๕ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน
๕ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน
คำนำ หนังสือเล่มเล็ก เรื่อง โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน เป็น ส่วนหนึ่งของรายวิชา HSTH๒๑๒ วรรณกรรมคัดสรรในหนังสือเรียน หนังสือเล่มนี้เป็นการวิเคราะห์วรรณกรรม ในหนังสือเรียนรายวิชาภาษา ไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษา วรรณกรรม เรื่อง โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน นางสาวมิ่งกมล พงศ์นิสภกุล ๒๗ กันยายน ๒๕๖๕
สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ๑ สารบัญ ๓ ๕ ที่มาของเรื่อง ๖ ๗ ประวัติผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ จุดมุ่งหมายในการแต่ง เรื่องย่อ
สารบัญ หน้า เรื่อง ๑๒ ๑๓ บทวิเคราะห์ ๑๙ - คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๖ - คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๓๒ - คุณค่าด้านสังคม ๓๔ ๓๕ คำศัพท์หน้ ารู้ ๓๖ สาเหตุที่ต้องเรียน เรื่อง โคลนติดล้อ กิจกรรมท้ายบทเรียน ประวัติผู้จัดทำ
ที่มาของเรื่อง ที่มาของเรื่อง บทความเรื่อง \"โคลนติดล้อ\" เป็นหนังสือรวมบทความ ๑ แสดงความคิด โดยมุ่งเน้ นกล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคที่ เหนี่ยวรั้งความเจริญของชาติ เป็นพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเอยู่หัว โดยใช้นามแฝงว่า “อัศวพาหุ” พระราชนิพนธ์เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๘ เพื่อลงพิมพ์ใน “หนังสือพิมพ์ไทย”
ต่อมา “หนังสือพิมพ์สยามออบเซอร์เวอร์” ได้นำมาพิมพ์ ลงไว้อีกครั้งหนึ่ง แบ่งเป็น ๑๒ บทดังนี้ ๑. การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง ๒. การทำตนให้ต่ำต้อย ๓. การบูชาหนังสือเกินเหตุ ๔. ความนิยมเป็นเสมียน ๕. ความเห็นผิด ๖. ถือเกียรติไม่มีมูล ๗. ความจนไม่จริง ๘. แต่งงานชั่วคราว ๙. ความไม่รับผิดชอบบิดามารดา ๑๐. การค้าหญิงสาว ๑๑. ความหยุมหยิม ๑๒. หลักฐานไม่มั่นคง ๒
ที่มาของเรื่อง ๓
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ ามหาวชิราวุธ เป็นพระโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดงานด้าน วรรณกรรมมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และทรงมีผลงานพระราชนิพนธ์ทั้ง ร้อยแก้ว และร้อยกรอง เช่น รามเกียรติ์ มัทนะพาธา เป็นต้น รวมทั้งผล งานด้านการพิมพ์ เช่น ทรงออกหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต และทรงเขียน บทความลงในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ จนได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น “นักหนังสือพิมพ์” ๔
ลักษณะคำประพันธ์ เป็ นบทความร้อยแก้ว ๕ (ความเรียงที่ไม่ได้บังคับฉันทลักษณ์หรือ ความคล้องจองแบบร้อยกรอง)
จุดมุ่งหมายในการแต่ง เป็ นการแสดงทรรศนะเกี่ยวกับปั ญหาที่คนมีการศึกษาสูง นิยมแต่จะเป็นเสมียน (รับราชการ) ไม่ยอมกลับภูมิลำเนา ของตนไปทำงานภาคเกษตรกรรมที่มีประโยชน์ต่อ ประเทศชาติมากกว่า ๖
เรื่องย่อ ๗
เนื่ องจากมีการสร้างโรงเรียนให้กับบรรดาชายและหญิง ผู้ที่จบจากโรงเรียนมีความทะเยอทะยานในการใช้ชีวิต จึงนิยม เข้ารับราชการเป็นเสมียน ไม่สนใจกลับไปทำการเกษตรที่บ้านเกิด ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่า ผู้ที่เป็นเสมียนนิยมใช้ชีวิตอยู่ ในกรุงเทพฯ โดยเห็นว่าการทำงานอย่างอื่นไม่สมเกียรติยศของ ตนเองเพราะคนที่ได้รับการศึกษาไม่ควรเสียเวลาไปทำงานที่คน ไม่รู้หนังสือก็ทำได้คนจำพวกนี้จึงยอมทนใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ๘
ทั้งที่เงินเดือนไม่มากแต่ก็จับจ่ายใช้ทรัพย์อย่างสุรุ่ยสุร่าย และ ถ้าคนเรายังมีค่านิยมเห็นว่าการเป็ นเสมียนมีศักดิ์ศรีสูงกว่าการเป็ น ชาวนา ชาวสวน หรือพ่อค้า คนก็มักจะใฝ่ทะเยอทะยานอยากเป็น เสมียน ๙
เมื่อกระทรวงจัดการคัดเลือกเสมียนที่มีมากเกินความ จำเป็นออก บุคคลเหล่านี้จะไม่สามารถไปทำงานอื่นได้ เพราะเคย เป็ นเสมียนมานานผู้ที่เป็ นเสมียนไม่อาจไปเป็ นชาวนาได้ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น เห็นว่าไม่สมเกียรติของตน ดังนั้น จึงคงอยู่ในเมืองเพื่อหาตำแหน่งเสมียนต่อไป อายุมากขึ้น โอกาสยิ่งน้ อยลง ๑o
ในตอนท้ายของบทความจบด้วยคำถามกระตุ้นให้คิดว่า สมควรหรือไม่ที่จะเปลี่ยนค่านิยมในการเป็ นเสมียนแล้วหันไป ทำงานอื่น ๆ ที่ทำประโยชน์ได้ดีกว่าการเป็นเสมียน ๑๑
บทวิเคราะห์ ๑๒
คุณค่า ด้านเนื้อหา ๑๓
๑. สาระสำคัญ เป็นการแสดงความคิดเรื่อง ค่านิยมเกี่ยวกับอาชีพ ที่คนทั่วไป มักนิยมยกย่อข้าราชการ และผู้ที่ทำงานในสำนักงาน จนมองข้าม ความสำคัญของอาชีพอื่น เหมือนโคลนติดล้อรถ ๑๔
เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ค่านิยมในปัจจุบันพ่อแม่ ที่มีลูกเรียนเก่ง หัวดี ก็อยากให้ลูกสอบเป็นหมอ แม้ฐานะทางบ้านจะยากจน ก็จะไป กู้หนี้ยืมสินมาส่งลูกเรียนหมอจนได้ทั้งที่งานอื่น ๆ ก็มี และยัง เป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เช่น งานวิศวกร ที่สามารถประดิษฐ์และสร้างความเจริญให้ประเทศได้ ๑๕
๒. โครงเรื่อง บทความเรื่องโคลนติดล้อ ตอนความนิยมเป็นเสมียนเป็น ร้อยแก้วแสดงความคิดเห็นที่มีองค์ประกอบของบทความครบ ทั้ง ๓ ส่วน คือ ส่วนนำ : มีการเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหา ที่พระองค์ทรงเปิด ๑๖ ประเด็นมุมมองถึงความเสียหายที่จะตามมาของผู้ที่รับการ ศึกษาในระบบโรงเรียนมีมากขึ้น
ส่วนเนื้อเรื่อง : มีการแบ่งออกเป็นย่อหน้ าทั้งหมด ๗ ย่อหน้ า แต่ละเรื่ องโยงกันเป็ นลำดับตั้งแต่การตั้งความหวังในอนาคต เมื่อเรียนจบโดยลืมพื้นความหลังทางวัฒนธรรมว่าสังคมไทย เป็นสังคมเกษตรกรรม แต่ละย่อหน้ ามีการอธิบายและการยก ตัวอย่างชัดเจน ๑๗
ส่วนสรุป : ผู้เขียนได้กล่าวถึงหนทางการแก้ปัญหาและใช้กลวิธี ในการปิ ดเรื่ องโดยใช้คำถามในบรรทัดสุดท้ายว่า “เพราะฉะนั้นท่านจะไม่ช่วยกันบ้างหรือ” ๑๘
คุณค่า ด้านวรรณศิลป์ ๑๙
๑. การสรรคำ ๑.๑ ใช้ถ้อยคำเรียบง่าย สื่อความตรงไปตรงมา มีการใช้ ศัพท์ภาษาอังกฤษบ้าง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ๒o
“..เด็กทุก ๆ คนซึ่งเล่าเรียนสำเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วน แต่มีความหวังฝังอยู่ว่าจะได้มาเป็นเสมียน หรือเป็นเลขานุการ และจะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งขึ้นเร็ว ๆ เป็นลำดับไป เด็กที่ ออกมาจากโรงเรียนเหล่านี้ย่อมเห็นว่ากิจการอย่างอื่นไม่สม เกียรติยศนอกจากการเป็นเสมียน ข้าพเจ้าเองได้เคยพบเห็น พวกหนุ่ม ๆ ชนิดนี้หลายคนเป็นคนฉลาดและว่องไว และถ้า หากเขาทั้งหลายนั้นไม่มีความกระหายจะทำงานอย่างที่พวกเขา เรียกกันว่า \"งานออฟฟิ ศ\" มากีดขวางอยู่แล้ว เขาก็อาจจะทำ ประโยชน์ได้มาก..” ๒๑
๑.๒ การซ้ำคำ เพื่อเน้ นย้ำแสดงความหนักแน่นของความ ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม เช่น “ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรัก ไม่มีใครอาลัย เป็ นการลงเอยอย่างมืดแห่งชีวิตที่มืดไม่มีสาระ” ๒๒
๑.๒ การซ้ำคำ เพื่อเน้ นย้ำแสดงความหนักแน่นของความ ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม เช่น “ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรัก ไม่มีใครอาลัย เป็ นการลงเอยอย่างมืดแห่งชีวิตที่มืดไม่มีสาระ” ๒๓
๒ โวหารภาพพจน์ ๑.๑ การใช้อุปมาโวหาร เป็นการใช้ข้อความเปรียบเทียบหรือเปรียบเหมือน ทำให้ ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตามและเห็นด้วย ดังตอนที่กล่าวถึง ผู้นิยมความเป็ นเสมียนว่า “..ถ้าจะเปรียบพืชที่เขาได้ทำให้งอกต้องนับว่าน้ อยกว่าผลที่เขา ได้กินเข้าไป ..” ๒๔
๑.๒ การใช้อุปลักษณ์ เช่น ชื่อเรื่องบทความ “โคลนติล้อ”เป็นการใช้โวหารภาพพจน์ แบบอุปลักษณ์โดยให้โคลนหมายถึงปั ญหาและอุปสรรคที่ กีดขวางความเจริญของประเทศชาติเหมือนโคลนที่ติดล้อรถ ทำให้รถเคลื่อนไปได้ไม่สะดวก ๒๕
คุณค่า ด้านสังคม ๒๖
๑. สะท้อนภาพชีวิตและค่านิยมของสังคมไทยในอดีต ๑.๑ ค่านิยมที่ยกย่องคนรับราชการ ทำให้ผู้มีการศึกษา ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ไม่กลับไปประกอบอาชีพในภูมิลำเนาของ ตน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ๒๗
“..เขาตอบว่าเขาเป็ นผู้ที่ได้รับความศึกษามาจากโรงเรียน แล้ว ไม่ควรจะเสียเวลาไปทำงานชนิดซึ่งคนที่ไม่รู้หนังสือก็ ทำได้ และเพราะเขาไม่อยากจะลืมวิชาที่เขาได้เรียนรู้มาจาก โรงเรียนนั้นด้วย เพราะเหตุนี้เขาสู้สมัคร อดอยากอยู่ใน กรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเพียงเดือนละ ๑๕ บาทหรือ ๒๐ บาท ยิ่งกว่าที่จะกลับไปประกอบการเพื่อเพิ่มพูนความสมบูรณ์ แห่งประเทศในภูมิลำเนาเดิมของเขา..” ๒๘
๑.๒ ค่านิยมผิด ๆ ของผู้ที่นิยมเป็ นเสมียน คือ การใช้จ่ายอย่างสุรุ่นสุร่าย เพราะต้องใช้ความเป็นอยู่แบบเกิน ฐานะ เพื่อรักษาเกียรติและหน้ าตาของคน ดังตัวอย่าง “..ในเงินเดือน ๑๕ บาทนี้พ่อเสมียนยังอุตส่าห์จำหน่ายจ่ายทรัพย์ ได้ต่าง ๆ เช่นนุ่งผ้าม่วงสี ใส่เสื้อขาว สวมหมวกสักหลาด และใน เวลาที่กลับจากออฟฟิศแล้วก็ต้องสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะ ต้องไปดูหนังอีกอาทิตย์ละ ๒ ครั้งเป็นอย่างน้ อย..” ๒๙
๒. ทราบปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในอดีต บทความนี้ทำให้เราทราบว่าสมัยรัชกาลที่ ๖ปัญหาที่คอบขัด ขวางถ่วงความเจริญของบ้านเมืองในขณะนั้นว่ามีอะไรบ้าง เช่น การเชื่อถือข้อความทางหนังสือพิมพ์ที่ยังไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริง ชายหนุ่มที่เข้ามาทำงานในเมืองแล้วไม่กลับไปประกอบอาชีพใน ภูมิลำเนาของตน ๓o
๓. สะท้อนข้อคิดที่สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต บทความเรื่องโคลนติดล้อ ให้ข้อคิดแก่คนในสังคมไทยได้เป็น อย่างดีว่า ๑. ไม่ควรลืมรากฐานของตนเอง ๒.ไม่ดูถูกอาชีพเกษตรกรรม ๓. ไม่ควรใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินรายรับและฐานะทางเศรษฐกิจของตน ๔. ควรรู้จักใช้ความรู้ความสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอย่าง ๓๑
คำศัพท์หน้ารู้ ๓๒
• ผ้าม่วง หมายถึง ผ้านุ่งแบบโจงกระเบนของข้าราชการผู้ชายสมัยก่อน • หมวกสักหลาด หมายถึง หมวกที่ตัดเย็บด้วยผ้าขนสัตว์ • กุ๊กช้อป หมายถึง ภัตตาคารที่มีพ่อครัวทำอาหารฝรั่ง ซึ่งคำนี้มาจากคำว่า cookshop • เสมียน (อ่านว่า สะ-เหมียน) ในความหมายทั่วไป หมายถึง เจ้าหน้าที่เกี่ยว กับหนังสือ หรือตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเขียน หนังสือ แต่ในเรื่องนี้ หมายถึง การทำงานรับราชการ ๓๓
สาเหตุ ที่นักเรียนต้องเรียนเรื่องนี้ เพราะ ต้องการปลูกฝังความคิดของนักเรียนในเรื่อง การให้เกียรติผู้ที่ประกอบอาชีพต่าง ๆ ว่า อาชีพเหล่านั้นล้วนมี เกียรติเท่ากันและสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ ไม่ต่างกันกับอาชีพที่รับราชการ ๓๔
กิจกรรมท้ายบทเรียน ให้นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นว่า ในปัจจุบันนี้มี ปัญหาอะไรบ้างที่เป็นตัวเหนี่ยวรั้งความเจริญก้าวหน้ าของ ประเทศชาติไว้ และนักเรียนมีวิธีการแก้ปัญหานั้นอย่างไร ๓๕
ประวัติผู้จัดทำ ชื่อ นางสาวมิ่งกมล พงศ์นิสภกุล รหัสนักศึกษา 631102008102 กำลังศึกษาอยู่ที่ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏ เพชรบูรณ์ เบอร์โทรศัพท์ 0640841776 Facebook Ming Pongnisapakul E-mail [email protected] ๓๖
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: