Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยฐิติรัตน์ โป่อินทนะ 2562

วิจัยฐิติรัตน์ โป่อินทนะ 2562

Published by Thitirat Pointana, 2021-07-10 17:15:36

Description: วิจัยฐิติรัตน์ โป่อินทนะ 2562

Search

Read the Text Version

การพฒั นาทกั ษะการอ่านโดยใช้แบบฝึ กอ่านสะกดคา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 2 นางสาวฐิตริ ัตน์ โป่ อนิ ทนะ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแม่แจ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ สานักงานบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ งานวจิ ยั นีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการจดั การเรียนการสอนวชิ า ภาษาไทย ประจาปี การศึกษา 2562

การพฒั นาทกั ษะการอ่านโดยใช้แบบฝึ กอ่านสะกดคา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 2 นางสาวฐิตริ ัตน์ โป่ อนิ ทนะ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแม่แจ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ สานักงานบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ งานวจิ ยั นีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการจดั การเรียนการสอนวชิ า ภาษาไทย ประจาปี การศึกษา 2562

ก กติ ติกรรมประกาศ งานวจิ ยั ฉบบั น้ีคงไม่อาจสาเร็จสมบูรณ์ข้ึนมาได้ หากปราศจากความเมตตากรุณาจากท่าน รองผูอ้ านวยการวิเศษ ฟองตา ท่ีได้ให้ข้อมูลและคาแนะนาต่าง ๆ ซ่ึงเป็ นประโยชน์ต่อผูว้ ิจยั โดยเฉพาะการวางเคา้ โครง และแนวทางการเขียนเน้ือหาอา้ งอิง ตลอดจนการกาหนดกรอบเวลาใน การเสนอความคืบหนา้ ของงานวจิ ยั ซ่ึงถือเป็นแรงกระตุน้ ใหแ้ ก่ผวู้ จิ ยั ไดอ้ ยา่ งดียง่ิ ท้งั ท่านอาจารยย์ งั ไดส้ ละเวลาอนั มีค่าตรวจสอบความถูกตอ้ งงานวิจยั ท่ีผูว้ ิจยั ไดท้ า อีกดว้ ย ผูว้ ิจยั รู้สึกซาบซ้ึงใจใน พระคุณของทา่ นอาจารยเ์ ป็นอยา่ งยงิ่ จึงขอกราบขอบพระคุณทา่ นรองผอู้ านวยการไว้ ณ ที่น้ี งานวิจยั ฉบบั น้ีสาเร็จลงไดด้ ว้ ยความร่วมมือจาก นางวลิ าวลั ย์ ปาลี ผอู้ านวยโรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ 31 คณะครู และนกั เรียนในระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ท่ีไดใ้ ห้ความร่วมมือดว้ ย ความเต็มใจ ผูว้ ิจยั ขอขอบคุณผูท้ ่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ งทุกท่าน รวมท้งั ฝ่ ายวชิ าการของโรงเรียนท่ีได้ให้ การสนับสนุนให้คุณครูได้ทาการวิจยั เพ่ือให้เล็งเห็นถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาอนั เป็ น ประโยชน์อย่างยิ่งในการนาไปปรับปรุ งและพัฒนาการเรี ยนการสอนวิชาภาษาไทยให้มี ประสิทธิภาพมากข้ึน ผวู้ จิ ยั ขอแสดงความขอบคุณไว้ ณ โอกาสน้ี ขอกราบขอบพระคุณคณาจารยแ์ ละบุคคลตา่ ง ๆ อนั ผเู้ ขียนมิไดเ้ อ่ยนาม ที่ไดอ้ บรมสั่งสอน ให้ความรู้ทางดา้ นวิชาการแก่ผูว้ ิจยั รวมท้งั ได้แต่งตาราให้ผูว้ ิจยั ได้ใช้คน้ ควา้ อา้ งอิง จนทาให้ งานวจิ ยั ฉบบั น้ีสาเร็จลงได้ ผูว้ จิ ยั ขอขอบคุณกลั ยาณมิตรของทุกท่านท่ีไดใ้ ห้ความช่วยเหลือและเป็ นกาลงั ใจให้ผูว้ ิจยั ตลอดมา แต่หากงานวิจยั ฉบบั น้ีมีความบกพร่องประการใด คณะผวู้ ิจยั ขอนอ้ มรับความผดิ พลาดไว้ แต่เพยี งผเู้ ดียว นางสาวฐิติรัตน์ โป่ อินทนะ ผวู้ จิ ยั

ข ชื่องานวจิ ัย การพฒั นาทกั ษะการอ่านโดยใชแ้ บบฝึกอา่ นสะกดคา สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 ช่ือผ้วู จิ ัย นางสาวฐิติรัตน์ โป่ อินทนะ ช่ือโรงเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราห์ 31 ปี ทท่ี าการวจิ ัย 2562 บทคดั ย่อ การศึกษาวจิ ยั คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื 1. เพื่อแกป้ ัญหาการอ่านภาษาไทยท่ีไม่ถูกตอ้ งของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 โดยใชแ้ บบฝึกอ่านสะกดคา 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิในการอ่านคาก่อนและหลงั การสอน โดยใช้แบบ ฝึกอา่ นสะกดคา 3. เพือ่ สร้างแบบฝึกอา่ นสะกดคาสาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 การดาเนินการ 1. ใหน้ กั เรียนฝึกอ่านคาจากแบบฝึกอ่านสะกดคา 2. ทดสอบนกั เรียนหลงั การฝึกอา่ นสะกดคา 3. นาขอ้ มูลมาวเิ คราะห์และหาขอ้ สรุป ผลการศึกษาพบว่าการใช้แบบฝึ กอ่านสะกดคาทาให้ผลสัมฤทธ์ิในการอ่านสะกดคา ภายหลงั การทดลองเพ่มิ ข้ึนจากเดิม ร้อยละ 44.58

สารบญั ค บทคดั ยอ่ หนา้ กิตติกรรมประกาศ สารบญั ก สารบญั ตาราง ข สารบญั ภาพ ค บทท่ี 1 บทนา ง จ ท่ีมาและความสาคญั ของการวจิ ยั 1 วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 1 สมมติฐานของการวจิ ยั 4 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 4 ขอบเขตของการวจิ ยั 5 ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ 6 คาจากดั ความท่ีใชใ้ นการวิจยั 6 นิยามศพั ท์ 6 ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ 7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง 7 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการวจิ ยั 8 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 40 ประชากร 41 ตวั แปรในการวิจยั 41 สมมติฐานในการวจิ ยั 41 เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั 41 วธิ ีการดาเนินการรวบรวมขอ้ มูล 41 การวเิ คราะห์และสถิติท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 41 ภาคผนวก 44 ภาคผนวก ก ภาพการสอนโดยใชแ้ บบฝึกอ่านสะกดคา

สารบญั ตาราง ง ตารางท่ี 1 แสดงระยะเวลาในการดาเนินการวิจยั หนา้ 41

สารบญั รูปภาพ จ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิด ( Conceptual Framework ) หนา้ ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดการวจิ ยั 4 23

บทที่ 1 บทนา 1.1 ทม่ี าและความสาคัญของการวจิ ัย ภาษาไทยเป็นเอกลกั ษณ์ของชาติ เป็นสมบตั ิทางวฒั นธรรม อนั ก่อใหเ้ กิดความเป็ นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติใหม้ ีความเป็ นไทย เป็ นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อ สร้างความเขา้ ใจ และความสัมพนั ธ์ที่ดีต่อกนั ทาให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดาเนิน ชีวิตร่วมกนั ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็ นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งขอ้ มูลสารสนเทศตา่ ง ๆ เพ่ือพฒั นาความรู้ กระบวนการคิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และสร้างสรรค์ ใหท้ นั ต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคมและความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาไปใชใ้ นการพฒั นาอาชีพให้มีความมนั่ คงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียงั เป็ นส่ือแสดงภูมิ ปัญญาของบรรพบุรุษด้านวฒั นธรรม ประเพณี สุนทรียภาพเป็ นสมบตั ิล้าค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษแ์ ละสืบสานใหค้ งอยคู่ ู่ชาติไทยตลอดไป กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 37) ดว้ ยความสาคญั ดงั กล่าว หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ได้ กาหนดใหภ้ าษาไทยเป็ นทกั ษะท่ีตอ้ งฝึ กฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการ เรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพและเพอ่ื นาไปใชใ้ นชีวติ จริง กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 37) ดงั น้นั เด็กไทยทุกคนควรเรียนรู้และใชภ้ าษาไทยไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งทุกโอกาส ซ่ึงการเรียนการ สอนภาษาไทยเป็ นทกั ษะท่ีตอ้ งฝึ กฝนจนเกิดความชานาญ ในการใชภ้ าษาเพื่อการส่ือสาร การอ่าน และการฟังเป็ นทกั ษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขียนเป็ น ทกั ษะของการแสดงออกดว้ ยการแสดงความคิดเห็น ความรู้และประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยจึง ตอ้ งเรียนเพื่อการส่ือสาร ให้สามารถรับรู้ขอ้ มูลข่าวสารไดอ้ ย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถนาความรู้ ความคิดมาเลือกใชเ้ รียบเรียงคามาใชต้ ามหลกั ภาษาไดถ้ ูกตอ้ งตรงตามความหมาย กาลเทศะและใช้ ภาษาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 80)

2 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 มุ่งพฒั นาผเู้ รียนทุกคนซ่ึงเป็ น กาลงั ของชาติให้เป็ นมนุษยท์ ี่มีความสมดุลท้งั ดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็ น พลเมืองไทยและเป็ นพลโลก ยดึ มนั่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ ทรงเป็ นประมุข มีความรู้และทกั ษะพ้ืนฐาน รวมท้งั เจตคติท่ีจาเป็ นต่อการศึกษาต่อ การประกอบ อาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเนน้ ผเู้ รียนเป็ นสาคญั บนพ้ืนฐานความเช่ือวา่ ทุกคนสามารถ เรียนรู้และพฒั นาตนเองได้เต็มตามศกั ยภาพ กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 4)ธรรมชาติของ ภาษาไทยเป็นเรื่องทกั ษะ จะแยกเน้ือหาสาระของทกั ษะแต่ละช้นั ปี โดยเด็ดขาดไม่ได้ จาเป็ นจะตอ้ ง มีกระบวนการฝึ กทกั ษะต่าง ๆ ให้ต่อเน่ืองกนั ไป เน้ือหา เช่น การอ่านและการเขียนสะกดคา การ อ่านจับใจความ การเลือกใช้คาให้ตรงตามความหมาย การเขียนแสดงความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ ความตอ้ งการ จินตนาการ การนาความรู้จากการอ่านไปใช้ในการตดั สินใจ การ แก้ปัญหาและการดาเนินชีวิต จาเป็ นตอ้ งสอนทุกช้นั ในเรื่องของทกั ษะภาษา และแต่ละช้ันจะมี เน้ือหาในการฝึกทกั ษะที่เพิม่ ความซบั ซ้อนและยากมากข้ึน เช่น จานวนคาเพ่ิมมากข้ึน ประโยคที่ใช้ ยาวและซบั ซอ้ นข้ึน เร่ืองท่ีนามาอ่านยาวข้ึน กรมวชิ าการ (2544 : 22) กองวจิ ยั ทางการศึกษา กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ ไดป้ ระเมินสภาพการจดั การเรียน การสอนภาษาไทย ในโรงเรียนประถมศึกษาแล้วพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาไทยของ นกั เรียนมีคะแนนเฉล่ียอยใู่ นระดบั ค่อนขา้ งต่า สมรรถภาพท่ีมีปัญหาไดแ้ ก่ ทกั ษะการอ่านและการ เขียน ปัญหา คือการออกเสียงพยญั ชนะ สระ คาควบกล้าไมช่ ดั เจน การแจกลูกสะกดคา การใชห้ ลกั ภาษาไทยไม่ถูกตอ้ ง การแจกลูกสะกดคาเป็ นเร่ืองจาเป็ นมากสาหรับผูเ้ ริ่มเรียน หากครูไม่ไดส้ อน แจกลูกสะกดคาแก่นกั เรียนในระยะเริ่มเรียน การอ่านของนกั เรียนจะขาดหลกั เกณฑ์การประสมคา เมื่ออ่านหนงั สือมากข้ึน ทาให้สับสนอ่านหนงั สือไม่ออก เขียนหนงั สือผิด ซ่ึงเป็ นปัญหามากของ นกั เรียนไทยในปัจจุบนั ผลจากการอ่านหนงั สือไม่ออก เขียนไม่ได้ ยอ่ มส่งผลกระทบต่อการเรียน การสอนในวชิ าอ่ืน ๆ ดว้ ย เพราะการอ่านเป็ นเคร่ืองมือสาหรับการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง กรม วชิ าการ (2546 : 134) การสอนภาษาไทยใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคแ์ ละมีประสิทธิภาพน้นั จาเป็นตอ้ งฝึกทกั ษะต่าง ๆ ให้สัมพนั ธ์กนั ท้งั การรับเขา้ มา คือ การอ่านและการฟังกบั ทกั ษะการถ่ายทอดออกไป คือ การพูด

3 และการเขียน ในดา้ นการเขียน ถือเป็ นทกั ษะที่ยุ่งยากซับซ้อนและเป็ นทกั ษะถ่ายทอดที่สาคญั ต่อ การสื่อสารอยา่ งยงิ่ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ได้ทาการสารวจข้อมูลเบ้ืองต้น จาก สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาทวั่ ประเทศ พบวา่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 ปี การศึกษา 2549 มี ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ มีจานวน 79,358 คน คิดเป็ นร้อยละ 12.45 สานกั งานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 2 จึงจดั ทาโครงการพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทย อา่ นออกเขียนไดค้ รบ 100% นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 1-3 ข้ึน เพ่ือสนองนโยบายของสานกั งาน คณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน โดยให้ทุกโรงเรียนจดั การเรียนการสอนเนน้ นกั เรียนอ่านออก เขียนได้ 100% ปัจจุบนั โรงเรียนบา้ นแม่สา สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชียงใหม่เขต 2 ก็ยงั มี นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 บางคนที่ยงั อ่านหนงั สือไมค่ ล่อง จากขอ้ มูลสภาพปัญหา ความสาคญั และหลกั การดงั กล่าว ควรไดร้ ับการแกไ้ ขอยา่ งเร่งด่วน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ตวั ครูผสู้ อน ควรจะมีการศึกษาหาวธิ ีปรับปรุงพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ใหม้ ีประสิทธิภาพ ใหท้ ้งั ความรู้ทกั ษะการคิด ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กนั มีเทคนิค การสอนที่หลากหลาย ทาให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความแม่นยา จดจาง่าย และเข้าใจอย่างลึกซ้ึง จดั ระบบเชื่อมโยงความคิดตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั ผรู้ ายงานไดร้ ับมอบหมายให้รับผดิ ชอบในการจดั การเรียนการสอนวชิ าภาษาไทยพร้อมท้งั วดั และประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 พบว่าในปี การศึกษา 2562 นักเรียนมีปัญหาทางด้านอ่านไม่ออก เป็ นสาเหตุให้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนต่าและการที่นกั เรียนอ่านไม่ออกเขียนสะกดคาไม่ถูกตอ้ งยงั มี ผลกระทบตอ่ ไปในการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นอีกดว้ ย ผรู้ ายงานไดค้ ิดหาแนวทางแกป้ ัญหาดงั กล่าว จึงไดศ้ ึกษาหานวตั กรรมท้งั เก่าและใหม่นามา แกป้ ัญหา จึงพบว่าการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึ กสะกดคาจะทาให้ สามารถแกป้ ัญหาดงั กล่าวได้ ผูร้ ายงานจึงไดศ้ ึกษาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การสร้างแบบฝึ ก อา่ นสะกดคา เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอ่านสะกดคาของนกั เรียนและพฒั นาการเรียนการสอนภาษาไทย ใหม้ ีประสิทธิภาพมากยงิ่ ข้ึน

4 1.2 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 1. เพ่ือแกป้ ัญหาการอ่านภาษาไทยท่ีไม่ถูกตอ้ งของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 โดยใชแ้ บบฝึกอ่านสะกดคา 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิในการอ่านคาก่อนและหลงั การสอน โดยใชแ้ บบ ฝึ กอ่านสะกดคา 3. เพื่อสร้างแบบฝึกอ่านสะกดคาสาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 1.3 สมมติฐานของการวจิ ัย สมมติฐาน บตั รคามีผลต่อการพฒั นาการอา่ นคาของนกั เรียน ทาใหน้ กั เรียนอา่ นไดด้ ีข้ึน

5 1.4 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย กรอบแนวคดิ ( Conceptual Framework ) เหตุ / สาเหตุ (Causes) ผล (Effects) ผลกระทบ (Impacts) ครูมีกิจกรรมใหน้ กั เรียน นกั เรียนมีทกั ษะการอา่ น - นกั เรียนนาทกั ษะการ ไดฝ้ ึกทกั ษะนอ้ ย ภาษาไทยเพ่ิมข้ึน อา่ นภาษาไทยไปใชใ้ น ชีวติ ประจาวนั ได้ นวตั กรรม คล่องแคล่วยง่ิ ข้ึน แบบฝึ กอ่านสะกดคา - นกั เรียนมีเจตคติที่ดีต่อ (ตวั แปรตน้ ) การเรียนวชิ าภาษาไทย - นกั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวชิ า ภาษาไทยสูงข้ึน

6 1.5 ขอบเขตของการวจิ ัย 1.4.1 ประชากรท่ีใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 2 คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2562 1.4.2 ตวั แปรที่ศึกษาในการวจิ ยั คร้ังน้ี - ตวั แปรอิสระ ไดแ้ ก่ แบบฝึกอา่ นสะกดคา - ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นการอ่านสะกดคาหลงั เรียน กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 1.4.3 ระยะเวลาในการศึกษา ระยะเวลาท่ีใช้ในการศึกษา คือ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 12 ชว่ั โมง ท้งั น้ีไมร่ วมเวลาที่ใชใ้ นการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน 1.4.4 เครื่องมือที่ใชร้ วบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่ แบบทดสอบ 1.4.5 เน้ือหาที่ใช้ในการศึกษา เน้ือหาท่ีใช้ในการศึกษา ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สาระการอา่ น โดยใชแ้ บบฝึกอา่ นสะกดคา จานวน 12 ชุด 1.6 ข้อตกลงเบือ้ งต้น การใชแ้ บบฝึกอ่านสะกดคาน้ีจะตอ้ งใหน้ กั เรียนไดป้ ฏิบตั ิจริงตามข้นั ตอนท่ีกาหนด 1.7 คาจากดั ความทใี่ ช้ในการวจิ ัย 1.7.1 แบบฝึ กอ่านสะกดคา หมายถึง การฝึ กปฏิบตั ิตามกิจกรรมการอ่านคาที่ครูสร้างข้ึน โดยแบง่ การอ่านภาษาไทย เป็น 5 หน่วย ซ่ึงในแตล่ ะหน่วยประกอบดว้ ย เน้ือหา กิจกรรม และแบบ ประเมิน

7 1.7.2 ความสามารถดา้ นดา้ นทกั ษะการอ่านภาษาไทย หมายถึง คะแนนท่ีนกั เรียนสามารถ ทาไดจ้ ากแบบวดั ปฏิบตั ิทกั ษะการอ่านภาษาไทยที่ครูผสู้ อนสร้างข้ึนใช้ ท้งั ก่อนและหลงั การใชแ้ บบ ฝึกอา่ นสะกดคา 1.8 นิยามศัพท์ 1.5.1 แบบฝึ กอ่านสะกดคา หมายถึง แบบฝึ กอ่านสะกดคา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ที่ผรู้ ายงานสร้างข้ึนเพอ่ื ใชใ้ นการฝึกปฏิบตั ิดา้ นการอ่าน จานวน 12 ชุด 1.5.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการเรียนภาษาไทยของ นกั เรียนท่ีเรียนโดยใช้แบบฝึ กอ่านสะกดคา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 โดยวดั ไดจ้ ากคะแนนการทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนการอา่ นสะกดคาที่ผรู้ ายงานสร้างข้ึน 1.5.3 นกั เรียน หมายถึง นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ปี การศึกษา 2562 จานวน 2 คน 1.5.4 แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การอ่านสะกด คาที่ผรู้ ายงานสร้างข้ึน เพอื่ ทดสอบนกั เรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน 1.9 ประโยชน์ทไี่ ด้รับ 1.6.1 นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 2 คน อา่ นคาภาษาไทยไดด้ ีข้ึน 1.6.2 นาผลการวจิ ยั ไปดาเนินการเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมการอ่านภาษาไทยใหถ้ ูกตอ้ ง

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้อง การดาเนินการศึกษาคร้ังน้ี เพื่อพฒั นาทกั ษะการอ่าน โดยใช้แบบฝึ กอ่านสะกดคา กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ผูร้ ายงานได้ ศึกษาเอกสารวรรณกรรมและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 2. การเรียนการสอนภาษาไทย 2.1 แนวการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย 2.2 หลกั ในการเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย 2.3 สื่อการเรียนการสอนภาษาไทย 3. การอา่ น 3.1 ความหมายของการอ่าน 3.2 ความสาคญั ของการอ่าน 3.3 การอา่ นแจกลูกสะกดคา 1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ทาไมต้องเรียนภาษาไทย ภาษาไทยเป็ นเอกลกั ษณ์ของชาติเป็ นสมบตั ิทางวฒั นธรรมอนั ก่อใหเ้ กิดความเป็ นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติใหม้ ีความเป็ นไทย เป็ นเครื่องมือในการติดต่อส่ือสารเพ่ือ

สร้างความเขา้ ใจและความสมั พนั ธ์ท่ีดีต่อกนั ทาใหส้ ามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดารงชีวิต ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็ นเคร่ื องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งขอ้ มูลสารสนเทศต่าง ๆเพ่ือพฒั นาความรู้ พฒั นากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทนั ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความกา้ วหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาไปใชใ้ นการพฒั นาอาชีพให้มีความมน่ั คงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียงั เป็ น ส่ือแสดง ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษดา้ นวฒั นธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็ นสมบตั ิล้าค่าควรแก่การ เรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานใหค้ งอยคู่ ูช่ าติไทยตลอดไป เรียนรู้อะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเป็ นทกั ษะที่ตอ้ งฝึ กฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร การ เรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ และเพ่ือนาไปใชใ้ นชีวติ จริง การอ่าน การอ่านออกเสียงคา ประโยค การอ่านบทร้อยแกว้ คาประพนั ธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพ่ือสร้างความเขา้ ใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากส่ิงที่อ่าน เพ่ือนาไป ปรับใชใ้ นชีวติ ประจาวนั การเขียน การเขียนสะกดคาตามอกั ขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใชถ้ อ้ ยคาและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน ซ่ึงรวมถึงการเขียนเรียงความ ยอ่ ความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วเิ คราะห์วจิ ารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอยา่ งมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลาดบั เร่ืองราวต่าง ๆอยา่ งเป็ นเหตุเป็ นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ท้งั เป็ นทางการและ ไมเ่ ป็นทางการ และการพดู เพ่ือโนม้ นา้ วใจ หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกตอ้ ง เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิ พลของ ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพนั ธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทาความเขา้ ใจบทเห่ บท

ร้องเล่นของเด็ก เพลงพ้ืนบา้ นที่เป็ นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซ่ึงไดถ้ ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด คา่ นิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เร่ืองราวของสงั คมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อใหเ้ กิดความ ซาบซ้ึงและภูมิใจในบรรพบุรุษท่ีไดส้ ง่ั สมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบนั สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพอ่ื นาไปใชต้ ดั สินใจ แกป้ ัญหา ในการดาเนินชีวติ และมีนิสยั รักการอา่ น สาระท่ี 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ และเขียนเร่ืองราว ในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอยา่ งมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็น คุณคา่ และนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง

24 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรู้และความคิดเพื่อนาไปใชต้ ดั สินใจ แกป้ ัญหา ในการดาเนินชีวติ และมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ และเขียนเร่ืองราว ในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอยา่ งมีวจิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและสร้างสรรค์ สาระท่ี 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็น คุณค่าและนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง 2. การเรียนการสอนภาษาไทย 2.1 แนวการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาไทย อมั พร องั ศรีพวง (อา้ งในวมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน.์ 2549 : 94-95) ไดใ้ หแ้ นวการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยไวด้ งั น้ี

25 1) ฝึกทกั ษะการฟัง พดู อ่าน และเขียนใหถ้ ูกตอ้ ง คล่องแคล่ว โดยการฝึกทกั ษะแต่ ละอย่างให้แม่นยาแล้วจึงฝึ กทกั ษะท้งั 5 ให้สัมพนั ธ์กนั และส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิด สร้างสรรค์ 2) ฝึ กทกั ษะทางภาษาซ้า ๆ และบ่อย ๆ จนเกิดความชานาญ และหมน่ั ฝึ กฝน ทบทวนอยเู่ สมอ ครูผสู้ อนตอ้ งส่งเสริมใหน้ กั เรียนฝึกทกั ษะเป็นรายบุคคลอยา่ งทว่ั ถึง 3) ฝึ กให้ผูเ้ รียนรู้หลกั เกณฑ์ทางภาษาควบคู่ไปกบั การใชภ้ าษาและรู้จกั วฒั นธรรม ทางภาษา 4) ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนนาความรู้ และทกั ษะท่ีไดจ้ ากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็ น เครื่องมือส่ือสารในชีวติ ประจาวนั และใชเ้ ป็นพ้ืนฐานในการเรียนกลุ่มประสบการณ์อ่ืน ๆ 5) ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและตระหนัก ในความสาคญั ของภาษาไทย ท้งั ในส่วนท่ีจาเป็ นตอ้ งใช้เพื่อการสื่อสาร และในด้านการอนุรักษ์ มรดกทางวฒั นธรรมที่สาคญั ของชาติ 6) ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนเกิดความพึงพอใจความงดงามของภาษาเพื่อให้เกิดความ จรรโลงใจ โดยใช้ธรรมชาติ บทร้อยแกว้ และร้อยกรองท่ีเหมาะสมกบั วยั และระดบั ช้นั มาเป็ นสื่อ การเรียนการสอน 7) ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่ หาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพื่อ ประโยชนใ์ นการดารงชีวติ 8) สอดแทรกคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความมีระเบียบวินยั ความขยนั ความอดทน ความรับผดิ ชอบ 9) ฝึ กให้ผูเ้ รียนเป็ นคนช่างสังเกต จดจา และจดบนั ทึกสิ่งต่าง ๆ เพ่ือเสริมสร้าง ประสบการณ์ทางภาษา ไดร้ ับความรู้ ความเพลิดเพลิน และเป็นการใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ 10) นาภาษาท่ีใชใ้ นสังคมแวดลอ้ มมาเป็ นสื่อประกอบการเรียนการสอนเพ่ือให้ สัมพนั ธ์กบั การเรียนและสามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ ริงในชีวติ ประจาวนั

26 11) ให้แบบอยา่ งท่ีดีแก่นกั เรียน โดยเฉพาะเรื่องการใชภ้ าษาและการส่ือสารของ ครูผสู้ อน 12) วดั และประเมินผล โดยคานึงถึงวยั ระดบั ช้นั และพฒั นาการทางภาษาของ นกั เรียน 13)ส่งเสริมใหน้ กั เรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพื่อให้นกั เรียนพฒั นา ใหด้ ียงิ่ ข้ึนตามลาดบั 14) ศึกษา ติดตามและแกไ้ ขขอ้ บกพร่องทางภาษาของนกั เรียนอย่างสม่าเสมอ และต่อเน่ือง 15) จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาไทยด้วยความสนุกสนาน น่าสนใจ โดยใช้โปรแกรม เพลง รูปแบบการสอนอื่น ๆ และสื่อการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้ นกั เรียนเกิดความรักในการเรียนภาษาไทย 16) จดั ทาหนงั สือที่เหมาะสมใหผ้ เู้ รียนอ่านมาก ๆ หรือส่งเสริมการอ่านหนงั สือ ในหอ้ งสมุด เพ่ือใหน้ กั เรียนมีความรู้กวา้ งขวางข้ึน 2.2 หลกั ในการเลือกกจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาไทย กิจกรรมการเรียนการสอนมีมากมาย เราสามารถจดั ไดท้ ุกระยะของการเรียนการ สอนต้งั แต่ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน ข้นั สอน ข้นั สรุป และข้นั ประเมินผล ครูเป็ นผูเ้ ลือกกิจกรรมให้ เหมาะสมกบั บทเรียน โดยยดึ หลกั ดงั น้ี 1) เลือกใหเ้ หมาะสมกบั จุดประสงคข์ องบทเรียน 2) เลือกใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน เช่น ความยงุ่ ยาก ระดบั ความรู้ 3) เลือกโดยพิจารณาความสามารถของผูส้ อนดว้ ย เช่น ครูท่ีร้องเพลงไม่เก่งก็จะ ใชเ้ ครื่องบนั ทึกเสียงแทน

27 4) เลือกโดยพิจารณาสภาพแวดลอ้ มในการเรียนการสอน เช่น ถา้ หอ้ งเรียนแคบ การจดั ใหเ้ ล่นเกมแขง่ ขนั ก็อาจจะเกิดเสียงดงั ไปรบกวนหอ้ งอ่ืน และการเคล่ือนไหวกไ็ ม่สะดวก ครู ใชก้ ิจกรรมอ่ืนแทน หรือพานกั เรียนไปสนามหญา้ แทน 5) เลือกกิจกรรมใหค้ วามสนุกสนาน ปฏิบตั ิง่าย ไมซ่ บั ซอ้ น และยดื หยนุ่ ได้ 6) เลือกกิจกรรมท่ีใหแ้ นวคิดริเริ่มสร้างสรรคแ์ ละทุกคนมีส่วนร่วม วรรณี โสมประยูร (2544 : 193-194) ไดอ้ ธิบายถึงการจดั กิจกรรมการเรียนการ สอนเป็นการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยในระดบั ประถมศึกษาควรคานึงถึงจุดประสงค์ ความพร้อมของผเู้ รียนควรให้ผเู้ รียนมีพฒั นาการท้งั 4 ทกั ษะ คือ ฟัง พูด อา่ น เขียน และมีการฝึกฝน ทางภาษา มีการบูรณาการสอนกบั วชิ าอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนร่วมกิจกรรม การเรียนการสอนมากท่ีสุด เน้นให้ผูเ้ รียนรู้จกั คิดตดั สินใจเอง รู้จกั แกป้ ัญหาดว้ ยตนเองอยูเ่ สมอ ควรใชก้ ารสอนหลายๆ วธิ ี นอกจากน้ีครูควรสอดแทรกคุณธรรม และใหร้ ู้จกั การทางานร่วมกบั คน อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนการสอนนอกจากจะมีความสาคญั ในตวั มนั เองแล้วยงั เป็ น ปัจจยั สาคญั ที่ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนสามารถเรียนวิชาอ่ืน ๆ ไดอ้ ีก ดงั น้นั การเรียนการสอนภาษาไทยจึงไม่ น่าจากดั อยเู่ ฉพาะในชว่ั โมงภาษาไทยเทา่ น้นั ซ่ึงการสอนภาษาไทยควรยดึ หลกั ดงั น้ี ดา้ นตวั ผูส้ อน ควรสอนให้สอดคล้องกบั ธรรมชาติของผูเ้ รียน ผูส้ อนควรเป็ น แบบอยา่ งท่ีดีในการใชภ้ าษาในการทากิจกรรมการเรียนการสอนควรสอนเร่ืองใกลต้ วั ผเู้ รียนและ สอนใหส้ ัมพนั ธ์กบั วิชาอื่น ๆ นอกจากน้ีแลว้ ควรมีการประเมินผลเป็ นระยะ เพ่ือผเู้ รียนจะไดท้ ราบ ความกา้ วหนา้ ทางการเรียนของตวั เอง ด้านผูเ้ รียน ควรมีความพร้อมในการเรียนมีการศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง มีการ ฝึกฝนอยเู่ สมอ ดา้ นสื่อการเรียนการสอน ควรมีการใชส้ ่ือการเรียนการสอนเพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนรู้คา 2.3 สื่อการเรียนการสอนภาษาไทย

28 ส่ือการเรียนการสอนภาษาไทยมีความสาคญั ต่อการเรียนการสอนมาก เพราะสื่อ เป็ นตวั กลางท่ีจะช่วยให้การส่ือสารระหวา่ งครูกบั นกั เรียนให้เขา้ ใจตรงกนั และนกั เรียนก็สามารถ ทาความเขา้ ใจกบั บทเรียนไดง้ ่ายข้ึน ทาให้นกั เรียนมีความสนใจบทเรียนมากกวา่ การสอนที่มีแต่ครู อธิบายเพียงอยา่ งเดียว ส่ือการเรียนการสอนจะช่วยนาความมีประสิทธิภาพมาสู่การเรียนการสอน และนาความสาเร็จมาสู่วตั ถุประสงคท์ ่ีต้งั ไว้ ส่ือการสอน หมายถึง วสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ และกิจกรรมต่าง ๆ ท่ี ครูผูส้ อนใช้ถ่ายทอดความรู้และประมวลประสบการณ์ไปสู่ผูเ้ รียนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ บรรลุตามจุดประสงคท์ ่ีต้งั ไว้ พอจาแนกส่ือการสอนออกเป็น 3 ประเภทดงั น้ี 1) ส่ือประเภทวสั ดุ (Materials) หรือบางทีเรียกว่าสื่อประเภทเบา (Software) หมายถึง สื่อที่เกบ็ ความรู้อยใู่ นตวั เอง ซ่ึงจาแนกยอ่ ยออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ ก. สื่อประเภทท่ีสามารถถ่ายทอดความรู้ไดด้ ว้ ยตนเองไม่จาเป็ นตอ้ งอาศยั อุปกรณ์อ่ืนช่วย เช่น แผนที่ ลูกโลก รูปภาพ หุ่นจาลอง ฯลฯ ข. วสั ดุท่ีไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ไดโ้ ดยตวั เองจาเป็ นตอ้ งอาศยั อุปกรณ์ อื่นช่วย เช่น แผน่ เสียง ฟิ ลม์ ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ 2) สื่อประเภทอุปกรณ์หรือเครื่องมือ (Equipment) หมายถึง ส่วนที่เป็ นตวั กลาง หรือตวั ผา่ นทาให้ขอ้ มูลหรือความรู้ท่ีบนั ทึกไวใ้ นวสั ดุ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือไดย้ นิ เช่น เคร่ืองฉายแผ่นภาพโปร่งใส เคร่ืองฉายสไลด์ เคร่ืองฉายภาพยนตร์ เคร่ืองรับโทรทศั น์ เครื่อง เล่น แผน่ เสียง เป็นตน้ 3) สื่อประเภทเทคนิคหรื อวิธีการ (Techniques or methods) หมายถึง ส่ือที่มี ลกั ษณะเป็ นแนวคิดหรือรูปแบบข้นั ตอนในการเรียนการสอน โดยสามารถนาสื่อวสั ดุและอุปกรณ์ มาช่วยในการสอนได้ เช่น เกมและสถานการณ์จาลอง การสอนแบบจุลภาค การสาธิต เป็นตน้ สื่อการเรียนการสอนภาษาไทยมีหลายชนิด ซ่ึงจะขอกล่าวดงั น้ี

29 1) เกมต่าง ๆ การเล่นเป็ นสิ่งท่ีเด็ก ๆ ชอบเป็ นชีวิตจิตใจอยู่แลว้ ผูส้ อนสามารถ พลิกแพลงการเล่นแบบต่าง ๆ ของเด็กมาใชเ้ สริมทกั ษะทางภาษาของเด็กไดม้ ากมาย เช่นการเล่น เกมกระซิบฝึกทกั ษะการฟัง การเล่นทกั ทายฝึกทกั ษะการพูด นอกจากน้ียงั มีเกมอีกมากมายที่ผสู้ อน จะประยกุ ตใ์ หเ้ หมาะสมกบั เน้ือหาที่จะสอน เกมตา่ ง ๆ สามารถใชไ้ ดท้ ุกข้นั ตอนของการสอน ไม่วา่ จะเป็ นข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน ข้นั สอน ข้นั สรุปบทเรียน การเล่นเกมในแต่ละคร้ังผูส้ อนควรบอก จุดมุ่งหมายใหผ้ ูเ้ รียนทราบแน่ชดั วา่ ฝึ กทกั ษะใด กาหนดกติกา และเวลาในการเล่นให้แน่นอน การ เล่นเกมท้งั ท่ีไม่ตอ้ งใช้วสั ดุอุปกรณ์และตอ้ งใช้ เกมที่ต้องใช้วสั ดุอุปกรณ์ ผูส้ อนตอ้ งเตรียมไว้ ล่วงหนา้ หรือใหผ้ เู้ รียนเตรียม และเกบ็ ใหอ้ ยใู่ นสภาพเรียบร้อยเมื่อเล่นเสร็จ ตวั อยา่ งเกมต่าง ๆ เช่น เกมปิ งโก แข่งเคร่ืองบิน ตกปลา ต่อบตั รคา จา่ ยตลาด เกมกระซิบ เรียงคา ยส่ี ิบคาถาม ฯลฯ 2) บตั รคา เป็ นสื่อการเรียนการสอนที่ใชฝ้ ึ กทกั ษะดา้ นการอ่านและการเขียนไดด้ ี เป็ นสื่อที่ผูส้ อนนิยมใชก้ นั มาก เพราะใชป้ ระกอบการเรียนการสอนไดห้ ลายลกั ษณะ เช่น สอนคดั ลายมือ สอนคาใหม่ สอนคายาก สอนอา่ นออกเสียง สอนอ่านในใจ เล่นเกมเสริมทกั ษะตา่ ง ๆ 3) ปริศนาคาทาย เป็ นการเล่นของคนไทยมาแต่โบราณนิยมเล่นกนั ในหมู่เด็กและ ผใู้ หญ่ การทายปัญหาน้นั ฝึ กทกั ษะหลายดา้ น ท้งั การฟัง การพูด การคิด ไหวพริบในการแกป้ ัญหา จินตนาการ การแสดงออกทางภาษา ปริศนาคาทาย มีการจดั หมวดหมู่ไวห้ ลายหมวดหมู่ เช่น ประเภทสัตว์ ของใช้ พืชเป็นตน้ 4) เทปบนั ทึกเสียง เป็ นสื่อการเรียนการสอนที่โรงเรียนจดั หามาไวใ้ ห้ครูผูส้ อน เพราะใชง้ ่าย เคล่ือนยา้ ยไดส้ ะดวก ราคาไม่แพง ครูใชเ้ ทปบนั ทึกเสียงประกอบการสอนภาษาไทย โดยใชส้ อนอา่ นทานองเสนาะ สัมภาษณ์ บนั ทึกขา่ ว นิทาน เป็นตน้ 5) แผ่นป้ายสาลี เหมาะสาหรับใช้เป็ นส่ือการสอนในระดับช้ันเด็กเล็ก ช้ัน ประถมศึกษา แต่ก็อาจนาไปใชใ้ นระดบั ช้นั มธั ยมหรืออุดมศึกษาก็ได้ แผ่นป้ายสาลีสามารถใชต้ ิด บตั รคา บตั รภาพหรือรูปภาพได้ แต่เราตอ้ งยอมรับว่าบตั รคา หรือบตั รภาพท่ีติดบนป้ายสาลีน้นั อาจจะไม่มน่ั คง อาจร่วงหล่นได้

30 6) สไลด์ประกอบเสียง นามาใช้ง่ายและสามารถนามาเรียนแบบเอกตั บุคคลหรือ ประกอบการเรียนการสอนเป็ นกลุ่ม สไลด์ประกอบเสียงชุดใดที่จดั ทาอย่างดีก็จะให้คุณค่าต่อ กระบวนการเรียนรู้อยา่ งมาก 7) กระเป๋ าผนงั เป็ นแผน่ ไมบ้ าง ๆ ท่ีเป็ นรูปส่ีเหลี่ยมผืนผา้ ขนาดเท่ากบั แผ่นป้าย ผา้ สาลีใชก้ ระดาษแขง็ ทาเป็นร่องหรือกระเป๋ าขนาดใหญพ่ อที่จะเสียบบตั รคาได้ วธิ ีใชก้ ระเป๋ าผนงั ก็ จะใชค้ ลา้ ยกบั แผน่ ป้ายผนงั สาลี คือ ใชก้ บั บตั รคา บตั รขอ้ ความ บตั รภาพ 8) สถานการณ์จาลอง เปรียบเหมือนนามธรรมของชีวิตจริง หรือการทาให้ สภาพแวดลอ้ มหรือกระบวนการของชีวิตจริงให้ง่ายข้ึน โดยทวั่ ไปสถานการณ์จาลองจะเป็ นการ แสดงบทบาทที่เกี่ยวขอ้ งกบั บุคคลหรือสิ่งแวดลอ้ มท่ีสมมุติข้ึน เช่น อาชีพต่าง ๆ ความเป็นอยู่ ฯลฯ 3. การอ่าน การอ่านเป็ นทักษะทางภาษาที่สาคัญและจาเป็ นมากในการดารงชีวิตของมนุษย์ใน ชีวติ ประจาวนั ตอ้ งอาศยั การอ่านจึงจะสามารถเขา้ ใจและสื่อความหมายไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3.1 ความหมายของการอ่าน นิรันดร์ สุขปรีดี (2540 : 1) ให้ความหมายของการอ่านวา่ การอ่านคือ การเขา้ ใจ ความหมายของตวั ละคร หรือสญั ลกั ษณ์ ซ่ึงจะตอ้ งอาศยั ความสามารถในการแปลความ การตีความ การขยายความ การจบั ใจความสาคญั และการสรุปความ เรวดี อาษานาม (2537 : 77-78) ไดใ้ หค้ วามหมายของการอา่ น ดงั น้ี การอา่ น หมายถึง กระบวนการในการแบ่งความหมายของตวั อกั ษร หรือสัญลกั ษณ์ ที่มีการจดบนั ทึกอย่างมีเหตุผลและเข้าใจความหมายของส่ิงท่ีอ่าน ตลอดจนการพิจารณาเลือก ความหมายท่ีดีท่ีสุดข้ึนไปใช้เป็ นประโยชน์ดว้ ย จะเห็นไดว้ า่ การอ่านไม่ใช่การรับเอาความคิดจาก หนงั สือท่ีอา่ นเฉยๆ ผอู้ ่านไม่ใช่ผรู้ ับแต่เป็ นผกู้ ระทา สรุปไดว้ า่ เป็นผใู้ ชค้ วามคิดไตร่ตรองเรื่องราวที่

31 ตนเองอ่านเสียก่อน แล้วจึงรับเอาใจความของเรื่องที่ตนอ่านไปเก็บไวห้ รือนาไปใช้ให้เป็ น ประโยชนต์ ่อไป ดงั น้นั หวั ใจของการอ่านจึงอยทู่ ี่การเขา้ ใจความหมายของคา การอ่านในโรงเรียนประถมท่ีปรากฏกค็ ือการท่ีครูใหน้ กั เรียนคนหน่ึงอ่านประโยค หรือขอ้ ความนาแลว้ ใหค้ นอ่ืน ๆ อ่านตาม ผอู้ า่ นนาต้งั ใจอ่านใหเ้ สียงดงั ไดย้ นิ ทวั่ ท้งั ช้นั เพื่อเพื่อนจะ อ่านตามไดถ้ ูก ผูอ้ ่านตามมีหน้าที่อ่านอยา่ งเดียว ตาอาจจะมองสิ่งต่าง รอบตวั หูฟังเพ่ือนคุย ฯลฯ อ่านแลว้ จาไม่ไดแ้ ละไม่รู้ความหมายของขอ้ ความท่ีอ่าน ถา้ วิเคราะห์ตามความหมายขา้ งตน้ แลว้ ลกั ษณะแบบน้ียงั ไมเ่ รียกวา่ อ่านไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ การที่คนเราจะอ่านหนงั สือไดเ้ ร็วหรือชา้ น้นั องคป์ ระกอบอยา่ งหน่ึงของการอ่าน คือ การเคล่ือนไหวสายตาในการอ่านและความเขา้ ใจความหมายอยา่ งถ่องแท้ ในการอ่านจะตอ้ งมี การฝึ กอยู่เสมอและถูกตอ้ งตามวิธีการดว้ ยความเขา้ ใจความหมายของการอ่านมีความหมายต่าง ๆ กนั เมื่อเอย่ ถึงการอ่านตอ้ งมีความเขา้ ใจมาเก่ียวขอ้ งคือ เขา้ ใจในถอ้ ยคาท่ีอ่าน เช่น ถา้ มีเดก็ เห็นคาวา่ กา แลว้ เปล่งเสียงว่ากา ก็เขา้ ใจว่าเป็ นการอ่าน เช่นน้ีเป็ นการเขา้ ใจท่ีไม่ถูกตอ้ ง เพราะเด็กอาจไม่ เขา้ ใจ กา ท่ีเปล่งเสียงออกมาน้นั หมายถึง นกชนิดหน่ึงท่ีมีสีดา ร้อง กา กา กา หรืออาจหมายถึง กาท่ี ใชใ้ นการตม้ น้า หรืออาจไม่เขา้ ใจท้งั สองความหมายก็ได้ เม่ือเป็นเช่นน้ี จึงยงั ไมเ่ รียกวา่ การอ่าน แต่ เป็ นเพียงการเปล่งเสียงเท่าน้นั ดงั น้นั สิ่งท่ีนกั เรียนควรเขา้ ใจกบั ความหมายของการอ่าน ถา้ เป็ นการ อ่านท่ีตอ้ งเขา้ ใจความหมายของคา ซ่ึงจะทาใหน้ กั เรียนสามารถอา่ นเรื่องและสรุปเรื่องใหถ้ ูกตอ้ ง ประทีป วาทิกทินกร (2542 : 2) ไดใ้ หค้ วามหมายของการอา่ น คือ การรับรู้ขอ้ ความ ในขอ้ เขียนของตนเอง และของผูอ้ ื่น รวมท้งั การรับรู้เครื่องหมายสื่อสารต่าง ๆ เช่น เคร่ืองหมาย จราจร และเคร่ืองหมายที่แสดงในแผนภูมิต่าง ๆ สุนนั ทา มนั่ เศรษฐวิทย์ (2543 : 2) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็ น ลาดบั ข้นั ที่เก่ียวขอ้ งกบั การทาความเขา้ ใจความหมายของคา กลุ่มคา ประโยค ขอ้ ความและเร่ืองราว ของสารท่ีผอู้ ่ืนสามารถบอกความหมายได้ วรรณี โสมประยูร (2544 : 121) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็ น กระบวนการทางสมองที่ใชส้ ายตาสมั ผสั ตวั อกั ษรหรือส่ิงพิมพอ์ ่ืน ๆ รับรู้และเขา้ ใจความหมายของ

32 คาหรือสัญลกั ษณ์โดยแปลออกเป็ นความหมายท่ีใชส้ ่ือความคิดและความรู้ระหวา่ งผูเ้ ขียนกบั ผอู้ ่าน ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั และผอู้ ่านสามารถนาความหมายน้นั ๆ ไปใชป้ ระโยชน์ได้ ฉวีวรรณ คูหาภินนั ท์ (2545 : 1) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านคือความเขา้ ใจใน สัญลกั ษณ์ เครื่องหมาย รูปภาพ ตวั อกั ษร คาและขอ้ ความที่พมิ พห์ รือเขียนข้ึนมา ราชบณั ฑิตยสถาน (2546 : 1) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านไวว้ ่า หมายถึง การ อ่านตามตวั หนังสือ การออกเสียงตามตวั หนังสือ การดูหรือเขา้ ใจความจากหนังสือ สังเกตหรือ พิจารณาดูเพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจ การคิด การนบั ฉวลี กั ษณ์ บุญกาญจน (2547 : 3) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่าน คือ การบริโภคคา ที่ถูกเขียนออกมาเป็ นตวั หนังสือหรือสัญลักษณ์ โดยมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีเริ่มจาก “แสง” ท่ีถูกสะทอ้ นมาจากตวั หนงั สือ ผ่านเลนส์นยั น์ตาและประสาทตา เขา้ สู่เซลล์สมองไปเป็ น ความคิด (Idea) ความรับรู้ (Perception) และความจา ท้งั ระยะส้นั และระยะยาว วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 95-96) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านไวห้ ลายส่วน ดงั น้ี - ส่วนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถึง ลาดับข้ันท่ี เก่ียวขอ้ งกบั การทาความเขา้ ใจความหมายของคา กลุ่มคา ประโยค ขอ้ ความและเร่ืองราวข่าวสารท่ี ผอู้ ่านสามารถบอกความหมายได้ - ส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั จิตวิทยาพฒั นาการ หมายถึง การสอนอ่านจะตอ้ ง เขา้ ใจหลกั จิตวิทยาพฒั นาการทางภาษาของเด็กแต่ละวยั จดั สื่อการสอนให้สอดคล้องกบั ความ ตอ้ งการและความสนใจของเด็ก - ส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั ภาษาศาสตร์ หมายถึง การสอนอา่ นจะตอ้ งเขา้ ใจเสียง ฐานที่เกิดเสียงของพยญั ชนะ สระ วรรณยุกต์ เขา้ ใจหลกั ภาษาและการใช้ภาษา เพื่อนาหลกั การ เหล่าน้นั มาสอนอ่านและเขา้ ใจความหมายไดถ้ ูกตอ้ ง

33 - ส่วนท่ีเก่ียวขอ้ งกบั จิตวิทยาทางการศึกษา หมายถึง การนาหลกั จิตวทิ ยา มาใชท้ างการศึกษา เช่น ความพร้อมของการอ่าน ความสนใจ แรงจูงใจ การเสริมแรง และทฤษฎีที่ เก่ียวขอ้ ง เพื่อใชเ้ ป็นพ้นื ฐานในการพจิ ารณาการจดั กิจกรรมการอ่าน - ส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั วิชาการศึกษา หมายถึง การรู้จกั เลือกวิธีสอนอ่านท่ี เหมาะสมกบั วยั และระดบั ความสามารถในการอ่านของนกั เรียน ท้งั น้ีใหเ้ ป็ นไปตามข้นั พฒั นาการ เพื่อใหน้ กั เรียนประสบความสาเร็จในการอ่าน - ส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั จิตวิทยาดา้ นการจาและการลืม หมายถึง การที่ผอู้ ่าน สามารถจาเร่ืองและเก็บไวใ้ นสมอง ถา้ มีโอกาสเล่าใหผ้ อู้ ื่นฟังก็สามารถเล่าไดถ้ ูกตอ้ ง แต่การที่ผอู้ ่าน จะจาขอ้ ความท่ีอ่านไดก้ ็จะตอ้ งเขา้ ใจความหมายของคา รู้หนา้ ที่ของคา อีกท้งั สามารถแยกพยญั ชนะ สระ ตวั สะกด และวรรณยกุ ต์ ออกจากกนั ได้ อีกประการหน่ึงการที่ผอู้ ่านจะจาเรื่องไดม้ ากหรือน้อย น้นั ยงั ข้ึนอยกู่ บั ความสนใจของผอู้ า่ นที่มีต่อเร่ืองน้นั อีกดว้ ย สรุปความหมายของการอ่าน หมายถึง การเข้าใจความหมายของคา ประโยค ขอ้ ความ และเรื่องที่อ่าน และเร่ืองท่ีอา่ นมีความสาคญั ต่อประเทศชาติและพฒั นาตนเองให้ กา้ วหนา้ ผทู้ ่ีอ่านมากนอกจากไดร้ ับความรู้อยา่ งกวางขวา้ งแลว้ ยงั ทาใหผ้ อ่ นคลายความเครียด ซ่ึง เป็นประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการอา่ นนน่ั เอง สรุปได้ว่า การอ่านเป็ นกระบวนการทางสมองท่ีต้องใช้สายตาสัมผสั ตวั หนงั สือหรือส่ิงพิมพอ์ ื่น ๆ รับรู้และเขา้ ใจความหมายของคา ท่ีใชส้ ื่อความคิด ความรู้ ความเขา้ ใจ ระหวา่ งผเู้ ขียนกบั ผอู้ ่าน ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั และผอู้ า่ นสามารถนาเอาความหมายน้นั ๆ ไปใชป้ ระโยชน์ ได้ 3.2 ความสาคัญของการอ่าน วรรณี โสมประยรู (2544 : 121-123) ไดอ้ ธิบายถึงความสาคญั ของการอา่ นหนงั สือ มีผลต่อผอู้ ่าน 2 ประการ คือ ประการแรก อ่านแลว้ ได้ “อรรถ” ประการที่สอง อ่านแลว้ ได้ “รส” ถา้ ผูอ้ ่านสานึกอยู่ตลอดเวลาถึงผลสาคญั ของสองประการน้ี ย่อมจะไดร้ ับประโยชน์อย่างเต็มท่ีจาก

34 หนงั สือตรงตามเจตนารมณ์ของผูเ้ ขียนเสมอ การอ่านมีความสาคญั ต่อทุกคนทุกเพศทุกวยั และทุก สาขาอาชีพ ซ่ึงพอสรุปไดด้ งั น้ี 3.2.1 การอ่านเป็ นเคร่ืองมือที่สาคัญยิ่งในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดบั ผูเ้ รียน จาเป็ นตอ้ งอาศยั ทกั ษะการอ่านทาความเขา้ ใจเน้ือหาสาระของวิชาการต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองไดร้ ับ ความรู้และประสบการณ์ตามที่ตอ้ งการ 3.2.2 ในชีวิตประจาวนั โดยทว่ั ไป คนเราตอ้ งอาศยั การอ่านติดต่อสื่อสาร เพื่อทา ความเขา้ ใจกบั บุคคลอื่นร่วมไปกบั ทกั ษะการฟัง การพดู การเขียน ท้งั ในดา้ นภารกิจส่วนตวั และการ ประกอบอาชีพการงานต่าง ๆ ในสังคม 3.2.3 การอ่านสามารถช่วยให้บุคคลสามารถนาความรู้และประสบการณ์จากส่ิงที่ อ่านไปปรับปรุง และพฒั นาอาชีพหรือธุรกิจการงานที่ตวั เองกระทาอยใู่ หเ้ จริญกา้ วหนา้ และประสบ ความสาเร็จไดใ้ นท่ีสุด 3.2.4 การอา่ นสามารถสนองความตอ้ งการพ้ืนฐานของบุคคลในดา้ นตา่ ง ๆ ไดเ้ ป็ น อยา่ งดี เช่น ช่วยใหค้ วามมน่ั คงปลอดภยั ช่วยให้ไดร้ ับประสบการณ์ใหม่ ช่วยใหเ้ ป็ นท่ียอมรับของ สังคม ช่วยใหม้ ีเกียรติยศและชื่อเสียง ฯลฯ 3.2.5 การอ่านท้งั หลายจะส่งเสริมให้บุคคลได้ขยายความรู้และประสบการณ์ เพิ่มข้ึนอยา่ งลึกซ้ึงและกวา้ งขวาง ทาใหเ้ ป็ นผูร้ อบรู้ เกิดความมนั่ ใจในการพูดปราศรัย การบรรยาย หรืออภิปรายปัญหาต่าง ๆ นบั วา่ เป็นการเพ่ิมบุคลิกภาพและความน่าเช่ือถือใหแ้ ก่ตวั เอง 3.2.6 การอ่านหนังสือหรือส่ิงพิมพ์หลายชนิดนบั ว่าเป็ นกิจกรรมนนั ทนาการที่ น่าสนใจมาก เช่น อ่านหนงั สือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร นวนิยาย การ์ตูน ฯลฯ เป็ นการช่วยให้บุคคล รู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ และเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนานไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3.2.7 การอ่านเร่ืองราวต่าง ๆ ในอดีต เช่น อ่านศิลาจารึก ประวตั ิศาสตร์ เอกสารสาคญั วรรณคดี ฯลฯ จะช่วยให้อนุชนรุ่นหลงั รู้จกั อนุรักษม์ รดกทางวฒั นธรรมของคนไทย เอาไวแ้ ละสามารถพฒั นาใหเ้ จริญรุ่งเรืองตอ่ ไปได้

35 สรุปความสาคญั ของการอ่านว่าเป็ นเคร่ืองมือที่สาคญั ยิ่งในการแสวงหา ความรู้ การเรียนรู้ และพฒั นาสติปัญญาของคนในสงั คม พฒั นาไปสู่สิ่งท่ีดีท่ีสุดในชีวติ องคป์ ระกอบในการอา่ น อาจจะสรุปไดด้ งั น้ี 1) องคป์ ระกอบทางดา้ นร่างกาย 1.1) สายตา 1.2) ปาก 1.3) หู 2) องคป์ ระกอบทางดา้ นจิตใจ 2.1) ความตอ้ งการ 2.2) ความสนใจ 2.3) ความศรัทธา 3) องคป์ ระกอบทางดา้ นสติปัญญา 3.1) ความสามารถในการรับรู้ 3.2) ความสามารถในการนาประสบการณ์เดิมไปใช้ 3.3) ความสามารถในการใชภ้ าษาใหถ้ ูกตอ้ ง 3.4) ความสามารถในการเรียน 4) องคป์ ระกอบทางประสบการณ์พ้ืนฐาน 5) องคป์ ระกอบทางวฒุ ิภาวะ อารมณ์ แรงจูงใจและบุคลิกภาพ 6) องคป์ ระกอบทางสิ่งแวดลอ้ ม

36 มีผใู้ หค้ วามสาคญั ของการอ่านไวห้ ลายทา่ น ดงั น้ี สุนนั ทา มนั่ เศรษฐวิทย์ (2543 : 2) ไดอ้ ธิบายความสาคญั ของการอ่านว่าการอ่าน เป็ นเครื่องมือสาคญั ในการแสวงหาความรู้ การรู้และใชว้ ิธีอ่านที่ถูกตอ้ ง จึงเป็ นส่ิงจาเป็ นสาหรับ ผอู้ ่านทุกคน การรู้จกั ฝึ กฝนอ่านอยา่ งสม่าเสมอ จะช่วยใหผ้ อู้ ่านมีพ้ืนฐานในการอ่านที่ดี ท้งั จะช่วย ให้เกิดความชานาญและความรู้กวา้ งขวางด้วย ดงั น้ันการท่ีนักเรียนจะเป็ นผูอ้ ่านที่ดีจึงข้ึนอยู่กบั สภาพแวดลอ้ มท่ีครูเป็ นผูจ้ ดั เตรียมให้ อีกท้งั ยงั ตอ้ งผสมผสานกบั ความสนใจของผูอ้ ่าน เพื่อเป็ น แรงจูงใจที่ช่วยใหน้ กั เรียนไดอ้ า่ นอยา่ งสม่าเสมอ ฉวีวรรณ คูหาภินนั ท์ (2545 : 2) ไดอ้ ธิบายความสาคญั ของการอ่านวา่ การอ่านมี ความสาคญั ต่อชีวติ มนุษย์ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นอนั เป็นธรรมชาติของมนุษยไ์ ดท้ ุกเร่ือง ซ่ึงมีอยใู่ นทรัพยากรสารนิเทศทุกประการโดยเฉพาะความอยาก รู้ขอ้ มูลข่าวสารตา่ ง ๆ 3.3 การอ่านแจกลกู สะกดคา วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 97-99) ได้อธิบายความหมายของการแจกลูกมี ความหมาย 2 นยั คือ นยั แรก หมายถึง การแจกลูกในมาตราตวั สะกดแม่ ก กา กง กน กม เกย เกอว กก กด และกบ การแจกลูกจะเริ่มตน้ การสอนให้จา และออกเสียงพยญั ชนะและสระให้ได้ ก่อน จากน้นั จะเริ่มแจกลูกในมาตราแม่ ก กา จะใชก้ ารสะกดคาไปทีละคาไล่ไปตามลาดบั ของสระ แลว้ จึงอ่านโดยไม่สะกดคา จึงเรียกวา่ แจกลูกสะกดคา แลว้ อ่านคาในมาตราตวั สะกดทุกมาตราจน คล่อง จากน้ันจะอ่านเป็ นเร่ืองเพื่อประยุกต์หลักการอ่านนาไปสู่การอ่านคาที่เป็ นเร่ืองอย่าง หลากหลาย นยั สอง หมายถึง การเทียบเสียง เป็ นการแจกลูกวธิ ีหน่ึง เม่ือนกั เรียนอ่าน คาไดแ้ ลว้ ใหน้ ารูปคามาแจกลูกโดยการเปลี่ยนพยญั ชนะตน้ หรือพยญั ชนะทา้ ย เช่น บา้ น สูตรของ คา คือ ใหเ้ ปล่ียนพยญั ชนะตน้ เช่น กา้ น ป้าน ร้าน ลา้ น คา้ น เป็นตน้ หลกั การเทียบเสียง มีดงั น้ี

37 1. อา่ นสระเสียงยาวก่อนสระเสียงส้ัน 2. นาคาท่ีมีความหมายมาสอนก่อน 3. เปล่ียนพยญั ชนะท่ีเป็นพยญั ชนะตน้ และพยญั ชนะเสียงทา้ ย 4. นาคาที่อา่ นมาจดั ทาแผนภูมิการอ่าน เช่น กา มา พา ลา ยา คา้ มา้ ชา้ ลา้ นา้ บา้ น กา้ น ป้าน ร้าน คา้ น วธิ ีอา่ นจะไม่สะกดคาใหอ้ ่านเป็นคาตามสูตรของคา เช่น อ่าน กา สูตรของคา คือ -า นาพยญั ชนะมาเติมและอา่ นเป็นคา เช่น ยา ทา หา นา ตา อา การสอนแบบการแจกลูกสาหรับนกั เรียนแรกอ่าน (ช้นั ป.1 และ ป. 2) มีหลกั การสอนดงั น้ี 1. เริ่มจากสระที่ง่ายท่ีสุดคือ สระ -า 2. ใชแ้ ผนผงั ความคิดแจกลูก โดยเลือกคาที่มีความหมายก่อน 3. ผเู้ รียนอ่านออกเสียงคาและทาความเขา้ ใจความหมาย 4. นาคาจากแผนผงั ความคิดมาแตง่ ประโยค 5. อ่านประโยคท่ีแต่ง 6. เขียนประโยคที่แต่ง สรุป การแจกลูก ในรูปแบบเช่นน้ี สามารถที่จะแจกต่อไปไดอ้ ีก เช่น แจก สระ เ- แ- โ- ไ- ใ- เ-า ฯลฯ และนามาแตง่ ประโยคโดยการบูรณาการกบั คาท่ีประสมกบั

38 สระอ่ืน ซ่ึงจะช่วยให้นกั เรียนเกิดการเรียนรู้ และสามารถนาไปแต่งประโยคท่ียากและซับซ้อนข้ึน ได้ เพราะเป็นการเรียนจากเรื่องที่ง่ายไปสู่เร่ืองท่ียาก และยงั ได้ให้ความหมายของการสะกดคา ดงั น้ี การสะกดคา หมายถึง การอ่านโดยนาเสียงพยญั ชนะตน้ สระ วรรณยุกต์ และตวั สะกดมาประสมเป็ นคาอ่าน การอ่าน สะกดมาประสมเป็ นคาอ่าน การอ่านสะกดคาจะตอ้ งใหน้ กั เรียนสังเกตรูปคาพร้อมกบั การอ่าน การ สอนอ่านสะกดคาพร้อมกบั การเขียน ครูตอ้ งให้อ่านสะกดคาแลว้ เขียนคาไปพร้อมกนั การสอน สะกดคาโดยการนาคาที่มีความหมายมาสอนก่อน เมื่อสะกดคาจนจาไดแ้ ลว้ จึงแจกคา เพราะการ สะกดคาจะเป็นเคร่ืองมือการอ่านคาใหม่โดยเริ่มจากคาง่ายๆ แลว้ บอกทิศทางการออกเสียงแลว้ แจก คาโดยเปลี่ยนพยญั ชนะตน้ เรวดี อาษานาม (2537 : 83 - 84 ) ไดอ้ ธิบายถึงการอ่านสาหรับเด็กท่ียงั ไม่เรียน หนงั สือ ให้สามารถอ่านและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดหรือคาพูดออกมาเป็ นตวั หนงั สือ นบั ต้งั แต่ เริ่มมีการสอนหนงั สือไทยจนถึงปัจจุบนั ไดก้ ล่าวถึง การอา่ นแบบแจกลูกสะกดคา ดงั น้ี คือการสอน ท่ีถือวา่ คาประกอบดว้ ยรูปและเสียงของพยญั ชนะ สระ วรรณยุกต์ ตวั สะกด ฯลฯ เวลาสอนอ่าน แทนท่ีจะอ่านเป็ นคา ๆ มีความหมายเลยท่ีเดียว ก็ตอ้ งไล่พยญั ชนะสระ ฯลฯ ใหอ้ อกเสียงไดถ้ ูกตอ้ ง เป็นคา ๆ อีกทีหน่ึง เป็นการช่วยใหอ้ ่านคาได้ เพราะผอู้ ่านรู้จกั พยญั ชนะ สระ ตวั สะกด แลว้ ช่วยพา ไป เช่น จาน นกั เรียนสะกดคาวา่ จอ -า - จา - จา - นอ - จาน หรือ จ -า - น - จาน บา้ น นกั เรียนสะกดคาวา่ บ -า - บา บา - น - บาน หรือ บาน - ้้ - บา้ น วิธีน้ีช่วยใหเ้ ดก็ รู้จกั หลกั เกณฑข์ องการเรียงลาดบั ตวั อกั ษรภายในคาหน่ึงๆ เพ่ือจะ ได้

39 ออกเสียงไดช้ ดั เจน และเขียนคาน้นั ไดถ้ ูกตอ้ ง กรมวิชาการ (2546 : 133 - 134) ไดอ้ ธิบายการอ่านแจกลูกและการสะกดคาเป็ น กระบวนการข้นั พ้ืนฐานของการนาเสียงพยญั ชนะตน้ สระ วรรณยุกตแ์ ละตวั สะกด มาประสมเสียง กนั ทาให้ออกเสียงคาต่าง ๆ ท่ีมีความหมายในภาษาไทย การแจกลูกและสะกดคาบางคร้ังรวม เรียกวา่ การแจกลูกสะกดคาจะดาเนินไปดว้ ยกนั อยา่ งประสมกลมกลืน เพอ่ื ใหน้ กั เรียนไดห้ ลกั เกณฑ์ ทางภาษาท้งั การอ่านและการเขียนไปพร้อมกนั และยงั ไดก้ ล่าวถึงความสาคญั ของการแจกลูกสะกด คา เป็ นเร่ืองท่ีจาเป็ นมากสาหรับผูเ้ ร่ิมเรียน หากครูไม่ไดส้ อนการแจกลูกสะกดคาแก่นกั เรียนใน ระยะเร่ิมเรียนการอ่าน นกั เรียนจะขาดหลกั เกณฑ์การประสมคา ทาให้เมื่ออ่านหนงั สือมากข้ึนจะ สับสน อ่านหนงั สือไม่ออก เขียนหนงั สือผดิ ซ่ึงเป็ นปัญหามากของเด็กนกั เรียนไทยในปัจจุบนั ผล จากการอา่ นไมอ่ อกเขียนไมไ่ ด้ ยอ่ มส่งผลกระทบตอ่ การเรียนวชิ าอื่น ๆ ดว้ ย การอ่านเป็ นส่ิงท่ีมีความสาคัญต่อทุกคนที่จาเป็ นอย่างย่ิงที่ต้องนาไปใช้ใน ชีวติ ประจาวนั สมควร นอ้ ยเสนา (2549 : 21 - 22) ไดส้ รุปความสาคญั ของการอ่าน ดงั น้ี ความสาคญั ของการอา่ นจะเป็นสิ่งท่ีช่วยมนุษยด์ ารงชีวติ อยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุขน้นั มี 4 ประการ คือ 1) ช่วยในการเรียนรู้ 2) เสริมสร้างประสบการณ์ใหมๆ่ 3) ช่วยใหเ้ กิดความเพลิดเพลิน 4) องคป์ ระกอบพ้นื ฐาน ผอู้ ่านจะประสบความสาเร็จทางการอ่านมากหรือน้อยข้ึนอยกู่ บั ส่ิงต่อไปน้ี วฒุ ิภาวะ อายุ เพศ ประสบการณ์ สมรรถวสิ ยั ความบกพร่องทางร่างกาย และการจูงใจ

40 บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการวจิ ยั 3.1 กรอบดาเนินการวจิ ัย การศึกษา / การวเิ คราะห์ 1.ศึกษา วเิ คราะห์สภาพปัญหา เร่ืองการอา่ นภาษาไทย 2.ศึกษาทฤษฎี หลกั การที่เกี่ยวขอ้ งกบั การอ่านสะกดคาภาษาไทย และเอกสารงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง สร้างเคร่ืองมือการวจิ ยั บตั รคาพื้นฐานภาษาไทยช้ันประถมศึกษาปี ที่ 3 เคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมข้อมูล ข้นั สร้าง ข้นั สร้าง - กาหนดแบบฝึ กอ่านสะคา จานวน 12 ชุด 1. แบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้วชิ าภาษาไทย เรื่อง การ - สร้างแบบฝึ ก แบบทดสอบ แบบประเมินผล ตารางสรุป อา่ นสะกดคา ก่อนเรียนและหลงั เรียน การวดั และประเมินผล และ แบบบนั ทึกผลคะแนน 2. แบบประเมินความพงึ พอใจในการทากิจกรรมการอ่าน สะกดคา โดยใชแ้ บบฝึ กอา่ นสะกดคา แบบทดสอบในแต่ละชุด ข้นั พฒั นา ข้นั พฒั นา 1.เสนอตอ่ ผเู้ ชี่ยวชาญเพอ่ื ประเมนิ ความสอดคลอ้ งและ 1. เสนอแบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้วชิ าภาษาไทย ต่อท่ี ความเหมาะสม แลว้ นามาปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่อง ปรึกษางานวจิ ยั ช้นั เรียนตรวจสอบและปรับปรุงแกไ้ ข 2. ทดลอง (try – out) กบั นกั เรียนที่ไมใ่ ช่กล่มุ ตวั อยา่ ง 2. ผเู้ ช่ียวชาญประเมินตรวจสอบ เพอ่ื นามาปรับปรุงแกไ้ ข ประเมนิ ประสิทธิภาพแบบ 1:1 (นกั เรียน 3 คน) และ 1:3 แลว้ นามาวเิ คราะห์ค่าดชั นีท่ีสอดคลอ้ ง (นกั เรียน 9 คน) 3. นาแบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียน ที่เคยเรียนมาแลว้ ข้นั นาไปใช้ 4. วเิ คราะหห์ าความยากง่าย อานาจจาแนก และหาความ เช่ือมน่ั ของขอ้ สอบ นาไปใชก้ บั นกั เรียนกลมุ่ ตวั อยา่ ง ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 5. แบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้วชิ าภาษาไทย มีคุณภาพ ตามเกณฑท์ ่ีกาหนด เก็บรวบรวม/วเิ คราะห์ขอ้ มูล สรุปรายงาน

41 3.2 ประชากร ประชากรกลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ในคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ภาค เรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จานวน 2 คน 3.3 ตัวแปรในการวจิ ัย ตวั แปรอสิ ระ แบบฝึกอ่านสะกดคา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 ตวั แปรตาม ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านคาพ้ืนฐานหลงั เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 3.4 สมมติฐานในการวจิ ัย สมมติฐาน แบบฝึ กอ่านสะกดคามีผลต่อการพฒั นาการอ่านคาของนกั เรียน ทาให้นกั เรียน อา่ นไดด้ ีข้ึน 3.5 เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย 1. แบบฝึกอ่านสะกดคา ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 จานวน 12 ชุด 2. แบบทดสอบก่อนเรียน เร่ือง การอา่ นสะกดคาของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 3. แบบทดสอบหลงั เรียน เร่ือง การอา่ นสะกดคาของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 3.6 วธิ ีการดาเนินการรวบรวมข้อมูล การดาเนินการรวบรวมขอ้ มูลในการวิจยั คร้ังน้ีใช้วิธีการสร้างบตั รคาและให้นกั เรียนได้ ทดสอบการอา่ นคา ระยะเวลาในการเก็บขอ้ มูลเริ่มต้งั แต่ พฤศจิกายน 2562 - กุมภาพนั ธ์ 2563

42 สัปดาห์ที่ เนื้อหา กจิ กรรม เครื่องมือ สปั ดาห์ที่ 1 คร้ังท่ี 1 คาที่ประสมสระ -ะ - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน และสระ -า - อธิบายวธิ ีการอา่ น - แบบทดสอบ ประสมคา - คร้ังท่ี 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน คาท่ีประสมสระ -ะ - อธิบายวธิ ีการอ่าน - แบบทดสอบ และสระ -า ประสมคา สปั ดาห์ที่ 2 คร้ังท่ี 1 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน - คาที่ประสมสระ และสระ - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ สปั ดาห์ที่ 3 - คร้ังที่ 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน คาที่ประสมสระ - สัปดาห์ที่ 4 และสระ - - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ - คร้ังที่ 1 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน สัปดาห์ที่ 5 คาท่ีประสมสระ - และสระ - - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ คร้ังที่ 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คาท่ีประสมสระ - และสระ - - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ คร้ังที่ 1 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คาที่ประสมสระ - และสระ - - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ คร้ังท่ี 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คาท่ีประสมสระ - และสระ - - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ คร้ังที่ 1 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คาท่ีประสมสระ เ- -อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ และสระ แ-

43 สัปดาห์ที่ เนื้อหา กจิ กรรม เคร่ืองมือ - คร้ังที่ 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน สปั ดาห์ท่ี 6 คาที่ประสมสระ เ- - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ - และสระ แ- - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน สัปดาห์ที่ 7 คร้ังท่ี 1 - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ - คาที่ประสมสระ โ- สระ ไ- , ใ- - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น สปั ดาห์ท่ี 8 - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ - คร้ังที่ 2 คาท่ีประสมสระ โ- - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน สัปดาห์ท่ี 9 สระ ไ- , ใ- - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ - คร้ังที่ 1 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน สปั ดาห์ท่ี 10 คาที่ประสมสระ- - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ และสระ เ - - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คร้ังท่ี 2 -อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ คาที่ประสมสระ - และสระ เ - - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ คร้ังท่ี 1 คาที่ประสมสระ เ - - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น และสระ - อ - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ คร้ังท่ี 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คาที่ประสมสระ เ - - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ และสระ - อ - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คร้ังที่ 1 คาที่ประสมสระ เ- อ และสระ เ - ย คร้ังท่ี 2 คาท่ีประสมสระ เ- อ และสระ เ - ย คร้ังที่ 1 คาที่ประสมสระ - ว

44 - และสระ เ - ,สระ แ - - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ สปั ดาห์ที่ 11 คร้ังท่ี 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น - คาท่ีประสมสระ - ว - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ สปั ดาห์ที่ 12 และสระ เ - ,สระ แ - คร้ังท่ี 1 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน คาที่ประสมสระโ - - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ และสระ เ - อะ คร้ังที่ 2 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอา่ น คาท่ีประสมสระโ- - อธิบายวธิ ีการอา่ นประสมคา - แบบทดสอบ และสระ เ - อะ คร้ังท่ี 1 - สอนตามปกติ - แบบฝึกอ่าน คาที่ประสมสระ เ – ยะ - อธิบายวธิ ีการอ่านประสมคา - แบบทดสอบ และสระ - วะ , เ – อ ตารางท่ี 1 แสดงระยะเวลาในการดาเนินการวจิ ัย 3.7 การวเิ คราะห์และสถติ ทิ ใี่ ช้ในการวจิ ัย การวเิ คราะห์ขอ้ มูลใชค้ า่ สถิติ ร้อยละ 1) ร้อยละ (Percentage) ใชส้ ูตร P ของบุญชม ศรีสะอาด (2545 : 104) สูตร P  f 100 N เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถ่ีท่ีตอ้ งการแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ N แทน จานวนความถ่ีท้งั หมด

45 2) ค่าเฉล่ีย (Arithmetic Mean) ของคะแนนโดยใช้สูตรของ บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 105) สูตร X   X N เม่ือ X แทน คา่ เฉล่ีย  X แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมดในกลุ่ม N แทน จานวนนกั เรียน 3) คา่ t (t-test) t = d สูตร √nd2−(d)2 n−1 เมื่อ t หมายถึง ที่ใชใ้ นการทดสอบคา่ ผลต่างของคะแนน ก่อนและ หลงั การทดสอบ ∑ ������ หมายถึง การนาเอาผลต่างของคะแนนก่อนและหลงั การทดสอบ ของนกั เรียนแตล่ ะคนมาบวกกนั ∑ d2 หมายถึง การนาเอาผลตา่ งของคะแนนก่อนและหลงั การทดสอบ ของนกั เรียนแต่ละคนยกกาลงั สองแลว้ นามาบวกกนั (∑ ������)2 หมายถึง การนาเอาผลตา่ งของคะแนนก่อนและหลงั การ ทดสอบของนกั เรียนแตล่ ะคนมาบวกกนั แลว้ จึงยกกาลงั สอง n หมายถึง จานวนนกั เรียนท่ีทาการทดสอบ

ภาคผนวก

รายงานการวจิ ยั ในช้ันเรียน ปี การศึกษา 2562 ช่ืองานวจิ ัย การพฒั นาทกั ษะการอ่านโดยใชแ้ บบฝึกอ่านสะกดคา สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ชื่อผ้วู จิ ัย นางสาวฐิติรัตน์ โป่ อินทนะ ชื่อโรงเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราห์ 31 กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เคา้ โครงการทาวิจยั ในช้นั เรียน  มี ไม่มี ที่มาความสาคญั ของการวจิ ยั  มี ไม่มี ออกแบบเก็บขอ้ มูล  มี ไม่มี เก็บขอ้ มูลเรียบร้อย  มี ไม่มี แปลผลและอภิปรายผล  มี ไม่มี สรุ ปเป็ นรู ปเล่ม ไม่มี มี

แบบตารางบนั ทกึ การให้คะแนนในการอ่านสะกดคาของเด็กชายชัญญา ชุติกรรังสี แบบบันทกึ การอ่านประสมสระ คะแนน ( 10 ) 1. คาที่ประสมสระ - , - ก่อนเรียน หลงั เรียน 2. คาท่ีประสมสระ - , - 3. คาท่ีประสมสระ - , - 6 10 4. คาที่ประสมสระ - , - 5. คาที่ประสมสระ เ - , แ - 6 10 6. คาที่ประสมสระ โ- , ไ- , ใ- 7. คาท่ีประสมสระ - , เ - 6 10 8. คาที่ประสมสระ เ - , - อ 9. คาท่ีประสมสระ เ - อ , เ - ย 6 10 10. คาท่ีประสมสระ - ว , เ - , แ - 11. คาท่ีประสมสระ โ - , เ – อ 5 10 12. คาท่ีประสมสระ - , - 5 10 รวมค่าเฉลยี่ 6 10 6 10 5 10 4 10 5 10 4 10 53.33 100.00

แบบตารางบนั ทกึ การให้คะแนนในการอ่านสะกดคาของเดก็ หญิงรุ่งธดิ าวรรณ ป่ ูโพ แบบบันทกึ การอ่านประสมสระ คะแนน ( 10 ) 1. คาท่ีประสมสระ - , - ก่อนเรียน หลงั เรียน 2. คาท่ีประสมสระ - , - 3. คาที่ประสมสระ - , - 5 10 4. คาที่ประสมสระ - , - 5. คาที่ประสมสระ เ - , แ - 5 10 6. คาที่ประสมสระ โ- , ไ- , ใ- 7. คาท่ีประสมสระ - , เ - 5 10 8. คาที่ประสมสระ เ - , - อ 9. คาที่ประสมสระ เ - อ , เ - ย 6 10 10. คาที่ประสมสระ - ว , เ - , แ - 11. คาที่ประสมสระ โ - , เ – อ 6 10 12. คาท่ีประสมสระ โ - และสระ เ – อ 7 10 รวมค่าเฉลยี่ 7 10 7 10 58 4 10 4 10 59 55.00 97.50 คะแนน เกณฑ์ * เกณฑค์ ะแนนหลงั เรียน * เกณฑค์ ะแนนก่อนเรียน 80 - 100 ดีมาก 70 - 79 ดี 60 - 69 พอใช้ 50 - 59 แกไ้ ข 40 - 49 ปรับปรุง

ภาพการอ่านสะกดคาของ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook