รายงานเรอื่ ง ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล จดั ทาโดย นายพลู สวสั ด์ิ แสงรงุ่ รหสั นกั ศึกษา 62723173106 นายเนตพิ งศ์ ศรีกุล รหสั นกั ศึกษา 62723173109 นายวรรธนยั ด่านลาพล รหสั นกั ศึกษา 62723173131 เสนอ อาจารย์ ดร.อษุ า ปราบหงส์ งานนเี้ ปน็ สว่ นหนึ่งของการศกึ ษารายวชิ า จิตวิทยาสาหรบั ครู (21055202) Psychology for Teacher หลักสูตรประกาศนยี บตั รบณั ฑิต สาขาวชิ าชีพครู ปีการศกึ ษา 2562 มหวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร
2 คานา รายนี้เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษารายวิชาจิตวิทยาสําหรับครู (21055202) คณะผู้จัดทําได้รับ มอบหมายจาก อาจารย์ ดร.อษุ า ปราบหงส์ ให้ไปศึกษาค้นคว้าเร่ือง ความแตกต่างระหว่างบุคคล และสรุป องค์ความรู้จากที่ได้จากการศึกษาแล้วนําเสนอให้เพ่ือในห้องเข้าใจ โดยเนื้อหาในรายงานเล่มนี้ประกอบด้วย ความแตกต่างระหว่างบุคคล ปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสมั พันธ์ระหว่างพันธุกรรมและ สิ่งแวดลอ้ ม ความสําคญั ของความแตกต่างระหว่างบุคคลต่อการเรียนการสอน ดังนั้น คณะผู้จัดทํา หวังเป็น อย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคลต่อการเรียนการ สอน ตอ่ ไป คณะผู้จัดทาํ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล
สารบัญ 3 เรื่อง หน้า คํานํา 2 สารบัญ 3 ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล 4 ปจั จัยท่มี ีผลตอ่ ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล 4 พันธุกรรม (Heredity) 4 สิ่งแวดลอ้ ม (Environment) 5 ความสําคญั ของความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลต่อการเรียนการสอน 7 เอกสารอา้ งองิ 11 ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล
4 ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล มนุษย์ทกุ คนในโลกน้ียอ่ มมีความแตกต่างกนั ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ที่เหมอื นกนั ทุกประการ น่ันคือ มลี กั ษณะหรอื แบบไมซ่ ํ้าใครและไม่เหมือนใครเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลไม่ เพียงแตจ่ ะมใี นดา้ นรปู รา่ งหน้าตาซ่งึ เปน็ คุณลักษณะภายนอกเท่าน้ันแตบ่ ุคคลยังมีความแตกตา่ งกันใน คณุ ลักษณะภายในที่เราจะสงั เกตและเห็นกนั ได้ยาก เช่น เจตคติ ความสามารถ ความสนใจ และความถนดั สติปญั ญาเป็นต้น ซ่ึงความแตกต่างดังกล่าวสง่ ผลใหแ้ ตล่ ะบุคคลมีลกั ษณะเฉพาะตนในเรื่องของการเรยี นรู้และ การปรับตวั ปัจจัยท่มี ีผลตอ่ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล สาเหตุทท่ี ําให้มนษุ ย์มคี วามแตกตา่ งกันมีหลายประการ คอื พนั ธุกรรม (Heredity) หมายถึง สง่ิ ที่มนุษยไ์ ดร้ บั การถ่ายทอดจาก สายเลือดของบิดามารดาและปยู่ ่าตายาย โดยมยี ีน (Gene) เปน็ ตัวทาํ หน้าท่ี สืบทอดลกั ษณะ ลักษณะตา่ งๆท่ไี ด้รับถ่ายทอดจากบรรพบรุ ษุ ทางพนั ธกุ รรม จะทาํ ให้คนเราแตกต่างกนั ดังน้ี เชอ้ื ชาติ (Race) เชน่ ไทย ฝร่ัง นิโกร จนี ฯลฯ ย่อมมลี กั ษณะเฉพาะชาติของตนเองแตกต่างจาก ชาตอิ ่ืนๆ ลกั ษณะรูปรา่ งโครงกระดกู ขนาด รา่ งกาย หน้า ตา ผิวพรรณ สผี ม สาํ เนียงภาษา เพศ (Sex) โดยธรรมชาตจิ ะมี 2 เพศ คือ หญิงกบั ชายซ่งึ มีลักษณะประจําเพศแตกต่าง เชน่ เพศชาย จะรปู ร่างแขง็ แรง ไหลผ่ าย อกกว้าง มีหนวด เพศหญิงจะมีรูปรา่ งกลมกลืน ตะโพกพาย เป็นตน้ ชนดิ ของกลุ่มเลือด โดยลูกจะมีเลอื ดกลุ่มเดยี วกับพอ่ หรอื แม่ เช่น พ่อเลือดกลุม่ O แม่เลอื ดกลุ่ม B ลกู มโี อกาสเปน็ O,B ความบกพร่องทางรา่ งกาย และโรคภัยไขเ้ จ็บ บางอยา่ ง เช่น ตาบอดสี ศีรษะลา้ น โรคเบาหวาน โรคลมชกั ผวิ เผอื ก ลกั ษณะรูปทรงของรา่ งกาย โดยมีนักจิตวทิ ยา กลา่ วถึงแบบของรา่ งกายของคนไว้ดังนี้ Krestschmer นักจิตวิทยาชาวเยอรมันได้แยก ความแตกต่างทางกายภาพของคนออกเปน็ 4 แบบ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล
5 - Asthenic or Leptosome Type พวกผอมสงู ตัวยาว (Long –thin Type) แขน-ขายาวพวกนม้ี ี แนวโนม้ เป็นคนเงียบ เหงา ช่างคดิ เจา้ อารมณ์ มีบุคลิกภาพแบบเกบ็ ตัว - Pyknics Type รูปร่างอว้ น เต้ีย หนา ( Short-Thick Types) คอใหญ่ ทอ้ งฟลุ้ย พวกอารมณ์ เปล่ยี นแปลงออ่ นไหวงา่ ย เดี๋ยวสดช่นื รา่ งเรงิ เดย๋ี วเศรา้ ซมึ กลบั ไปมาระหวา่ งความรา่ เริง และความ เศร้าเปน็ พวกที่มีบุคลิกภาพแบบแสดงตวั - Athletic Type มลี ักษณะระหว่าง Phyknics และ Leptosome รา่ งกายแข็งแรง กลา้ มเนื้อมาก เป็นแบบนักกฬี า ชอบออกกาํ ลงั กา ย หรืองานกลางแจง้ ชอบสนกุ สนาน - Dysplastic Type or Mixed Type บคุ คลทีส่ ัดส่วนของรา่ งกายไมส่ อดคลอ้ งกนั มกั มีรูปรา่ งสงู ใหญ่ ผดิ ปกตธิ รรมดา สติปัญญาตํา่ ขโี้ รค สติปัญญา คือ ความสามารถในการเรียนร้สู ง่ิ ต่างๆซง่ึ เป็นสิง่ ท่ไี ดร้ บั การถ่ายทอดมากจากพนั ธกุ รรม ได้แก่ ความคดิ ความจํา เชาวน์ ความสามารถที่มีมาแตก่ าเนิดหรอื ความถนัด ( Aptitude) เฉพาะตัวหรอื พรสวรรค์ แต่ละคนรับ ถ่ายทอดมาจากผู้ใหก้ าํ เนิด ส่ิงแวดลอ้ ม (Environment) ส่งิ แวดล้อม หมายถึง สิ่งทอี่ ยูร่ อบๆตัวเรา และทาํ ให้คนเราแตกต่างกนั ไดแ้ ก่ การอบรมเลยี้ งดู การคบเพอื่ น การสงั คม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา ดนิ ฟา้ อากาศ ท่ีอยอู่ าศยั และอาหาร ลําดบั การเกิด สือ่ มวลชน ฯลฯ ซง่ึ สิ่งเหล่านี้จะทําให้คนเราแตกต่าง กัน ดงั นี้ อิทธพิ ลของสง่ิ แวดล้อมทม่ี ีตอ่ บุคคล ส่งิ แวดล้อมทม่ี ีผลต่อบคุ คลแบง่ เป็น 3 ประเภท คือ 1. สิง่ แวดลอ้ มก่อนคลอด หรือส่งิ แวดลอ้ มในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในชว่ งสามเดอื นแรกของการ ต้งั ครรภ์ ถือว่าเป็นระยะวกิ ฤต ทั้งน้ีเพราเปน็ ระยะทเี่ น้ือเย่อื และส่วนสําคัญตา่ งๆของรา่ งกายกาํ ลงั พัฒนาอยา่ ง รวดเรว็ สิง่ แวดล้อมระยะนจี้ ึงมีผลตอ่ การเสริมสร้างและทําลายโครงสรา้ งพ้นื ฐานและระบบประสาทของ ร่างกายได้อย่างรุนแรง ปจั จยั ที่มผี ลตอ่ ทารกในขณะท่ีอย่ใู นครรภ์มีหลายอยา่ ง เช่น อายขุ องมารดา ความเกีย่ ว พันธ์ทางสายเลือดของบิดามารดา คณุ ภาพของอาหาร ยาท่ีรับประทาน รังสี บหุ ร่ี สุรา และความเจ็บป่วย ระหว่างการตัง้ ครรภ์ เป็นต้น ความแตกต่างระหว่างบคุ คล
6 2. ส่งิ แวดล้อมขณะคลอด เชน่ ภาวะท่ีสมองของทารกขาดออกซเิ จนขณะคลอด สมองได้รับอนั ตราย จากการคลอด หรือการคลอกก่อนกําหนด สง่ ผลใหบ้ คุ คลมีลกั ษณะเปลยี่ นแปลงได้ 3. ส่ิงแวดล้อมหลงั คลอด หมายถงึ สง่ิ แวดล้อมทีเ่ กีย่ วข้องกบั บุคคลในช่วงต่อๆมาของชีวติ หลงั จากท่ี คลอดออกมาจากครรภม์ ารดาแลว้ สงิ่ แวดลอ้ มหลังคลอดท่นี ักจติ วิทยาเหน็ พ้องกันว่ามีอทิ ธพิ ลต่อการกาํ หนด พฒั นาการและพฤติกรรมของบคุ คลในระดบั สงู ได้แก่ 3.1 ครอบครวั คนแต่ละคนใช้ชีวิตและเติบโตมา ในครอบครัว ครอบครัวจึงจัดเปน็ สงิ่ แวดล้อม ท่ีมคี วามสําคญั ย่ิง เป็นแหล่งทว่ี างรากฐานของการพฒั นาการทกุ ด้านในชีวติ เป็นแหล่งทบี่ คุ คลได้เรียนรูส้ ่ิงตา่ งๆอยา่ งไม่เป็นทางการ และเป็นการเรียนรทู้ ี่ส่งผลอยา่ งลกึ ซงึ้ ต่อการพฒั นาในระยะหลงั (Perry and Perry, 1979) ตัวแปรต่างๆในครอบครวั ที่มีอิทธพิ ลตอ่ บุคคล ไดแ้ ก่ วธิ กี ารอบรมเล้ียงดู ทัศนคติ ของพอ่ แมท่ ี่มตี ่อลูก ลําดบั การเกิดของเดก็ การศึกษาและอาชพี ของพอ่ แมแ่ ละคนในครอบครัว ฐานะทาง เศรษฐกิจและสงั คมตลอดจนรปู แบบของการปฏิสัมพันธ์ในครอบครวั 3.2 โรงเรียนหรือสถานศกึ ษาเปน็ สถานบนั ทางสงั คมซึ่งทาํ หนา้ ท่ีจัดการเรียนรู้ให้แกเ่ ดก็ ทงั้ ใน ดา้ นวิชาการ ด้านการปรับตวั และการพฒั นาบุคลิกภาพ ปจั จยั สําคญั ในโรงเรียนที่มอี ทิ ธิพลต่อบคุ คล ไดแ้ ก่ บคุ ลกิ ภาพของครู หลักสูตรและวธิ ีการสอน ลกั ษณะและบรรยากาศในโรงเรียน ฯลฯ 3.3 กลุ่มเพอ่ื น ลักษณะและพฤตกิ รรมท่ีสาํ คญั ซ่ึงบุคคลได้รับ อทิ ธิพลมาจากกลมุ่ เพอื่ น ได้แก่ การคล้อยตามและการยอมรบั กติกาของกล่มุ การมคี ่านิยมทางสงั คม การสรา้ งแรงจงู ใจฝ่ายสัมฤทธิ์ ฯลฯ 3.4 ส่อื มวลชน สือ่ มวลชนประเภทต่างๆ ทงั้ วทิ ยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์อนิ เตอร์เนต็ วดิ ีทัศน์และสง่ิ พิมพต์ ่างๆ ยับเปน็ สง่ิ แวดล้อมท่ีอทิ ธิพลต่อบุคคลอย่างมาก เพราะส่ือมวลชนให้ทงั้ ความรู้ ข่าวสารและความบนั เทงิ ประกอบกบั ปัจจบุ ันเป็นยคุ ของข่าวสารขอ้ มูล สือ่ มวลชน จงึ มอี ิทธพิ ลต่อบคุ คลท้ังในทางที่ปรารถนาและไม่พ่งึ ปรารถนา ความแตกต่างระหว่างบุคคล
7 3.5 ศาสนา ศาสนามีอิทธิพลต่อบุคคลในสว่ นของการสร้างคา่ นิยม ความสมั พนั ธ์กันเปน็ ชมุ ชน ความมีเอกลักษณ์ และการพฒั นา ตนเองของบคุ คล ความสมั พนั ธร์ ะหว่างพันธุกรรมและส่ิงแวดลอ้ ม พันธุกรรมและส่งิ แวดลอ้ มเป็นองค์ประกอบสําคัญท่ีทาํ ใหบ้ คุ คลทมี่ คี วามแตกต่างกัน ปจั จัยท้ังสองน้ีมี ความสมั พันธ์กันอยา่ งแนบแนน่ จนยากทจี่ ะแยกได้วา่ อะไรมบี ทบาทมากกว่ากัน และเปน็ สัดสว่ นเท่าใด เพราะ พนั ธกุ รรมและส่งิ แวดล้อมร่วมกนั มบี ทบาทตอ่ บุคคลทงั้ ในทางส่งเสรมิ และยบั ยง้ั พัฒนาการและพฤตกิ รรม ตา่ งๆ ดงั ท่วี ภิ าพร มาพบสขุ (2543) กล่าวว่าพันธุกรรมเป็นตวั กําหนดคุณลักษณะพืน้ ฐานทางรา่ งกายและ จิตใจของมนุษย์ ส่วนส่ิงแวดลอ้ มจะเป็นเคร่ืองช่วยบง่ ชว้ี ่า คุณลักษณะพ้ืนฐานเหล่านน้ั จะมกี ารพฒั นาเป็น อย่างไร ดังนนั้ ปจั จัยที่สองน้ีจึงเปน็ เหตุให้มนษุ ยแ์ ตล่ ะคนมคี วามแตกต่างกนั และอารี พันธม์ ณี (2534) กลา่ ว วา่ พันธกุ รรมเป็นตัวกาํ หนดแนวลกั ษณะจากบรรพบุรุษ และส่งิ แวดล้อมเป็นตัวกาํ หนดขอบเขตพัฒนาการของ บคุ คล เยนนงิ ส์ นักชีววิทยา ผูม้ ีช่อื เสียงคนหนงึ่ กลา่ วว่า ความเฉลียวฉลาด อุปนสิ ยั อารมณ์ ตลอดจนรปู ร่าง ลักษณะตา่ งๆ ของบคุ คลขึน้ อยู่กับพนั ธุกรรมและส่งิ แวดล้อม เราไม่สามารถแยกพนั ธกุ รรมและส่งิ แวดลอ้ ม ออกจากกันได้ ส่วนสุภา มาลากลุ ณ อยธุ ยาและยงยทุ ธ วงศ์ภิรมณ์ศานต์ (2535) กล่าววา่ พนั ธุกรรมมี บทบาทเปน็ ศักยภาพที่จะแสดงลักษณะทางกายและพฤติกรรมออกมาตามลักษณะของบรรพบรุ ษุ แตก่ ารจะ แสดงออกไดจ้ ริงมากน้อยเพียงใดนั้นตอ้ งขนึ้ อยกู่ บั ส่งิ แวดล้อมด้วย ความสาคัญของความแตกต่างระหว่างบุคคลต่อการเรียนการสอน การจดั การเรยี นการสอนมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อให้ผเู้ รยี นเกิดการ เรยี นรู้ หรอื เปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมตามหลกั สตู รต้องการ ท้ัง พฤติกรรมดา้ นความรู้ ดา้ นเจตคติ และด้านทกั ษะ โดยเนน้ ใหผ้ ูเ้ รียน ได้พัฒนาเองเตม็ ศักยภาพ แตเ่ ราจะสามารถจดั การเรียนการสอนได้ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคเ์ พียงใดนั้นปจั จยั สําคญั ยง่ิ อยา่ งหนงึ่ ควรคํานึง คอื ความแตกต่างระหวา่ งผ้เู รยี น เนื่องจากผเู้ รยี นแต่ละคนมคี วามแตกต่างกนั ทางด้านร่างกาย ดา้ นอารมณ์ ดา้ น สงั คม ด้านสติปัญญา และด้านบุคลกิ ภาพอ่นื ๆ ซึ่งความแตกต่างดงั กลา่ วลว้ นสง่ ผลตอ่ การเรยี นรูข้ องบุคคล ท้งั สน้ิ ท้ังโดยตรงและโดยออ้ ม ในท่นี ี้กล่าวถึงลกั ษณะความแตกตา่ งท่ีสาํ คญั ของผเู้ รยี นซ่งึ มีผลต่อการจดั การ เรียนการสอน คอื ความแตกต่างทางด้านร่างกาย 1. เพศ ผู้ชายและผู้หญิงในความแตกต่างกนั ในหลายๆดา้ น ลกั ษณะความแตกต่างที่สง่ ผลต่อการเรียน การสอน ได้แก่ ดา้ นความสามารถ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
8 เทอรแ์ มนและไทเลอร์ (Terman and Tyler, 1954) ศกึ ษาพบวา่ ผ้หู ญงิ มีความสามารถด้านภาษา การเขียน และศิลปะมากกวา่ ผูช้ าย ส่วนผู้ชายมีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ และวิทยาศาสตรม์ ากกวา่ ผหู้ ญงิ แมค็ โคบี และแจ็คคลนิ (Macaoby and Jacklin, 1974) พบวา่ ผู้ชายมคี วามสามารถมากกว่าผหู้ ญิง ในด้านคณติ ศาสตร์ การจาํ รปู ทรง การคิดวิเคราะหแ์ ละการคดิ ริเร่มิ คาสเซลิ (Castle, 1913) พบว่าผู้หญงิ มีความสามารถในการใชถ้ ้อยคาํ ไดอ้ ย่างคลอ่ งแคล่วมากกว่า ผูช้ าย ด้านอารมณ์และบุคลกิ ภาพอ่ืนๆ จากการศึกษาพบว่า ผชู้ ายมีอารมณม์ น่ั คง มีความหนกั แน่น มนั่ ใจ ตัวเอง มนี สิ ยั กลา้ เสีย่ ง ชอบความทา้ ทายและมอี ารมณก์ า้ วร้าวมากกว่า ในขณะทผี่ ู้หญงิ มักมอี ารมณอ์ อ่ นไหว มคี วามมน่ั ใจในตวั เองต่าํ และมแี นวโนม้ ในการพ่งึ พาและคล้อยตามผอู้ ื่นมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ผู้หญิงและ ผชู้ ายยังมีความสนใจในกจิ กรรมตา่ งๆ ไมเ่ หมอื นกันดว้ ย สาํ หรับ ดา้ นสติปัญญา จากการทดสอบเพื่อ เปรียบเทยี บระดบั สติปัญญาของผ้หู ญงิ และผชู้ าย ปรากฏวา่ ไม่มคี วามแตกตา่ งอยา่ งมีนยั สําคญั ระหวา่ งระดบั สตปิ ัญญาของผหู้ ญงิ และผู้ชาย 2. อายุ ความแตกตา่ งดา้ นอายหุ รือวัยของคนเรา มีส่วนเก่ียวขอ้ ง และก่อให้เกิดความแตกตา่ งในเร่อื ง ต่อไปนี้ คือ ความรับผดิ ชอบ ความสนใจ ความรอบรู้ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา ความคิด ความมี เหตุผล และวฒุ ภิ าวะดา้ นอ่นื ๆ รวมทง้ั ความสามารถทางสติปัญญา จากการศึกษาเกี่ยวกบั พฒั นาการทาง สติปญั ญา นักจิตวทิ ยาให้ข้อสรุปสอดคล้องกนั วา่ ความสามารถทางสมองของคนเราจะเจริญเติบโตไปเรอ่ื ยๆ จนถงึ ประมาณ 20 ปี และตอ่ จากนัน้ อัตราพัฒนาการทางสมองจะเรม่ิ ลดระดับลงเม่อื ย่างเขา้ สู่วยั ผ้ใู หญ่ 3. สุขภาพและลักษณะทางรา่ งกาย โรคภยั ไขเ้ จ็บ ความพกิ ารของร่างกาย ความผิดปกติในลกั ษณะ ต่างๆ ขนาดของรา่ งกาย ตลอดจนลักษณะเดน่ - ด้อยของรปู ร่างหนา้ ตา มผี ลต่อการเรียนรขู้ องบคุ คลทั้งในทาง ส่งเสรมิ และเปน็ อุปสรรค์ ทง้ั น้ีรวมถึงความบกพร่องบางอย่างทางร่างกายดว้ ย เชน่ ความบกพรอ่ งทางการ มองเห็น หรือการไดย้ นิ เป็นต้น ความแตกตา่ งทางอารมณ์ อารมณ์มีอทิ ธิพลต่อพฤตกิ รรม และการทํา กจิ กรรมตา่ งๆของบุคคลเสมอ สําหรับในการเรียนรู้นน้ั นกั จติ วทิ ยาและนกั การศึกษามีความเห็นสอดคลอ้ งกนั ว่า การที่ผู้เรยี นมอี ารม ณ์ในทางที่ดี เช่น อารมณ์ดใี จ ร่าเริง ยินดี สบายใจ จะก่อให้เกิดผลดใี นการเรียนรู้ ส่วนอารมณ์ในทางที่ไม่ดี เชน่ อารมณโ์ กธร กลวั เศร้า อิจฉา ตน่ื เตน้ ตกใจ มกั เปน็ ตวั รบกวนความสามารถในการเรียนรู้ แต่บางคร้ังอารมณใ์ นทางทไ่ี มด่ ีบางอยา่ งก็ทํา ใหบ้ ุคคลเรยี นรไู้ ด้ดีข้ึน เช่น จากผลการวจิ ัยพบวา่ เด็กท่ีมรี ะดบั สตปิ ญั ญาคอ่ นขา้ งดี ถ้ามีความวิตกกงั วลจะทาํ ใหก้ ิจกรรมการเรียนไดด้ ขี ึ้น แต่เด็กทม่ี ีสติปญั ญาปานกลางหรือค่อนขา้ งต่าํ จะทาํ กิจกรรมไดเ้ ลวลง ปราณี ราม สตู (2528) กลา่ วว่าการเกิดอารมณต์ ่างๆ ใหท้ ัง้ ผลดีและผลเสยี ในด้านการเรยี นรู้ ถา้ ผู้เรียนเกดิ อารมณ์ใน ระดบั ที่พอดี จะทาํ ใหร้ า่ งกายอยู่ในภาวะต่นื ตัว พรอ้ มทีจ่ ะทํากจิ กรรมต่างๆในการเรียนรู้ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล
9 ความแตกต่างทางดา้ นสังคม บุคคลทีอ่ ย่ใู นสภาพสงั คมทต่ี ่างกนั ยอ่ มมลี ักษณะทางบคุ ลกิ ภา พและพฤตกิ รรมแตกต่างกัน เช่น ทัศนคติ ความเชอื่ ความสนใจ แรงจงู ใจ และลกั ษณะอื่นๆ รวมทัง้ ลักษณะทางสตปิ ญั ญาซึ่งเปน็ องคป์ ระกอบ สาํ คญั ในการเรยี นรู้ จากผลการวจิ ยั ของ แฮฟวิงเฮรดิ ์ และแจนก้ี (Hevinghurst and janke, 1944, 1945) พบว่า เก็ดอายุ 10 และ 16 ปี ทีม่ าจากชนชนั้ สูง มีระดับสตปิ ญั ญาสงู กว่าชนชนั้ ตํ่า (การจดั กลุ่มชนช้ัน ทางสงั คมพิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกจิ ระดับการศกึ ษา อาชีพของบดิ ามารดา และถิ่นที่อยู่อาศัย) เดครอลี่ และดีแกนด์ (Decroly and Degand, 1910) พบว่าเด็กในกล่มุ ท่มี ีฐานะทางเศรษฐกจิ และสังคมดกี ว่า ทํา คะแนนไดส้ งู กว่าเกณฑ์ปกติ จากแบบทดสอบสติปญั ญาของบิเนต์ แม็ค เนมา (Mc Nema, 1942) ศึกษาระดบั สติปญั ญาของเด็กโดยจาํ แนกตามของอาชีพของบิดามารดา พบว่าระดบั สติปัญญาแตกต่างกนั อย่างเด่นชดั และไลฟเ์ ซย์ (Livesay, 1944) ได้ศึกษาพบวา่ คะแนนทดสอบเฉลีย่ ของนกั เรยี นระดับมัธยมศึกษาตอนปรายใน รฐั ฮาวาย ประเทศสหรฐั อเมรกิ า มีความสมั พันธ์กับรายได้ของบดิ ามารดา ความแตกต่างทางดา้ นสตปิ ญั ญา ความสามารถทางสติปัญญาเป็นตัวแปรสาํ คญั ทส่ี ่งผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการเรยี นรู้ของบคุ คล นักจิตวทิ ยาและ นกั การศกึ ษาต้นพบว่า ระดบั สติปัญญาขิงคนเรามคี วาม แตกตา่ งกันต้งั แต่ระดับสงู (อัจฉริยะ) จนถึงระดับต่ํา (ปญั ญาอ่อน) ในการเรียนการสอนครูสว่ นมากจะคดิ ถงึ ผ้เู รียนทัง้ ห้องเปน็ ภาพรวม และคาดหวังให้เรียนส่วนมาก ซงึ่ มสี ตปิ ญั ญาระดับปานกลางเกดิ การเรียนรู้ แต่ในความ เปน็ จรงิ ในห้องเรยี นหนงึ่ ๆ มักจะมผี ูเ้ รียนสตปิ ญั ญา ระดบั สูง และระดับต่ํากวา่ ปานกลางรวมอยดู่ ้วยเสมอ ซึง่ ผ้เู รียนท้ังสองประเภทนต้ี ้องการความช่วยเหลือจาก ครเู ป็นพเิ ศษ เพราะการสอนรวมกบั ผอู้ นื่ ตามปกติเป็นอุปสรรคตอ่ การเรยี นรขู้ องผูเ้ รียนทงั้ สองประเภท กลา่ วคอื ผเู้ รียนระดับสตปิ ัญญาสงู จะเกดิ ความเบื่อหนา่ ยและอาจแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เชน่ ขาดความ สนใจในบทเรยี น ทาํ พฤติกรรมกอ่ กวนชนั้ เรียนเนอื่ งจากทํางานเสรจ็ และไมม่ อี ะไรทาํ ขาดแรงจูงใจในการเรียน เพราะงานที่ครูให้ทํางานเกินไป และไมท่ ้าทาย ดงั นัน้ ครจู งึ ควรจัดกจิ กรรมพเิ ศษเพือ่ สง่ เสริมผูเ้ รยี นประเภทน้ี ให้มโี อกาสไดพ้ ัฒนาตนเองอย่างเตม็ ท่ี และเพ่ือป้องกันการเกดิ พฤติกรรมท่ไี ม่พง่ึ ประสงคใ์ นการเรยี น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรยี บบคุ คลที่ได้รบั การสอนจากพระองค์ ท่ีทรงคํานึงถงึ ความแตกต่างระหวา่ ง บคุ คล โดยเน้นความแตกต่างด้านสติปัญญา กล่าวถงึ วิธีการสอนแต่ละบคุ คลไว้อยา่ งชดั เจนและเปรียบเทียบให้ เหน็ ชดั เจน ด้วยดอกบวั 4 เหล่า ดงั น้ี 1.1 อุคฆปฏติ ัญญู ได้แก่ ผูม้ ปี ัญญาฉลาดเฉยี บแหลม(abnormal)เพยี งแค่ยกหัวขอ้ ขึ้นแสดงกส็ มารถรู้ และเข้าใจได้ทันทีเปรียบเสมอื นดอกบัวทอี่ ย่เู หนอื นา้ํ รอคอยแสงอาทติ ยพ์ ออาทิตย์ฉายแสง ก็เบ่งบานได้ทนั ที ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
10 1.2 วิปจติ ญั ญู ไดแ้ ก่ ผูม้ ีปัญญาอย่ใู นระดับปานกลาง(normal)ต้องอธบิ าย ขยายความแห่งข้อนนั้ ๆ แล้ว จึงจะสามารถร้แู ละเข้าใจได้เปรยี บเหมือนดอกบวั ทอ่ี ยเู่ สมอผิวนํ้าจะบานในพรุ่งนี้ 1.3 เนยยะ ไดแ้ ก่ ผู้ท่ีพอจะแนะนาํ ได(้ borderline) คอื พอจะฝกึ สอนอบรมใหร้ แู้ ละเข้าใจได้อย่แู ละ จะต้องยกตวั อย่างประกอบใหช้ ดั เจนเปรยี บเหมอื นดอกบวั ที่ยงั โผลไ่ มพ่ น้ นา้ํ ซ่งึ จักบานในวนั ตอ่ ๆไป 1.4 ปทปรมะ ไดแ้ กผ่ ูด้ ้อยปัญญา (mentally defective)สอนให้รู้ได้แตเ่ พียงพบคือ พยัญชนะหรือ ถ้อยคํา แตไ่ มอ่ าจเข้าใจความหมายไดเ้ ปรยี บเหมือนดอกบวั ทย่ี ังจมอย่ใู นนํา้ โคลนตม ซ่ึงย่อมเป็นภักษาแห่ง ปลาและเต่า ความแตกต่างทางดา้ นบุคลิกภาพอนื่ ๆ นอกจากบคุ คลจะแตกตา่ งกนั ในดา้ นต่างๆ ดังท่กี ล่าวมาแล้ว ยงั มีความแตกต่างกนั ด้านบคุ ลกิ ภาพ อนื่ ๆ เชน่ ความถนดั ตาธรรมชาติ ความสนใจ ทศั นคติ แรงจงู ใจ ความคดิ สร้างสรรค์ ความรบั ผิดชอบ วธิ ีคดิ และแบบของการเรยี นรู้ ฯลฯ ซง่ึ ลักษณะดงั กล่าวมผี ลตอ่ การเรียนท้ังสนิ้ โดนเฉพาะอย่างยิ่งแบบการเรยี นรู้ซง่ึ จะแตกต่างกันไปในแต่ละบคุ คล เช่น คนบางคนเรยี นร้ไู ด้ดดี ว้ ยการใช้สายตาหรือการสงั เกต (Visual) บางคน เรียนรู้ไดด้ ีดว้ ยการฟัง (Auditory) บางคนเรียนรู้ไดดีด้วยการพดู (Talking) และบางคนเรยี นรไู้ ด้ดีโดยการใช้ มือหรอื การสมั ผสั (Touching) นอกจากนีผ้ ู้เรียนบางคนเรยี นรู้ไดด้ ถี า้ มีการกําหนดเวลาท่ีแน่นอน แต่บางคน จะทาํ ได้ไมด่ ี บางคนต้องการใหค้ อยดูหรือจ้ําจ้ีจาํ้ ไช แต่บางคนชอบอิสระ เป็นตน้ ในหอ้ งเรียนหนง่ึ ๆ ประกอบด้วยนกั เรียนที่มีความแตกตา่ งกนั อยา่ งหลากหลายปละความแตกต่างเหล่าเป็นตัว แปรสําคญั ทม่ี ีอิทธพิ ลตอ่ ประสิทธิภาพในการจัดการเรยี นการสอน ถา้ ครตู ระหนักถงึ ความแตกต่างระหว่าง ผู้เรยี นอยา่ งจริงจัง ก็สามารถจัดการเรยี นการสอนเพอื่ ตอบสนองผเู้ รียน และพฒั นาศกั ยภาพผู้เรียนอย่างเต็มท่ี สรุ างค์ โค้วตระกลู , จติ วทิ ยาการศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544). ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล
11 เอกสารอา้ งองิ สรุ างค์ โคว้ ตระกลู , จิตวิทยาการศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย, 2544). อารี พันธ์มณี. 2546. จิตวทิ ยาสร้างสรรค์การเรียนการสอน. กรงุ เทพฯ : ใยใหม ครเี อทีฟ กรุ๊ป ออนไลน์ http://www.eledu.ssru.ac.th/kalanyoo_pe/file.php/4/_3_.pdf แผนภาพปญั หาทัง้ 8 ดา้ น ตามทฤษฎพี หุปญั ญาของการด์ เนอร์ (Spencer,1998) http://nengkung09 38.blogspot.com/p/blog-page_62.html วภิ าพร มาพบสุข. 2543. มนษุ ยสมั พันธ.์ กรงุ เทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2543. แฮฟวิงเฮรดิ ์ และแจนกี้ (Hevinghurst and janke, 1944, 1945) เดครอล่ี และดีแกนด์ (Decroly and Degand, 1910) บเิ นต์ แมค็ เนมา (Mc Nema, 1942) ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: