งานวจิ ัยในช้นั เรียน เร่ืองการพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาภาษาไทย ของนกั ศึกษาระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน้ โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเรือ่ งประโยคในภาษาไทย นายธงชยั ก่งิ มะลัง กศน.ตำบลตาจั่น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อำเภอคง สำนักงานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั นครราชสมี า
ชื่อเร่อื ง การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาภาษาไทย ของนกั ศึกษาระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษา ตอนตน้ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะเร่ืองประโยคในภาษาไทย ผ้ทู ำวิจยั นายธงชัย กง่ิ มะลัง สถานศึกษา ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อำเภอคง ปที ท่ี ำวิจัย ปีการศกึ ษา 2565 บทคดั ยอ่ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักศึกษาที่เรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่องประโยคในภาษาไทย ของนักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตำบลาจ่ัน ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอคง กลุ่มตัวอย่าง นักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 10 คน โดยวิธีเลือกสุ่ม แบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษา คือ แบบฝึกทักษะเรื่องประโยคในภาษาไทย และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้เป็น ข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลือก ผลการศกึ ษาค้นควา้ พบว่า 1) ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนกั ศึกษาระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น โดยใช้แบบฝึกทักษะเร่ือง ประโยคในภาษาไทย หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น 2) ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักศกึ ษาระดับชน้ั มัธยมศึกษาตอนต้น หลังการใช้แบบฝึกทักษะเร่อื ง ประโยคในภาษาไทย สงู กว่าเกณฑ์รอ้ ยละ 60
กิตตกิ รรมประกาศ การวจิ ัยเร่อื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าภาษาไทย ของนักศึกษาระดับชัน้ มัธยมศกึ ษา ตอนตน้ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะเรอื่ งประโยคในภาษาไทย นีส้ ำเรจ็ ลลุ ่วงไปดว้ ยความเรยี บร้อย ซ่ึงไดร้ ับความชว่ ย และให้คำแนะนำในการจัดทำงานวจิ ยั เลม่ นี้ จากทา่ นผ้อู ำนวยการศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยอำเภอคง ผวู้ จิ ัยขอขอบพระคณุ เป็นอยา่ งสูง ไว้ ณ ทน่ี ้ี ขอขอบพระคุณ คุณครภู ูษิชช์ จนั ทร์นอ้ ย และคุณครนู ุชรยี ์ กวา้ งขวาง ทีใ่ ห้ความอนุเคราะห์ในการ ตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือและให้คำแนะนำในการจัดทำวิจยั และนักศึกษาระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตำบลตาจน่ั ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอคง ทีใ่ ห้ความรว่ มมือในการให้ ขอ้ มลู ในการทำวิจัย จนทำใหง้ านวจิ ัยนล้ี ุล่วงไปไดด้ ว้ ยดี ผู้วจิ ัยหวงั ว่า งานวจิ ยั ฉบับนจี้ ะมีประโยชน์ ต่อการพฒั นานกั ศกึ ษาและผลสมั ฤทธ์ิทางการ เรยี นวิชาภาษาไทย ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอคง นายธงชยั กิ่งมะลัง กศน.ตำบลตาจั่น
สารบญั เรอ่ื ง หน้า บทคดั ยอ่ ............................................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ..............................................................................................................................................ข สารบัญ...............................................................................................................................................................ค สารบญั ตาราง.....................................................................................................................................................จ บทท่ี 1 บทนำ....................................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา...............................................................................................2 วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย.........…….......………..…………..............................................……………………...2 ขอบเขตการวิจัย..............……………….......………...……...............................................……………………... 2 สมมตุ ิฐานการวิจัย............................................................................................................................... 2 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ…………...………......…....................................................……………………………………….2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ บั ...................................................................................................................3 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง.........................................................................................................4 ทฤษฎกี ารเรยี นร.ู้ ......................................……………………………………………………………..….........……... 4 แนวคดิ การจัดการเรยี นรู้ท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสำคัญ..................................................................................7 ชุดการเรยี นรู้........................................................................................................................................9 งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง.............................................................................................................................14 กรอบแนวคิดในการวิจัย.....................................................................................................................14 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ การ................................................................................................................................... 15 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง.................................................................................................................15 เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการทดลอง................................................................................................................15 การสรา้ งและการหาคุณภาพของเคร่อื งมอื ....................................................................................... 15 แบบแผนการทดลองและข้ันตอนการดำเนนิ การทดลอง................................................................... 16 การจัดกระทำข้อมลู และการวเิ คราะหข์ อ้ มูล......................................................................................17 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล...........................................................................................................17 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล...................................................................................................................... 18 สญั ลักษณ์ท่ีใชใ้ นการน าเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล.................................................……………………18 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล…………….………………………………………………………………..….......………………. 18 บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ............................................................................................ 19 วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา....……………………………………………………………………….……………….…….. 19 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง............................................................................................................... 19 เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า..................................................................................................... 19
สารบญั (ตอ่ ) เรอื่ ง หนา้ การดำเนนิ การศกึ ษา..........................................................................................................................21 สรุปผล................................................................................................................................................21 อภิปรายผล.........................................................................................................................................21 ข้อเสนอแนะ.......................................................................................................................................22 บรรณานกุ รม.................................................................................................................................................. 23 ภาคผนวก - แบบฝึกทักษะเร่ืองประโยคในภาษาไทย
สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 แบบแผนการทดลอง One Group Pre – test Post – test Design ………………………..….......16 2 แสดงค่าคะแนนเฉลยี่ ร้อยละ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ของนักศกึ ษาระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น โดยใช้แบบฝกึ ทักษะเร่อื งประโยคในภาษาไทย……………………….………..18
บทท่ี 1 บทนำ 1. ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา การวจิ ยั เปน็ เครื่องมือสำคญั ประการหน่ึง ที่จะช่วยใหก้ ารปฏิรูปการเรยี นรปู้ ระสบความสำเร็จ ดังจะ เห็นได้จากพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิม่ เตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็น กฎหมายแมบ่ ททางการศึกษาของไทย ได้ใหค้ วามสำคัญกับการวจิ ยั และกำหนดมาตรา หลายมาตรา ท่ชี ี้ให้เห็น ว่าการวิจัยเป็นส่วนหน่งึ ของกระบวนการเรียนรู้ กล่าวคือ มาตรา 24 (5) ระบใุ หใ้ ช้การวิจัยเป็น ส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ ผเู้ รียนสามารถใช้การวิจัยเพ่ือศกึ ษาคน้ คว้าหาคำตอบหรือแก้ไขปญั หาที่ เกิดขึ้น การวิจัย จึงสัมพันธ์กับกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยฝึกกระบวนการคิด วิเคราะห์ หาเหตุผลในการ ตอบปัญหา และ แก้ไขปัญหา มาตรา 30 ระบุให้ครูผู้สอนทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ ผู้เรียน ผู้สอน นอกจากจดั กระบวนการเรียนการสอนแลว้ ยังใชก้ ารวจิ ยั เพื่อศกึ ษาปญั หา หรือสง่ิ ทต่ี อ้ งการรู้ คำตอบ พัฒนา ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการกระบวนการจัดการเรียนการสอน และทำการวิจัยให้ เป็น กระบวนการเดียวกันท้ังหมด เมื่อพิจารณาเป้าหมายประการหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ คือเพื่อให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ดี เก่ง มสี ขุ ผสู้ อนจึงมบี ทบาทสำคัญในการสร้างผเู้ รียน ใหไ้ ปสเู่ ปา้ หมายดงั กล่าว โดยจะตอ้ งคำนึงถึง มาตรฐาน คุณภาพการจัดการเรยี นรู้ และบูรณาการการจัดการเรียนการสอนกับการวิจัยให้เป็นกระบวนการเดยี วกัน นั่น คอื ผูส้ อนจะต้องจดั กระบวนการเรยี นการสอน และใชก้ ารวิจยั เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรยี นรู้ ทำการวิจัย เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา และนำผลการวิจัยมาใช้ปรับปรุง กระบวนการเรียนการสอน สว่ นของผู้เรียนกระบวนการวิจัยจะเป็นการสง่ เสริมให้ผู้เรียนมีเคร่ืองมือการเรียนรู้ ติดตวั ไปตลอดชีวติ เพราะการเรียนรูด้ ้วยกระบวนการวจิ ัยจะฝึกใหผ้ ู้เรยี นคน้ ควา้ ทดลอง หรือศกึ ษาหาความรู้ อยา่ งมแี ผนงานทเี่ ปน็ ระบบนา่ เชือ่ ถอื ได้ จากการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนของนักศึกษาระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ในรายวิชาภาษาไทย นั้นพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ปีการศึกษา 2565 ต่ำและการ เรียนมีปัญหาเสมอ ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาตั้งไว้ ผู้วิจัยจึงหาแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อ พัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จึงได้จัดทำชุดการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนกั ศกึ ษาระดับชนั้ มธั ยมศึกษาตอนต้นข้ึน
2 วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย 1) เพอ่ื พฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาภาษาไทยของนักศกึ ษาระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาตอนต้น โดยใช้ แบบฝกึ ทักษะเรือ่ งประโยคในภาษาไทย 2) เพ่อื พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษาระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ เรื่องประโยคในภาษาไทย ใหไ้ ด้ตามเกณฑร์ ้อยละ 60 3. ขอบเขตการวิจัย 3.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวจิ ยั ในคร้ังนีเ้ ป็นนกั ศึกษาระดับชน้ั มัธยมศึกษาตอนตน้ ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 32 คน 3.2 กล่มุ ตัวอย่าง ตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นการวิจยั ในครงั้ นี้ เปน็ นกั ศึกษาระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 10 คน โดยการส่มุ แบบเจาะจง กลมุ่ นักเรยี นตวั อยา่ งไดม้ าจากนักเรยี นทม่ี ี ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาภาษาไทยต่ำ 3.3 เนอื้ หาในการวิจยั เปน็ เนือ้ หาที่ใช้ในการทดลองเพอ่ื การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรู้ของนกั ศกึ ษาระดบั ช้ัน มัธยมศึกษาตอนตน้ เร่ืองประโยคในภาษาไทย 3.4 ระยะเวลาในการวจิ ยั ระยะเวลาในการวจิ ัย ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระหวา่ งวนั ท่ี 1 กรกฎาคม 2565 ถึง วันที่ 30 สงิ หาคม 2565 3.5 ตวั แปร - ตวั แปรตน้ แบบฝกึ ทักษะเรือ่ งประโยคในภาษาไทย - ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรือ่ งประโยคในภาษาไทย 4. สมมตุ ิฐานการวจิ ัย 1. นกั ศกึ ษาระดับชนั้ มธั ยมศึกษาตอนตน้ ทไี่ ด้ศกึ ษาแบบฝกึ ทักษะเรือ่ งประโยคในภาษาไทย มีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนสงู ขึ้น 2. นกั ศึกษาระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนตน้ ทไ่ี ด้ศกึ ษาแบบฝกึ ทักษะเรอ่ื งประโยคในภาษาไทย มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าภาษาไทย เร่อื งประโยคในภาษาไทย สูงกวา่ ร้อยละ 60 ทุกคน 5. คำนยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ แบบฝกึ ทักษะ คือ สอื่ การเรียนการสอนชนดิ หนง่ึ ทใ่ี ช้ฝึกทักษะกบั ผ้เู รยี น เพอื่ ฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ รวมท้ังเกดิ ความชำนาญในเรือ่ งน้นั ๆ ท่ผี ู้วิจยั สร้างขนึ้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเปน็ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้ จำแนก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนท่ีแตกต่างกัน คะแนน จากการทดสอบ เร่อื งประโยคในภาษาไทย นักศึกษาระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนต้น แบบทดสอบ คือ แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อทดสอบนักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กอ่ นและหลงั ทดลองใช้แบบฝึกทกั ษะเรื่องประโยคในภาษาไทย 6. ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ ับ 1. ได้แบบฝึกทักษะเรือ่ งประโยคในภาษาไทย ที่ผ่านการพฒั นาและหาประสิทธภิ าพจากผู้เช่ยี วชาญ เรียบรอ้ ยแลว้ 2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เร่ืองประโยคในภาษาไทย นักศกึ ษาระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ สูงขึน้ 3. สถานศึกษามีแนวทางในการจัดทำชดุ แบบฝึกทักษะเร่ืองประโยคในภาษาไทย และพฒั นากลุม่ สาระอืน่ ๆ 4. สถานศึกษาสามารถนำแนวทางนไี้ ปส่งเสรมิ ใหค้ รูคนอน่ื ๆ ได้นำไปพัฒนากลุ่มสาระอนื่ ๆ ไดต้ าม มาตรฐานวิชาชพี
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง การวิจัยในครัง้ น้ี ไดศ้ ึกษาแนวทางจากเอกสารต่าง ๆ และงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง ดงั รายละเอียดตาม ลำดบั ตอ่ ไปนี้ 1. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 2. แนวคิดการจัดการเรียนร้ทู เ่ี นน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคัญ 3. แบบฝกึ ทักษะ 4. งานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง 5. กรอบแนวคดิ ในการวิจยั 1. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (Theory of Learing) De Cecco & Crawford (อา้ งถงึ มาลี จุฑา, 2542) กล่าวไว้วา่ การเรียนรู้เกิดขน้ึ เมือ่ มกี ารฝึก และการฝึกนนั้ ต้องมกี ารเสรมิ แรงและมจี ุดมงุ่ หมาย จึงจะ ทำให้ เกิดการเรียนรขู้ น้ึ ซ่งึ สงั เกตไดจ้ ากการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมทค่ี ่อนขา้ งถาวร ไม่ใชเ่ ปน็ การเปล่ียนแปลง ชั่วคราว การเรียนรู้ (Learing) หมายถึงกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจาก ประสบการณ์ที่ แตล่ ะบุคคลได้รับมา ผลของการเรียนรจู้ ะช่วยให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมในด้านความรู้ ทกั ษะ และ ความรู้สกึ กระบวนการเรยี นรู้เป็นไปตามขัน้ ตอนธรรมชาติของการเรยี นรู้ข้ึนอยู่กับความต้องการ ส่ิงเรา้ การ ตอบสนอง และรางวลั (มาลี จฑุ า, 2542) สงวน สุทธิเลิศอรุณ (2531) ได้ให้ความหมายการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแ ปลง พฤตกิ รรม อนั เนอ่ื งมาจากประสบการณ์ อุบลรัตน์ เพ็งสถิต (2530) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการ เปล่ียนแปลง ของพฤตกิ รรมที่เกิดขนึ้ โดยการเช่ือมโยงระหวา่ งส่ิงเร้าและการตอบสนองบ่อยครัง้ เข้าจนในที่สุด กลายเปน็ พฤตกิ รรมท่ีเกิดขึน้ อย่างถาวร ดังนั้น จึงสรุปความหมายของการเรียนรู้ได้ว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้รับมา ซึ่งผลของการเรียนรู้จะก่อให้เกิดการ เปล่ยี นแปลง พฤตกิ รรม 3 ด้าน คอื ความรู้ ทกั ษะ และความร้สู ึก ทฤษฎีการเรยี นรู้ในปจั จุบัน แบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ ใหญ่ คือ (มาลี จุฑา, 2542) 1) กลุ่มทฤษฎีเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง (S-R Theory) ได้แก่ ทฤษฎีการ เรยี นรู้แบบตอ่ เน่อื ง (Connectionism) ของEdward L. Throndike นกั จติ วิทยาชาวอเมรกิ ันกลา่ ว ว่า การ 5 เรียนรู้เกิดขึ้นระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองโดยสิ่งเร้าสิ่งหนึ่ง อาจทำให้เกิดการตอบสนองได้ หลายทาง ได้กล่าว วา่ เมือ่ บุคคลพรอ้ มแลว้ ได้กระทำจะเกดิ ความพอใจ ถ้าบุคคลได้กระทำสิง่ ใดแลว้ ได้ผลเป็นท่ี นา่ พอใจกอ็ ยากจะ กระทำสง่ิ นัน้ อกี การนำความรูจ้ ากทฤษฎกี ารเรียนรู้แบบตอ่ เนอ่ื งไปใชใ้ นการเรยี นการสอน ก่อนจะเร่ิมดำเนินการสอนครูจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมและกระตุ้นให้นักเรียนพรอ้ มทีจ่ ะเรียนเสยี ก่อน โดยมี
การนำเข้าสู่บทเรียนทุกครั้ง ควรมีการมอบหมายงานกิจกรรม แบบฝึกหัด และการบ้านให้นักเรียนได้ฝึกหดั กระทำเพื่อให้บรรลุตามหลักสูตร ที่ว่าให้คิดเป็นทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น ใช้หลักการ การให้รางวัลและการ ลงโทษเพือ่ ให้นกั เรยี นรู้วา่ “ทำดไี ดด้ ี ทำช่ัวได้ชวั่ ” ทฤษฎีเชื่อมโยงของกัทธรี (Guthrie’s Contiguity Theory) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า การ เรียนรู้เกิดจากการกระทำ คอื มคี วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งสงิ่ เร้า และการตอบสนองท่ีเขา้ คกู่ นั ได้ในลักษณะที่มี การ กระทำหรือสัมผสั ไมน่ อ้ ยกว่าหน่ึงคร้งั ก็เกดิ การเรยี นรู้ได้ ดงั น้นั การนำความรจู้ ากทฤษฎีไปใช้ในการเรียน การสอน ครูผู้สอนควรปฏิบัติดังนี้ ก่อนดำเนินการสอนของครูจะต้องจูงใจให้นักเรียนตั้งใจเรียนและมีความ สนใจท่จี ะเรยี น ดำเนนิ การสอนตามเน้อื หาสาระหู้เดน่ ชดั เพื่อให้นกั เรยี นเรียนรูไ้ ด้ดี ฝึกใหน้ กั เรียนไดเ้ รยี นรดู้ ้วย การกระทำ และกอ่ นจบบทเรียนควรให้นักเรยี นชว่ ยกนั สรุปบทเรียนให้ถูกตอ้ ง ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory) นักจติ วิทยาชาวอเมริกัน มี หลักการเรียนรู้เกิดจากการเสริมแรง การเสริมแรงเป็นการให้รางวัลเพื่อก่อให้เกิดการลดแรงขับหรือลดความ ต้องการลง ทำใหบ้ คุ คลเกดิ การเรยี นรู้ขึน้ ดังนน้ั ครผู สู้ อนควรนำทฤษฎนี ไี้ ปใช้โดยพยายามจดั การศึกษาโดย คำนึงถึง ความต้องการและสนองความต้องการของผู้เรียน พยายามสร้างแรงเสริมทุกขั้นตอนของบทเรียน จัดการเรียนการ สอนจากง่ายไปหายาก จัดคาบเรียนให้พอเหมาะแก่วัยของผู้เรียนและเปลี่ยนกิจกรรมการ สอนเมือ่ พบว่าผูเ้ รยี น เหนอื่ ยหล้าหรอื ง่วงนอน 2) กล่มุ ทฤษฎีการวางเง่ือนไข ได้แก่ ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขแบบคลาสลคิ ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการ กระทำทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสลิค (Classic Coditioning Theory) ซง่ึ Ivan P.Pavlov นักจิตวทิ ยา ชาวรัสเซีย กล่าววา่ การเรียนร้เู กิดจากการทอ่ี นิ ทรีย์ ไดต้ อบสนองตอ่ ส่งิ เร้าได้หลาย ๆ ชนิด โดยทีก่ ารตอบสนอง อย่างเดยี วกนั อาจมาจากสิง่ เร้าตา่ งชนิดกันได้หาก มีการวางเงือ่ นไขที่แน่นแฟ้นเพียงพอ การนำทฤษฎีนี้ไปใช้ในการ เรียนการสอนควรปฏิบัติดังนี้ ครูต้องสร้าง บรรยากาศที่ดใี นการเรียนการสอนอันเป็นการวางเง่ือนไขท่ีดี ครวู างตวั ใหน้ ักเรียนศรัทธาและรักเพื่อจะได้รัก วชิ าท่ีครูสอนดว้ ย ครูจัดบทเรยี นให้นา่ สนใจและเกดิ ความสนุกสนาน ครสู ร้าง ความเปน็ กันเองกบั นกั เรยี นและ ให้ความอบอุ่นแก่นักเรียน ครูจัดหาและใช้สื่อการสอนที่ดีเพื่อการเรียนรู้ที่มี คุณภาพ ครูใช้หลักการลบ พฤตกิ รรมทีไ่ มด่ ีในตวั นักเรยี น ไมใ่ หค้ วามสนใจในพฤติกรรมทีไ่ ม่ดที ี่สุดพฤติกรรม ดังกลา่ วจะหายไป ครูนำกฎ พฤติกรรมการจำแนกมาใช้ คือใหน้ กั เรยี นไดท้ บทวนบทเรียนทีไ่ ด้เรียนรไู้ ปแลว้ จะได้ เรยี นรูเ้ หมอื นเดิม ครูนำ กฎพฤติกรรมการจำแนกมาใช้ คือใหน้ ักเรียนไดร้ จู้ กั วิธีการจำแนกหรือวเิ คราะห์บุคคล วัตถุ สิ่งของ ทั้งในด้าน ดแี ละดา้ นไม่ดี ครใู ช้ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบในการเปลยี่ นเจตคติท่ีไม่ดีต่อวิชาต่าง ๆ ของนกั เรียน ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Coditioning Theory) Burrhus F.Skimmer นกั จิตวทิ ยาชาวอเมริกัน มีหลกั การวา่ การเรียนร้เู กิดจากการท่ีบุคคลไดม้ กี ารกระทำแลว้ ไดร้ ับการเสริมแรง ซึง่ นำ 6 ความรจู้ ากทฤษฎไี ปใช้ในการสอนโดย สรา้ งนสิ ยั ทดี่ ใี ห้แก่เด็ก เพ่อื การสร้างคุณภาพแห่งชีวิต ลบนิสัยท่ี ไม่ดีออก จากตัวนักเรียนโดยวิธีการปรับพฤติกรรมปลูกฝังค่านิยมพื้นฐานให้แก่นักเรียน ให้การสริมแรงแก่ นักเรยี นทีก่ ระทำ ความดี และจดั ประกวดเด็กดีในดา้ นต่าง ๆ และใหร้ างวลั ตามความเหมาะสม
3) กลมุ่ ทฤษฎีสนาม ไดแ้ ก่ ทฤษฎสี นาม ทฤษฎีการเรยี นรขู้ องเลวิน และทฤษฎกี ารเรยี นรโู้ ดยใช้ เคร่ืองหมายของทอลแมน ทฤษฎีสนาม (Fieeld Theory) Wolfgang Kohter และคณะ นกั จิตวิทยาชาวเยอรมัน กล่าวว่า ใน การเรียนรู้หรือในการแก้ปัญหาบุคคลจะพิจารณาสิ่งเร้าหรือโครงสร้างของปัญหาโดยส่วนร่วมทุกแง่ทุกมุม เสียก่อน จากนั้นจะแยกเป็นส่วนย่อย ๆ เหล่านั้นจนในที่สุดจะเกิดความคิดหรอื เห็นช่องทางในการแก้ปญั หา นั้นได้โดยฉับพลัน จะเกิดการเรียนรูด้ ้วยความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง หรือเกิดการหยั่งเห็นหรือที่เรียกว่า พิปัส ญาณ (Insigh) การนำทฤษฎีไปใช้ก่อนดำเนินการสอนควรชี้ให้เห็นถึงจุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ของ บทเรียน อธิบายให้นักเรียนเห็น ภาพรวม ๆ หรือโครงสร้างของบทเรียนก่อนลงมือสอน แนะนำกิจกรรมท่ี นักเรียนควรฝกึ ปฏิบัติ เพ่อื นำไปสู่ความรู้ ความเขา้ ใจในบทเรียน สอนใหน้ ักเรยี นแกป้ ัญหาด้วยตนเอง อันจะ นำไปสกู่ ารคิดเปน็ ทำเปน็ และแกป้ ญั หาเปน็ ทฤษฎีการเรียนรู้ของเลวิน (Lewin’s Field Theory) Kurt Lewin นักเรียนจิตวิทยาชาวอเมรกิ ัน กล่าวว่าการเรยี นรูเ้ กิดจากการเปลี่ยนแปลงความรู้ ความเข้าใจเดิมหรือเกดิ จากการกระทำซ้ำๆ หรือได้มกี าร แก้ปัญหาหรือมีการเปลย่ี นการจงู ใจทำให้เกดิ ความรู้ ความเข้าใจอย่างแจ่มแจง้ การนำทฤษฎีไปใช้ ครูใช้วิธีการ กลุม่ สัมพนั ธ์เพอื่ ใหน้ กั เรียนมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ครูจะได้เกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ครจู ดั ให้มีศูนย์การเรียนใน หอ้ งเรียน ม่งุ เนน้ นกั เรยี นเป็นศนู ย์กลางเพ่ือให้นกั เรียนเรยี นร้ดู ้วยความเข้าใจ ใหน้ ักเรียนตั้งเปา้ หมายของชีวิต เปา้ หมายในแต่ละวิชาและในแต่ละบทเรยี นเพ่อื ใหก้ ารเรียนและการดำเนินชวี ติ มเี ป้าหมายที่ชัดเจน ใช้วิธีการ จงู ใจ เพือ่ กระตนุ้ ใหน้ ักเรียนตอบสนองอย่างเข้มขน้ ต่อบทเรียน ฝกึ ใหน้ กั เรยี นรจู้ ักแกป้ ัญหาในเกมงา่ ย ๆ หรือ ปญั หางา่ ยๆและยากข้ึนตามลำดบั ทฤษฎกี ารเรียนร้ขู องทอลแมน (Tolman’s Learning Theory) Edward C. Tolman นักจิตวทิ ยา ชาวอเมรกิ ัน มหี ลกั วา่ การเรียนรเู้ กดิ จากการท่ีบุคคลท่ีตอบสนองต่อส่งิ เร้า โดยใช้เครอื่ งหมายหรือสัญลักษณ์ เปน็ แนวทางนำไปสเู่ ปา้ หมายทำใหเ้ กิดการเรียนร้ดู ้วยความเข้าใจ การนำทฤษฎไี ปใช้ การจดั การเรียนการสอน ให้ นักเรียนได้มสี ่วนรว่ มในการคิด เปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดพ้ ดู และแสดงความคิดเห็นเพ่ือสง่ เสริมความคิดเป็น จดั แบง่ นกั เรยี นเปน็ กลุม่ เล็ก ๆ หรือศูนย์การเรยี น มอบงานหรอื จดั กจิ กรรมให้ทุกกลุ่มไดก้ ระทำ ให้สมาชิกได้ มีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรียนการสอน จัดการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนได้อภิปรายในชั้นเรียน หรือใช้ กจิ กรรมกล่มุ สมั พันธ์ ใหน้ กั เรียนมปี ฏิสัมพันธก์ บั ครู กบั เพ่ือน ๆ เพอ่ื ให้เขา้ ใจบทเรียนไดด้ ยี ง่ิ ข้ึน 1.1 ผลจากการเรยี นรู้ (Learning Outcomes) เม่ือผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรใู้ นบทเรยี นที่ครูสอนแลว้ จะทำให้ผเู้ รียนเกิดผลการเรียนรู้ ดังนี้ (ชชู พี อ่อนโคกสูง, 2522) 1.1.1 เกดิ การรบั รู้ (Perception) การรบั ร้เู ปน็ กระบวนการซ่ึงสมองตคี วามหรอื แปล ความหมาย ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากการสมั ผัสของร่างกายหรอื ของประสาทสัมผัสต่าง ๆ กับสง่ิ แวดล้อมทำให้เราทราบ วา่ ส่งิ เรา้ หรอื สิง่ แวดลอ้ มทีเ่ ราสมั ผัสนนั้ เปน็ อะไรมคี วามหมายอยา่ งไร มลี ักษณะอยา่ งไร
1.1.2 เกดิ มโนคติ (Concept) เปน็ ผลมาจากการรับรู้ ความจำจินตนาการและส่ิงแวดล้อม อื่น ๆ ทั้งภายนอกและภายในตัวบุคคล มโนคติจะเกิดขึ้นเมื่อมีการประสมประสานกันระหว่างการแยกแยะ การย่นย่อ และการสรุปรวบยอด ในระหว่างที่มีการสัมผัส การทำงานของกล้ามเนื้อ การตั้งคำถาม การอ่าน และการแกป้ ญั หา 1.1.3 เจตคติ (Attitudes) เกดิ จากการเรียนรแู้ ละประสบการณ์ของบุคคลซง่ึ เป็นความ พร้อมที่ จะตอบสนอง หรือแสดงความรู้สึกต่อวัตถุ สิ่งของ คน มโนคติอื่น ๆ ตลอดจนสถานการณ์ต่าง ๆ ความรสู้ ึกหรือ การตอบสนอง ดังกล่าว อาจเปน็ ไปในทางท่ีชอบหรือไม่ชอบกไ็ ด้ 1.1.4 เกดิ การคดิ (Thinking) การคิดเปน็ พฤติกรรมท่เี กดิ ข้นึ ในสมองซึง่ เป็นกระบวนการท่ี ภาพ หรอื สญั ลักษณข์ องสงิ่ ของหรอื สถานการณต์ ่าง ๆ มาปรากฏในแนวคิดหรือจติ ใจเรา 1.1.5 เกิดการแกป้ ญั หา (Problem Solving) เมอ่ื บุคคลมเี ปา้ หมาย แตม่ ีอุปสรรคขดั ขวาง ไม่ใหไ้ ปถงึ หรอื ไมไ่ ดม้ าซึ่งส่งิ ท่ีตอ้ งการท่จี ะเกดิ ปัญหาขึน้ ดงั นนั้ บุคคลจะพยายามขจดั ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกดิ ข้ึนให้ หมด ไปเพือ่ บรรลเุ ปา้ หมายทีต่ ้องการ 2. แนวคดิ การจัดการเรียนรทู้ ่ีเนน้ ผูเ้ รยี นเปน็ สำคัญ พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544) ให้ความหมายว่าการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ การ จัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และสามารถถ่ายโอนความรู้ นำ ความรู้ ไปใชไ้ ด้จดั ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนดั และศักยภาพของผู้เรียนเนน้ การผสมผสานสาระการ เรียนรู้ หรอื เน้นการบูรณาการค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้หลากหลายด้านตลอดจนมีการวัดและประเมินผลตาม สภาพจริง ทักษะ กระบวนการทีผ่ ู้เรียนใช้ในการสร้างความรู้นั้น คือ 1) กระบวนการทางปัญญา คือ การคิด และกระบวนการ 2) กระบวนการทางสงั คม คือ กระบวนการทำงานเปน็ กลมุ่ ทำงานเปน็ ทีมมีปฏสิ ัมพนั ธ์กัน มี การเคล่อื นไหวทางกาย ในการจัดการเรียนรทู้ ่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ผสู้ อนควรตอ้ งมกี ารสง่ เสริมจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 24 ข้อ 5 หมวด 4 แนวการจดั การศกึ ษา ในพระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 การจัดการเรียนรู้ทีเ่ น้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นวิธีทีจ่ ะ ช่วยให้การพฒั นาคนไทยมลี ักษณะของคนยคุ ใหม่ หรือยุคปฏิรูปการศึกษา คือ เป็นคนไทยที่รู้เท่าก้าวทันโลก ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันคน รู้วิธีการเรยี นรู้ รู้วิธีการคิด คือ คิดเป็น รู้วิธีการ วิจัยและพฒั นา เปน็ คนดีมี คุณภาพ รู้เรา รู้เขา เป็นคนดี เกง่ มสี ขุ ตามเป้าหมายที่คาดหวงั แต่ได้พบว่า การ จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ นั้นมีปัจจัยที่ผู้สอนพึงตระหนัก คือบรรยากาศทางกายภาพและ บรรยากาศทางจิตใจและสิง่ ที่เป็นปัจจยั สำคัญ คอื ผสู้ อนเองควรต้องมที กั ษะที่จำเปน็ 4 ประการ เพื่อจะเป็น แบบของการพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้มี ลักษณะดังกล่าวข้างต้นที่พึงประสงค์ ทักษะจำเป็น 4 ประการ คือ 1) ทักษะความสามารถในการรจู้ ักตนเอง หรอื รูเ้ รา คอื ความสามารถเขา้ ใจอารมณ์ของตนเองเพอ่ื เปน็ แนวทาง สู่การพัฒนาวินัยตนเอง การควบคุมตนเอง และเพื่อการเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ 2) ทักษะความสามารถ เขา้ ใจผอู้ ืน่ หรือร้เู ขา คือ ความสามารถทำงาน รว่ มกับผู้อืน่ ได้ดี มีความสขุ สามารถส่อื สารเข้าใจ รว่ มมือร่วมใจ ทำงานกับคนอื่นได้ แสดงความคิดเห็น รับฟัง ความคิดเห็นผู้อื่นตลอดจนเห็นใจผู้อื่น 3) ทักษะความมีระบบ และความสามารถปรับตัวได้ คือ ความสามารถที่จะ ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ด้วยการมีความรับผิดชอบ
ความสามารถปรับตนได้ ความยืดหยุ่นต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ และ 4) ทักษะความสามารถในการตัดสินใจ คือ ความสามารถทางปญั ญาทใ่ี ช้ในการประเมนิ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้อยา่ งฉลาดและรอบคอบ มีคา่ นยิ มต่อตนเอง และต่อสงั คม พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544) กล่าวว่า การจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน เป็นการจัดเพื่อรองรับ กระแสการเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ในดา้ นตอ่ ไปนี้ 1) ด้านหลักสูตร ในเรื่องเกี่ยวกับหลักสูตรนั้นต้องมีการกำหนดจุดหมายของหลักสูตรให้ได้ผลผลิต คือ ผเู้ รียนมคี ุณสมบตั ิ ดงั น้ี 1.1) เป็นผมู้ คี ณุ ภาพ (Quality) คือ มีความดี มจี ริยธรรม อยรู่ ่วมกับผู้อื่นได้ดี ดว้ ยการเปน็ ผู้ มี คุณธรรมประจำ มีระเบียบวินัยในตนเอง รักษาระเบียบประเพณี วัฒนธรรมอันเป็นสมบัติประจำชาติ มี ค่านิยม สงั คม ตลอดจนรกั ชาตเิ ปน็ จิตสำนึก 1.2) เปน็ ผู้มสี มรรถภาพ (Competency) คอื มคี วามเก่งในความคดิ วเิ คราะห์ วพิ ากย์ วจิ ารณ์ ทำงานด้วยความคิดริเร่มิ เกง่ ในการใช้ภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซง่ึ เปน็ ภาษาสากล เก่งใน การใช้ คอมพิวเตอร์ รวมท้ังเครอื่ งมอื อิเลก็ ทรอนคิ สท์ ้ังหลาย 1.3) เป็นผู้มีสุขภาพดี (Healthy) คือ มีสุขภาพดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การเป็นผู้มี สุขภาพดี คือมรี า่ งกายแข็งแรง ปราศจากโรคภยั ไข้เจ็บ นอกจากสุขภาพกายดีตอ้ งเปน็ ผู้มีสุขภาพจิตดี คือ ร่า เรงิ แจ่มใส มน่ั ใจ ไม่เครยี ด มอี ัตมโนทศั น์ คอื เป็นผ้รู ู้จักตัวเองและเห็นคุณคา่ ในชวี ิตของตนเอง 2) ดา้ นการจัดการเรยี นรู้ กิจกรรมการจดั การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคญั ตอ้ งเน้นใหน้ ักเรยี นได้คิด วิเคราะห์ วิพากย์ วิจารณ์ แก้ปัญหาเป็น มีความตระหนัก มีจิตสำนึก และสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติใน ชีวิตประจำวัน และชีวิตการทำงานได้ เป็นผู้มีความสามารถแก้ปัญหาได้ดีเพื่อสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมี ความสุข แนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีแนวคิดจากปรัชญาคอนสตรัคติวิซึม (Constructivism) ท่ีเชอ่ื วา่ การเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการที่เกดิ ขนึ้ ภายในตวั ผูเ้ รียน ผเู้ รยี นเป็นผสู้ รา้ งความรู้จาก ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงที่พบเหน็ กับความรู้ ความเข้าใจที่มอี ยู่เดิมเปน็ ปรชั ญาท่ีมีขอ้ สันนษิ ฐานว่า ความรู้ไม่ สามารถแยกจากความอยากรู้ ความรู้ได้มาจากการสร้างเพื่ออธิบาย แนวคิดคอนสตรัคติวิซึม เน้นให้ผู้เรียน สร้าง ความรู้ โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเอง โดยผู้สอนไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญา (Cognitive Structure) ของผู้เรียนได้ แตผ่ ู้สอนสามารถชว่ ยผูเ้ รียนปรบั เปลย่ี นโครงสรา้ งทางปญั ญาได้ โดยจัด สถานการณ์ให้ ผเู้ รียนเกดิ การขดั แยง้ ทางปญั ญาหรือเกิดสภาวะไม่สมดุล (Unequilibrium) ข้ึนซ่ึงเป็นสภาวะ ทปี่ ระสบการณใ์ หม่ ไม่สอดคลอ้ งกบั ประสบการณ์เดิม ผ้เู รยี นต้องพยายามปรบั ข้อมูลใหมก่ ับประสบการณ์ที่มี อยู่เดมิ แลว้ สรา้ งเปน็ ความรู้ใหม่
3. แบบฝึกทกั ษะ 3.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ทกั ษะ สุวทิ ย์ มลู คำ และสนุ ันทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึกทักษะ ว่าแบบฝึกทักษะมีความสำคัญต่อผูเ้ รียนไม่น้อย ในการที่จะช่วย ส่งเสริมสร้างทกั ษะให้กบั ผูเ้ รียนได้เกิดการเรียนรู้ และเข้าใจได้เรว็ ขึน้ ชัดเจนข้ึน กว้างขวางขึ้นทำใหก้ ารสอน ของครูและการเรียนของนักเรียนประสบผลสำเรจ็ อยา่ ง มปี ระสทิ ธิภาพ คมขำ แสนกลา้ (2547 : 32) ไดส้ รปุ ความสำคัญของแบบฝกึ ว่า แบบฝกึ ทักษะเปน็ สว่ นสำคญั ใน การ เรียนการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพื่อใช้ในการฝึกฝนทักษะความรู้ต่างๆ หลังจากเรียนไปแล้ว เด็กก็ อาจจะลมื เลือนความรู้ทเี่ รยี นไปได้ ซึ่งอาจส่งผลใหน้ กั เรียนไม่มปี ระสิทธภิ าพเท่าทค่ี วร ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 75) ได้สรุปถึงความหมายของแบบฝึกทักษะ คือ งานกิจกรรมหรือ ประสบการณ์ทีค่ รูจดั ใหน้ ักเรียนได้ฝึกหัดกระทำ เพื่อทบทวนฝึกฝนเนื้อหาความรู้ตา่ งๆ ท่ีได้เรียนไปแล้วให้เกิด ความจำ จนสามารถปฏบิ ัตไิ ด้ดว้ ยความชำนาญ และให้ผู้เรียนสามารถนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั ได้ ผู้รายงานได้ศึกษาความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะแล้วพอสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถงึ ชดุ ฝกึ ทักษะที่ครูสร้างขนึ้ ให้นกั เรียนได้ทบทวนเน้ือหาที่เรียนรมู้ าแล้วเพ่อื สร้างความเข้าใจ และช่วย เพิ่ม ทักษะความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อ บทเรยี น ฝกึ ให้ เดก็ มคี วามเช่ือม่ันและสามารถประเมินผลของตนเองได้ ทัง้ ยงั มีประโยชนช์ ว่ ยลดภาระการสอน ของครู และยงั ชว่ ย พฒั นาตามความแตกต่าง 3.2 ลักษณะของแบบฝึกทีด่ ี แบบฝกึ เปน็ เครื่องมือทสี่ ำคญั ที่จะชว่ ยเสรมิ สร้างทักษะใหแ้ ก่ผู้เรยี น การสรา้ งแบบฝกึ ให้มี ประสิทธิภาพจึงจำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับระดับ ความสามารถของนกั เรียน สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 -61) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดี ควร คำนึงถงึ หลกั จติ วิทยาการเรยี นรผู้ ู้เรยี นได้ศึกษาดว้ ยตนเอง ความครอบคลมุ ความสอดคลอ้ งกับเน้อื หา รูปแบบ น่าสนใจ และคำสัง่ ชดั เจน และไดส้ รปุ ลักษณะของแบบฝึกไวด้ ังนี้ 1. ใช้หลกั จติ วทิ ยา 2. สำนวนคณติ ศาสตร์ 3. ให้ความหมายต่อชวี ติ 4. คิดได้เรว็ และสนกุ 5. ปลกุ ความน่าสนใจ 6. เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ดว้ ยตนเอง
และได้แนะนำให้ผ้สู รา้ งแบบฝึกใหย้ ึดลักษณะของแบบฝึกไว้ดงั น้ี 1. แบบฝกึ หดั ที่ดีควรมีความชัดเจนทง้ั คำสัง่ และวิธีทำคำสงั่ หรอื ตวั อย่างวธิ ีทำที่ใชไ้ ม่ควร ยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้งา่ ยเหมาะสมกบั ผู้ใช้ท้ังนเี้ พื่อใหน้ กั เรยี นสามารถศกึ ษาดว้ ยตนเอง ได้ถ้า ตอ้ งการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึกลงทุน น้อยใช้ได้ นานๆ และทันสมยั อย่เู สมอ 3. ภาษาและภาพทีใ่ ช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกบั วยั และพน้ื ฐานความรขู้ องผู้เรยี น 4. แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเร่ืองๆแตล่ ะเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรม หลายรูปแบบ เพ่ือเร้าใหน้ ักเรียนเกิดความสนใจและไมน่ ่าเบอ่ื หน่ายในการทำและเพ่ือฝกึ ทักษะใดทักษะหนง่ึ จนเกิดความชำ นาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คำข้อความหรือรูปภาพใน แบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพื่อว่าแบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะได้ ก่อให้เกิด ความเพลิดเพลินและพอใจแกผ่ ู้ใช้ ซ่ึงตรงกบั หลักการเรียนรู้ได้เรว็ ในการกระทำท่กี ่อให้เกิดความพงึ พอใจ 6. แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งท่ี พบเห็น บ่อยๆ หรอื ทีต่ นเองเคยใชจ้ ะทำให้นักเรยี นสนใจเร่ืองนน้ั ๆ มากยิ่งข้ึนและจะร้จู กั ความรใู้ นชวี ิตประจำวนั อยา่ ง ถูกตอ้ ง มีหลักเกณฑ์และมองเหน็ วา่ สง่ิ ทีเ่ ขาได้ฝกึ ฝนนน้ั มคี วามหมายตอ่ เขาตลอดไป 7. แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความ แตกต่างกัน หลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้น การ ทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมที ุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทง้ั เดก็ เก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกท าได้ตามความสามารถ ทงั้ น้เี พ่อื ให้เดก็ ทุกคนประสบความสำเร็จ ในการ ทำแบบฝึกหดั 8. แบบฝกึ หัดท่ดี คี วรสามารถเรา้ ความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึงหนา้ สดุ ท้าย 9. แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและควรใช้ได้ดี ทั้งในและ นอกบทเรียน 10. แบบฝึกหดั ที่ดีควรเป็นแบบทส่ี ามารถประเมิน และจำแนกความเจริญงอกงามของเด็ก ไดด้ ้วย 4. งานวิจยั ท่เี กีย่ วข้อง จากการทบทวนงานวจิ ัยท่เี กย่ี วข้องกบั การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนทเี่ น้นผู้เรียนเป็นสำคัญทั้งใน ประเทศและตา่ งประเทศ พบวา่ Kahkone (1991) ทำการศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมการสอน โดยใช้วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบศึกษาราย กรณีเพื่อพัฒนาและประเมินผลตามแนว Constructivism เร่ือง กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน โดยอาศัยกรอบ ของ การสอนการวจิ ยั และพัฒนาหลักสูตร พบวา่ สอ่ื การเรียนการสอนท่มี ีความสำคญั อย่างมากต่อการพัฒนา และการ ประเมินผลการเรียนการสอนตามแนว Constructivism เนื่องจากนักเรียนมีความเข้าใจมโนมติที่
คลาดเคลื่อนการนำเสนอมโนมติที่ถูกต้องในรูปของเอกสาร การอ่าน และการฟังบรรยายนั้นยังไม่สามารถ แก้ปัญหาได้ นอกจากน้ี การวิจัยครั้งนี้ยังพบว่า การให้นักเรียนไดเ้ ผชิญกับสถานการณ์จริง มีส่วนในกิจกรรม การเรียนการสอนได้ปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจะช่วยให้สามารถเปลี่ยนมโนคติท่ี คลาดเคลอ่ื นของนกั เรียนได้ จากการทบทวนงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่า การศึกษารูปแบบกิจกรรมการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้โครงงาน ผลจากการศึกษานักเรียนมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ เข้าใจ เนอ้ื หา และมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้มากข้นึ ซึง่ ส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนท่ีสงู ข้นึ 5. กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั จากแนวคิด ทฤษฎี เอกสารทางวชิ าการและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำมาใชใ้ นการกำหนดตัว แปร และนำไปสร้างกรอบแนวคิดท่ใี ชใ้ นการศึกษา ดังต่อไปน้ี ตวั แปรอสิ ระ คอื การจัดการเรยี นรู้ทีเ่ น้นผูเ้ รยี นเปน็ สำคัญทเ่ี น้นพัฒนาการเรียนรู้ ตวั แปรตาม คอื ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาวยิ าศาสตร์ ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนตน้ ซง่ึ กรอบ แนวคิดในการวิจยั (Conceptual Framework of Study) แสดงไวด้ ังต่อไปน้ี กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย ของนกั ศกึ ษาระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ โดยใชแ้ บบฝึกทักษะเรอื่ งประโยคในภาษาไทย ตวั แปรอิสระ (Independent Variables) ตวั แปรตาม (dependent Variables) แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่เนน้ ผู้เรยี นเปน็ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สำคญั โดยใชช้ ุดการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ของนกั ศึกษาระดับช้ัน มธั ยมศึกษาตอนต้นเพ่ิมข้นึ
บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การ การทดลองในคร้ังนี้ มคี วามมุ่งหมายเพือ่ การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของของนักศึกษา โดยใช้ แบบฝกึ ทกั ษะเรื่องประโยคในภาษาไทย ของนักศกึ ษาระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น วชิ าภาษาไทยเร่ืองประโยค ในภาษาไทย ซง่ึ ผู้รายงานไดด้ ำเนนิ การตามขั้นตอน ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2. เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการทดลอง 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมอื 4. แบบแผนการทดลองและข้ันตอนการดำเนินการทดลอง 5. การจดั กระทำข้อมลู และการวิเคราะห์ขอ้ มลู 6. สถติ ิทใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร ประชากรทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ในครัง้ น้ี เป็นนักศกึ ษาระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 33 คน กลมุ่ ตัวอยา่ ง กลุ่มตัวอย่างทใ่ี ช้ในการวิจยั ในคร้งั นี้ เปน็ นักศึกษาระดับชน้ั มัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 10 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการทดลอง เครอ่ื งมือ เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัยในครั้งนี้ แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด ตามลักษณะการใชด้ งั นี้ 1.1 แบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทย เรอื่ งประโยคในภาษาไทย จำนวน 10 ชุด 1.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่ืองประโยคในภาษาไทย เป็นแบบปรนยั ชนิด เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก การสรา้ งและการหาคุณภาพของเคร่ืองมอื 1. วธิ สี รา้ งเครอ่ื งมือ 1.1 แบบทดสอบท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วิชาภาษาไทย เรือ่ งประโยคในภาษาไทย โดยใชช้ ุดการ เรยี นรู้ของนกั ศึกษาระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ผ้วู ิจยั ไดด้ ำเนินการสรา้ งโดยมีขน้ั ตอนการสรา้ งดังตอ่ ไปน้ี 1.1.1 ศกึ ษาหลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระและมาตรฐานกลมุ่ สาระ การเรยี นรู้ภาษาไทย ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาตอนต้น
1.1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และแนวคิดในการสอนกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย จากเอกสารตำรา คู่มือครู แบบเรียนและเอกสารตำรา การสอนที่เน้นผู้เรียน เปน็ สำคญั 1.1.3 วิเคราะห์เนื้อหาสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี คำอธิบาย รายวิชา การจัดสาระการเรียนรู้ โครงสร้างการจัดสาระการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนตน้ 1.2 ชุดการเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย เรอื่ งประโยคในภาษาไทย 2. การทดสอบเครอื่ งมอื 2.1 นำแบบฝึกทักษะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วิชาภาษาไทย เรื่องประโยคในภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อกลุ่มงานวชิ าการ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาตรวจ ความเรียบรอ้ ย เสนอแนะเพ่ือปรับปรงุ แก้ไขข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะ 2.2 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเสนอต่อผู้เชีย่ วชาญ 3 ท่านเพื่อพิจารณาข้อ คำถามของข้อสอบแต่ละข้อว่าสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และเพื่อหาค่า IOC โดยใช้แบบประเมิน ความสอดคล้อง 2.3 นำแบบทดสอบมาวเิ คราะหห์ าค่าเฉลยี่ คะแนนตามความคิดเห็นของ ผเู้ ชีย่ วชาญ โดยใช้ สูตร คำนวณดชั นคี วามสอดคล้อง (Index of Item - Objective Congruence: IOC) คา่ ความสอดคล้องที่ได้ มีค่า ระหว่าง 0.67 – 1.00 และแก้ไขปรับปรุงแบบทดสอบตามคำแนะนำในข้อที่มีค่าความสอดคล้องไม่ถึง 0.50 แบบแผนการทดลองและข้นั ตอนการดำเนนิ การทดลอง 1. แบบแผนการทดลอง การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental Research) โดยใช้ แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre – test Post – test Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538 : 249) โดยมีลักษณะการทดลองดงั ตาราง ดงั น้ี ตารางท่ี 1 แบบแผนการทดลองแบบแบบ One Group Pre – test Post – test Design กล่มุ Pre-test Treatment Post-test ทดลอง T1 X T2 T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) X หมายถึง การจดั การเรียนรู้ T2 หมายถงึ การทดสอบหลงั เรยี น (Post-test)
2. ขนั้ ตอนการดำเนินการทดลอง การดำเนินการทดลองครง้ั น้ี ผู้รายงานได้ดำเนินการทดลองสอนด้วยตนเองกับนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 10 คน ใช้เวลาในการทดลอง 5 ชั่วโมง ท้ังนไ้ี ม่รวมเวลาทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น โดยมีข้นั ตอนการดำเนนิ การทดลองดังนี้ 2.1 ทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น วิชาภาษาไทย เรื่องประโยคในภาษาไทย โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ก่อนเรียน (Pre – test) ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ท่ผี ู้รายงานสร้างขึน้ 2.2 ดำเนนิ การสอนตามตารางการเรยี นรู้วิชาภาษาไทย เรื่องประโยคในภาษาไทย ระหว่างวนั ท่ี 1 กรกฎาคม 2565 ถงึ วนั ท่ี 30 สิงหาคม 2565 2.3 เมอ่ื ดำเนินการสอนครบทกุ หนว่ ยการเรียนรูแ้ ลว้ ทำการทดสอบ วัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนหลัง เรียน (Post – test) โดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นชดุ เดยี วกับท่ใี ช้ทดสอบกอ่ นเรียน การจดั กระทำข้อมลู และการวเิ คราะหข์ ้อมูล การศกึ ษาคร้ังน้ี ผรู้ ายงานทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยดำเนินการจดั กระทำกับขอ้ มูล และวเิ คราะห์ ขอ้ มลู ดังนี้ - วิเคราะหห์ าค่าเฉล่ีย สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และร้อยละของคะแนนเฉลยี่ ท่ไี ด้จากการทำ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น สถติ ทิ ่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 1. สถติ ิพื้นฐาน ได้แก่ 1. ร้อยละ (Percentage ) ใช้สูตร P สตู ร เมอ่ื P แทน ร้อยละ f แทน ความถ่ีทตี่ อ้ งการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทัง้ หมด 2. ค่าเฉล่ยี (Arithmetic Mean) ของคะแนน โดยใช้สูตร สตู ร เมื่อ แทน คา่ เฉลย่ี X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในกลุ่ม N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล การรายงานการพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน โดยใช้แบบฝึกทกั ษะเร่อื งประโยคในภาษาไทย ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ในคร้งั นี้ ผรู้ ายงานไดเ้ สนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดบั ขั้น ดังนี้ 1. สัญลกั ษณ์ทใี่ ช้ในการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สญั ลกั ษณท์ ใ่ี ชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผรู้ ายงานไดก้ ำหนดสัญลกั ษณท์ ี่ใช้ในการแปลความหมายผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดงั นี้ แทนคะแนนเฉลีย่ ของกลุ่มเป้าหมาย N แทนจำนวนนกั เรียนกลมุ่ เป้าหมาย X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ตารางที่ 1 แสดงผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนกั ศึกษาระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษา ตอนต้น กอ่ นและหลังการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเร่ืองประโยคในภาษาไทย ท่ี ชอื่ – สกลุ คะแนนสอบ รอ้ ยละ คะแนนสอบ รอ้ ยละ เทยี บกบั เกณฑ์ กอ่ นเรยี น หลงั เรียน ร้อยละ 60 (10 คะแนน) (10 คะแนน) 1 นางสภุ าวิดา สอื่ กลาง 2 20 8 80 ผา่ น ไม่ผา่ น 2 นายกฤษฎา พริ ักษา 3 30 6 60 √ 3 นายอภสิ ทิ ธ์ิ สงนอก 4 40 7 70 √ 4 นายอนุชิต ดา่ นกลาง 3 30 7 70 √ 5 นายมานพ บุตภาษี 3 30 6 60 √ 6 นางสาวกนกวรรณ สายขุนทด 5 50 8 80 √ 7 นายกฤษณะ บุญกลาง 4 40 7 70 √ 8 นายวรี ะ สงนอก 2 20 8 80 √ 9 นายสรุ ชยั คำเขยี ว 3 30 7 70 √ 10 นางสาวภิจิตตรา ปานกลาง 3 30 7 70 √ คา่ เฉล่ีย(X̅) 3.2 32 7.1 71 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน(S.D.) 0.91 0.73
จากตารางที่ 1 พบว่านักศึกษาทั้ง 10 คน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 3.2 คิดเป็นร้อยละ 32 สว่ น เบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.91 มคี ะแนนเฉล่ยี หลังเรยี น เท่ากบั 7.1 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 71 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.73 แสดงใหเ้ ห็นว่า นักศกึ ษามีคะแนนการเรียนเรอ่ื งประโยคในภาษาไทยหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นการเรียน เม่ือ นำคะแนนหลงั เรียนไป เทียบกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 60 พบวา่ มีนกั ศึกษาทม่ี ีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเร่ืองประโยคใน ภาษาไทย ผา่ นเกณฑ์ ร้อยละ 60 จำนวน 10 คน ผวู้ ิจัยสามารถสรปุ ไดว้ า่ 1) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนักศกึ ษาระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ เรอ่ื งประโยคใน ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทกั ษะเรื่องประโยคในภาษาไทย หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน 2) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั ศึกษาระดับชั้นมัธยมศกึ ษาตอนต้น เรือ่ งประโยคใน ภาษาไทย หลงั การเรยี นโดยใช้แบบฝึกทักษะเร่อื งประโยคในภาษาไทย สงู กว่าเกณฑ์รอ้ ยละ 60
บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ การรายงานในครงั้ นี้ เปน็ การใชน้ วตั กรรม คอื แบบฝึกทักษะ ของนักศกึ ษาระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษา ตอนต้นสรุปผลการดำเนินงาน ดงั น้ี 1. วัตถุประสงค์ในการศกึ ษา 2. กลุ่มเป้าหมาย 3. เครือ่ งมือท่ีใช้ในการศึกษา 4. การดำเนนิ การศกึ ษา 5. สรปุ ผล 6. อภิปรายผล 7. ขอ้ เสนอแนะ 1. วัตถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา 1) เพ่ือเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ของนักศึกษาระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น หลังการใช้แบบฝกึ ทักษะเร่อื งประโยคในภาษาไทย มผี ลสัมฤทธิท์ างการเรยี นที่สูงกวา่ กอ่ นการใช้แบบฝึกทักษะ เรือ่ งประโยคในภาษาไทย 3) เพอื่ พฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนกั ศกึ ษาระดบั ช้นั มัธยมศึกษาตอนต้น หลงั การใชแ้ บบฝึกทักษะเรอ่ื งประโยคในภาษาไทย ไดต้ ามเกณฑร์ ้อยละ 60 2. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง ประชากร ประชากรที่ใชใ้ นการวจิ ยั ในครงั้ น้ี เป็นนกั ศึกษาระดับชนั้ มัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 33 คน กลุ่มตัวอยา่ ง กลมุ่ ตัวอยา่ งที่ใช้ในการวิจัยในคร้งั น้ี เป็นนกั ศึกษาระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน้ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 10 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง 3. เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษาคน้ คว้าครั้งนมี้ ี 2 ชนิด ประกอบดว้ ย 1. แบบฝึกทักษะเพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนรู้เร่อื งประโยคในภาษาไทย 2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น เรอื่ งประโยคในภาษาไทย ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก
4. การดำเนนิ การศึกษา การรายงานในครั้งนี้ ผู้รายงานเป็นผู้ดำเนินการทดลองเอง เป็นการสอนตามปกติ ใช้เวลาในการ ทดลอง 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ไมร่ วมการทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น ซ่ึงมีข้ันตอนในการดำเนินการดงั น้ี 4.1 ทดสอบก่อนเรียนกับนักศึกษากลุ่มเป้าหมายด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบ ปรนยั ชนิด 4 ตวั เลอื ก 4.2 จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ด้วยแบบฝกึ ทักษะ จำนวน 5 ครั้ง เวลา 5 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1 วัน วนั ละ 1 ชัว่ โมง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 4.3 เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ได้ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ด้วย แบบทดสอบชุดเดยี วกับการทดสอบกอ่ นเรยี น 5. สรุปผล ในการทำรายงานวจิ ยั ในครัง้ นผี้ ูร้ ายงานได้ใช้แบบฝึกทกั ษะ ในการพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน สรุป ผลไดด้ งั น้ี 1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนกั ศึกษาระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนต้น หลงั การใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง ประโยคในภาษาไทย มีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นทสี่ งู กว่ากอ่ นการใช้แบบฝึกทกั ษะเรื่องประโยคในภาษาไทย 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั ศกึ ษาระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น หลังการใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง ประโยคในภาษาไทย ได้ตามเกณฑร์ อ้ ยละ 60 6. อภิปรายผล จากผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น โดยใช้ชุดการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พบประเด็น สำคญั ท่ีควรนำมาอภปิ รายผล ดังนี้ 1) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังการใช้ แบบฝึกทักษะเรื่องประโยคในภาษาไทย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง ประโยคในภาษาไทย ท่เี ปน็ อย่างนเี้ พราะว่า Kahkone (1991) ทำการศึกษาเกีย่ วกับกิจกรรมการสอน โดยใช้ วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบศึกษารายกรณีเพื่อพัฒนา และประเมินผลตามแนว Constructivism เรื่อง กฎการ เคล่อื นท่ขี องนวิ ตนั โดยอาศัยกรอบของการสอนการวิจัย และพฒั นาหลักสูตร พบวา่ สอ่ื การเรียนการสอนท่ีมี ความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนา และการประเมินผลการ เรียนการสอนตามแนว Constructivism เนื่องจากนักศึกษามีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน การนำเสนอที่ถูกตอ้ งในรปู ของเอกสาร การอ่าน และการฟงั บรรยายนั้นยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอกจากนี้การวิจัยครั้งนี้ยัง พบว่า การให้นักเรียนได้เผชิญกับ สถานการณ์จริง มีส่วนในกจิ กรรมการเรียนการสอน ได้ปรึกษาหารือและ แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กันจะชว่ ย ใหส้ ามารถเปลีย่ นความรู้ ความใจ ท่คี ลาดเคลอ่ื นของนกั ศึกษาได้ 2) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังการใช้ แบบฝกึ ทกั ษะเรื่องประโยคในภาษาไทย ไดต้ ามเกณฑร์ ้อยละ 60 ท่ี เป็นอย่างนเ้ี พราะว่า พิมพพ์ นั ธ์ เดชะคุปต์
(2544) กล่าวว่า วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้สอนสามารถใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้ที่เป็นการ จัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในการเรียน อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายๆ วิธีในการจัดการเรียนรู้ครั้ง หนง่ึ ๆ ดังเชน่ วิธีการอภิปราย การคน้ พบ การสืบสวนแบบแนะนำ วิธอี รยิ สจั ส่ี กรณศี ึกษา ทกั ษะกระบวนการ 9 ข้นั การใช้สถานการณ์ จำลอง การเชื่อมโยงมโนมติ วธิ กี ลุ่มสัมพนั ธ์ การเรยี นแบบรว่ มมอื เป็นตน้ การจัดการเรียนรู้ที่เนน้ ผู้เรียนเป็น สำคัญ มีตัวบ่งชี้ที่จะใช้เปน็ แนวทางในการประเมนิ ได้ว่าได้มีการ จัดการเรยี นรู้ทเี่ น้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั หรือไม่ โดยประเมินจากผู้สอนเม่อื เขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ และเมื่อนำ แผนการจัดการเรียนรูไ้ ปใชใ้ นห้องเรียน การจัดการ เรียนรู้ที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญนั้น ยังมีระดับจากต่ำสดุ ไป หาสูงสดุ เกณฑ์ท่ีใชป้ ระเมนิ คอื สังเกตว่าผเู้ รยี นมีส่วน รว่ มมากน้อยเพยี งใด อย่างไรกต็ าม ถา้ ผู้เรียนมีส่วนร่วม สรา้ งความรู้ด้วยตนเองอยา่ งแท้จรงิ จากส่งิ ท่ีผเู้ รียนต้องการ เรียนรูด้ ว้ ยตนเองผเู้ รยี นจะมีบทบาทมากท่ีสุด แต่ ผู้สอนจะมีบทบาทน้อยลง ในทางตรงข้ามถ้าผู้สอนมีบทบาท กำหนดหัวเรื่องกิจกรรม รวมทั้งสื่อเพื่อจัด ประสบการณ์การเรยี นรู้ให้ผู้เรียนสร้างความรู้เองในลักษณะน้ีผู้สอนและ ผูเ้ รยี นอาจมีบทบาทเท่า ๆ กัน ซ่ึงก็ ยงั จดั เปน็ การจดั การเรียนรู้ท่เี นน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั เชน่ กนั แต่อยใู่ นระดับปาน กลาง เพื่อให้การจดั การเรียนรู้ท่ี เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั เปน็ ไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผ้สู อนจึงอาจเร่ิมตน้ ฝึกให้ผู้เรียน เร่มิ มีบทบาทในการเรียนรู้ จากระดับนอ้ ยจนมากขึน้ ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ผูส้ อนมีบทบาทในการสอนนอ้ ยลง ตามลำดับไปด้วย ตัวบ่งช้ี ของการจัดการเรยี นรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ โดยพจิ ารณาทง้ั ผสู้ อนและผู้เรียน ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ 1.1 การจัดการเรียนรู้วชิ าภาษาไทย เรอ่ื งประโยคในภาษาไทย โดยใชใ้ ชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ เปน็ การเรยี นรู้ แนวใหม่ ที่น่าสนใจและน่านำไปใช้ แม้ช่วงแรกนักเรียนอาจจะสับสนบ้างในการเข้ากลุ่มหรือการปฏิบัติ กิจกรรม ทำให้การจัดการเรียนรู้เกิดความล่าชา้ บา้ ง แต่เมื่อได้เรียนในช่วงตอ่ ไป นักศึกษาก็มีความชำนาญใน การเรยี นรมู้ ากข้ึน กจิ กรรมก็ดำเนินไปอยา่ งราบรน่ื 1.2 การเลือกเนื้อหาที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญควรคำนึงถึง เพศ วัย และระดับ ความสามารถในทำชุดแบบฝึกทักษะของนักศึกษาด้วย หากเนื้อหาใดที่นักศึกษาสนใจ นักศึกษาจะเกิดการ เรียนรู้เพิ่มมากขึ้น 2. ข้อเสนอแนะในการศกึ ษาคน้ ควา้ ครัง้ ตอ่ ไป 2.1 ควรพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ ในกลุ่มประสบการณ์ อ่ืน ๆ และในระดับชัน้ อนื่ ๆ 2.2 ควรพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย โดยใช้ชุดเรียนนรู้รูปแบบอื่น ๆ เพื่อที่ นกั ศกึ ษาจะไดเ้ รยี นด้วยวิธกี ารทห่ี ลากหลาย
บรรณานุกรม กรมวชิ าการ. (2539). ครูกบั การวจิ ัยเพื่อพฒั นาการเรยี นการสอน. พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว. ชูชีพ ออ่ นโคกสงู . (2522). ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford . วทิ ยานิพนธ์ ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขา คณิตศาสตร์ศึกษา. บัณฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ฐานยิ า อมรพลัง. (2548). การพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้หลักภาษาไทย เรอ่ื ง ไตรยางศ์ดว้ ย แบบฝกึ เกม และเพลงสำหรบั นักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4. การศกึ ษาคน้ คว้าอิสระ การศกึ ษาศาสตร มหาบณั ฑติ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ. (2550). แบบฝกึ หัด แบบฝกึ ทกั ษะเพอื่ พัฒนาการเรียนรผู้ เู้ รียนและ การจดั ทำ ผลงานวิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. พิมพ์คร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ : ธารอกั ษร. พมิ พ์พนั ธ์ เดชะคปุ ต์. (2544). การเรียนการสอนที่เนน้ ผเู้ รียนเปน็ สำคัญ แนวคิดวธิ แี ละ เทคนคิ การสอน 2. กรงุ เทพมหานคร : พมิ พท์ ่ีบริษัทเดอะมาสเตอร์กรุ๊ปแมเนจเม้นท์ จำกัด. ไพทลู ย์ มูลดี. (2546). การพฒั นาแผนและแบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคำทไ่ี ม่ตรงตามมาตรา ตวั สะกดกลุ่ม สาระการเรยี นรภ้ าษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีที่้ 2. การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ การศกึ ษา มหาบณั ฑติ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. มาลี จฑุ า. (2542). ทฤษฎกี ารเรียนรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford . มหาสารคาม : ภาควชิ าพ้นื ฐานการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ มหาสารคาม วารนิ ทร์ รศั มพี รหม. (2531). ทฤษฎีการเรยี นรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford . วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขา คณิตศาสตร์ศึกษา. บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. วรรณภา ไชยวรรณ. (2549). การพฒั นาแผนการ อ่านและการเขยี นภาษาไทยเรอ่ื งอักษรควบและ อกั ษรนำ สำหรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี3 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ. การศึกษาคน้ คว้าอิสระ การศึกษามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
ภาคผนวก
แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย แบบฝกึ ทักษะวิชาภาษาไทย ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนต้น เรอ่ื ง ประโยคในภาษาไทย แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย ก คานา แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทยเรื่องประโย คเพอื่ พัฒนาทกั ษะหลกั การใช้ ภาษาไทยของ นกั ศึกษา ชน้ั มัธยมศกึ ษา ตอนตน้ ได้จัดทาข้นึ เพอื่ ใช้ในการฝกึ ทกั ษะ ดา้ นหลกั การใชภ้ าษาไทย ซึ่งจะทาให้นักศึกษา สามารถวเิ คราะหโ์ ครงสร้างประโยค สามญั ประโยค รวม และประโยคซ้อนแล้วนาความความรู้ความคิดและประสบการณ์ ท่ไี ดร้ ับไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนท์ งั้ ด้านการเรียนและการ นา ไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวนั ขณะเดียวกนั กย็ งั ทาให้นักศกึ ษามีความสุข สนุกสนาน เพลดิ เพลนิ มี ความม่งุ มนในการทางาน และมคี วามภูมใิ จในผลงานของตนเอง นอกจาก นกั ศึกษา จะไดน้ าไปฝึกทักษะแล้วครูผูส้ อนยังสามารถนาไปใช้ทบทวนเนื้อหาท่ี นักศกึ ษาไดเ้ รยี น ไปแลว้ และใช้สอนซ่อมเสรมิ นกั ศึกษาที่มคี วามบกพรอ่ งในทกั ษะหลักการใช้ภาษาไทย ด้วย หวงั ว่าแบบฝกึ ทักษะภาษาไทยเรือ่ งประโยคในภาษาไทยนี้คงจะเออื้ ประโยชนแ์ กน่ ักศกึ ษา ครูผู้สอนและผทู้ ี่สนใจได้เปน็ อย่างดี นายธงชยั กิง่ มะ ลัง แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทย ข เรื่อง สารบัญ คานา สารบัญ หน้า คาชีแ้ จง ก จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ข แบบทดสอบกอ่ นเรียน ใบความรู้ท่ี แบบฝกึ กิจกรรมที่ แบบฝึกกิจกรรมที่ แบบฝึกกจิ กรรมที่ แบบฝึกกิจกรรมที่ แบบฝึกกิจกรรมท่ี แบบฝกึ กิจกรรมที่ แบบฝกึ กิจกรรมที่ ใบความรูท้ ่ี แบบฝกึ กจิ กรรมท่ี แบบฝกึ กิจกรรมท่ี แบบฝกึ กิจกรรมที่ แบบทดสอบหลงั เรยี น แบบบนั ทกึ คะแนน บรรณานุกรม แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย
แบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทย คาช้แี จง แบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทยเรื่องประโยค เพื่อพฒั นาทกั ษะหลักการใชภ้ าษาไทยของ นักศึกษาช้นั มัธยมศกึ ษ า ตอนตน้ มที งั้ หมดจานวน เล่ม ดงั น้ี เลม่ ท่ี . ประโยคในภาษาไทย เลม่ ที่ . ประโยคความเดยี ว เล่มที่ . ประโยคความรวม เล่มท่ี . ประโยคความซ้อน แบบฝกึ ทกั ษะวชิ าภาษาไทยเรอื่ งประโยคในภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย สาหรบั นักศกึ ษาชั้นมธั ยมศกึ ษา ตอนต้น ประกอบด้วย แบบทดสอบกอ่ น เรียน เน้อื หา กจิ กรรม ฝกึ ทักษะ จานวน แบบฝึกแบบทดสอบหลงั เรียนและเฉลย แนวการ ตอบ เพอ่ื ใหค้ รูผู้สอน และนักศึกษาสามารถตรวจคาตอบไดข้ นั้ ตอนการใช้แบบฝกึ . นักศึกษาศกึ ษททาความเขา้ ใจกับจดุ ประสงคข์ องแบบฝกึ . นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น . นักศกึ ษาศึกษาใบความรู้เรือ่ งประโยคในภาษาไทย . นักศึกษาทากิจกรรมในแบบฝกึ ทัง้ แบบฝกึ . นักศึกษาทาแบบทดสอบหลงั เรยี น . นักศึกษารว่ มตรวจ คาตอบกบั เฉลยในภาคผนวก . นักศกึ ษารว่ มแสดงความคิดเห็นในกล่มุ เพ่อื หาขอ้ สรุปจากกิจกรรมภายในกลมุ่ . ครูและนกั ศึกษาร่วมประเมินผลการปฏิบตั งิ านของนกั ศึกษา จากการทากิจกรรมใน แบบฝึกและแบบ ทดสอบเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ตอบถกู ต้องได้ คะแนน ตอบผดิ หรอื ไม่ตอบ ไมไ่ ดค้ ะแนน แบบฝกึ ทกั ษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย จุดประสงคก์ าร เรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้เมอื่ จบแบบฝึกทักษะแล้วนักศกึ ษาสามารถ . บอกความหมายของประโยคได้ถกู ต้อง . จาแนกขอ้ ความที่เป็นประโยคได้ถกู ต้อง . บอกองคป์ ระกอบของประโยคไดถ้ ูกตอ้ ง . แต่งประโยคตามทก่ี าหนดไดถ้ ูกตอ้ งสมบูรณ์ สาระการเรียนรู้ . ลกั ษณะของประโยคในภาษาไทย แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝกึ ทกั ษะวชิ าภาษาไทย แบบทดสอบกอ่ นเรียน แบบฝกึ ทกั ษะ เรอื่ ง ประโยคในภาษาไทย คาชแ้ี จง ให้นกั ศกึ ษาเลอื กคาตอบทถ่ี กู ต้องทส่ี ุดเพียงคาตอบเดียว แล้วทาเคร่ืองหมาย ลงใน กระดาษคาตอบ . ข้อใดไมใ่ ชร่ ูปประโยคที่ใชใ้ นภาษาไทย ก. ประโยคทเ่ี นน้ กริยา ข. ประโยคทีเ่ นน้ สรรพนาม ค. ประโยคท่เี น้นผ้กู ระทา ง. ประโยคท่ีเนน้ ผูถ้ ูกกระทา . ฉนั รู้สึกสดชื่นเมอื่ ไดอ้ าบน้า คาทีข่ ีดเส้นใต้ เปน็ ประโยคทไี่ ปขยายสงิ่ ใด ก. ฉนั ข. เม่ือ ค. รูส้ กึ สดชนื่ ง. ไมไ่ ด้ขยายคาใด เพราะมีความหมายในตวั . คาที่ขีดเสน้ ใต้ในประโยคใดทเี่ นน้ ผูถ้ ูกกระทา ก. ฉันถูกแม่ดุ ข. ฝนตกตอนเย็น ค. ชาคริตเล่นฟตุ บอล ง. ใครซ้ือกวยเตยี วมา . ข้อใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ งเกี่ยวกบั สว่ นขยายของประโยค ก. ทาให้ทราบว่าใคร ทาอะไร ท่ีไหน อย่างไร ข. ไมค่ วรขยายประโยคจนทาให้ประโยคสับสน ค. ไมค่ วรขยายประโยคจนทาใหป้ ระโยคกากวม ง. ทาใหป้ ระโยคสามารถสอื่ สารไดช้ ัดเจนยิ่งขน้ึ . ประโยคใดมโี ครงสร้าง ประธาน กรยิ า และกรรม ก. แม่ค้ากาลังวุน่ วาย ข. การค้าขายดีมีกาไร ค. คุณพ่อกาลังทาสีบ้าน ง. คนงานหยดุ พักกลางวัน แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย . ขอ้ ใดไมส่ มั พนั ธ์กับความหมายของประโยค ก. แสดงใหร้ ้วู า่ ใคร ทาอะไร ทีไ่ หน อยา่ งไร ข. การแสดงซง่ึ สว่ นสา คัญและหนา้ ทีข่ องประโยค ค. การนาคาหลายๆ คา หรือวลีมาเรยี งตอ่ กันอยา่ งเป็นระเบยี บ ง. การเรยี งตอ่ คาหรอื วลใี หแ้ ตล่ ะคามคี วามสัมพนั ธก์ ัน มีใจความสมบูรณ์ . ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเกีย่ วกบั องคป์ ระกอบของประโยค ก. บทกรรมทาหน้าท่ีเปน็ ผู้กระทา ข. ภาคประธานของประโยค ทาหน้าท่ีเปน็ ผถู้ กู กระทา ค. บทกรยิ า ทาหน้าท่ีเปน็ ตัวกระทาหรือตวั แสดงของประธาน ง. ส่วนเติมเต็มทา หน้าทขี่ ยายกริยา ขยายกรรม หรือสว่ นขยาย . ลมรอ้ นพัดมาอบอ้าว คาใดที่ขยายประธานของประโยค ก. มา ข. พัด ค. ร้อน ง. อบอ้าว . องค์ประกอบใดของประโยคทอ่ี าจมหี รือไม่มกี ็ได้ ก. สว่ นขยาย ข. ภาคแสดง ค. ภาคประธาน ง. ภาคประธานและภาคแสดง . ข้อใดไม่ใชอ่ งคป์ ระกอบของภาคแสดง ก. บทกริยา ข. บทกรรม ค. ส่วนเตมิ เตม็ ง. สว่ นขยายของประโยค แบบฝกึ ทกั ษะวิชาภาษาไทย
แบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทย กระดาษคาตอบ แบบฝกึ ทักษะเรือ่ ง ประโยคในภาษาไทย ช่ือ......................................................................... ชน้ั ................. เลขท.่ี ....................... ...... ขอ้ ก ข ค ง . . . . . . . . . . แบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทย ใบความร้ทู ี่ ความหมาย และโครงสรา้ งของประโยค ในการสอ่ื สารความเข้าใจระหว่างกัน จะใช้เพยี งคาพดู เปน็ คา ๆ หรือเพียงกลมุ่ คา คงไม่ สามารถสือ่ ความกันไดช้ ัดเจนเท่าท่คี วร จึงจาเป็นตอ้ งใชข้ ้อความที่เปน็ ประโยค เพ่ือความชดั เจน ยิง่ ข้ึน ความหมายของประโยค ประโยค คอื การนาคาหลาย ๆ คา หรอื วลีมาเรยี งตอ่ กนั อยา่ งเป็นระเบยี บให้แตล่ ะคามี ความสัมพนั ธก์ ัน มใี จความสมบรู ณ์ สามารถแสดงให้รู้วา่ ใคร ทาอะไร ท่ไี หน อย่างไร ตัวอยา่ ง นักศึกษาอา่ นหนังสือ ตารวจจบั ผรู้ า้ ย อีดไปโรงพยาบาล กล่มุ คา คอื การนาคาต้งั แต่ คาขึน้ ไปมาเรยี งตอ่ กนั มคี วามหมายพอเขา้ ใจแตย่ ังไม่ สมบรู ณ์เปน็ ประโยค จะเปน็ สว่ นใดส่วนหน่ึงของประโยคเท่านัน้ ตัวอยา่ ง ออกกาลังกาย (กริยาวลี ข้อสังเกต กระถางต้นไม้ (นามวลี กลุ่มคา เรยี กอกี อย่างหน่งึ ว่า วลี แต่เช้ามืด (สนั ธานวลี ความแตกต่าง ระหว่างประโยคกับกลุม่ คา ในระหว่างที่ (บพุ บทวลี ประโยค เปน็ ถอ้ ยคาทมี่ ีใจความสมบรู ณ์สามารถเข้าใจ เขาเหลา่ นัน้ (สรรพนามวลี ได้วา่ ใคร ทาอะไร สวยจริง ๆ (วิเศษณว์ ลี กลุ่มคา เป็นถ้อยคาทไี่ ม่สมบูรณ์ สื่อความหมายไมไ่ ด้ คณุ พระช่วย (อทุ านวลี ว่าใคร ทาอะไร ตวั อยา่ ง ประโยค กลุ่มคา . พอ่ กาลังปลกู ต้นไม้ กาลังปลูก(ขาดประธานและกรรม . เขาไปเทย่ี วฟารม์ จระเข้ ฟาร์มจระเข้(ขาดประธานและกรยิ า . ครเู ลก็ สอนวชิ าศิลปะ ครเู ลก็ (ขาดกรยิ าและกรรม . ดนิ สอของฉันหายไป หายไป(ขาดประธาน . กางเกงยนี สส์ ีดา ตวั น้ขี องใคร กางเกงยนี สส์ ีดา ตัวนี้(ขาดกริยา แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย
แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย โครงสรา้ งของประโยค ประโยคหนึ่ง ๆ จะตอ้ งมีภาคประธานและภาคแสดงเปน็ หลกั และอาจมคี าขยายส่วนตา่ ง ๆ ได้ดัง แผนผงั โครงสรา้ งตอ่ ไปนี้ ประธ าน กริยา ขยาย ประธ าน ขยาย ก ริยา กรรม ขยาย ก รรม ส่วนเติมเต็ม ภาคประธาน ภาคแสดง ประธาน ขยาย กรยิ า กรรม ขยายกรรม ส่วนเติมเต็ม ขยายกริยา ประธาน กดั สว่ นเตมิ เตม็ แมว สดี า วิง่ คลา้ ย หนู ตัวเลก็ อยา่ งรวดเร็ว แมว ตัวใหญ่ เรว็ มาก แมว ตวั ใหญ่ ๆ ลกู เสอื ตวั เล็ก ๆ จากตัวอย่างประโยคในตาราง จะเห็นวา่ ในภาคแสดง จะมสี ่วนทแี่ ตกตา่ ง กนั ตาม ลกั ษณะของคากริยาที่เปล่ียนแปลงไป ประโยคท่ี คาว่า กดั เปน็ กรยิ ามกี รรม จึงตอ้ งมีบทกรรมตามมา ประโยคที่ คาว่า วิ่ง เปน็ กรยิ า ไม่ตอ้ งมกี รรม ประโยคท่ี คาว่า คลา้ ย เป็นกรยิ ามสี ว่ นเตมิ เตม็ จึงตอ้ งมี บทเตมิ เต็ม ตามมา แแบบบบฝฝึกกึททกั ักษษะวะิชวาิชภาภาษาษาไาทไยทย
แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย สว่ นประกอบของประโยค ภาคประธาน คือ คาหรอื กลุ่มคาทที่ าหน้าที่เป็นผกู้ ระทา เพ่อื แสดงใหร้ ู้วา่ เปน็ ใคร โดยมากมักจะเปน็ คา นาม หรอื คาสรรพนาม ซ่ึงภาคประธานจะมสี ่วนขยายหรอื ไมก่ ็ได้ ภาคแสดง คือ คาหรือกลุม่ คาทบ่ี อกอาการ เพ่อื แสดงให้รูว้ า่ ประธานทา อะไร ประกอบดว้ ย บทกริยา บทกรรม และ สว่ นเตมิ เตม็ ซง่ึ ภาคแสดงนีจ้ ะชว่ ยใหป้ ระโยคมีใจความสมบูรณ์ย่งิ ขึน้ ซึง่ ภาคแสดงจะมีสว่ นขยายหรอื ไมก่ ไ็ ด้ ตัวอย่าง จานแตก เป็น ภาคประธาน จาน แตก เปน็ ภาคแสดง ช้างกนิ ออ้ ย ช้าง เป็น ภาคประธาน กนิ ออ้ ย เปน็ ภาคแสดง เด็ก ๆ กาลังเล่นหมากเก็บ เดก็ ๆ เปน็ ภาคประธาน กาลงั เลน่ หมากเกบ็ เป็น ภาคแสดง ภาคแสดงอาจประกอบดว้ ยสว่ นประกอบดังนี้ ) ประโยคใชส้ กรรมกรยิ า ภาคแสดงจะประกอบด้วย บทกริยา บทกรรม สว่ นบทขยายของกริยา กรรม จะมีหรือไมก่ ็ได้ กรยิ า ดังกล่าวตอ้ งมคี า นามมารับขา้ งท้าย จงึ จะเปน็ ประโยคท่สี มบูรณ์ ตัวอย่าง พระอภัยมณีรกั นางสุวรรณมาลี พระอภัยมณี เป็น ภาคประธาน รักนางสุวรรณมาลี เป็น ภาคแสดง(รัก เปน็ กรยิ า นางสุวรรณมาลี เปน็ กรรม ฉนั อ่านหนังสือ เปน็ ภาคประธาน ฉนั เปน็ ภาคแสดง(อา่ น เปน็ กรยิ า หนงั สอื เป็น กรรม อา่ นหนงั สอื แบบฝกึ ทักษะวิชาภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวิชาภาษาไทย ประโยคใชอ้ กรรมกรยิ าหรอื คา วเิ ศษณ์ ภาคแสดงจะประกอบด้วย บทกรยิ า เทา่ นั้น สว่ นบทขยายกริยาจะมหี รอื ไมก่ ็ได้ ตวั อย่าง คณุ แมใ่ จดี คุณแม่ เปน็ ภาคประธาน ใจดี เป็น ภาคแสดง ฉันวิ่งแข่งในสนาม ฉนั เป็น ภาคประธาน วิ่งแข่งในสนาม เป็น ภาคแสดง(บุพบท นาม ไมใ่ ชก่ รรมแต่เปน็ บทขยาย กริยา ประโยคใชว้ กิ ตรรถกริยา ได้แก่ คาวา่ เปน็ อยู่ คือ เหมอื น คล้าย เทา่ ปรากฏ เกดิ มภี าคแสดงจะประกอบด้วย บทกริยา ส่วนเติม เต็ม ซงึ่ ส่วนเตมิ เต็มนี้ถือวา่ เป็นบทขยายกริยา ส่วนบทขยายกริยานอกเหนือจากส่วนเติมเตม็ จะม หรอื ไมก่ ไ็ ด้ ตวั อย่าง ฉันเปน็ นกั ศึกษา ฉัน เป็น ภาคประธาน เปน็ นักศึกษา เป็น ภาคแสดง(เป็น เปน็ กรยิ า นักศกึ ษา เปน็ สว่ นเตมิ เตม็ แมวคลา้ ยเสือ แมว เปน็ ภาคประธาน คล้ายเสอื เปน็ ภาคแสดง(คลา้ ย เป็น กรยิ า เสอื เป็น สว่ นเติมเตม็ ประโยคในภาษาไทย แบง่ ตามโครงสรา้ งการส่ือสารได้ ชนิด ดังน้ี ประโยคความเดยี ว (เอกรรถประโยค ประโยคความรวม (อเนกรรถประโยค ประโยคความซอ้ น (สงั กรประโยค กริยา คอื คาที่แสดงอาการ ท่าทาง กรรม คือ ผูถ้ กู กระทา เช่น คนกินขา้ ว ข้าวเปน็ กรรมของกริยา (กนิ ส่วนเติมเตม็ คือ คานามหรือคา สรรพนาม ท่ีมาต่อท้ายคากรยิ า(วกิ ตรรถกรยิ า คานาม คือ คาท่ใี ชเ้ รียกชอื่ คน สัตว์ ส่งิ ของ คาสรรพนาม คือ คาท่ีใช้แทนชือ่ คานาม หรอื ขอ้ ความท่ีกล่าวมาแล้ว เชน่ ฉัน เรา เขา แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวิชาภาษาไทย แบบฝกึ กจิ กรรมท่ี คาช้ีแจง ให้นักศึกษาอา่ นและวิเคราะหข์ ้อความทก่ี า หนดให้ แลว้ เขียนในตารางดา้ นลา่ ง รวม คะแนน ใชเ้ วลา นาที . สมพรอ่านหนังสือการต์ ูน . พพิ ธิ ภัณฑ์หุ่นขีผ้ ึง้ . แม่ไปตลาดศรีนคร . ต้นกาลงั เตะฟตุ บอล . รอ้ งเพลงประสานเสยี ง . ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง . รถยนต์ อนดา้ สีขาว . นักศึกษาชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ออกกาลังกาย . ฯพณฯนายกรัฐมนตรเี ดนิ ทางไปประเทศญ่ปี นุ . เลือกต้งั ระบอบประชาธปิ ไตย ประโยค วลี แบบฝกึ ทกั ษะวิชาภาษาไทย
แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย แบบฝึกกิจกรรมท่ี คาช้แี จง ให้นกั ศึกษาเขียนเครือ่ งหมาย หน้าขอ้ ความที่เปน็ ประโยค และเขยี น เครื่องหมาย หนา้ ข้อท่เี ปน็ กลมุ่ คา รวม คะแนน ใช้เวลา นาที . . กระเปาขาด . . เรือลม่ . . ตู้เสื้อผา้ ลายไมสกั . . ปลาวา เปน็ สัตว์เลย้ี งลูกดว้ ยนม . . ดอกไมจ้ ากเจาของสวนชานเมือง . . ของขวญั ในกล่องใบน้ี . . นา กิ าคือเครอื่ งประดับอยา่ งหน่ึง . . พัดลมเครื่องนีพ้ ดั แรงดจี งั . . ตน้ มะมว่ งเขยี วเสวยหนา้ บ้าน . . นกเกาะสายไฟฟา้ แบบฝกึ ทกั ษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทย แบบฝึกกจิ กรรมท่ี คาชีแ้ จง ให้นกั ศกึ ษาช่วยแยกสว่ นประกอบของประโยคต่อไปน้ใี หถ้ กู ตอ้ ง รวม คะแนน ใช้เวลา นาที ตัวอย่าง บร้ี ้องเพลง . ม้าวิ่ง . เขาหยบิ ลกู แก้ว . บอลเปน็ นกั กี า . เด็กปลกู ดอกไม้ . ทหารคือรว้ั ของชาติ . เธอคลา้ ยแม่ . ลีโอนาโด ดาวนิ ซี วาดภาพโมนาลิซ่า . น้องรอ้ งไห้ . สดุ ารัตน์เปน็ ทนายความ . ฝนตก ขอ้ ท่ี ภาคประธาน กริยา ภาคแสดง ส่วนเติมเตม็ บี้ รอ้ งเพลง กรรม ตวั อย่าง . . . . . . . . . . แบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย แบบฝึกกจิ กรรมที่ คาช้ีแจง ให้นักศกึ ษาเขียนเครือ่ งหมาย หน้าขอ้ ความทถ่ี ูก และเขียนเคร่อื งหมาย หน้าขอ้ ความทผ่ี ิด รวม คะแนน ใช้เวลา นาที . . ประโยคแตล่ ะประโยคจะแสดงใหร้ ้วู ่า เรา ทาอะไร ที่ไหน อยา่ งไร เมือ่ ไหร่ . . ประโยค เกิดจากคาหลายๆ คาหรือวลที นี่ ามาเรียงตอ่ กนั อยา่ งเปน็ ระเบียบใหแ้ ต่ ละคามคี วาม สมั พนั ธก์ นั มีใจความสมบูรณ์ . . ภาคประธานของประโยค คือคาหรอื กลุ่มคาทา หน้าทเี่ ปน็ ผู้กระทา . . ภาคแสดงของประโยค คอื คาหรอื กลมุ่ คาทป่ี ระกอบด้วยบทกรยิ า บทกรรมและ ส่วนเตมิ เตม็ . . บทกรรม ทาหนา้ ทเ่ี ป็นตวั กระทาหรอื ตัวแสดงของประธาน . . บทกรยิ า ทาหน้าที่เปน็ ผ้ถู กู กระทา . . ส่วนเตมิ เตม็ ทาหนา้ ทเ่ี สริมใจความของประโยคใหส้ มบรู ณ์ คอื ทาหน้าท่คี ล้ายบท กรรม แตไ่ ม่ ได้ถกู กระทา . . ส่วนขยายประโยค อาจเป็นคาหรอื กลมุ่ คา อยู่ในภาคประธาน หรอื อย่ใู นภาค แสดง ซึง่ อาจ เป็นการขยายกริยา ขยายกรรม หรอื ขยายสว่ นเตมิ เต็ม . . ภาคแสดงของประโยคเป็นส่วน สาคญั ของประโยค . . ภาคประธานของประโยค อาจมีบทขยาย ซง่ึ เปน็ คาหรือกล่มุ คา มาประกอบ เพ่อื ทาให้มี ใจความทย่ี าวข้ึน แบบฝกึ ทกั ษะวิชาภาษาไทย
แบบฝกึ ทกั ษะวิชาภาษาไทย แบบฝกึ กิจกรรมที่ คาชี้แจง ให้นกั ศกึ ษาระบุว่าประโยคทกี่ าหนดใหเ้ ป็นรปู ประโยคชนดิ ใด โดยนาตวั อักษร หนา้ คาตอบต่อไปนี้ไปใส่ชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ ง รวม คะแนน ใชเ้ วลา นาที ก. ประโยคขน้ึ ต้นดว้ ยผกู้ ระทา ข. ประโยคข้นึ ตนดว้ ยผ้ถู ูกกระทา ค. ประโยคขน้ึ ตน้ ด้วยกริยา . . เด็ก ๆ ชอบอ่านการ์ตนู . . เกดิ หมอกควนั ปกคลุมภาคเหนอื . . ดอกไม้น้ีฉนั เปน็ คนปลูก . . ปรากฏพระจนั ทร์ยิม้ ในวันน้ี . . คุณแม่ของฉนั ซื้อรองเทา้ ใหม่ . . งานช้ินน้ฉี นั อยากทา . . ใครตะโกนเสยี งดัง . . มกี ารทจุ รติ ในการสอบคร้ังน้ี . . นักศึกษาถูกครูดุ . . จันทรุปราคาปรากฏในท้องฟา้ . . ยามถกู ไล่ออกจากงาน . . แมช่ อบเพลงลูกทุ่ง . . เน้ือหมูแช่ไวใ้ นตู้เย็น . . มอี บุ ัตเิ หตทุ ปี่ ากทางสาย . . การบ้านฉันทา เสร็จแลว้ แบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝกึ กิจกรรมท่ี คาชแ้ี จง ใหน้ กั ศกึ ษาเขียนเคร่อื งหมาย หน้าประโยคท่มี ีสว่ นขยาย และเขยี นเคร่ืองหมาย หนา้ ประโยคทไ่ี มม่ ีส่วนขยาย รวม คะแนน ใชเ้ วลา นาที . . คณุ ยายของแสตมปใจดี . . แดงทาความสะอาดห้องเรยี น . . น้องนอนหลบั . . ฉันต้องการเรียนหนงั สือ . . เดก็ ๆ คุยเสยี งดัง . . แมววิ่งเล่น . . แมไ่ ปตลาดศรีนคร . . โรงเรยี นของฉนั อยูต่ ิดถนนใหญ่ . . เขาเป็นนกั ฟุตบอลทมี ชาติ . . คณุ พอ่ ร้องเพลง แบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทย แบบฝึกกจิ กรรมท่ี คาช้ีแจง ให้นกั ศึกษาแต่งประโยคให้สมบรู ณ์ ประโยค โดยใหจ้ ับคู่ จากปา้ ย ใคร ทาอะไร กบั อะไร รวม คะแนน ใชเ้ วลา นาที นยุ้ หน่ยุ หยิบ ใคร ถือ โอ ต้น เกบ็ ทาอะไร โจ วาง กางเกง ่อน กระโปรง กับอะไร ชดุ นอน . ...................................... เส้อื ยืด เสอ้ื กลา้ ม . ...................................... . ...................................... . ...................................... . ...................................... . ...................................... . ...................................... . ...................................... . ...................................... . ................................... แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทย ใบความรูท้ ี่ รปู ประโยค รปู แบบประโยคหลักในภาษาไทย มี แบบ ดังนี้ . ประโยคกรรตุ (อา่ นว่า กดั ตุ เป็นประโยคทีม่ ปี ระธานขนึ้ ก่อน ตามดว้ ยกรยิ าหรอื ตามด้วยกรยิ าและ กรรม หรือตามดว้ ยกรยิ าทีต่ อ้ งใชส้ ว่ นเติมเต็ม ตัวอยา่ ง รถวิง่ เข้าชนเสาไฟฟา้ (รถ ประธาน ว่ิงเข้าชน กริยา เสาไฟฟ้า กรรม ไก่จิกขา้ ว (ไก่ ประธาน จิก กริยา ข้าว กรรม นอ้ งร้องไห้ (นอ้ ง ประธาน ร้องไห้ กริยา . ประโยคกรรม เปน็ ประโยคทม่ี กี รรมขึ้นกอ่ น เพ่อื เนน้ กรรมให้ชดั เจน ตวั อยา่ ง แม่ของนิพนธถ์ ูกรถชน นกั ศกึ ษาถูกครตู ี นอ้ งถกู พแี่ กลง้ . ประโยคกรยิ า เป็นประโยคท่มี ีกริยา เกิด มี ปรากฏ ขนึ้ ต้นประโยค ตามดว้ ยประธาน ตัวอยา่ งมีกระทอ่ มหลงั หนงึ่ อยใู่ นปาใหญ่ เกิดสรุ ยิ ปุ ราคาเต็มดวง ปรากฏเหตุการณ์ไม่คาดฝนั ข้นึ ในโรงเรียนของเรา . ประโยคการิต (อ่านว่า กา รดิ เป็นประโยคทม่ี ีกรรมตรง กรรมรอง มารบั มกั มีคาว่า ใครใช้ใหใ้ คร ทาอะไร ตวั อยา่ ง แมใ่ ชใ้ หน้ ดิ ไปซอ้ื ของ นอ้ งใหพ้ ี่ทาการบา้ น ครใู หน้ กั ศึกษา กวาดพน้ื . ประโยคกรยิ าสภาวมาลา เปน็ ลักษณะประโยคท่ีมกี รยิ าหรอื กริยาวลที ีท่ า หน้าทเี่ ชน่ เดยี วกับคา นาม คอื เป็นประธาน กรรม หรือบทขยายได้ ตวั อยา่ ง ด่ืมน้ามากๆทาใหผ้ ิวพรรณสดใส กินขา้ วกล้องป้องกันเหน็บชา แม่เตรยี มอาหารคาวหวานสา หรับตักบาตร แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวชิ าภาษาไทย แบบฝึกกจิ กรรมที่ คาชแ้ี จง ให้นักศกึ ษาตอบคาถามดังต่อไปน้ี รวม คะแนน ใช้เวลา นาที . ประโยคในภาษาไทย มีกรี่ ปู แบบ อะไรบา้ ง . จงยกตวั อยา่ งประโยคกรรตุ ประโยค . จงยกตวั อยา่ งประโยคกรรม ประโยค . จงยกตวั อย่างประโยคกรยิ า ประโยค . จงยกตัวอย่างประโยคการติ ประโยค . จงยกตวั อยา่ งประโยคกรยิ าสภาวมาลา ประโยค แบบฝึกทักษะวชิ าภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวิชาภาษาไทย แบบฝกึ กิจกรรมที่ คาชแี้ จง ใหน้ กั ศึกษาจาแนกส่วนประกอบของประโยคที่กา หนดให้ รวม คะแนน ใชเ้ วลา นาที ประโยค ประธาน ขยาย กริยา กรรม ขยายกรรม ประธาน . นอ้ งรอ้ งไห้ . แมวถูกสนุ ขั ไล่กดั . หมาใหญก่ ดั แมวสีขาว รนุ แรงมาก . แมค่ ้าขายของทต่ี ลาด ศรนี คร . พอ่ ของฉันเดินทางไป ต่าง จงั หวดั . แม่ใช้ใหน้ ดิ ไปซื้อของ . รถเกงสแี ดงพ่งุ ชนเสา ไฟฟา้ แรงสูง . ดอกมะลิเปน็ สัญลกั ษณ์ วันแม่ . กบในกะลา .หมาเหา่ ใบตองแห้ง แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย
แบบฝกึ ทักษะวิชาภาษาไทย แบบฝึกกจิ กรรมที่ คาชแ้ี จง ให้นักศกึ ษาโยงเสน้ จับครู่ ปู แบบของประโยคต่อไปน้ี รวม คะแนน ใช้เวลา นาที . ฉันตีเสือ ก. ประโยคกรรตุ . เสือปลากนิ ไกต่ ัวโตเสียแลว้ ข. ประโยคกรยิ า . น่ัง ๆ นอน ๆ ไมร่ ู้วา่ จะทาอะไรดี ค. ประโยคกรรม . เกดิ น้าทว่ มอกี แลว้ ปีน้ี ง. ประโยคการิต . ฉันให้น้องทาการบ้าน จ. ประโยคกริยาสภาวมาลา . รถไถคนั นใ้ี ชไ้ ถนาทกุ วัน . แม่ให้ฉนั ถูบ้าน . วัวถูกตี . เดนิ เลน่ เปน็ ท้งั การพกั ผ่อนและออกกา ลงั กาย . มีบ้านใหเ้ ชา่ ในซอยน้ี แบบฝกึ ทกั ษะวชิ าภาษาไทย
Search