รวมบทคดั ย่องานวจิ ัย ท่ดี ำเนินกำรแล้วเสรจ็ ในปี พ.ศ. 2558 สถำบนั วิจยั และพฒั นำ มหำวทิ ยำลัยรำชภัฏภเู กต็
รวมบทคัดยอ่ งานวิจัย: ที่ดำเนินกำรแลว้ เสรจ็ ในปี พ.ศ. 2558 ผ้จู ัดทา สถำบันวจิ ัยและพฒั นำ มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั ภเู กต็ ที่ปรกึ ษา ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.ประภำ กำหยี ผชู้ ว่ ยศำสตรำจำรย์ ดร.หริ ัญ ประสำรกำร ผู้ชว่ ยศำสตรำจำรย์ ดรณุ ี บุณยอุดมศำสตร์ คณะกรรมการดาเนนิ งาน บรรณาธิการ ผชู้ ว่ ยศำสตรำจำรย์ ดร.กุลวรำ สุวรรณพิมล กองบรรณาธกิ าร ผชู้ ่วยศำสตรำจำรย์ รัฐพล พรหมสะอำด ฝา่ ยดาเนนิ การ ดร.ดวงรตั น์ โกยกิจเจรญิ นำงสำวประไพพิมพ์ สุรเชษฐคมสัน นำงอำรยำ โพธท์ิ อง นำงสำวเลอลกั ษณ์ แก้วคงสุข นำงสำวพรทิพย์ ชว่ ยบำรงุ สถำบนั วิจัยและพฒั นำ มหำวิทยำลยั รำชภัฏภูเกต็ 21 หมู่ 6 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลรัษฎำ อำเภอเมือง จงั หวดั ภูเกต็ 83000 โทรศพั ท์. 0-7621-1959 ต่อ 7410 โทรสำร. 0-7621-1778 Email: [email protected] Web site: http://research.pkru.ac.th
บทบรรณาธิการ หนังสอื รวมบทคดั ย่องานวจิ ัยเล่มนี้ จัดทาขึ้นเพ่อื รวบรวมบทคดั ย่องานวิจัยท่ี ดาเนนิ การแลว้ เสรจ็ ในปี พ.ศ. 2558 โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อแสดงผลงานด้านการวจิ ยั ของ คณาจารย์ใน ส่วนท่ีได้รับเ งินอุดหนุนกา รวิจัยจากมหาวิทยาลัย และ สานักงา น คณะกรรมการการอุดมศกึ ษา เพ่อื เผยแพร่ผลงานวิจยั สสู่ าธารณชน สถาบันอุดมศึกษา สถานประกอบการ และหนว่ ยงานท่เี กยี่ วขอ้ ง เพือ่ ประโยชนต์ อ่ ไป ผลงานวิจัยของคณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตท่ีดาเนินการแล้วเสร็จ ในช่วงปี 2558 มจี านวนทั้งสนิ้ 29 เรือ่ ง จัดเป็น 3 กลุ่มสาขาวิชา ได้แก่ กลุ่มสาขา การศกึ ษา กลุ่มสาขาสังคมศาสตรแ์ ละบริหารธรุ กจิ กลุม่ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กรณที า่ นประสงค์จะได้รายละเอียดเพ่ิมเติมเพ่ือการใช้ประโยชน์จาก ผลงานวจิ ัย โปรดตดิ ตอ่ ทีส่ ถาบนั วจิ ยั และพัฒนา ตามหมายเลขโทรศัพท์ -โทรสาร ที่ ปรากฏในส่วนท้ายของเอกสารน้ี การจัดทาหนงั สอื รวมบทคัดย่องานวิจัยเล่มนี้ ไดร้ ับความรว่ มมอื อย่างดยี งิ่ จาก คณาจารยผ์ ู้เป็นเจ้าของผลงานวิจัย เจา้ หน้าทีข่ องคณะ เจ้าหน้าที่ของสถาบันวิจัยและ พัฒนา ตลอดจนหน่วยงานตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วข้อง ขอขอบคุณทกุ ทา่ น และทุกหนว่ ยงานมา ณ โอกาสน้ี บรรณาธิการ -ก -
คานา หนงั สือรวมบทคดั ย่องานวจิ ัย ทีด่ าเนินการแลว้ เสรจ็ ในปี พ.ศ. 2558 เล่มน้ี จดั ทาขนึ้ โดยสถาบันวจิ ัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ซึ่งเป็นหน่วยงานท่ี รับผิดชอบดา้ นงานวิจยั โดยมีวัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื รวบรวมและแสดงผลงานด้านการวิจัยของ คณาจารย์ทด่ี าเนินงานวจิ ยั แล้วเสร็จ และได้รบั การสนับสนนุ จากแหล่งทุนทั้งภายในและ ภายนอกมหาวทิ ยาลัย เนือ้ หาในเล่มประกอบด้วย บทคดั ย่องานวิจัยท่ีดาเนนิ การแล้วเสรจ็ ในปี พ.ศ. 2558 โดยแบ่งเปน็ 3 กลมุ่ สาขาวิชา ประกอบดว้ ย 1) กลมุ่ สาขาการศึกษา 2) กลุ่มสาขา สังคมศาสตร์และบรหิ ารธุรกิจ 3) กลุ่มสาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สถาบนั วิจยั และพัฒนา ได้ออกแบบกระบวนการทางาน เพื่อส่งเสริมและ สนับสนุนการเผยแพร่ ผลง า น วิ จั ยของ คณา จ า รย์ ใ น ม หา วิ ทยา ลั ยใ ห้ เ ป็ น ไ ปอย่ า ง มี ประสิทธภิ าพ และเปิดโอกาสให้คณาจารยท์ กุ คนสามารถเขา้ ถึงงานวิจัยไดอ้ ยา่ งเสมอภาค หวงั เป็นอย่างยิง่ ว่า หนงั สอื รวมบทคัดย่อเลม่ นี้ จะเปน็ ประโยชน์สาหรับผู้ที่ สนใจสามารถนาไปประยุกต์ใชใ้ นการทาวิจัยได้อยา่ งดียงิ่ สถาบนั วจิ ัยและพฒั นา มหาวิทยาลยั ราชภัฏภูเกต็ -ข -
สารบัญ หนา้ บทบรรณาธกิ าร ...............................................................................................................ก คานา.................................................................................................................................ข สารบญั .............................................................................................................................ค กลุ่มการศึกษา .................................................................................................................. 1 AM01-58 การวเิ คราะหผ์ ลการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาติขั้นพ้นื ฐาน (O-NET) ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 และมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ในจังหวดั ภเู กต็ ปี 2553 และ ปี 2556.................................................................................... 3 โดย: ผชู้ ่วยศาสตราจารย์รัฐพล พรหมสะอาด AN13-57 การสง่ เสริมความรูเ้ นื้อหาผนวกวิธสี อนและเทคโนโลยีสารสนเทศของครู วทิ ยาศาสตรร์ ะดับประถมศึกษาในจงั หวัดภูเกต็ เพอื่ การจัดการเรียนรู้ บูรณาการบริบทชมุ ชนท้องถนิ่ และสงั คมเศรษฐกจิ พอเพยี ง .......................... 6 โดย: ดร.ศิรวิ รรณ ฉตั รมณรี ุ่งเรือง กล่มุ สงั คมศาสตรแ์ ละบริหารธุรกิจ..................................................................................9 BP21-56 Telling Thailand's Story: A Case study of the Naratives Presented at Phuket FantaSea and Siam Niramit................................................11 โดย: Dr. Jeffrey Hobbs BP29-56 สมรรถนะท่พี ึงประสงค์ของบคุ ลากรองคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นเพื่อรองรบั การเปน็ ประชาคมอาเซียน: กรณศี ึกษากลุ่มจังหวัดภาคใตฝ้ ่งั อันดามนั .......12 โดย: นายเฉลมิ พร วรพันธกิจ -ค -
สารบัญ (ต่อ) หนา้ BN07-57 การศกึ ษาพฤติกรรมการบรโิ ภคสินค้าของแรงงานตา่ งด้าว ในจังหวัดภเู ก็ต ............................................................................................16 โดย: ดร.ดวงรัตน์ โกยกจิ เจริญ BP01-57 การสอื่ สารการตลาดแบบบรู ณาการท่สี ่งผลตอ่ การตดั สนิ ใจเขา้ รว่ มเทศกาล เพ่อื การท่องเท่ียว กรณศี กึ ษา เทศกาลกินเจ จังหวดั ภเู ก็ต ..........................18 โดย: นายนมิ ติ ซุ้นสั้น BN05-57 การทอ่ งเท่ียวเชงิ การแพทยข์ องไทยภายใตก้ ลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซ)ี : โอกาสและภัยคกุ คาม......................................................................21 โดย: ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์พลั ลภา ศรไี พโรจน์กลุ BP03-56 แนวทางการออกแบบและพฒั นาบรรจุภัณฑ์กนั กระแทกจากเส้นใยกลว้ ย เพือ่ หีบหอ่ ผลไมไ้ ทย.....................................................................................24 โดย: นางสาวพิชานันต์ พูลเกิด BP37-56 The Assessment of English Proficiency of Twelfth Graders in Phuket under the B.E.2551 Upper Secondary Curriculum............28 โดย: ดร.เพียงเพ็ญ ณ พัทลุง BP39-56 ลีลาชวี ิตแห่งทะเลอันดามัน..........................................................................29 โดย: นายไพฑูรย์ ทองดี -ง -
สารบญั (ต่อ) หน้า BN07-57 การศกึ ษาพฤติกรรมการใช้เครอื ขา่ ยสังคมออนไลน์ของนักท่องเท่ียวท่ีส่งผล ต่อการตดั สินใจซือ้ บรกิ ารธรุ กิจโรงแรมในจงั หวัดภูเกต็ ................................31 โดย: นางสาวภาวิกา ขุนจนั ทร์ BP24-56 ความเช่ือและพธิ กี รรมเก่ยี วกับเกษตรกรรมของชมุ ชนไทยมสุ ลิม อาเภอเกาะ ยาว และชมชนไทยพุทธ อาเภอท้ายเหมือง จงั หวดั พังงา............................33 โดย: ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์รุ่งรัตน์ ทองสกุล BP08-57 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความรบั ผิดชอบตอ่ สังคมกบั ความผูกพนั ของพนักงาน ในธุรกิจโรงแรมในจังหวดั ภเู กต็ ....................................................................34 โดย: นางวนดิ า หาญเจริญ BP09-57 สมรรถนะพนกั งานระดบั ปฏิบตั ิการแผนกแมบ่ า้ นในธุรกิจโรงแรม ระดบั 4 ดาว จงั หวัดภเู กต็ ...........................................................................36 โดย: นางวีรภัทร์ โชตวริ ิยะกุล BN07-57 การใช้เครอื ขา่ ยสงั คมออนไลนข์ องนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในจงั หวดั ภูเก็ต.............................................................................................40 โดย: นายสมชาย ไชยโคต BP16-57 ยุทธศาสตรก์ ารบรหิ ารทรัพยากรมนษุ ย์ ของผู้บริหารสถานศึกษาในสากดั สพป.ภเู กต็ ....................................................................................................43 โดย: ดร.สนุ นั ทา คันธานนท์ -จ-
สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ BP02-57 การบังคบั ใช้กฎหมายการชันสตู รพลิกศพตอ่ ประชาชนในพ้ืนที่สามจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ............................................................................................46 โดย: นายองอาจ เจ๊ะยะหลี กล่มุ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี...................................................................................48 CP10-57 ศักยภาพของชมุ ชนในเขตเมอื งจงั หวัดภูเก็ตในการดูแลผ้สู ูงอายุอยา่ งมสี ่วน ร่วม...............................................................................................................50 โดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชญานศิ ลือวานิช CP04-57 ประสิทธภิ าพของสารกลมุ่ ออกซินสงั เคราะห์ และสารยับยงั้ การทางาน ของเอทลิ ีนตอ่ การชะลอการหลดุ ร่วงของดอกเอื้องกหุ ลาบ .........................53 โดย: นายชยั ภูมิ สขุ สาราญ CP31-56 การศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพฤตกิ รรมการใช้เฟชบ๊คุ และผลการศึกษา ของนักศึกษา ................................................................................................57 โดย: ดร.พิทา จารพุ ูนผล CP05-57 การยับยง้ั เชื้อแบคทเี รียก่อโรคด้วยสารสกดั หยาบจากพืชป่าชายเลน..........59 โดย: ดร.พรี พงษ์ พ่งึ แยม้ CP22-56 โครงการเปรยี บเทียบการปลกู กลว้ ยไมส้ กลุ หวายในสภาพปลกู ปกตกิ บั ใน ระบบปลกู ไฮโดรโปนกิ ส์...............................................................................61 โดย: ผชู้ ่วยศาสตราจารย์มนทิรา ไชยตะญากูร -ฉ -
สารบัญ (ตอ่ ) หน้า CP33-56 การออกแบบและพัฒนาบรรจภุ ณั ฑต์ น้ แบบผลติ ภณั ฑผ์ ้าบาตกิ ในกลมุ่ จังหวัดภาคใตฝ้ ่งั อันดามนั .................................................................64 โดย: นายฤธรรมรง ปลัดสงคราม CM01-57 การบาบัดน้าเสยี วธิ ีธรรมชาตเิ พือ่ การอนรุ กั ษพ์ ้ืนทช่ี ุ่มนา้ พรบุ า้ นไมข้ าว อาเภอ ถลาง จงั หวดั ภูเก็ต ......................................................................................66 โดย: ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ดร.สายธาร ทองพร้อม CN12-57 การประยกุ ต์ใชเ้ จลาตนิ จากเกลด็ ปลาผสมเสน้ ใยธรรมชาติเพื่อผลติ กระดาษ ในงานหัตถกรรม .......................................................................................... 68 โดย: นางสายสมร สวุ รรณพฤกษ์ CP12-57 การศึกษาชนิดวัสดปุ ลกู ทอ้ งถิน่ ที่เหมาะสมในการปลกู กลว้ ยไม้กระถาง ....71 โดย: ผูช้ ่วยศาสตราจารย์สริ ริ ัตน์ เพชรเหมอื น CP34-56 ผลของมะม่วงหิมพานต์ผงทีใ่ ช้ทดแทนแปง้ สาลบี างส่วนต่อคุณภาพของขนม ปงั แซนด์วิช...................................................................................................73 โดย: นางสาวสริ โิ สภา จนุ เดน็ CP14-55 การเจริญเติบโตของจกั จ่ันทะเล...................................................................75 โดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์สทุ ิพย์ จีนาวุธ CP02-55 การพฒั นาประสิทธถิ าการเล้ยี งแพะส่มู าตรฐานอินทรีย์ ของเกษตรกรใน จงั หวดั ภูเก็ต.................................................................................................77 โดย: นายสุเทพ มุงคณุ -ช -
กล่มุ วชิ าการศกึ ษา
การวเิ คราะหผ์ ลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาตขิ น้ั พ้นื ฐาน (O-NET) ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 และมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ในจังหวัดภูเกต็ ปี 2553 และ ปี 2556 :นายรัฐพล พรหมสะอาด An Analysis of Ordinary National Education Test Result of Grade 6 and 9 Students in the Phuket province in the academic year of 2010 and 2013 ผู้ช่วยศาสตราจารย์รฐั พล พรหมสะอาด คณะครศุ าสตร์ บทคดั ย่อ รายงานวิจยั เรื่อง การวิเคราะห์ผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดับชาตขิ น้ั พื้นฐาน ( O-NET) ของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 และมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ในเขตพืน้ ทีจ่ งั หวดั ภเู ก็ต ปีการศึกษา 2553 และ ปกี ารศึกษา 2556 มวี ัตถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ วเิ คราะห์ผลการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในจังหวัด ภเู กต็ ปีการศกึ ษา 2553 และปกี ารศึกษา 2556 2. เพือ่ เปรยี บเทียบผลการทดสอบการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐาน (O-NET) ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในจังห วัดภูเก็ต ปี การศกึ ษา 2553 และปีการศึกษา 2556 ระหวา่ งหน่วยงานตน้ สงั กดั ของโรงเรียน และ 3. เพ่ือวิเคราะห์ คุณลักษณะแบบทดสอบการศึกษาระดบั ชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ในจังหวดั ภเู กต็ ปกี ารศึกษา 2553 และปีการศึกษา 2556 ประชากรที่ใช้ในการ วจิ ยั ประกอบด้วย 1. โรงเรียนทน่ี าผลการทดสอบการศกึ ษาระดับชาติข้ันพน้ื ฐาน (O-NET) ของนักเรียน ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 และมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ในจังหวดั ภูเกต็ ปีการศกึ ษา 2553 และ/หรือปีการศึกษา 2556 มาวิเคราะห์ จานวน 53 โรงเรียน รวมนักเรียนทั้ งสิ้น จานวน 9,451 คน และ 2 ผู้บริหาร สถานศึกษา จานวน 2 คน และครูประจาการ จานวน 21 คน ทเ่ี ข้ารว่ มประชุมกลุ่มย่อยและวิเคราะห์ คุณลกั ษณะของแบบทดสอบ ผลการวิจัยสรุปไดด้ งั นี้ 1. นกั เรียนระดับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ผลการวิเคราะหค์ ะแนน O-NET เฉลีย่ สงู สุด-ต่าสุด ปกี ารศกึ ษา 2553 และปีการศึกษา 2556 สว่ นใหญอ่ ยทู่ ี่กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศกึ ษา และ -3-
กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาต่างประเทศ ตามลาดบั ส่วนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ผลการ วิเคราะห์คะแนน O-NET เฉลย่ี ต่าสุด ปกี ารศกึ ษา 2553 และปกี ารศึกษา 2556 ส่วนใหญ่อยูท่ ีก่ ลุ่มสาระ การเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ และกลมุ่ สาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ ผลการวิเคราะห์คะแนน O-NET เฉลีย่ สงู สดุ ปีการศกึ ษา 2553 และปกี ารศกึ ษา 2556 ส่วนใหญอ่ ยู่กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ขุ ศึกษาและพล ศึกษา 2. นักเรยี นโรงเรียนที่มีคะแนน O-NET เฉล่ียสูงสุดระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ปี การศึกษา 2553 และปีการศกึ ษา 2556 ในแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ นักเรียนโรงเรียนสังกัด เทศบาลนครภเู กต็ และสานกั งานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ตามลาดับ ส่วนนักเรียน โรงเรียนทีม่ คี ะแนน O-NET เฉลี่ยสงู สดุ ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ปีการศึกษา 2553 และปีการศึกษา 2556 ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ นกั เรียนโรงเรียนสังกัดองคก์ ารบริหารส่วนทอ้ งถิ่นจังหวัดภูเก็ต และสานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 14 ตามลาดับ 3. ผลการประชมุ กลมุ่ ย่อยเพอ่ื วพิ ากษ์ ระดมความคิดเห็น และให้ข้อเสนอแนะต่อกา ร บรหิ ารการทดสอบการศึกษาระดับชาติขนั้ พืน้ ฐาน ได้ข้อมูลสรปุ ตามประเด็นต่อไปน้ี การออกข้อสอบ การศกึ ษาระดับชาตขิ ้นั พ้ืนฐาน ควรกาหนดมาตรฐาน/ตัวชวี้ ดั ทจ่ี ะทดสอบแลว้ แจง้ ใหส้ ถานศึกษาทราบ ล่วงหนา้ ควรออกแบบทดสอบใหห้ ลากหลาย ไมจ่ ากดั เฉพาะแบบทดสอบปรนัยแบบเลือกตอบ ทั้งนี้ การจัดชดุ ของแบบทดสอบควรใช้ข้อคาถามเดยี วกัน โดยอาจสลับข้อเพ่ือทาเป็นแบบทดสอบคู่ขนาน ตลอดจนควรจดั เวลาสอบตามความเหมาะสมของเนือ้ หาและความยากง่ายของแบบทดสอบ สาหรับ โรงเรยี นควรเตรยี มความพรอ้ มในการสอบ เพ่ือเปน็ การสร้างความคนุ้ เคยใหแ้ กน่ ักเรียน และควรนาผล การทดสอบการศึกษาระดับชาตขิ ั้นพื้นฐาน (O-NET) มาใชป้ ระโยชนใ์ นการพฒั นาการเรียนการสอนของ นักเรียน Abstract The purposes of this study were; 1) to investigate the test scores of the Ordinary National Educational Test (O-NET) in eight major subjects which were administered for elementary students level 6 ( Prathomsuksa 6 ) and secondary students level 3 (Matthayomsuksa 3) of the academic year 2010 and 2013 in Phuket; 2) to compare the students’ the O-NET scores between the different types of schools: the Phuket City Municipality , the Office of the Private Education Commission, the Local Administrative Organization, Phuket primary -4-
educational service area office and the Secondary Educational Service Area Office 14; and 3) to analyze the quality of the O-NET test. There were 9,451 students from 53 schools: elementary and secondary levels who had participated the O-NET test of the academic year 2010 and 2013; were joined in this study. In addition, two school directors and twenty one teachers attended the focus group meeting in order to analyze the quality of the O-NET test. The results illustrated that; the highest O-NET scores of the elementary students level 6 in 2010 and 2013 were the health and physical education subject. However, the lowest scores were the foreign langu age subject. Similarly, the secondary students level 3 got the highest scores in the health and physical education subject; whereas, their scores of the foreign language and math subjects were the lowest. Furthermore, both schools in the Phuket City Municipality and the Office of the Private Education Commission reached the highest O-NET scores of the elementary level 6 respectively. In contrast, the schools in the Local Administrative Organization and the Secondary Educational Service Area Office 14 took the highest scores of the secondary level 3 consecutively. Moreover, the gathered opinions and suggestions from the focus group meeting towards the design of the O-NET test ought to specify the educational standard points or the indicators in all subjects and informed the public in advance. It was also summarized that the test could have various types of test not only multiple choice, and the test should be carried out in the type of pararell by switching the test item which has to be concerned about the difficulty levels and the appropriate length of time. Also, the content of the test should be reviewed in case of preparing students for testing. Finally, the schools should utilize the results of the O-NET score to improve the students’ capability in all subjects. -5-
การสง่ เสริมความร้เู นอ้ื หาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยีสารสนเทศ ของครูวทิ ยาศาสตรร์ ะดับประถมศึกษาในจงั หวัดภูเก็ต เพ่อื การจัดการเรียนร้บู ูรณาการบริบทชุมชนท้องถน่ิ และสังคมเศรษฐกิจพอเพยี ง Enhancing In-service Science Teachers’ Technological Pedagogical Content Knowledge integrating Local Context and Sufficiency Economy into Science Teaching ดร. ศิรวิ รรณ ฉตั รมณรี งุ่ เรือง คณะครศุ าสตร์ บทคดั ย่อ การใหค้ วามสาคัญกบั ทักษะในยุคศตวรรษที่ 21 เชน่ ทักษะการปรับตัว ทักษะการสื่อสาร ทักษะด้านเทคโนโลยี และทกั ษะการแก้ปัญหา และจากบริบทของประเทศไทยที่นอ้ มรับแนวทางปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งผลใหก้ ารจดั การศกึ ษาวทิ ยาศาสตรใ์ นประเทศไทยได้มีการบูรณาการประเด็น ท้ังสองลงในหลกั สตู รสถานศกึ ษา แต่ปัจจัยท่ีสาคัญและมอี ทิ ธิพลต่อความสาเรจ็ การเปา้ หมายน้ีได้คือ ครู วิทยาศาสต ร์ การพัฒน าครูวิทยาศ าสตร์ให้มี ความรู้ในเ น้ือหาผนวก วิธีสอน และ เทคโนโล ยี (Technological Pedagogical Content Knowledge, TPACK)ทเ่ี หมาะสมจึงถอื วา่ เป็นปัจจัยท่ีสาคัญ และมีอิทธพิ ลโดยตรงตอ่ การปฏบิ ัติการสอนของครูวทิ ยาศาสตร์ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ พัฒนาความรใู้ นเนือ้ หาผนวกวิธสี อนและเทคโนโลยีของครูวทิ ยาศาสตร์ 40 ท่านท่ีเป็นครูพ่ีเลี้ยง โดย โครงการพัฒนาวชิ าชพี ครู(Co-TPACK) ท่บี ูรณาการการหนุนนาอย่างต่อเน่ือง (Coaching System) ที่ โรงเรียนรว่ มกับรปู แบบการร่วมมือกันในการสอน (Co-teaching Model) ระหว่างครูวิทยาศาสตร์ นักศึกษาฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี และอาจารยน์ ิเทศก์ โดยข้อมูลวิจัยนี้ประกอบด้วยข้อมูลจากการ สะท้อนการเรยี นรขู้ องครู การสังเกตการเรียนการสอน การสัมภาษณ์แบบกง่ึ โครงสร้าง และใชเ้ หตุการณ์ จาลอง แบบสอบถามปลายเปดิ และข้อมูลจากการศกึ ษาเอกสารการสอนตา่ งๆ งานวิจัยนี้ มีระเบียบวิธี วิจยั เป็นงานวิจัยเชิงผสมผสาน (Mixed Methods) โดยใช้กรอบแนวคิดการตีความ(Interpretivist Framework) -6-
ผลการศกึ ษาพบว่าในช่วงเริ่มต้นครูวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจ เก่ียวกับปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพียงในด้านความหมาย ทีม่ า และองค์ประกอบ แต่ไม่สามารถอธิบายหรือสะท้อน ต่อ กิจกรรมการจดั การเรียนร้ขู องตนเองได้ รูปแบบการสอนของครูส่วนใหญ่เน้นการบรรยายและการ ทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เม่อื ครูวทิ ยาศาสตรเ์ ข้ารว่ มในโครงการพัฒนาวิชาชีพ (Co-TPACK) น้ีพบว่า ครูวทิ ยาศาสตร์สามารถเลอื กใช้เทคโนโลยีท่เี หมาะสมต่อเนอื้ หาวิทยาศาสตร์และวิธีการสอน โดยครู วทิ ยาศาสตร์มกี ารวางแผนการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรูข้ องนกั เรยี นอยา่ งชัดเจน รูปแบบการพัฒนา วชิ าชพี ครู (Co-TPACK) ประกอบด้วย 3 วงจรปฏิบัติ ได้แก่ วงจรท่ี 1 การเตรียมความพร้อมของ นกั ศึกษาฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชีพ วงจรที่ 2 การสรา้ งและพัฒนาครพู ีเ่ ลย้ี ง และวงจรท่ี 3 การทางาน ร่วมกนั สามเสา้ ซงึ่ ทั้งสามวงจรการปฎบิ ตั จิ ะใช้รูปแบบการร่วมมือกันในการสอน (วางแผนร่วมกัน ร่วมกันสอน และประเมินผลการสอนรว่ มกัน) และระบบหนนุ นาอย่างตอ่ เนือ่ ง ซึ่งจะเน้นกระบวนการ แลกเปลี่ยนความรแู้ ละประสบการณ์ระหว่างครู นกั ศกึ ษาและอาจารย์นิเทศก์ท่ีมบี ทบาทเป็นนักวิจยั และ ครตู า่ งโรงเรียนผ่านช่องทางท่ีหลากหลาย รวมถึงการใช้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ผ่าน ออนไลนส์ ามารถสง่ เสริมใหค้ รูวิทยาศาสตร์ออกแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการจัดการ เรียนรปู้ ญั หาเปน็ รากฐานมกี ารใชเ้ หตกุ ารณ์ สถานการณ์ สถานท่ีในจังหวัดภูเก็ตเข้าร่วมในกิจกรรมการ เรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ ผลการพฒั นาของครูวทิ ยาศาสตรด์ า้ น TPACK น้นั ส่งผลให้ครูวิทยาศาสตร์ สามารถสอนวิทยาศาสตร์แบบบง่ ช้ถี ึงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ (Explicit Teaching) และการ พฒั นาท่เี กิดขึน้ กับครวู ทิ ยาศาสตรก์ ลมุ่ นี้มีความย่ังยนื โดยเห็นได้จากแผนการจัดการเรียนรู้และการ ปฏบิ ัตกิ ารสอนของครูวิทยาศาสตร์ คาสาคัญ: ความรใู้ นเนื้อหาผนวกวธิ สี อนและเทคโนโลยี ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบการ พฒั นาวชิ าชพี ครู Abstract An emerging body of \"21st century skills\"--such as adaptability, complex communication skills, technology skills and the ability to solve non-routine problemsare valuable across a wide range of jobs in the national economy. Including Thai context also focus on Philosophy of Sufficiency Economy. Thai science education has advocated infusing 21st century skills and Philosophy of Sufficiency Economy into the school curriculum and several educational levels have launched such efforts. Therefore, developing science teachers to have proper knowledge is the most -7-
important factor to success of the goals.The purposes of this study were to develop 40 Cooperative Science teachers’ Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) and to develop Professional Development Model integrated with Co-teaching Model and Coaching System (Co-TPACK). TPACK is essential to career development for teachers. Forty volunteer In-service teachers who were science cooperative teachers participated in this study for 2 year. Data sources throughout the research project consisted of teacher refection, classroom observations, Semi-structure interviews, Situation interview, questionnaires and document analysis. Interpretivist framework was used to analyze the data. Findings indicate that at the beginning the teachers understand only the meaning of Philosophy of Sufficiency Economy but they do not know how to integrate Philosophy of Sufficiency Economy into their science classrooms. Mostly, they prefer to use lecture based teaching and experimental teaching styles. When the Co-TPACK was progressing, the teachers have blended their teaching styles and learning evaluation methods. Co-TPACK consists of 3 cycles (Student Teachers’ Preparation Cycle, Cooperative Science Teachers Cycle, Collaboration cycle (Co-teaching, Co-planning, Co- Evaluating and Coaching System). The Co-TPACK enhances the 40 cooperative science teachers, student teachers and university supervisor to exchange their knowledge and experience on teaching science. There are many channels that they used for communication including online Chanel. Theyhave used more inPhuket context- integrated lessons, technology-integrated teaching and Learning that can explicit Philosophy of Sufficiency Economy. Their sustain development is shown on their lesson plans and teaching practices. Keywords: Technological Pedagogical Content Knowledge, Philosophy of Sufficiency Economy, Professional Development -8-
กล่มุ สาขาสงั คมศาสตรแ์ ละบริหารธรุ กจิ
Telling Thailand's Story: A Case study of the Naratives Presented at Phuket FantaSea and Siam Niramit 1Hobbs, Jeffrey Dale, 2Piengpen Na Pattalung, Ph.D.and Yodmanee , Nichaphorn. 1Phuket College of International Tourism 2Faculty of Humanities and Social Sciences Abstract People use stories to explain their actions and influence the actions of others. Families tell stories. Organizations tell stories. Cultures tell stories. Fisher (1984) notes that \"Regardless of the form they may assume, recounting and accounting for are stories we tell ourselves and each other to establish a meaningful life-world\" (p. 6). Phuket FantaSea and Siam Niramit are two popular tourist attractions in Phuket, Thailand. Since both Phuket FantaSea and Siam Niramit claim to tell the story of Thailand’s culture, it seemed prudent to examine the stories that are being told. Thus, a case study of the narratives presented at these two attractions was conducted. Are the stories communicating appropriate beliefs, values, and actions? The narrative at Siam Niramit features the theme that heaven and hell are on earth. At Phuket FantaSea, the visitor is asked to consider the old (traditional) and the new (modern). This study demonstrates the practicality of examining tourist attractions for the narratives they tell and ask people to believe. Narrative analysis allows for a better understanding of the messages being communicated and provides insights into how to improve the stories being told. Key Words: Narrative, Cultural Tourism, Thailand -11-
สมรรถนะทพ่ี งึ ประสงคข์ องบคุ ลากรองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน เพื่อรองรบั การเปน็ ประชาคมอาเซยี น :กรณีศึกษาในกลมุ่ จงั หวดั ภาคใต้ฝ่งั อันดามัน The desirable competencies of personnel of theLocal Administration Organization to support the ASEAN Community : A Case Study in the Southern Provinces of the Andaman นายเฉลมิ พร วรพนั ธกจิ และนายศกั ดา ขจรบุญ คณะวทิ ยาการจัดการ บทคัดย่อ การวจิ ยั เร่อื ง สมรรถนะทีพ่ ึงประสงค์ของบคุ ลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อ รองรบั การเปน็ ประชาคมอาเซยี น : กรณีศกึ ษาในกลมุ่ จังหวัดภาคใตฝ้ ่ังอันดามัน มีวัตถุประสงค์ 1) เพอ่ื ศึกษาสมรรถนะปัจจุบันของบคุ ลากรองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝ่ัง อนั ดามัน 2) เพือ่ ศึกษาสมรรถนะท่พี งึ ประสงค์ของบคุ ลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในการ รองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในกลมุ่ จงั หวัดภาคใต้ฝ่ังอันดามัน 3) เพื่อศึกษาปัญหาและ อุปสรรคของการพฒั นาสมรรถนะท่ีพึงประสงค์บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในการ รองรบั การเปน็ ประชาคมอาเซียน ในกลุม่ จังหวัดภาคใต้ฝงั่ อนั ดามัน การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิง สารวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) กับกลุ่มข้าราชการ พนักงานราชการ หรอื เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐท่ปี ฏิบัตงิ านในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจานวน 477 ตวั อย่าง นอกจากนี้ใช้วิธีการสัมภาษณ์ แบบเจาะลึก ( In-depth Interview) กับตัวแทน ผบู้ รหิ ารขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ จานวน 15 ตวั อย่าง รวมทง้ั ใช้การสนทนากลุ่ม (Focus Group) กับตัวแทนบคุ ลากรขององคก์ รปกครอง ส่วนท้องถิ่น จานวน 12 ตัวอย่าง ส่วนการ วิเคราะหข์ อ้ มลู เชงิ ปรมิ าณใช้ค่ารอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน ขณะท่ีข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์โดยจาแนกขอ้ มูลและเปรียบเทยี บขอ้ มูล ผลการวิจัย พบวา่ สมรรถนะของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันท่ี รองรับประชาคมอาเซียนมากทส่ี ุด คอื มีความรู้การทอ่ งเท่ยี วและการบรกิ าร มีทักษะการทางาน -12-
เป็นทมี และมมี นษุ ยสัมพันธ์ เมือ่ วิเคราะห์ชอ่ งวา่ งของสมรรถนะบุคลากรองค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถิน่ ทีต่ ้องมีเพือ่ รองรบั ประชาคมอาเซยี นในอนาคตอย่างเรง่ ด่วนใน 3 ลาดับแรกในแต่ละด้าน พบวา่ ควรมคี วามร้ใู นประชาคมอาเซียน การบรหิ ารความเสี่ยง กฎหมายและกฎระเบียบ ส่วน ดา้ นทักษะ ควรมภี าษาตา่ งประเทศอื่นๆ ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยีสารสนเทศและสืบค้นข้อมูล ขณะท่ี ดา้ นคุณลักษณะ ควรมภี าวะผู้นาและผู้ตาม จิตสานึกการบริการ และการรับฟังผู้อ่ืน สาหรับปญั หาและอปุ สรรคทม่ี ตี อ่ การพฒั นาสมรรถนะที่พงึ ประสงค์ในการรองรับเป็นประชาคม อาเซียน ได้แก่ ความรู้และทักษะการใชภ้ าษา ความรู้ความเข้าใจประชาคมอาเซียน งบประมาณ หน่วยงานภาครัฐหรือหนว่ ยงานสนับสนนุ ท่เี กย่ี วขอ้ ง การสอ่ื สารในองคก์ ร วัฒนธรรม เทคโนโลยี สารสนเทศและ การสืบค้นขอ้ มลู และการเคล่อื นย้ายแรงงาน ขอ้ เสนอแนะจากการวิจยั คือ หนว่ ยงานภาครฐั และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง องค์การ บริหารส่วนจงั หวดั เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตาบลในแต่ละพื้นที่ ควรดาเนินงานใน รูปแบบบูรณาการการดาเนนิ งานร่วมกันทุกภาคส่วน โดยการพัฒนาเป็นเครือข่ายในระดับพื้นที่ เพื่อประสานความร่วมมือ เช่ือมโยง และแบ่งบันทรัพยากรทางการบริหารในการพัฒนา สมรรถนะบคุ ลากร อยา่ งเร่งด่วนใน 3 ลาดับแรก ในแต่ละด้านข้างต้น เพื่อรองรับประชาคม อาเซียนในอนาคต โดยการใหค้ วามรหู้ รือฝึกอบรม การพัฒนาตนเอง การปฏิบัติงานจริง และ การศึกษา Abstract The research topic is about “The desirable competencies of personnel of the Local Administration Organization to support the ASEAN Community : A Case Study in the Southern Provinces of the Andaman Group.” The objectives were : 1 ) to study the current competencies level of personnel, local governments in the Southern Andaman provinces group, 2) to study the competencies of personnel desirable local governments in support of ASEAN community in the Southern provinces of the Andaman Group 3) to study problem and threat courses to develop competency that bypass local government organizations to support the ASEAN community in the Southern -13-
provinces of the Andaman group. This research was a survey research by using questionnaires with a group of civil servants, government employees or Government officials who work in local government organizations, which 477 cases were included as a sample. In addition, the research also used the in - depth interview to the Executive representative of the local governments for 15 cases as a sample. For another method of this research was also using group discussion (Focus Group) to representatives of the administrative organizations for 12 cases as a sample. Quantitative data analysis section, this research used the standard deviation average percent, but qualitative data was used to analyze them and compare the data. The research results showed that the competencies of local government organizations currently support ASEAN community the most were having knowledge in tourism and services, teamwork skills, and interpersonal skills. When the competencies gap analysis personnel, local governments were required to accommodate future ASEAN community urgently in the first 3 on each side, It was found that it should be recognized in the ASEAN community information, risk management, Laws and regulations. For the communicative and informative skills, they should be contained the other foreign language, English, information technology and information retrieval, while the features should have leadership and teamwork-based service, and listen to others. For problems and threats to the development of competence, and desirable to serve as ASEAN community were the knowledge and skills in language, ASEAN community information, budget, government representatives or the relevant -14-
support agencies, communication in organizations, culture, information technology, and trace information, and the labor movement. Suggestions from the research was that the government representatives and the private sector involved the provincial administrative organization and the municipal administration in each area should carry out an integrated joint operations in all sectors by developing a regional network to coordinate the cooperation links, and share resources and personnel in the development of management competence, and urgently in the first 3 on each side to accommodate a future ASEAN community by providing education or training about self-development, actual job performance, short courses and continuing education. -15-
การศึกษาพฤติกรรมการบริโภคสนิ ค้าของแรงงานตา่ งด้าวในจังหวัดภเู กต็ The Consumption Behavior of Foreign Workers in Phuket Province ดร.ดวงรตั น์ โกยกิจเจรญิ คณะวิทยาการจัดการ บทคดั ยอ่ การศึกษาวจิ ยั เร่ือง พฤตกิ รรมการบริโภคสินค้าของแรงงานตา่ งด้าวในจังหวัดภูเก็ต มวี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคสินค้าของแรงงานต่างด้าว ศึกษาปัจจัยส่วน ประสมทางการตลาดท่มี ีอิทธิพลตอ่ ตัดสินใจซ้อื สนิ ค้าของแรงงานต่างด้าว และศึกษาถึงปัญหา และอปุ สรรคในการตัดสินใจซื้อสินค้าของแรงงานต่างด้าวในจังหวัดภูเก็ต กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยแรงงานต่างดา้ วสญั ชาตพิ มา่ ทอ่ี าศัยอย่ใู นจงั หวัดภเู ก็ต เครอื่ งมอื ในการเก็บรวบรวม ขอ้ มลู คอื แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา การหาค่า t (Independent sample t-test) สถติ ิการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA) และการหา ความแตกต่างรายคู่ (Post Hoc) ผลการศกึ ษาพบว่า พฤติกรรมการบรโิ ภคสินค้าของแรงงานสัญชาติพม่าที่อาศัยอยู่ ในจงั หวัดภูเกต็ ส่วนใหญ่นยิ มซอ้ื สินค้า 1-2 คร้ังตอ่ เดอื น นิยมซอ้ื สนิ คา้ วนั หยดุ งานมากทสี่ ุด ซ้ือ สินคา้ เวลา 06.00 – 09.00 น. ใชเ้ วลาในการซ้ือสินค้าแตล่ ะครงั้ 1 – 2 ชั่วโมง นิยมไปซื้อสินค้า กับคนในครอบครวั ส่วนใหญซ่ ือ้ สินค้าประเภทอาหารสดมากที่สุด รองลงมาคืออาหารแห้ง และของใชใ้ นบา้ น การตัดสินใจซอ้ื สินคา้ นน้ั พจิ ารณาจากเหตุผลด้านราคามากที่สุด รองลงมา คือ สินค้าตรงตามความต้องการ และสนิ คา้ คณุ ภาพดี จะตัดสนิ ใจซ้ือสินค้าด้วยตนเองเป็นส่วน ใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะซือ้ สนิ คา้ เทา่ ทจ่ี าเปน็ ต้องใช้ และใชเ้ งินในการซ้ือสินค้าแต่ละคร้ังจานวน 501 – 1,000 บาทมากท่ีสดุ สถานท่ใี นจงั หวดั ภเู กต็ ท่ีแรงงานต่างดา้ วนิยมไปเลือกซื้อสินนค้าคือ ห้างซุปเปอร์ชีป รองลงมาคอื บิก๊ ซี และตลาดสด เหตุผลที่ใช้เลือกสถานท่ีซ้ือสินค้าคือ สินค้า ครบถว้ นตามตอ้ งการ รองลงมาคือใกลบ้ า้ น และสนิ ค้ามีราคาถูก ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดทมี่ ีอทิ ธิพลต่อการตดั สนิ ใจซ้ือสนิ ค้าของแรงงานต่าง ด้าวในจงั หวัดภูเกต็ มากทส่ี ุด คือ ปจั จยั ด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมาคือปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้าน -16-
ช่องทางการจดั จาหนา่ ย และปัจจยั ดา้ นการสง่ เสริมการขาย ตามลาดับ ส่วนปัญหาและอุปสรรค ในการตดั สินใจซ้ือสนิ ค้าของแรงงานตา่ งด้าวในจังหวัดภูเก็ต ส่วนใหญ่มักจะพบปัญหาความ หลากหลายของสินค้ามนี อ้ ย รองลงมาคอื ราคาสนิ ค้าและค่าบรกิ ารทีส่ งู ความแตกต่างระหว่าง ของไทยกบั ประเทศตน และความเพยี งพอของสินค้าท่ีตอ้ งการซอื้ ABSTRACT The purposes of this study were to investigate the consumption behaviour of foreign workers, to examine the marketing mix factors affecting their decision to buy products, and to identify problems in buying products in Thailand. The sample group consisted of the Burmese who were working in Phuket. The research instrument employed was questionnaires. Statistics used to analyze the collected data included descriptive statistics, t-test, one way ANOVA, and Post Hoc. The results revealed that most of the Burmese workers went shopping about 1-2 times monthly during weekends. They usually spent the time shopping with their family about 1-2 hours, from6.00a.m. to 09.00 p.m. The popular products were fresh produce, groceries and household products. The reasons for buying were reasonable prices, needed products, and good quality. Most workers decided to buy products by themselves, and spent between 501-1,000 baht per purchase. The most popular place to go shopping in Phuket was Super Cheap, followed by Big C, and fresh markets. The reasons in choosing the place to buy products included various types of products, convenient location, and reasonable prices. The most effected marketing mix factor was products, followed by price, distribution channels, and promotion. Problems of the Burmese workers in buying products in Phuket were high prices of products and services, differences between Thai and Burmese products, and insufficient number of needed products. -17-
การส่ือสารการตลาดแบบบรู ณาการท่ีสง่ ผลต่อการตัดสนิ ใจเขา้ ร่วมเทศกาล เพ่อื การท่องเที่ยว กรณศี ึกษา เทศกาลกนิ เจ จงั หวัดภเู กต็ Integrated Marking Communication Affecting Decisions on the Participated Festival for Tourism: A Case Study of Vegetarian Festival in Phuket, Thailand นายนมิ ิต ซุ้นสน้ั นายวรานนท์ แสงวจิ ติ ร และนางปิยวรรณ คากลดั คณะวทิ ยาการจัดการ บทคดั ยอ่ การศึกษาเรอื่ ง “การสือ่ สารการตลาดแบบบูรณาการท่ีส่งผลต่อการตัดสินใจ เข้า ร่วมงานเทศกาลเพอ่ื การท่องเท่ยี ว กรณีศึกษา เทศกาลกินเจ จังหวัดภเู ก็ต” ครง้ั นี้ มวี ัตถุประสงค์ 1.)เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเดินทางของผ้เู ขา้ รว่ มงานเทศกาลเพอ่ื การทอ่ งเท่ียว กรณศี กึ ษา เทศกาล กินเจ จงั หวดั ภเู ก็ต 2.)เพือ่ ศกึ ษาระดบั ความสาคญั ของการส่ือสารการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผล ตอ่ การตดั สนิ ใจเขา้ รว่ มงานเทศกาลเพื่อการทอ่ งเท่ียว กรณีศึกษา เทศกาลกนิ เจ จงั หวัดภูเกต็ และ 3.)เพอื่ ศกึ ษาความสัมพันธ์ระหวา่ งการสอื่ สารการตลาดแบบบูรณาการต่อความต้องการกลับเข้า ร่วมงานเทศกาลเพ่ือการท่องเทีย่ ว กรณศี ึกษา เทศกาลกินเจ จงั หวัดภูเก็ต สาหรับวธิ กี ารศึกษาเป็นแบบเชงิ ปรมิ าณ โดยมปี ระชากรและขนาดกลุ่มตัวอย่างเป็น ชาวต่างชาติทีเ่ ดนิ ทางเขา้ ร่วมงานเทศกาลเพื่อการทอ่ งเท่ียว คอื เทศกาลกินเจ จงั หวดั ภูเก็ต จานวน 384 คน โดยเก็บขอ้ มูลจากสถานที่จัดงานเทศกาลกินเจของจงั หวัดภูเก็ต ทั้งนี้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนา โดยการแจงแจกความถี่ การคานวณหาค่ารอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสวนเบี่ยงเบน มาตรฐาน นอกจากนน้ั ยังใช้สถติ เิ ชงิ อนมุ านในการเปรยี บเทยี บเพื่อหาความแตกต่าง รวมท้ังการ พยากรณ์ ได้แก่ สถิติคา่ ที คา่ เอฟ และการวิเคราะห์ถดถอยโลจสิ ตกิ ส์ ผลการศกึ ษา พบว่า 1.)พฤติกรรมการเดินทางของผเู้ ขา้ รว่ มงานสว่ นใหญ่มวี ัตถปุ ระสงค์ ในการเดินทาง คือ ท่องเทยี่ ว โดยเดนิ ทางรว่ มกับเพือ่ น รองลงมา คอื ครอบครัว ส่วนยานพาหนะ นัน้ ใชบ้ ริการของรถบริษัทนาเที่ยว และเลือกใชส้ ถานท่พี ักแรมเปน็ โรงแรม ดา้ นจานวนวันพักเฉล่ีย ต่อครง้ั พบวา่ ผูเ้ ข้าร่วมงานส่วนใหญม่ ีจานวนวนั พกั เฉล่ียตอ่ คร้ังจานวน 3-5 วนั และมีงานอดิเรก -18-
คอื ท่องเท่ยี ว รองลงมา คอื ช้อปปิ้ง และถา่ ยภาพ ส่วนด้านปัจจัยท่ีสาคัญในการตัดสินใจเดิน ทางเข้าร่วมงานเทศกาล พบว่า ผู้เข้ารว่ มงานส่วนใหญต่ ัดสินใจเดินทางเข้าร่วมงานเทศกาลเพ่ือ ท่องเท่ยี ว กรณีศึกษา เทศกาลกนิ เจ จังหวัดภูเก็ต มสี ิง่ ดึงดูดใจในการทอ่ งเท่ยี ว รองลงมา คอื มีสิ่ง อานวยความสะดวกครบครนั และมีกจิ กรรมระหวา่ งการทอ่ งเท่ียวท่นี า่ สนใจ 2.) ระดับความสาคญั ของการส่ือสารการตลาดแบบบรู ณาการต่อการตัดสนิ ใจเข้าร่วมงานเทศกาลเพ่ือการท่องเท่ียว เทศกาลกินเจ จังหวดั ภูเก็ตพบวา่ อย่ใู นระดบั มาก เมื่อนาระดับความสาคญั ของการส่ือสารการตลาด แบบบูรณาการต่อการตดั สนิ ใจเขา้ รว่ มงานเทศกาลเพื่อการทอ่ งเทย่ี ว เทศกาลกินเจ จังหวัดภูเก็ตทั้ง 5 ด้านมาเรียงลาดับตามคา่ เฉล่ีย เพ่ือพิจารณาตามลาดบั ความสาคญั สามารถเรียงลาดับได้ ดังน้ี การโฆษณา รองลงมา คือ การสือ่ สารออนไลน์ การประชาสัมพันธ์การตลาดทางตรง และการ ส่งเสรมิ การขายและ 3.) ปจั จยั ดา้ นการส่ือสารออนไลน์ ซ่ึงเป็นปัจจัยด้านหน่ึงในการสื่อสาร การตลาดแบบบูรณาการมีผลตอ่ สมการพยากรณแ์ นวโน้มในการเดินทางกลบั มาเข้าร่วมงานเทศกาล เพ่อื การทอ่ งเท่ียว เทศกาลกนิ เจ เพยี งปจั จยั เดยี ว สาหรับข้อเสนอจากการศึกษา ได้แก่ การจดั ทาฐานขอ้ มูลออนไลนท์ ี่เกยี่ วข้องกับงาน เทศกาลเพือ่ การทอ่ งเท่ียว และการโฆษณาข้อมลู ทเ่ี ก่ียวข้องกับการจดั งานเทศกาลเพ่อื การทอ่ งเทยี่ ว อย่างต่อเนอ่ื งและทั่วถงึ รวมทงั้ ควรมหี น่วยงานที่รบั ผิดชอบเพ่อื ใหบ้ รกิ ารแบบเบด็ เสรจ็ Abstract This study aimed to examine: 1) the behavior of people who attended festival for tourism; a case study of the Vegetarian Festival in Phuket, 2) the importance levels of integrated marketing communication which affected to people’s decision in order to participate the festival for tourism; a case study of the Vegetarian Festival in Phuket, and 3) the relationships between integrated marketing communication and re-visit to join the festival for tourism; a case study of the Vegetarian Festival in Phuket. The quantitative method was used in this study. The 384 tourists who attend to the Vegetarian Festival in Phuket were used to be population and samples. The data was collected from places where the festivals were set. Moreover, the data was analyzed by using descriptive statistic, for example; frequency, percentage, mean, and standard deviation. The variables relationships -19-
were also tested by using Chi-square, T-test, F-test, One-Way ANOVA, the logistic regression analysis. The results were shown: 1) according to the behavior of people who attend to the festival; there was a purpose for their visiting that was travel. They preferred to travel with friends or family. Cars or minivans of the travel company were used to be their vehicles. Moreover, they also chose hotels for their accommodation. In addition, they usually spent 3-5 days by average. They also had some hobbies such as travelling, shopping and taking photos. Anyway, for the important factors affected to their decision in order to join the festival were that they decided to join the festival for travelling because of the attractions about the Vegetarian Festival in Phuket. Moreover, there also were complete accommodations and lots of interesting activities during travelling 2) For the importance levels of integrated marketing communication which affected to people’s decision in order to participate the tourism festival; case study of the Vegetarian Festival in Phuket, it found that the level is in the maximum. When five importance, it can be arranged by the advertisement, online communication, direct marketing, public relations, and sales promotion. And 3) Factor which have relationship between integrated marketing communication and re-visit to join the festival for tourism, this study found that online communication factors affected to re-visit the festival for tourism; a case study of the Vegetarian Festival in Phuket. The recommendations of the study are that doing the online database concerned with the festivals for tourism, and advertising about festivals thoroughly. Moreover, there should be the institutes which can take responsibilities about the festivals -20-
การท่องเทยี่ วเชิงการแพทย์ของไทยภายใต้กล่มุ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออซี ี) : โอกาสและภยั คุกคาม Research Topic Thailand Medical Tourism under the ASEAN Economic Community (AEC): Opportunities and Threats ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์พัลลภา ศรไี พโรจน์กลุ และ รองศาสตราจารย์สวุ ฒั น์ วริ ุฬห์สิงห์ คณะวทิ ยาการจัดการ บทคัดย่อ การวิจยั เร่ือง “การท่องเท่ียวเชิงการแพทย์ของไทยภายใต้กลุ่มประชาคม เศรษฐกิจอาเซยี น (เออีซี) : โอกาสและภัยคกุ คาม มีวตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ศึกษาปัจจัยท่ีเป็น โอกาสและภัยคกุ คามของการท่องเที่ยวเชงิ การแพทยข์ องไทยภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน เพื่อศึกษาแนวทางการจ้างงานภายนอกในธรุ กิจการทอ่ งเท่ยี วเชิงการแพทย์ของ ไทย และเพ่ือศึกษาปัจจัยที่เอ้ือต่อโอกาสการลงทุนของนักธุรกิจการท่องเท่ียวเชิง การแพทย์ของไทยในประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น การศกึ ษาวิจัยน้ีใชว้ ธิ กี ารวิจยั แบบผสม ระหว่างการวิจัยเชิ งปริมาณ และการวิจัยเชิงคุ ณภาพ เก็ บรวบรวม ข้อมูลด้วย แบบสอบถามกบั กล่มุ ตวั อย่างบคุ ลากรทางการแพทย์ของไทยจานวน 440 คน และ สัมภาษณ์ผ้บู ริหารโรงพยาบาลเอกชนจานวน 12 คน การวเิ คราะหข์ อ้ มูลแบบสอบถามใช้ สถติ ิเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี การหาค่าร้อยละ คา่ เฉล่ยี เลขคณิต และค่า เบย่ี งเบนมาตรฐาน การวเิ คราะห์ขอ้ มลู แบบสมั ภาษณใ์ ชก้ ารวิเคราะหเ์ น้ือหา ผลการศึกษาพบวา่ ปัจจัยที่เป็นโอกาสของการท่องเท่ียวเชิงการแพทย์ของ ไทยภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น ได้แก่ ปจั จยั ดา้ นเศรษฐกจิ ปจั จยั ดา้ นสังคมและ วัฒนธรรม และปัจจยั ด้านเทคโนโลยี ส่วนปัจจัยท่ีเป็นภัยคุกคาม ได้แก่ ปัจจัยด้าน การเมือง และปัจจยั ด้านกฎหมาย ขณะท่รี ะดบั ความพรอ้ มดา้ นภาษาตา่ งประเทศในการ ส่อื สารเพื่องานอาชพี ของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยมีปานกลาง (คา่ เฉลยี่ 2.89, ค่า -21-
เบย่ี งเบนมาตรฐาน .801) บุคลากรทางการแพทยข์ องไทยขาดทกั ษะดา้ นภาษาท่ใี ชใ้ นการ ส่ือสารกบั ชาวตา่ งชาติ เช่นภาษาอังกฤษ หรอื ภาษาในภูมิภาคอาเซียน” ในระดับมาก (ค่าเฉลีย่ 3.75, คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน .918) แนวทางการจา้ งงานภายนอกในธุรกิจการทอ่ งเท่ยี วเชิงการแพทย์ สาหรบั การ จ้างบคุ ลากรทางการแพทยจ์ ากตา่ งชาติเขา้ มาทางานในประเทศไทย มีลักษณะของการ เขา้ มาทางานเป็นผู้ชว่ ยเหลอื ด้วยติดขดั ในกฎระเบียบการมใี บอนญุ าตประกอบวิชาชีพ ขณะท่ีการจ้างงานภายนอกธรุ กิจโรงพยาบาลมีการจัดตงั้ บรษิ ัทมาดาเนินงานสนับสนุน เชน่ จัดหาเครื่องมอื และอปุ กรณ์ จัดหายา เปน็ ต้น ปัจจัยท่ีเอื้อตอ่ โอกาสการลงทุนของนักธรุ กิจการทอ่ งเทีย่ วเชิงการแพทย์ของ ไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น ได้แก่ ปจั จัยดา้ นเศรษฐกจิ ปจั จยั ด้านวฒั นธรรม และ ปจั จยั ดา้ นเทคโนโลยี การลงทุนของธุรกิจการทอ่ งเท่ียวเชงิ การแพทย์ ประเทศทเี่ ป้าหมาย ของการลงทนุ ไดแ้ ก่ กัมพชู า เมยี นมาร์ และสปป.ลาว Abstract The objectives of this study were to study the opportunities and threats factors of Thailand’s medical tourism under ASEAN Economic Community (AEC), to study the outsourcing in Thailand’s medical tourism business and to determine the factors that affect investment in Thailand’s medical tourism under AEC. Qualitative and quantitative methods were applied. Data were collected by using questionnaire with 440 sampling of Thailand’s medical staff and 12 managerial staffs of the private hospital were interviewed. The questionnaires’ data was analyzed using descriptive statistics and the content analysis was using with the data from the interviews. According to this study, the opportunities factors for the Thailand’s medical tourism were economic factor, social and cultural -22-
factor and technology factor. The threat factors were politics factor and law factor. Also with the second language proficiency was the weakness of Thai medical staff. The second language proficiency for communication of the medical staff was moderate. (=2.89, S.D. = .801) The lack of the second language skill of the medical staff was high. (=3.75, S.D. = .918). The foreign medical personnel could work in Thailand as a supporter because the Thailand’s law did not allow. While the outsourcing in the medical tourism business was establishing the company to support works such as purchasing medical equipment and medicine. The factors that facilitate the medical investment by Thai investor in other AEC countries were the economic factor, social and cultural factor and technology factor. The targeted investment countries were Cambodia, Myanmar and Laos. -23-
แนวทางการออกแบบและพัฒนาบรรจุภณั ฑก์ นั กระแทก จากเส้นใยกลว้ ย สาหรบั หบี ห่อผลไม้ไทย Guidelines for Design and Development of Package Cushioning Made from Banana Fiber for Thai Fruits นางสาวพิชานนั ต์ พลู เกิด คณะมนษุ ยศาสตร์ บทคัดยอ่ แนวทางการออกแบบและพัฒนาบรรจภุ ัณฑ์กันกระแทกจากใยกล้วย สาหรับหีบห่อ ผลไมไ้ ทย มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่อื ค้นหาแนวทางการผลิตบรรจุภัณฑ์กันกระแทกจากใยกล้วยที่ง่าย ด้วยวธิ ีทามอื และต้นทุนตา่ เพ่ือเพ่มิ มูลคา่ ผลไม้ไทย ดว้ ยการออกแบบพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ และเพอื่ ศกึ ษาผลการสารวจความพึงพอใจและความคิดเห็นด้านบรรจุภัณฑ์กันกระแทกจากใย กลว้ ย มีวธิ ดี าเนินการแบง่ ออกเปน็ 4 ชว่ ง ช่วงแรก จะเป็นการทดลองค้นหาแนวทางการผลิตท่ี ง่าย ไมซ่ บั ซอ้ น ช่วงท่ี 2 เปน็ การทดสอบคณุ สมบตั ขิ องวัสดุกนั กระแทกจากใยกล้วย ช่วงที่ 3 จะ เป็นการออกแบบและพัฒนาบรรจภุ ัณฑ์ ท่ีเพ่ิมมูลค่าของผลไม้ไทย และช่วงสุดท้าย เป็นการ สารวจความพงึ พอใจและความคดิ เห็น ของผ้บู ริโภคของผู้ประกอบการและชาวสวนผลไม้จาก สถานทตี่ ่างๆ เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ใช้เป็นตารางบันทึก วิธีการทดลอง ผลการทดลอง ตน้ ทุน ข้อสังเกตและเกรด็ ความรู้พเิ ศษ ทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งทดลอง นาผลการทดลองไปทดสอบกับ เคร่อื งทดสอบกระดาษ Universal testing machine เพ่ือให้ทราบถึงคุณสมบัติวัสดุ ทาการ ออกแบบและพฒั นาเปน็ ตน้ แบบ และใช้แบบสอบถามความพึงพอใจและความคิดเห็น ตาม หลักการออกแบบบรรจภุ ัณฑ์ จาก 3 กล่มุ คน คอื กลุ่มผู้บริโภค จานวน 100 คน กลุ่มพ่อค้า แม่คา้ 10 รา้ น และกลุม่ เกษตรกรชาว สวน จานวน 10 ราย ในประเด็น ด้านการออกแบบ โครงสร้างบรรจุภณั ฑแ์ ละด้านการออกแบบกราฟิกบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งข้อคิดเห็นอื่นๆ เป็น คาถามแบบเปดิ ผลการวจิ ยั สรปุ ได้ดังน้ี ขั้นตอนกระบวนการผลติ ตง้ั แต่เร่ิมตน้ แปรรูปต้นกล้วย เป็นเส้นใยมาเป็นกระดาษ จนกลายเป็นบรรจุภัณฑ์กันกระแทกจากเส้นใยกล้วย สามารถทามือ (Hand make) ได้ทุก ขั้นตอน วิธีการทาไม่ยงุ่ ยาก ชาวสวนสามารถทาเองได้ทุกขั้นตอน วัตถุดิบ วัสดุและอุปกรณ์ -24-
สามารถหาไดท้ งั้ หมดในท้องถนิ่ ตน้ ทนุ ตา่ วิธที ่ี 8 (สบั -ต้ม-ปั่น-คั้นเสน้ ใย-ฟอกสี-ย้อมสี-ทาแผ่น/ ขน้ึ รปู ทรง-ตากแดด-เคลือบผวิ ดว้ ยแป้งเปยี ก) เป็นวิธีท่ีเหมาะสมท่ีสุด สาหรับการทาแบบข้ึน รูปทรงสาหรบั บรรจภุ ณั ฑก์ นั กระแทกแบบใช้แม่พิมพ์แล้ว การทาเคลือบผิวด้านนอกด้วยแป้ง เปยี ก จะชว่ ยยดึ ใหร้ ูปแบบอยู่ทรงและแข็งแรงมากยิ่งขึ้นวิธีนี้ช้ินงานแห้งเร็วทาให้ทางานได้ ปริมาณเยอะในแต่ละวนั และสามารถย้อมสตี ่างๆ เพอื่ เพม่ิ ความสวยงามตามการออกแบบได้ รายงานผลการทดสอบและวิเคราะห์ พบวา่ แผ่นกระดาษที่เกิดจากเส้นใยกล้วย มี ความตา้ นแรงดงึ ขาด(Tensile strenght) เปน็ คา่ ทบี่ อกถึงความแข็งแรงหรือความเหนียวของ กระดาษในการรบั นา้ หนักในลกั ษณะท่ีจะทาใหเ้ กดิ แรงดงึ 0.03 กิโลนวิ ตัน/เมตร และการยืดตัว (Elongation) ของกระดาษเส้นใย ยดื ตัวรอ้ ยละ 3.65 ซงึ่ กม็ คี ณุ สมบัติที่สามารถนามาประยุกต์ ทากนั กระแทกได้ ผลการทดสอบปริมาณความหนาของวัสดุกันกระแทกจากใยกล้วย ต่อการรับแรง กระแทกหลังการหบี หอ่ ผลไม้ พบว่าวัสดุกันกระแทกจากใยกล้วยปริมาณความหนา 0.7 ซม. สามารถรับแรงกระแทกไดด้ ี ตอ่ การรับแรงกระแทกระดบั ความสูง 0.73 เมตร(ความสูงโต๊ะขาย ผลไม)้ ผลการทดสอบเปรียบเทียบการรบั แรงกระแทกของวัสดุกันกระแทกจากใยกล้วยกับวัสดุ กันกระแทกจากโฟมในท้องตลาดหลังการหีบห่อผลไม้ พบว่าวัสดุกันกระแทกจากใยกล้วย สามารถรับแรงกระแทกไดด้ ีกวา่ วัสดุกันกระแทกจากโฟมในท้องตลาด เมื่อทาการทดสอบแรง กระแทกในการทดลองระดบั ความสงู ของช้นิ งานระดบั เดียวกัน โดยปล่อยมะม่วงสุกน้าหนัก 0.3 กิโลกรมั หบี ห่อดว้ ยวสั ดกุ ันกระแทกจากใยกลว้ ย และวสั ดุกนั กระแทกตามท้องตลาด(โฟม) ลงสู่ พืน้ ปนู ซีเมนต์จากท่ีสูงระยะ 0.73 เมตรครงั้ ที่ 1 และ 1.20 เมตร คร้ังที่ 2 มะม่วงสุกท่ีอยู่ในวัสดุ กนั กระแทกจากเสน้ ใยกล้วย คงสภาพเดิม ส่วนมะมว่ งท่ีอยู่ในวัสดุกันกระแทกตามท้องตลาด (โฟม) มีรอยบมุ๋ ซา้ การออกแบบพฒั นารูปแบบบรรจุภัณฑก์ นั กระแทกจากใยกลว้ ย ซึ่งทาการออกแบบ โครงสร้างบรรจภุ ัณฑแ์ ละออกแบบกราฟิกบรรจุภัณฑ์ที่เพ่ิมมูลค่าผลไม้ไทย พบว่า ค่าเฉลี่ย ภาพรวมในการออกแบบและพฒั นาจากบคุ คล 3 กลุ่ม คอื ผซู้ อื้ ผูข้ าย และผู้ผลิตคือชาวสวน มี ความพึงพอใจอยู่ในระดบั สงู มาก (ค่าเฉลี่ย 4.52) เมอ่ื แยกระดับความพงึ พอใจออกม าเฉพาะแต่ ละกล่มุ พบวา่ ผ้บู รโิ ภคผลไม้ไทยซ่งึ เป็นหญิงร้อยละ 68 และชายร้อยละ 32 ซึ่งมีรายได้ส่วน ใหญม่ ากกวา่ 30,000บาท มคี วามพงึ พอใจในระดบั สูงมาก (คา่ เฉล่ยี 4.74) ทั้งในด้านออกแบบ โครงสรา้ งและออกแบบกราฟิก และต้งั ข้อสงั เกตวา่ ชาวสวนซ่ึงเป็นผู้ผลิตเอง กลุ่มคนในร ะดับ -25-
รากหญา้ ให้ความพงึ พอใจสูงมากเป็นพิเศษ คือ เร่ืองรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ ส่ือถึงผลิตภัณฑ์ ท้องถนิ่ ซ่ึงคา่ เฉลีย่ อยูท่ ี่ 4.90 คาสาคัญ: เส้นใยกลว้ ย,บรรจภุ ัณฑก์ ันกระแทก Abstract This study was sponsored by the Research Fund of Phuket Rajabhat University. The purposes were to investigate guidelines for developing cushioning for packages from banana fiber which could be made easily and cheaply by hand, and to examine the satisfaction level of the people regarding this product. The study consisted of 4 stages. Stage 1: the researcher tested methods of making package cushioning from banana fiber; Stage 2: the researcher tried out the quality of package cushioning from banana fiber; Stage 3: the researcher developed the package cushioning from banana fiber for Thai fruits; Stage 4: The satisfaction level of three groups of people were evaluated: customers, business operators, and farmers. Research instruments included test schedule, test results, cost of investment, notes from tests, and a universal testing machine to test the quality of the cushioning. The sample group consisted of 3 groups of people: 100 customers, 10 business operators, and 10 farmers. The results were the following: The process of producing package cushioning from banana trunks into fiber can be easily done by hand. The material and equipment is readily available in the community. There are 8 simple stages in producing the fiber. The packages are molded and left to dry. Then, the packages are coated with starch to make them stronger and more durable. This process will help the people to produce a large number of pieces daily. The finished products can be dyed for beauty. -26-
From the tensile test, it was found that the fiber from banana trunks possesses a high level of tensile strength (0.03 kilonewton / metre), and the elongation level of the fiber was 3.65 %. The test of the thickness of the fiber found that the thickness of the banana fiber was 0.7 centimeters which could resist the impact of 0.73 meters (the fruit table’s height). The comparison of the impact resistance of the banana fiber and the conventional foam resulted that the banana fiber had a better resistance impact. The researcher conducted 2 experiments to compare the resistance impact by cushioning the mangoes with two different materials. In the first experiment, the two 0.3 kg mangoes with different cushions were dropped from the 0.73 meter height table. In the second experiment, the two 0.3 kg mangoes with different cushions were dropped from the 1.20 meter height table. The result from both experiments showed that the mango with the banana fiber was in perfect condition, while the mango in the foam cushion was bruised. In terms of the satisfaction level of the people for the package cushioning for fruits made from banana fiber, it was found that the satisfaction level of three groups of people was very high (4.52). As for each group, it was revealed that 68% of female customers and 32% of male customers whose salary was over 30,000 baht monthly had a very high level of satisfaction for the structure and graphic design of the product (4.74). The farmers and vendors had a high satisfaction level for unique forms of products which represent local identity (4.90). Keywords: banana fibers, packaging cushioning. -27-
The Assessment of English Proficiency of Twelfth Graders in Phuket under the B.E.2551 Upper Secondary Curriculum. 1Piengpen Na Pattalung, Ph.D. 2Jeffrey Dale Hobbs, Ph.D. 1Faculty of Humanities and Social Sciences 2Phuket College of International Tourism Abstract This study assessed the level of English proficiency of twelfth graders in Phuket and identified the strengths and weaknesses of these students in English. The sample for the study included 325 twelfth graders who were enrolled in Phuket schools during the second semester of the 2014 academic year. The instrument used in the study was a 60-item English proficiency test. The data were analyzed using descriptive statistics for frequencies, percenta ges, means, and standard deviations. The results of the study revealed the following: (1) The English proficiency level of twelfth graders in Phuket was 52.36%. And (2) the students’ weakest area was understanding news, printed documents, and electronic documents -28-
ลีลาชีวิตแหง่ ทะเลอันดามัน Spirit of Andaman Sea นายไพฑรู ย์ ทองดี และนายคารว์ พยุงพันธ์ คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ บทคัดยอ่ ผลงานวจิ ัยแบบสรา้ งสรรค์ทัศนศิลป์เรื่อง “ลีลาชีวิตแห่งทะเลอันดามัน” เล่มนี้ เป็นการศึกษารูปลกั ษณภ์ ายนอกทางธรรมชาติ รวมถึงสัญลักษณ์ทางความเช่ือที่สัมพันธ์จาก ทะเล เพ่ือคน้ หาความงามอนั เกิดจากการสรา้ งสรรค์ เป็นการข้อคิดเห็นทางความรู้สึกของผู้วิจัย จากแนวเรื่อง ในขอบเขตทผ่ี ู้วิจยั ต้องการศกึ ษา โดยนาข้อมูลทีไ่ ด้ มาแปรสภาพ วิเคราะห์ และ สังเคราะหเ์ ปน็ แบบรา่ งทางความคดิ ซงึ่ เสมอื นเปน็ แบบบันทึกทางความงาม ในลักษณะความ เปน็ รูปธรรม เพ่ือใหเ้ กดิ ความหมายในการแสดงออกเชิงคุณค่า ซ่ึงเป็นการสร้างประสบการณ์ ทางการสร้างสรรค์โดยผา่ นการทดลองดา้ นเทคนคิ การวางสัญลักษณ์ และการจัดองค์ประกอบ ทางศลิ ปะ จนก่อรูปเปน็ ผลงานในแต่ละช้นิ สาระสาคัญที่เกิดขึ้นของ “ลีลาชีวิตแห่งทะเลอันดา มนั ” ไดข้ ้อสรปุ ในประเด็นแรกไดแ้ ก่ ขอ้ มูลด้านเน้อื หาทางด้านกายภาพ สีของน้าทะเลแถบหมู่ เกาะสิมิลัน พลงั การเคลอื่ นไหวของเกลยี วคลน่ื กระแสลมยามค่าคืน และความเชื่อของผู้คนท่ี พึ่งพิงทะเลอันดามันในการดารงวถิ ชี ีวิต ประเดน็ ที่สองได้แก่การสรา้ งสรรค์ทัศนศิลป์ ซึ่งมีเน้ือหา ปรากฏเปน็ แนวเร่ืองและทศั นธาตไุ ด้นากระบวนการทางจิตรกรรม ประติมากรรม มาถ่ายทอด ความรู้สึกนกึ คิดท่ีแฝงเร้นจากลีลาการเคลื่อนไหวในชีวิตและความสมบูรณ์ของสรรพสิ่งภายใต้ ทะเลอนั ดามัน -29-
ABSTRACT This research study about visual art, “Spirit of Andaman Sea”, is the investigation of the natural characteristics and mythological symbols of the sea in order to find the beauty from creations. This study provided the emotional suggestions of the researcher in the scope of the study. The collected data were processes, analyzed and synthesized conceptually in order to concretely provide aesthetic records as well as to identify meanings in terms of usefulness. This provided creation experiences through technical experiments, symbol arrangement and artistic organization that resulted in piecework. Regarding the significances of the study, conclusions are as follows. Firstly, the physical content, the colors of the sea of Similan Islands, the movements of tidal waves, the winds at night, and the beliefs of the people living with the Andaman Sea were identified. Secondly, the visual art creation provided stories and visual elements. The painting and sculpture processes were used for communicating the feelings from the lives and perfection of everything under the Andaman Sea. -30-
การศกึ ษาพฤตกิ รรมการใช้เครือข่ายสงั คมออนไลน์ของนักทอ่ งเทย่ี ว ทสี่ ง่ ผลตอ่ การตดั สินใจซอ้ื บริการธุรกิจโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต Usage behavior in online social network of tourist toward the decision for choosing hotel in Phuket นางสาวภาวิกา ขุนจันทร์ และนางวัชราวดี นริ ตุ ิธรรมธรา คณะวิทยาการจัดการ บทคัดย่อ การศกึ ษาวจิ ัยเร่อื ง การศกึ ษาพฤตกิ รรมการใช้เครอื ขา่ ยสงั คมออนไลนข์ องนักท่องเท่ียวที่ สง่ ผลตอ่ การตัดสนิ ใจซื้อบรกิ ารธุรกิจโรงแรมในจงั หวดั ภเู ก็ต มีวัตถุประสงคเ์ พื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้ เครอื ขา่ ยสังคมของนักท่องเท่ียวในจังหวดั ภูเก็ต ศึกษาปจั จยั ของเครอื ขา่ ยสงั คมทสี่ ่งผลต่อการตัดสินใจ ซ้ือบริการธรุ กิจโรงแรมในจงั หวัดภเู กต็ กล่มุ ตวั อยา่ งประกอบด้วยนกั ท่องเที่ยวชาวไทย และนกั ทอ่ งเที่ยว ชาวต่างชาตทิ เ่ี ขา้ มาทอ่ งเทยี่ วในจังหวัดภเู กต็ และมีการใชเ้ ครอื ขา่ ยสงั คม เครอื่ งมือในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลคอื แบบสอบถาม วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยใช้สถิติพรรณนา การหาค่า t (Independent sample t- test) สถติ ิการวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว (One way ANOVA) และการหาความแตกต่างรายคู่ (Post Hoc) ผลการศึกษาพบว่านักทอ่ งเท่ยี วชาวไทยสว่ นใหญใ่ ชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตมากกว่า 4 ช่ัวโมงต่อวัน ในขณะทนี่ กั ทอ่ งเทีย่ วชาวต่างชาตใิ ช้อนิ เทอร์เน็ต 3-4 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งนักท่องเท่ียวชาวไทยและ ชาวตา่ งชาตมิ กี ารใช้เครือขา่ ยสังคมมากกวา่ 6 ปี โดยมีการใชเ้ ครือขา่ ยสงั คมทุกวัน ระยะเวลาของการใช้ เครอื ขา่ ยสังคมตอ่ ครง้ั คือ 1-2 ช่วั โมง ช่วงเวลาของการเข้าใช้เครือขา่ ยสงั คมอยูใ่ นชว่ ง 18.01 -22.00 น. นยิ มเขา้ ถึงเครอื ขา่ ยสังคมโดยใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถือ เครือขา่ ยสงั คมท่ีนยิ มใช้มากท่ีสุดคือ Facebook โดยมี วตั ถุประสงค์ของการเขา้ ใช้เครือขา่ ยสังคม เพ่ือคุยกับเพื่อนเก่าและเพ่ือนปัจจุบัน เพื่อหาข้อมูล/ แลกเปล่ียนขอ้ มลู ตามลาดบั ทง้ั นักท่องเที่ยวชาวไทยและนกั ทอ่ งเทย่ี วชาวตา่ งชาติส่วนใหญ่เคยใช้ข้อมูล ท่ีได้รับจากเครอื ขา่ ยสงั คมเพื่อตดั สินใจซ้อื สนิ ค้าและบรกิ าร ปจั จยั ดา้ นขอ้ มูลและการเข้าถึงข้อมูล สง่ ผลต่อการตดั สินใจซื้อบริการธุรกิจโรงแรมของ นกั ท่องเที่ยวชาวไทยและชาวตา่ งชาตใิ นจังหวดั ภเู ก็ตเป็นลาดบั มากทีส่ ดุ รองลงมาสาหรับนักท่องเท่ียว ชาวไทยคือ ปัจจัยดา้ นความนา่ เชอื่ ถอื / ความไว้วางใจ และปัจจัยดา้ นสมาชิกเครือข่ายสังคม ในขณะที่ -31-
ปัจจัยรองลงมาสาหรบั นักท่องเทยี่ วชาวต่างชาตคิ ือ ปัจจยั ดา้ นสมาชกิ เครือข่ายสังคม และปัจจัยด้าน ความนา่ เชอ่ื ถอื / ความไว้วางใจ คาสาคัญ: เครือขา่ ยสังคม, นักท่องเทย่ี ว, การตดั สินใจซื้อบรกิ าร, ธรุ กจิ โรงแรม Abstract The aims of the research are to study the usage behavior in online social network of tourist in Phuket, and study the effect of social network toward the decision of tourist to choose a hotel in Phuket. The sample of the research consists of both Thai and foreigner tourists, who normally use social network, in Phuket. The data of the study was collected by a questionnaire. For analyzing data, the descriptive statistics, independent sample t-test, one way ANOVA, and Post Hoc were selected for this research. The result indicated that most of Thai tourist surf internet more than four hours per day meanwhile foreigner tourists surf internet three to four hours per day. In addition, Thai and foreigner tourists usually use the social network every day for six years and above. They mostly use the social network one to two hours per time. The duration of using social network is from 6pm to 10pm. They generally surf the social network via mobile phone. Furthermore, the most popular social network is Facebook. They largely use it for charting with friends and searching for information. Both of Thai and foreigner tourists have ever used the social network for buying product and service. The factor in terms of information data and accessing information are the most affected toward the decision of tourists for choosing a hotel in Phuket. For Thai tourists, the credibility of the hotel and being an online member are the second and the third factor for choosing the hotel respectively. Meanwhile, foreigner tourists choose the hotel as being an online member which is the second factor, and the third factor is credibility of the hotel. Keywords: Social network, Tourist, Decision to purchase service, Hotel business -32-
ความเชอ่ื และพธิ กี รรมเกยี่ วกับเกษตรกรรมของชมุ ชนไทยมุสลมิ อาเภอ เกาะยาว และชมชนไทยพทุ ธ อาเภอทา้ ยเหมอื ง จังหวัดพังงา Agricultural beliefs and rituals of amphoe koh yao muslim – Thai community and thaimueang buddhist - thai community In phang – nga province ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์รุ่งรตั น์ ทองสกุล คณะมนษุ ยศาสตร์ บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเกษตรกรรมที่ ปรากฏในชุมชนไทยมุสลิม อาเภอเกาะยาว และชุมชนไทยพุทธ อาเภอทา้ ยเหมอื ง จังหวัดพงั งา โดยเก็บ ข้อมลู ความเช่อื และพธิ ีกรรมท่ีเกี่ยวกับเกษตรกรรมด้านการเพาะปลูก และการทาประมง ๔ ประเด็น ไดแ้ ก่ ความเชื่อ และพิธีกรรมเกีย่ วกับวญิ ญาณ ไสยศาสตร์ การถือเคล็ด และโหราศาสตร์ ผลการวิจัย พบวา่ ความเชอื่ และพิธีกรรมท่เี กีย่ วกบั เกษตรกรรมของชมุ ชนไทยมสุ ลิม อาเภอเกาะยาว ท้ังด้านการ เพาะปลูก และการทาประมง สว่ นใหญ่จะเกี่ยวเนอ่ื งกับศาสนาอสิ ลาม เพื่อการบูชา อัลลอฮฺเป็นสาคัญ หรอื มบี างสว่ นของพิธีกรรมทจี่ ะตอ้ งมีคากล่าวเพ่ือบูชาอลั ลอฮฺ ความเชอื่ และพธิ ีกรรมที่เก่ียวกับวิญญาณ เชน่ แมโ่ พสพ แมย่ า่ นางเรือ เกยี่ วกบั ไสยศาสตร์ เช่น การแรกดานา การทาบุญเรือ เก่ยี วกับการถือเคล็ด เชน่ วธิ กี ารกาจดั แมลงศัตรขู า้ ว ข้อห้ามต่าง ๆ เกย่ี วกับโหราศาสตร์ เช่น การดูฤกษ์ยาม การเก็บเก่ียว ขา้ ว การออกทะเล เป็นต้น สว่ นความเชอ่ื และพธิ ีกรรมท่ีเก่ยี วกับเกษตรกรรมของชุมชนไทยพุทธ อาเภอ ทา้ ยเหมอื ง ทัง้ ดา้ นการเพาะปลกู และการทาประมง มีการผสมผสานของความเชื่อต่าง ๆ ท้ังพุทธ พราหมณ์ อิสลาม และจนี ความเชื่อและพิธีกรรมที่เก่ียวกับวิญญาณ เช่น แม่โพสพ แม่ย่านางเรือ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ เชน่ พิธมี นตน์ ้าประ การทาบุญเรอื เกย่ี วกับการถือเคล็ด เช่น การเลือกชนิดของ ต้นไม้ท่ีจะปลกู ขอ้ ห้ามตา่ ง ๆ ความเช่อื เกี่ยวกบั โหราศาสตร์ เชน่ การดฤู กษย์ ามการเก็บเกี่ยวข้าว การ ออกทะเล เป็นตน้ แม้ทงั้ สองชมุ ชนจะนับถือศาสนาท่ีแตกต่างกัน แตค่ วามเช่ือและพิธีกรรมที่เก่ียวกับ เกษตรกรรมของทงั้ สองชมุ ชนล้วนสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ วิถีชีวิต ความคดิ และแนวปฏบิ ตั ิของผคู้ นในแตล่ ะยุค สมยั ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ คณุ คา่ ตอ่ การดาเนินชวี ติ อยา่ งยงิ่ -33-
ความสัมพันธ์ระหว่างความรับผิดชอบต่อสงั คมกบั ความผูกพัน ของพนักงานในธุรกจิ โรงแรมในจังหวดั ภเู ก็ต Relationship between Corporate Social Responsibility and Employee Commitment in Hotel Business in Phuket. นางวนิดา หาญเจรญิ คณะวทิ ยาการจัดการ บทคดั ย่อ การศกึ ษาวจิ ัยเรอื่ ง ความสัมพันธ์ระหว่างความรับผิดชอบต่อสังคมกับความผูกพันของ พนักงานในธรุ กจิ โรงแรมในจังหวัดภเู ก็ต ในการวิจัยครัง้ นี้ดาเนินการตามกรอบวัตถุประสงค์ของการ วจิ ยั เพอ่ื ศกึ ษาความสัมพันธ์ระหวา่ งความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คมกบั ความผกู พนั ต่อองค์กรของพนักงานใน ธรุ กิจโรงแรมจังหวัดภเู กต็ แหลง่ ทมี่ าของข้อมลู การศกึ ษา คอื วิธีการรวบรวมขอ้ มูลทุติยภูมิและปฐมภูมิ โดยวธิ ีการสารวจดว้ ยแบบสอบถามพนกั งานโรงแรมในจงั หวดั ภเู กต็ โดยกลุ่มตวั อย่างท่ีใช้ในการศึกษา จานวน 387 คน และทาการวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิตทิ างสงั คมศาสตร์ สถิติ ท่ีใช้ ได้แก่ คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน และ ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผล การศึกษาพบวา่ พบว่าปัจจยั ดา้ นความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คมตามมาตรฐานโรงแรมใบไม้เขียวของธุรกิจ โรงแรม ประกอบดว้ ย 18 ตวั แปรคือ นโยบายและการสื่อสาร การพัฒนาบุคลากร คณะก รรมการ เป้าหมายและแผนปฏิบัตกิ าร การจดั การของเสีย ประสทิ ธิภาพการใช้พลังงาน ประสิทธิภาพการใช้น้า ครัวและหอ้ งอาหาร ห้องซกั รีด การจัดซ้ือ คณุ ภาพอากาศภายในอาคาร มลพิษทางอากาศและเสียง น้า และคณุ ภาพน้า สปาและการนวดเพ่อื สุขภาพ สถานท่อี อกกาลังกาย สระว่าย นา้ และกิจกร รมกลางแจ้ง ความปลอดภยั ในโรงแรม ผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อม การมีส่วนรว่ มกบั ชุมชนและองคก์ รทอ้ งถิ่น และการ ส่งเสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรม มคี วามสมั พันธ์กับความผูกพันของพนักงานต่อองค์การในเชิงบวก อย่างมี นัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ 0.05และระดบั 0.01 ใน 3 ดา้ น ด้านแรกคือความเชื่อมั่ นอย่างสูงในการ ยอมรบั เป้าหมายและคา่ นิยมขององค์การ มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างมาก กับความ รบั ผิดชอบต่อสังคมในดา้ นนโยบายและการส่อื สาร ด้านคณะกรรมการ ด้านคุณภาพอากาศภายใน อาคารมลพิษทางอากาศและเสียง สว่ นขอ้ ที่มีความสมั พนั ธค์ อ่ นข้างนอ้ ย ไดแ้ ก่ ดา้ นการพั ฒนาบุคลากร -34-
ด้านเปา้ หมายและแผนปฏบิ ตั ิการ ด้านประสทิ ธิภาพการใช้น้า ด้านท่ีสองคือความเต็มใจทุ่มเทความ พยายามอยา่ งมากเพอ่ื ประโยชน์ขององคก์ าร มคี วามสมั พันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างมาก กับความ รับผดิ ชอบต่อสังคมในด้านคณะกรรมการ สว่ นขอ้ ทีม่ คี วามสัมพนั ธค์ ่อนข้างนอ้ ย ได้แก่ ด้านการพัฒนา บคุ ลากร ด้านเปา้ หมายและแผนปฏบิ ตั ิการ และสุดท้ายเปน็ ดา้ นความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการ คงไวซ้ งึ่ การเปน็ สมาชิกภายในองค์การ มคี วามสัมพันธเ์ ชิงบวกในระดับค่อนขา้ งนอ้ ยกับความรับผิดชอบ ตอ่ สังคม สองอันดบั แรก ได้แกด่ า้ นนโยบายและการส่ือสาร และด้านคณะกรรมการ Abstract This research aims to study the relationship between corporate social responsibility and employee commitment in hotel business in Phuket. Primary and secondary data were collected by quentionaires from 387 employees of the hotels in Phuket. Statistical values in term of percentage, mean, standard deviation and Pearson correlation were analysed. The results were found that 18 factors in corporate social responsibility according to green leaf hotel standard consisting of communication and policy, staff development, committee, aim and action plan, waste management, energy consumption efficiency, water consumption efficiency, kitchen and canteen, laundry, buying process, indoor air quality, air and noise pollution, water and water quality, spa and massage, exercise place, swimming pool, water and outdoor activities, safety, environmental impact, community participation and culture promotion were related to employee commitment in positive way at 0.05 and 0.01 statistical significance level in 3 aspects. First, high confidence in aim and value acceptance of the organization was highly related in positive way to social responsibility in terms of policy and communication, committee, indoor air quality, air and noise pollution, whereas it was slightly related in terms of staff development, aim and action plan, water consumption efficiency. Second, high dedication for benefit of the organization was highly related in positive way to social responsibility in terms of committee, whereas it was slightly related in terms of staff development, aim and action plan. Third, requirement for member being of the organization was slightly related in positive way to social responsibility in terms of policy and communication and committee. -35-
สมรรถนะพนักงานระดบั ปฏิบัติการแผนกแม่บา้ น ในธรุ กจิ โรงแรมระดับ 4 ดาว จงั หวดั ภเู กต็ Housekeeping operating staff's competency in 4 star hotels in Phuket นางวีรภัทร์ โชตวิ ิริยะกุล และนายภูรติ มาศวงศศ์ า คณะวิทยาการจดั การ บทคัดย่อ การวจิ ัยครงั้ นม้ี วี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะของพนักงานระดับ ปฏิบตั กิ ารแผนกแม่บ้านในธรุ กจิ โรงแรมระดบั 4 ดาว จงั หวดั ภูเกต็ 2) เปรยี บเทียบสมรรถนะของ พนักงานระดับปฏิบัตกิ ารแผนกแมบ่ ้านตามตาแหนง่ ประสบการณ์และประเภทของโรงแรม 3) ประมวลปัญหาและเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาบคุ ลากรของแผนกแม่บา้ นต่อไปในอนาคต กลุ่มตวั อย่างเป็นโรงแรมระดบั 4 ดาวในจงั หวัดภเู กต็ ทีม่ ีชื่อเป็นสมาชกิ สมาคมโรงแรม ไทย โดยเปน็ โรงแรมอิสระ (Independent hotel) จานวน 15 โรงแรม และโรงแรมเครือข่าย (Chain hotel) จานวน 6 โรงแรม รวมเปน็ 21 โรงแรม ผู้วจิ ยั เก็บขอ้ มูลจาก 2 กลุ่ม คอื พนักงาน ระดบั ปฏบิ ัติการตาแหนง่ พนักงานดแู ลหอ้ งพัก (Room Attendant) พนักงานทาความสะอาด (Public Area Cleaner) และพนักงานซักรีด (Laundry Attendant) จานวน 265 คน ใช้ แบบสอบถามวดั ระดบั สมรรถนะการปฏบิ ตั ิได้ตามมาตรฐานสมรรถนะร่วมวิชาชีพสาหรับการ ท่องเทย่ี วอาเซยี น (ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals) แผนกแม่บ้าน และใชแ้ บบทดสอบประเมินความรตู้ ามหน้าท่ี อีกกลุ่มเก็บข้อมูลจากผู้จัดการหรือ ผชู้ ่วยผ้จู ดั การแผนกแมบ่ ้านโรงแรมละ 1 คน จานวน 21 คน ให้ความคิดเห็นระดับสมรรถนะท่ี สามารถปฏบิ ตั ิไดใ้ นมุมมองของผ้บู งั คับบญั ชาทม่ี ีต่อผ้ใู ต้บงั คับบญั ชา จากผลการศึกษาพบวา่ พนกั งานระดบั ปฏบิ ตั ิการแผนกแม่บา้ นในธรุ กิจโรงแรม ระดับ 4 ดาว จงั หวัดภูเกต็ มสี มรรถนะตามมาตรฐานสมรรถนะร่วมวิชาชพี สาหรบั การท่องเท่ียวอาเซียน (ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals) แผนกแม่บา้ น ใน ภาพรวมปฏบิ ตั ไิ ด้ในระดบั มาก สมรรถนะหลกั (Core competency) พนกั งานปฏิบัตไิ ด้ในระดับ -36-
มาก โดยที่ตาแหนง่ และประเภทโรงแรมที่แตกต่างกัน ไม่ทาให้สมรรถนะหลั กแตกต่างกัน แต่ ประสบการณท์ างานทแี่ ตกตา่ งกนั ทาใหส้ มรรถนะหลกั ของพนักงานแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ัยสาคัญ สมรรถนะทั่วไป (Generic competency) พบว่าพนกั งานสามารถปฏิบตั ิได้ในระดับ มาก ยกเวน้ ความสามารถในการส่อื สารภาษาอังกฤษพน้ื ฐานท่ีปฏบิ ัตไิ ดใ้ นระดบั ปานกลาง ประเด็นที่ ควรใหค้ วามสนใจคือ การมสี ่วนรว่ มในการสง่ เสริมการบรกิ ารสนิ ค้าและการตอ้ นรับ การจดั การและ แก้ปัญหาความขดั แย้งในสถานการณ์ตา่ งๆ ผลการเปรียบเทียบพนกั งานที่ตาแหน่งตา่ งกัน ส่งผลให้ สมรรถนะท่ัวไปแตกตา่ งกัน โดยพบในตาแหนง่ พนกั งานทาความสะอาดกับพนักงานซักรีด ส่วน ประสบการณ์ทางานและประเภทโรงแรมท่ีต่างกนั สมรรถนะทว่ั ไปไม่แตกตา่ งกนั แต่อยา่ งใด สมรรถนะ ตามหน้าท่ี (Functional competency) การประเมินต นเองจาก แบบสอบถามของพนกั งานทุกตาแหน่งพบว่า สามารถปฏิบัติได้ในระดับมาก เป็นไปในทิศทาง เดยี วกับผ้จู ัดการหรอื ผชู้ ่วยผู้จดั การ แต่ผลจากการทาแบบทดสอบวัดความรู้ของพนักงานทุก ตาแหน่ง พบวา่ พนักงานดูแลหอ้ งพัก (Room Attendant) และพนกั งานทาความสะอาด (Public Area Cleaner) ปฏบิ ตั ิไดใ้ นระดบั ปานกลาง ในขณะที่พนักงานซักรีด (Laundry Attendant) สามารถปฏิบัตไิ ด้ในระดบั นอ้ ยเท่านน้ั จากการเปรียบเทียบพนกั งานท่มี ีตาแหน่งและประสบการณ์ ทางานทต่ี ่างกัน พบวา่ สมรรถนะตามหนา้ ท่จี ะมคี วามแตกตา่ งกนั แตพ่ นกั งานท่ที างานในโรงแรม อสิ ระ (Independent Hotel) กบั พนักงานทที่ างานในโรงแรมเครอื ขา่ ย (Chain Hotel) สมรรถนะ ตามหน้าทน่ี ้นั ไมแ่ ตกต่างกันแตอ่ ยา่ งใด พนกั งานและผู้จดั การหรอื ผชู้ ว่ ยผจู้ ดั การให้ความเห็นว่า การเพม่ิ สมรรถนะต้องใช้แนว ทางการเรยี นรู้ในงาน การสอนงาน (Coaching) รองลงมาเป็นการประชุมแกป้ ัญหา (Meeting) และ การส่งพนักงานไปฝึกอบรมภายนอก (External Training) เปน็ ลาดบั ถัดมา ผู้วิจยั มีขอ้ เสนอแนะเพื่อ การพัฒนาเพม่ิ สมรรถนะใหก้ ับพนกั งานให้เป็นไปตามมาตรฐานสมรรถนะร่วมวิชาชีพสาหรับการ ทอ่ งเท่ยี วอาเซียน (ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals) แผนกแม่บา้ น วา่ หน่วยงานภาครัฐควรมหี น่วยงานหลักและหลักสูตรทีใ่ ชใ้ นการพฒั นาสมรรถนะของ พนกั งานในโรงแรมให้มมี าตรฐานเปน็ ไปตามมาตรฐานสมรรถนะของแผนกแม่บา้ นในระดบั อาเซียน สถานประกอบการโรงแรมควรมกี ารสอนงาน (Coaching) ให้พนกั งานได้เรยี นรใู้ นงาน โดยอาจทา เปน็ แผนพัฒนาบุคลากรรายบุคคล (Individual Development Plan : IDP) แต่ควรสง่ ผู้ที่มีหน้าท่ี สอนงานไปฝึกอบรมภายนอก (External Training) กับหน่วยงานท่ีจะให้ความรู้ ทักษะท่ีเป็น มาตรฐานเดียวกนั กบั มาตรฐานระดบั อาเซียนเสยี ก่อน สถาบนั การศึกษาควรจัดทาหลักสูตรและ จัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามมาตรฐานสมรรถนะรว่ มแผนกแม่บ้านของอาเซียน เพ่ือสร้าง -37-
บุคลากรทม่ี มี าตรฐานสมรรถนะร่วมวชิ าชีพสาหรับการท่องเท่ียวอาเซียน ( ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals) เข้าส่ตู ลาดแรงงาน Abstract The purposes of this study were: 1) to investigate the level of competency of the operating staff in the 4 star hotels in Phuket, 2) to compare the level of competency of the staff based on position, experience and type of hotels, and 3) to identify problems and propose guidelines to develop the competency of the housekeeping staff. The researcher selected 15 independent four star hotels which belonged to the Thai Hotel Association and 6 international chain hotels in Phuket. The sample group consisted of two groups: 225 operating staff who were room attendants, public area cleaners, and laundry attendants; 21 housekeeping managers from the hotels. The research tools included tests of ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals, and tests for each position. The managers provided information about the level of competency of the staff from their observation. The results of the study revealed that the level of competency of the operating staff in the 4 star hotels in Phuket based on the ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals was found to be high. The level of core competency of the staff was also high. It was found the level of core competency of the staff with different positions was not different; the staff with different working experiences had a significantly different level of core competency. Considering the generic competency of the staff, it was found that the level of the generic competency of the staff was high except the English language communication which was found to be moderate. The areas of competency which should be taken into consideration included participation in promoting products and services, problem solving, and conflict management in different levels. The comparison of the staff with different backgrounds found that public area cleaners and laundry attendants had a different level of competency. However, the staff -38-
with different working experiences and types of hotels did not have different levels of generic competency. In terms of the functional competency, the staff thought that the level of performance was high and complied with the needs of the administrators. However, from the staff competency tests, it was found that the level of functional competency of the room attendants and public area cleaners was moderate, while the level of functional competency of the laundry attendants was low. The comparison of the staff with different backgrounds found that the level of functional competency of the staff who worked for the independent hotels and the chain hotels was the same. The managers and deputy managers of these hotels suggested that the hotel develop the competency of the housekeeping staff by following these strategies: coaching, internal training, and external training respectively. The researcher suggested that the government should establish a unit to be responsible for creating a curriculum which will be used to develop the competency of the hotel staff based on the ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals. The hotel should develop the individual development plan for each staff, and send the staff to train in the hotels in other ASEAN countries. As for the university, the curriculum regarding Tourism and Hospitality should be revised to comply with the ASEAN Common Competency Standards for Tourism Professionals in order to prepare the students to work effectively in the future market. -39-
การใชเ้ ครือขา่ ยสังคมออนไลน์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดภเู ก็ต The Behaviors of Online Social Network Use of Junior High School Students in Phuket นายสมชาย ไชยโคต และ ดร.ดวงรัตน์ โกยกิจเจริญ คณะวิทยาการจัดการ บทคดั ยอ่ การศึกษาวิจั ยเร่ือง พฤติ กรรมการใ ช้เครือข่ายสั งคมออนไลน์ ของนักเรียน มัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดภูเก็ต มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะของนักเรียน มัธยมศึกษาตอนตน้ ในจังหวดั ภเู ก็ตท่ีใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้ เครอื ข่ายสงั คมออนไลนข์ องนกั เรียนมัธยมศึกษาตอนตน้ ในจังหวัดภูเก็ต 3) ศึกษาถึงผลกระทบ จากการใช้เครือข่ายสงั คมออนไลน์ของนกั เรยี นมธั ยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดภูเก็ต เคร่ืองมือใน การเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา การหาค่า t (Independent sample t-test) สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA) และการหาความแตกตา่ งรายคู่ (Post Hoc) ลกั ษณะของนกั เรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ในจงั หวัดภูเกต็ ท่ีใชเ้ ครือข่ายสังคมออนไลน์ พบวา่ สว่ นใหญ่เป็นเพศหญิง กาลังศกึ ษาระดับมัธยมศกึ ษาชั้นปีท่ี 2 อาศัยอยู่กับบิดา มารดา ไดร้ บั รายไดจ้ ากผู้ปกครองเฉลย่ี เดือนละ 2,001 – 3,000 บาท และใช้โทรศัพท์มือถือเช่ือมต่อ อนิ เตอรเ์ น็ต พฤตกิ รรมการใช้เครอื ข่ายสังคมออนไลนข์ องนักเรยี นมัธยมศกึ ษาตอนต้นในจังหวัด ภเู ก็ต พบวา่ นกั เรยี นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดภูเกต็ ส่วนใหญใ่ ช้อนิ เทอร์เน็ตมากกว่าวันละ 3 ช่ัวโมง และใชเ้ ครอื ขา่ ยสงั คมออนไลนม์ าแลว้ 3 – 5 ปี ส่วนใหญ่มเี พ่อื นแนะนาให้ใช้เครือข่าย สงั คมออนไลน์ และนิยมใช้ Facebook เหตุผลของการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อคุยกับ เพ่ือนปัจจุบันและเพอื่ นเกา่ นกั เรียนสว่ นใหญม่ ีการใช้เครอื ข่ายสงั คมออนไลน์ทุกวัน ใช้มากกว่า 4 ช่ัวโมงตอ่ วนั ถ้าเปน็ วนั จนั ทร์ – วนั ศกุ ร์ จะใชช้ ว่ งเวลา18.01 – 22.00 น. ถ้าเป็นวันเสาร์ – วนั อาทติ ย์ ส่วนใหญจ่ ะใชใ้ นชว่ งเวลา 10.01 – 14.00 น. และจะใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ -40-
ในการใช้เครอื ขา่ ยสังคมออนไลน์ ชว่ งเวลาท่นี ยิ มใช้ คือ ก่อนเข้านอน และใช้สถานที่ท่ีใช้งาน เครอื ข่ายสังคมออนไลน์ สว่ นใหญเ่ ป็นที่บ้าน มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวท่ีเป็นจริงบางส่วนใน เครอื ขา่ ยสังคมออนไลน์ที่เผยแพร่ให้บุคคลอ่ืนได้เห็นข้อมูลของตน มีการปรับแต่งข้อมูล (Upload) ทกุ วันนกั เรยี นส่วนใหญ่ไม่เคยนัดเจอเพ่ือนท่ีคุยกันผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ปกครองมีส่วนรว่ มในการใชเ้ ครือขา่ ยสังคมออนไลน์โดยดูแลและให้ความรู้ในการใช้เครือข่าย สงั คมออนไลนส์ มา่ เสมอ สว่ นเพื่อนมสี ว่ นรว่ มในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีแนะนาให้ ไปปฏิบตั เิ อง และชว่ ยเหลือหากมีปัญหาผลกระทบจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของ นักเรยี นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดภูเก็ต พบว่าการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์น้ันส่งผล กระทบตอ่ ด้านอารมณ์มากทสี่ ดุ รองลงมา คอื ด้านสงั คม ด้านสขุ ภาพและด้านการเรียน ตามลา ดบั คาสาคัญ : ผลกระทบ เครือข่ายสังคมออนไลน์ นักเรียน มธั ยมศึกษาตอนต้น จังหวัดภูเกต็ ABSTRACT This research aimed to study firstly on the characteristics of junior high school students in Phuket on online social network use. Secondly, this research focused on the behaviors of junior high school in Phuket on online social network use. Lastly, this research studied the impact of online social network use on junior high school students in Phuket. In addition, the data collection of the study was collected by questionnaire method. The descriptive statistics, independent sample t-test, one-way analysis of variance (ANOVA), and Post hoc analysis were used for data analysis. The results of the characteristics of junior high school students in Phuket on online social network use showed that the students who mostly used social network were female in junior high school level 2. Most of them were living with their parents. Their parents gave monthly money to them around 2,001 to 3,000 Baht. They mostly used mobile phone for surfing internet. -41-
Search