Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนสุนทรียศาสตร์พื้นฐานรวมเล่ม

แผนสุนทรียศาสตร์พื้นฐานรวมเล่ม

Published by Karuna Panumes, 2021-04-02 06:53:20

Description: แผนสุนทรียศาสตร์พื้นฐานรวมเล่ม

Search

Read the Text Version

1 แผนการจดั การเรยี นรู้ หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี พุทธศกั ราช 2562 ประเภทวชิ าศลิ ปกรรม สาขาวชิ าศลิ ปกรรม สาขางานคอมพวิ เตอรก์ ราฟิก ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 วชิ าสนุ ทรยี ศาสตรพ์ น้ื ฐาน รหัสวชิ า 20306-9006 จัดทาโดย นางกรณุ า บญุ ธรรม วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาปัตตานี สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

2 คำนำ แผนการจัดการเรียนรู้ มุ่งเน้นสรรถนะอาชีพ วิชาสุนทรียศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา 20306-9006 ซึ่งเปน็ วิชาชีพพืน้ ฐานของคณะศิลปกรรม ดงั นน้ั แผนการสอนนี้จงึ เป็นแผนการสอนท่ี ใช้ประกอบการเรียน การสอนของครูผู้สอน ซึ่งจัดทำขึ้นตรงตามจุดประสงค์รายวชิ า มาตรฐาน รายวิชา และคำอธิบายรายวิชาหลักสูตรพุทธศักราช 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการการ อาชวี ศกึ ษา ผู้จัดทำ ได้จัดทำแผนการสอนนี้ขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชา ดังกล่าว และเพอื่ ให้การเรียนการสอนเปน็ ไปตามแผนที่วางไว้และสร้างผู้เรียนที่มีคุณภาพตรงตามที่ หลักสตู รกำหนดไว้ในมาตรฐานรายวิชาผู้จัดทำหวังวา่ นอกจากจะสร้างประโยชน์ให้กับตัวผู้สอนและ กระบวนการเรียนการสอนแลว้ คงจะเปน็ ประโยชน์สำหรับผ้อู ื่นที่สนใจและอยากทดลองนำไปใช้ นางกรณุ า บญุ ธรรม ผู้จัดทำ

3 แผนการสอน รหสั วิชา 20306-9006 ชอื่ วชิ า สนุ ทรยี ศาสตร์พ้ืนฐาน (ท ป น.) (2-0- 2) หลกั สูตร ประกาศนียบัตรวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช 2556 ประเภทวิชา ศิลปกรรม สาขาวชิ า/กลุม่ วชิ า รายวิชาส่วนกลาง 20306-9006 สนุ ทรียศาสตรพ์ ้นื ฐาน 2-0-2 จดุ ประสงค์รายวิชา 1. เข้าใจกระบวนการเห็นคณุ ค่าความงาม การชืน่ ชมรปู แบบศลิ ปะยคุ กอ่ นสมยั ใหม่ สมัยใหม่ และหลังสมยั ใหม่ ในประเทศไทยและสากล 2. เขา้ ใจคณุ ค่า ทัศนศลิ ป์ ในรูปแบบต่างๆ 3. ประเมนิ คุณคา่ งานศลิ ปกรรม ตามหลักการวิจารณ์ 4. มเี จตคตแิ ละกิจนิสยั ทดี่ ี สามารถแกป้ ัญหาเฉพาะหน้า ทำงานดว้ ยความรบั ผดิ ชอบ เรยี บร้อย สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรูเ้ กี่ยวกับประวตั ิผลงานด้านทัศนศลิ ปะร่วมสมัยในประเทศไทยและสากล ดา้ นทัศนศลิ ป์ ด้านการออกแบบในด้านหตั ถอุตสาหกรรม 2. แสดงความรเู้ ก่ยี วกบั หลกั การของสุนทรยี ภาพในดา้ นกระบวนการรับรู้ ด้านความคิดเหน็ ดา้ นความงาม ดา้ นการสืบสานพัฒนาตอ่ ยอดภมู ิปญั ญาไทยส่สู ากล ตามลกั ษณะ สาขางานศลิ ปกรรม และตอ่ ยอดการประยุกตเ์ ชื่อมโยงด้าน อตั ลกั ษณ์ คุณคา่ และมลู คา่ เศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ 3. วจิ ารณ์ศลิ ปะเชื่อมโยงสาขางานศิลปะดา้ นทัศนศิลป์ ออกแบบ หัตถอุตสาหกรรม ภาพถ่ายและงานกราฟกิ คำอธิบายรายวิชา ศึกษาเกยี่ วกับกระบวนการเหน็ คณุ ค่าความงาม การชืน่ ชมรปู แบบศิลปะยุคก่อนสมัยใหม่ สมัยใหม่ หลัง สมัยใหม่ รคู้ ณุ คา่ ทศั นศิลปใ์ นรูปแบบตา่ ง ๆ ประเมินคุณค่างานศิลปกรรม ตามหลักการวจิ ารณ์

4 ลกั ษณะรายวิชา ชอื่ วิชา สนุ ทรียศาสตร์พื้นฐาน รหสั วชิ า 20306-9006 ท-ป-น 2-0-2 เวลาเรยี นต่อภาค 36 ชัว่ โมง รายวชิ าตามหลกั สตู ร พัฒนาหลักสตู รรายวชิ าเป็นสมรรถนะ ชวั่ โมง จุดประสงค์รายวิชา เพ่ือให้ สมรรถนะรายวชิ า 1. เข้าใจเกี่ยวกับประเภท รูปแบบ ต้นกาเนิด 1. แสดงความรู้ ทักษะและเจตคติ 12 12 คณุ คา่ และความงามของงานศลิ ปะ ความสมั พันธ์ ในการทำงาน 12 ระหวางศิลปะกับธรรมชาติ วัฒนธรรม 2. สบื คน้ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับ ชวี ิตประจำวัน สังคมการเมอื งและเศรษฐกิจ กลมุ่ ลัทธิทาง ประเภท รปู แบบ คุณคา่ และความงามของ ศลิ ปะ งานศลิ ปะ ลักษณะของศิลปะร่วมสมัย และการอนุรักษ์ 3. นำเสนอรายงานเกี่ยวกบ ศลิ ปะ ประเภท รปู แบบ คณุ คา่ และความงามของ 2. มีทักษะการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ และ งานศลิ ปะ นำเสนอรายงาน 3. มีกิจนิสัยที่ดีต่อการเรียนรู้ ปฏิบัติงานด้วย ความรับผดิ ชอบ ม่งุ ม่ันสนใจใฝ่ รู้ มีความคดิ สรา้ งสรรค์ สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้ ทกั ษะและเจตคติในการทำงาน 2. สืบค้นข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับประเภท รปู แบบ คุณคา่ และความงามของงานศิลปะ 3. นำเสนอรายงานเกี่ยวกบประเภท รูปแบบ คณุ คา่ และความงามของงานศิลปะ คำอธิบายรายวิชา 36 ศึกษาหลักการ ประเภท รูปแบบ ต้นกาเนิด คุณค่าและความงามของงานศลิ ปะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ศิลปะกับธรรมชาติ วัฒนธรรม ชีวิตประจำวัน สงั คมการเมืองและเศรษฐกิจ กลุ่มลัทธทิ างศิลปะ ลกั ษณะ ของ ศิลปะร่วมสมัย และการอนุรักษ์ศิลปะ สืบค้น ข้อมูลสารสนเทศและนำเสนอรายงาน รวม

5 ตารางวเิ คราะห์คำอธบิ ายรายวิชา รหัสวิชา 20300-1001 ชื่อวิชา สนุ ทรียศาสตรพ์ ้ืนฐาน ท.ป.น. 2-0-2 เวลาเรียนตอ่ ภาค 36 ช่วั โมง คำอธิบายรายวิชา หัวขอ้ เนื้อหา คำอธบิ ายรายวชิ า 1. ประเภท รปู แบบ คุณคา่ และความงาม ศึกษาหลักการ ประเภท รูปแบบ ต้นกา ของงานศิลปะ เนิด คุณค่าและความงามของงานศิลปะ 2. คณุ คา่ ของศิลปะ ความสัมพันธ์ระหว่าง ศิลปะกับธรรมชาติ 3. ความสัมพันธร์ ะหว่าง ศิลปะกบั วัฒนธรรม ชีวิตประจำวัน สังคมการเมืองและ เศรษฐกิจ กลุ่มลทั ธทิ างศิลปะ ลกั ษณะของศลิ ปะ ธรรมชาติ ร่วมสมัย และการอนุรักษ์ศิลปะ สืบค้นข้อมูล 4. ความสมั พันธ์ของศิลปะในชวี ิตประจำวัน สารสนเทศและนำเสนอรายงาน 5. กลมุ่ ลทั ธิทางศิลปะและศลิ ปะรว่ มสมยั 6. การอนุรักษศ์ ลิ ปะ

6 การวเิ คราะห์หลักสตู ร รหัสวชิ า 20300-1001 ชอ่ื วชิ า สุนทรยี ศาสตร์พื้นฐาน ท.ป.น. 2-0-2 เวลาเรยี นต่อภาค 36 ช่วั โมง สมรรถนะรายวชิ า ความรู้(Knowledge) ทกั ษะ(Skill) เจตคต(ิ Attitude) สมรรถนะรายวิชา 1. มีความรู้ในทกั ษะ 1.ปฏิบตั งิ านสบื ค้น - เหน็ คุณค่าในงาน ศิลปะ 1. แสดงความรู้ ทกั ษะ และเจตคตใิ นการ ขอ้ มูลสารสนเทศ และเจตคตใิ นการ ทำงาน เกย่ี วกับประเภท ทำงาน 2. มคี วามรู้เรอื่ งการ รปู แบบ คุณค่าและ 2. สืบค้นข้อมูล สืบค้นข้อมลู สารสนเทศ ความงามของงาน สารสนเทศเก่ียวกับ เกยี่ วกบั ประเภท ศิลปะ ประเภท รูปแบบ รูปแบบ คุณคา่ และ คณุ ค่าและความงาม ความงามของงาน 2. ปฎบิ ัติงาน ของงานศิลปะ ศลิ ปะ นำเสนอรายงานเก่ยี ว 3. นำเสนอรายงาน กบประเภท รปู แบบ เกีย่ วกบประเภท 3. มคี วามรู้เรื่องการ คุณคา่ และความงาม รปู แบบ คุณค่าและ นำเสนอรายงานเกีย่ ว ของงานศิลปะ ความงามของงาน กบประเภท รูปแบบ ศลิ ปะ คณุ คา่ และความงาม ของงานศลิ ปะ

ตารางวเิ คราะห์หลักสตู รรายวชิ า 7 รหสั วิชา 20306-9006 วิชาสนุ ทรียศาสตรพ์ ื้นฐาน (2-0-2) หลกั สูตรระดับประกาศนยี บตั รวิชาชีพ (ปวช.) ครผู ู้สอน นางกรณุ า บญุ ธรรม จุดมุ่งหมาย ระดบั พฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ พทุ ธพิ ิสัย ห ่นวยที่ ความรู้ ความเ ้ขาใจ นำไปใช้ ิวเคราะ ์ห สังเคราะ ์ห ประเมินค่า ัทกษะ ิพสัย จิต ิพสัย รวม ลำ ัดบความสำคัญ จำนวนคาบ ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ 5 5 5 5 5 5 5 5 40 1 กระบวนการเห็นคุณค่าความงาม 2 ศลิ ปะยุคกอ่ นสมัยใหม่ 54231 2 2 19 2 8 3 สมยั ใหม่ 4 ทศั นศิลปใ์ นรปู แบบต่าง ๆ 5411 2 2 15 4 6 5 การประเมนิ คุณคา่ งานศิลปกรรม 5411 2 2 15 4 6 6 7 5 4 1 3 1 1 2 2 19 2 8 8 9 5 4 2 2 2 2 2 2 21 1 8 10 11 25 20 7 10 4 3 10 10 89 36 12 12 63 7833 13 14 แบบท่ี 1 แบบที่ 2 ความหมาย 15 9 - 10 5 สำคัญท่ีสุด 7-8 4 สำคัญมาก รวม 4-6 3 ปานกลาง ลำดับความสำคญั 2-3 2 สำคัญนอ้ ย 0-1 1 นอ้ ยมากหรือไม่สำคญั เลย - น้ำหนักคะแนนความสำคัญของแต่ละหน่วย

8 กำหนดการสอน รหัสวิชา 20300-1001 ช่ือวชิ า สุนทรียศาสตร์พื้นฐาน ท.ป.น. 2-0-2 ชวั่ โมง เวลาเรียนต่อภาค 36 หนว่ ยท่ี ชือ่ หน่วย/รายการสอน สปั ดาหท์ ี่ ช่ัวโมงท่ี มาตรฐานรายวชิ าท่ี 1 กระบวนการเหน็ คณุ ค่าความงาม 1-4 1-8 1 2 ศิลปะยคุ ก่อนสมยั ใหม่ 5-7 9-14 1 3 ศิลปะสมยั ใหม่ 8-10 15-20 1 4 ทัศนศลิ ป์ในรปู แบบต่าง ๆ 11-14 21-28 1 5 การประเมนิ คุณค่างานศลิ ปกรรม 15-18 29-36 1

9 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 1 ชอ่ื หน่วย กระบวนการเหน็ คณุ ค่าความงาม จำนวนชั่วโมง 8 ช่ัวโมง ชอื่ เรอื่ ง กระบวนการเห็นคณุ คา่ ความงาม จำนวนชวั่ โมง 8 ชัว่ โมง .............................................................................................................................................................................................................................. สาระสำคัญ การรบั ร้คู วามงามทางศิลปะ การรับรคู้ วามทางศิลปะ หมายถึง การรวบรวมมวลประสบการณจ์ ากการเหน็ ดว้ ยการสงั เกตรูปแบบของ วตั ถสุ ่งิ ของตา่ งๆ เพือ่ ให้เกดิ ความคิดท่ีจะนำไปถา่ ยทอดรปู แบบบนพน้ื ระนาบผิวตา่ งๆ การรบั รู้เป็นกระบวนการ สืบเนือ่ งจากการสังเกต เพอื่ นำไปสู่การถ่ายทอดในการเขยี นภาพ และยังหมายถงึ การมองเห็นรูปทรงทเ่ี ป็น ศิลปะและพยายามทำความเขา้ ใจกับรูปทรงที่มองเห็นนั้นๆ เปน็ อาการลึกซง้ึ กวา่ กระบวนการใช้สายตาตามปกติ ธรรมดา รูปทรงทีม่ องเหน็ คอื ภาพของผลงานศิลปกรรม อันเปน็ ผลทไี่ ด้จากการจัดองค์ประกอบที่มองเหน็ สง่ิ ต่างๆ เข้าดว้ ยกนั แล้วเห็นไดง้ า่ ยและเด่นชัดขนึ้ การรบั รู้คุณคา่ ของความงามความงามเป็นสงิ่ ทีท่ กุ คน สามารถรับรู้และสัมผัสได้ มนษุ ยเ์ ราต่างกพ็ ึงพอใจในความงาม และมีความสุขเมอ่ื ไดส้ ัมผัสกบั ความงาม จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เข้าใจความหมายของคำว่าศิลปะ 1.1 บอกความหมายของศิลปะไดอ้ ย่างนอ้ ย 5 ความหมาย 1.2 อธบิ ายความคิด เหน็ เกี่ยวกับความหมายของศิลปะในทศั นะต่าง ๆ ได้ 2. เขา้ ใจขอบข่ายของศิลปะ 2.1 บอกได้ว่าขอบขา่ ยของศลิ ปะมีอะไรบ้าง 2.2 อธิบายความหมายของคำวา่ ทัศนศิลป์ได้ 2.3 บอกความหมายของกราฟฟคิ อารต์ 2.4 บอกลกั ษณะของพลาสติก อาร์ตได้ 2.5 อธิบายความหมายของศลิ ปมโนภาพได้ 3. มคี วามรบั ผิดชอบในการทำงาน 3.1 ใหค้ วามรว่ มมือ โดยชว่ ยสรปุ บทเรยี น รายงานหนา้ ชนั้ 3.2 รกั ษาความเป็นระเบียบของห้อง เรียน เนอ้ื หาสาระ ความงามเปน็ สง่ิ ทที่ กุ คนสามารถรับรแู้ ละสัมผัสได้ มนุษยเ์ ราตา่ งกพ็ งึ พอใจในความงาม และมีความสุข เมื่อได้สัมผัสกับความงาม สามารถแบ่งการรับรู้ความงามออกเป็น 3 ลักษณะ คือการรับรู้ความงามได้จาก ภายในตวั วตั ถุ เปน็ การรับร้คู ุณค่าของความงามที่เป็นคุณสมบัติภายในตัววัตถุหรือผลงานศิลปะ ปรากฏให้เห็น ในลักษณะความเหมาะสมของขนาด สัดส่วน รูปร่าง รูปทรง เส้น สี แสงเงา ลักษณะผิว ฯลฯการรับรู้ความ งามได้จากจิตกำหนด เป็นการรับรู้คุณค่าของความงามที่เกิดจากความรู้สึกและจิตใจของแต่ละคนเป็นตัว กำหนดการรับรู้ความงามได้จากสภาวะความสัมพันธ์ของวัตถุและจิตใจ เปน็ การรบั รู้คณุ ค่าของความงามท่ีเกิด จากสภาวะความสัมพนั ธข์ องวตั ถหุ รือผลงานศิลปะท่ีมคี ุณค่าความงามอยู่จรงิ

10 การรับรู้ความงามทางศิลปะ (ความหมายของการรับรู้ความงาม) คำทุกคำมักมีความหมายได้หลายอย่าง ตามความเข้าใจต่าง ๆ กัน ทั้งที่ เขียนเหมอื นกัน คำว่าศิลปะก็เช่นกัน บางทีเขาเรยี กสิ่งน้ีศลิ ปะ สิ่งนั้นไม่ใช่ ศิลปะ (อารี สทุ ธิพนั ธ์,๒๕๒๘:๑๐) ตัวอย่างเช่น นายแดงแต่งตัวมีศิลปะ ท้ังผ้พู ูดและผ้ฟู ังตา่ งเขา้ ใจร่วมกันว่า คงมสี ่ิงหน่งึ สิง่ ใดแฝงอยใู่ นน้นั เอง ท่ีเรียกวา่ ศิลปะ หรอื มศี ิลปะ กจิ กรรมการเรยี นการสอน อธบิ าย บรรยาย นำเขา้ สู่บทเรยี น ซักถามรายบุคคล ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้ - เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ใบงาน - ตัวอย่างภาพสำเร็จ การวัดผลและประเมินผล - พฤติกรรมการเรียน , ความสนใจ ซักถาม ขณะปฏิบัติงานท่ีมอบหมาย - พฤตกิ รรมหลงั เลิกเรยี น ในคาบเรยี น ความสะอาดบรเิ วณโต๊ะเรียนและในชัน้ เรียน บนั ทกึ หลังการสอน นกั เรยี นสามารถรเู้ ข้าใจและปฏบิ ตั ภิ าระงานโดยสามารถบอกประเภท รปู แบบ ของศลิ ปะได้

11 เนือ้ หาสาระ ความหมายของการรับรู้ความงามของมนษุ ย์ ความงามเป็นผลมาจากความรสู้ ึกของมนษุ ย์แต่ละคนอันเนอื่ งมาจากการไดส้ ัมผัสกบั สิง่ ที่มีความงาม สามารถ รับรคู้ วามงามไดม้ ากน้อยตา่ งกัน การตคี วามหมายของความงามจงึ ต่างกันไปตามมุมมอง ดังมปี รัชญาไดใ้ หค้ ำ นยิ ามไว้เช่น โลกราตีส (Socrates) นกั ปรัชญาสมัยอารยธรมกรกี ให้คำนิยามไว้วา่ ความงามคือ “ความเหมาะสมของ สัดสว่ น” โดยถือวา่ ความวามนั้นต้องมีขนาดและสัดส่วนทีส่ มั พันธก์ นั จนกรีกโบราณยึดถือเป็นเกณฑ์เรอื่ ง สดั สว่ นของความงามเช่น ความงามของคนแบ่งออกเปน็ 8 สว่ น โดยนบั ศีรษะเป็นสัดสว่ นที่ 1 ความงามของ อาคารมสี ดั ส่วน 1:3:5 คอื สงู 1 สว่ น กว้าง 3 ส่วน ยาว 5 สว่ น ดังจะเหน็ ได้จากวิหารพารเ์ ธนอน ปัจจุบันความหมายให้คำนยิ ามนก้ี ็ยงั ชไ้ ดอ้ ยู่ ซง่ึ เราจะเห็นได้จากการออกแบบเครอ่ื งเรอื นที่ตอ้ งคำนงึ ถึงความ เหมาะสมของสัดส่วนระหวา่ งเครื่องเรือนกคั นดว้ ย อริสโตเตลิ (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรกี ได้ใหค้ ำนิยามไวว้ ่า ความงามคือ “การเลยี นแบบ” โดยกลา่ วว่า ความงามนนั้ เป็นแบบทมี่ ีอยแู่ ล้วในสรรพส่ิงทม่ี ีอยู่บนโลกน้ี แนวคิดนีส้ ่งผลให้ศิลปินกรีกแสดงความงามของเทพ เจา้ เปน็ ประตมิ ากรรมในรูปของมนุษย์ โดยมุ่งเนน้ ความสมบูรณข์ องรูปร่างทรวดทรง ศลิ ปินทย่ี ดึ ถอื นยิ ามน้ี นยิ มสรา้ งงานศลิ ปะในลักษณะเลยี นแบบเหมือนจรงิ (Realistic) เฮอรเ์ บริ ด์ รีด (Herbert Read) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ให้นิยามไว้วา่ ความงาม คอื “ความงามเป็นเอกภาพ ทส่ี มบูรณ์ในองคป์ ระกอบศิลป”์ นนั่ ก็คือความงามทเ่ี กดิ ขึ้นในผลงานศิลปะ โดยการนำทศั นธาตุทางศลิ ปะมาจัด องค์ประกอบศิลปใ์ หม้ ีความสมบูรณ์

12 บนั ทึกผลหลังการสอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… (นางกรณุ า บุญธรรม) ครูประจำวิชา

13 แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 2 ชื่อหนว่ ย ศลิ ปะยุคก่อนสมยั ใหม่ จำนวนชวั่ โมง 8 ชัว่ โมง ชอ่ื เรอื่ ง ศิลปะยคุ ก่อนสมัยใหม่ จำนวนชว่ั โมง 8 ชว่ั โมง ................................................................................................................................................................................................................... สาระสำคัญ ศลิ ปะยุคก่อนประวัตศิ าสตร์ ความรเู้ บ้อื งตน้ เกย่ี วกบั ปะวัติศาสตร์ศลิ ป์ ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปแ์ ยกได้เป็น 2 คำ คอื ประวตั ิศาสตร์ (History) และศิลป์ (Art)ประวตั ศิ าสตร์ (History) หมายถงึ วชิ าว่าดว้ ยความเปน็ มาของมนษุ ยท์ เ่ี กิดขึน้ ในอดีตจนถึงปจั จุบัน ศลิ ป์ (Art) มคี วามหมายกว้างขวางตามแนว และทศั นะของนกั ปรัชญาของแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมัย แตจ่ ะ อยา่ งไรกต็ ามเราพอจะสรปุ ความหมายของศลิ ปะในแนวกว้าง ๆ คอื ศลิ ปะคอื สงิ่ ท่ีมนษุ ยส์ ร้างสรรค์ข้ึน เพ่อื แสดงออกซ่ึงอารมณ์ ความรู้สกึ ปญั ญา ความคดิ และความงาม ประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการศึกษาประวัติศาสตร์ศลิ ป์ ประวัติศาสตรศ์ ิลปบ์ อกให้เราทราบถงึ การสร้างสรรค์ และวิวฒั นาการศิลปะของมนษุ ยชาติ ตัง้ แตย่ ุคกอ่ น ประวตั ศิ าสตร์ถึงยคุ ปัจจุบนั เราไดศ้ ึกษาแบบอย่างงานศิลปะ ความเคลือ่ นไหว ความเพยี รพยายามในการ สรา้ งสรรค์ ความเปลย่ี นแปลงของศลิ ปกรรมของแตล่ ะยคุ เป็นแบบอยา่ งเพ่ือการพฒั นา นำไปสกู่ ารยกระดับ คุณภาพของงานศลิ ปะในยุคปัจจุบัน นอกจากนั้น การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรศ์ ิลป์ ชว่ ยให้เกิดความซาบซึง้ ใน คณุ ค่าของงานศิลปะ มีความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของมวลมนษุ ย์ท้งั โลก จดุ ประสงค์การสอน 1. เข้าใจแนวทางการประเมินคุณค่าทางศิลปะ 2. เข้าใจคุณค่าของงานวิจิตรศิลป์ 3. ซาบซ้งึ ในคุณคา่ ของผลงานทางศลิ ปะประเภทตา่ ง ๆ เนือ้ หาสาระ ศิลปะตะวนั ตก ศิลปะตะวันตก หมายถึง ศิลปกรรมของกลุ่มประเทศในยุโรป (ปัจจุบันรวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย) มี รากฐานมาจากศลิ ปะของอยี ปิ ต์ และกรกี ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคโบราณของโลก และพัฒนาขึน้ มาภายใต้อิทธิพล ของครสิ ตศ์ าสนา เป็นต้นแบบของศิลปะสากลในปจั จบุ นั ประวัติศาสตรข์ องยโุ รปแบง่ อยา่ งกวา้ ง ๆ ได้เปน็ 4 ยคุ คอื 1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic)

14 2. ยุคโบราณ (Ancient Age) 3. ยคุ กลาง (Middle Age) 4. ยุคใหม่ (Modern Age) กิจกรรมการเรยี นการสอน อธิบาย บรรยาย นำเข้าสบู่ ทเรยี น ซักถามรายบคุ คล สื่อและแหลง่ การเรียนรู้ - เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ใบงาน - ตัวอยา่ งภาพสำเร็จ การวัดผลและประเมนิ ผล - พฤติกรรมการเรยี น , ความสนใจ ซกั ถาม ขณะปฏิบตั ิงานที่มอบหมาย - พฤติกรรมหลงั เลิกเรียน ในคาบเรยี น ความสะอาดบริเวณโต๊ะเรียนและในช้นั เรยี น บันทกึ หลังการสอน นักเรียนสามารถร้เู ข้าใจและปฏบิ ัติภาระงานโดยสามารถบอกความสำคัญของคุณคา่ ของศลิ ปะได้

15 เน้ือหาสาระ 1. ยคุ ก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic) ประมาณ 40,000 ปี – 4,000 ปี กอ่ น ค.ศ. ศิลปะอียปิ ต์ (Egyptian Art) เรือ่ งราวอารยธรรมของอยี ปิ ต์ เกิดข้ึนเมอื่ ประมาณ 4,000 ปีกอ่ น ค.ศ. เป็นยคุ ก่อน ประวตั ศิ าสตร์ และก่อน ราชวงศ์(Pre-dynastic) ของอียิปต์ ชาวอยี ปิ ตไ์ ด้สรา้ งศลิ ปวัฒนธรรมขนึ้ เพอื่ ให้สอดคล้องกับปรัชญาในดา้ น คุณธรรม และตอบสนองความเชอ่ื วา่ วญิ ญาณของคนตายจะกลับคืนสูร่ า่ งกายใหม่ จึงเป็นมูลเหตขุ องการทำ มัมม่ี (mummy) หีบบรรจศุ พทำดว้ ยหิน สรา้ งอาคารรูปทรงพรี ะมดิ (Pyramids) ซงึ่ เปน็ สงิ่ กอ่ สร้างทีใ่ หญ่ท่ีสดุ อยทู่ ี่เมอื งกีซา ในกรงุ ไคโร ภายในพรี ะมดิ เปน็ ทีบ่ รรจุพระศพกษัตรยิ ์คฟู ู (Khufu) ฐานพรี ะมดิ ยาวดา้ นละ 756 ฟุต สูง 481 ฟุต กนิ เนอ้ื ท่ี 32 ไร่ สรา้ งดว้ ยหนิ นักกวา่ ก้อนละ 2 ตนั จำนวน2,500,000 กอ้ นประมาณวา่ ใช้กำลงั คน 1,000,000 คน ผลัดกนั สรา้ งทงั้ กลางวัน และกลางคืน ใช้เวลาราว 20 ปี จึงเสร็จ ภายในห้อง พีระมดิ นอกจากจะบรรจุพระศพของกษัตริยแ์ ล้ว ยงั เป็นท่เี ก็บทรพั ยส์ มบัตอิ ันมีคา่ ผนงั ภายในตกแต่งด้วย ภาพเขยี นสี บรรยายด้วยอกั ษรโบราณ ทำใหท้ ราบถงึ ชีวติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนยี มประเพณี และ วฒั นธรรมของชาวอยี ิปตช์ าวอยี ปตย์ ุคก่อนประวัตศิ าสตรไ์ ด้เปน็ อยา่ งดี 2. ยคุ โบราณ (Ancient Age) ประมาณ 1,400 ปี กอ่ น ค.ศ. –ค.ศ. 100 ศิลปะตะวันออกใกล้ (Ancient Near Eastem Aft) อียปิ ต์พัฒนาอารยธรรมเจริญรุ่งเรอื่ งสดุ ขีดในลุ่มแมน่ ำ้ ไนล์ สว่ นทางฝง่ั ตะวันออกของทะเล เมดเิ ตอรเ์ รเนียน ดนิ แดนแถบแม่น้ำไทกรสี และยูเฟรทสี ได้แกด่ นิ แดนบางสว่ นของประเทศอิหร่าน ซเี รยี จอรแ์ ดน และ ซาอุดีอาระเบียในปัจจุบนั เรยี กว่าแควน้ เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) หมายถงึ ดินแดนในลุ่มแมน่ ้ำสองสาย ชนชาติดังกลา่ วมอี ารยธรรมที่เจริญรุ่งเรอื งเช่นเดียวกนั ประเทศท่อี ยใู่ นวฒั นธรรมนี้ไดแ้ ก่ สเุ มเรียน บาบโิ ล เนยี น อัสซเิ รยี น เปอร์เซีย ลักษณะศิลปกรรมของสเุ มเรยี นมคี วามแตกตา่ งจากศิลปกรรมอยี ปิ ต์ คอื อยี ปิ ต์ใชห้ ินเป็นวสั ดกุ อ่ สร้าง ส่วนสุเมเรยี นใชอ้ ฐิ เผาก้อนใหญ่ ๆ มาเรียงกัน ดงั น้นั สถาปัตยกรรมส่วนใหญจ่ ึงมีอิฐเปน็ โครงสรา้ งหลัก สถาปตั ยกรรมของสเุ มเรียนที่รจู้ กั กนั มากทสี่ ุดคือวหิ ารใหญ่เรยี กว่า ซกิ รู ตั (Zigurat) เปน็ หอสูงแบบตกึ ระฟ้า มี ทางเดนิ เปน็ บนั ไดวน เปน็ สถานที่สำหรับทำพิธที างศาสนา ศลิ ปะบาบิโลน อยู่ชว่ ง 700 ปี ก่อน ค.ศ. มสี ่ิงกอ่ สรา้ งทมี่ ชี อ่ื เสยี งมาก และเปน็ ท่รี ู้จักโดยทวั่ ไปคอื สวนลอยแห่งบาบิโลน โดยสรา้ งสวนใหส้ งู จากพื้นดิน ใชอ้ ฐิ ซอ้ นกนั ขึ้นไป วางผังลดหลนั่ กนั และมีความสลบั ซับซ้อน ตามซมุ้ ประตตู ่าง ๆ ประดบั ดว้ ย ภาพสลกั ขนาด มหึมา ปัจจบุ ันสวนแห่งนถี้ กู ทบั ถมปรกั หักพังไปหมดแลว้ เหลือเฉพาะฐานรากบางสว่ นเท่านน้ั ศลิ ปะอสั ซิเรียน อยูใ่ นชว่ ง 900 ปี ก่อน ค.ศ. ศลิ ปกรรมงานแกะสลักท่มี ีชอื่ เสยี ง เป็นรูปสงิ โตกำลงั กัดเดก็ หนมุ่ พบในพระราชวังเมอื งนมิ รดุ ในอสั ซิเรยี งาน ชนิ้ น้ปี ัจจบุ นั อยใู่ นพพิ ธิ ภณั ฑบ์ ริตซิ กรงุ ลอนดอนประเทศอังกฤษ ประตมิ ากรรมลอยตัวชน้ิ สำคัญที่ตดิ ตง้ั ตาม ทางเขา้ พระราชวงั มีขนาดใหญโ่ ต เปน็ รปู สิงโตมปี กี (Winged Lion) สว่ นงานสถาปตั ยกรรมของอสั ซเิ รยี น มี

16 อาคารกอ่ อิฐเปน็ โครงสร้างหลกั เป็นรูปโคง้ รับน้ำหนักและใชอ้ ิฐและหินก่อเป็นกำแพง ตกแต่งภายในดว้ ยภาพ จติ รกรรมฝาผนงั และกระเบือ้ งเคลอื บเปน็ รปู สงิ โต ศลิ ปะเปอร์เซยี อยูใ่ นชว่ ง 1,000 ปกี อ่ น ค.ศ. อารยธรรมของเปอร์เซียมีชอื่ เสยี งโดดเดน่ ในด้านสถาปัตยกรรมทมี่ กี ารตกแตง่ ภายในอย่างสวยงาม มงี าน ประตมิ ากรรมใช้ในการตกแต่งสถาปตั ยกรรม ได้แก่ เสาหนิ ววั คู่ ประดบั พระราชวงั ท่ีเมืองเปอร์เซโปลิส (Persepolis) ศลิ ปะกรกี (Greek Art) ชาวกรกี เปน็ มนษุ ยเ์ ผ่าพันธ์ุอนิ โด-ยโู รเปียนท่อี พยพเคล่อื นยา้ ยลงสูแ่ หลมบอลข่าน ต้ังแตย่ คุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ จนกระทง่ั 2,000 ปี กอ่ น ค.ศ. จึงไดต้ ้งั หลกั ทเี่ ป็นประเทศกรซี ในปจั จุบนั ประกอบดว้ ย 2 รัฐใหญ่ทสี่ ำคญั คือ เอเธนส์ และสปาตา ชาวกรีกมกี ารศึกษาศิลปวทิ ยาจนมคี วามเจรญิ ทางด้านวิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ ปรัชญา และการปกครอง ศิลปกรรมกรกี มคี วามเจรญิ สงู สดุ เป็นแบบฉบับในทางศิลปะของมนุษยชาตติ ้ังแต่ยุค โบราณจนถงึ ปจั จุบนั ศิลปกรรมของกรกี ท่สี ำคัญไดแ้ ก่ งานสถาปตั ยกรรม อาทิ วิหาร สนามกฬี า หอประชุม และสถานที่ แสดงอุปรากร วิหารท่ีมีช่อื เสยี งที่สุดคือ วหิ ารพารเ์ ธนอน (Parthenon) สรา้ งด้วยหนิ ออ่ นสีขาว มีความ งดงามมากแมจ้ ะสรา้ งมาแล้วเป็นเวลานานกว่า2,000 ปี ก็ไมม่ ที ต่ี วิ ่าควรจะแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งสว่ นใดส่วนหนึ่ง ของวิหารพารเ์ ธนอน ภายในวหิ ารตกแตง่ ดว้ ยภาพแกะสลักอยา่ งวิจิตรงดงาม งานสถาปตั ยกรรมกรกี แบ่งตามลักษณะหัวเสา 3 แบบใหญ่ ๆ คอื 1. แบบดอรกิ (Doric) 2. แบบไอโอนกิ (Ionic) 3. แบบคอรินเทียน (Corinthian) งานทางดา้ นประตมิ ากรรมของกรกี นิยมสรา้ งสรรค์แนวเหมอื นจรงิ (Realistic) โดยเฉพาะสรรี ะของ คนเรา ชาวกรีกถอื ว่ามีความงดงามยิง่ ชาวกรีกจึงนยิ มปั้นและแกะสลกั รปู คนเปลือยกายไวม้ ากมาย งาน ประติมากรรมลอยตวั ทีม่ ีชอ่ื เสียง ไดแ้ ก่ เทพธดิ าวนี ัส (Venus) รปู เทพเจ้าอพอลโล (Apollo) รูปนักกีฬาไมรอน (Myron) ประตมิ ากรรมโลหะสมั ฤทธ์ิรูปเด็กหนุม่ เปน็ รปู เปลอื ยที่มสี ่วนสัดของร่างกาย ตลอดจนการจัดวาง ท่วงท่าไดอ้ ยา่ งงดงาม ศลิ ปะโรมนั (Roman Art) ศลิ ปะโรมันสว่ นใหญ่ได้รบั อทิ ธพิ ลจากกรีก ซึง่ มอี งคป์ ระกอบทปี่ ระณตี งดงาม แต่ศลิ ปะของโรมันเน้น ความใหญ่โตมโหฬาร มคี วามหรูหรา สงา่ งาม ม่นั คงแข็งแรง สถาปัตยกรรมโรมันมีชื่อเสียงมาก โรมันเปน็ ชาติแรกทค่ี ดิ คน้ สร้างคอนกรตี ได้ สามารถใช้คอนกรีตหลอ่ ข้ึนเปน็ โครงสรา้ งรปู โดมช่วยทำใหก้ ารก่อสร้าง อาคารมีขนาดใหญ่ขึน้ สถาปัตยกรรมของโรมนั ที่มีชอื่ เสียงไดแ้ ก่ วิหารแพนเธออน (Pantheon) โคลอสเซียม (Colosseum) เปน็ สนามกฬี ารปู กลมรขี นาดใหญ่มหึมาสามารถจคุ นดูได้ถงึ 50,000คน นอกจากงาน สถาปัตยกรรมดงั กล่าวแลว้ ชาวโรมนั ยังสรา้ งสะพานโคง้ ขา้ มแมน่ ้ำและสง่ น้ำขา้ มหบุ เขาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ส่งิ ก่อสรา้ งทม่ี ีชื่อเสียงและเปน็ ท่ีรู้จกั กันทัว่ โลก คอื ประตชู ัย (Arch of Triumph) สรา้ งขนึ้ เพอ่ื สรรเสรญิ และ ฉลองชยั ของทหารโรมัน โดยสร้างเปน็ ประตโู คง้ ขนาดใหญส่ ำหรบั ใหท้ หารเดนิ ทัพผ่านเมอื่ ออกสงครามหรอื ภายหลงั ไดร้ ับชยั ชนะ ประดบั ดว้ ยภาพประติมากรรมนูนสูงอยา่ งสง่างาม งานประติมากรรมของโรมันมีไมม่ าก สว่ นใหญ่ขนยา้ ยมาจากกรกี มีการสรา้ งสรรค์ขนึ้ เองบ้างแตเ่ ปน็ ส่วน นอ้ ยนอกนัน้ ทำเลียนแบบกรกี ท้ังหมด ผลงานที่พบในกรงุ โรมไดแ้ ก่ ภาพเลาคูนกับบตุ รชายกำลงั ถกู งูกดั เป็น

17 ผลงานทน่ี ำมาจากกรีก นอกน้ันได้แก่ภาพประตมิ ากรรมของบคุ คลสำคญั ในยคุ นนั้ เชน่ รปู จูเลียสซซี าร์ รปู จกั รพรรดิออกัสตสั รปู จักรพรรดคิ าราคัลลา รูปจกั รพรรดเิ นโร เป็นต้น งานจติ รกรรมของโรมนั มีการค้นพบภาพเขยี นจติ รกรรมฝาผนงั ทย่ี งั อยใู่ นสภาพดีมากมาย สว่ นใหญเ่ ปน็ ภาพทแ่ี สดงถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันของชาวโรมันนอกนั้นเปน็ ภาพในเทพนยิ าย เหตกุ ารณ์ในประวัตศิ าสตร์ ลกั ษณะของภาพยังมคี วามงามที่สมบรู ณ์ เป็นภาพเขียนสแี ละประดบั ด้วยหินสี (Mosaic) อยา่ งประณตี สวยงาม ศลิ ปะไบแซนไทน์ (Byzantine Art) ประมาณ ค.ศ. 455 ศิลปะไบแซนไทนเ์ ป็นศิลปะทม่ี ีลักษณะเช่ือมโยงความคดิ และรปู แบบระหว่างตะวันตกกับตะวันออกเข้า ด้วยกัน มศี ูนย์กลางอยทู่ ี่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ศลิ ปะมลี กั ษณะใหญโ่ ต คงทนถาวร ประดับตกแต่งดว้ ยการใช้ พ้นื ผวิ (Texture) อยา่ งหลากหลาย งานสถาปตั ยกรรมท่โี ดดเด่นที่สุดของไบแซนไทน์ คอื การทำหลงั คาเปน็ รปู กลม (Cupula) ตา่ งจากหลงั คาของศลิ ปะโรมนั ท่ที ำเป็นรปู โค้ง (Arch) หลงั คากลมแบบไบแซนไทน์ ภายนอก เรยี กวา่ โดม (Dome) หลังคากลมชว่ ยใหส้ ามารถสร้างอาคารได้ใหญโ่ ตมากขึน้ สิ่งกอ่ สร้างท่เี ปน็ แบบฉบับของ ศิลปะดังกลา่ ว ไดแ้ ก่ โบสถเ์ ซนต์โซเฟยี ในกรงุ คอนสแตนติโนเปลิ โบสถเ์ ซนต์มารโ์ ค ที่เมืองเวนสิ ประเทศ อติ าลี 3. ยคุ กลาง (Middle Age) ประมาณ ค.ศ. 300 – ค.ศ. 1300 ความเจรญิ ทางด้านศลิ ปะในยุคกลาง เปน็ การสรา้ งสรรค์โดยวดั และครสิ ตศ์ าสนกิ ชน ซึ่งมคี วามมัน่ คงทาง เศรษฐกจิ และศิลปวทิ ยา ศิลปะของครสิ ต์ศาสนาจงึ เจริญรุง่ เรือง โดยเฉพาะส่งิ ก่อสรา้ งท่เี กยี่ วกบั วดั คาทอลิก มี ลกั ษณะแตกตา่ งกนั ออกไปตามแต่ละท้องถนิ่ แต่ส่วนใหญส่ ่ิงกอ่ สร้างจะมขี นาดเลก็ ลง นยิ มสรา้ งดว้ ยหนิ และปู ผิวดว้ ยอฐิ สรา้ งสสุ านดว้ ยการเจาะหินหน้าผา กลุ่มศลิ ปะทอ่ี ย่ใู นยคุ กลางไดแ้ ก่ ศลิ ปะโกตกิ สมัยฟื้นฟู ศิลปวิทยา ศลิ ปะบารอก และรอกโกโก ศลิ ปะโกติก (Gothic Art) ศลิ ปะโกติกนิยมแสดงเรอ่ื งราวทางศาสนาในแนวเหมือนจริง (Realistic Art) ไมใ่ ชส้ ัญลกั ษณ์เหมอื นศิลปะ ยุคกอ่ น งานสถาปตั ยกรรมมีโครงสร้างทรงสงู มยี อดหอคอยรปู ทรงแหลมอยูข่ ้างบน ทำให้ตัวอาคารมรี ปู รา่ ง สงู ระหงขนึ้ ส่เู พดาน ซุ้มประตู หนา้ ตา่ ง ชอ่ งลม มีส่วนโคง้ แปลกกวา่ ศลิ ปะแบบใด ๆ ศลิ ปะสมัยฟืน้ ฟูศลิ ปวทิ ยา (Renaissance Art) สงครามครูเสดนำความเปล่ียนแปลงมาสู่ยโุ รปตะวันตกอย่างใหญ่หลวง ระบอบการปกครองแบบศกั ดนิ า หมดส้นิ ไป แวน่ แคว้นต่าง ๆ เรม่ิ มคี วามเปน็ อิสระ ศิลปนิ ไดน้ ำเอาแบบอยา่ งศิลปะชน้ั สงู ในสมยั กรกี และโรมนั มาสร้างสรรค์ไดอ้ ย่างอสิ ระเต็มท่ี งานสถาปตั ยกรรมมีการก่อสรา้ งแบบกรีกและโรมนั เป็นจำนวนมาก ลักษณะ อาคารมีประตูหนา้ ต่างเพม่ิ มากขน้ึ ประดบั ตกแต่งภายในดว้ ยภาพจติ รกรรมและประตมิ ากรรมอย่างหรูหรา สง่างาม งานสถาปตั ยกรรมทย่ี งิ่ ใหญใ่ นสมยั นน้ั ฟ้ืนฟูศิลปวิทยา ไดแ้ ก่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter) ใน กรุงโรม เป็นศนู ย์กลางของคริสตศ์ าสนาโรมนั คาทอลกิ วหิ ารนี้มีศิลปินผูอ้ อกแบบควบคมุ งานก่อสรา้ งและลง มอื ตกแตง่ ด้วยตนเอง ตอ่ เน่ืองกันหลายคน เช่น โดนาโต บรามนั โต (Donato Bramante ค.ศ. 1440 –

18 1514)ราฟาเอล (Raphel ค.ศ. 1483 – 1520) ไมเคิล แองเจลโล (Michel Angelo ค.ศ. 1475 – 1564) และโจวนั นิ เบอร์นนิ ี (Giovanni Bernini ค.ศ. 1598 – 1680) งานจติ รกรรมและประตมิ ากรรมในสมยั ฟ้ืนฟศู ลิ ปวิทยา ศลิ ปินสรา้ งสรรคใ์ นรูปความงามตามธรรมชาติ และความงามทเ่ี ป็นศิลปะแบบคลาสสิกทเี่ จริญสงู สดุ ซ่ึงพัฒนาแบบใหม่จากศิลปะกรีกและโรมนั ความสำคัญ ของศิลปะสมยั ฟ้ืนฟู มีความสำคัญตอ่ การสรา้ งสรรคศ์ ิลปะเกือบทกุ สาขา โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนภาพ การ ใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (Composition) หลกั กายวภิ าค (Anatomy) การเขียนภาพทศั นยี วทิ ยา (Perspective Drawing) การแสดงออกทางศลิ ปะมีความสำคญั ในการพฒั นาชวี ติ สังคม ศาสนาและวฒั นธรรม จดั องคป์ ระกอบภาพใหม้ ีความงาม มคี วามเปน็ มติ ิ มคี วามสมั พนั ธก์ ับการมองเห็น ใชเ้ ทคนิคการเน้นแสงเงาให้ เกิดดุลยภาพ มีระยะตนื้ ลกึ ตดั กนั และความกลมกลืน เนน้ รายละเอยี ดได้อย่างสวยงาม ศลิ ปนิ ท่สี ำคญั ในสมยั ฟ้ืนฟูศิลปวิทยาท่สี รา้ งสรรคง์ านไวเ้ ปน็ อมตะเปน็ ทีร่ ู้จักกันทัว่ โลก ไดแ้ ก่ เลโอนารโ์ ด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ผู้เปน็ อัจรยิ ะทัง้ ในด้านวิทยาศาสตร์ แพทย์ กวี ดนตรี จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปตั ยกรรม ผลงานท่มี ีชือ่ เสยี งของดาวินชี ไดแ้ ก่ ภาพอาหารมอ้ื สุดทา้ ยของพระเยซู (The last Supper) ภาพพระแมบ่ น ก้อนหนิ (The Virgin on the Rock) ภาพพระแมก่ ับเซนตแ์ อน (The Virgin and St. Anne) และภาพหญงิ สาวผมู้ รี อยยม้ิ อันลกึ ลบั (mystic smile) ทโี่ ดง่ ดังไปทว่ั โลก คอื ภาพโมนาลซิ า (Mona Lisa) ไมเคิล แองเจลโล (Michel Angelo) เปน็ ศลิ ปินผู้มีความสามารถ และรอบรู้ในวิทยาการแทบทกุ แขนง โดยเฉพาะรอบรู้ในดา้ นจิตรกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปัตยกรรม เปน็ สถาปนิกผู้ร่วมออกแบบและควบคมุ การกอ่ สร้างมหาวิหารเซนต์ปเี ตอร์ งานประตมิ ากรรมสลักหินอ่อนท่ีมชี ื่อเสยี งและเปน็ ผลงานชน้ิ เอก ได้แก รูป โมเสส (Moses) ผ้รู ับบัญญตั สิ ิบประการจากพระเจ้า รปู เดวิด (David) หนมุ่ ผมู้ ีเรอื นรา่ งทง่ี ดงาม รูปพเิ อตตา (Pietta) แม่พระอุ้มศพพระเยซอู ยูบ่ นตกั ภาพเขยี นของไมเคิล แองเจลโลชิน้ สำคัญทสี่ ุด เปน็ ภาพบนเพดานและ ฝาฝนังของโบสถ์ซสิ ติน (Sistine) ในพระราชวังวาติกัน ประเทศอิตาลใี นปจั จุบนั ราฟาเอล (Raphael) เปน็ ผหู้ นึง่ ทร่ี ว่ มออกแบบ ควบคุมการก่อสรา้ ง และตกแตง่ มหาวิหารเซนต์ปเี ตอร์ มี ผลงานจติ รกรรมท่ีสำคญั เป็นจำนวนมาก ที่มชี อื่ เสียงและเปน็ ท่รี ้จู กั โดยทั่วไป ไดแ้ ก่ ภาพแม่พระอมุ้ พระเยซู (Sistine Madonna) ภาพงานรนื่ เริงของทวยเทพ (Galatea) ศิลปะสมัยฟื้นฟศู ลิ ปวทิ ยาแพรห่ ลายออกไปจาก ประเทศอิตาลสี ปู่ ระเทศต่าง ๆ ในยโุ รปตะวนั ตกอยา่ งรวดเรว็ และมีอทิ ธิพลตอ่ ศิลปะในประเทศนนั้ ๆ อยา่ ง มากมาย ทำใหเ้ กดิ สกุลศิลปะ และศลิ ปนิ ที่สำคัญในท้องถิ่นนนั้ ๆ เปน็ จำนวนมาก ผลงานอันยงิ่ ใหญ่เหล่านี้ เรากลา่ วได้ว่ามนษุ ยชาตเิ ป็นหน้บี ญุ คุณบรรพชนแหง่ สมัยฟน้ื ฟศู ลิ ปวทิ ยาอยู่จนปัจจบุ ันนี้ ศลิ ปะบารอกและรอกโกโก (Baroque and Rococo Art) คำว่า Baroque และ Rococo ในปัจจบุ ัน หมายถงึ สิ่งท่มี ีการตกแต่งประดับประดาด้วยเครื่อง อลังการ วิจติ รพิสดารจนเกินงามเปน็ ศิลปะตอนปลายสมยั ฟ้ืนฟูศลิ ปวิทยาเชือ่ มต่อกับศลิ ปะยุคใหม่ ศลิ ปะแบบ บารอกและรอกโกโก เปน็ ลักษณะการจดั องค์ประกอบของศลิ ปะทีเ่ นน้ รายละเอียดส่วนยอ่ ยอย่างฟมุ่ เฟอื ย โดยเฉพาะการใชส้ ่วนโคง้ สว่ นเวา้ งานจติ รกรรม และประตมิ ากรรม ยงั คงเนน้ รปู ร่าง รปู ทรงธรรมชาติ (Realistic) แตใ่ ช้สรี ุนแรงขน้ึ งานสถาปัตยกรรมประกอบดว้ ยเสน้ โค้งมนตกแต่งโครงสรา้ งเดิม มีลวดลายออ่ น ช้อย งดงาม อาคารทถี่ อื เป็นแบบฉบบั ของศิลปะบารอก และรอกโกโก ได้แก่ โบสถเ์ ซนต์แอกเนส (Church of St. Agnese) โบสถเ์ ซนต์คาร์โล (Church of St. Carlo) ท่กี รุงโรม พระราชวงั แวรซ์ าย (Versailes palace) ในประเทศฝรง่ั เศส โบสถท์ ั่วไปในยโุ รปตอนเหนือ เช่นในประเทศเนเธอรแ์ ลนดแ์ ละประเทศเยอรมนี เป็นตน้

19 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 ชอื่ หน่วย ศิลปะสมยั ใหม่ จำนวนช่ัวโมง 6 ชวั่ โมง ชอื่ เรื่อง ศิลปะสมยั ใหม่ จำนวนชวั่ โมง 6 ชว่ั โมง ......................................................................................................................................................................................................................................... สาระสำคัญ รปู แบบศลิ ปะสมยั ใหม่ ยคุ ใหม่ (Modern Age) ค.ศ. 1800 - ปจั จบุ นั ศลิ ปะสมยั ใหม่ (Modern Art) เริม่ ขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในประเทศฝร่ังเศส สบื เนือ่ งจากความ เจรญิ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มผี ลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะอยา่ งขนานใหญ่ ทัง้ รปู แบบและ จุดประสงค์ โดยเฉพาะสร้างสรรค์งานจติ รกรรม ศลิ ปนิ ยุคใหมต่ ่างพากันปลกี ตัวออกจากการยดึ หลักวชิ าการ (Academic) ซึ่งเปน็ กฎเกณฑ์ท่มี รี ากฐานมาจากศิลปะกรกี และโรมัน มาใชค้ วามร้สู กึ นึกคดิ และความคิด สรา้ งสรรคข์ องแต่ละคนอย่างอิสระ แยกศลิ ปะออกจากศาสนาโดยสน้ิ เชงิ ศิลปะจึงเป็นเรื่องสว่ นตัวของบุคคล อย่างแท้จริง ใชส้ ทิ ธิเสรภี าพในการแสดงออกอย่างเตม็ ที่ จงึ ทำใหเ้ กิดรปู แบบศิลปะใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ท้งั ใน ยุโรปและสหรฐั อเมรกิ า จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เข้าใจความหมาย ของศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art 2. เขา้ ใจความสำคญั ของศลิ ปะสมัยใหม่ (Modern Art) ต่อการสรา้ งสรรค์ศลิ ปะ 3. มีทศั นคติที่ดีตอ่ การทำงานเปน็ กลมุ่ ความต้ังใจ เนอ้ื หาสาระ ยคุ ใหม่ (Modern Age) ค.ศ. 1800 - ปจั จบุ ัน ศิลปะสมยั ใหม่ (Modern Art) เริ่มขนึ้ ตอนปลายศตวรรษท่ี 18 ในประเทศฝรั่งเศส จึงทำให้เกดิ รูปแบบศลิ ปะ ใหม่ ๆ ข้นึ มากมาย ทัง้ ในยโุ รปและสหรฐั อเมริกา ดงั จะไดก้ ล่าวพอสงั เขปดงั นี้ ศลิ ปะแบบนโี อคลาสสิก (Neo-Classic) ศลิ ปะแบบโรแมนติก (Romanticism) ศลิ ปะแบบเรียลิสม์ (Realism) ศลิ ปะแบบอมิ เพรสชนั นิสม์ (Impressionism)

20 ศิลปะแบบโพสต์ – อิมเพรสชนั มสิ ม์ (Post-Impressionism) ศิลปะสมยั ใหมใ่ นศตวรรษที่ 20 ส่ือและแหลง่ การเรยี นรู้ - เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ใบงาน - ตัวอยา่ งภาพสำเรจ็ การวดั ผลและประเมินผล - พฤตกิ รรมการเรียน , ความสนใจ ซักถาม ขณะปฏิบตั งิ านท่ีมอบหมาย - พฤติกรรมหลงั เลิกเรยี น ในคาบเรยี น ความสะอาดบริเวณโตะ๊ เรียนและในชั้นเรยี น บันทึกหลงั การสอน นกั เรียนสามารถร้เู ข้าใจและปฏิบัติภาระงานโดยสามารถบอกความแตกตา่ งและความสัมพันธ์ของศิลปะ กบั ธรรมชาติได้

21 เน้ือหาสาระ ยุคใหม่ (Modern Age) ค.ศ. 1800 - ปจั จบุ นั ศลิ ปะสมยั ใหม่ (Modern Art) เริม่ ข้นึ ตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในประเทศฝรั่งเศส สืบเน่ืองจากความเจริญ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มผี ลทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทางศลิ ปะอย่างขนานใหญ่ ทง้ั รูปแบบและ จดุ ประสงค์ โดยเฉพาะสรา้ งสรรค์งานจิตรกรรม ศลิ ปินยุคใหม่ตา่ งพากนั ปลกี ตัวออกจากการยดึ หลกั วิชาการ (Academic) ซงึ่ เปน็ กฎเกณฑท์ ่ีมรี ากฐานมาจากศิลปะกรกี และโรมนั มาใช้ความรู้สกึ นึกคิดและความคิด สรา้ งสรรค์ของแต่ละคนอยา่ งอิสระ แยกศิลปะออกจากศาสนาโดยสนิ้ เชิง ศิลปะจงึ เป็นเร่ืองสว่ นตวั ของบุคคล อยา่ งแท้จริง ใช้สทิ ธเิ สรภี าพในการแสดงออกอยา่ งเตม็ ที่ จึงทำใหเ้ กิดรูปแบบศลิ ปะใหม่ ๆ ขึน้ มากมาย ทง้ั ใน ยโุ รปและสหรัฐอเมริกา ดงั จะได้กล่าวพอสงั เขปดงั นี้ ศลิ ปะแบบนโี อคลาสสิก (Neo-Classic) นีโอคลาสสิกเปน็ รูปแบบศิลปะท่ีอยู่ในระยะหัวเลีย้ วหวั ต่อระหว่างสมยั ใหมก่ บั สมัยเก่า ภาพเขียนจะ สะทอ้ นเร่อื งราวทางอารยธรรม เน้นความสงา่ งามของรปู ร่างทรวดทรงของคนและส่วนประกอบของภาพ มี ขนาดใหญ่โต แข็งแรง ม่นั คง ใช้สีกลมกลนื มดี ลุ ยภาพของแสง และเงาท่ีงดงาม ศลิ ปนิ ท่ีสำคัญของศลิ ปะแบบนโี อคลาสสิก ได้แก่ ชาก – ลยุ ดาวิด (ค.ศ. 1748-1825) ได้รับการ ยกยอ่ งว่าเป็นผู้วางรากฐานของศิลปะแบบนีโอคลาสสิก ผลงานจิตรกรรมทม่ี ชี ื่อเสยี ง เชน่ การสาบานของโฮรา ตี (The Oath of Horatij) การตายของมาราต์ (The Death of Marat) การศกึ ระหว่างโรมันกบั ซาไบน์ (Battle of the Roman and Sabines) เปน็ ต้น ศลิ ปะแบบโรแมนติก (Romanticism) ศลิ ปะแบบโรแมนติก เปน็ ศลิ ปะรอยตอ่ จากแบบนีโอคลาสสิก แสดงถึงเรอื่ งราวทต่ี ่ืนเตน้ เร้าใจ สะเทือนอารมณ์แก่ผูพ้ บเหน็ ศิลปินโรแมนติกมีความเชื่อว่าศิลปะจะสรา้ งสรรคต์ วั ของมนั เองข้ึนไดด้ ้วยคณุ คา่ ทางอารมณข์ องผดู้ แู ละผ้สู รา้ งสรรค์ ศิลปินทสี่ ำคัญของศิลปะโรแมนติก ได้แก่ เจริโคต์ (Gericault) ผลงาน จิตรกรรมที่มชี อื่ เสยี งมาก คอื การอับปางของเรอื เมดูซา (Raft of the Medusa) เดอลาครวั (Delacroix) ชอบเขียนภาพทแ่ี สดงความต่นื เต้น เชน่ ภาพการประหารท่ี ทชิ โิ อ ความตายของชาดารน์ าปาล การฉดุ คร่า ของนางรเี บกกา เปน็ ตน้ ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya) ชอบเขียนภาพแสดงการทรมาน การฆา่ กัน ในสงคราม คนบา้ ตลอดจนภาพเปลือย เชน่ ภาพเปลอื ยของมายา (Maya the nude) เป็นตน้ ศิลปะแบบเรยี ลสิ ม์ (Realism) ศิลปินกลมุ่ เรยี ลสิ ม์มคี วามเชื่อว่าความจรงิ ทงั้ หลายคือความเป็นอยจู่ รงิ ๆ ของชวี ติ มนษุ ย์ ดังนน้ั ศิลปินกลุ่มนจ้ี งึ เขยี นภาพทเ่ี ปน็ ประสบการณ์ตรงของชวี ิต เชน่ ความยากจน การปฏวิ ัติ ความเหลื่อมล้ำใน สงั คม โดยการเน้นรายละเอยี ดเหมอื นจริงมากทสี่ ดุ ศลิ ปินสำคญั ในกล่มุ น้ี ได้แก่ โดเมยี ร์ (Daumier) ชอบ วาดรปู ชวี ิตจริงของความยากจน คูรเ์ บต์ (Courbet) ชอบวาดรูปชีวิตประจำวนั และประชดสงั คม มาเนต์ (Manet) ชอบวาดรปู ชวี ิตในสังคมเชน่ การประกอบอาชพี

22 ศลิ ปะแบบอมิ เพรสชันนิสม์ (Impressionism) กลุ่มศิลปนิ อิมเพรสชนั นสิ มเ์ ร่ิมเบอื่ รปู แบบท่ีมหี ลักความงามแบบเหมือนจริงตามธรรมชาติ เปล่ยี นเปน็ สิ่งเชื่อมโยง เน้นด้วยแสง สี บรรยากาศ ศลิ ปนิ ท่ีสำคญั ของกลมุ่ อมิ เพรสชนั นสิ ม์ ไดแ้ ก่ โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ซิสเลย์ (Sisley) เดอกาส์ (Degas ปซิ าโร (Pissaro มาเนต์ (Manet) เรอนวั (Renoir) ศลิ ปะแบบโพสต์ – อมิ เพรสชันมิสม์ (Post-Impressionism) ศิลปะแบบโพสต์-อิมเพรสชันนิสมจ์ ะไม่เลยี นแบบจากสง่ิ ท่ีเป็นจริงโดยการสร้างรปู ทรงใหม่ แตน่ ำวิธีการ ทางวทิ ยาศาสตร์มาประยกุ ต์ใช้ เช่น การระบายสีด้วยเทคนิคขีด ๆ จดุ ๆ เน้นสี แสง เงาให้เกิดมิติ บรรยากาศ ความงามและความประทบั ใจ ศิลปินในกลุ่มนี้ ได้แก่ แวนโกะห์ (Van Gogh) มาตสิ (Matisse) บงนาร์ด (Bonnard เซซาน (Cezanne) โกแกง (Gauguin) เซอราต์ (Seurat) ศลิ ปะสมยั ใหมใ่ นศตวรรษที่ 20 ลัทธโิ ฟวิสซึม เปน็ ศิลปะทแ่ี สดงออกในเรอ่ื งสีทีส่ ดใสรนุ แรงศิลปินท่สี ำคัญในลัทธินี้ ได้แก่ อองรี มาติส ศิลปะนามธรรม เป็นศิลปะท่ไี ม่แสดงรูปทรงเหมือนจรงิ แต่แสดงเรื่องสแี ละพลงั ทางอารมณแ์ ละความร้สู กึ ศลิ ปะควิ บิสม์ เปน็ ศลิ ปะก่ึงนามธรรม แสดงออกดว้ ยการเชอื่ มโยงความสมั พนั ธก์ ันของปรมิ าตร มคี วามงาม ตามหลักของสุนทรยี ศาสตร์อย่างแทจ้ ริง ศิลปนิ ผูน้ ำศิลปะควิ บสิ ม์ ได้แก่ ปิกาสโซรปู แบบศลิ ปะหลงั สมยั ใหม่ ศิลปะหลังสมยั ใหม่ที่สอดผสานกับลัทธิหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) ท่กี ระจายกรอบความ คิดและกระจาย แบบแผน มนุษยท์ ่ตี อ้ งอย่รู ่วมกับธรรมชาตสิ ิ่งแวดลอ้ มและมนุษยด์ ้วยกันอยา่ งสันตสิ ุข ศิลปะหลงั สมยั ใหม่จะ เสนอภาพในความคิดหรือจินตภาพ (image) มากกวา่ ภาพทีป่ รากฏเบอื้ งหน้า ศิลปินอาจใช้ผืนผา้ ขนาดยกั ษห์ อ่ ภเู ขา ถมหนิ และดนิ เปน็ รูปขดกน้ หอยขนาดใหญ่ในทะเล สร้างเรือเหาะขนาดมหมึ าเต็มห้องนทิ รรศการ ผลงาน ศลิ ปะทม่ี เี สียงสวดมนตแ์ ละกลนิ่ สมุนไพร ภาพชาวนาท่เี ขยี นข้ึนจากดินท้องนา ศลิ ปินอา่ นบทกวีให้ศพฟัง ฯลฯ เหล่านีล้ ้วนเปน็ การนำเสนอภาพความคิดของศิลปะหลังสมยั ใหมท่ ่หี ลากหลายและหาข้อสรุปมิได้ ศลิ ปะหลังสมยั ใหม่ หลงั จากศิลปนิ ลัทธิดาดา และศิลปินป๊อปอารต์ มบี ทบาท ไดม้ ีกระแสความคิดและการนำเสนอศลิ ปะ แนวทางใหมเ่ กิดขนึ้ มากมาย เปน็ การสรา้ งสันทางความคิดและการแสดงออกในยคุ สมัยของลทั ธหิ ลงั สมยั ใหม่ ชว่ งเวลาทแ่ี สดงพหคุ วามคิด พหุปัญญา การยอมรบั ความหลากหลาย ความหลากหลายทีไ่ มต่ ้องการขอ้ สรปุ ไมต่ อ้ งการทฤษฎหี รอื หลักคิดตายตวั เพราะความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงของโลกเปน็ ความจริง เปน็ อนจิ จตา ความไม่เทย่ี งตรง ความไมค่ งท่ี ความไมย่ ั่งยืน ภาวะท่เี กิดขึ้นแลว้ เส่อื มสลายไป ถา้ เราหลงใหลอยู่กับ ขอ้ สรุป กฎเกณฑ์ ทฤษฎอี ย่างใดอย่างหนงึ่ ย่อมเกดิ ทกุ ขตา เพราะสรรพสิ่งและความคดิ ล้วนเปน็ อนัตตา

23 ลูซ-ี สมธิ (Edward Lucie-Smith) กลา่ วถึงอทิ ธพิ ลความคิดของเอ็กซิสตองเชยี ลลสิ ม์ (Existentialism) ท่มี ีตอ่ สงั คมตะวันตกและศิลปนิ กระแสมนุษย์คือเสรภี าพ หลังสงครามโลกครง้ั ที่ ๒ ลูซี-สมธิ กล่าวถึงแนวคดิ ของ ฌอง-ปอลซารต์ ร์ (Jean-Paul Sartre) ท่มี ีอิทธิพลต่อคนรนุ่ ใหม่ กล่าวถึงคำบรรยาย \"ปรัชญาเอ็กซิสตองเชียล ลิสม์คือมนษุ ยนิยม\" (Existentialism is a Humanism.) กลา่ วถงึ พ้ืนฐานความคิด \"การมอี ยูม่ ากอ่ นสาระ\" (Existence comes before essence.) (Lucie-Smith. 1969 : 9-10) การมอี ยู่มากอ่ นสาระหมายความอย่างไร เราหมายความ กอ่ นอน่ื ใดทง้ั หมดมนษุ ย์มีอยู่ ค้นพบตวั เอง ปรากฏตัวในโลกและนิยามตวั เองภายหลังตามทรรศนะของชาว เอ็กซสิ ตองเชยี ลลิสม์ ถา้ มนุษย์นยิ ามไม่ได้ ก็ เป็นเพราะวา่ ก่อนอนื่ ใดมนุษย์ไมใ่ ชอ่ ะไร เลย เขาจะเป็นอะไรกต็ ามหลังจากนนั้ และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้าง ตวั เองให้เปน็ ดังนั้น ไมม่ ธี รรมชาตขิ องมนษุ ย์ เน่ืองจากปราศจากพระเจ้าที่จะคิดสร้างขนึ้ มา มนุษยเ์ ปน็ แต่ เพียงเปน็ อย่เู ทา่ น้นั ไมใ่ ช่ว่าเขาเพยี งแตเ่ ป็นอยู่ตามทีเ่ ขาคิดวา่ จะเป็น เทา่ นน้ั แตเ่ ขาเป็นส่ิงที่เขาตอ้ งการให้ ตวั เองเปน็ ดว้ ย เนอ่ื งจากมนษุ ยค์ ดิ สรา้ งตัวเอง ภายหลังการมอี ยู่ และเนอื่ งจากเขาตอ้ งการสร้างใหต้ ัวเองเปน็ ภายหลงั การมอี ยู่ มนุษย์ จงึ ไมใ่ ช่อะไรอน่ื นอกจากผลติ ผลทมี่ าสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง...ปัจเจกภาพหมายความ เชน่ ไร ถา้ มใิ ชว่ า่ มนษุ ย์มศี ักดศิ์ รที ยี่ ิ่งใหญก่ วา่ กอ้ นหนิ หรอื โตะ๊ หมายความว่ามนษุ ย์มี อยู่กอ่ น กล่าวคือ เริ่มแรกก็มีมนษุ ย์กอ่ น แลว้ เขากห็ มุนไปสอู่ นาคต เขาเป็นส่งิ ทีร่ สู้ ึก ตวั เองและวาดภาพตัวเองในอนาคตได้ มนษุ ยค์ ือตวั แบบแผนท่ีรู้สึกตัวตลอดเวลา เขา ไมใ่ ช่ตะไคร่นํ้า ขยะ หรอื ดอกไม้ ไม่มอี ะไรมีอยกู่ ่อนแบบแผน ไม่ มอี ะไรในสวรรค์ มนุษยต์ อ้ งเป็นสง่ิ ทเ่ี ขาเองวาดใหเ้ ป็น ไม่ใชส่ ิ่งทีเ่ ขาอยากเปน็ เพราะคำว่า \"อยาก\" หมายถึง การตัดสินใจทีร่ ูส้ ึกนึกตวั เอง และเกิดขนึ้ หลงั จากการสรา้ งความเป็นคนของ ตนเอง (วทิ ยา เศรษฐวงศ์. ๒๕๔๐ :๑๑-๑๒) ซารต์ ร์ กล่าวถึง การสร้างสรรคศ์ ิลปะและหลักศลี ธรรมของมนุษย์ในสังคม มใี ครตำหนิศิลปนิ บ้างไหม เมอื่ เขาลงมอื วาดภาพ โดยมไิ ดท้ ำตามกฎเกณฑต์ า่ งๆ ที่ บัญญตั ิไว้ล่วงหน้าแล้ว มใี ครเคยถามบ้างไหมว่า เขา ควรวาดภาพอะไรตามท่ที ุกคน ทราบ ไมม่ งี านจติ รกรรมใดๆ ทีก่ ำหนดไว้แลว้ ลว่ งหนา้ ทจ่ี ะวาด ศิลปินผกู พัน ตัวเองใน การสร้างงาน ภาพท่จี ะสร้างสรรคน์ น้ั คือภาพทเ่ี ขาจะทำ เป็นทร่ี ้จู กั กนั วา่ ไมม่ คี ุณค่า ทาง สุนทรียศาสตรท์ ี่มมี ากอ่ น มีแตค่ ณุ คา่ ทจ่ี ะปรากฏตามกำหนดเวลาในความ ตอ่ เนื่องของภาพ ในสมั พันธภาพ ระหวา่ งเจตจำนงในการสรา้ งสรรค์กบั ผลงานท่สี ำเร็จ สมบูรณ์ ไม่มีใครทำนายไดว้ า่ ภาพจิตรกรรมของวัน พรงุ่ น้จี ะเหมือนอะไร ไม่มใี คร สามารถตัดสินงานจิตรกรรมได้ จนกระทงั่ ผลงานสำเร็จเรยี บรอ้ ยแล้ว สิ่งน้ี สัมพันธ์ อยา่ งไรกับศลี ธรรม เราตา่ งก็อยใู่ นสถานการณ์ท่ีสรา้ งสรรคเ์ หมือนกนั เราไมเ่ คยกล่าว ถึงงานศลิ ปะ วา่ ไม่รับผดิ ชอบ เม่อื เรากำลงั อภปิ รายถึงภาพสีน้ำมันของปิคาสโซ เรา เขา้ ใจดีมากว่า ศลิ ปนิ ผนู้ ีก้ ำลังสร้าง ตวั เองตามทเ่ี ขาเปน็ ในเวลาเดยี วกบั ทเี่ ขาวาดภาพ ผลงานของเขาทัง้ หมด ผนึกรวมกับชีวิตของเขา ในทำนอง เดียวกบั หลักศีลธรรม ระหวา่ งศิลปะกับศีลธรรม มสี ่ิงนรี้ ่วมกนั อยกู่ ค็ ือ ในทั้งสองสาขานนั้ เราต้องเก่ยี วขอ้ ง กับการสรา้ งสรรค์และการประดิษฐ์คิดค้น เราไมส่ ามารถตัดสนิ ใจล่วงหน้าไดว้ า่ อะไร คือสง่ิ ท่ีควรทำ (วิทยา เศรษฐวงศ์. ๒๕๔๐ : ๓๕-๓๖) ลัทธิหลังสมยั ใหมท่ ่ีประกาศอิสรภาพทางความคดิ มคี วามเป็นตัวของตัวเอง ไม่เห็นด้วยกบั วถิ ี คิดเก่า ไมเ่ หน็ ด้วยกบั แนวคิดและแนวทางของลทั ธสิ มยั ใหม่ ลัทธิสมัยใหม่ทีเ่ ตบิ โตมาพร้อมกบั บทบาทและอำนาจของ

24 ชนช้ันกลาง และระบบโรงเรยี นทีม่ กี รอบความคิดและหลกั สูตรทผ่ี ลติ คนในลักษณะมวลผลิต ลัทธิหลังสมยั ใหม่ท่ี ก่อตวั และแสดงตวั อย่างเป็นสากล เปน็ ปรากฏการณร์ ว่ มในกระแสวฒั นธรรมร่วมสมยั ในปจั จบุ ัน กระแสลทั ธิ หลงั สมัยใหม่ลกุ ลามไปทางดา้ นสงั คมศาสตร์ ความพยายามในการสร้างขบวนการประชาสังคม ประชาธิปไตย ภาคพลเมอื ง การสร้างชุมชนใหเ้ ข้มแขง็ องค์กรพฒั นาเอกชนหรือ NGOs (Non-Government Organizations) แสวงหาความชอบธรรม แสวงหาอตั ลกั ษณใ์ นการคดิ การอย่รู ว่ มกัน การสร้างวฒั นธรรม ชมุ ชนทม่ี คี วามหลากหลาย ภาพซ้อนและพลวัตในสังคมและชีวติ ความเปน็ อยู่ ศลิ ปะหลงั สมยั ใหม่ไดด้ ูดซับความคดิ นำเสนอความคดิ และการปฏิวตั ทิ างศิลปะทห่ี ลากหลาย แสดง บทบาทของศิลปะร่วมสมยั ทีม่ ีฐานปัญญาและทฤษฎหี รือแนวคิดเป็นดา้ นหลกั โดยท่ีมไิ ดค้ ำนงึ ถึงกระบวนแบบ ดังเช่นศิลปะสมัยใหม่ ศลิ ปะมีความหลากหลายตง้ั แตก่ ารแสดงแนวคิดอย่างบรสิ ุทธ์ิ ไปจนถึงการแสดง ภาพลักษณ์ของความคดิ นอกจากนน้ั แลว้ ศลิ ปะหลังสมยั ใหมย่ ังต่อต้านลัทธสิ ารประโยชนน์ ิยม (Functionalism) มองไมเ่ ห็นความจำเป็นของศิลปะทจี่ ะต้องนำไปใช้งานหรือเป็นประโยชนท์ างกายภาพใน ชีวติ ประจำวัน ไมว่ า่ จะเปน็ การนำศลิ ปะไปเป็นส่ิงตกแตง่ ประดับประดาใดใดก็ตาม สำหรับสงั คมตะวันตก นอกจากแนวคดิ ของลทั ธสิ มัยใหมจ่ ะกระทบต่อวงการศิลปกรรมแล้ว ยังส่งผลกระทบตอ่ วงการช่างฝมี ือ อีกดว้ ย ไม่วา่ จะเปน็ เซรามิกส์ เคร่ืองแกว้ งานโลหะ เฟอร์นเิ จอร์ และวงการออกแบบ จากงานในเชงิ สารประโยชนไ์ ด้ พฒั นามาสู่งานในเชิงความคดิ มากข้ึน เมื่อเรามีอิสรภาพและเสรภี าพมากขึ้น เรายอ่ มสญู เสยี บางสงิ่ บางอยา่ งในอดีตไปด้วยเชน่ กัน ศลิ ปะหลงั สมยั ใหม่อาจจะตอ่ ตา้ นหรือไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั การท่ีศิลปะจะตอ้ งเป็นส่งิ ถาวร ศิลปะอาจจะเกิดขนึ้ ชว่ั ครู่ ศิลปะอาจ ไมเ่ กย่ี วข้องกบั กาลเวลาในอดีต จติ รกรรม ประติมากรรม ศลิ ปะสมยั ใหมอ่ าจเกี่ยวขอ้ งกบั พน้ื ฐานการปฏิบัติ ตา่ งๆ เชน่ พนื้ ฐานการวาดภาพ หลกั การ ทฤษฏี องค์ประกอบศลิ ป์ กระบวนการต่างๆ แตศ่ ลิ ปะหลงั สมัยใหม่ อาจไมเ่ กี่ยวข้องกบั พนื้ ฐานเหล่านน้ั เลยก็ได้ ศลิ ปนิ หลงั สมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะผลักดนั ศิลปะใหพ้ น้ กรอบของแบบ แผนประเพณีนยิ ม พพิ ิธภณั ฑ์ บา้ น อาคารธรุ กจิ ศิลปะไม่จำเป็นตอ้ งเปน็ วตั ถสุ ะสมในพิพิธภณั ฑห์ รือในห้อง สะสมศิลปะ ไม่จำเปน็ ตอ้ งเปน็ ส่ิงนทิ รรศการตามแบบแผนเดิม ไม่จำเปน็ ต้องเป็นวตั ถุทีน่ ำไปแขวนหรอื ตดิ ตั้ง เบื้องหน้า ผคู้ นจะตอ้ งไปหอ้ มล้อมชน่ื ชมอยา่ งเปน็ กจิ ลกั ษณะ ศิลปะอาจอยู่ร่วมกับเราในธรรมชาติส่ิงแวดล้อม ในสังคม มากกวา่ การแยกกนั อย่ดู ังที่ผา่ นมา บางคร้งั ศลิ ปะหลงั สมัยใหม่อาจแสดงความคดิ ทอ่ี ยู่เหนอื วัตถุ ศลิ ปินใช้วตั ถเุ ปน็ ส่ืออย่างหลาก หลาย ความคิดหรอื หลากหลายความรูส้ ึก ในธรรมชาตสิ ง่ิ แวดลอ้ มท่เี ปิดกวา้ ง ศลิ ปนิ อาจใช้หลอดไฟนอี อน คอมพิวเตอร์ ร่างกายของศลิ ปิน ธรรมชาตสิ ิ่งแวดล้อม ใชเ้ ป็นสือ่ สำหรบั การนำเสนอศลิ ปะ การเช่ือมโยง ระหวา่ งศลิ ปินและศิลปะเปน็ ไปอยา่ งใกลช้ ิด บางคร้ังอาจรวมเป็นส่ิงเดยี วกันหรือเปน็ สิ่งที่เหมอื นกัน เชน่ ใน กรณขี องสรีรศลิ ป์ (Body Art) ท่ใี ชร้ ่างกายเป็นสื่อแสดงออกเป็นต้น การยดึ ถอื มนษุ ย์เปน็ ศูนยก์ ลางอยา่ ง มนุษยนยิ ม (Humanism) ไดถ้ กู ทา้ ทายด้วยความคิดทว่ี า่ มนษุ ยค์ วรเปน็ ส่ิงเดยี วหรือเป็นสว่ นหน่งึ ของโลกและ จกั รวาล เพอื่ รกั ษาและพฒั นาโลกสีเขยี วใบน้ีใหค้ งอยชู่ ว่ั กลั ปาวสาน ไมใ่ ชม่ นษุ ยเ์ ป็นผทู้ ระนงตนว่าเปน็ ศนู ย์กลางของโลกและจักรวาล แลว้ เปน็ ผ้ทู ำลายโลกและจักรวาล ทำลายทรัพยากรธรรมชาติส่งิ แวดลอ้ ม

25 ศิลปะพัฒนาไปสกู่ ารบรูณาการความรคู้ วามคิดและประสบการณ์ สรา้ งสรรคง์ านที่เปน็ องค์รวมกับธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม ความรู้ความคิดในบรบิ ทสังคมและภูมปิ ัญญารว่ มสมยั จากพฒั นาการความคดิ และการสร้างสรรคง์ านศลิ ปะในกระแสลัทธหิ ลงั สมัยใหม่ กระแสสากลที่ กอ่ ตวั ขึน้ ในช่วงประมาณคร่งึ ศตวรรษ ผลกั ดันใหเ้ กดิ การสรา้ งเสรีภาพและสร้างสุนทรยี ศาสตร์หน้าใหม่ ความคดิ เรอ่ื งศลิ ปะ เรอ่ื งทักษะ เรื่องความงาม เปลย่ี นแปลงไป การแสดงออกทางศิลปะ ไม่ใชล่ ัทธิ ไม่ใช่ กล่มุ แต่ เป็นลกั ษณะการสรา้ งสรรค์ศิลปะ ไมว่ ่าจะเป็น Conceptual Art, Environmental Art, Happening Art, Performance Art, Installation Art, Body Art, Land Art, Earth Art, Video Art ฯลฯ ตวั อยา่ งผลงานศลิ ปะหลังสมยั ใหม่ ผลงานสงั กปั ศลิ ป์ (Conceptual Alt) ทม่ี บี ทบาทอยู่ในชว่ งทศวรรษ 1970 และ 1980 ได้ กลายเป็น ศลิ ปะยุคหลงั สมัยใหม่ทีเ่ ข้ามาแทนท่ีประติมากรรม ผ้บู ุกเบิกเอริ ธ์ เวิร์ค (Earthwork) คอื โรเบิร์ต สมธิ สัน (Robert Smithson) ศิลปินอเมริกนั ท่เี สียชีวติ จากเคร่ืองบินตก ปลายทศวรรษ 1960 สมิธสันสนใจในการ ปรบั ธรรมชาตสิ ิง่ แวดล้อมให้เป็นงานศิลปะ ผลงานท่โี ดง่ ดังของเขาคอื ผลงานชอื่ \"เขอื่ นขดก้นหอย\" (Spiral Jetty) ผลงานที่มคี วามยาว 1,500 ฟุต โดยการถมหนิ และดนิ เปน็ ขดก้นหอยจากภเู ขาไปสู่ทะเล ใน เกรท ซอลท์ เลค ยูทาห์ สรา้ งข้ึนในปี 1970 เจตนาเพื่อกระตุน้ ความคดิ เกยี่ วกับสญั ลกั ษณ์ขดกน้ หอยสากล ซงึ่ มี ความสมั พนั ธก์ ับภาพสญั ลักษณ์สมยั โบราณ การเตบิ โตตามธรรมชาติ และการเกิดใหม่ ในขณะท่สี มิธสนั สรา้ งสรรคง์ านในลักษณะที่ถาวร ตรงกนั ขา้ ม ครสิ โต (Christo) ศิลปินทยี่ ้าย ถนิ่ ฐาน จากบัลกาเรยี ไปอยสู่ หรัฐอเมริกา ได้สร้างสรรคง์ านในลักษณะทไ่ี ม่ถาวรหรอื งานทีเ่ กดิ ขึ้นเพยี ง ช่วงเวลาหน่ึง ด้วยการห่อสิ่งตา่ งๆ ทง้ั ท่ีเป็นธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม เชน่ ผลงาน \"รอบเกาะ\" (Surrounded Islands) ท่ี อ่าวบสิ เคย์ ไมอามี ฟลอริดา โดยใชผ้ า้ สีชมพูทำเปน็ ทุ่นรปู ทรงเรยี บงา่ ย ขนาดยกั ษ์ ลอยนา้ํ อยรู่ อบเกาะ ผลงานช้นิ นีเ้ ตรยี มการอย่หู ลายปี ใชค้ นงานถงึ 430 คน ผลงานเสร็จในปี 1983 นอกจากนัน้ ยงั มีงานอีก หลายชนิ้ ของเขาในชว่ งนัน้ เชน่ งานห่อเกาะลิตเทลิ เบย์ ในออสเตรเลีย หอ่ ดว้ ยผ้าขนาดกว้างถึงหน่งึ ล้าน ตารางฟุต งานขงึ ผ้าขนาดยาว 1/4 ไมล์ข้ามหุบเขาในโคโรราโด สหรัฐอเมริกา เป็นต้น จิตรกรรมเหมอื นจรงิ อีกลักษณะหนง่ึ คืองานเหมอื นจรงิ แบบภาพถ่าย (Photo-realism) แสดง ความ คมชดั ละเอยี ดซับซ้อนแข่งกบั ความจริงจากภาพถ่าย เอสเตส์ (Richard Estes) เปน็ ศิลปนิ เหมือนจริง แบบ ภาพถา่ ยผบู้ ุกเบกิ งานในลักษณะน้ี ภาพผลงานช่ือ \"ร้านวูลเวิรธ์ ล์\" (Woolworth's, ๑๙๗๖) ได้แสดง ความ ซบั ซอ้ นหลายช้ันหลายมมุ ของกระจกใส กระจกเงา เงาสะทอ้ นอาคาร สงิ่ ของตา่ งๆ เปน็ การสะท้อน ความเปน็ จรงิ ทางวตั ถุ หรือความรสู้ กึ ในเชิงจติ วิทยาท่ีสะทอ้ นลงบนวัตถอุ ีกลกั ษณะหนงึ่ \"Photo-realiam\" ได้รบั การ เรียกขานอีกหลายชอ่ื เชน่ Super Realism, Hyper Realism งานประตมิ ากรรมในช่วงนีก้ ็เซน่ กัน เป็นการตคี วามประติมากรรมในทรรศนะใหม่ เปน็ การสรา้ ง แนว สจั นยิ มอย่างใหม่ ตา่ งไปจากงานศลิ ปะสมัยใหมก่ ่อนหนา้ นัน้ แฮนสนั (Duane Hanson) ประติมากร รปู คน

26 ชาวอเมริกนั ประตมิ ากรรมคนของเขาอาจใกล้ความเปน็ จริงจนแยกไมอ่ อก เซ่น ประตมิ ากรรมชอ่ื \"นักการ\" (Janitor, ๑๙๙๓) ความเหมอื นจรงิ เคร่ืองแตง่ กาย สง่ิ ของเครอ่ื งใช้ และอาการของนักการที่ เหน่อื ยจาก หนา้ ท่กี ารงาน กำลงั ยนื พิงผนังพกั ผอ่ น งานไฟเบอร์กลาส เสอื้ ผา้ จริง ผมจริง สิ่งของเครื่องใช้ จริง และ แสดงรูปคนขนาดเท่าตวั จรงิ ไดส้ ร้างสง่ิ ใหม่ระหวา่ งความจริงกับความจริง ศิลปะหลังสมัยใหม่มักถอื ความคิด ภาพความคิดหรือจินตภาพ ซึง่ เปน็ ภาพในสมองเป็นตวั ตัง้ การสรา้ ง รูปลกั ษณใ์ ห้ปรากฏเป็นผลงานศิลปะเปน็ ผลที่ตามมา หรอื เป็นผลทีเ่ กิดจากเหตุผล (end) ทเี่ กิด จากมรรค (means) ความสำคญั อยู่ท่เี หตุหรือกระบวนการความคดิ ผลงานเรอื เหาะ (Airship) งานของ พานามาเรนโก (Panamarenko) นำเสนอท่ี แคสเซลิ ดอคควิ เมนตา (KaselDocumenta) ในปี ๑๙๙๒ นำเรือเหาะมานำเสนอ ไวใ้ นหอ้ งโถงใหญ่ แต่กม็ ไิ ด้หวงั ว่ามนั จะเหาะได้จริง เปน็ การนำเสนอเพือ่ เปน็ ขอ้ มลู เป็นประสบการณส์ ุนทรียะ เขาเช่อื ว่างานสำเนาแบบเช่นน้ีมสี ภาพเปน็ วตั ถเุ สมือน (virtual object) ทีส่ ื่อ ความหมายบางประการใน สภาพแวดลอ้ มใหม่ของเรอื เหาะ จากอดตี สู่ปจั จุบัน หว้ งเวลาและความคดิ ที่ตา่ งกนั วัฒนธรรมและการ ดำรงชวี ิตทเี่ ปลย่ี นไป จากพ้นื ทเ่ี ปดิ ภายนอกมาส่พู นื้ ทแ่ี ละขอบเขตจำกดั ในหอ้ งแสดง ย่อมมีปฏกิ ิริยาในความคดิ คำนงึ ผลงาน \"การหมุนเวียนของนำ้ (Water Circulation) ของริงค์ (Claus Rinke) ในนทิ รรศการ เดยี วกนั นน้ั ถังนา ปัม้ นำ้ ทอ่ ยาง และการหมุนเวียนของนำ้ จากเคร่ืองปั้ม เป็นการสาธติ การหมนุ เวยี นของ น้ำเป็นประเด็นสำคญั มิใช่เครอื่ งป้ัมนาํ้ วัตถศุ ลิ ปะคือ \"การหมุนเวียนของนำ้ \" เปน็ สง่ิ จบั ตอ้ งไมไ่ ดห้ รอื ไม่ คงท่ี เปน็ ประสบการณท์ เ่ี กิดขนึ้ ในชว่ งเวลาหน่งึ มาสชู่ ว่ งเวลาหรอื เส้ียวเวลาปจั จุบนั การนำเสนอเปน็ การ ช้ีแนะและ สาธติ การหมนุ เวยี นของน้าํ โดยมีเจตนาอยู่ทพ่ี ลงั ธรรมชาติ ซ่ึงแนวคิดดงั กลา่ ว สัมพนั ธก์ บั ผลงานทม่ี ีชอื่ เสยี ง ในแนวทางสรรี ศลิ ปข์ องออปเปนไฮม์ (Dennis Oppenheim) ภาพแสดงรอยแดดเผา (sunburn) ทชี่ ่ือ \"ตำแหน่งการอ่าน\" (Reading Position) เป็นภาพท่ีแสดงการวางหนังสือเปดิ ทาบลงบนหนา้ อก หนังสือท่ชี ่ือ \"Tactics\" ก่อให้เกิดรอยแดดเป็นภาพหนงั สือทห่ี นา้ อก เปน็ ภาพพิมพ์ตามธรรมชาติ เป็นการสาธิตการเป็นไป ตามกฎของธรรมชาติ การนำเสนอในแนวทางนี้ อาจเป็นเพยี งการขยายหรอื การแสดงความเปน็ จริง เปน็ การ แสดงความสมั พันธแ์ ละความโอบเอ้อื ของสิง่ แวดล้อมและธรรมชาตซิ ง่ึ เป็นส่งิ ธรรมดา

27 บนั ทึกผลหลังการสอน วชิ า สุนทรยี ศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหัสวิชา 20306-9006 คร้ังที่......วันท.ี่ ..........เดือน............................พ.ศ...............จำนวน...2...ชั่วโมง หน่วยการสอนท.ี่ ............ชื่อหนว่ ย........................................................................................... สาขาวชิ า คอมพิวเตอรก์ ราฟกิ สาขางาน ศลิ ปกรรม ช้นั ปวช.1กฟ. จำนวนผูเ้ รยี นทั้งหมด 21 คน มาสาย.....-.......คน ขาดเรียน....-.......คน ได้แก่เลขที่............................................ ผลการใช้ แผนเรียนรู้ - ดา้ นจดุ ประสงค์ ครบ ไมค่ รบ เนื่องจาก.................................................................................................................. - ความเหมาะสมของห้องเรยี น เหมาะสม ไม่เหมาะสม เนือ่ งจาก.......................................................................................................... - เนื้อหา ครบ ไม่ครบ เนอ่ื งจาก.................................................................................................................. - กจิ กรรม มี ไดแ้ ก.่ ............................................................................................................................... ไมม่ ี เนือ่ งจาก..................................................................................................................... - ส่อื เครือ่ งมอื มี ไดแ้ ก.่ ............................................................................................................................. ไมม่ ี เนื่องจาก.................................................................................................................... - เวลา เหมาะสม ไม่เหมาะสม เนอ่ื งจาก............................................................................................................ - การวัด/ประเมินผล มี ไม่มี เนือ่ งจาก......................................................................................................................... - อื่นๆ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

28 ความพร้อมและผลการเรยี นรูข้ องผ้เู รยี น เกณฑท์ ่ีแนะนำ คดิ เป็นร้อยละ ดีมาก(80-100) ด(ี 70-79) พอใช้(60-69) ตอ้ งปรบั ปรุง(ตำ่ กว่า60) ผลสมั ฤทธใิ์ นการเรียน รอ้ ยละของการพฒั นา - การตรงตอ่ เวลา ดมี าก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ - การแต่งกาย ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรบั ปรงุ - การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรุง - ความตัง้ ใจในการเรียน ดมี าก ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรงุ - มคี วามรบั ผดิ ชอบงานที่มอบหมาย ดมี าก ดี พอใช้ ตอ้ งปรบั ปรงุ - มีความร้ตู รงตามวัตถุประสงค์ ดีมาก ดี พอใช้ ตอ้ งปรบั ปรุง - มคี วามสามารถตรงตามวตั ถุประสงค์ ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ อ่ืนๆ ................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................................ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. แนวทางในการแก้ไขหรือพฒั นา - แนวทางปรบั ปรุงพฒั นา การจัดกจิ กรรมการเรียนร้คู รั้งตอ่ ไป (Action Plan) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… - แนวทางปรบั ปรงุ และพฒั นา การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้คร้งั ต่อไป………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… - แนวทางการปรับปรุงสือ่ และใบช่วยสอนต่างๆให้ดยี ่งิ ข้นึ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ......................................................................................................................................................... (ครูกรณุ า บญุ ธรรม) ครปู ระจำวิชา ผบู้ ันทึก

29 แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 4 ชือ่ หนว่ ย ทัศนศิลป์ในรปู แบบต่าง ๆ จำนวนชั่วโมง 8 ชว่ั โมง ชอ่ื เร่ือง ทศั นศลิ ป์ในรปู แบบต่าง ๆ จำนวนชั่วโมง 8 ชั่วโมง ....................................................................................................................................................................................................................................... สาระสำคญั ทัศนศิลป์ หมายถึง การมองเหน็ หรอื ส่งิ ที่พบเห็นในสง่ิ ทม่ี นษุ ย์สร้างสรรค์ข้ึนทำให้เกิดความงาม ความ พอใจ และเกดิ อารมณส์ ะเทือนใจ จดุ ประสงค์การสอน 1. เข้าใจความสำคัญของทศั นศิลปใ์ นรูปแบบต่าง ๆ 2. เห็นความสำคญั ของทัศนศิลป์ในรปู แบบตา่ ง ๆ เนือ้ หาสาระ ความสำคัญ ทัศนศิลป์ มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์มีความต้องการด้านร่า ร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านอารมณ์ ความต้องการเหล่านี้ข้ึนอยู่กับทศั นะของแต่ละบุคคล การมองเหน็ ความงามของธรรมชาติ ความสงบราบเรียบของท้องทะเลและอื่นๆ เป็นทัศนียภาพ สิ่งที่มองเห็นเกิด ความรสู้ กึ มีคณุ คา่ ของความงามจนเกิดสนุ ทรียภาพ กจิ กรรมการเรียนการสอน อธบิ าย บรรยาย นำเข้าสูบ่ ทเรียน ซกั ถามรายบุคคล สื่อและแหล่งการเรียนรู้ - เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ใบงาน - ตวั อย่างภาพสำเร็จ การวัดผลและประเมนิ ผล - พฤติกรรมการเรียน , ความสนใจ ซักถาม ขณะปฏิบตั ิงานทม่ี อบหมาย - พฤตกิ รรมหลงั เลกิ เรยี น ในคาบเรยี น ความสะอาดบรเิ วณโตะ๊ เรียนและในช้นั เรียน บันทึกหลงั การสอน นกั เรยี นสามารถรูเ้ ขา้ ใจและปฏบิ ตั ภิ าระงานโดยสามารถบอกความสำคญั ของความสัมพันธ์ของ ศลิ ปะวฒั นธรรมตอ่ ชวี ิตประจำวนั ได้

30 เนือ้ หาสาระ ทศั นศิลป์ หมายถึง การมองเห็นหรือสง่ิ ท่ีพบเห็นในส่ิงทีม่ นษุ ยส์ ร้างสรรค์ขึน้ ทำใหเ้ กิดความงาม ความ พอใจ และเกดิ อารมณส์ ะเทอื นใจ ความพงึ พอใจของแต่ละบคุ คลไม่เหมอื นกัน ทงั้ นข้ี ี้นอยู่กบั วัฒนธรรม ประเพณี สิง่ แวดล้อมและ ประสบการณ์ท่ีได้สร้างสมมา มนุษย์ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรคจ์ ากสง่ิ แวดลอ้ ม แลว้ สร้างผลงาน ทาง ศลิ ปะใหเ้ กิดความงามและมีคณุ คา่ ความสำคัญ ทัศนศิลป์ มคี วามสำคญั ต่อการดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์ มนุษย์มคี วามต้องการด้านร่า ร่างกาย ด้านจิตใจ และดา้ นอารมณ์ ความตอ้ งการเหลา่ น้ขี นึ้ อยู่กับทัศนะของแตล่ ะบคุ คล การมองเหน็ ความงามของธรรมชาติ ความสงบราบเรยี บของทอ้ งทะเลและอ่นื ๆ เป็นทัศนยี ภาพ สิ่งทมี่ องเหน็ เกดิ ความรู้สึกมีคุณค่าของความงามจนเกดิ สนุ ทรียภาพ ศลิ ปะทำใหช้ ีวิตมคี วามหมาย มนุษย์จะอยู่ไดด้ ว้ ยปัจจยั 4 ประการ ได้แก่ อาหาร เครือ่ งนุง่ หม่ ทอี่ ย่อู าศยั และ ยารกั ษาโรค แต่มนษุ ย์กย็ งั ต้องการ อาหารทางใจ มาชว่ ยผอ่ นคลาย ความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวนั และชว่ ยพัฒนาอารมณ์ จติ ใจจงึ จะทำให้ชวี ติ นม้ี ีความสขุ สมบรู ณ์ได้ อาหารทางใจท่มี นุษยต์ ้องการ มีการสบื ทอดมาต้งั แต่อดีตจนถึงปจั จุบนั ก็คือ ศิลปะน่นั เอง ศิลปะ เป็นผลงานอนั เกดิ จากความตอ้ งพากเพยี รของมนุษย์ ในอันท่จี ะสร้างสรรคค์ วามงาม เพอ่ื จรรโลงจติ ใจและประโยชน์ท่จี ะใช้สอยได้ การสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะของมนษุ ย์ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื 1.วจิ ติ รศิลป์ สนองความตอ้ งการทางอารมณ์และจิตใจ 2.ศิลปประยกุ ต์ สนองความตอ้ งการทางดา้ นประโยชนใ์ ชส้ อย ซึง่ จะกล่าวถงึ คณุ ค่าและการนำไปใช้เพอื่ พัฒนาชีวิตและสังคมต่อไป งานวิจิตรศิลป์ เปน็ ศิลปะแหง่ ความงดงาม เพ่อื ใหม้ นษุ ยเ์ กดิ ความชน่ื ชมทางด้านจิตใจ แบ่งเป็น 5 แขนง คอื 1.จติ รกรรม 2.ประติมากรรม 3.สถาปตั ยกรรม 4.วรรณกรรม 5.นาฎศิลปแ์ ละดุริยางคศ์ ลิ ป์ 1.จติ รกรรม ผลงานได้แก่ ภาพวาดหรือภาพเขียน และผลงานศิลปะอื่นที่แสดงออกบนพืน้ ระนาบ หรืองานที่มีลักษณะเป็น 2 มิติ ผ้สู ร้างสรรคง์ านจติ รกรรม คอื จติ รกร เป็นอาชีพท่ีมีเกียรติ เปน็ ที่ยอมรับของสงั คมทว่ั ไป เนือ่ งจากเป็นผทู้ ี่สร้างงานวาดภาพทั้งกระดาษวาดเขยี น ผา้ ใบ ฝาผนงั ภาชนะ เคร่อื งประดบั และบนวัตถุอื่น ๆ งานจติ รกรรม มกี ารสรา้ งสรรคห์ ลายรปู แบบ เชน่ การเขียนภาพคน ภาพคนเหมือน ภาพดอกไม้ ภาพหุ่นนงิ่ ภาพเร่ืองราวการดำรงชีวิต ภาพประกอบเรือ่ ง เป็นตน้

31 ศิลปินที่เปน็ จติ รกรในสาขาจิตรกรรมได้แก่ เฉลมิ นาครี ักษ์, เฟือ้ หรพิ ิทักษ์ ทวี นันทขวา้ ง, สุชาติ วงศท์ อง เป็นตน้ 2.ประตมิ ากรรม เปน็ งานป้ันและแกะสลักด้วยวัสดุท่แี ปรรปู ได้ เช่น ดนิ เหนียว ดินนำ้ มัน ปูน ปลาสเตอร์ ไม้ เปน็ ต้น รวมทง้ั การนำมาทบุ ตี เคาะ เช่อื ม และหลอ่ เป็นรูปทรงต่าง ๆ ซง่ึ เปน็ ลักษณะ 3 มิติ ผู้สร้างสรรคง์ านประติมากรรม คอื ประตมิ ากร เปน็ อาชพี ที่สำคัญ และมเี กยี รติเปน็ ทย่ี อมรบั ของ สงั คมสว่ นรวมอีกอาชีพหนง่ึ โดยท่ัวไปจะมผี ้ทู น่ี ิยมนอ้ ยกวา่ อาชีพจิตรกร แต่กส็ ามารถสร้างสรรค์ผลงานอัน ทรงคุณคา่ ใหแ้ กต่ นเองและสังคมไม่ด้อยกว่าอาชีพใดๆ งานทป่ี ระตมิ ากรสรา้ งสรรค์มตี ัง้ แต่ผลงานขนาดเลก็ จนถึงขนาดใหญ่ เชน่ เหรยี ญชนดิ ต่าง ๆ ภาชนะ เครื่องประดับตกแต่งพระพุทธรปู และรูปป้ันอนสุ าวรีย์ ซึ่งได้แสดงคุณคา่ ทางความงามจากรปู ร่าง รูปทรง และพน้ื ผวิ ตลอดจนแสงจากธรรมชาติที่ส่องมากระทบผลงานประตมิ ากรรม ศลิ ป์ พีระศรี ประติมากรรมผู้สร้างศลิ ปนิ ไทย สรา้ งอนสุ าวรยี พ์ ระบรมรูปรชั กาลท่ี 6 ที่ สวนลุมพินี อนุสาวรยี ์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร อีกด้วย 3.สถาปัตยกรรม เปน็ การออกแบบก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ เช่นบา้ นเรือนอาคารที่ทำการ สนามกีฬา วัด โบสถ์ วิหาร เจดีย์ สถปู พรี ะมิด เปน็ ต้น งานสถาปตั ยกรรมทมี่ ีคณุ คา่ ทางวจิ ิตรศลิ ป์ หรือความงามตอบสนองความตอ้ งการทางจิตใจ มักจะเปน็ สถาปัตยกรรมแบบด้งั เดิม ที่สร้างข้ึนตามหลักศาสนาและความเชอื่ ถอื ศรัทธา ส่วนสถาปตั ยกรรม สมัยใหม่ท่ีมงุ่ ประโยชนใ์ ชส้ อยเป็นหลักและจะมุ่งเน้นความงามแบบเรยี บง่าย สว่ นใหญเ่ ป็นรปู แบบแทง่ เหลี่ยม สงู หลายช้ัน เน่อื งจากพืน้ ที่กอ่ สร้างภาคพน้ื ดนิ ค่อนข้างจำกดั จงึ จำเปน็ จะต้องใช้ พื้นทีบ่ นอากาศใหม้ ากท่สี ุด ศลิ ปนิ สาขานีท้ างดา้ น สถาปัตยกรรมคือ พลเรือตรี สมภพ ภริ มย์ ประเวศ ลมิ ปรังสี และภญิ โญ สุวรรณคีรี เปน็ ตน้ 4.วรรณกรรม (Literature) หมายถงึ งานเขยี นที่แต่งขน้ึ หรืองานศลิ ปะ ที่เปน็ ผลงานอันเกดิ จากการคดิ และจินตนาการ แล้วเรยี บเรียง นำมาบอกเล่า บันทกึ ขับรอ้ ง หรอื สือ่ ออกมาดว้ ยกลวิธีต่างๆ โดยทัว่ ไปแลว้ จะแบ่งวรรณกรรมเป็น 2 ประเภท คอื วรรณกรรมลายลักษณ์ คอื วรรณกรรมที่บนั ทึกเป็นตัวหนังสอื และวรรณกรรมมขุ ปาฐะ อันไดแ้ ก่ วรรณกรรมท่เี ลา่ ดว้ ยปาก ไม่ไดจ้ ดบนั ทกึ ดว้ ยเหตนุ ้ี วรรณกรรมจึงมคี วามหมายครอบคลุมกว้าง ถงึ ประวัติ นทิ าน ตำนาน เรือ่ งเล่า ขำขัน เรอ่ื งส้ัน นวนิยาย บทเพลง คำคม เปน็ ต้น วรรณกรรมเป็นผลงานศิลปะทแี่ สดงออกดว้ ยการใชภ้ าษา เพื่อการสื่อสารเรื่องราวใหเ้ ข้าใจระหว่าง มนุษย์ ภาษาเปน็ สิง่ ทีม่ นุษยค์ ิดคน้ และสรา้ งสรรค์ข้นึ เพอ่ื ใช้สอ่ื ความหมาย เร่อื งราวตา่ ง ๆ ภาษาท่มี นษุ ย์ใชใ้ น การสอื่ สารได้แก่ 1.ภาษาพดู โดยการใชเ้ สยี ง 2.ภาษาเขยี น โดยการใชต้ ัวอักษร ตวั เลข สัญลักษณ์ และภาพ 3.ภาษาทา่ ทาง โดยการใช้กิรยิ าท่าทาง หรือประกอบวัสดุอยา่ งอ่ืน

32 ความงามหรอื ศลิ ปะในการใชภ้ าษาข้นึ อยูก่ บั การใช้ภาษาให้ถูกตอ้ ง ชัดเจน และ เหมาะสมกับเวลา โอกาส และบคุ คล นอกจากน้ี ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแตง่ ให้เกิดความเหมาะสม ไพเราะ หรือ สวยงามได้ นอกจากนี้ ยังมกี ารบญั ญัติคำราชาศพั ท์ คำสภุ าพ ขึ้นมาใช้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม แสดงใหเ้ ห็น วัฒนธรรมทเ่ี ป็นเลิศทางการใชภ้ าษาท่ีควรดำรงและยดึ ถือต่อไป ผสู้ รา้ งสรรคง์ านวรรณกรรม เรยี กวา่ นักเขยี น นกั ประพันธ์ หรอื กวี 5.นาฏศิลปแ์ ละดรุ ิยางคศลิ ป์ นาฏศิลป์ หมายถึงเปน็ ศลิ ปะการแสดงประกอบดนตรีของไทย เช่น ฟอ้ น รำ ระบำ โขน แตล่ ะท้องถน่ิ จะมชี ่ือ เรียกและมลี ีลาท่าการแสดงท่ีแตกต่างกนั ไป สาเหตุหลักมาจากภมู ิประเทศ ภูมอิ ากาศของแตล่ ะท้องถน่ิ ความ เช่อื ศาสนา ภาษา นสิ ยั ใจคอของผู้คน ชีวิตความเปน็ อยู่ ดรุ ยิ างคศิลป์ คอื ศิลปะวา่ ดว้ ยการบรรเลงขับร้อง (ดุริยะ และคตี ะ) เป็นสว่ นหนงึ่ งานวิจติ รศิลป์ มนุษยส์ รา้ งสรรคง์ านดรุ ยิ างคศิลป์จากการเลียนเสียงธรรมชาตดิ ้วยการใช้ร่างกายของตน พฒั นามาสกู่ ารหา วัสดเุ พอ่ื ใช้ทำเสยี ง จนเกิดเปน็ เคร่ืองดนตรที ่ีแบ่งออกได้ 4 ประเภทอนั ได้แก่ เครอื่ งดดี เครอื่ งสี เครอ่ื งตี เครอื่ งเปา่ ดรุ ิยางคศลิ ปเ์ ปน็ แขนงหนึ่งในบรรดาศิลปะหลายๆ แขนง เปน็ ศลิ ปะทว่ี ่าด้วยการเร่อื งความไพเราะ ด้วยรูปลกั ษณ์ลลี าของทำนอง คุณภาพของเสียง ความกลมกลืนระหว่างเสียงท่ีสอดประสานกันอย่างลงตวั คณุ ค่าตอ่ ผชู้ มและสงั คมส่วนรวม - งานจติ รกรรม เปน็ ศิลปะที่ส่ือความงามและความรู้สกึ ไปสู่ผ้ดู ูหรือผูช้ ืน่ ชมได้โดยง่าย คณุ ค่าเบื้องตน้ เปน็ คณุ คา่ ทางด้านจติ ใจในการชมความงาม ความละเอียดออ่ นของเส้นสี แสงเงา และองค์ประกอบของศลิ ป์ ตา่ งๆ ช่วยผอ่ นคลายอารมณ์ และใหค้ ติธรรม แนวคิดในการดำรงชีวิต และยงั รักษาขนบธรรมเนยี ม ประเพณีวัฒนธรรม ศาสนา และประวัติศาสตร์ จากจิตรกรรมฝาผนงั ตา่ ง ๆ - งานประติมากรรม เปน็ ศิลปะท่สี ่ือความงามและความรู้สกึ ไปสผู่ ้ดู หู รอื ผ้ชู ืน่ ชมไดด้ ้วยรูปทรง และ พน้ื ผิว โดยมีแสงสว่างมากระทบใหเ้ กิดเงาจากมิติความต้ืนลกึ ของรูปทรงนน้ั ๆ - งานสถาปตั ยกรรม เปน็ ศลิ ปะทใ่ี ชป้ ระโยชนใ์ ชส้ อยมากกวา่ เพราะเปน็ อาคารสถานทส่ี งู และเป็นทีอ่ ยู่ อาศยั ของมนุษยน์ นั่ เอง โดยเร่ิมจากการดูแลรักษาทพี่ กั อาศยั ตา่ ง ๆ เขน่ พระราชวงั โบสถ์ ตำหนกั วัด วิหาร เจดยี ์ สถปู เปน็ ตน้ คณุ คา่ ของผชู้ นื่ ชมและสังคมสว่ นรวม บทบาทของประชาชนท่ัวไปในการใช้ประโยชนแ์ ละคุณค่าของสถาปัตยกรรมนบั ตง้ั แตบ่ า้ นเรือน ทอ่ี ยู่ อาศยั โดยเริ่มตน้ จากการดูแลรกั ษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ยภายในบา้ น การใชห้ ลักทางศลิ ปะ และรสนยิ มสว่ นตัว ตกแตง่ บ้านเรอื นให้น่าอยู่ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ การประดับตกแตงดว้ ยต้นไม้ และพนื้ ทส่ี เี ขียว ภายในบา้ น สำหรับงานทางศลิ ปะทม่ี ีคณุ คา่ ทางวจิ ติ รศิลป์ ดังนั้น เราจึงควรรว่ มมือกันอนุรักษ์ศลิ ปะท้งั จิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรมอนั เกา่ แก่ไวส้ บื ตอ่ ไป

33 ทศั นศิลป์ คอื กระบวนการถ่ายทอดผลงานทางศิลปะอ กระบวนการถา่ ยทอดผลงานทางศลิ ปะ การทำงานศลิ ปะอย่างมี จนิ ตนาการ ความคดิ สรา้ งสรรค์ มีระบบระเบยี บเป็นข้ันเป็นตอน การสรา้ งสรรค์งานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สวยงาม มกี ารปฏบิ ัตงิ านตามแผนและมีการพัฒนาผลงานใหด้ ขี ้ึนอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ทัศนศิลป์ คอื ศิลปะท่มี องเหน็ ได้ การรับรทู้ างจักษปุ ระสาท โดยการมองเหน็ สสาร วตั ถุ และสรรพสงิ่ ต่าง ๆ ที่เขา้ มากระทบ รวมถึงมนษุ ย์ และสตั ว์ จะด้วยการหยดุ นิง่ หรอื เคลื่อนไหวกต็ าม หรอื จะด้วยการปรุงแต่ง หรอื ไมป่ รงุ แต่งก็ตาม กอ่ ใหเ้ กิดปัจจัยสมมติต่อจติ ใจ และอารมณข์ องมนุษย์ อาจจะเปน็ ไปในทางเดียวกัน หรือไมก่ ็ตาม ทัศนศิลปเ์ ป็นการแปลความหมายทางศลิ ปะ ทีแ่ ตกต่างกันไปแต่ละมมุ มอง ของแตล่ ะบุคคล ในงาน ศิลปะชิ้นเดียวกนั ซึง่ ไรข้ อบเขตทางจินตนาการ ไม่มีกรอบทแี่ นน่ อน ขึ้นกับอารมณ์ของบคุ คลในขณะทศั น์.. ศิลป์ นั้น แนวคดิ ทศั นศลิ ป์เป็นศลิ ปะที่รับรู้ไดด้ ว้ ยการมอง ไดแ้ กร่ ปู ภาพววิ ทวิ ทัศน์ทัว่ ไปเปน็ สำคญั อนั ดับตน้ ๆ รูปภาพคนเหมือน ภาพลอ้ ภาพสงิ่ ของต่างๆก็ลว้ นแล้วแต่เปน็ เร่ืองของทศั นศิลป์ดว้ ยกนั ท้ังสิน้ ซงึ่ ถ้ากล่าววา่ ทศั นศิลป์เป็นความงามทางศิลปะทไ่ี ด้จากการมอง หรอื ทัศนา นนั่ เอง ทศั นศิลปแ์ บ่งไดด้ งั น้ี วิจิตรศิลป์ จะเนน้ ดา้ นความงามเปน็ สำคัญ เชน่ ภาพลายไทย ภาพตามผนังวดั หรอื ภาพพุทธศิลป์ตา่ งๆ ประยกุ ตศ์ ลิ ป์ ไดแ้ ก่ศิลปะทส่ี ามารถเข้าไปใชส้ อยได้ เช่นสถาปัตยกรรม ภมู ิสถาปตั ยกรรม มัณฑณศิลป์ รวมทง้ั เครอ่ื งป้ันดินเผาทใี่ ชเ้ ป็นภาชนะ

34 บนั ทึกผลหลงั การสอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… (นางกรุณา บญุ ธรรม) ครูประจำวิชา

35 แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 5 ชอ่ื หน่วย การประเมินงานศิลปกรรมตามหลักวิจารณ์ จำนวนชัว่ โมง 8 ชวั่ โมง ชือ่ เรื่อง การประเมนิ งานศิลปกรรมตามหลักวจิ ารณ์ จำนวนช่ัวโมง 8 ชัว่ โมง .............................................................................................................................................................................................................................. สาระสำคญั การวจิ ารณ์ผลงานศลิ ปะโดยเฉพาะงานจติ รกรรม และประตมิ ากรรม นบั เปน็ ส่ิงจำเปน็ และมีประโยชน์ อย่างยิง่ ถา้ การวจิ ารณ์นั้นเปน็ ไปอยา่ งเทย่ี วธรรมและผูว้ ิจารณ์มีความรคู้ วามสามารถรอบรู้โดยกระทำไปโดย ถกู ทำนองคลองธรรม ย่อมเปน็ การสนบั สนนุ ให้ผ้สู ร้างผลงานไดท้ ำงานกา้ วหน้าอย่างมีคณุ ภาพพจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2525,765) ได้ใหค้ วามหมายของคำว่าวจิ ารณว์ า่ หมายถงึ การติชมโดยยดึ หลกั วชิ าการโดยมคี วามรู้เช่อื ถือได้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. เขา้ ใจความหมายของการประเมินงานศิลปกรรมตามหลักวิจารณ์ 2. เข้าใจถงึ วธิ ีการการประเมนิ งานศิลปกรรมตามหลักวจิ ารณ์ 3. มีกิจนิสยั ในการรว่ มกิจกรรมกลุ่ม เนือ้ หาสาระ การวิจารณโ์ ดยทั่วไป หมายถึง การแสดงความคดิ เห็น ติชม ตามความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับสง่ิ ใดส่งิ หนึ่งพรอ้ มทั้งใหข้ ้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ เพ่ือการปรับปรงุ แกไ้ ขผลงานนน้ั ๆ สมบรู ณ์ยง่ิ ขึ้นโดยสจุ ริตใจ ศิลปวิจารณ์ จึงหมายถึง การแสดงความคิดเห็นต่อผลงานศิลปะ เช่นภาพเขียน ภาพปั้น และการ สรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะในรปู แบบต่างๆทั่วไป เพื่อการเสนอแนะแกไ้ ขปรับปรุงโดยสจุ รติ ใจ กจิ กรรมการเรียนการสอน อธบิ าย บรรยาย นำเขา้ สบู่ ทเรียน ซกั ถามรายบุคคล สอ่ื และแหล่งการเรียนรู้ - เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ใบงาน - ตวั อย่างภาพสำเรจ็ การวัดผลและประเมนิ ผล - พฤตกิ รรมการเรยี น , ความสนใจ ซักถาม ขณะปฏิบตั ิงานท่มี อบหมาย - พฤติกรรมหลงั เลิกเรยี น ในคาบเรียน ความสะอาดบริเวณโตะ๊ เรยี นและในชนั้ เรยี น บันทึกหลงั การสอน นกั เรยี นสามารถร้เู ข้าใจสามารถบอกความสำคญั การประเมินงานศิลปกรรมตามหลกั วจิ ารณ์ได้

36 เน้อื หาสาระ การประเมินงานศลิ ปกรรมตามหลกั วิจารณ์ ความหมายของศลิ ปวจิ ารณ์ การวจิ ารณ์ผลงานศลิ ปะโดยเฉพาะงานจิตรกรรม และประตมิ ากรรม นับเป็นสิง่ จำเป็นและมปี ระโยชน์อย่างยงิ่ ถา้ การวจิ ารณน์ ้ันเปน็ ไปอย่างเทยี่ วธรรมและผู้วจิ ารณม์ ีความรคู้ วามสามารถรอบร้โู ดยกระทำไปโดยถูกทำนอง คลองธรรม ยอ่ มเปน็ การสนับสนนุ ใหผ้ ้สู ร้างผลงานไดท้ ำงานกา้ วหนา้ อย่างมคี ุณภาพพจนานกุ รมฉบับ ราชบัณฑติ ยสถาน (2525,765) ได้ให้ความหมายของคำวา่ วิจารณว์ ่า หมายถึง การตชิ มโดยยดึ หลักวิชาการ โดยมีความรูเ้ ชื่อถอื ได้ การวจิ ารณโ์ ดยท่ัวไป หมายถึง การแสดงความคดิ เห็น ติชม ตามความรู้และประสบการณเ์ ก่ยี วกับสง่ิ ใดสิ่งหนึง่ พรอ้ มทั้งใหข้ ้อเสนอแนะเพิ่มเตมิ เพ่ือการปรับปรงุ แกไ้ ขผลงานนัน้ ๆ สมบรู ณ์ยงิ่ ขึ้นโดยสจุ ริตใจ ศิลปวิจารณ์ จงึ หมายถงึ การแสดงความคิดเห็นตอ่ ผลงานศลิ ปะ เชน่ ภาพเขยี น ภาพปนั้ และการ สร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะในรูปแบบต่างๆท่ัวไป เพื่อการเสนอแนะแก้ไขปรับปรงุ โดยสจุ ริตใจ โดยสรุป ศิลปวจิ ารณ์ จงึ หมายถึง การแสดงความคดิ เห็นตอ่ ผลงานศลิ ปะ เช่นภาพเขยี น ภาพปั้น และ การสร้างสรรค์ผลงานศลิ ปะในรูปแบบต่างๆทว่ั ไป เพื่อการเสนอแนะแก้ไขปรับปรุงโดยสุจริตใจ การวิจารณ์งานศลิ ปะ เป็นการแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั ศิลปะที่มองเห็น หรือทศั นศลิ ป์โดยตรง การ วิจารณบ์ างครั้งสามารถชว่ ยใหผ้ ูด้ ูรูจ้ กั เลือกดู และรูจ้ ักดบู างส่ิงบางอย่างทีอ่ าจหลงตาไป เพราะยงั ขาดความรู้ และประสบการณ์ ส่วนผสู้ รา้ งผลงานก็เกิดแนวความคดิ กว้างขน้ึ สามารถนำไปแกไ้ ขปรบั ปรงุ ผลงานของตนเอง ใหเ้ กดิ คุณคา่ มากข้นึ ปัจจบุ นั ศิลปนิ ดา้ นทศั นศิลป์มีอสิ ระมากขนึ้ แนวความคดิ สร้างสรรค์ จนิ ตนาการจงึ ไรข้ อบเขต ผลงาน ทางทศั นศลิ ปจ์ งึ ออกมาหลายรปู แบบผสมผสานด้วยเทคนิคและวิธกี ารทแ่ี ปลกใหม่ ทำให้ผ้ทู ช่ี มผลงานยากทจี่ ะ เข้าใจเนอื้ หาและความงาม ดงั นั้นเพือ่ ใหผ้ ชู้ มเข้าใจในทศั นศลิ ปเ์ บื้องตน้ โดยเฉพาะงานจิตรกรรมและ ประติมากรรมควรดแู ละสังเกตดงั นี้ 1) ดกู าร์ดทต่ี ิดงานใกล้ผลงาน (ถ้ามี) บอกชือ่ ผสู้ รา้ งผลงาน ชอ่ื ผลงาน เทคนคิ ผลงาน วา่ ทำจากอะไร แบบใด อยา่ งไร เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจเนือ้ หาเร่อื งราวของผลงานเปน็ อนั ดบั แรก 2) ดวู า่ เปน็ ศลิ ปะสาขาอะไร ทศั นศิลป์แขนงใด ลักษณะใด และประเภทอะไร เชน่ สาขาวิจติ รศิลป์ ทัศนศลิ ป์แขนงจิตรกรรม ลกั ษณะการวาดเส้นประเภทภาพหนุ่ นง่ิ 3) ดสู ิ่งทที่ ำให้เกิดมติ ิในผลงานทัศนศลิ ป์ ได้แก่ มติ ิในดา้ นรูปภาพและรปู ทรง 4) ดสู ว่ นประกอบของความงาม จุด (ถา้ มี) เสน้ 2 ประเภท รปู รา่ ง 3 ประเภท (ถา้ ม)ี รูปทรง 3 ประเภท ความรสู้ กึ ของสีและสตี รงข้าม แสงเงา พ้ืนผวิ จังหวะ ความกลมกลืนของเส้น สี รปู ทรง และหลัก ของการจดั ภาพ 5) ดูเกย่ี วกับการจดั ภาพมี 2 แบบ คือ 5.1 แบบประจำชาติ 2 แบบ 5.1.1 แบบไทยประเพณรี ปู แบบไทยเดมิ 5.1.2 แบบไทยประเพณรี ปู แบบไทยประยกุ ต์

37 5.2 แบบสากล 2 แบบ 5.2.1 แบบสากล แบบรว่ มสมยั มี 3 รปู แบบ (1) รูปแบบรปู ธรรม (2) รูปแบบกง่ึ นามธรรม (3) รูปแบบนามธรรม 5.2.2 แบบสากล แบบสมยั ใหมม่ ี 2 รูปแบบ (1) รปู แบบกึง่ นามธรรม (2) รูปแบบนามธรรม 6) ดทู ฤษฎีการถา่ ยทอดทางทัศนศลิ ป์ เชน่ ทฤษฎีเหมอื นจริง ทางปัญญา ฯลฯ แสดงทฤษฎีการถ่ายทอดทางทศั นศิลป์ เช่นทฤษฎีเหมือนจริง ทางปัญญา ของศลิ ปนิ ผ้วู าดภาพ 7) ดเู ร่ืองราวทนี่ ำมาสรา้ งเกย่ี วกบั เร่ืองใด เชน่ ประวัตศิ าสตร์ ศาสนา ชวี ิตประจำวัน ฯลฯ 8) ดคู ุณค่าทางความงามและคณุ คา่ ทางเรือ่ งราว แสดงคุณค่าทางความงามและคุณค่าทางเร่อื งราว ผลงานภาพเขยี นสีชอลก์ ชอื่ ภาพ “ยกั ษ”์ ของนพศร ณ นครพนม

38 บันทึกผลหลงั การสอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… (นางกรุณา บุญธรรม) ครปู ระจำวชิ า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook