Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระไตรปิฏก

พระไตรปิฏก

Published by nuttycom, 2018-08-11 10:46:50

Description: พระไตรปิฏกเเละพุทธสุภาษิต

Search

Read the Text Version

พระไตรปิ ฎกและพทุ ธ ศาสนสุภาษิต

คำนำ• เพ่อื ศกึ ษาพระไตรปิ ฏกและพทุ ธศาสนสภุ าษิตซง่ึ เป็นสงิ ่ท่ีผมสนใจที่จะศกึ ษาในครัง้ นีซ้ ง่ึ มีทงั้ ศาสน สภุ าษิตที่ดีและความรู้ทางด้านธรรมะท่ีทาให้จิตใจ เราสงบนิ่งและเราสามารถนาหลกั ธรรมคาสอนไปใช้ ในชีวติ ประจาวนั ได้

*โครงสร้ำง ช่ือคัมภรี ์ และสำระสังเขปของพระอภิธรรมปิ ฎก* พระไตรปิ ฎก คอื คมั ภีร์บนั ทกึ คำสอนทำงพระพุทธศำสนำมี๓ หมวดใหญ่ ได้แก่  พระวนิ ัยปิ ฎก คอื หมวดทว่ี ่ำด้วยศีลของพระภกิ ษุสงฆ์ และพระภกิ ษุณี ตลอดจนถึงพธิ ีกรรมต่ำงๆ  พระสุตตนั ตปิ ฎก คอื หมวดที่ พระพระธรรมคำส่ังสอน ทพ่ี ระพทุ ธเจ้ำทรงแสดง เทศนำของพระสำวกสำคัญ บำงองค์  พระอภธิ รรมปิ ฎก คอื หมวดทวี่ ่ำด้วยธรรมะทอี่ ธิบำยเป็ น หลกั วชิ ำช้ันสูงล้วนๆ ไม่กล่ำวถงึ บุคคลและเหตุกำรณ์ ใน ทน่ี ีจ้ ะกล่ำวถึงพระอภิธรรมปิ ฎก ดงั นี้

เน้ ือหาของพระอภิธรรมปิ ฎก ก็คือ พระสตู รหรือเทศนาต่างๆ ที่พระพุทธเจา้ ทรงแสดงแก่บุคคลต่างๆ ต่างกรรม ต่างวาระ ซ่ึงรวบรวมไวใ้ นพระสุตตนั ตปิ ฎกนัน่ เอง แต่นาเอามาเรียบเรียงใหม่ในรปูวิชาการและอธิบายใหล้ ะเอยี ดเป็ นข้นั เป็ นตอน แบ่งเป็ น๗ คมั ภีร์ ดงั น้ ี ๑.ธมั มสงั คณี ๒.วภิ งั ค์ ๓.ธาตุกถา๔.ปุคคลบญั ญตั ิ ๕.กถาวตั ถุ ๖.ยมก๗.ปั ฎฐาน

พทุ ธ ปณิธาน ๔พุทธปณิธาน คอื ความต้งั พระทยั ของพระพุทธเจ้าว่า ตราบใดพระพุทธศาสนายังไม่แพร่หลาย คือ พุทธบริษัทท้งั ๔ ยังไม่มีคุณสมบัตคิ รบถ้วน พระองคจ์ ะไม่เสดจ็ ดบั ขันธป์ รินิพพานคุณสมบัตดิ งั กล่าว คือ

1) ศึกษา คือ ศกึ ษาพระพทุ ธวจนะในพระไตรปิฏกให้เข้าใจ อย่างน้อย ต้องเข้าใจวา่ พระพทุ ธศาสนาสอนอะไร หลกั คาสอนทเี่ ป็นสาระสาคญั ของพระพทุ ธศาสนาคืออะไร วธิ ีท่ีจะเข้าใจพระพทุ ธศาสนาอยา่ ง ลกึ ซงึ ้ จะต้องปฏิบตั ติ ามขนั้ ตอนแห่ง “หลกั พหสู ตู ” ทงั้ ๕ คอื 1. ฟังมาก หมายถงึ อ่าน ฟัง และศกึ ษาข้อมลู รายละเอียดตา่ งๆ ให้มากที่สดุ เท่าที่จะมากได้ 2. จาได้ หมายถึง เมื่อฟัง อา่ น หรือศกึ ษาแล้ว ให้กาหนดจดจาให้ได้เพื่อจะได้นาไปถ่ายทอดให้ คนอ่ืนเข้าใจตาม 3. คลอ่ งปาก หมายถึง ประเดน็ ใดมีความสาคญั มาก ก็ให้ทอ่ งจนคลอ่ งปากทานองทอ่ งบทอาขยาน 4. เจนใจ หมายถึง นาสิ่งที่ได้ศกึ ษา จาได้ ทอ่ งคล่องปาก และเข้าใจชดั เจนนนั้ มาปรับใช้ในการดาเนินชีวติ ในปัจจบุ นั

2) ปฏบิ ัติ คือ ต้องนาเอาทฤษฏีความรู้นนั้ มาปฏิบตั ิ จนได้รับผลจากการปฏิบตั ิ เชน่ เมื่อเราทราบวา่ พระพทุ ธศาสนาตาหนิการพนนั ว่าเป็น“อบายมขุ ” (ทางแหง่ ความเส่ือม) ก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่มวั หมกม่นุ ในอบายมขุ เป็นต้น3) ชีแ้ จง คอื สามราถนาไปถ่ายทอดให้ผ้อู ่ืนเข้าใจด้วย ทาหน้าที่เป็น“มคั คเุ ทศก์” ชีท้ างเดนิ แก่คนอื่นวา่ ทางนีเ้ป็นทางเสือ่ มไมค่ วรเดนิ ตามทางนีเ้ป็นทางแหง่ ความเจริญควรดาเนินตามคาสอน คาชีแ้ จงของผ้ทู ่ีทาได้ตามคาสอน ยอ่ มมีความศกั ด์ิสิทธ์ิและมีนา้ หนกั จงึ ควรฟังและปฏิบตั ิตาม4) ปกป้ อง คอื คราวใดมีผ้จู ้วงจาบให้ร้ายป้ ายสพี ระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆ์ หรือพระพทุ ธศาสนาโดยสว่ นรวม ไมว่ า่ จะเกิดจากพทุ ธบริษัทท่ีหลงผิดหรือจากการเบยี ดเบียนรังแกจากศตั รูภายนอกก็ตามพทุ ธศาสนิกชนพงึ ร่วมมือร่วมใจกนั แก้ไขให้ความเข้าใจผิดหรือความขดั แย้งนนั้ ๆ ลลุ ว่ งไป ไม่ปลอ่ ยให้คาราคาซงั โดยคดิ วา่ ธรุ ะไม่ใชเ่ ป็นอนั ขาด

๒.๑ อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย : ชนะตนนน่ั แหละดี• อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย : ชนะตนนนั่ แหละดี• การชนะตน คือ การที่สามารถควบคุมตนเองใหท้ าํ ในส่ิงท่ี ควรทาํ และไม่ทาํ ในสิ่งที่ไม่ควรทาํ หรือกลา่ วอีกอยา่ งหน่ึง ไดว้ า่ สามารถบงั คบั ตนใหท้ าํ ความดี ละเวน้ ความชว่ั ได้ การ ทาํ ความดีทาํ ได้ 3 ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ การ ทาํ ความชวั่ กท็ าํ ได้ 3 ทางเช่นเดียวกนั• การที่จะฝึกฝนใหเ้ ป็นคนท่ีเอาชนะตนไดน้ ้นั พระพทุ ธศาสนามีคาํ สอนเกี่ยวกบั เร่ืองน้ีมากมาย แต่ในท่ีน้ี จะกลา่ วถึงคุณธรรม 3 ขอ้ ท่ีจะช่วยใหเ้ อาชนะตนได้ ดงั น้ี

• (1) สติ คือ ตอ้ งฝึกตวั เองใหม้ ีสติอยเู่ สมอ รู้ตวั วา่ กาํ ลงั อยู่ ที่ไหน กาํ ลงั ทาํ อะไรกบั ใคร ก่อนเขา้ นอนแต่ละวนั ควร สาํ เร็จตวั เองวา่ วนั น้ีตวั เองไดท้ าํ อะไรไปบา้ ง บงั คบั ตวั เองไดม้ ากนอ้ ยเพียงใดแลว้ สญั ญากบั ตวั เองวา่ พยาม บงั คบั ใจตวั เองใหม้ ากข้ึน• (2) ทมะ คือ การรู้จกั ขม่ จิตของตน ฝึกปรามจิตใจให้ ดาํ เนินไปในทางท่ีดี การฝืนความรู้สึกมิใช่ของง่าย แต่ถา้ เริ่มฝืนความรู้สึกในเร่ืองท่ีง่ายๆก่อน กจ็ ะช่วยใหม้ ี กาํ ลงั ใจและสามารถเอาชนะตนในเรื่องยากๆได้• (3) ขนั ติ คือ การอดกล้นั ไม่ปล่อยใจใหไ้ ปตามอาํ นาจ ของฝ่ ายต่าํ จะตอ้ งพยายามทาํ ตนใหม้ ี 3 อด คือ อดทน อดกล้นั และอดออม การมีขนั ติจะช่วยใหก้ ารฝึกตน เป็ นไปโดยสะดวกข้ึน• วนั น้ีคุณฝึกหดั ชนะตวั เองหรือยงั !!!

๒.๒ ธมฺมจำรี สุข เสติ : ผู้ประพฤตธิ รรมย่อมอยู่เป็ นสุขผู้ประพฤตธิ รรม หมายถึง ผทู้ ่ีปฏิบตั ิตามคาํ สอนของพระพุทธเจา้ พระธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ น้นัมีต้งั แต่ระดบั เบ้ืองตน้ ถึงระดบั สูงสุด ความสุขท่ีเกิดจากปฏิบตั ิกม็ ีต้งั แต่ระดบั เบ้ืองตน้ ถึงระดบั สูงสุดอีกดว้ ยพระธรรมเบ้ืองตน้ ท่ีควรประพฤติปฏิบตั ิน้นั ไดแ้ ก่ ศีล ๕ และธรรม ๕ดงั น้ีเบญจศีลหรือศีล ๕ ประกำรได้แก่• ปำณำตปิ ำตำ เวรมณี หมายถึง การละเวน้ ต่อการทาํ ลายชีวิตของคน และสัตว์• อทนิ นำทำนำ เวรมณี หมายถึง การละเวน้ ดว้ ยการถือเอาหรือลกั ขโมย ส่ิงของคนอ่ืนที่เจา้ ของเขาไม่ไดใ้ หด้ ว้ ยการยนิ ยอม• กำเมสุมจิ ฉำจำรำ เวรมณี หมายถึง การละเวน้ จากการประพฤติผดิ ใน กาม และเมถุนท้งั ปวง• มุสำวำทำ เวรมณี หมายถึง การละเวน้ จากการพดู เทจ็ การพดู โกหก เพ่ือใหผ้ อู้ ื่นหลงเชื่อ• สุรำเมรยมัชชปมำทฏั ฐำน เวรมณี หมายถึง การเวน้ จากการกระทาํ ท่ี เป็นเหตุทาํ ใหข้ าดสติสมั ปัชชญั ญะดว้ ยเคร่ืองมึนเมา ท้งั ในรูปของการ ดื่ม และการเสพในวธิ ีต่างๆ

เบญจธรรมหรือธรรม ๕ ประกำร ได้แก่• เมตตำกรุณำ คือความรัก ความปรารถนาดีต่อผอู้ ื่น• สัมมำอำชีวะ คือการประกอบสมั มาอาชีวะ• กำมสังวร คือการสาํ รวมในกาม• สัจจะ คือการพดู ความจริง• สติสัมปชัญญะ คือความระลึกไดแ้ ละความรู้ตวัผลดจี ำกกำรปฏบิ ัตแิ ละผลเสียถ้ำไม่ปฏบิ ตั ิ• ผปู้ ฏิบตั ิเกิดจิตเมตตา เห็นอกเห็นใจ และชอบช่วยเหลือผอู้ ่ืน• ผอู้ ื่นท่ีไดร้ ับปฏิบตั ิต่อที่ดียอ่ มกลา่ วการสรรเสริญ และยกยอ่ งนบั ถือ• เป็นผมู้ ีจิตสงบ ไม่มีเรื่องวนุ่ วายมีรบกวนจิตใจ• ไม่มีบุคคลอ่ืนมาคิดหวงั ร้ายหรือทาํ ใหเ้ กิดความเดือดร้อน• เกิดสมาธิ และสติปัญญา

๒.๓ ปมาโท มจฺจโุ น ปท : ความประมาทเป็นหนทางแหง่ ความตาย ความประมาท คอื การขาดสติ ปลอ่ ยใจให้ลอ่ งลอยไป ไม่ รู้สกึ ตวั วา่ กาลงั ทาอะไร กาลงั พดู อะไร ไมร่ ู้จกั ระวงั ตวั ใน ส่งิ ท่ีควรระวงั ปราศจากความรอบคอบในการเตรียมตวั ไว้ เผชิญกบั เหตกุ ารณ์ท่ีจะเกิดขนึ ้ ในอนาคต ความไม่ประมาท หมายถึง การมีสตติ นื่ อยเู่ สมอ รู้วา่ กาลงั ทาอะไรในปัจจบุ นั และเตรียมพร้อมสาหรับสงิ่ ที่จะเกิดใน อนาคต ความประมาทเป็นส่ิงท่ีไมด่ แี ละความไม่ประมาทเป็ นสงิ่ ดี แตห่ ากระมดั ระวงั จนเกินเหตกุ ็จะกลายเป็ยคน ลงั เลใจ ลงมือทาอะไรไมไ่ ด้ มีแตค่ วามวติ กกงั วล คดิ ลว่ งหน้ามากเกินไป มองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป คนแบบนีค้ งไมป่ ระสบความสาเร็จในชีวิต แม้เหตรุ ้ายจะ ไมเ่ กิดขนึ ้ กบั เขา แตค่ นท่ีประมาทเกินไป ขาดสติอยบู่ อ่ ยๆ ก็คงจะไม่ประสบความสาเร็จในชีวติ เหมือนกนั ดงั นนั้ จงึ ควรเดนิ ตามทางสายกลาง

ความประมาทมีได้ทงั้ ทางโลกและทางธรรม ในทางธรรมนนั้ การไม่ระวงั ตวั ทาให้จิตใจฟ้ งุ ซา่ นคิดแตเ่ รื่องอกศุ ล ก็อาจจะเป็ นทางให้เดินไปสคู่ วามชว่ั โดยไม่ตงั้ ใจ สว่ นในทางโลก การไมร่ ะวงั ตวั ขาดสติ ไม่รอบคอบ และไมห่ าทางป้ องกนั อนั ตรายหรืออปุ สรรคที่อาจจะเกิดขนึ ้ ในการทากิจการตา่ งๆ ก็อาจจะทาให้กิจการนนั้ ๆ เสยี หายหรือได้ผลไมด่ ีเทา่ ที่ควร ถ้าเป็นเร่ืองเล้กน้อยก็ไมเ่ ป็นไร แตถ่ ้าความประมาทเกิดขนึ ้ กบั ผ้ทู ี่ต้องรับผิดชอบมากๆ ความเสียหายก้อาจจะเกิดขนึ ้ และกระทบถึงคนจานวนมหาศาลได้ เชน่ ผ้ดู แู ลโรงไฟฟ้ าปรมาณปู ระมาทเลนิ เลอ่ ทาให้คนจานวนมากตายหรือได้รับความทรมานจนตาย และทาให้พืชพนั ธ์ธุ ญั ญาหารเสียหายในบริเวณกว้าง เป็นต้น

๒.๔ สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ : ฟังดว้ ยดียอ่ มได้ ปัญญา ปัญญา คือ ความรู้ซง่ึ อาจแยกได้ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ รู้หลกั วชิ าและหลกั ความประพฤติรู้หลักวชิ า หมายถงึ รู้วทิ ยาการตา่ งๆท่ชี ว่ ยให้เราเข้าใจธรรมชาติสงั คม และมนษุ ย์ ช่วยให้ดารงชีวิตอยอู่ ยา่ งสะดวกปลอดภยั รู้หลักประพฤติ หมายถงึ ความรู้ท่ีชว่ ยให้เราปฏิบตั ิตนได้ถกู ต้องอยา่ งชอบธรรม สามารถทาตนให้เป็นประโยชน์แก่ตวั เองและสงั คม มนษุ ย์เป็นสตั ว์โลกที่มีปัญญา คือ มีความรู้ทงั้ สองอยา่ งได้ปัญญานนั้ เกิดได้หลายทางและทางท่ีเกิดได้มากที่สดุ ทางหนงึ่ คือการฟัง แตก่ ารฟังนนั้ ต้องฟังให้ดีจงึ จะเกิดปัญญา ดงั นนั้ ในการฟังควรปฏิบตั ติ ามคาแนะนา ดงั นี ้๑.) ต้องเลือกคนท่เี ราจะฟัง คนท่ีอยใู่ นวยั เดน็ หากฟังคนชว่ั เสมอๆอาจกลายเป็นคนชวั่ ได้หรือหากฟังคนดีเสมอๆ ก็อาจกลายเป็นคนดีได้อนั ที่จริงคนท่ีเป็นผ้ใู หญ่แล้วกอ็ าจเป็นอยา่ งนนั้ ก็ได้ และคนบางคนที่เราเคยฟังเขาพดู มาแล้วหลายครัง้ แตพ่ ดู จาไมม่ ีหลกั เกณฑ์ พดู ไมม่ ีสาระ อยา่ งนีถ้ ้าไปฟังอีกก็อาจเสียเวลาโดยไมเ่ กิดประโยชน์

๒.) ไม่ควรมีอคตติ ่อผู้พูด คนที่มีรูปร่างหน้าตาไมด่ ีอาจเป็นคนดี พจูจามีสาระก็ได้ คนพดู เสยี งเหนอ่ ก็อาจพดู จาลกึ ซงึ ้ เฉียบแหลมได้ ดงั นนั้อยา่ งเพ่ิงตดั สินใจกอ่ นที่จะฟังเขาพดู คนที่ไมม่ ีชื่อเสยี งอาจมีปัญญาและถา่ ยทอดสงิ่ ท่ีมีประโยชน์ให้คนอ่ืนก็ได้ ในทางตรงกนั ข้ามคนท่ีมีชื่อเสยี งและเก่งหลายด้าน แตเ่ ร่ืองทเ่ี ขากาลงั พดู ให้เราฟังนนั้ เขาอาจไมม่ ีประสบการณ์เลยกไ็ ด้ ฉะนนั้ กอ่ นฟังเขาพดู อยา่ คิดคล้อยตามเขาหรือคิดเห็นแย้งกบั เขา จงทาใจให้เป็นกลางฟังกอ่ นแล้วคอ่ ยตดั สนิ ใจในภายหลงั๓.) ต้องมสี มาธิ การฟังกบั การได้ยินไมเ่ หมือนกนั การฟังโดยไมม่ ีสมาธิคือการได้ยินนนั่ เอง ไมร่ ู้เรื่องอะไร ส่งิ ท่ีทาให้ขาดสมาธิมีหลายอยา่ ง เชน่ อากาศในห้องทเี่ ราฟังอาจร้อนอบอ้าว เครื่องขยายเสยี งไมด่ ี มีเสียงอื่นมารบกวน ฯลฯ เหลา่ นีก้ ต็ ้องฝึกความอดทดเพ่ือจะได้ความรู้ ถ้าเป็นการฟังในกลมุ่ เลก็ หรือตวั ตอ่ ตวั ปัญหาเหลา่ นีก้ ็คงน้อย ปัญหาใหญ่กอ็ ยทู่ ่ีตวั เราเองวา่ ควยคมุ ตวั เองให้ตงั้ ใจฟังได้เพียงใด

๔.) รู้จกั แยกแยะ การพดู นนั ้ ยอ่ มมีทงั้ สว่ นที่เป็นนา้ และเนือ้ บางคนพดู แตส่ นกุแตเ่ นือ้ หาสาระน้อย บางคนพดู นา่ เบื่อแตม่ ีสาระมากและลกึ ซงึ ้ ถ้ารู้จกั แยกแยะเราก็จะได้ประโยชน์จากการฟังมาก บางคนพดู โดยใช้คาท่ีเร้าใจทาให้เกิดความรู้สกึ ที่รุนแรงแตเ่ หตผุ ลมีน้อย บางคนพดู เรียบๆ แตเ่ หตผุ ลกระชบั เราต้องรู้จกั แยกแยะวา่ สว่ นใดที่เป็ นเหตผุ ล สว่ นใดเป็นอารมณ์ มิฉะนนั้ เราจะจบัใจความสาคญั ไมไ่ ด้บางคนตงั้ ใจฟังแต่ส่ิงท่ตี นอยากฟังเพราะเข้ากับความคิดของตน ไม่ยอมฟังส่งิ ท่ตี นไม่อยากฟังเพราะไม่ข้ากับความคิดของตน การแยกแยะอย่างนีถ้ ือเป็ นเร่ืองท่ผี ิดและทาให้เราเสียประโยชน์เราะไม่ได้ฟังความคิดรอบ ด้าน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook