Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วันศุกร์

วันศุกร์

Published by marisa.me, 2020-08-28 03:55:44

Description: วันศุกร์

Search

Read the Text Version

นอกจากน\"ี ยงั มีวิธีการของบรรณารักษห์ ้องสมุดประชาชนเมืองนิวยอร์ค (New York Public Library) ทีจะทาํ ใหก้ ารเล่าเรืองจากหนงั สือประสบความสาํ เร็จ มีดงั น\"ี 1. เมือเลือกหนงั สือสาํ หรับใชใ้ นการเล่าเรืองหนงั สือกบั กลุ่มผูฟ้ ังวยั รุ่นไดแ้ ลว้ ควร เลือกเล่มทีตนเองชอบมากทีสุดก่อน เพราะจะทาํ ใหม้ นั ใจไดว้ า่ ดึงดูดความสนใจ 2. เลือกหนงั สือทีเหมาะสมกบั ระดบั ช\"นั และระดบั ความสามารถในการอ่าน และ เลือกหนงั สือระดบั ทีสูงข\"ึนไปเตรียมไวด้ ว้ ย 3. เตรียมวิธีการต่างๆ ทีเหมาะสําหรับตนเองให้ดีทีสุด เช่น บนั ทึกทุกอย่างเอาไว้ โดยเขียนเป็นบนั ทึกเล็กๆ เพอื เตือนความจาํ บนั ทึกสิงทีสาํ คญั เพือจะไดไ้ ม่ลืมสิงทีตอ้ งการพดู 4. ในช\"นั เรียนทีสหศึกษา ควรจะเริมตน้ จากหนงั สือทีดึงความสนใจของเด็กผูช้ าย ก่อน เช่น เกียวกบั เรืองกีฬา การผจญภยั เด็กผูห้ ญิงส่วนมากเต็มใจทีจะฟังหนงั สือสําหรับเด็กผูช้ าย มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรีมากกว่าทีจะสลับกัน เมือดึงความสนใจของเด็กผูช้ ายได้แล้ว จึงควรแนะนําหนังสือสําหรับ เดก็ ผหู้ ญิง 5. ไม่ควรใช้เวลาเกิน 5 นาที สําหรับหนังสือแต่ละเล่ม และรักษาเวลา คาํ พูด ประโยคแรกควรจะเกียวกบั ดิน ฟ้า อากาศ หรือเรืองทีไดอ้ ่านมา เรืองในโรงเรียน หรือเบ\"ืองหลงั ของหนงั สือเหล่าน\"นั ยุคหรือสมยั น\"นั ๆ ฉากทีใช้ในเรืองไม่ควรใช้ “นีคือหนงั สือทีทุกคนคงชอบ” หรือ “นีคือหนงั สือทีอ่านแลว้ สนุกทีสุดเท่าทีเคยอ่านมา” ผูฟ้ ังจะเป็ นผูต้ ดั สินใจเองหลงั จากไดฟ้ ัง แลว้ 6. ประโยคปิ ดควรจะเตรียมไวด้ ว้ ย จะไดไ้ ม่พูดวกวน และถา้ ตอ้ งการใหจ้ บลงดว้ ยดี ตอ้ งไมเ่ ป็นการแสดงมากเกินไป ระมดั ระวงั ถอ้ ยคาํ ทีทิ\"งทา้ ย 7. บอกชือผแู้ ตง่ และชือเรืองตอนเริมตน้ และเมือจบการเล่าเรือง 8. เลือกบทตน้ ๆ ของหนงั สือ ไม่ตอ้ งเล่าท\"งั เรือง และไม่ตอ้ งเหตุการณ์ทีน่าตืนเตน้ ในหนงั สือท\"งั ๆ ทีเป็นหนงั สือธรรมดา ผฟู้ ังจะรู้สึกวา่ เป็นการหลอกลวงเมือเขาอ่านเอง 9. ใชถ้ ว้ ยคาํ สาํ นวนของผแู้ ต่งใหน้ อ้ ยทีสุด เพอื ใหห้ นงั สือไมจ่ ืดก่อนทีจะอ่าน 10. ไม่ควรอ่านโคลงหรือคาํ ถามคาํ ตบจากหนงั สือ ทาํ ใหบ้ รรยากาศไม่เป็นกนั เอง 11. ไม่ควรแสดงทาํ ทางแปลกๆ หรือแสดงเป็ นละคร ผูฟ้ ังจะรู้สึกไม่สนุกและอึดอดั ไมค่ วรเล่าโดยใชส้ รรพนามแทนตนเอง 12. ระวงั ถอ้ ยคาํ หรือฉากบางตอนทีพูดแลว้ ให้เด็กเขา้ ใจผิด ผูฟ้ ังจะเกิดความรู้สึก ผดิ หวงั 13. กาํ หนดการบรรยายหรือแนะนาํ ตวั ละครในเรืองเพยี ง 1-3 คน ถา้ มากจะทาํ ใหน้ ่า เบือและผฟู้ ังไม่สนใจ 61

14. ใชค้ าํ ง่ายๆ แทนคาํ ยากๆ ในเรือง เพือใหผ้ ฟู้ ังตามดว้ ยความเขา้ ใจ 15. ต้องแน่ใจว่าขอ้ มูลต่างๆ ทีนาํ มาพูดตอ้ งถูกตอ้ ง โดยเฉพาะศพั ท์เฉพาะและ ขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งถูกตอ้ ง เชือถือได้ 16. ในขณะทีเล่าเรือง ตอ้ งระวดั ระวงั ไม่ควรจะแสดงกิริยาอาการตามเรืองทีกาํ ลงั เล่า ควรจะใชก้ ารพดู แทน 17. ขอร้องและเชิญครูให้อยูใ่ นหอ้ งน\"นั ดว้ ย เพือการควบคุมช\"นั ผูเ้ ล่าหรือผูบ้ รรยาย จะไดไ้ ม่ตอ้ งกงั วลเกียวกบั เรืองการควบคุมช\"นั จะไดท้ าํ หนา้ ทีใหด้ ีทีสุด 18. สวมเส\"ือผา้ ทีดูแลว้ ชวนมอง มีเสน่ห์ แต่ไม่ใชเ้ ส\"ือผา้ ทีดูแลว้ ใจวอกแวก 19. ทาํ ใหด้ ีทีสุด เพือใหก้ ารเล่าเรืองจากหนงั สือประสบความสาํ เร็จและผูฟ้ ังไดร้ ับ ความเพลิดเพลินและรู้สึกสนุกไปดว้ ย มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ีสถานที การเล่าเรืองจากหนงั สือ อาจจะใชห้ ้องประชุมของหอ้ งสมุด ช\"นั เรียนหรือห้องประชุม สถานศึกษาหรือของหน่วยงาน ตามความเหมาะสมของกลุ่มผูฟ้ ังขนาดทีพอเหมาะ และควรจดั สถานทีเตรียมวสั ดุอุปกรณ์ ตลอดจนหนงั สือทีจะใชแ้ นะนาํ ใหพ้ ร้อม ก่อนทีจะดาํ เนินงาน สรุปการเล่าเรืองจากหนงั สือคือการจูงใจให้เด็กทีเป็ นกลุ่มเป้าหมายสนใจในการอ่าน รู้จกั หนงั สือ รู้จกั อ่านอยา่ งมีวจิ ารณญาณ หรือจะหยบิ หนงั สือเรืองใดเรืองหนึงมาสนทนาเชิงวิจารณ์ เพือใหผ้ ูฟ้ ังเกิดความสามารถในการวินิจฉัยคุณค่าของหนงั สือ สุดแต่จุดประสงคข์ องการจดั แต่ละ คราวการเล่าเรืองจากหนงั สือทีมีประสิทธิภาพน\"นั ผูส้ นทนาหรือผูบ้ รรยายจะตอ้ งมีการเตรียมตวั เป็ นอย่างดี เตรียมรู้จกั ผูฟ้ ัง เตรียมหนงั สือ เพือต\"งั จุดประสงค์ในการจดั กิจกรรมน\"ีแต่ละคร\"ังโดย หนงั สือทีเลือกมาเล่าควรเหมาะกบั วยั ของผูฟ้ ังอยา่ งเหมาะสม เพือเกิดประสิทธิภาพต่อการเล่าเรือง จากหนงั สือเพอื กระตุน้ นิสยั รักการอ่านอยา่ งแทจ้ ริง แนวคดิ เกยี วกบั เดก็ ปฐมวยั 1. ธรรมชาติของเด็กปฐมวยั เด็กปฐมวยั หมายถึง เด็กทีมีอายตุ \"งั แต่แรกเกิดถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วนั (สิริมา ภิญโญ อนนั ตพงษ,์ 2550, หนา้ 3) ส่วนธรรมชาติของเด็กปฐมวยั น\"นั เป็ นสิงทีมีและเป็ นอยู่ในตวั เด็กมาต\"งั แต่ปฏิสนธิ เป็ นทารกและเติบโต วุฒิภาวะ การเรียนรู้ และความตอ้ งการต่างๆ ท\"งั น\"ีข\"ึนอยู่กับช่วงอายุและ พฒั นาการตามธรรมชาติของเด็ก โดยสิริมา ภิญโญอนนั ตพงษ์ (2550, หนา้ 2) กล่าววา่ วยั เด็กต\"งั แต่ 62

แรกเกิดจนถึงอายุแปดปี หรือเด็กปฐมวยั เป็ นช่วงระยะเวลาทีสําคญั ทีสุดขอพฒั นาการทุกดา้ นท\"งั ทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ จิตใจ สังคม และบุคลิกภาพ เมือพิจารณาตามธรรมชาติ ความ ตอ้ งการ การเจริญเติบโต และการเรียนรู้ สามารถจดั แบ่งเด็กปฐมวยั ไดเ้ ป็น 4 ช่วงวยั ดงั น\"ี (1) วยั ทารก (Baby) หมายถึง เด็กทีมีอายุต\"งั แต่แรกเกิดถึง 2 ปี โดยเด็กทีมีช่วง อายหุ นึงเดือนแรก มกั เรียกวา่ เด็กแรกเกิด (Neonate) (2) วยั เตาะแตะ หรือ วยั เด็กเล็ก (Infant or Toddle)หมายถึง เด็กทีมีช่วงอายุคาบ เกียว 1-3 ปี ตามพฒั นาการแลว้ เด็กจะเริมหดั เดินเมืออายุประมาณ 1 ขวบ ลกั ษณะการเริมหัดเดิน เด็กจะเดินไม่มนั คง จึงเรียกเด็กทีเพิงหัดเดินว่าเป็ น เด็กวยั เตาะแตะ (Infant)คร\"ันเติบโตข\"ึนอายุ ประมาณ 1 ขวบครึง 2 ขวบ จนถึง 3 ขวบ เด็กมีพฒั นาการทางด้านร่างกาย สามารถเดินไดด้ ้วย ตนเอง ไม่ตอ้ งเอามือไปจบั โตะ๊ เกา้ อ\"ี หรือผนงั กาํ แพงในการเดิน ผูใ้ หญ่ไม่ตอ้ งช่วยเหลือ เป็ นวยั ทีมี มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรีความเป็นตวั ของตวั เอง ช่วงวยั น\"ียงั เรียกว่า เด็กวยั เตาะแต่ะ หรือเด็กเล็ก (Toddle)ซึงมีพฒั นาการ ทางดา้ นร่างกายเจริญข\"ึน กลา้ มเน\"ือใหญ่ต่างๆ แข็งแรงข\"ึน ชอบฝึ กฝน ช่วยเหลือตนเอง เป็ นระยะที เด็กเริมมีความอิสระ ท\"งั ทางดา้ นร่างกายและสังคม ชอบเดินไปเดินมาอยา่ งอิสระ จึงเป็ นช่วงสาํ คญั ทีแม่ตอ้ งคอยดูแลความเป็นอิสระของเดก็ อยา่ งใกลช้ ิด (3) วยั อนุบาล หมายถึง เด็กทีมีอายุ 3-6 ปี เป็ นวยั ทีชอบความเป็ นเป็ นอิสระใน การเคลือนไหวและเขา้ สังคมมากข\"ึน โดยเรียกเด็กทีมีอายุ 3-5 ปี ซึงเป็ นช่วงอายุทีพอ่ แม่นาํ เด็กเขา้ โรงเรียนอนุบาลว่าเด็กก่อนวยั เรียน (Preschooler) และเรียกเด็กทีมีอายุ 5-6 ปี ซึงเป็ นช่วงวยั เด็ก อนุบาล ทีเตรียมตวั เรียนประถมปี ที 1 วา่ เดก็ อนุบาล (Kindergartener) (4) วยั อนุบาลตอนปลาย หมายถึง เด็กทีมีอายุ 6-7 ปี เป็ นวยั ทีคาบเกียวระหวา่ ง เดก็ ทีเรียนอยชู่ \"นั อนุบาลกบั ช\"นั ประถม 1 และช\"นั ประถม 2 2. พฒั นาการของเดก็ ปฐมวยั เด็กปฐมวยั เป็ นวยั ทีจะกา้ วเขา้ สู่การพฒั นาของชีวิตเด็กจะเริมพฒั นาลกั ษณะความ เป็ นตวั ของตวั เองให้ความสนใจในสิงรอบตวั ดงั น\"นั ผูป้ กครองหรือผูท้ ีทาํ หน้าทีดูแลเด็กวยั น\"ี จึง ควรเขา้ ใจและยอมรับถึงลกั ษณะเฉพาะวยั อยา่ งถูกตอ้ งเพือเป็ นการสนบั สนุนและสามารถดูแลเด็ก วยั น\"ีไดอ้ ยา่ งเหมาะสม พฒั นาการเป็ นคาํ ทีมีความหมายหลายความหมาย มีผูใ้ ห้ความหมายของพฒั นาการ ไวด้ งั น\"ี พชั รี เจตน์เจริญรักษ์ (2545, หนา้ 14) ไดใ้ ห้ความหมายของคาํ วา่ พฒั นาการ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการกระทาํ สิงต่างๆ ไดม้ ากข\"ึน ดีข\"ึนตามช่วงวยั ของชีวติ โดยปกติเด็กจะ เจริญเติบโตตามข\"ันตอน ตามแบบแผนพฒั นาการของเด็ก เช่น เด็กแรกเกิดมองตามสิงของที 63

เคลือนไหวในระยะส\"ันๆ ได้ เด็กอายุ 12-18 เดือน สามารถเดินไดส้ าํ รวจสิงแวดลอ้ มได้ หยิบชองใส่ ภาชนะ ฯลฯ เป็นตน้ รักตวรรณ ศิริถาพร (2548, หน้า 96) พฒั นาการเป็ นการเปลียนแปลงทีเชือมโยงกนั ไปในทุกๆ ดา้ นของมนุษย์ นบั ต\"งั แต่ปฎิสนธิสนกระท\"งั ตาย ซึงมีทิศทางการเปลียนแปลงทีแน่นอน และสามารถทาํ นายได้ ความสําคญั ของการพฒั นาเด็กปฐมวยั คือ การเขา้ ใจวิถีชีวิตในวยั เด็กต\"งั แต่แรกเกิด ถึงอายุ 6 ปี เป็ นระยะเริมตน้ ของชีวติ ทีละเอียดอ่อนและมีการเปลียนแปลงต่างๆ หลายดา้ นเกิดข\"ึน พร้อมๆ กนั อยา่ งรวดเร็ว ซึงเป็ นช่วงเวลาสําคญั ทีสุดของการสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตและจิตใจ เด็กจะสะสมประสบการณ์การเรียนรู้สิงต่างๆ รอบตัวจากผู้เล\"ียงดูและสภาวะแวดล้อมใน ชีวิตประจาํ วนั เป็ นพ\"ืนฐานการเรียนรู้ พฒั นาการทีเกิดข\"ึนกบั บุคคลแต่ละคนจะต่างกนั ตามอิทธิพล มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบรุ ีของพนั ธุกรรมและประสบการณ์ทีได้รับ ซึงลักษณะของพฒั นาการจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ พฒั นาการดงั น\"ี (นนั ทิยา นอ้ ยจนั ทร์, 2548, หนา้ 33-36) (1) พฒั นาการเป็ นกระบวนการทีต่อเนืองกนั พฒั นาการจะเกิดต่อเนืองกนั ไป ต\"งั แต่จุดเริมตน้ ของชีวิตไปจนถึงวยั ชรา โดยในแต่ละช่วงจะมีการเปลียนแปลงอยูต่ ลอดเวลา เช่น การพฒั นาอวยั วะต่างๆ ของเด็กทารกในครรภ์มารดา ซึงจะเริมมีการสร้างอวยั วะต่างๆ ข\"ึนอย่าง ต่อเนือง และไม่มีการหยุดย\"งั จากหลกั ของพฒั นาการน\"ีทาํ ให้นกั จิตวิทยาพฒั นาการส่วนใหญ่มี ความเชือต่อไปอีกว่าถ้าพฒั นาการระยะหนึงระยะใดบกพร่องจะส่งผลกระทบกระเทือนไปสู่ พฒั นาการในระยะต่อๆ มาดว้ ย ซึงจะทาํ ให้เกิดพฒั นาการทีเป็ นปัญหา เช่น การขาดสารอาหารของ เด็กทารกมีผลต่อพฒั นาการทางดา้ นสติปัญญาของเด็กทารกคนน\"นั เมือเติบโตข\"ึน เป็นตน้ (2) การพฒั นาจะมีทิศทางของพฒั นาการทีแน่นอน พฒั นาการจะดาํ เนินตามแนว จากส่วนบนสู่ส่วนล่าง และจากส่วนกลางออกไปสู่ส่วนขา้ ง ดงั น\"ี (2.1) พฒั นาการเริมจากส่วนบนไปสู่ส่วนล่าง (Cephalo-caudal direction) หมายความวา่ พฒั นาการของมนุษยจ์ ะเริมจากส่วนบนลงมาส่วนล่าง ซึงจะสังเกตไดว้ า่ เด็กทารกจะ พฒั นาอวยั วะส่วนบน เช่น อวยั วะบริเวณหนา้ เช่น ตา ปาก ก่อนแลว้ ค่อยๆ พฒั นาอวยั วะตามลาํ ตวั เช่นแขน แลว้ จึงพฒั นาการลงมาทีส่วนขา เป็นตน้ (2.2) พฒั นาการเริมจากแกนกลางของลาํ ตวั ไปสู่อวยั วะส่วนข้างทีไกล ออกไป (Proximo distal direction) โดยพฒั นาการจะเริมจากแกนกลางตวั เช่น เด็กสามารถเคลือน ลาํ ตวั ท\"งั ลาํ ตวั ก่อนจึงมีการใชแ้ ขนในการหยบิ จบั สิงของ และค่อยๆ พฒั นาการใชม้ ือและการใชน้ ิ\"ว มือตามลาํ ตวั 64

(2.3) พฒั นาการของมนุษย์จะเปลียนแปลงไปอย่างมีแบบแผนและเป็ น ข\"นั ตอนไม่มีการขา้ มข\"นั เช่น ลกั ษณะพฒั นาการของเด็กทารก จะเริมจาการชันคอ การควาํ คืบ คลาน นงั ยืน เดินและวิง ซึงแสดงวา่ การเปลียนแปลงน\"ีมิไดเ้ กิดข\"ึนโดยบงั เอิญ แต่เป็ นไปอย่างมี ลาํ ดบั ข\"นั (2.4) อตั ราพฒั นาการของเดก็ แต่ละคนจะแตกต่างกนั ข\"ึนอยูก่ บั องคป์ ระกอบ ใหญๆ่ 2 ชนิด คือ พนั ธุกรรมและสภาพแวดลอ้ ม ซึงองคป์ ระกอบท\"งั สองทาํ ให้พบวา่ ในเด็กบางคน มีการเจริญเติบโตเร็ว บางคนเติบโตชา้ หรือพฤติกรรมบางอย่างอาจปรากฏเร็วในเด็กคนหนึงแต่ ปรากฏช้าในเด็กอีกคนหนึง เช่น พฤติกรรมของการพูดซึงจะพบไดว้ า่ เด็กบางคนสามารถพูดเปล่ง เสียงอย่างถูกตอ้ งไดเ้ ร็ว แต่บางคนพูดได้ช้า พฒั นาการของเด็กแต่ละคนจะมีอตั ราพฒั นาการที แตกต่างกนั ข\"ึนอยู่กบั พนั ธุกรรมทีติดมากบั เด็กคนน\"นั และสภาพแวดลอ้ มรอบๆ ตวั เด็กผูน้ \"ันจะ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบุรีส่งเสริมหรือขาดการดูแลพฒั นาการของเดก็ ผนู้ \"นั แค่ไหน (2.5) ความก้าวหน้าของพัฒนาการ คือ ความสามารถในการแยกแยะ ความสามารถต่างๆ ของอินทรีย์ (Differentiation) โดยมีกระบวนการพฒั นาการจะเริมจากส่วนใหญ่ ไปสู่ส่วนย่อยหรือจากพฤติกรรมทวั ๆ ไป ไปสู่พฤติกรรมทีเฉพาะเจาะจง นันคือ เด็กทารกจะมี การเคลือนไหวท\"งั ตวั ก่อนส่วนใดส่วนหนึงของร่างกาย และเมือเด็กทารกมีพฒั นาการทีกา้ วหน้า มากข\"ึน ทารกจะใชส้ ่วนต่างๆ ของร่างกายไดม้ ากข\"ึนและมีประสิทธิภาพเพิมข\"ึน เช่น สามารถใช้ แขนมือหรือขาไดด้ ีพฒั นาการจะเริมจากส่วนใหญ่ไปหาส่วนยอ่ ย พฤติกรรมก็เช่นกนั ทีจะเริมจาก พฤติกรรมกวา้ งๆโดยทวั ไปไปสู่พฤติกรรมทีเฉพาะเจาะจง เช่น พฤติกรรรมการตอบสนองต่อ ใบหน้าของคนทุกคนเหมือนกนั เนืองจากยงั ไม่สามารถแยกใบหนา้ มนุษยไ์ ด้ เช่น ทกั ทายยิ\"มดว้ ย แต่เมือทารกอายเุ กิน 6 – 7 เดือนข\"ึนไป ทารกจะเริมมีพฤติกรรมตอบสนองเฉพาะเจาะจงลงไป เช่น การตอบสนองเฉพาะใบหนา้ ของผคู้ ุน้ เคย เป็นตน้ (2.6) พฒั นาการจะมีความสัมพนั ธ์กนั ซึงจะสามารถทาํ นายพฒั นาการของ เด็กได้ ถา้ พฒั นาการดา้ นใดด้านหนึงบกพร่องจะนาํ ไปสู่ความบกพร่องในดา้ นอืนๆ ดว้ ย เช่น ถา้ หากพฒั นาการดา้ นร่างกายไม่ดีจะส่งผลต่อพฒั นาการดา้ นอืน เช่น ดา้ นอารมณ์ โดยอาจทาํ ให้บุคคล น\"นั เป็ นคนทีมีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย นอกจากน\"ัน ยงั เป็ นผลต่อพฒั นาการทางสังคม และ พฒั นาการทางสติปัญญาต่อไปอีกดว้ ย สามารถทาํ นายพฒั นาการไดโ้ ดยดูในเด็กเล็กวา่ มีพฒั นาการ เป็นอยา่ งไร และโตข\"ึนจะมีแนวโนม้ เป็นอยา่ งไร เป็นตน้ (2.7) พฒั นาการส่วนต่างๆ ทีเกิดข\"ึนของร่างกายมีอตั ราในการพฒั นาไม่ เท่ากนั ร่างกายของคนเราน\"นั แมว้ า่ จะมีพฒั นาการหลายดา้ นเกิดข\"ึนพร้อมๆ กนั ก็ตาม การพฒั นาส่วน ต่างๆ ของร่างกายก็ยงั มีอตั ราไม่เท่ากนั เช่น เทา้ มือ จมูก จะมีพฒั นาการเต็มทีเมือย่างเขา้ สู่วยั รุ่น 65

ขณะทีบางส่วนของใบหนา้ และไหล่จะพฒั นาไปอยา่ งชา้ ๆ การคิดคาํ นึง การสร้างมโนภาพจะเจริญ อยา่ งรวดเร็วในวยั ตอนตน้ หรือมือ เทา้ ระบบยอ่ ยอาหารจะเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วในวยั รุ่น (2.8) พฒั นาการของเด็กแต่ละวยั จะมีลกั ษณะเฉพาะ หมายความว่า เด็กแต่ ละวยั ยอ่ มมีลกั ษณะของพฤติกรรมแตกต่างกนั พฤติกรรมบางอยา่ งในวยั หนึงอาจไม่เป็ นปัญหา แต่ ถา้ พฤติกรรมน\"นั เกิดข\"ึนในวยั อืนก็อาจเป็ นพฤติกรรมทีเป็ นปัญหา เช่น พฤติกรรมของการยอ้ นถาม ซ\"าํ แลว้ ซ\"าํ อีก พฤติกรรมน\"ีถา้ เกิดในระยะเดก็ ปฐมวยั ถือเป็นพฤติกรรมทีปกติ แต่ถา้ พฤติกรรมน เกิดข\"ึนในเด็กวยั รุ่นก็ถือวา่ พฤติกรรมน\"ีเป็ นปัญหา หรือพฤติกรรมของการกระโดดโลดเตน้ บนเกา้ อ\"ี ถา้ เกิดข\"ึนในวยั เดก็ ก็ถือวา่ เป็นพฤติกรรมทีปกติ แต่ถา้ เกิดข\"ึนในวยั รุ่นก็ถือวา่ เป็นปัญหา จากตวั อยา่ ง น\"ีจะเห็นไดว้ า่ เด็กในแต่ละวยั จะมีพฤติกรรมทีเป็ นลกั ษณะเฉพาะวยั ของวยั น\"นั ๆ การศึกษาในเรือง น\"ีจะทาํ ใหเ้ ขา้ ใจพฤติกรรมของเดก็ ไดด้ ียงิ ข\"ึน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี(2.9) พัฒนาการของมนุษย์มีความแตกต่างกัน ถึงแม้ว่าแบบแผนของ พฒั นาการมนุษยจ์ ะมีความคลา้ ยคลึงกนั และดาํ เนินรอยตามแบบแผนเดียวกนั ก็ตาม พฒั นาการของ เด็กยงั มีความแตกต่างกนั ทาํ ใหเ้ ด็กทุกคนจะไม่พฒั นาไปถึงจุดเดียวกนั เมือมีอายุเท่ากนั ท\"งั น\"ีเพราะ อิทธิพลของสิงแวดลอ้ มทีเด็กไดร้ ับ พฒั นาการของเด็กทีต่างกนั มกั จะเป็ นดา้ นร่างกาย สติปัญญา และบุคลิกภาพนอกจากน\"ีความแตกต่างดา้ นเพศและเช\"ือชาติก็มีผลทาํ ใหพ้ ฒั นาการดา้ นร่างกาย และ จิตใจของเดก็ ต่างกนั อีกดว้ ย แต่ท\"งั น\"ีสิงแวดลอ้ มน\"นั จะมีผลกระทบต่อการเปลียนแปลงลกั ษณะของ บุคคลมากทีสุดในช่วงทีกาํ ลงั มีการเจริญเติบโต และจะมีผลกระทบนอ้ ยทีสุดในช่วงทีไม่ค่อยมีการ เติบโต ดงั น\"นั เด็กวยั น\"ีเป็ นวยั ทีมีการเปลียนแปลงจากวยั ทารก กา้ วสู่ความพร้อมในการทีจะ เรียนรู้ สงั คมทีกวา้ งและหลากหลายข\"ึน ดงั น\"นั ครอบครัว ซึงประกอบไปดว้ ย พอ่ แม่ ผูป้ กครอง จึง ควรมีความรู้ความเขา้ ใจในพฒั นาการด้านต่างๆ ของเด็ก เพือเป็ นการส่งเสริมพฒั นาการให้เด็ก เจริญเติบโต และมีพฒั นาการอยา่ งเหมาะสม งานวจิ ยั ทเี กยี วข้อง 1. งานวจิ ัยในประเทศ ไพรัตน์ อยู่สมบูรณ์ (2539, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกียวกับพฒั นาพฤติกรรมเชิง จริยธรรมและนิสัยรักการอ่านในเด็กก่อนวยั เรียน โดยการเล่านิทานแบบไม่จบเรืองก่อนนอน กลุ่ม ตวั อยา่ งคือเด็กอนุบาลช\"นั ปี ที 2 อายุ 4-5 ปี จาํ นวน 108 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) เด็กก่อนวยั เรียนที ไดฟ้ ังนิทานก่อนนอน โดยวธิ ีเล่าจบเรืองและเล่าไมจ่ บเรืองมีนิสยั รักการอ่านสูงกวา่ เด็กก่อนวยั เรียน 66

ทีไม่ไดฟ้ ังนิทานก่อนนอน 2) เด็กก่อนวยั เรียนทีไดฟ้ ังนิทานก่อนนอน โดยวิธีเล่าไม่จบเรืองมีนิสัย รักการอ่านสูงกวา่ เดก็ ก่อนวยั เรียนทีไดฟ้ ังนิทานก่อนนอนโดยวธิ ีเล่าจบเรือง วราลี ถนอมชาติ (2549, บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ ึกษาผลของการจดั ประสบการณ์ทางภาษา โดยใชว้ รรณกรรมเป็ นฐานทีมีต่อความสามารถในข\"นั ก่อนการอ่านของเด็กอนุบาล 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ การรู้จกั องคป์ ระกอบของหนงั สือ การจดจาํ ศพั ท์ และการเขา้ ในสถานการณ์ กลุ่มตวั อยา่ งคือ เด็ก อายุ 5-6 ปี จาํ นวน 50 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ หลงั การทดลอง กลุ่มทดลองมีความสามารถในข\"นั ก่อน การอ่านสูงกวา่ กลุ่มควบคุมอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .01 นิตยา จิตแหลม (2553, บทคดั ย่อ) ไดว้ ิจยั ผลของกิจกรรมเสริมการอ่านทีมีผลต่อ ความเขา้ ใจในการอ่านและนิสัยรักการอ่าน ผลการวจิ ยั พบวา่ (1) นกั เรียนทีเขา้ ร่วมกิจกรรมและไม่ เข้าร่วมกิจกรรมเสริมการอ่านก่อนทดลองมีนิสัยรักการอ่านมีค่าความไม่แตกต่างกัน อย่างมี มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรีนยั สาํ คญั ทางสถิติ ส่วนนิสัยรักการอ่านของนกั เรียนทีเขา้ ร่วมกิจกรรมเสริมการอ่านและนกั เรียนที ไม่เขา้ ร่วมกิจกรรมเสริมการอ่านหลงั การทดลองแตกต่างกนั อย่างมีนยั สําคญั ทางสถิติทีระดบั .01 ผลคือนกั เรียนทีเขา้ ร่วมกิจกรรมเสริมการอ่านมีนิสยั รักการอา่ นสูงกวา่ นกั เรียนทีไม่เขา้ ร่วมกิจกรรม เสริมการอ่าน (2) นักเรียนทีเขา้ ร่วมกิจกรรมเสริมการอ่านมีความเขา้ ใจและมีนิสัยรักการอ่าน หลงั จากทดลองอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .01 ผลคือ นกั เรียนทีเขา้ ร่วมกิจกรรมเสริมการอ่าน มีความเขา้ ใจและนิสัยรักการอ่านสูงกวา่ เขา้ ร่วมกิจกรรมเสริมการอ่านซึงเป็นไปตามสมมุติฐานทีต\"งั ไว้ (3) นกั เรียนทีเขา้ ร่วมกิจกรรมเสริมการอ่านมีความเขา้ ใจในการอ่านสูงกวา่ นกั เรียนทีไม่เขา้ ร่วม กิจกรรมเสริมการอ่าน อย่างมีนยั สําคญั ทีระดบั .01 ผลคือ นกั เรียนมีความเขา้ ใจในการอ่านสูงข\"ึน กวา่ เดิม การศึกษาเปรียบเทียบความเขา้ ใจการอ่านความสามารถในการเขียนและเจตคติต่อ การเรียนภาษาไทยของนกั เรียนช\"นั ประถมศึกษาปี ที 6 ทีไดร้ ับการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา กบั การสอนตามคู่มือครูผลการทดลองปรากฏวา่ ความเขา้ ใจในการอ่านความสามารถในการเขียน ของนกั เรียนทีไดร้ ับการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาสูงกวา่ นกั เรียนทีไดร้ ับการสอนตามคู่มือครู อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที .01 ส่วนเจตคติการเรียนภาษาไทยของนกั เรียนทีไดร้ ับการสอนแบบมุ่ง ประสบการณ์ภาษาสูงกวา่ นกั เรียนทีไดร้ ับการสอนตามคูม่ ือครูอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 (อรัญญา ฤาชยั , 2541, หนา้ 129) การศึกษาเปรียบเทียบความเขา้ ใจการอ่านความสามารถในการเขียนภาษาไทยของ นกั เรียนช\"นั ประถมศึกษาปี ที 3 ทีไดร้ ับการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษารูปแบบที 2 กบั การสอน ตามคูม่ ือครูผลการทดลองปรากฏวา่ ความเขา้ ใจในการอ่านความสามารถในการเขียนภาษาไทยของ 67

นกั เรียนทีได้รับการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาสูงกว่านกั เรียนทีไดร้ ับการสอนตามคู่มือครู อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .01 (สุภาพร อินทร์หอม, 2542, หนา้ 59) การศึกษาความเข้าใจในการอ่านและความสามารถในการเขียนภาษาไทยของ นกั เรียนช\"นั ประถมศึกษาปี ที 5 ทีไดร้ ับการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษากบั การสอนตามคู่มือครู ผลการทดลองปรากฏวา่ ความเขา้ ใจในการอ่านและความสามารถในการเขียนภาษาไทยของนกั เรียน สูงกวา่ นกั เรียนทีไดร้ ับการสอนตามคู่มือครูอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 (ศศิธร วงศช์ าลี, 2542, หนา้ 117) ประนอม สุขนาคะ (2545, บทคดั ยอ่ ) ไดท้ ดลองเปรียบเทียบความเขา้ ใจในการอ่าน ความสามารถในการเขียนและความรับผดิ ชอบของนกั เรียนช\"นั มธั ยมศึกษาปี ที 2 ทีไดร้ ับการสอน แบบมุ่งประสบการณ์ภาษากับการสอนตามคู่มือครูกลุ่มตวั อย่างเป็ นนักเรียนช\"ันมธั ยมปี ที 2 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรีโรงเรียนราชวนิ ิตบางแกว้ อาํ เภอบางพลีจาํ นวน 80 คนกลุ่มทดลอง 40 คนกลุ่มควบคุม 40 คนกลุ่ม ทดลองได้รับการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ ภาษากลุ่มควบคุ มได้รับการสอนตามคู่มือครู ผล การทดลองพบว่าความเข้าใจการอ่านภาษาไทยสูงกว่าอย่างมีนัยสําคญั ทางสถิติทีระดับ .05 ความสามารถในการเขียน .05 ธิดา สุวรรณสาครกุล (2554, บทคดั ยอ่ ) การศึกษาคุณลกั ษณะของตวั แบบในการอ่าน ทีส่งผลต่อนิสัยรักการ อ่านของเด็กวยั รุ่นในโรงเรียนมธั ยมศึกษา เขตกรุงเทพมหานคร เครืองมือที ใชใ้ นการวจิ ยั แบบสอบถามพฤติกรรมการอ่าน แบบสอบถามตวั แบบในการอ่าน และแบบสอบถาม นิสยั รักการอ่าน ซึงมีค่าความเชือมนั ท\"งั ฉบบั .91 ผลวิจยั พบวา่ (1) พฤติกรรมการอ่านของเด็กวยั รุ่น ในโรงเรียนสังกดั สํานักงานเขตพ\"ืนทีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 1 กรุงเทพมหานคร ดา้ นเวลาใน การอ่านต่อวนั พบว่า กลุ่มตวั อย่างโดยรวมส่วนใหญ่ใช้เวลาในการอ่านต่อวนั 2 ชัวโมงข\"ึนไป รองลงมาคือ 1 ชวั โมงข\"ึนไป – 2 ชวั โมง, 31 นาที – 1 ชวั โมง และ 0 -30 นาที ตามลาํ ดบั (2) ตวั แบบ ในการอ่านของเด็กวยั รุ่นในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ\"ืนทีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 กรุงเทพมหานคร พบวา่ กลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่ไม่มีตวั แบบในการอ่าน ร้อยละ 52 (3) นกั เรียนทีมี ตวั แบบในการอ่านต่างกนั มีนิสยั รักการอ่านแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 พนา ทองมีอาคม รัตนา ทิมเมือง และ เพญ็ พกั ตร์ เตียวสมบูรณ์กิจ (2550, บทคดั ยอ่ ) ศึกษานิสยั รักการอ่านและทศั นคติในการอ่านของเยาวชน กลุ่มตวั อยา่ งเป็ นนกั เรียน นิสิต นกั ศึกษา ในระดบั ประถมศึกษาหรือเทียบเท่า มธั ยมศึกษาหรือเทียบเท่า ปวช. อนุปริญญา และระดบั ปริญญา ตรีหรือเทียบเท่า ภาพรวมของทศั นคติเกียวกบั การอ่านของเยาวชน พบวา่ การอ่านเป็ นการใช้เวลา วา่ งใหม้ ีประโยชน์เป็นทศั นคติทีมีค่าเฉลียมากทีสุด รองลงมาคือ นิสัยรักการอ่านมีความสําคญั การ อ่านมีส่วนต่อความสําเร็จในชีวิตคนเรา และน้อยทีสุดคือ ตนเองมีส่วนกระตุน้ ให้เพือนๆ รักการ 68

อ่าน ส่วนปริมาณการอ่าน พบว่า อ่านสัปดาห์ละ 2-3 คร\"ังมากทีสุด รองลงมาคือ อ่านทุกวนั อ่าน สัปดาห์ละคร\"ัง และนอ้ ยทีสุดคือ อ่านน้อยกวา่ สัปดาห์ละคร\"ัง สาํ หรับจาํ นวนชวั โมงทีอ่าน ในหนึง สัปดาห์พบว่า อ่าน 2-5 ชวั โมงต่อสัปดาห์มากทีสุด รองลงมาคือ อ่าน 6-10 ชวั โมง อ่านเกิน 10 ชวั โมง และนอ้ ยทีสุดคือ อ่านนอ้ ยกวา่ 2 ชวั โมงต่อสัปดาห์ สําหรับวสั ดุทีอ่านและความสนใจอ่าน ของเยาวชน พบว่า หนังสื อพิมพ์มีการอ่านบ่อยมากทีสุ ด รองลงมาคือ นิตยสาร/วารสาร คอมพวิ เตอร์/อินเทอร์เน็ต และอืนๆ ส่วนทีไม่อ่านเลยพบวา่ เป็นหนงั สือเล่ม มากทีสุด รองลงมาคือ อืนๆ คอมพิวเตอร์/อินเทอร์เน็ต และน้อยทีสุดคือนิตยสาร/วารสาร แหล่งหนงั สือทีเยาวชนใชอ้ ่าน บ่อยคร\"ัง มากน้อยตามลาํ ดบั คือ บา้ นของตนเองมากทีสุด รองลงมาคือ ห้องสมุดโรงเรียน และ สถานทีสาธารณะอืนๆ ส่วนแหล่งทีเยาวชนไม่ไดใ้ ชอ้ ่านมากทีสุด มากนอ้ ยตามลาํ ดบั คือ บา้ นของ คนอืนมากทีสุด รองลงมาคือ หอ้ งสมุด คอมพิวเตอร์/อินเทอร์เน็ต และบา้ นของตนเอง มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี2. งานวจิ ัยในต่างประเทศ Blain (1983, Abstract) ไดศ้ ึกษาความแตกต่างระหวา่ งเด็กทีมีประสบการณ์ในการ อ่านและไม่มีประสบการณ์ในการอ่านของเด็กก่อนวยั เรียน ผูว้ ิจยั ไดจ้ าํ แนกเด็กออกเป็ น 2 กลุ่ม กลุ่มละ10 คน ผลการวิจยั พบว่าเด็กทีมีประสบการณ์ในการอ่านจะมีความสนใจในเรืองราวทีมี สาระยงุ่ ยาก ให้ความสนใจขอ้ มูลข่าวสาร ชอบอ่านหนงั สือ เด็กกลุ่มน\"ีจะมีความคิดดีเลิศมากกวา่ เด็กทีไม่มีประสบการณ์ในการอ่าน มีการปรับตวั ไดด้ ีกวา่ เด็กทีไม่มีประสบการณ์ในการอ่าน Robert (1993, Abstract) ไดศ้ ึกษาเรือง การศึกษาความเปลียนแปลงดา้ นผลสัมฤทธoิ ทางการอ่าน เจตคติต่อการอ่าน และการเห็นคุณค่าของตนเอง (Self-esteem) ของนกั เรียนทีเรียน ออ่ นในระดบั มธั ยมศึกษาจาํ นวน 80 คน ทีไดร้ ับการสอนตามกระบวนการสอนอ่านแบบปฏิบตั ิการ โดยแบ่งเป็ น กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ใชเ้ วลาในการทดลองสัปดาห์ละ 5 วนั วนั ละ 42 นาที เป็ นเวลา 1 ปี การศึกษา ผลการศึกษาพบวา่ นกั เรียนมีพฒั นาทางการอ่านสูงกวา่ และเจตคติทีดีต่อ การอ่านมากข\"ึน Greer (1994, Abstract) ไดศ้ ึกษาเรืองผลของการกระบวนการสอนอ่านแบบ ปฏิบตั ิการต่อการพฒั นาเจตคติในการอ่าน โดยศึกษากบั นกั เรียนเกรด 5 จาํ นวน 23 คน แบ่งเป็ น กลุ่มทดลอง 11 คน และกลุ่มควบคุม 12 คน ผลการศึกษาพบวา่ นกั เรียนในกลุ่มทดลองซึงครูสอน ตามกระบวนการสอนอ่านแบบปฏิบตั ิการชอบเรียนและมีเจตคติทีดีตอ่ การอา่ นมากข\"ึน Hewitt and Others (1996, Abstract) ไดศ้ ึกษาเรือง การพฒั นานกั เรียนทีมีทกั ษะ การอ่านระดบั ตาํ ดว้ ยกระบวนการอ่านแบบปฏิบตั ิการ โดยศึกษากบั นกั เรียนเกรด 1 เกรด 2 และ เกรด 3 ทีมีทกั ษะการอ่านระดบั ตาํ ผลการศึกษาพบวา่ นกั เรียนมีพฒั นาการดา้ นทกั ษะความเขา้ ใจใน การอ่านดีข\"ึนและเจตคติต่อการอ่านดีข\"ึน 69

Miller (1984, pp. 3338-A - 3339-A) ไดศ้ ึกษาปัจจยั ทีเกียวกบั พฤติกรรมในการใช้ หนังสือร่วมกนั ระหว่างผูป้ กครองและเด็กก่อนวยั เรียน โดยศึกษาจากเวลาทีผูป้ กครองให้กับ การอ่านของเด็ก ทศั นคติของผูป้ กครองและเด็กทีมีค่าการอ่าน รูปแบบกิจกรรมเกียวกบั การอ่านที ผูป้ กครองไดป้ ฏิบตั ิต่อเด็กและจานวนหนงั สือของเด็กในบา้ น กลุ่มตวั อยา่ งเป็ นผูป้ กครองและเด็ก จานวน 28 คู่ ผลจากการศึกษาพบว่า การรับรู้เกียวกับการอ่านของเด็กมีความสัมพนั ธ์อย่างมี นัยสําคญั กบั การรับรู้คาศพั ท์ ทศั นคติของผูป้ กครองทีมีต่อการอ่าน สามารถเป็ นตวั บ่งช\"ีถึงการ เรียนรู้เบ\"ืองตน้ ของการอ่านและการรับรู้คาศพั ทข์ องเด็ก ผูป้ กครองทีมีทศั นคติในทางบวกมีผลต่อ ความถีในการปฏิบตั ิบทบาทและพฤติกรรมส่งเสริมการอ่านให้กบั เด็ก พร้อมกนั น\"ันยงั มีส่วน สนบั สนุนในการกระตุน้ ใหเ้ ด็กปฏิบตั ิเกียวกบั การอ่านไดด้ ี Neuman (1986, pp. 338-339) ไดศ้ ึกษาสิงแวดลอ้ มภายในบา้ นทีมีผลโดยตรงกบั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรีการใชเ้ วลาวา่ งในการอ่านของเด็กนกั เรียน เกรด 5 โดยศึกษาจากกลุ่มตวั อยา่ งเด็กนกั เรียน เกรด 5 จานวน 254 คน และผูป้ กครองจาํ นวน 84 คน จากการศึกษาพบว่า นักเรียนเกรด 5 มีการอ่าน หนงั สือในเวลาวา่ ง โดยเฉลีย 2.33 เล่มต่อเดือน เด็กผูห้ ญิงจะอ่านมากกวา่ เด็กผูช้ าย การใชเ้ วลาใน การอ่านแต่ละคร\"ังน\"นั โดยเฉลีย 15 นาที ต่อวนั มกั จะใช้เวลาก่อนนอนและช่วงเวลาพกั ผ่อนของ ครอบครัวเป็ นช่วงเวลาวา่ งในการอ่านหนงั สือมากทีสุด และพบว่าเด็กส่วนหนึงใช้เวลาในการดู โทรทศั น์โดยเฉลียวนั ละ 3.36 ชวั โมง ซึงเป็ นการใชเ้ วลาวา่ งมากกวา่ การอ่านหนงั สือและส่วนมาก จะมาจากครอบครัวทีมีรายไดแ้ ละระดบั การศึกษาตาํ นอกจากน\"ียงั พบวา่ บทบาทของผูป้ กครองใน การสนบั สนุนการอ่านน\"นั มีความสัมพนั ธ์อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติกบั พฤติกรรมในการใชเ้ วลาวา่ ง ในการอ่านหนงั สือของเด็ก จากการศึกษางานวิจยั ท\"งั ในประเทศและในต่างประเทศดงั กล่าวขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า การพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนทีเนน้ ใหผ้ ูเ้ รียนไดแ้ สดงกระบวนการคิดของตนเองออกมาจะ สามารถทาํ ให้ผูเ้ รียนเกิดการแลกเปลียนเรียนรู้รูปแบบวิธีการคิดเกิดการปรับเปลียนและพฒั นา กระบวนการคิดของตนเองใหม้ ีประสิทธิภาพตลอดจนการนาํ ความเขา้ ใจจากกระบวนการคิดเพือทาํ ความเขา้ ใจในการอ่าน มาสรุป และถ่ายทอดเรืองราวๆ ต่างทีไดอ้ ่าน ไดย้ ินมาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งซึงสิง เหล่าน\"ีเป็ นกระบวนการพ\"ืนฐานของการเรียนรู้ ฝึ กฝน พฒั นาตน ให้เป็ นผูอ้ ่านทีดี และเสริมสร้าง ลกั ษณะนิสยั การรักการอ่านต\"งั แต่ในระดบั ปฐมวยั 70


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook