ประวัตคิ วามเปน็ มากลองยาวกลองยาว เป็นเครือ่ งดนตรีของไทยมาแต่โบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าผู้ใดคิดประดิษฐข์ ึ้นกอ่ น แต่ได้กล่าวกัน ต่อๆมาว่าเป็นกลองที่ได้แบบอย่างมาจากพม่าในปลายสมัยกรุงธนบุรีหรือสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยที่ไทย กับพม่าทำสงครามกัน ในช่วงพักรบทหารพม่าก็พากันตีกลองยาวซึ่งได้นำติดตัวมาเป็นที่สนุกสนาน ชาวไทย ได้เห็นแบบอย่างมาเล่นบ้าง แต่บางกระแสกล่าวว่ากลองยาวของพม่านี้ มีชาวพม่าพวกหนึ่งนำเข้ามาเผยแพร่ ในประเทศไทยเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีบทร้องกราวรำยกทัพพม่าในการแสดงละคร เร่ือง พระอภัยมณีตอนสงครามเก้าทัพ บทร้องมดี ังน้ี ทุงเล ทงุ เล ทีนี้จะเห่พมา่ ใหม่ (ซำ้ ) ตกเข้ามาอยเู่ มอื งไทย มาเปน็ ผู้ใหญ่ตกี ลองยาว (ซำ้ ) ตีวอ่ งตีไวได้จงั หวะ ทนี จ้ี ะกะเปน็ เพลงกราว (ซำ้ ) เล่อื งชื่อลอื ฉาว ตกี ลองยาวสลัดได (ซำ้ ) บางท่านกล่าวว่า คำว่า “สลัดได” เป็นชื่อชาวพม่าที่เข้ามาสอนการเล่นกลองยาวให้ชาวไทย มีชื่อว่า “หม่องสลดั ได” ต่อมาคนไทยนำกลองยาวมาเล่นในงานที่มีกระบวนแห่ เช่น บวชนาคและทอดกฐิน เป็นต้น การเล่น กลองยาวเป็นท่ีนิยมกันมากในฤดูเทศกาล งานตรุษสงกรานต์และการเล่นกลองยาวได้แพร่หลายไปแทบทุก หวั เมอื ง เพราะเล่นง่ายสนุกสนาน วงหนงึ่ ๆสามารถใช้กลองยาวหลายลูกก็ได้ เคร่ืองดนตรีประกอบจังหวะที่ใช้ บรรเลงร่วมมี ฉ่งิ ฉาบ กรบั และโหมง่ เรยี กการเล่นชนิดว่า “เถดิ เทงิ ” หรอื “เทิง้ บอ้ งกลองยาว” ท่ีเรียกดังน้ี เขา้ ใจวา่ เรียกตามเสยี งทต่ี แี ละตามรูปลักษณะของกลองยาว เมื่อกลองยาวแพร่หลายเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่านักดนตรีที่บรรเลงอยู่ในวงปี่พาทย์ ประกอบการแสดงละคร คณะเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ได้นำวิธีการเล่นกลองยาวมาใช้ ในการแสดงละครพันทาง เร่ืองราชาธิราชตอนยกทัพพม่าและเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนพลายเพชร พลายบัว ออกศึกในราวปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากละครพันทางแล้ว ในการแสดงละครอิงประวัติศาสตร์ของหลวงวิจิตรวาทการ เรื่องเจ้าหญิงแสนหวีที่แสดง ณ โรงละครกรม ศิลปากร ในบริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติก็ได้นำเอาลีลาการเล่นกลองยาวมาประกอบเป็นระบำไว้ในละคร เรื่องนี้ด้วย เรียกว่า “ชุดกลองยาวเขมรัฐ” การเล่นกลองยาวมิได้มีเพียงแต่ในการแสดงละครเท่านั้น ในงาน นกั ขัตฤกษต์ า่ งๆ ก็ถือเปน็ ประเพณนี ยิ มทจี่ ัดการเล่นกลองยาวสืบมาจนทุกวนั น้ี
ส่วนประกอบของกลองยาว กลองยาวเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเป็นกลองหน้าเดียว ขึ้นหน้าด้วยหนังวัว โยงสายเร่งเสียง ดว้ ยหนังเรียด มีส่วนประกอบ ดงั นี้ ๑. ตัวกลองหรือที่เรียกว่า “หุ่นกลอง” นิยมทำด้วยไม้จริง เช่น ไม้ขนุน ไม้มะม่วง ไม้กระท้อน และไม้ จามจุรเี ป็นต้นไม่นยิ มใช้ไม้เน้ือแข็งเพราะมนี ้ำหนักมาก ไม่สะดวกต่อการสะพายตี ตัวกลองยาวมีด้วยกันหลาย ขนาดตั้งแต่เล็กจนใหญ่ เจาะทะลุเป็นโพงตลอดทั้งลูกตอนบนตั้งแต่หน้ากลองมาถึงบริเวณที่เป็นคอคอด มีลักษณะเป็นกระพุ้งอุ้งเสียงทรงกลม บริเวณกระพุ้งนี้จะใช้หนังเรียดโยงหน้ากลองเพื่อเร่งเสียง เป็นลักษณะ หา่ งๆ โดยรอบกระพุ้ง ตอนกลางถดั จากกระพุ้งลงมาจะคอ่ ยๆ เรียวคอดลงไปจนถึงปลายแล้วจึงค่อยๆผายบาน เป็นรปู ดอกลำโพง ๒. หน้ากลอง ทำจากหนังวัว มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่นิยมใช้ตั้งแต่ประมาณ ๘ - ๑๒ นิ้ว หน้ากลองทายางรัก เป็นวงกลมทขี่ อบ และบรเิ วณกึ่งกลางหน้ากลองเพื่อเป็นการรักษาหนังบรเิ วณนั้น เพราะเมอ่ื เวลาเลิกตีจะต้อง ขดู ขา้ วสกุ ออก ๓. ลำโพงกลองเป็นส่วนประกอบ ในส่วนท้ายของกลอง มีลักษณะบานตรงปลาย คล้ายรูปดอกลำโพง จึงเรียกสว่ นปลายทีบ่ านนี้วา่ “ลำโพงกลองยาว” ๔. กระโปรงกลองเป็นผ้าสีสด หรือผ้าดอกสวยงาม เย็บหุ้มหุ่นกลองยาว ตรงบริเวณกระพุ้งกลอง เพื่อมิให้ เห็นหนังเรียดและหุ่นกลองบริเวณนี้ บางครั้งมีการตกแต่งด้วยการปล่อยเชิงเป็นระบายต่างสี ๒ - ๓ ช้ัน สลับกัน เพ่ือใหส้ วยงามยง่ิ ขนึ้ เรียกผ้าท่หี ้มุ กลองน้วี า่ “กระโปรงกลองยาว” ๕. สายสะพาย สายสะพายผูกข้างหนึ่งที่หูห่วงริมขอบหน้ากลอง อีกข้างหนึ่งผูกไว้ที่ตอนกลางหุ่นกลอง ตรงบริเวณที่เรียวคอด สำหรบั ใช้คล้องสะพายบา่ เวลายืน โดยปกตมิ กั จะเรียกขนาดของกลองยาว ตามความกวา้ งของหน้ากลองเชน่ กลองยาว หน้า ๙ น้วิ กลองยาว หน้า ๑๐ น้ิว เป็นต้น ส่วนสูงนั้น ถ้าขนาดหน้า ๘ - ๙ นิ้ว จะสูงประมาณ ๗๐ - ๗๒ เซนติเมตร ถ้าขนาดหน้า ๑๐ - ๑๒ นิ้ว สูงประมาณ ๘๒ เซนติเมตร ก่อนตีกลองยาว ตรงกลางหน้ากลองที่มียางรักทาเป็นวงกลมเลก็ ๆ นน้ั จะตอ้ งติดข้าวสกุ บดผสมข้เี ถา้ ฟืน เพื่อถ่วงเสียงให้ได้เสยี งตามความต้องการของผู้ตี
การนั่งและการจบั กลองการน่ัง โดยปกติจะนั่งขัดสมาธิ วางกลองยาวในลักษณะเฉียงไปข้างซ้ายของลำตัวผู้ตีโดยให้กระพุ้งกลองยาวอยู่ บนตักของผู้ตีที่ส่วนบริเวณหางกลองยาวตั้งแต่ส่วนที่เรียวคอดต่อจากกระพุ้งกลองยาวไปจนถึงบริเวณที่เสียง จะออกไปในส่วนท้ายของกลองยาว ซึ่งเรียกว่า “ลำโพง” นั้นจะต้องแนบติดกับลำตัวไปด้านหลังของผู้ตี ส่วนมือของผู้ตีจะวางในลักษณะมือซ้ายวางบนกระพุ้งกลองยาว โดยคร่ึงมือส่วนนอก คือบริเวณนิ้วทั้งส่ี อยู่ตรงหน้ากลองยาว สำหรับครึ่งมือส่วนในจะวางอยู่บนกระพุ้งกลองยาว มือซ้ายที่กล่าวน้ี โดยทั่วไปจะทำ หน้าที่ยืนจงั หวะเบาเพื่อให้มือขวาไปเป็นมือขัด เช่น เปิ้งนะ เปิ้ง เปิ้ง เปิ้งนะ เปิ้ง เปิ้ง เป็นต้น ส่วนการวางมือ ขวานั้น จะวางในลักษณะครึ่งมือส่วนนอกอยู่ที่หน้ากลองยาว (อาจจะลึกเข้าไปในครึ่งมือส่วนในเล็กน้อยก็ได้ ตามแต่ถนัด) ครึ่งมือส่วนในอยู่กระพุ้งกลองยาว ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น คือเมื่อผู้ตีวางกลองยาว บนตักมือซ้ายจะอยู่บนมือขวาจะอยูล่ ่าง มือขวาที่จะกล่าวนีท้ ำหนา้ ที่มากกวา่ มือซ้าย โดยตียืนจงั หวะหลงั บ้าง ขัดจังหวะบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำนองจังหวะกลองยาว สำหรับผู้ที่ถนัดมือซ้ายให้ ทำทุกอย่างตรงกันข้ามกับ มอื ขวาทง้ั ส้นิ การปฏิบัตกิ ลองยาว วธิ กี ารตกี ลองยาว โดยบงั คบั มือให้เกดิ เสียงต่างๆโดยท่ัวไปมี ๗ เสยี ง ดงั น้ี ๑. เสียง “ป๊ะ” เป็นเสียงกลองยาวที่นิยมใช้ตีสอดแทรกกบั เสียงอืน่ วิธีการตีใช้ตีด้วยมือขวา โดยใช้มอื ขวา ตั้งแต่ปลายนิ้วมือทั้ง ๔ นิ้ว ตีกดลงไปบนหน้ากลองตรงสว่ นลา่ งของหน้ากลองยาวบรเิ วณที่ติดข้าวสุกส่วนล่าง จงึ เกดิ เสียง “ป๊ะ” ได้ ในกรณที ่ีฝึกหดั ตีเสยี ง “ป๊ะ” ให้ผ้ตู ใี ชม้ ือซา้ ยชว่ ยอีกมือหนึง่ ดว้ ยคอื ใชม้ ือซา้ ยตรงปลาย นิ้วที่อยู่บนขอบกลอง กดลงบนหน้ากลองส่วนบนเพื่อไม่ให้หนังหน้ากลองสั่นสะเทือนแลว้ ใช้มือขวาตีเป็นเสียง “ป๊ะ” ก็จะเปน็ เสยี งทีห่ นกั แน่นเสยี งหน่ึง ๒. เสียง “บ่อม” เป็นเสียงทม่ี ีใช้มากสำหรับการตีกลองยาวและใชต้ ีสอดแทรกกับเสยี งอื่นเช่นกันโดยท่ัวไป เสียง “บ่อม” จะใช้ในตอนแรกหลังจากโห่สามลา แล้วโหม่งขึ้นตั้งจังหวะต่อจากนั้นจึงตีเป็นเสียง “บ่อม” ดำเนินจังหวะเป็นทำนองกลองยาวทำนองแรก ก่อนที่จะตีทำนองอื่นต่อไป สำหรับวิธีการบังคับมือเพื่อให้เกิด เป็นเสียง “บ่อม” น้ีเป็นวธิ คี ่อนขา้ งง่ายโดยไมต่ ้องใชส้ ว่ นอืน่ ๆ ของร่างกายชว่ ย วธิ งี า่ ยๆ โดยกำมือขวาตีลงบน หน้ากลอง บริเวณที่ติดข้าวสุกเมื่อตีแล้วให้ผู้ตียกมือขึ้นเล็กน้อยจากหน้ากลอง เพื่อช่วยให้เสียงที่ตีแล้ว กงั วานข้นึ จงึ จะเกดิ เปน็ เสียง “บอ่ ม” ทต่ี ้องการ ๓. เสียง “เปิ้ง” หรือเสียง “เทิ่ง” เป็นเสียงที่เกิดจากการใช้มืออย่างเดียวกันหรือเสียงเดียวกัน โดยใช้ มือขวาครึ่งมือส่วนนอก (นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกัน) ตีลงที่มุมของหน้ากลองยาว เมื่อตีแล้วต้องเปิดมือขึ้นจาก หน้ากลองเล็กน้อยจึงเกิดเปน็ เสียง “เปิ้ง” เป็นเสียงทีน่ ยิ มมากท่ีสุดในบรรดาเสยี งต่างๆ และยังใช้ตสี อดแทรก สลับกับเสียงอื่นเช่นเดียวกัน เสียงเปิ้งนี้อาจใช้ในตอนใดตอนหนึ่งก็ได้ หลังจาก “บ่อม” ทั้งนี้ แล้วแต่ผู้คุมวง จะประสงค์ให้อยูใ่ นตอนหน่ึงตอนใด ๔. เสียง “เปิด” หรือที่ได้ยินกันว่า “เถิด” เป็นเสียงที่เกิดจากการบังคับมืออย่างเดียวกันนั่นเองคือใช้มือ ขวาบรเิ วณครงึ่ มอื สว่ นนอก (น้ิวทัง้ สเ่ี รียงชิดกัน) ตีลงที่มุมของหน้ากลองยาววธิ ีตีเสยี ง “เปิด” นี้ เม่ือตีแล้ว ผู้ตี ต้องกดปลายนิ้วมือทั้งสี่บนหน้ากลองด้วย จึงเป็นเสียง “เปิด” หรืออีกวิธีหนึ่ง คือใช้มือขวาตีเป็นเสียง
อย่างเสียง “เปิ้ง” โดยเปิดมือขึ้นเล็กน้อยขณะที่มือขวาเปิดมือในระยะเวลาใกล้เคียง มือซ้ายซึ่งวางบนขอบ กลองยาวด้านบนต้องรีบปิดมือกดหน้ากลองไว้ เสียงที่ตีออกมามักจะเป็นเสียง “เปิด” อนึ่งเสียง “เปิด” เปน็ เสียงทอี่ อกจะฟงั ยากสกั หน่อยถ้าผู้ฟังไม่สงั เกตมือผตู้ ี จะไม่สามารถทราบได้ว่าเสียงท่ีตีออกมาน้ันเป็นเสียง “เปิด” หรือ “เปิ้ง” กันแน่ นอกจากทั้งสองเสียงน้ีมีฐานท่ีเกดิ เสียงอย่างเดียวกัน แต่ผิดกันตรงท่ีการบังคับมอื ปิดไมเ่ หมือนกัน อกี ทง้ั ยงั เป็นเสยี งท่ีใชก้ นั น้อย จึงไมค่ อ่ ยได้ยินกนั บอ่ ย ๕. เสยี ง “นะ”เปน็ เสียงกลองยาวอีกเสยี งหนึ่ง คอื เสียงที่เกิดข้นึ เบาๆ จากมอื ซ้าย ซึง่ ดำเนินแบบยืนจังหวะ เบาๆ ใหก้ บั มอื ขวา เสียงท่ีกล่าวนีเ้ ป็นทำนองจงั หวะเซิ้งกระติ๊บขา้ วที่ใช้เสยี ง “นะ” ตแี ทนเสียง “ป๊ะ” นั่นเอง จะเหน็ ได้ว่าเสียง “นะ” เปน็ เสียงที่ตกจังหวะตลอด สว่ นเสยี ง “เปิ้ง” นั้นเปน็ เสยี งทีข่ ัดกบั เสียง “นะ” เรื่อยไป วิธีในทางปฏิบัติ เมื่อมือขวาตีเป็นเสียง “เปิ้ง” ในจังหวะขัด มือซ้ายก็ตีเป็นเสียง “นะ” เบาๆ สรุปได้ว่าเสียง “นะ” จะตีเป็นเสยี งท่ียนื จงั หวะให้กับมอื ขวาซึ่งตีเสียง “เปิ้ง” ๖. เสียง “เพริ่ง” เป็นเสียงกลองยาวที่ยังนิยมใช้ ไม่แพ้กับเสียงอื่นๆเช่นกัน ถ้าพิจารณาคำว่า “เพริ่ง” โดยเขียนเป็นคำอ่านคอื “พะ-เริ่ง” ซงึ่ เป็นคำควบกลำ้ ด้วย ร ฉะนน้ั เสียงกลองทต่ี ีเปน็ เสียง “เพริง่ ” นี้ คอื ใชท้ ั้ง มอื ขวาและมือซ้ายตีด้วยเสียงที่มนี ้ำหนกั เท่ากนั อาจใชม้ อื ขวาตกี ่อนแลว้ ตามดว้ ยมือซ้าย หรือจะใชม้ ือซ้ายแล้ว ตามด้วยมือขวาก็ได้ แต่ที่ถูกจะต้องตีด้วยมือซ้ายก่อน แล้วจึงตามด้วยมือขวา และใช้ตีมือละครั้ง ในลักษณะ ตีเปิดมือแบบเสียง “เปิ้ง” และต้องตีในเวลาอันกระชั้นที่สุดแต่ไม่ถึงกับตีพร้อมกันทั้งสองมือ เพียงแต่ตีให้เกิด เปน็ เสยี งเดียวกันสองครั้งในจงั หวะอันเดยี วกนั ๗. เสียง “พรู่” เป็นเสียงกลองยาวที่ขาดไม่ได้เป็นเสียงที่มีมาช้านานซึ่งการละเล่นกลองยาววงหนึ่งๆนั้น จะต้องขึ้นต้นเสียงโหส่ ามลา แต่ละลาก็ต้องรับท้ายจากโห่เสร็จว่า “ฮิ้ว” พร้อมกับตีกลองยาวเป็นเสียง “พรู่” และเมื่อครบสามลาแลว้ โหม่งจึงขึน้ ตั้งจังหวะ แล้วตามด้วยเสียงกลองยาวในทำนองจังหวะต่างๆ ทั้งนี้แลว้ แต่ ผู้ควบคุมวงจะใช้ทำนองจังหวะใดๆ บ้างว่าวิธีตีเสียงพรูนี้ จะใช้มือซ้ายและมือขวา ตีด้วยเสียงเท่ากนั (มือไหน ก่อนก็ได้) ตีในลักษณะ “รัว” คือการตีสองมือสลับกันถี่ๆ จะสั้นหรือยาวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ของคำวา่ “ฮ้ิว” เม่ือตีแล้วเสียงออกมาจะเกดิ เป็นเสยี ง “พรู่” เสียงกลองยาวและวิธีในการปฏิบัติที่กล่าวข้างต้น เป็นที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เห็นได้ว่าเสียงกลองยาวทุกๆ เสียงล้วนมีความสัมพันธ์กันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียง ป๊ะ - เปิ้ง , เปิ้ง - บ่อม หรือ ป๊ะ - เปิด เป้ิง เสียงเหล่านีจ้ ะสลับและสอดแทรกกันไป เป็นทำนองกลองยาวในลักษณะต่างๆกัน เสียงทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ผศู้ กึ ษาอาจจะนำวธิ ีตา่ งๆเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์อยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผนต่อไป
การไหวค้ รกู ลองยาวพธิ ีไหวค้ รู บูชาครูในโอกาสแสดงดนตรีเป็นวัฒนธรรมของวงดนตรีไทยทุกประเภท ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา นอกจากนี้ยังพบในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ ดนตรี นาฏศิลป์ อื่นๆ เช่น กลองยาว ลิเก ละคร เป็นต้น ซึ่งอาจ มคี วามแตกตา่ งกันออกไป ตามลกั ษณะของศิลปวทิ ยาการนั้นๆ แต่ดว้ ยเหตุผลเดียวกนั เพอื่ แสดงออกถึงความ กตเวทิตาต่อครูทั้งที่มีชีวิต เสียชีวิตและยังแผ่ไปถึงเทพเจา้ ทั้งหลาย ที่ถือว่าเป็นครูอาจารย์และเป็นผู้มอี ุปการ คุณตอ่ วิชาชพี นดี้ ้วย ก่อนการบรรเลงกลองยาวในพิธีกรรมต่างๆ พิธีกรรมของวงกลองยาวที่สำคัญที่ยังยึดถือปฏิบัติอยู่คือ การบูชาครู ที่เรียกกันทั่วไปว่า “ตั้งกำนล” สำหรับวงกลองยาวจะทำพิธีไหว้ครูโดยเรียกร้องสิ่งของที่จะ นำมาใช้ไหว้ครู ทเ่ี รยี กว่า “กำนล” จากเจ้าภาพ ซ่งึ ประกอบด้วยส่ิงของ ดังน้ี ๑. ดอกไม้ ธูป เทียน ๒. เงิน ๑๒ บาท ๓. สุรา ๑ ขวด ๔. บุหรี่ ๑ ซอง พิธีการไหว้ครู เมื่อเจ้าภาพมอบกำนลให้กับวงกลองยาวแล้ว โดยทั่วไปโต้โผวงกลองยาวหรือผู้อาวุโสที่สุด ในวง จะเปน็ ผู้ทำหน้าทป่ี ระกอบพธิ ไี หว้ครู โดยกล่าวคำบชู า ด้วยบทบชู าพระรัตนตรัยบทถวายดอกไมธ้ ูปเทียน บทไหวค้ รมู ีลักษณะ ดงั น้ี บชู าพระรตั นตรยั นะโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพทุ ธสั สะ ( ๓ จบ) ถวายดอกไมธ้ ปู เทียนบชู าครู นะโม ตสั สะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสมั พุทธสั สะ ( ๓ จบ) อมิ งั อัคคี พาหูบปุ ผงั อะหงั วนั ทา อาจาริยงั อุปวัสไสยัง วนิ าศสนั ติ สิทธิปะระปะชาอิมัสมิง ภะวนั ตุเต คำกล่าวบูชาครู นั้นอาจมีความแตกต่างกันไปบ้างตามแต่จะได้รับการสืบทอดมา นักดนตรีบางกลุ่ม กล่าวเป็นภาษาไทย บางกลุ่มกล่าวเป็นภาษาบาลีและบางกลุ่มกล่าวทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี สุดแต่ จะเลือกใช้ หลังจากกล่าวบูชาครูเรียบร้อยแล้ว ปล่อยระยะเวลาไว้ชั่วครู่ จึงทำการลาเครื่องบูชาครู เป็นอัน เสรจ็ พธิ ี หลังจากนน้ั เรมิ่ บรรเลงตามรปู แบบของวงกลองยาวตอ่ ไป
มอื ไหวค้ รูกลองยาว การเลน่ กลองยาวของชาวหมู่บา้ นเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมอื ง จงั หวัดกาญจนบุรี กอ่ นเร่ิมการแสดง จะต้องมีการประโคมกลองยาวอย่างกึกก้องเป็นการโหมโรง เพื่อเรียกคนให้เข้ามาชมการแสดงมากๆ การโหมโรงน้ี นอกจากจะเป็นการเรียกคนเข้าชมแลว้ ยงั นบั วา่ เป็นการบูชาครูอีกดว้ ย บางท่านจึงเรียกทำนอง จังหวะที่ใชป้ ระโคมเพื่อโหมโรงนี้ว่า “มือไหว้ครูกลองยาว” มือต่างๆที่ใช้ในการประโคมนี้ ถือว่าเป็นมือแม่บท ที่สามารถจะนำไปประดิษฐ์เป็นมือต่างๆได้อีกมากมาย และการประโคมดังกล่าวนี้เป็นแบบแผนที่ยึดถือสืบ ทอดกนั มาตลอด โดยทว่ั ไปกน็ ิยมประโคมเพ่ือเปน็ การโหมโรงเช่นนเี้ หมอื นกนั นอกจากนี้ คณะครู ศิลปินและนักเรียนในสังกัดกรมศิลปากร ได้รับการถ่ายทอดมือไหว้ครูกลองยาว ของชาวบ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเป็นประโยชน์แก่การศึกษาเรื่อง กลองยาว เป็นหลักฐานในการค้นควา้ ดงั นี้ มือท่ี ๑ - - - เปิ้ง มอื ไหวค้ รูกลองยาวแบบด้งั เดมิ - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - เปง้ิ - ป๊ะ ---- - เปิด - เปิ้ง ---- - ปะ๊ - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - บอ่ ม - - - บอ่ ม - - - เปิ้ง - - - เปิด - - - เปิ้ง - - - - - เปิด - เปิ้ง - - - เปิ้ง - ป๊ะ - เปิ้ง - ป๊ะ - - -เปิ้ง-บอ่ ม มือท่ี ๒ (พม่าเดินทพั ) - - - - - บ่อม - - - บ่อม - - -เปิ้ง-บ่อม มือที่ ๓ --บอ่ มบ่อม - บอ่ ม - - - บ่อม - - -เปิ้ง-บอ่ ม มอื ท่ี ๔ - - - - - เป้ิง - นะ - เปิ้ง - เปิด - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง ---- มือที่ ๕ (กราว) - - - - - - - เปิ้ง - - เป้งิ ป๊ะ - เปิ้ง - เปิ้ง มือท่ี ๖ - - - - - เปิ้ง - เปิด - - - - - เปิ้ง - เปิด - - - - - เปิ้ง - เปิด - ป๊ะ - - -เปิ้ง-บอ่ ม มือที่ ๗ - - - - - บ่อม - - - บอ่ ม - - -เปิ้ง-บ่อม - ป๊ะ - เปิ้ง - ปะ๊ - เปิ้ง - ปะ๊ - เปิ้ง -เปิ้ง-บ่อม
มอื ที่ ๘ (ฝรงั่ ยำ่ เทา้ ) - - - - -เปิ้ง-บ่อม - - - บ่อม - - - บ่อม มือท่ี ๙ - - - - -เปิ้ง-บอ่ ม - บอ่ ม - - -เปิ้ง-บอ่ ม มือท่ี ๑๐ - - - - - บอ่ ม - - - บอ่ ม - - - ปะ๊ - พรู่ - - - - - ปะ๊ - พรู่ - - - เปิ้ง -เปิ้ง-บ่อม มอื ที่ ๑๑ - - ป๊ะ ปะ๊ - เป้งิ - ป๊ะ - - ปะ๊ ป๊ะ -เปิ้ง-บ่อม - บ่อม - - -เปิ้ง-บอ่ ม มอื ที่ ๑๒ - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - ปะ๊ - เปิ้ง - - - เปิ้ง - ป๊ะ - เปิ้ง ---- - เปิด - เปิ้ง ---- - เปิด - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - - - เปิ้ง - ปะ๊ - - - เปิ้ง - ป๊ะ - - - เปิ้ง มือไหว้ครกู ลองยาว ปัจจุบันการพัฒนาศักยภาพดนตรีพื้นบ้านภาคกลางประเภทกลองยาวให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ปัจจุบัน ได้พัฒนารปู แบบการตีกลองยาวจากมือไหว้ครูของเดมิ เปน็ มือไหวค้ รปู จั จุบัน ดงั นี้ มือท่ี ๑ - - - เพริ่ง - - - เพร่งิ - - - เพร่งิ - - - เพร่งิ - - - เพรงิ่ - - - เพริง่ - - - เพริ่ง - - - เพริ่ง - - - - - เพริ่ง - ป๊ะ - - - เพร่งิ - - - เพร่ิง - - - - - เปิด - เปิ้ง - - - - - เปิด - เปิ้ง - - - เพริง่ - ป๊ะ - เปิ้ง - - - เพริ่ง - ป๊ะ - เปิ้ง - ปะ๊ - - -เปิ้ง-บ่อม - - - บ่อม - - - บ่อม มือที่ ๒ (พม่าเดินทพั ) - - - - - บอ่ ม - - - บอ่ ม - - -เปิ้ง-บอ่ ม มือท่ี ๓ --บ่อมบ่อม - บ่อม - - - บอ่ ม - - -เปิ้ง-บ่อม มอื ท่ี ๔ - - - - -เพร่ิง-ป๊ะ - เปิด - เปิ้ง - - - เพร่งิ - - - เพริ่ง - - - เพรง่ิ - - - เพริ่ง ----
มอื ที่ ๕ (กราว) - - - - - - - เปิ้ง - - เปิ้ง ป๊ะ - เปิ้ง - เปิ้ง มอื ที่ ๖ - - - - -เพริ่ง-เปิด - - - - -เพริง่ -เปิด - - - - -เพร่ิง-เปิด - ป๊ะ - - -เปิ้ง-บ่อม มอื ที่ ๗ - - - - - บ่อม - - - บอ่ ม - - -เปิ้ง-บอ่ ม - ป๊ะ - เปิ้ง - ปะ๊ - เปิ้ง - ปะ๊ - เปิ้ง -เปิ้ง-บ่อม มอื ท่ี ๘ (ฝรัง่ ยำ่ เท้า) - - - - -เพร่ิง-บ่อม - - - บอ่ ม - - - บอ่ ม มอื ท่ี ๙ - - - - -เพรงิ่ -บอ่ ม - บ่อม - - -เพร่งิ -บ่อม มือที่ ๑๐ - - - - - บ่อม - - - บ่อม - - - ปะ๊ - พรู่ - - - - - ป๊ะ - พรู่ - - - เปิ้ง -เปิ้ง-บอ่ ม มือที่ ๑๑ - - ป๊ะ ป๊ะ - เปิง้ - ป๊ะ - - ป๊ะ ปะ๊ -เปิ้ง-บ่อม - บอ่ ม - - -เปิ้ง-บอ่ ม มือที่ ๑๒ - - - เพริง่ - - - เพร่ิง - - - เพรง่ิ - - - เพรง่ิ - - - เพริง่ - - - เพรงิ่ - - - เพรง่ิ - - - เพร่ิง - ปะ๊ - เปิ้ง - - - เพริ่ง - ปะ๊ - เปิ้ง ---- ---- - - - เพริ่ง - - - เพริ่ง - - - เพริง่ - - - เพร่งิ -เพร่ิง-เพร่ิง - ปะ๊ - - -เพริ่ง-เพริ่ง - - - เพรง่ิ - - - เพรงิ่ - - - เพริ่ง -เพร่งิ -ป๊ะ
การบรรเลงของเคร่ืองประกอบจังหวะ อัตราจังหวะที่ใช้กับวงกลองยาวเรียกว่า “ชั้นเดียว” โดยมีเครื่องดนตรี คือ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง และใช้โน้ตระบบไทย เขียนเป็นแผนภูมิและแทนค่าเสียงของเครื่องดนตรีต่างๆ ตามคำที่นักดนตรีไทยนิยมใช้ เป็นภาษาปาก จังหวะ เครอ่ื งดนตรี - เบา - หนกั - เบา - หนกั - เบา - หนกั - เบา - หนกั - เบา - หนกั - เบา - หนกั - เบา - หนกั - เบา - หนกั ฉงิ่ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิง่ - ฉบั - ฉ่งิ - ฉับ - ฉ่ิง - ฉบั - ฉ่งิ - ฉับ - ฉง่ิ - ฉับ - ฉิ่ง - ฉบั - ฉ่งิ - ฉบั ฉาบเลก็ - - - - - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วบั - - - - - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ กรับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรบั - - - กรบั - - - กรับ - - - กรบั - - - กรบั โหม่ง ---โหมง่ ---โหมง่ ---โหม่ง ---โหมง่ ---โหมง่ ---โหม่ง ---โหม่ง ---โหมง่ จากแผนภมู ิอธบิ ายไดว้ ่า ๑. ฉิง่ เป็นผู้ดำเนินจงั หวะหลกั ควบคมุ จังหวะยอ่ ยทงั้ หนกั และเบา ๒. ทุกจังหวะหนักจะย้ำเสยี งดว้ ยเสียงกรับและโหมง่ ๓. ฉาบเล็กจะลงจังหวะขัดกับจังหวะหลัก เป็นการสรา้ งความมีชีวิตชวี าใหก้ ับทำนองกลองยาว เนือ้ ร้องกลองยาว การเล่นกลองยาวถ้าจะให้เกิดความสนุกสนานครึกครื้นเพ่ิมยิ่งขึ้น ผู้เล่นจะต้องร้องเพลงสอดแทรกไปตาม จังหวะต่างๆ ของกลองยาวที่ตีด้วยเนื้อร้องที่มีการกระเซ้าเย้าแหย่กนั ระหว่างหญิงกับชาย หรือเนื้อร้องที่ชวน ให้คิดเป็นสองแง่สองง่าม เนื้อร้องทำนองกลองยาวนี้มีมากมายหลายเน้ือแล้วแต่ผูใ้ ดจะคิดแต่งให้เป็นธรรมดา หรือพิสดารอยา่ งไรก็ได้ ดงั ต่อไปน้ี ตัวอยา่ งเนื้อร้องเพลงกลองยาว ๑. แฮ่แฮะ แฮ่แฮะ แฮ่ แฮ่แฮะ แฮแ่ ฮะ แช่วับ แชว่ บั แช่ แชว่ ับ แช่วบั (ซำ้ ทั้งหมด) ๒. เอา้ มาละเหวย เอ้ามาละวา (ซ้ำท้งั หมด) พอเสร็จงานนา เวลาใกลค้ ่ำ กลองยาวช้นั ดี เค้าตกี ระหน่ำ มาร่วม กนั รำ แล้วจะรำ่ จะรวย ตะละลา ๓. มาทนี่ ี่ เอย๋ ยงุ มันกัด (ซ้ำทง้ั หมด) จะไปตลาด จะไปซ้อื มุ้ง เรว็ ๆพวกเรา เพราะพวกกลองยาว เขากลัว ยุงกดั วบั แช่วับ แช่วับ แช่วบั ตะละลา ๔. พร่ี กั นอ้ งจริง นะแมต่ ิงตุ๊บเทง่ พ่ีรักนอ้ งแน่ หรือพ่อแซ่กุยเล้ง พร่ี กั น้องมัน่ น้องไมต่ อ้ งหวัน่ เกรง ถ้ารัก น้องแน่ ไปขอกับแม่นอ้ งเอง ตะละลา ๕. โฮ ฮโี้ ฮ ฮโี้ ฮ ฮโ้ี ฮ แมย่ ายตาย ไปตง้ั สามปี ไม่มเี งินเผาผี แมลงวันตอม โฮ ฮโี้ ฮ ฮี้โฮ ฮโี้ ฮ ๖. อีแต้ อแี ตว๋ อีต๊ะต้งุ ติ้ง (ซ้ำท้งั หมด) พอ่ แม่ยกให้ ชอบใจจรงิ ๆ ตะละลา ๗. มาแลว้ โหวย มาแล้ววา (ซ้ำ) มาแตข่ องเขา ของเราไมม่ า ตะละลา ๘. มาแลว้ โหวย มาแลว้ วา (ซำ้ ) มาแต่ป่า รอยตนี โต ตะละลา
๙. ต้อนไว้ ตอ้ นไว้ เอาไปบา้ นเรา (ซำ้ ทั้งหมด) บา้ นเราคนจน ไม่มคี นหงุ ข้าว ตะละลา ๑๐. ตอ้ นไว้ ตอ้ นไว้ เอาไปบ้านเรา (ซ้ำท้งั หมด) เอาไปหงุ ขา้ ว ให้พ่อเรากิน พอ่ ไม่อยู่ ใหป้ ู่เรากิน ปไู่ ม่อยู่ ให้เรากินเอง ตะลาลา ๑๑. ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว (ซ้ำทั้งหมด) ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย เอาวะเอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตะละลา ๑๒. ยักคว้ิ ยกั ค่อย เสยี หนอ่ ยเถอะ ลอยหนา้ ลอยตา เสียหน่อยเถอะ (ซำ้ ทัง้ หมด) ๑๓. เจ๊กตายลอยน้ำมา (ซ้ำ) ไมไ่ ดน้ ุง่ ผา้ ชฎาแหลมเช้ียบ (ซ้ำ) ๑๔. แม่สาวนครสวรรค์ (ซ้ำ) ชา่ งกล้าหาญเสยี นก่ี ระไร เอา้ ต่อเข้าไป (ซ้ำ) ไมต่ อ้ งกลวั ตาย อหี นู (ซ้ำ) ไมต่ ้องกลวั ร่วง อหี นู (ซ้ำ) ไมต่ ้องกลวั ตก อีหนู (ซ้ำ) ๑๕. บอกแม่จะไปเกบ็ ถั่ว (ซำ้ ) พอลบั ตาแมว่ ่งิ แรห่ าผวั ตะละลา ๑๖. บอกแมจ่ ะไปเก็บผัก (ซ้ำ) พอถึงท้องรอ่ งกระดองเตา่ หัก ตะละลา ๑๗. ลกู สาวใครเหวย ลูกชายใครวา (ซำ้ ทัง้ หมด) นางฟา้ เทวดา กส็ ไู้ ม่ได้ สวยอย่างนอ้ี ย่ามผี วั เลย เอาไว้ชมเชย อีหนู (ซ้ำ) ๑๘. แดงแจด๊ แดงแจ๊ด แดงแจ๋ (ซำ้ ท้งั หมด) แดงแจด๊ แจ๋ แดงแจ๋ แดงแจ๊ด (ซ้ำท้ังหมด) ๑๙. ดำป๊ิด ดำปิ๊ด ดำป๋ี (ซ้ำทัง้ หมด) ดำป๊ดิ ปี๋ ดำปี๋ ดำปดิ๊ (ซ้ำท้ังหมด) ๒๐. นา่ ดู อหี นูเสือ้ แดง (ซำ้ ทง้ั หมด) อีหนเู ส้อื แดง นา่ ดนู า่ ดู (ซ้ำทงั้ หมด) ๒๑. ไอ้ลูกกลมๆ เขาเรียกมะนาว ไอ้ลูกยาวๆ เขาเรยี กมะเขอื เอาไปเมอื งเหนอื ไปฝากเน้ือเย็น ตะละลา ๒๒. ไอล้ ูกกลมๆ เขาเรยี กมะนาว ไอล้ ูกยาวๆ เขาเรียกมะดนั ไอ้ลกู สั้นๆ เขาเรยี กพุทรา ตะละลา ๒๓. แบแบะ (ซำ้ ) ลกู ควายหลงแม่ ไมร่ ู้จะกินนมใคร กินนมตัก๊ แตน ทอ้ งแบนท้องควาย ตะละลา ๒๔. ทิงโนงโน้งโนง นกกิ้งโครง มาเกาะหลังคา (ซ้ำท้ังหมด) จบั แมวแจวเรือ จบั เสอื ไถนา จบั เป็ดจบั ไก่ จับไข่พ่อตา ตะละลา ๒๕. แต่ ตรุ ด้ี ตรุ ด้ี จ้งิ หรดี มนั อย่ใู นรู เอาไมแ้ หยร่ ู มันร้องจด๊ี ๆ ตะละลา ๒๖. ข้าวเหนียวสองปนั้ นำ้ ตาลสองปึก (ซ้ำท้งั หมด) คนแกก่ อดกัน หวั ส่ันหงึกๆ ตะละลา ๒๗. ใครมดี อกจิก มาแลกดอกจอก ใครมีดอกจอก มาแลกขา้ วสาร ใครมขี องหวาน มาแลกของคาว ผู้หญงิ หนา้ ขาว ผ้ชู ายหน้าดำ ตาละลา ๒๘. ใครมดี อกจกิ มาแลกดอกจอก ใครมีดอกจอก มาแลกดอกจาก แม่ค้าขายหมาก นมยาวโตงเตง ตะละลา ๒๙. ตอ้ นไว้ ต้อนไว้ เอาไปบ้านเรา (ซำ้ ท้งั หมด) พอ่ เราแก่ แมเ่ ราเฒา่ เอาไปหงุ ขา้ ว ใหพ้ อ่ เรากิน ตาละลา ๓๐. ไอล้ ูกกลมๆ เขาเรียกมะนาว ไอ้ลกู ยาวๆ เขาเรียกมะดนั สองลกู ติดกนั เขาเรียกอะไร ตะละลา ๓๑. กอ ขอ กอ กี (ซ้ำทั้งหมด) แมห่ มา้ ยนอนหลบั ขยับทุกที ตะละลา ๓๒. ผลใหญห่ ยวบๆ แมค่ า้ ขายบวม นมยาวโตงเตง ไม่มใี ครปราณี โยนมาเราเอง ตะละลา ๓๓. ไอย้ ื่นลงน้ำ เขาเรียกแหลมใหญ่ ไอส้ งู ขน้ึ ไป เขาเรยี กภเู ขา ไอล้ ูกเหมือนเตา่ เขาเรยี กอะไร หยุ ฮา ๓๔. ใครมกี ลว้ ยหอม มาแลกกล้วยไข่ ใครมไี ขไ่ ก่ มาแลกไข่เปด็ ผู้หญงิ เปน็ เพชร ผชู้ ายเป็นพลอย ตะละลา ๓๕. หุย ฮา โห่ ฮ้วิ
ตัวอย่างมือกลองยาวในขบวนแหป่ ระกอบพิธีอปุ สมบท วงกลองยาวเปน็ วงดนตรที ่ีคนไทยนิยมใชบ้ รรเลงสำหรับขบวนแห่ประกอบพิธีอุปสมบท ขณะทีว่ งกลองยาว แห่นาคไปวดั ใช้มือกลองมือท่ี ๑ เดินดง มอื ท่ี ๒ ฝร่งั ยำ่ เทา้ หรือดาวกระแซ เมื่อถึงวัดเวยี นรอบอุโบสถ ๓ รอบ ใช้มือกลอง มือที่ ๓ บ่อมเดียว มือที่ ๔ สามบ่อม มือที่ ๕ จ๊ะ เท่ง จ๊ะ และมือที่ ๖ รำวงเมื่อเวียนรอบอุโบสถ ๓ รอบแลว้ ส่งนาคเข้าโบสถ์ ใชม้ อื กลองมอื ท่ี ๗ สง่ นาคเข้าโบสถ์และมือที่ ๘ หรอื ๙ ลูกจบ ดังนี้ มอื ที่ ๑ (เดินดง) - - - - - - - เปิ้ง - เปงิ้ - - - เปิ้ง - เปิ้ง - - ปะ๊ ปะ๊ - ป๊ะ - เปิ้ง - เปง้ิ - - - เปิ้ง - เปิ้ง มอื ที่ ๒ (ฝร่ังย่ำเทา้ หรือดาวกระแซ) - - - - - บอ่ ม - - - บอ่ ม - - -เปิ้ง-บอ่ ม มอื ที่ ๓ (บอ่ มเดียว) - - - - - - - บ่อม - - - เปิ้ง -เปิ้ง-บอ่ ม มอื ที่ ๔ (สามบอ่ ม) - - - บอ่ ม - - - บอ่ ม - - - บอ่ ม -เปิ้ง-บ่อม มือท่ี ๕ (จ๊ะ เท่ง จะ๊ ) - - - ป๊ะ - เปิ้ง - ป๊ะ - - - เปิ้ง - เปิ้ง - เปิ้ง มือท่ี ๖ (รำวง) - - - - - ป๊ะ - - - ปะ๊ - - -เปิ้ง-บอ่ ม - - - - -เพร่งิ -เปิด - ปะ๊ - - -เปิ้ง-บอ่ ม มือที่ ๗ (สง่ นาคเขา้ โบถส์) - - - - -เปิ้ง-บอ่ ม - บ่อม - - -เปิ้ง-บอ่ ม มือที่ ๘ (ลกู จบแบบท่ี ๑) - ป๊ะ - เปิ้ง - ปะ๊ - เปิ้ง - เปิ้ง เปิ้ง - เปง้ิ เปิ้ง-ปะ๊ มือท่ี ๙ (ลูกจบแบบท่ี ๒) - - เปิ้ง เปิ้ง - - เปิ้ง เปิ้ง - - เปิ้ง เปิ้ง ปะ๊ - เปง้ิ เปิง้ - - เปิ้ง เปิ้ง ปะ๊ - เป้ิงเปิ้ง - - เปิ้ง เปิ้ง เปง้ิ เปงิ้ -ปะ๊
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: