เล่ือย
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เคร่ืองเลื่อยกล (Sawing Machine) เคร่ืองเล่ือยกล (Sawing Machine) การเล่ือย คือ การตดั ชิ้นงานออกดว้ ยใบเล่ือยที่มีคมเลก็ ๆ หลาย ๆ คม คลา้ ยคมส่ิวหรือคมสกดั จานวนมาก เรียงกนั เป็นแถว ฟันใบเล่ือยจะกดั ชิ้นงานพร้อม ๆ กนั ทีละหลายฟันใหเ้ ป็นร่อง จนขาดออกจา กนั การเล่ือย จาแนกเป็นการเล่ือยดว้ ยมือ (Hand Sawing) คือเป็นงานเลื่อยชิ้นงานจานวนไม่มาก และเล่ือยดว้ ยเล่ือยไฟฟ้า (Power Hack Saw) หรือเรียกวา่ เคร่ืองเล่ือยกล (Sawing Machine) จาเป็น สาหรับงานเลื่อยชิ้นงานอุตสาหกรรม คือเลื่อยชิ้นงานจานวนมาก ท้งั ชิ้นงานขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ เคร่ืองเลื่อยกลแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ไดด้ งั น้ี เคร่ืองเล่ือยกลแบ่งออกเป็ น 4 ชนิด คือ 1. เคร่ืองเลื่อยชกั (Power Hack Saw) 2. เครื่องเล่ือยสายพานนอน (Horizontal Band Saw) 3. เครื่องเลื่อยสายพานต้งั (Vertical Band Saw) 4. เคร่ืองเลื่อยวงเดือน (Radius Saw or Circular Saw) 1. เครื่องเล่ือยชัก (Power Hack Saw) เครื่องเล่ือยแบบชกั เป็นที่นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่อหลายในการเล่ือยตดั วสั ดุงานใหไ้ ดข้ นาดและความ ยาวตามความตอ้ งการ ระบบการขบั เคล่ือนใบเลื่อย ใชส้ ่งกาลงั ดว้ ยมอเตอร์ แลว้ ใชเ้ ฟื องเป็นตวั กลบั ทิศทางและใชห้ ลกั การของขอ้ เหวย่ี งเป็นตวั ขบั เคลื่อนใหใ้ บเล่ือยเคลื่อนท่ีกลบั ไปกลบั มาในแนวเสน้ ตรง อยา่ งต่อเน่ืองทาใหใ้ บเล่ือยสามารถตดั งานได้
รูปที่ 1.1 เคร่ืองเลื่อยชัก (Power Hack Saw) 1.1 ส่วนประกอบของเครื่องเล่ือยชัก ส่วนประกอบทุกส่วนมีความสาคญั เท่ากนั เพราะจะตอ้ งทาหนา้ ท่ีร่วมกนั ตลอดเวลา ซ่ึงประกอบดว้ ยส่วนต่าง ๆ ดงั น้ี 1.1.1 โครงเล่ือย (Saw Frame) มีลกั ษณะเหมือนตวั ยคู วา่ โครงเล่ือยส่วนใหญท่ าจาก เหลก็ หล่ออยา่ งดีใชส้ าหรับใส่ใบเลื่อย โครงเล่ือยจะเคล่ือนที่ไป – มาอยใู่ นร่องหาง เหยย่ี วโดยการส่งกาลงั จากลอ้ เฟื อง ดงั รูปท่ี 1.2
รูปที่ 1.2 ส่วนประกอบของเครื่องเล่ือยชัก 1.1.2 ปากกาจบั งาน (Vise) ใชจ้ บั ชิ้นงานเพื่อทาการเล่ือย สามารถปรับปรุงเอียงขวา-ซา้ ย ไดข้ า้ งละ 45 องศา และสามารถเลื่อนปากเขา้ -ออกไดด้ ว้ ยเกลียวแขนหมุนลอ็ คแน่น ดงั รูปท่ี 1.3 รูปท่ี 1.3 แสดงส่วนประกอบปากกาจับงาน 1.1.3 แขนต้งั ระยะงาน (Cut Off Gage) มีหนา้ ที่ในการต้งั ระยะของชิ้นงานท่ีตอ้ งการตดั จานวนมาก ๆ เพื่อใหช้ ิ้นงานที่ตดั ออกมามีความยาวเท่ากนั ทุกชิ้น ดงั รูปที่ 1.4 รูปที่ 14 แสดงการทางานของแขนต้ังระยะงาน
1.1.4 ระบบป้อนตดั เครื่องเลื่อยชกั มีระบบป้อนตดั 2 ชนิด คือ ชนิดใชล้ ูกถว่ งน้าหนกั และชนิดใชน้ ้ามนั ไฮดรอลิกท้งั 2 ชนิด ทาหนา้ ที่เหมือนกนั คือการป้อนตดั แต่ หลกั การทางานต่างกนั ตรงที่ชนิดลูกถว่ งน้าหนกั อาศยั แรงดึงดูดของโลก ส่วนชนิดไฮ ดรอลิกอาศยั แรงดนั จากน้ามนั ไฮดรอลิก 1.1.5 ระบบหลอ่ เยน็ เคร่ืองเลื่อยชกั มีความจาเป็นตอ้ งใชน้ ้าหลอ่ เยน็ เพอ่ื ช่วยระบายความ ร้อนเนื่องจากการเสียดสีระหวา่ งใบเล่ือยกบั ชิ้นงาน และยงั ช่วยยดื อายกุ ารใชง้ านของ ใบเล่ือยใหย้ าวนาน 1.1.6 ฐานเครื่องเล่ือยชกั (Base) ทาหนา้ ท่ีรองรับส่วนต่าง ๆ ของเครื่องเล่ือยชกั ท้งั หมด ฐานเครื่องเล่ือยชกั บางชนิดจะทาเป็นโพรงภายใน เพอื่ เป็นที่เกบ็ ถงั น้าหล่อเยน็ และ มอเตอร์ 1.1.7 มอเตอร์ (Motor) เคร่ืองเลื่อยชกั มีมอเตอร์ทาหนา้ ท่ีเป็นตน้ กาลงั ขบั มอเตอร์จะใชก้ บั กระแสไฟฟ้า 220 โวลตห์ รือ 380 โวลตข์ ้ึนอยกู่ บั ผผู้ ลิต 1.1.8 สวิตซ์เปิ ด-ปิ ด เครื่องเล่ือยชกั มีสวิตชเ์ ปิ ด-ปิ ด แบบก่ึงอตั โนมตั ิ คือ สวติ ซเ์ ครื่องจะ ปิ ดโดยอตั โนมตั ิเมื่อใบเลื่อยตดั ชิ้นงานขาด 1.1.9 ชุดเฟื องทด (Gear) ทาหนา้ ท่ีในการทดส่งกาลงั จากมอเตอร์ไปยงั โครงเลื่อยเฟื องทดที่ ใชก้ บั เคร่ืองเลื่อยชกั มี 2 ชนิด คือ เฟื องเฉียง และเฟื องตรง 1.1.10 มู่ล่ี (Pulley) ทาหนา้ ท่ีส่งกาลงั ผา่ นสายพานไปยงั ชุดเฟื องทด ใชก้ บั สายพานตวั วี 1.2 กลไกการทางานของเคร่ืองเล่ือยชัก กลไกการทางานของเคร่ืองเล่ือยชกั เป็นกลไกส่งกาลงั ดว้ ยมอเตอร์ ส่งกาลงั ผา่ นเฟื องขบั ซ่ึง เป็นเฟื องทด เพื่อทดความเร็วรอบมอเตอร์ และเพื่อทดแรงขบั ของมอเตอร์ ท่ีขา้ งเฟื องขบั มีจุดหมุนกา้ น ต่ออยคู่ นละศูนยก์ บั ศูนยก์ ลางเฟื อง เพือ่ ต่อกา้ นต่อไปขบั โครงเล่ือย ใหช้ กั โครงเลื่อยเดินหนา้ และถอยหลงั ได้
รูปที่ 1.5 กลไกการทางาน 1.3 นา้ หนักกดโครงเล่ือย สาหรับน้าหนกั กดโครงเลื่อย ยงิ่ เล่ือนห่างออกจากหวั เคร่ืองมากเท่าใด จะกดใหใ้ บเลื่อยตดั เฉือนมากเท่าน้นั ดงั น้นั การเล่ือนปรับระยะน้าหนกั กด ใหส้ งั เกตการตดั เฉือนของฟังเลื่อยดว้ ย น้าหนกั กดใกลห้ วั เคร่ือง = น้าหนกั กดโครงเล่ือยนอ้ ย น้าหนกั กดห่างหวั เครื่อง = น้าหนกั กดโครงเล่ือยมาก รูปที่ 1.6 นา้ หนักกดโครงเล่ือย 1.4 ใบเล่ือยเคร่ือง (Saw Blade) ใบเล่ือยเป็นอปุ กรณ์ของเครื่องเลื่อยท่ีมีความสาคญั มาก ทาหนา้ ท่ีตดั เฉือนชิ้นงาน ใบเล่ือย เคร่ืองทาจากเหลก็ รอบสูง มีความเขง็ แต่เปราะ ดงั น้นั การประกอบใบเลื่อยเขา้ กบั โครงเล่ือย จะตอ้ ง ประกอบใหถ้ ูกวิธีและขนั สกรูใหใ้ บเลื่อยตึงพอประมาณ เพ่ือป้องกนั ไม่ใหใ้ บเล่ือยหกั ส่วนต่าง ๆ ของใบ เล่ือยประกอบดว้ ยความกวา้ ง ความยาว ความหนา ความโตของรูใบเลื่อย และจานวนฟันใบเล่ือย ซ่ึงมีท้งั ฟันหยาบและฟันละเอียด จานวนฟันใยเล่ือยบอกเป็นจานวนฟันต่อนิ้ว เช่น 10 ฟังต่อนิ้ว 14 ฟันต่อนิ้ว แต่ที่นิยมใชง้ านทว่ั ๆ ไป คือ 10 ฟันต่อนิ้ว ดงั รูปที่ 1.7
รูปท่ี 17 ส่วนประกอบต่าง ๆ ของใบเลื่อยเครื่อง ลกั ษณะของใบเลื่อย 1. ความยาวของใบเล่ือย การวดั ความยาวของใบเล่ือยจะวดั จากจุดศูนยก์ ลางของรูยดึ ใบเลื่อยท้งั สอง เรียกวา่ ขนาดความยาวของใบเล่ือยจะมีขนาด 200 ม.ม. และขนาด 300 ม.ม. 2. ความกวา้ งของใบเล่ือย กวา้ ง 12.7 ม.ม. หรือ 1/2 นิ้ว 3. ความหนาของใบเลื่อย หนา 0.64 ม.ม. หรือ 0.025 นิ้ว 4. การวดั จานวนฟันของใบเล่ือย คือ วดั ระยะห่างของยอดฟันหน่ึงถึงยอดฟันหน่ึง - ในระบบเมตริก เรียกวา่ ระยะพิต Pitch (P) - ในระบบองั กฤษ จะวดั ขนาดความถี่ห่างของฟันเลื่อยนิยมบอกเป็นจานวนฟันต่อความยาว 1 นิ้ว รูปที่ 1.8 ระยะพิต
ตารางท่ี 1 ขนาดมาตรฐานใบเล่ือยแบบเครื่องเลื่อยชัก
ตารางที่ 2 การเลือกใบเลื่อยให้เหมาะกบั งาน รูปร่างของฟันเลื่อย จานวนฟัน/นวิ้ ตวั อย่างวสั ดทุ ใ่ี ช้ ช่วงยาวของแนวตดั 14, 16, 18 วสั ดุออ่ น เช่น ดีบกุ มากกวา่ 40 ม.ม. ข้ึนไป ทองแดง ตะกวั่ อะลูมเนียม พลาสติก เหลก็ เหนียว 22, 24 วสั ดุแขง็ ปานกลาง เช่น นอ้ ยกวา่ 40 ม.ม. ลงมา เหลก็ หล่อ เหลก็ โครงสร้าง ทองเหลือง 32 วสั ดุแขง็ มาก เช่น เหลก็ ทา แผน่ โลหะ, ท่อบาง ๆ เคร่ืองมือ เหลก็ กลา้ เจือ 1.5 มุมฟันเลื่อย ฟันเลื่อยแต่ละฟันมีลกั ษณะคลา้ ยกบั ลิ่ม ทาหนา้ ท่ีจิกเขา้ ไปในเน้ือวสั ดุ ฟันแต่ละฟัน ประกอบดว้ ยมุมท่ีสาคญั 3 มุม ไดแ้ ก่ - มุมคมตดั () เป็นมุมคมตดั ของฟันเลื่อย - มุมคายเศษ () เป็นมุมที่ใชด้ นั เศษโลหะออกจากฟันเลื่อย - มุมหลบ () เป็นมุมที่ทาใหล้ ดการเสียดสีระหวา่ งฟันเล่ือยกบั ชิ้นงาน และช่วยใหเ้ กิดมุม คมตดั
3 มุมรวมกนั (α + β + γ) = 90 รูปท่ี 1.9 มมุ ฟันเลื่อย 1.6 คลองเลื่อย (Free Cutting Action) คลองเลื่อย คือ ความกวา้ งของร่องบนวสั ดุงาน หลงั จากท่ีมีการตดั เฉือน ปกติคลองเลื่อยจะมี ขนาดความหนามากกวา่ ใบเล่ือย ท้งั น้ี ถา้ ไม่มีคลองเลื่อย ขณะทาการเล่ือยใบเล่ือยกจ็ ะติด ซ่ึงเป็นสาเหตุ หน่ึงท่ีทาใหใ้ บเล่ือยหกั ลกั ษณะของคลองเลื่อย 1. คลองเล่ือยฟันสลบั ลกั ษณะฟันเลื่อยจะสลบั ซา้ ยกบั ขวาตลอดใบเล่ือย ฟันเลื่อยลกั ษณะน้ีเหมาะ สาหรับใชก้ บั เคร่ืองเลื่อยกล รูปท่ี 1.10 คลองเลื่อยฟันสลบั
2. คลองเลื่อยแบบฟันคล่ืน ลกั ษณะฟันเล่ือยจะเล้ือยเป็นคล่ืน ฟันเลื่อยลกั ษณะน้ีเหมาะสาหรับใชง้ าน กบั เลื่อยมือ รูปที่ 1.11 คลองเลื่อยฟันคล่ืน 3. คลองเล่ือยแบบตอก ลกั ษณะฟันเลื่อยจะมีมุมฟรีท้งั สองขา้ ง ฟันเลื่อยลกั ษณะน้ีเหมาะสาหรับใช้ งานกบั เลื่อยวงเดือน รูปท่ี 1.12 คลองเลื่อยแบบตอก
1.7 ทิศทางการตัดเฉือน การทางานของคมเลื่อยประกอบดว้ ยทิศทางท่ีสาคญั 2 ทิศ ไดแ้ ก่ ทิศทางการกดลงและทิศ ทางการดนั ไป ดูตามลูกศร ทิศทางท้งั 2 เป็นตวั ทาใหเ้ กิดการตดั เฉือนข้ึน แรงท่ีกระทาการกดและการดนั จะตอ้ งสมั พนั ธก์ นั ถา้ แรงใดมากเกินไปหรือฝืนอาจจะทาใหใ้ บเลื่อยหกั ได้ 1.8 การประกอบใบเล่ือยเข้าโครงเลื่อย การประกอบใบเลื่อยเขา้ กบั โครงเล่ือยตอ้ งระวงั ทิศทางของฟันเลื่อย จะตอ้ งใส่ใหถ้ กู ทิศทาง เน่ืองจากจงั หวะถอยกลบั ของโครงเลื่อย จะเป็นจงั หวะท่ีทาการตดั เฉือน เพื่อตดั เฉือนชิ้นงานการประกอบ ใบเล่ือยตอ้ งผอ่ นตวั ดึงใบเล่ือยใหย้ นื่ ออกแลว้ ใส่ใบเลื่อยเขา้ ไปใหร้ ูของใบเล่ือยตรงกบั สลกั ร้อยท้งั 2 ขา้ ง ของโครงเลื่อย จากน้นั ปรับตวั ดึงใบเล่ือยใหพ้ อตึง ๆ แลว้ ปรับขยบั ใบเล่ือยใหต้ ้งั ฉากโดยการใชค้ อ้ นเคาะ เบา ๆ ใหใ้ บเล่ือยแนบสนิทกบั ตวั ดึงใบเล่ือย จึงขนั ใหต้ ึงอีกคร้ังดว้ ยแรงมือ รูปที่ 1.13 ฟันเล่ือยตดั เฉือนหน้าชิน้ งาน รูปที่ 114 การประกอบใบเล่ือย
1.9 การจบั ยดึ ชิ้นงานสาหรับงานเลื่อย การจบั งานที่ผดิ วธิ ีในกรณีชิ้นงานส้นั ปากของปากกาไม่สามารถจะจบั ชิ้นงานใหแ้ น่นได้ แรง กดของเกลียวจะดนั ชิ้นงานหลุด ถา้ ฝืนเล่ือย ใบเล่ือยจะหกั การจบั งานที่ถูกวธิ ี ปากของปากกาจะตอ้ งกด ขนานกนั ท้งั 2 ปาก การจบั ชิ้นงานส้นั ใชเ้ หลก็ หนุนช่วยในการจบั ดนั ปากของปากกาใหข้ นาน กด ชิ้นงานแน่นเมื่อขนั เกลียวจะทาใหช้ ิ้นงานไม่หลุด รูปที่ 1.15 การจับชิน้ งานสั้นผิดวิธี รูปที่ 1.6 การจับชิน้ งานส้ันถกู วิธี รูปท่ี 1.17 การจับยึดชิน้ งานในลกั ษณะต่าง ๆ
1.10 การวัดตัดชิ้นงาน การเล่ือยชิ้นงานขนาดเดียวกนั จานวนมาก ๆ ถา้ ต้งั วดั งานทุกคร้ังท่ีทาการตดั จะใชเ้ วลามาก และขนาดของชิ้นงานจะไม่เท่ากนั มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้ วธิ ีการแกไ้ ขในการตดั ชิ้นงานขนาดเดียวกนั จานวนมาก ๆ โดยการต้งั วดั ระยะงานชิ้นแรก แลว้ ใชแ้ ขนต้งั ระยะช่วยในการเล่ือยชิ้นงานชิ้นต่อไป รูปท่ี 1.17 การวดั ขนาดหาระยะความยาวชิน้ งาน 1.11 การใช้แขนต้งั ระยะ แขนต้งั ระยะ ช่วยในการวดั ชิ้นงานที่ตอ้ งการตดั จานวนมาก ๆ ใหไ้ ดข้ นาดเดียวกนั ทุกชิ้นแขน ต้งั ระยะสามารถปรับระยะได้ โดยการขนั สกรูยดึ ใหแ้ น่น และมือหมุนขนั แน่น เมื่อปรับไดท้ ่ีแลว้ ตอ้ งขนั แน่นท้งั 2 จุด เพราะเมื่อดนั ชิ้นงานเขา้ มาตดั ใหม่จะเกิดการกระแทก อาจทาใหข้ นาดเปลี่ยนแปลงไปได้ รูปท่ี 1.18 ส่วนประกอบแขนต้ังระยะ
ข้อควรจา ไม่ดนั ชิ้นงานกระแทกเขนต้งั ระยะแรงจนเกินไป จะทาใหข้ นาดความยาวชิ้นงานท่ีตดั มีขนาด ความยาวเคล่ือนไปจากที่ต้งั ระยะไว้ 1.12 ข้นั ตอนการใช้เครื่องเลื่อยชัก เคร่ืองเลื่อยชกั มีข้นั ตอนการใชด้ งั น้ี 1.12.1 ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องเลื่อยชกั และอุปกรณ์ 1.12.2 ตรวจความพร้อมสภาพร่างกายของผปู้ ฏิบตั ิงาน 1.12.3 เปิ ดสวิตซ์เมนใหญ่ใหก้ ระแสไฟฟ้าเขา้ เคร่ืองเลื่อยชกั 1.12.4 ยกโครงเลื่อยคา้ งไวก้ ่อนตดั 1.12.5 บีบจบั ชิ้นงานดว้ ยปากกาจบั งานไม่ตอ้ งแน่น ใหส้ ามารถเล่ือนปรับชิ้นงานได้ 1.12.6 ปรับโครงเล่ือยลงใหฟ้ ันของใบเลื่อยห่างจากชิ้นงานประมาณ 10 มิลลิเมตร 1.12.7 ต้งั ระยะความยาวชิ้นงานโดยใชบ้ รรทดั เหลก็ วดั ขนาด 1.12.8 บีบจบั ชิ้นงานดว้ ยปากกาจบั งานใหแ้ น่น 1.12.9 ปรับแขนต้งั ระยะใหย้ าวเท่ากบั ความยาวของชิ้นงาน 1.12.10 เปิ ดสวติ ซเ์ ดินเคร่ืองเล่ือยชกั ทางาน 1.12.11 ค่อย ๆ ปรับระบบป้อนตดั ไฮดรอลิกใหโ้ ครงเล่ือยเล่ือนลงชา้ ๆ 1.12.12 ปรับท่อน้าหล่อเยน็ ใหน้ ้าฉีดตรงคลองเล่ือยเพอ่ื ช่วยระบายความร้อน 1.12.13 คอยจนกวา่ เลื่อยตดั ชิ้นงานขาด 1.13 การบารุงรักษาเคร่ืองเลื่อยชัก เครื่องเล่ือยชกั เป็นเครื่องจกั รกลพ้นื ฐานท่ีมีความจาเป็นมาก ดงั น้นั เพอ่ื ยดื อายกุ ารใชง้ านให้ ยาวนานจาเป็นจะตอ้ งมีการบารุงรักษาเคร่ืองดงั ต่อไปน้ี 1.13.1 ก่อนใชเ้ คร่ืองเลื่อยชกั ทุกคร้ังควรหยอดน้ามนั หลอ่ ลื่นตรงบริเวณจุดที่เคล่ือนที่ 1.13.2 หลงั เลิกใชง้ านทุกคร้ังควรทาความสะอาด และใชผ้ า้ คลุมเคร่ืองป้องกนั ฝ่ นุ ละออง 1.13.3 ควรเปลี่ยนน้าหล่อเยน็ ทกุ ๆ สปั ดาห์ 1.13.4 ตรวจสอบกระบอกสูบน้ามนั ไฮดรอลิกส์วา่ รั่วซึมหรือไม่ 1.13.5 ตรวจสอบ สายพาน มู่เล่ เฟื องทด ป๊ัมน้าหลอ่ เยน็ เพ่อื ใหใ้ ชง้ านไดต้ ลอด
1.14 ความปลอดภยั ในการใช้เคร่ืองเล่ือยชัก เคร่ืองจกั รทุกชนิดมีประโยชน์แต่กม็ ีโทษมากเช่นกนั ดงั น้นั ก่อนใชง้ านทุกคร้ังตอ้ งคานึงถึง ความปลอดภยั เสมอ การใชเ้ คร่ืองเล่ือยชกั กเ็ ช่นกนั สามารถเกิดอนั ตรายได้ เพ่ือความปลอดภยั จึงตอ้ งรู้ วธิ ีใชด้ งั น้ี 1.14.1 ก่อนใชเ้ คร่ืองเลื่อยชกั ทุกคร้ังตอ้ งตรวจสอบความพร้อมของเครื่องเสมอ 1.14.2 บีบปากกาจบั ชิ้นงานใหแ้ น่นก่อนเปิ ดสวติ ซ์เคร่ืองทางาน 1.14.3 หา้ มตดั ชิ้นงานท่ีมีความยาวนอ้ ยกวา่ ปากของปากกาจบั งาน เพราะจะทาใหใ้ บเลื่อยหกั 1.14.4 เมื่อตอ้ งการตดั ชิ้นงานยาว ๆ ควรมีฐานรองรับงานมารองรับปลายชิ้นงานทุกคร้ัง 1.14.5 ก่อนเปิ ดสวทิ ซเ์ ดินเคร่ืองเลื่อยชกั ตอ้ งยกใบเล่ือยใหห้ ่างจากชิ้นงานประมาณ 10 มิลลิเมตร 1.14.6 การป้อนตดั ดว้ ยระบบไฮดรอลิคมากเกินไปจะทาใหใ้ บเลื่อยหกั 1.14.7 เหลก็ หล่อ ทองเหลือง ทองแดง และอะลูมิเนียมควรหล่อเยน็ ใหถ้ ูกประเภท 1.14.8 ไม่ควรกม้ หนา้ เขา้ ใกลโ้ ครงเล่ือยชกั ขณะจะเปิ ดสวติ ซ์เดินเคร่ืองเลื่อยทางาน 1.14.9 ขณะเครื่องเล่ือยชกั กาลงั ตดั ชิ้นงานหา้ มหมุนถอยปากกาจบั งานออกเป็นอนั ขาด 1.14.10 เพื่อความปลอดภยั ใหค้ ดิ ก่อนทาเสมอ 2. เครื่องเล่ือยสายพานแนวนอน (Horizontal Band Saw) เป็นเคร่ืองเลื่อยท่ีมีใบเลื่อยยาวติดต่อกนั เป็นวงกลม การเคลื่อนท่ีของใบเล่ือย มีลกั ษณะการ ส่งกาลงั ดว้ ยสายพาน คือมีลอ้ ขบั และลอ้ ตาม ทาใหค้ มตดั ของใบเล่ือยสามารถเล่ือยตดั งานไดต้ ลอด เนื่อง ตลอดท้งั ใบ การป้อนตดั งานใชร้ ะบบไฮดรอลิกส์ควบคุมความตึงของใบเลื่อย ปรับดว้ ยมือหมุน หรือใชไ้ ฮ ดรอลิกปรับระยะห่างของลอ้ มีโครงสร้างแขง็ แรง ตวั เคร่ืองสามารถติดต้งั ไดก้ บั พ้นื โรงงาน รูปท่ี 1.19 เคร่ืองเลื่อยสะพานแนวนอน
3. เคร่ืองเล่ือยสายพานแนวต้งั (Vertical Band Saw) เครื่องเลื่อยสายพานแนวต้งั เป็นเครื่องเล่ือยที่มีใบเล่ือยเป็นแบบสายพานในแนวต้งั ซ่ึงจะ หมุนตดั ชิ้นงานอยา่ งต่อเนื่อง ใชต้ ดั งานเบาไดท้ ุกลกั ษณะ เช่น ตดั เหลก็ แบน หรือเหลก็ บางใหข้ าด หรือ ตดั เป็นรูปทรงต่าง ๆ ซ่ึงเครื่องเลื่อยชนิดอื่น ๆ ไม่สามารถทาได้ รูปที่ 1.20 ลกั ษณะของชิน้ งานจากการเล่ือยด้วยเครื่องเล่ือยสายพานแนวตั้ง รูปท่ี 1.21 เครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้ง
เคร่ืองเลื่อยสายพานแตกต่างจากเคร่ืองเลื่อยชกั ที่สามารถตดั ชิ้นงานเป็นแบบต่อเนื่อง ในขณะ ท่ีเครื่องเลื่อยชกั ทาหนา้ ท่ีตดั งานเฉพาะช่วงชกั ตดั เท่าน้นั และยงั ใชป้ ระโยชนข์ องใบเล่ือยในช่วงจากดั อีก ดว้ ย คือ จะใชป้ ระโยชนเ์ ฉพาะส่วนกลางของใบเลื่อยเท่าน้นั ใบเลื่อยสายพานจะมีความหนานอ้ ยกวา่ ใบเลื่อยชนิดอ่ืน ๆ จึงทาใหม้ ีการสูญเสียวสั ดุนอ้ ยกวา่ เล่ือยสายพานแนวต้งั ใหล้ กั ษณะเด่นในการทางานหลายประการ คลา้ ยกบั งานฉลดุ ว้ ยมือ ซ่ึง จะไม่พบในเครื่องเล่ือยโลหะชนิดอ่ืน ๆ เช่น งานตดั ชิ้นงานเป็นรูปทรงเรขาคณิต รูปที่ 1.22 ลกั ษณะการขบั ใบเลื่อย 4. เครื่องเล่ือยวงเดือน (Circular Saw or Radius Saw) เครื่องเลื่อยวงเดือน เป็นเครื่องเล่ือยท่ีใบเลื่อยเป็นวงกลม มีฟันรอบ ๆ วง สามารถตดั ชิ้นงาน ไดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง มกั เป็นชิ้นงานบาง ๆ เช่น อะลูมิเนียม สามารถตดั งานไดท้ ้งั ลกั ษณะตรงและเอียงเป็นมุม รูปที่ 1.23 เคร่ืองเล่ือยวงเดือน
ความปลอดภยั ในการใช้เลื่อยวงเดือน - เลื่อยวงเดือนเกิดอนั ตรายไดง้ ่ายมาก ใหใ้ ส่ฝาครอบใบเลื่อยเสมอ - อยา่ ใจร้อน ออกแรงควบคุมตดั เกินพิกดั - ใหร้ ะวงั ก่อนชิ้นงานขาด ใชแ้ รงควบคุมตดั เพยี งเลก็ นอ้ ย เพราะขาดงา่ ย - ใหห้ มน่ั ตรวจการแต่กร้าวของใบเลื่อย หรือการยดึ ติดคมเล่ือย รูปท่ี 1.24 การตดั งานด้วยเครื่องเล่ือยวงเดือน การหล่อเย็นชิ้นงานขณะตดั เฉือนโลหะ รูปที่ 1.25 การหล่อเยน็ ชิน้ งานขณะทางาน
งานตดั กลึงโลหะมกั ใชใ้ บมีดในการเจาะ เซาะ เฉือนเน้ือโลหะ หรือใชห้ ินขดั ในการเจียร์เพอ่ื ให้ ชิ้นงานน้นั ไดร้ ูปร่างหรือขนาดตามท่ีตอ้ งการ ในขณะที่การเจาะเซาะหรือเฉือนหรือเจียร์น้นั ความร้อนจะ เกิดข้ึนสูงมาก โดยอาจสูงถึง 7000C หรือสูงกวา่ ซ่ึงความร้อน้ีเกิดจากการเสียดสี ระหวา่ งใบมีดกบั ชิ้นงานและจากการเปล่ียนรูปของเน้ือโลหะ (Deformation) หากความร้อนที่เกิดข้ึนน้ีไม่ไดร้ ับการระบาย ออกโดยเร็วกจ็ ะเกิดการสะสมทาใหใ้ บมีดและชิ้นงานร้อนจดั ใบมีดจะสูญเสียความแขง็ และสึกหรอได้ ใน ที่สุดส่วนชิ้นงานอาจบิดเบ้ียวทาใหไ้ ม่ไดร้ ูปร่างหรือขนาดตามท่ีตอ้ งการและอาจเกิดการหลอมติดของเศษ โลหะที่บริเวณปลายใบมีด ซ่ึงเรียกวา่ เกิด Built Up Edge หรือเรียกโดยยอ่ วา่ BUE ทาใหใ้ บมีดสึกเร็ว และอาจถึงข้นั แตกหกั ได้ หน้าทขี่ องนา้ มนั หล่อเย็น น้ามนั หลอ่ เยน็ มีหนา้ ที่หลกั 4 ประการ คือ 1. ระบายความร้อน น้ามนั ตดั กลึงโลหะมีหนา้ ที่ระบายความร้อนออกจากบริเวณใบมีดและชิ้นงานเพือ่ ไม่ใหใ้ บมีด สูญเสียความแขง็ หรือออ่ นตวั อนั เน่ืองมาจากความร้อน ป้องกนั ไม่ใหเ้ กิดการหลอมติดของเศษโลหะที่ ปลายใบมีด (BUE) ทาใหส้ ามารถทางานตดั กลึงไดเ้ ร็วชิ้นงานไดข้ นาดและคุณภาพผิดตามตอ้ งการ 2. หล่อล่ืนลดแรงเสียดทาน น้ามนั ตดั กลึงโลหะทาหนา้ ที่หล่อลื่นลดแรงเสียทานระหวา่ ง ระหวา่ งชิ้นงานกบั ใบมีด รวมท้งั เศษโลหะท่ีเคล่ือนท่ีผา่ นหนา้ ใบมีด การตดั กลึงใชก้ าลงั นอ้ ยลง ลดการสึกหรอของใบมีดช่วยป้องกนั การ เกิดปัญหา BUE 3. ซะล้างและพาเศษโลหะ น้ามนั ตดั กลึงโลหะทาหนา้ ท่ีในการชะลา้ งและพาเศษโลหะที่เกิดจากการตดั เฉือนออกไปจาก บริเวณตดั เฉือน และชิ้นงาน 4. ป้องกนั สนิม น้ามนั ตดั กลึงโลหะทาหนา้ ที่ป้องกนั สนิม ใหแ้ ก่ชิ้นงานท่ีถูกตดั เฉือนใหม่ ซ่ึงผวิ โลหะส่วนน้ี มกั ไวต่อการเกิดสนิมมากและยงั ทาหนา้ ที่ป้องกนั สนิม ใหแ้ ก่เครื่องจกั รและรางแท่น (Slideways) ดว้ ย นา้ มันหล่อเย็น น้ามนั หลอ่ เยน็ หรือในภาษาองั กฤษวา่ “Water Emulsifiable Cutting Fluid” จะผสมน้าใชง้ าน ที่อตั ราส่วนผสม แตกต่างกนั ไปตามคุณสมบตั ิของน้ามนั หลอ่ เยน็ หรือตามความตอ้ งการใชง้ าน โดยปกติ จะผสมใชง้ านยอใู่ นช่วง 2% ถึง 10% ในน้า ซ่ึงนิยมแบ่งน้ามนั หล่อเยน็ ออกเป็น 3 ประเภทตาม % สดั ส่วนผสมของน้ามนั หล่อล่ืนพ้ืนฐานประเภทน้ามนั แร่ในผลิตภณั ฑก์ ่อนผสมน้า คือ
1. นา้ มนั สบู่ น้ามนั หลอ่ เยน็ ประเภทน้ามนั สบู่ หรือเรียกในภาษาองั กฤษวา่ Soluble Oil มีองคป์ ระกอบที่ สาคญั คือ น้ามนั หลอ่ ลื่นพ้นื ฐานประเภทน้ามนั แร่ (Mineral Oil) กบั สาร Emulsifier ซ่ึงทาหนา้ ท่ีให้ น้ามนั แร่สามารถกระจายและอยตู่ วั ไดใ้ นน้า โดยมีสดั ส่วนผสมของน้ามนั หลอ่ ล่ืนพ้นื ฐานประเภทน้ามนั แร่ ในผลิตภณั ฑก์ ่อนผสมน้าประมาณ 75% หรือมากกวา่ เมื่อผสมน้าแลว้ จะมีสีขาวคลา้ ยน้านม จึงมกั ถูกเรียก อีกวา่ เป็นน้ามนั หลอ่ เยน็ ประเภท “น้านม” หรือ “Milky” ท้งั น้ีเพราะน้ามนั สบู่มี % สดั ส่วนผสมของ น้ามนั แร่อยสู่ ูงอนุภาคของน้ามนั แร่ที่กระจายอยใู่ นน้า จึงมีขนาดใหญ่เกิดการทึบแสง และมองเห็นเป็นสี ขาว น้ามนั หล่อเยน็ ชนิดน้ามนั สบู่มีขอ้ ดีที่เด่นชดั คือ ราคาต่อลิตไม่สูง และใชง้ านไดก้ บั งาน ทว่ั ไปท่ีไมห่ นกั หรือไม่มีความตอ้ งการพเิ ศษ แต่ขอ้ เสียโดยทวั่ ไป คือการอยตู่ วั ในน้า (Stability) ไม่คอ่ ย ดี และมีอายกุ ารใชง้ านส้นั จนถึงอาจเกิดการหนิมไดง้ ่าย 2. นา้ มันสังเคราะห์ น้ามนั หล่อเยน็ ชนิดน้ามนั สงั เคราห์หรือเรียกในภาษาองั กฤษวา่ “Synthetic Fluid” น้ีผลิตจาก น้ามนั พ้นื ฐานหรือสารเคมีที่มาจากการสงั เคราะห์ท้งั หมด โดยท่ีไม่มีสดั ส่วนของน้ามนั หล่อลื่นพ้ืนฐาน ประเภทน้ามนั แร่ ผสมอยเู่ ลยมกั นิยมใชส้ าหรับงานเจียร์คุณภาพสูง โดยใชง้ านที่อตั ราส่วนผสมน้าข้นั ต่า ประมาณ 2% หรืออตั ราส่วนน้ามนั ต่อน้า 1 ต่อ 49 ท้งั น้ี เพราะลกั ษณะงานเจียร์ตอ้ งการการระบายความ ร้อนเป็นสาคญั และไม่ตอ้ งการคุณสมบตั ิการหล่อล่ืนมากนกั การท่ีไม่มีน้ามนั แร่อยเู่ ลย ทาใหห้ นา้ หินไม่ บอดง่ายจากการที่เศษผงโลหะขนาดเลก็ ท่ีเกิดจากการเจียร์เกาะติดอดุ หนา้ หิน ขอ้ พึงระวงั จากการใชน้ มั นั หล่อเยน็ ชนิดสงั เคราะห์โดยทว่ั ไป คือ ปัญหาเร่ืองสนิมท่ีมกั เกิด ข้ึนกบั เครื่องจกั ร และร่างแทน (Slideways) โดยเฉพาะน้ามนั ในอตั ราส่วนท่ีสูงมาก เกิดการสิ้นเปลือง เม่ือมีการหยดุ เคร่ือง หรือหากไม่เกิดสนิมกอ็ าจตอ้ งผสม 3. นา้ มนั กงึ่ สังเคราะห์ น้ามนั หลอ่ เยน็ ประเภทก่ึงสงั เคราะห์จะมีน้ามนั หลอ่ ลื่นพ้ืนฐานผสมกนั ระหวา่ งน้ามนั สงั เคราะห์ และน้ามนั แร่หรือเรียกในภาษาองั กฤษวา่ “Semi Synthetic Fluld” โดยมีสดั ส่วนผสมของ น้ามนั แร่อยใู่ นช่วงระหวา่ ง 20% ถึง 60% ท้งั น้ีเพ่อื ผสมผสานคุณสมบตั ิดา้ นการหลอ่ ลื่นท่ีดีของน้ามนั แร่ กบั คุณสมบตั ิพิเศษที่ตอ้ งากรของน้ามนั สงั เคราะห์ใหเ้ หมาะกบั ความตอ้ งการของการใชง้ าน น้ามนั ชนิดก่ึงสงั เคราะห์โดยทวั่ ไปเม่ือผสมน้าจะมีสีข่นุ ไม่ทึบแสง (Translucent) เพราะมี ปริมาณน้ามนั แร่ต่ากวา่ น้ามนั สบู่อนุภาคน้ามนั ท่ีกระจายในน้าจึงมีขนาดเลก็ กวา่ ยงิ่ ไปกวา่ น้นั ปริมาณสาร Emulsifier ที่ตอ้ งการกม็ ีนอ้ ยกวา่ เม่ือเทียบกบั น้ามนั สบู่ น้ามนั หล่อเยน็ ชนิดก่ึงสงั เคราะห์โดยทว่ั ไปจึงมีคุณสมบตั ิ ตา้ นทานแบคทีเรียในเบ้ืองตน้ ดีกวา่
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: