 (ตวั อย่าง) แบบสังเกตการสอน ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลพน้ื ฐาน 1. ผ้สู อนช่ือ.................................................... นามสกลุ ...................................................... 2. โรงเรยี น.......................................................................................................................... สังกัด.............................................................................................................................. 3. วุฒิการศึกษา.................................................................................................................. 4. จำนวนนักเรยี นทม่ี าเรยี น.............คน มีนกั เรียนหญิง ...............คน ชาย................คน มนี กั เรียนสญั ชาติไทย............ คน นกั เรียนสัญชาติอน่ื ..............คน มีนักเรยี นพิเศษ (เช่น LD, ออทิสตกิ )......... คน 5. วันทส่ี ังเกตการสอน ...... เดือน ................... พ.ศ................เวลา......... น. ถงึ เวลา.......... น. 6. เรอ่ื งทีส่ งั เกตการสอน ............................................................................ ชน้ั ................... เร่ืองน๋ีใชเ้ วลาสอนท้ังหมด ...........ชั่วโมง ครงั้ นี้เป็นการสอนช่วั โมงที่.............................. 7. แผนผงั การจัดหอ้ งเรยี น

49 ตอนที่ 2 บนั ทกึ การสังเกตสภาพการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใหผ้ ู้สังเกตการสอนบนั ทึกสภาพการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ทเี่ กดิ ขึน้ ขณะท่ีครูดำเนินการสอน ตามความเปน็ จรงิ ตั้งแตเ่ ริม่ ต้นกจิ กรรมการเรยี นรู้ เพ่ือเป็นข้อมูลในการประเมนิ ในตอนท่ี 3-5 เวลา สภาพการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ (ประเดน็ ทจ่ี ะบนั ทึก นา่ จะมหี ัวข้อดงั ต่อไปน้ี การนำเข้าสู่บทเรียน การจดั กจิ กรรม การ เรียนรู้ เน้อื หา บรรยากาศการเรียนรู้ การมอบหมายงาน การใชส้ อ่ื ในการ จัดการเรยี นรู้ การวดั ผลและประเมินผล สรปุ องค์ความรแู้ ละการนำไปใช้ในชวี ติ ประจชีวติ ประจำวันอนื่ ๆ ชวี ติ ประจำวนั อ่นื ๆ) ตอนที่ 3-5 ใหผ้ สู้ งั เกตเสอื กระดับคะแนนท่สี อดคล้องกับพฤตกิ รรมทีป่ รากฏ และระบเุ หตุผลประกอบ โดยมีเกณฑ์ในการเลือกระดับ ดงั นี้ ระดบั 0 หมายถึง พฤตกิ รรมไม,ปรากฏ ระดับ 1 หมายถึง พฤตกิ รรมปรากฏบ้าง หรือปรากฏไมช่ ดั เจน ระดับ 2 หมายถึง พฤตกิ รรมปรากฏบ่อย หรอื ปรากฏซัดเจน

ตอนที่ 3 การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 50 ที่ รายการ 1) การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ผู้สอนคำนงึ ถึงความรู้พืน้ ฐานของผู้เรียน ระดบั พฤตกิ รรม 012 2) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและแลกเปล่ยี น เรียนรู้ซงึ่ กนั และกัน 3) ผู้เรียนได้สำรวจตรวจสอบ (สังเกต ทดลอง สืบค้น ฯลฯ) เพื่อนำไปสู่ องค์ ความรู้ 4) ผู้เรียนไดใช้กระบวนการที่หลากหลาย นอกเหนอื จากที่ครูกำหนดให้ ใน การ หาคำตอบ 5) มีการใช้สอื่ เทคโนโลยใี นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ตอนท่ี 4 เนื้อหา 4.1 ความรเู้ ซงิ เน้ือหา ท่ี รายการ ระดบั พฤตกิ รรม 012 6) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับแนวคิดหลัก (concept) ของ เรอ่ื ง นนั้ ๆ 7) ผู้สอนมคี วามรู้ ความเชา้ ใจในเน้ือหาสาระเปน็ อย่างดี

ที่ รายการ 51 8) ผสู้ อนส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนสรุปแนวคดิ หลกั ได้ ระดบั พฤตกิ รรม 012 9) ผู้สอนบรู ณาการเน้ือหาสาระที่สอน กับเน้ือหาสาระอืน่ ในกลุ่มสาระการ เรยี นรู้เดยี วกนั หรอื ตา่ งกล่มุ สาระ หรอื กบั สถานการณ์จริง 4.2 ความรู้เซงิ กระบวนการ ที่ รายการ ระดบั พฤติกรรม 012 10) ผู้เรยี นมีการคาดคะเน ตั้งสมมติฐาน (ถ้ามี) และออกแบบวิธีการสำรวจ ตรวจสอบ 11) ผู้เรียนมีการปรกึ ษาหารือ คิดวิเคราะห์ และตรวจสอบการทำงาน ในแต่ ละขัน้ ตอนของกิจกรรม 12) ผเู้ รียนนำเสนอข้อมลู ดว้ ยวธิ ีการที่เหมาะสม เชน่ ภาพวาด แผนภมู ิ ตาราง แบบจำลอง การเขยี นบรรยาย ฯลฯ 13) ผูเ้ รยี นมีการแปลผลจากข้อมูลหรอื หลักฐานที่มีอยู่ดว้ ยตนเอง 14) ผ้เู รียนมกี ารสะท้อนความคิดเกย่ี วกบั การเรียนรู้ของตนเอง

ที่ รายการ 52 15) ผเู้ รยี นใชค้ วามรูใ้ นการวิพากษว์ ิจารณ์อยา่ งมเี หตผุ ล ระดบั พฤติกรรม 012 ตอนท่ี 5 บรรยากาศในชน้ั เรียน ระดับพฤติกรรม 5.1 ลักษณะการสื่อสาร 012 ที่ รายการ 16) ผสู้ อนใชค้ ำถามกระตนุ้ ให้ผู้เรียนเกิดความคิดทห่ี ลากหลาย 17) ผเู้ รยี นตัง้ คำถามและมีข้อสังเกตระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 18) ผู้สอนให้ความสำคัญกับคำถามและข้อสังเกตของผ้เู รยี น 19) บรรยากาศในชั้นเรยี น มีการยอมรบั ฟง้ ความคดิ เห็นระหวา่ งผ้เู รยี น ด้วยกัน 5.2 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างผูเ้ รียนและผสู้ อน ระดบั พฤตกิ รรม ที่ รายการ 012 20) ผสู้ อนส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นมีส่วนรว่ มในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ท่ี รายการ 53 21) ผู้สอนมคี วามอดทนอดกล้ันต่อพฤตกิ รรมต่างๆ ของผูเ้ รียน ระดบั พฤตกิ รรม 012 22) ผูส้ อนมีบทบาทเปน็ ทปี่ รกึ ษา ชว่ ยสง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นสามารถ สำรวจ ตรวจสอบได้ดขี ึ้น 23) ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ผู้สอนทำหนา้ ทีเ่ ป็นผู้ฟ้งและยอมรับฟ้ง ความ คดิ เห็นของผูเ้ รยี น ข้อสังเกตเพ่ิมเติมเก่ยี วกบั บทเรียนน้ี (ถา้ ม)ี ............................................................................................................................. .................................... ............................................................................................... .................................................................. ............................................................................................................................. .................................... .......................................................................................................................................................... ....... ผ้สู ังเกตการสอน............................................... วนั ท.่ี ............................... รบั ทราบ/ปรบั ปรุง/ดำเนนิ การตามคำแนะนำ ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................. .................................................................. ลงชือ่ ....................................................... ผู้รบั การนเิ ทศ ( ....................................................... )

54 (ตัวอย่าง) เครอื่ งมือการนเิ ทศการเรยี นการสอนของครู การนิเทศการเรยี นการสอนของครู...........................................โรงเรยี น ...................................... กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ...............................ช้ัน...........คร้ังที่ ......วันท่ี ... เดือน ............พ.ศ............. คำชแ้ี จง ใหก้ าเครือ่ งหมาย ✓ ในชอ่ งอนั ดับคณุ ภาพตามความเป็นจริง ดงั น้ี เกณฑ์ 5 = ดีมาก 4 = ดี 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = แก้ไข รายการประเมนิ อันดบั คุณภาพ หมายเหตุ 54321 1. แผนการจดั การเรียนรู้ ใหโ้ รงเรียนศกึ ษาสภาพ 1.1มีองค์ประกอบในแผนครบและเขียนได้ สอดคล้องเหมาะสม และบรบิ ทของโรงเรียน 1.2ส่ือสอดคล้องกับสาระการเรียนรแู้ ละ กจิ กรรม จดั ทำเกณฑร์ ะดบั 1.3 ประเมินผลสอดคล้องกับตัวชี้วดั คณุ ภาพท่ีเหมาะสม 1.4 ลำดับชั้นตอนของกจิ กรรมเหมาะสม 1.5 แผนการจดั การเรยี นรเู้ ป็นปจั จบุ ัน 2. การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 2.1วธิ กี ารนำเขา้ สบู่ ทเรยี น เร้าใจ/นำใหค้ ดิ / อยากรู้อยากเรยี น 2.2 ครูตง้ั ใจสอนและเตรียมการสอนเป็นอยา่ งดี 2.3 จัดกจิ กรรมตามลำดบั ในแผนการจดั การเรียนรู้ 2.4 ใช้เทคนิคการสอนเหมาะสมกับสาระการ เรียนรู้และกิจกรรม และมีการสอดแทรกคุณธรรม 2.5 ครแู ละนักเรยี นใช้ส่ือรว่ มกัน 2.6มกี ารซกั ถามและสนทนาซ่ึงกันและกัน ระหวา่ งครแู ละนักเรียน 2.7 ใหค้ วามเอาใจใส่นกั เรียนอย่างท่วั ถึง 2.8 ครูเสริมแรงได้ดีและเหมาะสม 2.9 บรรยากาศการเรยี นอบอ่นุ เป็นกันเอง 2.10 นกั เรยี นกล้าแสดงออกไม่เครียด 2.11 นักเรียนมีพฤติกรรมเป็นประชาธิปไตย เช่น รู้จักหน้าที่ ยอมรับฟ้ง ความคดิ เห็นของผอู้ น่ื เปน็ ผนู้ ำ ผตู้ ามทีด่ ี 2.12 นกั เรียนมคี วามกระตอื รือรน้ ทำงานอยา่ ง ต้ังใจและเรยี บร้อย

รายการประเมิน อนั ดบั คุณภาพ 55 54321 2.13 ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปบทเรยี น หมายเหตุ 2.14 ครใู หง้ านและการบ้านเหมาะสม 2.15ครเู ข้าออกตรงเวลาและไมล่ ะท้งิ หอ้ ง ขณะ ชวั่ โมงสอน ความคดิ เหน็ โดยรวมของครผู ู้นิเทศ ข้อคิดและขอ้ เสนอแนะของผู้นเิ ทศ ลงชื่อ ......................................................... ผูน้ เิ ทศ (........................................................ ) รับทราบ/ปรับปรุง/ดำเนินการตามคำแนะนำ ลงชอ่ื ....................................................... ผู้รบั การนิเทศ (........................................................ ) 3. การให้คำปรกึ ษาแนะนำ การให้คำปรึกษาแนะนำ หมายถึง การพบปะกนั ระหวา่ งผู้นิเทศกบั ผู้รบั การนเิ ทศซ่งึ อาจ กระทำได้หลายวิธี แตใ่ นที่นี้ขอเสนอแบบโคช่ิง (Coaching techniques) ซง่ึ เปน็ วิธกี ารพัฒนาบุคลากร อย่างมีแบบแผน โดยกระทำ ณ จดุ ปฏิบัตงิ าน โดยมีวัตถปุ ระสงค์ เพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัตงิ านก้าวไปถงึ จดุ หมายปลายทางได้ เช่น ความก้าวหนา้ ทางวชิ าชพี ความสามารถท่ีจะรบั ผดิ ชอบงานในหนา้ ท่สี ูงขน้ึ เชน่ กรณีแตง่ ต้งั เปน็ ผู้นเิ ทศ หรือเปน็ ทีย่ อมรับของเพ่อื นร่วมงานมากขึ้น 3.1 วธิ กี ารให้คำแนะนำปรึกษา การใหค้ ำแนะนำปรึกษา มี 2 วิธี คอื วิธที ี่ 1 การให้คำปรกึ ษาแนะนำแบบไม่เปน็ ทางการ เป็นการใหค้ ำปรึกษาแนะนำ โดยใชเ้ วลาวา่ งพดู คยุ กัน เชน่ ตอรบั ประทาน อาหารกลางวนั เปน็ ต้น วธิ นี ้ผี ู้นเิ ทศสามารถให้ความช่วยเหลอื ผรู้ บั การนเิ ทศได้ 3 ลักษณะ คือ 1.1 บอกวิธแี กป้ ัญหาโดยตรง 1.2 เสนอขอ้ มูลและใหโ้ อกาสผู้รับการนิเทศวเิ คราะหป์ ัญหาเอง 1.3 แบบผสมผสาน ทัง้ ลกั ษณะที่ 1 และ 2 ขั้นตอนการนิเทศ 1) รบั รูป้ ญั หา 2) วิเคราะห์ปัญหา 3) แกไขปญั หา โดยเลือกวธิ แี ก้ปัญหาลักษณะใดลักษณะหน่งึ ขา้ งตน้ นี้

56 วิธที ี่ 2 การให้คำปรกึ ษาแบบเป็นทางการ การใหค้ ำปรึกษาแบบเปน็ ทางการใชข้ ัน้ ตอนของการนิเทศแบบโคชซิ่งเขียน เปน็ สัญลกั ษณ์ คือ CQCD ซง่ึ มาจากคำตอ่ ไปน้ี C - Compliment (ชมเชย) Q - Question (สอบถาม) C - Correct (แกไข) D - Demonstrate (สาธิต) ขั้นตอนการนิเทศ ขั้นท่ี 1 ชมเชย เมื่อมีใครคนหนึ่งกำลังรับการนิเทศ เขาอาจรู้สึกว่าเขาถูก วิพากษ์วิจารณ์ เขาจึงพยายามหาข้อแก้ตัวต่างๆ และพยายามสร้าง “กำแพงใจ” มาขวางกั้นการ ติดต่อสื่อสาร ระหว่างเขา กับผู้นิเทศ แต่เมื่อเริ่มการสนทนาด้วยการชมเชย ยกย่องผลงานท่ีดีของเขา ก่อน (ด้วยความบริสุทธ์ิใจ) เขาก็จะ “ปลดอาวุธตัวเอง” ข้อแก้ตัวของเขาก็จะถูกเก็บเอาไว้ และ “กำแพงใจ” จะเปิดออก แล้วเขากพ็ ร้อม ท่จี ะรบั ฟง้ ข้นั ท่ี 2 สอบถาม ในขั้นที่แล้วมา แม้ว่าจะได้ให้คำชมเชยแก,เขาไปบ้างแล้ว บางที ความคิดต่อตา้ นอาจเกิดข้ึนไดอ้ ีกอย่างงา่ ยดาย หรือกระทำในเชิงวจิ ารณ์ หรือเสนอแนะเร็วข้ึน การถามในขั้นนี้ ทำให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจวา่ ผู้นิเทศยินดรี ับ ฟง้ เหตุผลของเขา และเขาร้สู กึ วา่ ผนู้ ิเทศต้องการมาใหค้ วามช่วยเหลือ มจี ติ ใจเปดิ กวา้ ง และการส่ือสาร เป็นแบบคปู่ รกึ ษามากกว่าเจ้านายกบั ลกู นอ้ ง ขั้นท่ี 3 แก่ไข เมอื่ ผา่ นมา 2 ขั้นตอนแลว้ ผู้นเิ ทศก็มาถึงข้ันที่จะเสนอแนะแนวทาง ปรับปรงุ แกไ่ ขข้อบกพรอ่ งต่างๆ ได้ เพราะมคี วามเข้าใจทด่ี ตี อ่ กัน ขัน้ ท่ี 4 สาธิต บางครั้งการอธิบายตามขั้นที่ 3 อาจไม่ชัดเจนเพียงพอ จึงอาจสาธิต หรอื ยกตัวอยา่ งยกเหตุการณ์ มาแสดงให้เหน็ จริง เมื่อผู้นเิ ทศให้คำปรึกษาแนะนำผู้รับการนิเทศเสร็จแล้ว จึงบันทกึ ลง ในแบบบนั ทกึ การใหค้ ำปรึกษาแนะนำ ดังนี้

(ตวั อย่าง) 57 แบบบันทึกการให้คำปรึกษาแนะนำ ผรู้ บั การนิเทศ วัน เดอื น ปี เร่ืองทใ่ี ห้คำปรกึ ษาแนะนำ รายละเอยี ด การใหค้ ำปรึกษาแนะนำ ลงช่ือ ................................................ผ้นู เิ ทศ ( ................................................. ) ตำแหนง่ ............................................ รบั ทราบ/ปรับปรุง/ดำเนินการตามคำแนะนำ ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ ......................................................... ผู้รับการนิเทศ (......................................................... )

58 (ตัวอยา่ ง) แบบบนั ทึกการให้คำปรึกษาแนะนำ ชอ่ื ผู้รับการนเิ ทศ.......................................................วันที่ ............เดอื น..................พ.ศ ........... คำช้ีแจง ใหก้ าเคร่อื งหมาย 'ร ในช่องทางขวามือตามเกณฑ์การประเมิน ดังน้ี เกณฑ์ 5 = ดีมาก 4 = ดี 3 = ปานกลาง 2 = น้อย 1 = แก้ไข รายการประเมิน ระดับการปฏบิ ตั ิ หมายเหตุ 54321 ใหโ้ รงเรียนศึกษา 1. บรรยากาศของการหารือเปน็ กนั เอง สภาพ และบรบิ ท ของโรงเรยี น 2. สนทนาด้วยการยกย่อง ชมเชยผลงานที่ดขี อง ผรู้ บั การนเิ ทศ จดั ทำเกณฑร์ ะดับ 3. ผู้นิเทศและผรู้ ับการนเิ ทศเปดิ ใจกว้างและเปน็ การสนทนา 2 ทาง คณุ ภาพ ท่ี เหมาะสม 4. ผ้นู เิ ทศเสนอแนะแนวทางปรับปรงุ แก้ไข ข้อบกพร่องตา่ งๆ ได้ 5. การสรา้ งความสมั พนั ธ์ทดี รี ะหวา่ งผ้นู ิเทศ และผ้รู บั การนเิ ทศ 6. การสร้างขวญั กำลังใจท่ดี ีแก,ผู้รบั การนเิ ทศ 7. การบนั ทึกการให้คำปรกึ ษาหารือ 8. การตดิ ตามใหค้ ำปรึกษาอยา่ งต่อเน่ือง 9. มกี ารจดั ตาราง ช่วงเวลาในการให้คำปรกึ ษาแนะนำ 10. ผูร้ บั การนเิ ทศมีการนำผลการใหค้ ำแนะนำไป ปรับปรุงแก้ไข รวม เฉลยี่ ข้อคดิ และขอ้ เสนอแนะของผู้นเิ ทศ ลงชอ่ื .........................................................ผู้นิเทศ (........................................................) รับทราบ/ปรบั ปรุง/ดำเนนิ การตามคำแนะนำ ลงชือ่ ........................................................ผ้รู ับการนิเทศ (........................................................)

59 หมายเหตุ ให้โรงเรียนศกึ ษาสภาพและบรบิ ทของโรงเรียนจดั ทำเกณฑร์ ะดับคณุ ภาพทเ่ี หมาะสม 4. การสนทนาทางวชิ าการ การสนทนาทางวิชาการ หมายถึง การประชุมครูหรือกลุ่มผู้สนใจเร่ืองราวข่าวสารเดยี วกัน โดยกำหนดใหผ้ ู้นำสนทนาคนหนึ่ง นำสนทนาในเร่ืองทีก่ ลุ่มสนใจ โดยมวี ตั ถุประสงค์ เพ่ือเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจแนวทางการปฏิบัติงาน เทคนิค วิธีการแก,คณะครูในโรงเรียน และพัฒนาบุคลากรใน โรงเรียน 4.1 ขน้ั ตอนการนเิ ทศแบบสนทนาทางวชิ าการ มีขั้นตอนดังน้ี ขั้น ท่ี 1 ศกึ ษาปัญหา ขั้นศึกษาปัญหามีวิธีการ คือ สำรวจปัญหา ความต้องการในเรื่องราวที่มี ความสนใจร่วมกันหรือเป็นปัญหาร่วมกัน เข่น เร่ืองการสอนภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา เรื่อง การจัดการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น แล้วลำดับเรื่องที่จะใช้สนทนาทาง วชิ าการ ตามความสำคัญ ความจำเป็น และความเหมาะสม ขน้ั ที่ 2 เลือกผู้นำสนทนาทางวิชาการ มีวธิ ีการดงั นี้ 2.1 เลือกบุคคลใดบุคลหนึ่งในโรงเรียน ที่เห็นว่ามีความสามารถเป็นผู้นำ สนทนาทางวชิ าการไดโ้ ดยจะตอ้ งเปน็ ผ้ทู ่ีมีความร้คู วามเข้าใจเรื่องที่จะสนทนาไดอ้ ย่างลึกซ้งึ กว่าผู้อน่ื 2.2 เลือกบุคคลภายนอก หากเห็นว่า เรื่องที่จะสนทนานั้นค่อนข้างยาก คณะครใู นโรงเรยี นยงั ไม่มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และความชำนาญเพียงพอ 2.3 ผู้นำทางวิชาการควรหมนุ เวียนกนั ไป ไม,ควรเปน็ ผูเ้ ดยี วซำ้ กันตลอดปี 2.4 ประสานงานกับผู้นำสนทนาทางวิชาการ ทั้งในหรือนอกโรงเรียน โดย แจง้ วัตถุประสงคใ์ หเ้ ขา้ ใจตรงกนั ข้นั ท่ี 3 ปฏบิ ตั กิ าร มีขน้ั ตอนดงั น้ี 3.1 กำหนดการสนทนาทางวิชาการ ในช่วงหลังรับประทานอาหาร กลางวัน หรือช่วงว่างตอนใดตอนหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม โดยอาจกำหนดเป็นรายสปั ดาห์หรือรายเดือน ตามความตอ้ งการ และทำปฏิทนิ ไวใ้ ห้ชดั เจน 3.2 กำหนดเวลาสนทนาคร้ังละ 30 - 45 นาที 4.2 วิธีการพูดนำเสนอในเชงิ วิชาการ การพดู นำเสนอในเชิงวชิ าการ ควรมลี ำดับการพูด (Outline) การเตรยี มส่ือ และการ เตรยี มตวั ดังน้ี 4.2.1 หลักสำคญั ของการพดู นำเสนอเชงิ วิชาการ 4.2.1.1 ต้องมีการเกรื่นนำ เพื่อแจ้งให้ผู้ฟ้งทราบว่าเรื่องที่ฟ้งเกี่ยวกับอะไร มขี น้ั ตอนการนำเสนออยา่ งไร และจะไดอ้ ะไรจากการฟ้ง 4.2.1.2 ช่วงบทนำควรจะต้องกระชับ และพูดเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นที่จะ ชว่ ยใหผ้ ฟู้ ้งเขา้ ใจเรื่อง และความสำคญั ของเรื่องท่จี ะพดู 4.2.1.3 ในสว่ นของผลการสรุป และขอ้ แนะนำ ควรพดู อยา่ งละเอยี ด

60 4.2.1.4 ในส่วนที่ไม่ได้มีส่วนร่วม หรือมีรายละเอียดมากเกินไป ไม,ควรจะ นำมากลา่ วถึงการพูดต้องกระชับและชัดเจน การพดู ทยี่ าวเกินไป หรือมีรายละเอยี ดมากเกนิ ไปจะทำให้ เกดิ การเบอ่ื หน่าย 4.2.1.5 ต้องทำใหผ้ ูฟ้ ้งสนใจในเรื่องท่ีพูดและไม,ร้สู กึ เบ่ือหนา่ ย 4.2.1.6 ต้องพดู กบั ผ้ฟู ง้ ไมใ่ ชท่ อ่ งจำเรื่อง ดังนั้นควรจำแคส่ องสามบรรทดั แรกเพื่อการเริม่ ต้นทีด่ ี 4.2.1.7 ตาต้องมองไปยังผู้ฟ้งไม่ใช่ผนัง การสบสายตากับผู้ฟ้งจะช่วยให้ ผู้ ฟง้ สนใจในเรื่องท่ีพูด และทำใหร้ วู้ า่ ผู้ฟ้งรูส้ กึ เบ่ือหนา่ ยหรอื ไม่ 4.2.2 การเตรียมส่อื ควรจะต้องทราบขอบเขตของเรื่องทจี่ ะพูด เวลาท่ตี อ้ งใชแ้ ละ กลุ่มผฟู้ ง้ เพ่ือท่ีจะไดเ้ ตรยี มเรื่องให้เหมาะสมกับผู้ฟง้ และเวลา ควรมีข้ันตอนดังน้ี 4.2.2.1 เตรยี มสอื่ ในการพูดไม่เกนิ หนึง่ แผ่นตอ่ เวลาพดู หนงึ่ นาที 4.2.2.2 ถา้ เตรียมแผ่นใส ควรจะนำเสนอไม,เกิน 10 บรรทัดตอ่ หนึ่งแผ่น 4.2.2.3 การเลอื กใช้สีไมค่ วรใชค้ ู่สที ่ีทำใหม้ องลำบากเช่น แดงบนพนื้ เขียว 4.2.2.4 ใช้ตัวหนังสือสีอ่อนบนพื้นสีเข้มจะทำให้อ่านได้ง่าย และไม,มีการ สะท้อนกับแสงอื่นๆ ในส่วนทฤษฎีควรจะนำเสนอเฉพาะสมการที่ใช้โดยไม,ต้องเขียนอธิบายอย่าง ละเอียด ว่าได้มาอยา่ งไร 4.2.2.5 ควรจะหลกี เลีย่ งการใช้สมการยาวๆ 4.2.2.6 ถา้ จำเป็นให้แสดงเฉพาะสมการทสี่ ำคญั เท่านัน้ 4.2.2.7 ความสำคัญของสมการและสญั ลกั ษณ์ต่างๆ ควรจะอธบิ าย โดยการพดู 4.2.2.8 ควรหลกี เลี่ยงการใชต้ าราง แต่ถ้าจำเป็นควรจำกัดใหม้ ขี ้อมูล จำนวนไม,มากเกนิ ไป 4.2.2.9 รูป และแผนภูมิ ควรจะชัดเจน คำอธิบายของแกนต่างๆ ต้อง สามารถมองเหน็ ได้อย่างชัดเจน 4.2.3 การพูดและการเตรยี มตัว 4.2.3.1 ควรเตรยี มตวั มาอย่างดแี ละมีความเข้าใจในเนอ้ื หาทจี่ ะพูด 4.2.3.2 ฟกิ พูดเพอื่ ตรวจสอบว่าสอื่ ทีเ่ ตรียมและเนื้อหาท่ีเหมาะสมกับเวลา และ ผฟู้ ้งหรือไม่ 4.2.3.3 ทำแผ่นโนต้ เพ่อื ใช้เตอื นความจำ ในเร่ืองที่ควรจะพดู 4.2.3.4 แต่งกายใหเ้ รยี บรอ้ ยและเหมาะสมกับสถานทแี่ ละผูฟ้ ง้ 4.2.3.5 การทำสมาธิก่อนการพูด อาจช่วยให้อาการประหม่า หรือตื่นเต้น ลดลงสดู หายใจลกึ ๆ ก่อนและระหว่างการพดู เพอ่ื ระงับอาการต่นื เต้น 4.2.3.6 ควรจะสำรวมกริ ิยา และใช้ภาษาทีเ่ หมาะสมในการพูด 4.2.3.7 อาจดูโน้ตชว่ ยระหวา่ งพดู ถ้าเกิดอาการต่ืนเต้นจนลืมเร่อื งทีจ่ ะพูด 4.2.3.8 ต้องมีความกระตือรือร้นในเรื่องที่จะพูด ถ้าพูดเสียงโทนเดียวและ ดูเฉอื่ ยๆ ผู้ฟง้ จะไมส่ นใจและเบ่ือหน่าย 4.2.3.9

61 4.2.3.10ต้องพยายามรักษาเวลาในการพูดให้เหมาะสม ถ้ากำลังจะเกิน เวลาทกี่ ำหนดควรจะรีบสรุปการพดู ให้จบตามเวลาทีก่ ำหนด (ตวั อยา่ ง) แบบบนั ทึกการนิเทศแบบสนทนาทางวิชาการ ชื่อผนู้ ิเทศ ............ โรงเรยี น....................อำเภอ................จงั หวดั .................... ช่อื ผรู้ ับการนเิ ทศ...................................................สอนชื่น......................................... วนั เดอื น ปี เรื่องท่ีสนทนา ผลการสนทนา หมายเหตุ ลงชื่อ ........................................................ ผนู้ ิเทศ (......................................................... ) รับทราบ/ปรับปรงุ /ดำเนนิ การตามคำแนะนำ ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................. ...................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................................... ............... .................................................................................................................... ............................................... ลงชอ่ื ........................................................ผูร้ บั การนิเทศ (..................................................)

62 5. การประชุม การประชุม หมายถงึ การพบปะของกลุม่ คนเพอื่ การอยา่ งใดอย่างหนึง่ ในแงข่ องการนเิ ทศ การศึกษา การประชุมจัดขึ้นโดยหน่วยงานที่มีรูปแบบตามขนาดของกลุ่มคน เพื่อแสดงการตัดสินใจ และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ การประชุมที่ใช้ในการนิเทศมีหลายลักษณะ เช่น การประชุมนิเทศ การ ประชุมเฉพาะกิจ การประชุมระดมสมอง การประชุมชี้แจง การประชุมสัมมนา การอบรม การประชุม กลุ่มยอ่ ยในงาน การประชุมปฏิบตั ิการในเรอื่ งใดๆ 5.1 การประชมุ นิเทศ การประชุมนิเทศ หมายถึง การให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้รับการนิเทศเกี่ยวกับปัญหา ที่เกิดขึ้น โดยผู้นิเทศเปน็ ผูศ้ ึกษาหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา แล้วนำมาแนะนำแก่ผู้รับการนิเทศหรือ ผู้นิเทศและผรู้ บั การนเิ ทศหาขอ้ สรปุ ท่ีเปน็ ประโยชน์ตอ่ การปรับปรุงแกไขปัญหานั้นๆ 5.1.1 ขั้นตอนการประชมุ นิเทศ มีข้ันตอนดังน้ี ขนั้ ที่ 1 ข้นั เรม่ิ ต้น 1.1 ผูน้ ิเทศรบั ทราบปัญหาจากผู้รบั การนเิ ทศแลว้ สนทนา สอบถามเร่ืองราวที่เป็นปัญหาน้ันๆ 1.2 ผู้นิเทศศึกษาปัญหาและหาแนวทางแก้ไขจากเอกสารตำรา หรอื จากประสบการณ์ หรอื ผูน้ ิเทศและผรู้ ับการนเิ ทศศึกษาปญั หารว่ มกนั ขั้นท่ี 2 ข้นั อภิปรายและแสดงความคดิ เหน็ มีขนั้ ตอนดังน้ี 2.1 ผูน้ เิ ทศนำอภิปรายถงึ ปัญหาของผ้รู ับการนิเทศ 2.2 ผู้รับการนิเทศร่วมอภปิ รายและแสดงความคดิ เหน็ ขั้นท่ี 3 ข้นั สรปุ ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา และผู้นิเทศตัดสินใจแกไ้ ขปญั หาแก่ผรู้ บั การนิเทศ หรืออาจรว่ มกนั ตัดสนิ ใจท้ังผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ เพ่ือนำไปดำเนนิ การต่อไป

63 (ตวั อยา่ ง) การบันทกึ การประชุมนิเทศ ชื่อผ้นู ิเทศ ................................โรงเรียน ...........................อำเภอ ................จังหวดั .................... ชอ่ื ผรู้ ับการนเิ ทศ................................................................... สอนชน้ั .......................................... วัน เดอื น ปี เรอ่ื งทปี่ ระชุมนเิ ทศ วธิ ีดำเนินการ ผลการประชุมนเิ ทศ (ลงช่อื )...........................................ผู้นเิ ทศ ( ...................................................) ตำแหนง่ ................................................... รบั ทราบ/ปรับปรงุ /ดำเนินการตามคำแนะนำ ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................. ...................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ........................................................ ผู้รับการนิเทศ ( ....................................................... ) 5.2 การประชมุ ระดมสมอง การระดมสมองมาจากคำในภาษาอังกฤษ คือ Brain Storming โดยที่คำแรก คือ Brain หมายถึงสมอง ส่วนคำหลัง Storming หมายถึง พายุที่โหมกระหนํ่า หากจะแปลตรงๆ ก็คง หมายถึง การมุง่ ใชพ้ ลงั ความสามารถทางการคิดของสมองของมวลสมาชิกในกลมุ่ เพ่อื คดิ ในเร่ืองใดเรื่อง หนึ่ง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป คนที่ไม,ชอบคิด หรือคนที่ชอบคิดเงียบๆ ไม,ชอบแสดงให้คนอื่นรู้ว่า ตนเอง คิดอาจไม,เหมาะทจ่ี ะรว่ มกล่มุ เพ่ือระดมสมอง การระดมสมอง ถือเปน็ เทคนิคที่ใช้กบั กลุ่ม Group Technique ไมใช่ใช้กับคนเพียง คนเดียว (ในทางการบริหารมักใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาทางเลือกในการตัดสินใจและใช้ในการ วางแผน) การระดมสมอง หมายถงึ การแสวงหาความคิดต่อเร่ืองใดเรอื่ งหนึ่งใหไ้ ด้มากทสี่ ุดภายในเวลา ที่กำหนด ดังนั้น การให้คิดโดยไม,กำหนดเวลาที่จำกัดแน่นอนก็ไม,เรียกว่าการระดมสมอง การระดม สมองจะมี ประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อใช้กับกลุ่มที่ไม่รู้จักกัน ไม,เกรงใจกันหรือสนิทสนมกันมากเกินไป และจำนวน สมาชิกที่ร่วมระดมสมองถา้ จะให้มปี ระสทิ ธิภาพมากที่สุดควรอยรู่ ะหวา่ ง 4 ถึง 9 คน

64 สำหรบั นักวิชาการท่ีเปน็ ผใู้ ห้กำเนิดของเทคนิคนี้ยังมีความเห็นท่ีแตกต่างกันอยู่ โดย มิซูโน่ (Mizuno) ไม่ได้บอกว่าใครเป็นผู้,ต้นคิด แต่ระบุว่าไดม้ ีการใช้เทคนคิ ระดมสมองในญ่ีปุ่น ตั้งแต่ปี 1952 ในขณะที่ฟอร์ซิท (Donelson Forsyth) กลับระบุชัดเจนว่าเทคนิคการระดมสมองเกิดจาก แนวคิดของออสบอร์น (Alex F. Osborne) ซงึ่ เป็นผบู้ ริหารบรษิ ทั โฆษณาแห่งหน่ึงตั้งแตป่ ี 1957 5.2.1 จดุ เน้นของการระดมสมอง ออสบอร์น ไดก้ ำหนดจดุ เนน้ ของการระดมสมองไว้ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 5.2.1.1 เน้นให้มีการแสดงความคิดออกมา (Expressiveness) สมาชิกทุก คน ต้องมีเสรีภาพ อย่างสมบูรณ์ในการที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาจากจิตใจ โดยไม,ต้องคำนึง วา่ จะเปน็ ความคิดท่ีแปลกประหลาด กวา้ งขวาง ลา้ สมัย หรอื เพ้อฝนื เพยี งใด 5.2.1.2 เน้นการไม,ประเมินความคิดในขณะที่กำลังระดมสมอง (Non - evaluative) ความคิดที่สมาชิกแสดงออกต้องไม,ถูกประเมินไม,ว่ากรณีใดๆ เพราะถือว่าทุกความคิด มี ความสำคัญ ห้ามวิพากษ์ วิจารณ์ความคิดผู้อื่น การแสดงความเห็นหกั ล้าง หรือครอบงำผู้อื่นจะทำลาย พลังความคดิ สรา้ งสรรค์ของกลมุ่ ซึ่งสง่ ผลทำให้การระดมสมองคร้ังนนั้ เปลา่ ประโยชน์ 5.2.1.3 เน้นปริมาณของความคิด (Quautity) เป้าหมายของการระดม สมอง คือ ต้องการให้ได้ความคิดในปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ความคิดที่ไม,มีทางเป็นจริงก็ ตาม เพราะอาจใช้ประโยชน์ได้ในแงก่ ารเสริมแรง หรอื การเปน็ พ้นื ฐานให้ความคิดอ่นื ท่ใี หม่และมีคุณค่า ยงิ่ มีความคิดใหม่ๆ เกดิ ข้ึนมากเพยี งใดก็ยง่ิ มีโอกาสคน้ พบวิธีการแล้ปญั หาที่ดี 5.2.1.4 เน้นการสร้างความคิด (Building) การระดมสมองเกิดขึ้นในกลุ่ม ดังนั้น สมาชิกสามารถสร้างความคิดขึ้นเองโดยเชื่อมโยงความคิดของเพื่อนในกลุ่ม โดยใช้ความคิดของ ผอู้ ่ืนเปน็ ฐานแลว้ ขยายความเพิ่มเติมเพือ่ เป็นความคดิ ใหมข่ องตนเอง 5.2.2 การเตรียมระดมสมอง ก่อนการดำเนินการระดมสมองน้ัน จะต้องเตรยี มการ 3 ข้นั ตอน ดงั นี้ 5.2.2.1 ขั้นกำหนดเป้าหมาย ต้องกำหนดให้กระชับ เฉพาะเจาะจง และชัดเจนที่สุดว่าจะระดมสมองเรื่องอะไร เพื่ออะไรและต้องทำให้สมาชิกเข้าใจ และเห็นด้วยกับ เป้าหมายนน้ั 5.2.2.2 ขั้นกำหนดกลุ่ม จะมีจำนวนเท่าไรใครบ้างใครจะทำหน้าที่เขียน ความคิด ของสมาชิกและสถานที่ ที่จะนำแผ่นการ์ดความคิดไปติด ต้องให้มองเห็นได้ชัดเจน และใน บางครงั้ ผนู้ ำกลุ่ม ต้องเดด็ ขาดหากมสี มาชิกบางคนเรม่ิ ครอบงำหรือข่มผูอ้ ืน่ 5.2.2.3 ขั้นกำหนดเวลา ต้องแน่ซัดและเหมาะสม จะเริ่มและจะต้องยุติ เมอื่ ใด การมเี วลาจำกัดจะสรา้ งความกดดันใหส้ มองเรง่ ทำงานอย่างเต็มที่ สมองซกี ขวาจะคิด สว่ นสมอง ซีกซ้าย จะประเมินความคิดของตนเองว่าเหมาะสมหรอื ไม่ แล้วรบี แสดงออกมาโดยเรว็ 5.3 การประชุมสัมมนา การจัดประชุมสัมมนาเป็นกระบวนการของการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยมี ขั้นตอน การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง สามารถตรวจสอบและประเมินผลได้ทุกขั้นตอน ซึ่งการดำเนินการ การจัด ประชมุ สมั มนาจะแบง่ ออกเป็น 3 ขั้นตอน คอื

65 5.3.1 การเตรยี มการก่อนการประชุมสัมมนา 5.3.2 การดำเนินการระหว่างการประชมุ สมั มนา 5.3.3 การดำเนนิ การหลังการประชุมสมั มนา ข้ันตอนการจดั ประชุมสัมมนา ข้ัน ที่ 2 ข้ันที่ 1 การดำเนนิ การระหวา่ ง ขัน้ ท่ี 3 การเตรยี มการก่อนการสัมมนา การดำเนินการหลงั การสัมมนา การสมั มนา 1. สำรวจประเดน็ ปญั หา 1. ลงทะเบียน 1. วิเคราะห์ผลการศึกษา 2. ตง้ั คณะกรรมการกลาง 2. เปดิ การสมั มนา 2. รายงานผบู้ งั คบั บัญชา 3. เขียนโครงการสัมมนา 3. จดั ประชมุ กลุ่มใหญ่ 3. รายงานหน่วยงานท่เี กยี่ วข้อง 4. ดำเนนิ งานเตรียมการสัมมนา 4. จัดประชุมกลมุ่ ย่อย 4. ดำเนินงานงบประมาณ 5. จดั ประชุมรวม 5. ติดตามผลและวิเคราะห์ 6. ปดิ การสมั มนา 5.3.1 การเตรยี มการก่อนการประชมุ สมั มนา ในการจัดประชุมสัมมนาต้องอาศัยบุคคลหลายฝ่ายมาทำงานร่วมกัน ดังนั้น การเตรียมงานไว้ล่วงหน้า จึงเป็นสิง่ จำเป็นเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยภายในเวลา ทก่ี ำหนดไวโ้ ดยมีข้นั ตอนในการจัดเตรยี มงานประชมุ สัมมนา ดงั ตอ่ ไปนี้ 5.3.1.1 สำรวจประเด็นปัญหาและความต้องการในการประชมุ สัมมนา โดย พิจารณาจากปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการทำงาน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในหน่วยงานความ ตอ้ งการของบคุ ลากร โดยรวบรวมข้อมูลจากแบบสำรวจความคดิ เหน็ แบบสอบถาม หรือแบบสัมภาษณ์ ใช้การจัดประชุมสัมมนาช่วยให้บุคลากรในหน่วยงานเข้าใจ นโยบายของหน่วยงานและปฏิบัติได้อย่าง ถกู ตอ้ ง

66 5.3.1.2 แตง่ ต้ังคณะกรรมการดำเนินการจัดประชุมสัมมนาเพ่ือทำหน้าที่ ดังต่อไปน้ี 1) หาหัวขอ้ เร่อื งทจี่ ะใชใ้ นการประชมุ สมั มนา โดยการรวบรวม และแยกแยะในประเด็นปัญหาตา่ งๆ 2) พิจารณาบุคคลหรอื ผ้เู ชย่ี วชาญ ทีจ่ ะเชญิ เขา้ รว่ มการ ประชมุ สมั มนาพธิ เี ปดิ พธิ ปี ิดการสัมมนา ตลอดจนเจ้าหนา้ ท่ีท่ปี ฏิบตั ิงานในฝา่ ยต่างๆ 3) พจิ ารณาแผนการและจัดเตรียมข้ันตอนในการดำเนนิ การ ว่า ชว่ งใดควรจะจัดการอย่างไร เพือ่ จะได้เตรียมจดั ให้มพี ิธีการต่างๆ ในแตล่ ะช่วงนัน้ ได้อย่างเหมาะสม 4) พิจารณาแนวทางในการประชาสมั พันธ์ วิธกี ารประเมินผล ตลอดจนการเผยแพร่ รายงานผลการประชุมสัมมนา หรือผลสรุปของการประชมุ สัมมนาได้อย่าง เหมาะสม 5) พิจารณาและเสนอการแต่งตงั้ คณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ ต้ังแตเ่ ริม่ เตรยี มงาน จนกระทั่งสิน้ สดุ การประชุมสัมมนา 6) พิจารณาปัญหาอน่ื ๆ ท่ีคาดวา่ อาจจะเกดิ ขน้ึ ไดใ้ นขน้ั การ เตรยี มงาน ขั้นดำเนินการ ประชมุ สัมมนา และขั้นหลังการดำเนนิ การสมั มนา 7) พิจารณาเรื่องอืน่ ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องตามความเหมาะสม 5.3.1.3 เขียนโครงการประชุมสัมมนา เพื่อกำหนดความชัดเจนของ การ ดำเนินงานขั้นตอนต่างๆ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการประชุมสัมมนา สามารถดำเนินไปได้ด้วย ความ เรยี บร้อยและมปี ระสทิ ธภิ าพนอกจากนี้ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการประชมุ สมั มนา ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ใชใ้ นการขออนุมตั ิจดั ประชมุ สัมมนาจากผ้มู ีอำนาจ 2) ใชข้ อความสนับสนุนด้านงบประมาณจากหนว่ ยงานที่ เก่ียวข้อง 3) ให้ผเู้ กยี่ วขอ้ งทำความเช้าใจความเป็นมาเกี่ยวกับการจดั ประชุมสมั มนา โครงการประชุมสัมมนา ประกอบดว้ ยหัวข้อดังต่อไปน้ี 1) ช่ือโครงการ การตั้งชอื่ โครงการสามารถตั้งได้หลายลกั ษณะ ดังตอ่ ไปน้ี - ต้ังช่อื ตามลักษณะของผเู้ ข้าประชุมสมั มนา - ต้งั ช่ือตามเน้ือหาทจ่ี ะประชมุ สมั มนา - ตั้งชอ่ื ตามกิจกรรมทป่ี ระชมุ สัมมนา - ตง้ั ชื่อตามปัญหาทจี่ ะประชุมสัมมนา 2) ผ้รู ับผิดชอบโครงการ อาจเป็นหน่วยงาน องค์การ หรือบคุ คล 3) หลักการและเหตผุ ล เป็นการกลา่ วถึง ปญั หาและความ จำเป็นทจี่ ะต้องประชุมสัมมนาในหัวขอ้ ดงั กล่าว ซง่ึ การเขียนหลกั การและเหตผุ ล ทำไดโดยการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลมาอ้างอิง ประกอบเพื่อเป็นเหตุผลว่ามีความจำเป็นอย่างที่จัดประชุมสัมมนาหัวข้อ ดังกล่าว

67 4) วัตถปุ ระสงค์ ตอ้ งเขียนใหส้ มั พนั ธ์กับหลักการและเหตุผล โดย เขยี นใหช้ ัดเจนว่าประชุมสัมมนาเพือ่ อะไร มเี ป้าหมายท่สี ำคัญอยา่ งไร 5) กลุ่มเป้าหมายหรือผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนา กำหนดไว้ให้ ซดั เจนว่าเป็นใคร มคี ุณสมบัตอิ ยา่ งไรมจี ำนวนเท่าใด และจากทีไ่ หน 6) วทิ ยากร กำหนดว่าคือใคร มคี ุณสมบตั ิอย่างไร ติดต่อได้จากที่ ไหน 7) ระยะเวลา กำหนดให้แนน่ อนวา่ จะประชุมสัมมนากีว่ นั เริม่ ตง้ั แต่วนั ใด และสิน้ สดุ ในวนั ใด 8) สถานที่ กำหนดให้ชัดเจนว่าในแต่ละกิจกรรมที่จัดในระหว่าง การประชุมสัมมนานั้น จะไซ้สถานที่ที่ใดบ้าง เช่น พิธีเปิด - พิธีปิดการประชุมสัมมนา การ ประชุมสัมมนา กลุ่มใหญ่ การประชุม สัมมนากลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มจะใช้ห้องใด และจะต้องแจ้งให้ ผูเ้ ข้ารว่ มประชุมสมั มนา ทราบด้วย 9) วิธีการประชุมสมั มนา กำหนดให้ซัดเจนว่าจะใช้วิธีใดบ้าง เช่น การบรรยาย การอภิปราย การปฏบิ ตั จิ รงิ เปน็ ต้น 10) งบประมาณ กำหนดรายรับ-รายจ่าย ที่จะใช้ในการจัด ประชมุ สัมมนาว่าจะได้รายรับ มาจากที่ไหนบ้าง เชน่ จากคา่ ลงทะเบียน จากเงินอุดหนุนของหน่วยงาน เป็นต้น และรายจ่ายจะต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่าวัสดุที่ใช้ในการประชุมสัมมนาพิธีเปิด - พิธีปิด ค่า สมนาคุณวิทยากร เป็นต้น ซึ่งผู้จัดประชุมสัมมนาจะต้องคิดคำนวณงบประมาณใหซ้ ัดเจน จะได้ไม'เกิด ปัญหาในภายหลงั 11) การประเมินผล กำหนดวิธีการประเมินผลให้ซัดเจน จะ ประเมินผลด้วยเครื่องมือหรือ เทคนิคอะไรก็ได้ที่เหมาะสม เช่น ใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และ การสงั เกต เป็นตน้ 12) ผลที่คาดว่าจะได้รับ มีการคาดคะเนว่าหลังจากกา ร ประชุมสมั มนาแลว้ ผเู้ ขา้ ร่วมประชมุ สัมมนาจะไดร้ ับประโยชน์อะไรบ้างจากการประชมุ สมั มนาคร้งั นี้ 13) กำหนดการประชุมสัมมนา กำหนดตารางการประชุมสัมมนา ในแต่ละวัน โดยระบุเวลาและกิจกรรมที่จะทำอย่างซัดเจน เพื่อผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้เข้าร่วมการ ประชมุ สมั มนาสามารถเตรียมตวั ลว่ งหนา้ ได้ อน่ึง หัวข้อของโครงการดังกล่าวสามารถปรับให้ยืดหยุ่นไดต้ าม ลักษณะของโครงการ 5.3.1.4 ข้ันดำเนินงานเตรยี มการจัดประชุมสัมมนา เมื่อทราบประเด็นปัญหาและตัดสินใจที่จะจัดประชุมสัมมนาแล้ว ควรเตรียมการจดั ประชมุ สัมมนา โดยปฏิบตั ติ ามลำดบั ขน้ึ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) การประชาสัมพนั ธ์การประชมุ สัมมนาให้ผทู้ ีเ่ ก่ยี วขอ้ งทราบ 2) ติดต่อเชิญวิทยากร ที่จะมาให้ความรู้แก่ผู้เข้าประชุมสัมมนา โดยวางแผนการตดิ ตอ่ เชญิ วิทยากร ดังต่อไปนี้ 2.1) สำรวจรายช่อื วทิ ยากรที่จะบรรยายตามหัวขอ้ ที่จะ ประชุมสมั มนา

68 2.2) กำหนดตัววิทยากรทีจ่ ะบรรยาย ทง้ั วทิ ยากรหลกั และวิทยากรสำรอง 2.3) ติดต่อทาบทามวิทยากรด้วยวาจาเป็นการส่วนตัวก่อน พร้อมทั้งแจ้งวัตถุประสงค์ขอบข่ายหัวข้อของการประชุมสัมมนา วัน เวลา สถานที่ และรายละเอียด เกยี่ วกับผู้เขา้ ประชุมสัมมนา 2.4) ทำหนังสือเชิญวิทยากรและขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ของวทิ ยากรพรอ้ มกบั สง่ กำหนดการประชุมสัมมนาใหว้ ทิ ยากร 2.5) ประสานงานกบั วทิ ยากรเพ่ืออำนวยความสะดวก เข่น ดา้ นการเดนิ ทาง ท่ีพัก และอื่นๆ 2.6) เชญิ ผูเ้ ขา้ รว่ มการประชุมสัมมนา 3) การเตรยี มการ ดา้ นสถานทแี่ ละอุปกรณ์ ดำเนินการ ดังต่อไปน้ี 3.1) ติดต่อขอใช้สถานที่ทำการประชุมสัมมนา หรือถ้ามี การศึกษาดูงานฝึกงาน ทศั นศึกษา ฯลฯ จะตอ้ งติดต่อหน่วยงานทเ่ี ก่ียวข้องพร้อมทง้ั ยานพาหนะท่ีจะใช้ ใน การเดนิ ทางดว้ ย 3.2) วางแผนการใช้สถานที่ในการจดั ประชุมสัมมนา การ จัด ห้องประชุมสัมมนา การเตรียม โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ ทีจ่ ะใช้ 3.3) จัดทำอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ในการประชุมสัมมนา เข่น ป้ายชื่อโครงการประชุมสัมมนา ป้ายชื่อวิทยากร ป้ายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนา ป้ายบอกทางไปยัง หอ้ ง ประชุมสัมมนา ป้ายลงทะเบยี น และป้ายอน่ื ๆ ท่จี ำเป็น 4) เตรียมการด้านการลงทะเบียน โดยจัดเตรียมแฟ้มบัญชี รายช่ือเพือ่ ความสะดวกในการลงทะเบยี น การแจกเอกสาร การเกบ็ เงิน และการสรุปผล และยังทำให้ผู้ จัด ทราบยอดจำนวนท่ีแทจ้ ริงของผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการประสานงาน กับฝา่ ย ตา่ งๆ เขน่ ฝา่ ยทพี่ ัก ฝา่ ยเอกสาร ฝ่ายอาหารและเครื่องด่ืม ตลอดจนการจัดแบ่งกลุ่มย่อย ถ้าผู้ เข้า ประชุมสัมมนามีจำนวนมาก ควรเตรียมแฟ้มสำหรับลงทะเบียนมากกว่า 1 แฟ้ม และรายชื่อควร พมิ พ์หนา้ เดยี ว เพื่อความสะดวกในการเซ็นชือ่ ลงทะเบียน 5) เตรียมการด้านเอกสารแจกผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนา เอกสารท่จี ะแจกผู้เข้ารว่ มการประชมุ สมั มนาควรจัดใสแ่ ฟ้มให้เรียบร้อย โดยมีเอกสารตา่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี 5.1) โครงการประชุมสมั มนา 5.2) กำหนดการประชมุ สมั มนา 5.3) คู่มอื ในการประชุมสมั มนา 5.4) รายชอื่ ผเู้ ข้าร่วมการประชมุ สัมมนา พร้อมแจ้งสังกัด ของผู้เข้ารว่ มการประชมุ สัมมนา 5.5) รายชอื่ ผู้เข้าร่วมการประชุมสมั มนา ตามกลมุ่ ในกรณีท่ี มีการแบง่ กลมุ่

69 5.6) เอกสารประกอบการประชุมสัมมนา 5.7) กระดาษเปลา่ สำหรับจดบนั ทึกเพม่ิ เติม 6) เตรียมการสำหรับพิธีเปิด-พิธีปิดการประชุมสัมมนา โดยการ รา่ งคำกลา่ วรายงานคำกล่าวประธานในพิธีเปิด-พธิ ปี ดิ การประชมุ สมั มนา 5.3.2 การดำเนนิ การระหว่างการประชุมสมั มนา เมื่อถึงกำหนดวันจัดประชุมสัมมนาคณะกรรมการแต่ละฝ่ายจะต้องดำเนิน กจิ กรรมตา่ งๆ ตามที่กำหนดไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 5.3.2.1 การต้อนรับผู้เข้าประชุมสัมมนา ได้แก่ ประธานในพิธี แขกผู้มี เกียรติ วทิ ยากรและผู้เขา้ สงั เกตการณ์ 5.3.2.2 การลงทะเบียน ผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนาทุกคน จะต้องเซ็นชื่อ ในบญั ชรี ายช่ือทที่ างคณะกรรมการฝา่ ยทะเบยี นจดั เตรยี มไว้ พร้อมกบั รับเอกสารการประชมุ สัมมนา 5.3.2.3 พิธีเปิดการประชุมสัมมนา ประธานคณะกรรมการดำเนินการจัด ประชุมสัมมนาจะเป็นผู้กล่าวรายงานความเป็นมาของการจัดการประชุมสัมมนาพร้อมกล่าวเชิญ ประธาน เพอ่ื กลา่ วเปิดการประชมุ สัมมนา 5.3.2.4 จัดประชุมกลุ่มใหญ่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะสร้างความเข้าใจที่ ตรงกันให้แก่ผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนาและกิจกรรมที่นิยมจัดในห้องประชุมใหญ่ ได้แก่ การบรรยาย การอภปิ ราย และการสาธิต 5.3.2.5 จัดประชุมกลุ่มย่อย หลังจากที่ได้รับความรู้ ความคิด จากวิทยากร ในที่ประชุมกลุ่มใหญ่แล้วให้แบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมสัมมนาออกเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะของปัญหาและ ความ สนใจ ซึ่งในกลุ่มย่อยจะร่วมกันถกปัญหา เสนอข้อคิดเห็น โดยมีวิทยากรประจำกลุ่มทำหน้าท่ี ดำเนินการ เลือกสมาชิกในกลุ่มขึ้นมาทำหน้าที่ต่างๆ คือ ประธานกลุ่ม รองประธานกลุ่ม เลขานุการ กล่มุ และ ผู้ช่วยเลขานุการกลุม่ ยอ่ ย 5.3.2.6 จัดประชุมรวมเพื่อรายงานผลการประชุม แนวทางการแก้ไข ปัญหาของแต่ละกลุ่มย่อยอภิปรายผลทั่วไป โดยประธานกลุ่ม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรายงานผลการ

70 ประชุมสัมมนาของแต่ละกลุ่มย่อยที่เสนอมานั้น ผู้เข้าประชุมสัมมนาทุกคนในที่ประชุมมีสิทธิท่ีจะ เสนอแนะข้อคิดเห็นหรือสนับสนุนได้ หลังจากที่ได้ปรับปรุงแก้ไขผลของการประชุมสัมมนาของแต่ละ กลุ่ม จนเป็นที่พอใจของสมาชิกส่วนใหญ่แล้ว เลขานุการของแต่ละกลุ่มจะต้องจดข้อความท่ี เปลี่ยนแปลง หรือ เพิ่มเติมจากสมาชิกในที่ประชุมใหญ่ ได้ร่วมกันอภิปราย เพื่อรวบรวมให้เลขานุการ คณะกรรมการจดั ประชมุ สัมมนา จัดพมิ พ์เป็นรายงานผลการประชุมสมั มนาของท่ีประชุมใหญ่ต่อไป 5.3.2.7 พิธีปิดการประชุมสัมมนา ประธานในพิธีปิดการสัมมนา อาจจะ เปน็ บุคคลเดียวกันกบั ประธานในพธิ ีเปิดการสัมมนาหรือคนละคนก็ได้ 5.3.3 การดำเนินการหลงั การประชุมสมั มนา ข้ันดำเนินการหลงั การประชมุ สัมมนา นับเป็นขนั้ ตอนประเมนิ ผล รายงานผล และตดิ ตามผลการประชมุ สัมมนาเม่อื การประชมุ สัมมนาสน้ิ สดุ ลงแล้ว คณะกรรมการดำเนินการจัดการ ประชมุ สมั มนาจะตอ้ งปฏิบตั ภิ ารกิจ ดังตอ่ ไปน้ี 5.3.3.1 วิเคราะห์การประเมินผลการประชุมสัมมนา โดยผู้จัดการ ประชุมสัมมนาต้องติดตามผลทั้งทางฝ่ายสมาชิกผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนาและฝ่ายคณะกรรมการ ดำเนินงานทั้งหมด แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อประมวลผลออกมาเป็นผลสรุปของการ ประชุมสัมมนา ในครั้งนั้นแล้วจัดพิมพ์เป็นรายงานการประชุมสัมมนาแจกจ่ายไปยังบุคคลหรือ หนว่ ยงานตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง กับการจดั ประชุมสมั มนา 5.3.3.2 รายงานผลการประชุมสัมมนาตอ่ ผบู้ ังคบั บญั ชา ผ้จู ดั ประชุมสมั มนา ต้องรายงานผลการประชุมสัมมนาให้ผู้บังคับบัญชาทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ภายหลังจากการ ประชุมสัมมนาสิ้นสุดลงว่าการจัดประชุมสัมมนาในครั้งนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหน ดไว้มากน้อย เพยี งใด มีปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง มีขอ้ เสนอแนะและวธิ กี ารแก้ไขอย่างไร 5.3.3.3 ทำหนังสือแจ้งผลการประชุมสมั มนาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้จัด ประชุมสัมมนาจะต้องแจ้งผลการประชมุ สัมมนาไปยังหน่วยงานของผู้เข้าร่วมประชุมสมั มนา ซึ่งอาจจะ พิมพ์เป็นรายงานการประชุมสัมมนา เพ่ือทีห่ น่วยงานนน้ั ๆ จะได้ใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน บุคลากร ตอ่ ไป

71 5.3.3.4 ดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ ผู้จัดการ ประชมุ สัมมนา จะตอ้ งดำเนินการเบิก - จา่ ยให้เป็นทเ่ี รยี บรอ้ ย เช่น คา่ ตอบแทนวทิ ยากร ค่าอาหารว่าง และเคร่อื งดม่ื ค่าใชจ้ า่ ยในพิธีเปดิ - ปิด คา่ วัสดอุ ปุ กรณต์ า่ งๆ ทีใ่ ชก้ ารดำเนินการจัดประชมุ สัมมนา เป็น ตน้ 5.3.3.5 ติดตามผลและวิเคราะหก์ ารติดตามผลการประชุมสัมมนา ภายหลงั จากที่ผ้เู ขา้ ร่วมการประชุมสัมมนาได้กลบั ไปปฏิบัติงานในหนว่ ยงานระยะหน่ึง ผ้จู ัดการ ประชุมสัมมนา ควรจะติดตามผลวา่ ผู้เข้ารว่ มการประชุมสมั มนา ได้นำความรแู้ ละประสบการณ์จากการ ประชุมสัมมนา ไปใช้ปรับปรุงงานในหน้าที่ได้ผลเพียงใด และต้องนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ดูว่าสิ่งใดที่เป็น ประโยชน์ และสิ่งใดที่ควรแกไข เพื่อให้การจัดประชุมสัมมนาครั้งต่อไปได้ผลตรงตามที่ผู้เข้าร่วมการ ประชมุ สัมมนาจะสามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ได้ 5.4 การอภปิ ราย ผอบ โปษะกฤษณะได้ให้ความหมายของการอภิปรายไว้ว่า การอภิปราย คือ การที่ บคุ คลกลุ่มหนึ่ง มีเจตนาจะพิจารณาเรื่องใดเร่ืองหน่ึงปรึกษาหารือกัน ออกความคิดเห็นเพ่ือแก้ปัญหาท่ี มีอยู่ หรือเพื่อ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น ถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้รับให้ได้ทราบซึ่งใน ทีส่ ดุ กม็ กี ารตดั สิน ตกลงใจร่วมกนั (ผอบ โปษะกฤษณะ อา้ งจาก สมพงศ์ เกษมสิน, 2519) 5.4.1 ลักษณะการอภปิ ราย 5.4.1.1 จำนวนผู้อภิปรายประมาณ 5 - 20 คน 5.4.1.2 จะตอ้ งเป็นการปรึกษาหารือเป็นกลุม่ 5.4.1.3 จุดมุ่งจะต้องแก้ปัญหาร่วมกัน หรือแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ทัศนคติ และประสบการณร์ ว่ มกัน 5.4.1.4 ผ้มู าอภิปรายจะตอ้ งสนใจในเรือ่ งอยา่ งเดยี วกนั 5.4.2 จุดม่งุ หมายของการอภปิ ราย 5.4.2.1 เพือ่ ฟกิ ความคิดแบบประชาธปิ ไตย 5.4.2.2 เพ่อื ชว่ ยใหผ้ ู้ร่วมอภิปรายได้ทำงานร่วมกันรจู้ ักปรบั ตัวและรจู้ กั เป็นผู้นำและผ้ตู ามที่ดี 5.4.2.3 การอภิปรายมีจุดมงุ่ หมายเพอ่ื หาข้อเทจ็ จรงิ 5.4.2.4 เพื่อนำความรู้หรือข้อคดิ เห็นมาแกป้ ญั หาสังคม 5.4.2.5 เพอ่ื นำความรู้ ความคดิ เหน็ ทไ่ี ดจ้ ากการอภิปรายไปใช้ปฏบิ ัติใน ชวี ติ ประจำวนั 5.4.3 ประเภทของการอภิปราย การอภปิ ราย ส่วนมากแบ่งออกได้ 3 แบบคอื 5.4.3.1 การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) เป็นการอภิปรายที่ใช้คน ไม่จำกัดจำนวน ผู้อภิปรายจะเป็นทั้งผู้พูดและผลัดกันเป็นผู้ฟ้ง เพราะการอภิปรายแบบนี้จะไม,มีผู้ฟ้ง ผอู้ ภิปรายจะมจี ำนวนไม,เกิน 20 คน การอภิปรายแบบนม้ี ักใชก้ ันมากในวงการศึกษาหรือหนว่ ยราชการ โดยทว่ั ไป 5.4.3.2 การอภิปรายในที่ชุมชน (Public Discussion) เป็นการอภิปรายท่ี ประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่ายคือ มีผู้อภิปรายเป็นผู้พูด และผู้ฟังอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อการอภิปรายยุติลงจะมี

72 การ เปิดให้ซักถาม (Forum - period) การอภิปรายนี้มีประโยชน์มากที่สุดในการให้ความรู้ ความคิด ประสบการณ์ ขอ้ เท็จจรงิ และเป็นการแกป้ ัญหาสงั คมโดยส่วนรวมดีที่สุด 5.4.3.3 การอภิปรายแบบโต้วาที (Debate) เป็นการอภิปรายแบบโต้แย้ง กันอย่างมีเหตุผล โดยมีผู้ด้านฝ่ายหนึ่งและผู้เสนออีกฝ่ายหนึ่ง หาเหตุผลมาหักล้างความคิดซึ่งกันและ กัน ฝา่ ยใดมีเหตผุ ลดกี ว่าอกี ฝ่ายหนง่ึ ฝา่ ยมเี หตุผลกว่ากจ็ ะได้รบั ชัยชนะ โดยมปี ระธานเป็นผู้ตัดสินหรือ ดำเนินการโต้วาทีให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย วิธีการน้ีใช้สำหรับหาข้อมูลหรือนโยบายที่ต้องการเลือกส่ิง หนง่ึ ส่ิงใดไปปฏิบัตแิ ละยังตกลงกนั ไม่ได้ ตอ้ งอาศยั วิธีการอภิปรายน้ีในการประชุมตัดสนิ วิธีนี้ส่วนมาก ใช้ใน การประชุมพิจารณาเร่ืองสำคัญหรือใช้ในทป่ี ระชมุ สภา 5.4.4 การอภิปรายในทีช่ ุมชน มีลกั ษณะของการจัดหลายแบบดงั น้ี 5.4.4.1 การอภปิ รายแบบพาเนล (Panel Discussion) การอภิปรายแบบนี้จะให้สมาชกิ ประมาณ 3 คน 6 คน หรือ 8 คน ผู้พูดจะมีความรู้โดยทั่วไป อภิปรายหรือพูดในปัญหาอย่างเดียวกันโดยผู้พูดเป็นผู้ที่ศึกษาหาความรู้ด้น ควา้ หาหลกั ฐานข้อเทจ็ จริงมาพูดต่อหนา้ ผู้ฟ้ง เป็นการสนทนาอยา่ งเป็นกันเอง โดยมผี ู้ดำเนินการเป็นผู้ เชิญ ให้ผู้อภิปรายแสดงความรู้ ความคิดและให้ข้อเสนอแนะ สำหรับตอนท้ายของการอภปิ รายควรเปิด โอกาส ใหผ้ ู้ฟง้ ไดร้ ่วมอภปิ รายด้วย การอภปิ รายแบบนีเ้ หมาะสำหรับการแยกแยะประเด็นปัญหา และผู้ อภิปราย ทุกคนจะเปน็ ผู้ศึกษาหาความรู้ด้นคว้าข้อเทจ็ จริงในเรื่องท่ีจะอภิปรายมาก่อนแล้วนำมาพูดให้ ผูฟ้ ง้ พิง การพูดของผู้อภิปรายแต่ละคนจะเป็นการพูดตามทัศนะของตน การอภิปรายแบบนี้นิยมใช้กันมากในองค์การทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวง การศึกษา 5.4.4.2 การอภิปรายแบบซิมโปเซยี ม (Symposium Discussion) การอภิปรายนี้เป็นการอภิปรายทางวิชาการ เพื่อแลกเปลี่ยน ความรู้โดยผู้อภิปราย แต่ละคนจะเตรียมค้นหาความรู้ข้อเท็จจริงเฉพาะตอนหนึ่งตอนใดของเรื่องมา อภิปรายตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผู้อภิปรายแบบนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการในด้านใดด้านหนึ่ง ส่วนผู้ดำเนินการอภิปรายจะมีหน้าที่เชื่อมโยงเรื่องต่างๆ ให้ต่อเนื่องประสานกันให้เป็นไปด้วยดีตลอด ระยะเวลาของการอภิปราย หน่วยงานที่ใช้การอภิปรายแบบนี้กันมาก ได้แก่ หน่วยงานทางการศึกษา แพทย์ ทหาร และธุรกจิ วิธีดำเนินการอภิปรายเหมือนกันกับการอภิปรายแบบพาเนล แตกต่างกันเพียงแต่วา่ การจัดอภปิ รายแบบชิมโปเซยี ม มีลักษณะเป็นวชิ าการท่ีให้ความรู้ลึกซึ้งมากกวา่ การอภิปรายแบบชิมโปเซียมน้ี บางครั้งมักเรียกว่า “ชุมชนปาฐก” เพราะมีลักษณะคล้ายผู้อภิปรายมา บรรยายโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขามาอภิปรายให้ความรู้แก่ที่ประชุม ผู้ อภิปรายจะใช้เวลาประมาณคนละ 10-15นาทีเป็นอย่างน้อย และเวลาการอภิปรายแบบนี้ไม่ควรเกิน 2 - 3 ช่วั โมง

73 ขอ้ แตกต่างระหวา่ งการอภิปรายแบบพาเนลและแบบชิมโปเฃียม แบบพาเนล แบบชิมโปเขียม 1. ลกั ษณะการจัดเป็นกนั เอง 1. ลกั ษณะการจัดเปน็ ทางการมากกว่า 2. วัตถุประสงค์ในการอภิปรายจะเป็นการ 2. ผู้อภิปรายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้ อภิปราย ความรู้ท่วั ๆ ไป เฉพาะด้าน 3. จำนวนคนในการอภปิ ราย 3 - 8 คน 3. จำนวนคนประมาณ 2 - 5 คน 4. ผฟู้ ง้ ไดร้ บั ความรูท้ ่ัวๆ ไป 4. ผู้ฟ้งได้รับความรู้อย่างกว้างขวางละเอียด 5. ผู้ร่วมอภิปรายมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและเพราะ เป็นการรวบรวมผู้อภิปรายที่เชี่ยวชาญ กัน ไดอ้ ยา่ งเสรี หลายๆ ดา้ นมาไวด้ ้วยกัน 5. ผู้ร่วมอภิปรายมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันน้อย 5.4.4.3 การอภปิ รายแบมบาปกจุ หฉราือ-ไมวสิ่มชัีเลนยาเพ(Cรoาะllตoา่ qงuพyูด)ในเรอื่ งทตี่ นถนัด การอภิปรายแบบน้ีในประเทศไทยมกั เรยี กว่าการอภิปราย แบบปุจฉา-วิสัชนา หรือบางครั้งก็เรียกว่าการอภิปรายแบบโต้ปัญหาระหว่างกลุม่ วิทยากรกับกลุ่มผู้พดู ผู้ฟ้งสามารถซักถามกลุ่มวิทยากรได้อย่างใกล้ชิดซึ่งเป็นการแกไขข้อข้องใจระหว่างกลุ่มคนทั้งสองกลุ่ม ได้ เปน็ อยา่ งดี 5.4.5 วิธดี ำเนนิ การอภปิ ราย 5.4.5.1 แบ่งกลมุ่ บุคคลออกเปน็ 2 กลมุ่ คอื กลุ่มผู้ถามซึ่งเป็นผูฟ้ ้ง และกลุ่ม ผ้ตู อบซงึ่ เป็นวิทยากร 5.4.5.2 จัดให้กลุ่มผู้ถามและกลุ่มวิทยากรนั่งคนละด้านโดยผู้ดำเนินการ อภปิ รายคอยควบคมุ การซักถาม ระหวา่ งกลมุ่ บคุ คลท้งั สองกลุม่ 5.4.5.3 เมื่อมกี ารโตป้ ัญหา ผดู้ ำเนินการอภปิ รายควรสรปุ ปัญหาเป็นเรอ่ื งๆ หรือเป็นประเด็นๆ ไป 5.4.5.4 ผู้ดำเนินการอภิปราย จะต้องเป็นผู้สรุปการอภิปรายหลังจากเสร็จ สิ้นการโต้ปัญหาแล้ว รวมท้งั สรปุ ผลการอภิปรายปญั หาตา่ งๆ ทโี่ ต้ตอบกันมาแลว้ ดว้ ย 5.4.5.5 การอภิปรายแบบนผ้ี ู้ดำเนินการอภิปรายจะต้องมคี วามสามารถ ใน การควบคมุ รายการอภปิ รายไดด้ ี ตลอดจนควบคมุ เวลาในการพดู อย่างเคร่งครัด และการอภปิ รายแต่ละ ครั้งไม,ควรเกิน 2 ชว่ั โมง 5.4.6 หน้าที่ของวิทยากร 5.4.6.1 ควรตอบคำถามใหต้ รงจดุ ประสงค์ของผถู้ าม 5.4.6.2 ควรสรา้ งบรรยากาศเปน็ กนั เอง 5.4.6.3 ควรควบคมุ อารมณ์ใหม้ น่ั คงในการถกู ซักถาม 5.4.7 หนา้ ท่ีของผูถ้ าม 5.4.7.1 ใช้ภาษาสภุ าพในการถามวทิ ยากร 5.4.7.2 ถามปัญหาทน่ี ่าสนใจร่วมกัน 5.4.7.3 ถามเพ่ือมจี ดุ ม่งุ หมายไม่ใชเ่ พ่ือลองภูมิความรู้

74 5.4.8 การเสอื กเรอ่ื งท่ีจะอภปิ ราย 5.4.8.1 เรื่องที่นำมาอภิปรายไม่ควรใช้เวลาอภิปรายนานนัก ควรใช้เวลา อภปิ ราย 1-2 ชวั่ โมง กส็ รปุ ผลได้ 5.4.8.2 ปัญหาที่นำมาอภิปรายควรเป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือเป็น ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม เมือ่ อภิปรายแลว้ จะได้ผลนำไปปฏิบัติ 5.4.8.3 ปัญหาที่เลือกควรเป็นปัญหาที่น่าสนใจในขณะนั้น หรือเป็น ที่ น่าสนใจของผู้ฟง้ เช่น ปัญหาโรคเอดส์ ปญั หานำ้ ท่วม ฯลฯ 5.4.8.4 เรอื่ งท่นี ำมาอภปิ ราย ควรเปน็ เร่ืองที่สนใจรว่ มกนั ของสมาชิก ในกลมุ่ ทีจ่ ะจัดอภปิ ราย 5.5 สมั มนา (Seminar) การสัมมนาเป็นการประชมุ กลุ่มประเภทหนง่ึ ทตี่ ้องอาศยั กลุ่มเป็นหลกั โดยท่ัวไป ผู้ท่ี จะเข้าสัมมนาจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ มาประชุมเพื่อศึกษาปัญหา วิเคราะห์ สรุป และหาแนวทางแลป้ ญั หาร่วมกันตามหลกั การของประชาธปิ ไตย การสมั มนา หมายถึง การประชุมทส่ี มาชกิ ซ่ึงมีความรู้ ความสนใจในเร่อื งเดียวกันมา ประชุมดว้ ยความรว่ มใจ ปรึกษาหารือ ร่วมใจกนั คดิ ชว่ ยกนั แกป้ ัญหา 5.5.1 สาเหตขุ องการสัมมนา การสัมมนาจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากเกิดปัญหาขึ้นในสถาบัน หน่วยงาน องค์การ หรือส่วนราชการต่างๆ และปัญหาเหล่านั้นเป็นปัญหาร่วมกันที่ทุกคนต้องการคลี่คลาย ที่จะ แก้ปัญหาเหล่านั้นให้ดีขึ้น จึงหาวิถีทางหรือวิธีการมาประชุมร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือ จัด ประชุมอบรมร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่จะได้นำไปใช้แก้ปัญหาได้ต่อไป ส่วนรายวิชาสัมมนา การศึกษาเป็นกระบวนการหนึ่งที่จัดขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และสามารถนำเอาวิธีการไปใช้ไ ด้ หลงั จาก สำเรจ็ การศกึ ษาไปแล้ว 5.5.2 ลักษณะของการสัมมนาที่ดี ลักษณะของการสัมมนาที่ดีนั้น สมาชิกที่เข้าร่วมสัมมนาทุกคนจะต้องทราบ วัตถุประสงค์ของการสัมมนาอย่างละเอียด และผู้จัดจะต้องพยายามจัดให้สมาชกิ ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ มี ประสบการณ์ในการเรียนรู้และแก้ปัญหาร่วมกันอย่างมีระบบระเบียบ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ ขอ้ เท็จจรงิ ระหวา่ งสมาชิก ผ้เู ขา้ ร่วมสมั มนาจะต้องมีทัศนคตทิ ี่ดีต่อปญั หาและจริงใจต่อการทำงาน ตามที่ กลุ่มมอบหมาย นอกจากนี้ในการสัมมนาแต่ละครั้งสิ่งทีจ่ ะขาดเสียไม,ได้น้ันก็คือการมีผู้นำและผู้ ตามที่ดี มีผฟู้ ้งและผูพ้ ดู ทดี่ ี ทง้ั นีเ้ พือ่ ให้บรรลเุ ป้าหมายของการสมั มนาทต่ี ้ังไว้ 5.5.3 ประโยชน์ของการสัมมนา 5.5.3.1 ชว่ ยให้ผเู้ ข้าร่วมสัมมนามีความรู้ ความคิด และประสบการณ์ เพิม่ ขนึ้ 5.5.3.2 ช่วยให้ผเู้ ข้ารว่ มสมั มนาได้ข้อเสนอแนะ หรอื แนวทางใน การแก้ปัญหาตา่ งๆ 5.5.3.3 ชว่ ยใหผ้ เู้ ข้าร่วมสมั มนา ได้มีประสบการณ์ในการแกป้ ัญหารว่ มกนั โดยไซค้ วามคิดอย่างมีเหตผุ ล 5.5.3.4 ชว่ ยใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมสัมมนารู้จกั กันดีย่งิ ข้นึ

75 5.5.3.5 ช่วยกระตนุ้ ใหผ้ เู้ ข้าร่วมสัมมนาเกิดความคดิ ท่จี ะปฏิบตั ิอย่างใด อย่างหนง่ึ ต่อไป 5.5.3.6 ช่วยฟิกฝนผูเ้ ข้ารว่ มสัมมนาให้ยอมรับผลการตดั สินใจ โดยใช้ กระบวนการกลมุ่ 5.5.3.7 ช่วยใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมสมั มนาได้แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซงึ่ กนั และกนั 5.5.3.8 ผลของการสัมมนาจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สัมมนาแก,บุคคล และ สถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการสมั มนาโดยตรง นอกจากนี้ยังจะเป็นประโยชน์ต,อผู้ที่จะศึกษา ในเร่ืองทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การใช้ในการสัมมนาต่อไป 5.5.4 ผมู้ สี ่วนรว่ มในการสมั มนา ในการสมั มนาจะมีบคุ คลฝา่ ยตา่ งๆ เก่ียวขอ้ งเปน็ จำนวนมาก ผมู้ สี ว่ นร่วม ใน การสมั มนาแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 5.5.4.1 กลุ่มผู้จัดการสัมมนา เป็นกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทต่อความสำเร็จ หรือความลม้ เหลวในการสัมมนาแตล่ ะคร้งั เปน็ อย่างมาก กลมุ่ น้ีแบ่งเป็น 2 กลมุ่ ยอ่ ย คือ 1) คณะกรรมการจัดดำเนนิ การสมั มนา (Steering Committee) จะเปน็ คณะกรรมการกลางทด่ี ำเนนิ การในเรื่องนโยบาย และการปฏิบัตติ า่ งๆ ให้สำเร็จ ดว้ ยดี ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน เลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการ นายทะเบียน ประธาน อนุกรรมการ ฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายเอกสาร ฝ่ายสถานที่และบริการ ฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม ฝ่าย กิจกรรมและวิทยากร ฝ่ายการเงนิ ฝ่ายวัดและประเมินผล เปน็ ต้น 2) เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้แก่ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใน คณะอนุกรรมการ แตล่ ะฝา่ ย เชน่ ผู้พิมพเ์ อกสาร ผเู้ รียงเอกสาร เจา้ หนา้ ที่โรเนียวเย็บเล่ม เจ้าหน้าที่สื่อ วสั ดุ โสตทศั นูปกรณ์ และเจ้าหน้าท่ผี ู้จัดหอ้ งประชุม ฯลฯ 5.5.4.2 กลุ่มวิทยากรหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกลุ่มที่คณะกรรมการ ดำเนินการสัมมนาเชิญมา เพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาก่อนทำการสัมมนา หรือระหว่างทำการ สัมมนา สำหรับการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ก่อนทำการสัมมนานั้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แนวคิด บาง ประการที่จะใช้ประโยชน์ต่อการสัมมนาในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยากรที่ถูกเชิญมาพูด ครัง้ นั้น จะเปน็ ผู้ทรงคณุ วุฒิ และมหี นา้ ทเ่ี กีย่ วข้องกบั เรื่องที่จะจดั สัมมนาอย่างแท้จริง ข้ันตอนนี้จะเป็น สว่ นหนง่ึ ที่ มุง่ เสริมความรู้ และแนวคดิ ใหผ้ เู้ ข้ารว่ มสัมมนาได้เป็นอยา่ งดี 5.5.4.3 กลุ่มสมาชกิ ผ้รู ่วมการสมั มนา การสมั มนาจะสำเร็จลลุ ่วงลงไปไมได้ ถ้าขาดสมาชิกผู้เข้าร่วมการสัมมนา และในการสัมมนาแต่ละครั้งผู้เข้าร่วมการสัมมน าเป็นผู้ที่ ประสบการณ์ มากในเรื่องที่จะสัมมนา ผลของการสัมมนาจะออกมาดี แต่ถ้าผู้เข้าร่วมมีประสบการณ์ น้อย และไม,เอาใจ ใส่ต่อปัญหาของการสัมมนา ก็จะทำให้การสัมมนาในครั้งนั้นประสบความล้มเหลว ดงั นัน้ ผเู้ ข้าร่วมสัมมนา จึงตอ้ งมีความต้งั ใจอย่างจริงจังต่อปญั หา และช่วยกันพิจารณาหาแนวทางท่ีจะ แกไขปญั หารว่ มกันอย่างมี ประสทิ ธิภาพ 5.5.5 กระบวนการจดั สัมมนา การจัดสัมมนาทั่วไปแบ่งออกได้ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมการก่อนการ สัมมนา ขั้นดำเนินการระหว่างการสัมมนา และขั้นประเมินผลหลังการสัมมนา ซึ่งแต่ละขั้นเหล่านี้ มี

76 รายละเอียดที่จะต้องดำเนินการหลายอย่าง ผู้ดำเนินการสัมมนาจำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนว่า การจัดการสัมมนาในแต่ละครั้งนั้น จะต้องเตรียมการอะไรบ้าง มีอะไรที่ต้องทำก่อน มีอะไรต้องทำที หลงั หรือทำพรอ้ มๆ กันได้ โดยเฉพาะผดู้ ำเนนิ การควรจะตอ้ งเตรยี มการในเรอ่ื งต่อไปนี้ 5.5.6 ข้ันเตรียมการกอ่ นการสมั มนา 5.5.6.1 จัดทำโครงการเพ่อื ขออนมุ ัตโิ ครงการ 5.5.6.2 ออกแบบสอบถาม และส่งแบบสอบถามไปยังอาจารย์ที่จะเข้าร่วม สมั มนา เพ่อื หาขอ้ มูลของเนือ้ หาวิชาที่อาจารย์ส่วนใหญ่ต้องการ ท่จี ะให้สัมมนาและนำมาวิเคราะห์ เพื่อ จัดทำตารางการสัมมนาและหลักสูตร 5.5.6.3 ออกแบบสอบถามเพื่อนำมาคำนวณ ค่าเบ้ยี เลยี้ ง พาหนะ และค่าท่ี พกั ของผเู้ ข้ารว่ มสัมมนา 5.5.6.4 แต่งตง้ั คณะกรรมการสมั มนา 5.5.6.5 จัดทำตารางสมั มนาและหลักสตู ร 5.5.6.6 เตรียมเอกสารประกอบการสมั มนา 5.5.6.7 แจ้งขา่ วเรอื่ งโครงการสัมมนาใหผ้ ้เู กี่ยวขอ้ งทราบ เช่น ประกาศ ในหนงั สอื พมิ พ์ 5.5.7 การดำเนินการเกย่ี วกับผเู้ ข้าร่วมสมั มนา 5.5.7.1 จัดทำแบบประวัติหรอื แบบลงทะเบียนของผเู้ ขา้ รบั การสมั มนา

77 บทที่ 4 แนวทางการประเมินผลนเิ ทศ การประเมินผลการนิเทศ หมายถึง การตีค่าเพื่อตดั สนิ ผลงานนิเทศการศึกษาท่ีกำลัง ดำเนนิ การอยู่และทีด่ ำเนนิ การไปแล้ว มีผลเป็นท่พี อใจหรอื ไม่ จำเปน็ ต้องมีการปรบั ปรุงสว่ นใด เพ่ือให้งานการ นเิ ทศ ประสบผลสำเร็จตามที่ตอ้ งการ การประเมินผลเป็นข้ันตอนสำคญั ขน้ั ตอนหน่ึง ในกระบวนการนเิ ทศ เป็นกระบวนการท่ตี ้องการรวบรวมข้อมลู ตา่ ง ๆ เพ่ือทราบความก้าวหน้า ปัญหา อปุ สรรค และความสำเร็จ ในการนเิ ทศการสอน การประเมนิ ผลการนเิ ทศภายในโรงเรียนและหรอื การนเิ ทศการเรยี นการสอนมีความจำเปน็ และสำคัญ อยา่ งยง่ิ ในการนิเทศการศกึ ษาและการนเิ ทศการสอน ในการประเมินผลดำเนนิ การ ได้หลายรูปแบบ เชน่ การประเมนิ ท้ังระบบ หมายถึง การทต่ี ้องมีการประเมนิ ทั้งปัจจยั ป้อนเข้า หรอื ปจั จัยนำเข้า (Input) ประเมินกระบวนการนเิ ทศการสอนซึ่งเป็นสว่ นหนง่ึ ทส่ี ำคัญของการนิเทศ การศึกษา และประเมินผลลพั ธ์ (Product) ซง่ึ หมายถงึ ผลลพั ธ์ของโครงการโดยภาพรวม และผลลัพธ์ ของกระบวนการนิเทศ การสอน ทค่ี รูได้รบั การนเิ ทศ เมอื่ มีการประเมินผลระบบการนเิ ทศ รวมถงึ โครงการการนเิ ทศของโรงเรยี นซึง่ อาจจะ มโี ครงการย่อย ๆ ภายใตโ้ ครงการนเิ ทศในโรงเรยี น โดยรวมก็ได้ ดังนน้ั รปู แบบของการประเมนิ เครื่องมือท่ี ใช้ในการประเมินและวิธกี ารประเมิน อาจจะเลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกับการนิเทศการศึกษาแตล่ ะเร่ือง และการนเิ ทศการสอนซ่ึงเนน้ เฉพาะ การนิเทศการจดั การเรยี นการสอนของครใู นขนั้ เรียนโดยตรง การประเมินผลโครงการกิจกรรม หรือตัวหลักสูตรใชห้ ลักการประเมนิ ผลท่คี ลา้ ยคลงึ กัน รวมทงั้ รปู แบบ ตา่ ง ๆ ท่เี ลือกใช้ในการประเมิน อาจจะมีการปรบั ประยุกต์ใชใ้ หเ้ หมาะสมกับวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมาย ของการประเมนิ ผล ท่ีสำคัญคือ ในการนเิ ทศนนั้ ควรมกี ารประเมนิ ทง้ั ดา้ นกระบวนการและผลลัพธ์ทเี่ กิด ขึน้ กับผูน้ เิ ทศด้วย เพ่ือที่จะ นำไปสู่การปรับปรุงและพฒั นากระบวนการนิเทศใหป้ ระสทิ ธิภาพและ ประสิทธผิ ลยง่ิ ข้ึนต่อไป ในการประเมนิ ผลใดกต็ าม จะประกอบด้วยการประเมนิ ผลเพือ่ การปรบั ปรงุ แกไ้ ข ซึง่ โดยทวั่ ไป จะมีการ ประเมินผลระหว่างดำเนนิ การและการประเมนิ ผลเพ่ือตัดสินผลการดำเนนิ การ เคร่อื งมอื การประเมินผลการนเิ ทศมีหลายแบบการที่จะใชเ้ ครอื่ งมือใดย่อมขึ้นอยู่กบั วัตถุประสงค์ หรือจุดมุง่ หมาย ที่กำหนดไว้เป็นสำคญั เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการประเมินผลการนิเทศ เช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสำรวจ การสัมภาษณ์ การตรวจสอบผลงานภาคปฏิบตั ิ การประชุม ปรกึ ษาหารือและ ทบทวนการปฏบิ ัติงาน การวิจยั ในเชิงประเมินผล การสังเกตการสอน การบนั ทึกวดิ ีทศั น์ การ บันทึกเสยี ง การสงั เกตการสอนโดยการเขา้ ไปนงั่ ในข้ันเรยี น การใช้แฟม้ สะสมผลงาน (Portfolio) ฯลฯ รูปแบบการประเมนิ ผลการนิเทศการสอน ประยุกต์จากรูปแบบการประเมินหลกั สูตรของ คณะกรรมการ Phi Delta Kappa Committee Model คณะกรรมการ Phi Delta Kappa เชอ่ื วา่ การประเมนิ ผล 4 ประการ ต่อไปนี้ มิความจำเปน็ 1. การประเมนิ สงิ่ แวดล้อม (Context evaluation) ในทนี่ ี้ หมายถึงการประเมนิ โรงเรยี น ผ้บู ริหาร ห้องเรยี น สอื่ และอปุ กรณ์ 2. การประเมนิ ตัวปอ้ น (Input evaluation) ซงึ่ มิความจำเป็นตอ่ การตัดสินใจหรือการ ออกแบบ จดุ ประสงค์ เพอื่ ตรวจสอบสมรรถภาพของส่ิงที่เกยี่ วขอ้ งในท่ีน้ีไดแ้ ก่ ครู ผนู้ ิเทศ นักเรยี น วิธกี ารนเิ ทศ เทคนิค เนอื้ หา เคร่ืองมือการนเิ ทศการสอน

78 3. การประเมนิ กระบวนการ (Process evaluation) ซึ่งจะนำไปสู่การตดั สินใจปฏบิ ตั ิ ในทนี่ ี้ หมายถึง การประเมินผลการนเิ ทศการสอน การสังเกตการสอน การเย่ียมชัน้ เรยี น การอบรม ฯลฯ 4. การประเมนิ ผลผลิต (Product evaluation) ที่ ได้รับดว้ ยการจัดหาขอ้ มลู ในการตัดสินซึ่งจะ บรรลไุ ดห้ รือในท่ีน้ีอาจหมายถงึ การประเมินผลท่ี เกิดขึ้นจากการนิเทศการสอน เชน่ ผลสมั ฤทธ์ิ การเรียนรู้ ของนักเรียน การนิเทศภายในโรงเรยี นบา้ นสบลี 1. ข้อมลู พ้นื ฐาน โรงเรยี นบ้านสบลีจดั การเรียนการสอน 2 ระดับ ไดแ้ กร่ ะดับปฐมวัย เปดิ สอนชัน้ อนุบาล 2 - อนบุ าล 3 ระดบั การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน เปิดสอนระดบั ประถมศึกษา ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1- 6 ปกี ารศกึ ษา 2563 มีนักเรียนทงั้ หมด 67 คน ระดบั ปฐมวัย 11 คน ระดบั ประถมศึกษา 56 คน มขี า้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 11 คน 1.1 ข้อมูลบุคลากร ท่ี ชื่อ - นามสกลุ วุฒิการศกึ ษา ตำแหน่ง ประจำช้ัน ผูอ้ ำนวยการ - 1 นายโชคอนนั ต์ อนันตสทิ ธโิ ชติ คม.หลกั สตู รและการสอน สถานศึกษา ครชู ำนาญการพิเศษ ป.1 ศษ.ม. บริหารการศึกษา ครชู ำนาญการ ป.6 ครชู ำนาญการ ป.5 2 นายสมบรู ณ์ ตไิ ชย ศษ.บ.ประถมศึกษา ครผู ชู้ ่วย ป.1 , ป.6 3 นายนพดล ใจมา กศ.บ.พลศกึ ษา พนกั งานราชการ ป.2 ครูอตั ราจา้ ง ป.3 4 น.ส.วลิ าสินี เมืองแมะ ศษ.บ.คณติ ศาสตร์ ครูอัตราจ้าง ป.4 ศษ.ม.บรหิ ารการศึกษา ครอู ัตราจา้ ง อบ.2 ครอู ตั ราจา้ ง อบ.3 5 นางสาวศริ ิรตั น์ วิไชยา กศ.บ.ภาษาไทย เจ้าหนา้ ที่ธุรการ ชา่ งปูน 4 5 นายไชยยันต์ ปนิ ใจกลุ ค.บ.คหกรรม 6 นายชยุตรา บุตรปะสะ ค.บ.สงั คมศึกษา 7. วา่ ที่ รต.ยุทธพงษ์ หวาน ศศ.บ.ภาษาไทย แหลม 8 นางสาวนฤมล หวานดี ค.บ.วทิ ยาศาสตร์ 9 นางสาวหทัยรัตน์ จติ คม ค.บ.ปฐมวยั 10 วา่ ท่ี รต.หญิงพชั รีพร มกั ได้ บช.บ การบัญชี 11 นายสิงหท์ อง อ่ิมเอิบ

79 1.2 ข้อมลู นักเรยี น จำแนกรายชน้ั ที่ ชั้น จำนวนนกั เรยี น หมายเหตุ ชาย หญิง รวม 1 อนุบาล 2 2 46 2 อนบุ าล 3 3 25 5 6 11 รวมอนบุ าล 8 6 14 3 ประถมศึกษาปที ่ี 1 8 19 4 ประถมศกึ ษาปีที่ 2 6 39 5 ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 4 37 6 ประถมศึกษาปีที่ 4 3 58 7 ประถมศึกษาปที ี่ 5 5 5 10 8 ประถมศึกษาปที ่ี 6 34 23 57 39 29 68 รวมประถมศึกษา รวมทง้ั หมด 2. จุดประสงคข์ องการนิเทศภายในโรงเรียนบ้านสบลี 2.1 เพอื่ ชว่ ยเหลือครูในการพฒั นาการเรยี นการสอน 2.2 เพอื่ พัฒนาการสอนของครใู หบ้ งั เกดิ ผลดีแก่นกั เรียนมากท่ีสุด 2.3 เพ่ือเพิ่มศักยภาพในการปฏิบตั ิการสอนของครู 2.4 เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพอื่ นครู 2.5 เพ่อื พฒั นาคุณภาพการศึกษาของโรงเรยี น 2.6 เพอ่ื สรา้ งขวญั และกำลังใจของครู 3. กระบวนการนิเทศ 3.1 นิเทศแบบ พาคดิ พาทำ รว่ มพัฒนาหรือวธิ กี ารนเิ ทศอืน่ ๆ ตามความถนดั 3.2 นิเทศห้องเรียน ภาคเรยี นละ 1 ครั้ง 3.3 นิเทศการสอน ภาคเรียนละ 2 ครง้ั 3.4 คณะกรรมการนิเทศสรุปผลการนเิ ทศ ภาคเรียนละ 1 ครง้ั 4. ข้ันตอนการนเิ ทศภายใน 4.1 ประชุมชแ้ี จง สร้างความตระหนกั แจ้งวตั ถุประสงค์ของการนเิ ทศภายในแก่คณะครู 4.2 แต่งตงั้ คณะกรรมการนเิ ทศภายในโรงเรียน 4.3 คณะกรรมการกำหนดรปู แบบการนิเทศภายในโรงเรยี น 4.4 ดำเนนิ การนเิ ทศตามปฏิทนิ 4.5 ประเมนิ ผลและพัฒนาการนิเทศ 4.6 สรุปผลการนเิ ทศ 4.7 รายงานผลการนเิ ทศ

80 5. เครื่องมือนเิ ทศภายใน เคร่ืองมอื การนิเทศภายในโรงเรยี นบ้านสบลีมที ้งั หมด 5 แบบ ดังนี้ 5.1 แบบประเมนิ ความพรอ้ มด้านการจัดบรรยากาศในห้องเรยี น และสิง่ อำนวยความสะดวก สำหรับครู ปฐมวยั (แบบนิเทศ 1) 5.2 แบบประเมนิ ความสามารถดา้ นคณุ ลกั ษณะความเป็นครู ดา้ นการจดั ประสบการณ์ สำหรับครปู ฐมวยั (แบบนเิ ทศ 2) 5.3 แบบประเมินความพรอ้ มดา้ นการจดั หอ้ งเรยี นและการควบคุมหอ้ งเรียน สำหรับครปู ระถมศึกษา (แบบนเิ ทศ 3) 5.4 แบบประเมินความสามารถดา้ นคุณลักษณะความเป็นครู ด้านการปฏบิ ัตงิ านและดา้ นความสามารถ การสอน สำหรับครปู ระถมศึกษา (แบบนเิ ทศ 4) 5.5 แบบบันทึกการนิเทศการจัดกระบวนการเรยี นรู้ แบบนเิ ทศ 1 – 4 เปน็ แบบนเิ ทศแบบประเมินค่า 5 4 3 2 1 สร้างเครือ่ งมอื นิเทศดว้ ยโปรแกรม Google Form และประมวลผลด้วย Google sheet ผู้นเิ ทศสามารถใช้โทรศพั ท์เคลื่อนท่ี แท็บเล็ต หรือคอมพวิ เตอร์พีซีในการประเมนิ ผ่านทาง QR Code หรือทางเว็บไซต์โรงเรยี น แบบนเิ ทศ 5 เป็นแบบนิเทศการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้รายวิชา ผนู้ เิ ทศประเมินดว้ ยการบันทึกจุดเด่น จุดควรพัฒนา

81 คำชี้แจง แบบนเิ ทศ 1 แบบประเมนิ ความพรอ้ มด้านการจดั บรรยากาศในหอ้ งเรียน และส่งิ อำนวยความสะดวก (สำหรบั ครูปฐมวยั ) 1. แบบประเมนิ ความพรอ้ มของหอ้ งเรียนในด้านการจัดบรรยากาศและส่งิ อำนวยความสะดวกในหอ้ งเรียนที่ เอือ้ ต่อการจัดประสบการณ์สำหรบั เดก็ ปฐมวัย ช้ันอนบุ าล 2 - 3 2. ผปู้ ระเมนิ คือ คณะกรรมการนิเทศ 3. ผรู้ บั การประเมนิ คอื ครูประจำชนั้ ครผู ้สู อน 4. ประเมินโดยการสงั เกต ตรวจเอกสารประจำห้องเรียน สมั ภาษณ์ 5. เอกสารแบบท่ี 1 การประเมินใหเ้ ป็นระดับคุณภาพ 5 , 4, 3, 2 และ 1 5 คะแนน คอื มคี รบตามที่กำหนด และเปน็ ปัจจุบัน มคี วามเปน็ ระเบียบ เรียบรอ้ ย สะอาด 4 คะแนน คือ มคี รบตามทก่ี ำหนด แต่ไม่เป็นปัจจุบนั มีความเป็นระเบยี บ เรียบร้อย สะอาด 3 คะแนน คอื มไี ม่ครบและไม่ต่ำกว่า 50 เปอรเ์ ซ็นต์ แต่มีความเปน็ ระเบียบ เรยี บร้อย สะอาด 2 คะแนน คือ มไี ม่ครบและต่ำกวา่ 50 เปอรเ์ ซน็ ต์ แตม่ ีบางสว่ นขาดความเป็น ระเบยี บเรยี บร้อย และขาดความสะอาด 1 คะแนน คือ มีไม่ครบและต่ำกวา่ 30 เปอรเ์ ซ็นต์ ขาดความ เปน็ ระเบียบ เรยี บร้อย และขาดความสะอาด ประเมนิ ปีการศกึ ษาละ 2 คร้ัง คอื มถิ ุนายน 2563 และ พฤศจกิ ายน 2563 เพอื่ เตรยี มความพร้อมใน การจัดการเรยี นการสอน แบบนเิ ทศ 2 1. แบบประเมนิ ครูผสู้ อนระดับปฐมวัยประกอบดว้ ย 4 ด้าน ได้แก่ ดา้ นงานธุรการห้องเรียน ดา้ นการจดั ประสบการณ์ ด้านการวัดและประเมนิ พฒั นาการ กาและการวิจยั ในช้นั เรยี น 2. แบบประเมนิ น้ีใช้ประเมินครูผู้สอน นกั เรยี น กิจกรรมการเรยี นการสอน และผลการปฏบิ ัตงิ านของครู ช้ัน อนุบาล 2 - 3 3. ผปู้ ระเมิน คือ คณะกรรมการนเิ ทศ 4. ผรู้ บั การประเมิน คือ ครูประจำชนั้ ครูผู้สอน นกั เรียน 5. ประเมนิ โดยการสังเกต ตรวจเอกสารประจำหอ้ งเรียน สมั ภาษณ์ 6. ระดับคุณภาพ ระดับ 1 ปรบั ปรงุ ระดับ 2 พอใช้ ระดบั 3 ปานกลาง ระดบั 4 มาก ระดับ 5 มากท่ีสดุ

82 หมายเหตุ ประเมนิ ตลอดปกี ารศึกษา ภาคเรียนละ 2 คร้ัง ดงั น้ี ภาคเรยี นท่ี 1 ครง้ั ท่ี 1 เดอื นมิถุนายน 2563 ครั้งที่ 2 เดือนกันยายน 2563 ภาคเรยี นท่ี 2 คร้งั ท่ี 3 เดือนพฤศจกิ ายน 2563 ครัง้ ที่ 4 เดอื นกุมภาพันธ์ 2562 แบบนเิ ทศ 3 แบบประเมนิ ความพร้อมด้านการจัดห้องเรยี นและการควบคุมห้องเรียน 1. แบบประเมนิ ความพรอ้ มในด้านการจดั ห้องเรยี นเอ้ือต่อการการเรียนรู้ และการควบคมุ ห้องเรยี นสำหรับ ครชู ้นั ประถมศึกษาปที ี่ 1 – 6 2. ผูป้ ระเมนิ คือ คณะกรรมการนิเทศ 3. ผรู้ ับการประเมิน คอื ครูประจำช้นั ครูผสู้ อน 4. ประเมนิ โดยการสังเกต ตรวจเอกสารประจำหอ้ งเรียน สัมภาษณ์ 5. เอกสารแบบที่ 1 การประเมินให้เปน็ ระดบั คุณภาพ 5 , 4, 3, 2 และ 1 5 คะแนน คอื มคี รบตามทกี่ ำหนด และเป็นปจั จุบนั มคี วามเป็นระเบียบ เรยี บรอ้ ย สะอาด 4 คะแนน คือ มคี รบตามท่กี ำหนด แตไ่ ม่เป็นปจั จุบัน มคี วามเปน็ ระเบยี บ เรยี บรอ้ ย สะอาด 3 คะแนน คือ มไี ม่ครบและไมต่ ่ำกว่า 50 เปอรเ์ ซน็ ต์ แต่มคี วามเป็นระเบียบ เรียบรอ้ ย สะอาด 2 คะแนน คอื มีไม่ครบและต่ำกว่า 50 เปอร์เซน็ ต์ แต่มบี างส่วนขาดความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย และขาดความสะอาด 1 คะแนน คอื มไี ม่ครบและต่ำกว่า 30 เปอรเ์ ซ็นต์ ขาดความ เปน็ ระเบียบ เรียบร้อย และขาดความสะอาด ประเมินปีการศึกษาละ 2 ครัง้ คอื มิถุนายน 2563 และ พฤศจิกายน 2563 เพ่อื เตรียมความพร้อมใน การจัดการเรียนการสอน แบบนเิ ทศ 4 แบบประเมินความสามารถด้านคุณลกั ษณะความเปน็ ครู ดา้ นการปฏิบัติงานและดา้ นความสามารถการสอน 1. แบบประเมินครผู สู้ อนระดบั ประถมศึกษา ประกอบด้วย 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ ด้านเอกสารธรุ การประจำ ห้องเรยี น ด้านความสามารถในการจัดการเรยี นการสอน ด้านกระบวนการ และดา้ นผลผลิต (คุณภาพ นกั เรยี น) 2. แบบประเมินนี้ใช้ประเมินครูผสู้ อน นกั เรยี น กจิ กรรมการเรียนการสอน และผลการปฏบิ ัตงิ านของครู ตง้ั แตช่ ้นั ประถมศึกษาปีที่ 1 - ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 3. ผูป้ ระเมิน คือ คณะกรรมการนิเทศ 4. ผ้รู ับการประเมนิ คือ ครูประจำช้ัน ครูผสู้ อน นักเรียน 5. ประเมินโดยการสงั เกต ตรวจเอกสารประจำห้องเรยี น สัมภาษณ์ 6. ระดับคุณภาพ

83 ระดบั 1 ปรับปรงุ 2563 ระดบั 2 พอใช้ ระดบั 3 ปานกลาง ระดบั 4 มาก ระดับ 5 มากทีส่ ุด หมายเหตุ ประเมินตลอดปกี ารศึกษา ภาคเรียนละ 2 ครง้ั ดงั นี้ ภาคเรยี นท่ี 1 คร้งั ท่ี 1 เดือนมถิ นุ ายน 2563 ครงั้ ท่ี 2 เดือนกนั ยายน แบบนเิ ทศ 5 แบบนิเทศการจดั กระบวนการเรียนรู้ สำหรับผนู้ เิ ทศรายวชิ าบันทกึ ข้อเสนอแนะ จดุ เด่น และจุดทคี่ วรพฒั นาของกิจกรรมการจัดการเรยี นการสอน แบบนิเทศ 6 แบบนเิ ทศตดิ ตามการจดั การเรยี นการสอนตามนโยบาย จุดเนน้ กระทรวงศึกษาธิการ สำนกั งานคณะกรรมกร การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน สำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 และสถานศกึ ษา 1. แบบประเมนิ ครูผู้สอนระดบั ประถมศึกษา ประกอบด้วย 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ การจดั การเรียนการสอนทางไกล ผ่านดาวเทียม (DLTV) การอา่ นออกเขยี นได้ อา่ นคลอ่ ง เขียนคลอ่ ง การสอนวทิ ยาการคำนวณ การสอน วิชาเพศศึกษา และ การสอนวชิ าหน้าทพี่ ลเมอื ง 2. แบบประเมินน้ีใชป้ ระเมนิ ครูผู้สอน ต้งั แต่ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 - ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 3. ผู้ประเมนิ คือ คณะกรรมการนิเทศ 4. ผู้รบั การประเมิน คอื ครูประจำชัน้ ครผู ูส้ อน 5. ประเมนิ โดยการสังเกต ตรวจเอกสารประจำห้องเรยี น สมั ภาษณ์ 6. ระดับคุณภาพ ระดับ 1 ปรับปรงุ ระดับ 2 พอใช้ ระดับ 3 ปานกลาง ระดับ 4 มาก ระดบั 5 มากที่สุด หมายเหตุ ประเมินตลอดปกี ารศึกษา ภาคเรียนละ 2 คร้ัง ดังน้ี ภาคเรียนท่ี 1 ครั้งที่ 1 เดอื นมิถนุ ายน 2563 ครั้งที่ 2 เดอื นกันยายน 2563

84 ตารางการนเิ ทศภายใน โรงเรียนบา้ นสบลี ประจำปกี ารศึกษา 2563 เดือน กจิ กรรมการนิเทศ ผนู้ ิเทศ ภาคเรยี นที่ 1 มถิ ุนายน 2563 คณะกรรมการนเิ ทศ กนั ยายน 2563 นิเทศหอ้ งเรียน คร้ังท่ี 1,นิเทศครผู ู้สอน คร้งั ที่ 1(ภาคเรยี น ภายใน กนั ยายน 2563 ท่ี1) คณะกรรมการนิเทศ นเิ ทศครูผู้สอน คร้งั ที่ 2 (ภาคเรียนท่ี1) ภายใน พฤศจิกายน 2563 ผบู้ รหิ าร/คณะกรรมการ กมุ ภาพนั ธ์ 2562 เย่ียมห้องเรยี น นเิ ทศภายใน กุมภาพนั ธ์ 2562 ทกุ วันศกุ ร์ของ ภาคเรียนที่ 2 คณะกรรมการนิเทศ สปั ดาห์ นิเทศหอ้ งเรียนคร้ังที่ 2 ,นิเทศครูผสู้ อน คร้งั ท่ี 1 (ภาคเรียน ภายใน ทุกสิน้ เดอื น ท่ี 2) คณะกรรมการนิเทศ ทุกสิน้ เดอื น นิเทศครูผูส้ อน ครง้ั ที่ 2 (ภาคเรยี นที่ 2) ภายใน ทุกสน้ิ เดอื น ผ้บู รหิ าร/คณะกรรมการ ทกุ สิ้นเดอื น เย่ยี มหอ้ งเรยี น นเิ ทศภายใน ผบู้ ริหาร/ฝ่ายวิชาการ นิเทศแผนการสอน ผบู้ ริหาร/ฝ่ายวชิ าการ นเิ ทศเอกสารชน้ั เรยี น คณะกรรมการนิเทศ นเิ ทศการผลติ ส่ือ ภายใน คณะกรรมการนิเทศ นิเทศการใชส้ ่อื ICT และแหลง่ เรียนรู้ ภายใน คณะกรรมการนิเทศ นเิ ทศการอบรม/ศกึ ษาดูงาน ภายใน

แบบนเิ ทศ 1 85 เอกสารนเิ ทศแบบท่ี 1 สำหรบั นเิ ทศ “ครผู ูส้ อนปฐมวยั ” แบบประเมนิ ความพรอ้ มด้านการจัดบรรยากาศในหอ้ งเรยี น และสิ่งอำนวยความสะดวก ………………………………………………………. ช่อื ครผู ู้สอน ................................................... ตำแหน่ง ...................................... วชิ าเอก ............. ชั้น .............................................................................. จำนวนนักเรียน .............. คน ( ) ครง้ั ที่ 1 ( มถิ นุ ายน 2563) ( ) ครง้ั ที่ 2 (พฤศจิกายน 2563) ตวั รายการประเมนิ ระดับคะแนน 1 ช้วี ัด 5 4 32 1 จัดบรรยากาศในห้องเรยี นท่ีเออื้ ต่อการเรยี นรู้ มมี ุม หรอื ป้ายประสบการณ์ ส่งเสริมความรู้ 1.1 มสี ญั ลักษณส์ ถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 1.2 ห้องเรยี นถูกสุขลักษณะ มีแสงสวา่ งเพียงพอ อากาศถา่ ยเทได้ 1.3 ห้องเรียนมีมุมประสบการณ์อยา่ งนอ้ ย 4 มมุ และภายในมุมมีส่อื ของเล่นอยา่ งหลากหลายเพยี งพอกับจำนวนเด็ก 1.4 พนื้ ทจี่ ดั แสดงผลงานของเด็กปฐมวัย ทเ่ี กบ็ แฟ้มผลงาน เครือ่ งใช้ สว่ นตัวเด็กและครู 1.5 มปี า้ ยแสดงข้อมูลสถติ ิของนักเรียนเป็นปจั จุบนั 1.6 มีปา้ ยนเิ ทศ/มุมประสบการณ์ท่สี อดคล้องกับหนว่ ยการเรยี นรู้ หรือ สถานการณป์ จั จบุ นั หรือสง่ิ ทเี่ ด็กสนใจ 1.7 จัดสภาพหอ้ งเรียนดว้ ยสีสันที่เหมาะสมและเอ้ือต่อพัฒนาการของ เด็ก 2 พฒั นาระบบขอ้ มูลนกั เรียนเป็นรายบุคคล 2.1 มแี ฟ้มข้อมูลนกั เรียนรายบุคคลทคี่ รอบคลมุ ข้อมลู 2.2 มีการจัดระบบข้อมูลที่เปน็ ปจั จุบนั และสามารถนำมาใช้ได้จริง 2.3 มแี ผนดำเนนิ การส่งเสริมและช่วยเหลือนกั เรียน 3 อุปกรณ์การสอนและสงิ่ อำนวยความสะดวก 3.1 โทรทัศน์ และอปุ กรณ์รบั สญั ญาณอยู่ในสภาพใช้งานได้ มคี วาม ปลอดภัย 3.2 พัดลมอยู่ในสภาพใชง้ านได้ มีความปลอดภัย 3.3 มีการบำรุงรักษา ทำความสะอาดอุปกรณ์การสอนและส่ิงอำนวย ความสะดวก รวม เฉลีย่ รอ้ ยละ

86 วนั ท่ี.................เดอื น.....................พ.ศ........... ข้อเสนอแนะ / ความคดิ เห็น ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ลงช่อื ........................................ผ้รู ับการนิเทศ ลงช่ือ................................... กรรมการนเิ ทศ (...................................................) (......................................................) ………………………………………….. (นายโชคอนนั ต์ อนนั ตสทิ ธโิ ชต)ิ ผู้อำนวยการโรงเรยี นบ้านสบลี

87 แบบนเิ ทศ 2 เอกสารนเิ ทศแบบท่ี 2 สำหรบั นิเทศ “ครผู สู้ อนปฐมวัย” แบบประเมินความสามารถด้านคณุ ลกั ษณะความเปน็ ครู ดา้ นการจัดประสบการณ์ ( ) คร้ังท่ี 1 (มถิ นุ ายน 2563) ( ) ครัง้ ท่ี 2 (กนั ยายน 2563) รายการ เอกสาร ระดับคะแนน ตามเกณฑ์ 1. เอกสารธุรการประจำห้องเรียน และเอกสารส่วนบคุ คล มี ไมม่ ี 5 4 3 2 1 1 แบบประเมนิ พฒั นาการเด็กครบ 4 ด้าน ได้แก่ แบบบันทึกพฤติกรรม แบบสงั เกต แบบวัดประเมนิ คณุ ลกั ษณะตามวยั และแบบประเมนิ ผล งานเดก็ 2 ตารางกจิ กรรมประจำวนั 3 บญั ชีเรียกช่อื นักเรยี น 4 สมดุ ตรวจสขุ ภาพนักเรยี น 5 ทะเบยี นการใชส้ ือ่ การเรยี นการสอน 6 แผนการจดั ประสบการณ์ 7 สมดุ บนั ทกึ การประชมุ 8 บนั ทกึ การเยีย่ มบา้ นนักเรยี น 9 รายงานการวเิ คราะหน์ กั เรยี นเป็นรายบุคคล 10 รายงานการวิจยั ในช้นั เรียน 11 รายงานการประเมนิ ตนเองของครผู ู้สอน (SAR) 12 แฟ้มสะสมผลงานครู (Port Folio) 13 ครูมแี ผนพัฒนาตนเอง (ID plan) 14 มีครูการพัฒนาตนเอง (ประชุม สมั มนา PLC) 2. การเตรยี มการจดั ประสบการณ์ 1 มีการจัดทำหน่วยการจดั ประสบการณ์ และแผนการจดั ประสบการณ์ 2 ครูจัดประสบการณ์โดยบูรณาการกจิ กรรมผ่านการเล่น กระตุ้นใหเ้ ดก็ ทกุ คนมีสว่ นรว่ มในการทำกจิ กรรม 3 ครจู ัดประสบการณ์ทสี่ ง่ เสริมพัฒนาการทุกด้านดว้ ยการปฏิบัติจริง และสอดคลอ้ งกับการทำงานของสมอง 4 ครจู ัดประสบการณท์ ่สี ง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์และจนิ ตนาการ 5 เด็กได้แสดงออกอยา่ งอิสระและเรยี นร้อู ยา่ งมีความสุข 6 สอดแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและคุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ 7 จัดและออกแบบกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยยดึ ผ้เู รียนเปน็ สำคญั 8 ครจู ดั ประสบการณโ์ ดยให้เด็กทำโครงการบา้ นวทิ ยาศาสตร์น้อย 9 มสี ือ่ ประกอบหนว่ ยการเรียน

88 แบบนิเทศ 2 (ต่อ) เอกสารนิเทศแบบท่ี 2 สำหรบั นเิ ทศ “ครูผู้สอนปฐมวยั ” แบบประเมนิ ความสามารถด้านคณุ ลกั ษณะความเป็นครู ดา้ นการจดั ประสบการณ์ โรงเรียนบา้ นสบลี สำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 ( ) ครัง้ ท่ี 1 (พฤศจิกายน 2563) ( ) คร้งั ท่ี 2 (กุมภาพนั ธ์ 2564) ที่ รายการประเมนิ เอกสาร ระดบั คะแนน ตามเกณฑ์ มี ไมม่ ี 5 4 3 2 1 3. ด้านการวดั และประเมินพัฒนาการ 1 การวัดและประเมินพัฒนาการสอดคล้องกบั จุดประสงค์ 2 เครื่องมอื วดั และประเมินพฒั นาการเหมาะสมกบั วัยของเดก็ 3 มีการประเมินพฒั นาการครบทุกดา้ นตามสภาพจรงิ โดยใช้วิธีการ และเครือ่ งมอื อยา่ งหลากหลาย 4 มกี ารบันทึกผลการประเมนิ พฒั นาการเด็กรายบคุ คลอย่างเปน็ ระบบ ถูกตอ้ ง และเป็นปจั จุบัน 5 มเี กณฑ์การประเมนิ พัฒนาการทชี่ ัดเจน 6 มีการสรปุ การประเมนิ พัฒนาการเดก็ เปน็ รายดา้ นทง้ั 4 ด้าน 7 มีการนำผลการประเมินพัฒนาการไปใชป้ รบั ปรุงและพัฒนาเดก็ 8 มีการสรุปผลการประเมนิ พัฒนาการและรายงานผลใหผ้ ้บู ริหาร โรงเรียน พอ่ แม/่ ผู้ปกครอง ทราบ 9 พอ่ แม่/ผปู้ กครองมีสว่ นร่วมในการประเมินพัฒนาการ 4. การวิจัยในชัน้ เรยี น 1 ครูมีการจัดทำวิจัยในช้ันเรยี นสม่ำเสมอและเป็นปจั จุบนั 2 ครนู ำผลการวิจยั ในชั้นเรียนมาแกไ้ ข/พฒั นาการเด็ก 3 ครูนำผลการจดั ประสบการณ์ทป่ี ระสบผลสำเรจ็ มาพัฒนาเปน็ ผล การปฏบิ ัตงิ านที่ดี (Best Practice) รวม เฉล่ยี รอ้ ยละ ข้อสรปุ และแนวทางการพัฒนาคณุ ภาพ ............................................................................................................................. ....................................................... ...................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .....................................ผูร้ ับการนิเทศ ลงช่ือ.......................................กรรมการนิเทศ (...........................................) (..........................................) (นายโชคอนนั ต์ อนนั ตสทิ ธิโชติ) ผ้อู ำนวยการโรงเรียนบา้ นสบลี

89 แบบนเิ ทศ 3 เอกสารนิเทศแบบที่ 3 สำหรับนเิ ทศ “ครูผสู้ อนระดับประถมศึกษา” แบบประเมนิ ความพร้อมดา้ นการจัดห้องเรยี นและการควบคุมห้องเรียน ชัน้ .............................โรงเรียนบ้านสบลี สำนกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 ( ) คร้งั ที่ 1 ( มถิ ุนายน 2563) ( ) คร้งั ที่ 2 (พฤศจิกายน 2563) ตัว รายการประเมนิ ระดับคะแนน 1 ชว้ี ดั 5 4 32 1 จัดบรรยากาศในหอ้ งเรียนท่เี อ้ือยตอ่ การเรียนรู้ มีมุม หรือป้ายประสบการณ์ ส่งเสรมิ ความรู้ 1.1 มีสัญลกั ษณส์ ถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 1.2 มขี ้อตกลงท่ีนักเรียนรว่ มกนั กำหนดขึน้ ในการปฏิบัติในห้องเรียน 1.3 ห้องเรียนมีมุมประสบการณเ์ สริมความร้ตู า่ งๆ เช่น ปา้ ยนิเทศ เสริม ความรู้ มุมหนงั สือ มุมอนามัย มุมแสดงผลงานนักเรียน 1.4 หอ้ งเรยี นมสี อ่ื และเทคโนโลยเี พอื่ การเรียนรู้ 1.5 มปี า้ ยแสดงข้อมูลสถติ ิของนกั เรยี นเป็นปัจจบุ นั 1.6 หอ้ งเรยี นสะอาด สวยงาม ปลอดภยั 1.7 บรรยากาศในห้องเรียนน่าเรยี น 2 พฒั นาระบบข้อมูลนักเรียนเป็นรายบคุ คล 2.1 มีแฟ้มข้อมูลนักเรียนรายบุคคลทค่ี รอบคลุมข้อมลู 2.2 มีการจดั ระบบข้อมลู ท่เี ป็นปัจจุบันและสามารถนำมาใช้ได้จริง 2.3 มีแผนดำเนนิ การสง่ เสรมิ และชว่ ยเหลือนักเรยี น 3 อุปกรณ์การสอนและส่งิ อำนวยความสะดวก 3.1 โทรทศั น์ และอปุ กรณร์ ับสญั ญาณอยู่ในสภาพใช้งานได้ มคี วาม ปลอดภัย 3.2 พดั ลมอยู่ในสภาพใช้งานได้ มีความปลอดภยั 3.3 มีการบำรุงรักษา ทำความสะอาดอุปกรณ์การสอนและสิ่งอำนวย ความสะดวก 4 พฤตกิ รรมของนกั เรยี น 4.1 การแต่งกายสะอาดเรยี บร้อย ถูกต้องตามระเบียบของโรงเรียน 4.2 การประพฤติตนตามระเบียบ ข้อบงั คับ และแนวปฏิบัติตา่ ง ๆของ โรงเรยี น 4.3 การเข้าร่วมกจิ กรรมต่าง ๆ ที่ทางโรงเรียนจดั ข้นึ อย่างสมำ่ เสมอ 4.4 มคี วามรบั ผดิ ชอบรว่ มกันในการดแู ล รกั ษาความสะอาดของ หอ้ งเรยี น อาคารเรียน อาคารประกอบสถานท่ี บรเิ วณทัว่ ไป 4.5 มคี วามซื่อสตั ย์ รักความสามัคคี ไม่ก่อเหตุทะเลาะววิ าทกัน

90 วันท่ี.................เดอื น.....................พ.ศ........... ข้อเสนอแนะ / ความคดิ เหน็ ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................... ลงช่อื ........................................ผู้รับการนเิ ทศ ลงช่ือ................................... กรรมการนเิ ทศ (...................................................) (......................................................) ………………………………………….. (นายโชคอนันต์ อนันตสทิ ธโิ ชติ) ผู้อำนวยการโรงเรียนบา้ นสบลี

91 แบบนเิ ทศ 4 เอกสารนิเทศแบบท่ี 4 สำหรับนเิ ทศ “ครผู ู้สอนระดับประถมศึกษา” แบบประเมินความสามารถด้านคุณลกั ษณะความเปน็ ครู ด้านการปฏบิ ตั ิงานและด้านความสามารถการสอน ชั้น .............................โรงเรยี นบ้านสบลี สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 ( ) คร้งั ที่ 1 ( มิถุนายน 2563) ( ) ครั้งท่ี 2 (พฤศจิกายน 2563) ที่ รายการ เอกสารตาม ระดับคะแนน เกณฑ์ 1. ดา้ นเอกสารธุรการประจำห้องเรยี น และเอกสารส่วน บุคคล 54321 1 สมุดบนั ทึกผลการเรยี นประจำวิชา (ป.พ.5) 2 สมุดรายงานประจำตวั นักเรียน (ป.พ.6) 3 บัญชเี รียกชอ่ื นกั เรยี น 4 สมุดตรวจสขุ ภาพนกั เรยี น 5 ทะเบยี นการใชส้ อื่ การเรยี นการสอน 6 แผนการจดั การเรยี นรแู้ ละบนั ทกึ หลงั สอน 7 บันทกึ การสอนซอ่ มเสรมิ 8 สมดุ บันทึกการประชมุ 9 บันทึกการเยี่ยมบา้ นนกั เรยี น 10 รายงานการวเิ คราะห์นกั เรยี นเป็นรายบุคคล 11 รายงานการวิจยั ในชน้ั เรยี น 12 รายงานการประเมนิ ตนเองของครผู ้สู อน (SAR) 13 แบบบันทึกการสอนแทน 14 บนั ทกึ การอบรมนกั เรียน 15 แฟม้ สะสมผลงานครู (Port Folio)

แบบนเิ ทศ 492(ตอ่ ) เอกสารนิเทศแบบท่ี 4 สำหรับนิเทศ “ครผู ูส้ อนระดับประถมศกึ ษา” แบบประเมนิ ความสามารถด้านคณุ ลักษณะความเปน็ ครู ด้านการปฏบิ ตั งิ านและด้านความสามารถการสอน ชน้ั .............................โรงเรียนบา้ นสบลี สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาลำปาง เขต 3 ( ) ครัง้ ที่ 1 ( มถิ นุ ายน 2563) ( ) คร้ังที่ 2 (พฤศจิกายน 2563) ที่ รายการ ระดับคะแนน หมายเหตุ 2. ดา้ นความสามารถในการจดั การเรยี นการสอน 54321 16 ความสามารถในการควบคมุ หอ้ งเรยี น 17 ความสามารถในการจดั ทำแผนการจดั การเรยี นรู้ 18 การกระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รียนมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม 19 การใช้ส่อื ในการจัดการเรยี นการสอนอยา่ งสมำ่ เสมอ 20 การสรา้ งบรรยากาศในการจดั การเรยี นการสอน 21 มีเทคนคิ และวธิ ีการสอนทห่ี ลากหลาย 22 มีเอกสารวัดผลประเมนิ ผลอย่างตอ่ เนอ่ื ง 23 จดั และออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยดึ ผเู้ รียนเป็นสำคญั 3. ดา้ นกระบวนการ 24 ครอู อกแบบการเรยี นรตู้ ามหน่วยการเรยี นรู้ องิ มาตรฐานอยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพและเน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ 25 ครูมกี ารวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจริง ดว้ ยวิธกี ารท่ีหลากหลาย เพือ่ พฒั นาผเู้ รียน 26 ครนู ำเสนอรายงานผลการพัฒนาผเู้ รยี นด้วยระดบั คณุ ภาพ(Rubrics) 27 ครูมีทักษะพ้ืนฐานในการใช้ส่ือ ICT และออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนใช้ ICT ในกระบวนการเรียนรู้ 28 ครูมีเว็บไซต์เพ่ือประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ผลงาน กิจกรรมการเรียน การสอนอย่างต่อเน่ือง

93 แบบนเิ ทศ 4 (ตอ่ ) เอกสารนเิ ทศแบบที่ 4 สำหรบั นเิ ทศ “ครผู ้สู อนระดับประถมศกึ ษา” แบบประเมนิ ความสามารถด้านคณุ ลกั ษณะความเปน็ ครู ดา้ นการปฏิบัตงิ านและด้านความสามารถการสอน ชน้ั .............................โรงเรียนบ้านสบลี สำนักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 ( ) คร้ังที่ 1 ( มถิ นุ ายน 2563) ( ) คร้งั ท่ี 2 (พฤศจิกายน 2563) ท่ี รายการ ระดับคะแนน หมายเหตุ 3. ดา้ นกระบวนการ (ต่อ) 54321 29 ครูสร้างห้องเรียนออนไลน์ และส่งเสริมให้นักเรียนเข้าเรียนออนไลน์ 30 ครูมีการส่งเสริมและการป้องกันปัญหานักเรียนด้วยการเสริมสร้าง วินัยเชิงบวก 31 ครูมีการวิเคราะห์นักเรียนเป็นรายบุคคลพร้อมทั้งนำผลการประเมิน การเรียนการสอนไปพัฒนาหรือปรับแผนการจัดการเรียนรู้ 32 ครูมีการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและจัดทำวิจัยในชั้น เรียนพร้อมท้ังนำผลการดำเนินงานพัฒนาการเรียนรู้ 33 ครูมีการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และจัดทำวิจัยในชั้น เรยี น พรอ้ มท้งั นำผลการดำเนนิ งานพัฒนาการเรยี นรู้ 4. ดา้ นผลผลติ (คณุ ภาพนักเรยี น) 34 นกั เรยี นมีผลงาน/ชนิ้ งานท่สี ะทอ้ นมาตรฐาน/คณุ ภาพ 35 นักเรียนมที กั ษะในการใช้ ICT เพอ่ื การเรยี นรู้ 36 นกั เรยี นทกุ คนได้รบั การดแู ลอย่างทั่วถึง 37 นักเรียนทุกคนได้รับการส่งเสริมให้เกิดภูมิคุ้มกันในการดำรงชีวิตและ การปรับตวั 38 นักเรียนมีสว่ นรว่ มในการพัฒนาตนเองและสังคม 39 นักเรียนมกี ารพัฒนาอย่างรอบดา้ น 40 นักเรยี นมคี า่ นิยมการใช้วนิ ัยเชงิ บวก (ระเบียบวนิ ยั ในชัน้ เรียน) 41 นักเรียนได้รับการพัฒนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย กระบวนการวิจยั ในช้นั เรยี น 42 นักเรยี นไดร้ ับการพัฒนาให้มคี ณุ ภาพตามมาตรฐานการเรยี นรู้ 43 นักเรยี นมีทักษะการคิดวิเคราะห์และได้รบั การพฒั นาตามศกั ยภาพ รวมเฉลยี่ (ทั้ง 4 ด้าน)

94 ขอ้ สรุปและแนวทางการพัฒนาคุณภาพ ............................................................................................................................. ....................................................... ...................................................................................................................................................... ลงชื่อ.....................................ผู้รับการนิเทศ ลงชือ่ .......................................กรรมการนิเทศ (...........................................) (..........................................) (นายโชคอนนั ต์ อนันตสิทธิโชติ) ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นบ้านสบลี

95 เอกสารนิเทศแบบท่ี 5 สำหรับนิเทศ “การจดั กระบวนการเรียนรู้” แบบนิเทศ 5 แบบบนั ทึกการนิเทศภายในเป็นรายบคุ คล/กลมุ่ โรงเรยี นบา้ นสบลี สำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาลำปาง เขต 3 คำช้ีแจง เป็นการนิเทศดว้ ยวิธีการให้คำแนะนำ ผลการสอน แลว้ นำมาให้ความรโู้ ดยการรว่ มกนั วเิ คราะหผ์ ลการ สอนแลว้ นำมาร่วมกนั วางแผนคน้ หาวธิ ีการนำไปปรับปรงุ การสอนต่อไป วนั /เดือน/ปี รายการนเิ ทศ/ข้อเสนอแนะ ผลของการนิเทศ เรอ่ื ง (ผู้นเิ ทศ) (ผู้รับการนเิ ทศ) ...................................... ............................................................................ ......................................................... ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................ ...................................... ........................................................................... ........................................................

96 เอกสารนเิ ทศแบบท่ี 6 สำหรับนิเทศ “ครผู ู้สอนระดับประถมศึกษา” แบบนเิ ทศ 6 แบบบันทกึ การนิเทศการจดั การเรยี นการสอนตามจุดเนน้ กระทรวง สำนักงานเขตพ้ืนท่ี และสถานศึกษา โรงเรียนบา้ นสบลี สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 คำชี้แจง เปน็ การนเิ ทศดว้ ยวธิ กี ารให้คำแนะนำ ผลการสอน แลว้ นำมาใหค้ วามรูโ้ ดยการรว่ มกันวิเคราะหผ์ ลการ สอนแลว้ นำมารว่ มกนั วางแผนคน้ หาวิธกี ารนำไปปรบั ปรุงการสอนต่อไป ท่ี รายการ การ ระดบั คะแนน ดำเนนิ การ 1. การจัดการเรียนการสอน DLTV มี ไม่มี 5 4 3 2 1 1 จัดการเรียนการสอนตามตารางออกอากาศต้นทางทกุ วชิ า 2 มีอุปกรณร์ ับสญั ญาณได้ทง้ั ภาพและเสียง 3 มีแผนจัดการเรยี นรู้ สื่อใบงานตามโรงเรียนตน้ ทาง 4 มีการบันทึกหลังสอน 5 มีการวดั ผล ประเมนิ ผลผเู้ รียนตามหนว่ ยการเรียนรู้ 2. การขบั เคล่ือนนโยบายการอ่านออก เขียนได้ อ่านคล่อง มี ไมม่ ี 5 4 3 2 1 เขยี นคลอ่ ง 6 มีผลการประเมินนักเรียนดา้ นการอา่ น และการเขียน รายบุคคล 7 มีการจดั สอนซอ่ มเสรมิ นักเรยี นแยกตามผลการประเมนิ กลมุ่ เป้าหมายอยา่ งชดั เจนต่อเนื่อง 8 มกี ารบันทึกผลความก้าวหน้ากลุม่ เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง 9 นำผลการประเมนิ การอ่านการเขยี นไปใช้เพือ่ พฒั นานักเรยี น 10 มีงานวจิ ยั เพ่ือพัฒนานักเรยี นด้านการอ่าน และการเขยี น

97 แบบนิเทศ (ต่อ) เอกสารนิเทศแบบท่ี 6 สำหรับนเิ ทศ “ครูผู้สอนระดบั ประถมศกึ ษา” แบบบันทกึ การนิเทศการจดั การเรยี นการสอนตามจุดเน้นกระทรวง สำนกั งานเขตพื้นที่ และสถานศึกษา โรงเรียนบ้านสบลี สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 คำชแี้ จง เปน็ การนเิ ทศด้วยวิธกี ารให้คำแนะนำ ผลการสอน แลว้ นำมาให้ความรู้โดยการรว่ มกนั วิเคราะหผ์ ลการ สอนแล้วนำมาร่วมกันวางแผนค้นหาวธิ กี ารนำไปปรับปรงุ การสอนต่อไป ท่ี รายการ การ ระดับคะแนน ดำเนินการ 3. การจดั การเรยี นการสอนวิทยาการคำนวณ มี ไม่มี 5 4 3 2 1 1 จดั ทำแผนการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาการคำนวณ 2 จัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาการคำนวณ มี ไม่มี 5 4 3 2 1 3 บันทกึ ผลหลงั สอนการจัดกจิ กรรม 4 นกั เรยี นมใี บงาน/ผลงาน/โครงงานตามทีร่ ะบใุ นแผนฯ 5 มีการวัดผล ประเมินผลผ้เู รยี นตามหนว่ ยการเรียนรู้ 4. การจัดการเรยี นการสอนวชิ าทจุ ริตศึกษา 6 จดั ทำแผนการจัดการเรยี นการสอน 7 จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 8 บันทกึ ผลหลงั สอนการจัดกจิ กรรม 9 นักเรยี นมีใบงาน/ผลงาน/โครงงานตามทร่ี ะบใุ นแผนฯ 10 มีการวัดผล ประเมินผลผู้เรียนตามหน่วยการเรียนรู้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook