100 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง ฝาง Caesalpinia sappan L. ใหม่ก็สามารถนำมาดัดแปลงเป็นบลัชที่ให้สีระเรื่อบน ช่ืออื่น ง้าย ฝางส้ม โหนกแกม้ ได้อย่างไม่ขัดเขิน ก่อนยุคแห่งความทันสมัย ที่มนุษย์เรารู้จักใช้สี นอกจากน้ีฝางยังมีสรรพคุณแก้ธาตุพิการ วิทยาศาสตร์ที่สดใสย้อมอาภรณ์ให้งดงามสะดุดตา ท้องร่วง นำมาต้มกับน้ำพร้อมผสมมะขามเปียกช่วย คนไทยโบราณนิยมใชส้ ีจากเปลอื กไมท้ ่ีอาจไม่จัดจา้ นนกั บำรุงโลหิตสตรีและขับประจำเดือน หรือแก้ปอดพิการ แต่ให้ความเย็นตาเย็นใจ เช่น สีชมพูและสีแดงได้จาก ขับหนอง แก้เสมหะ แก้คุดทะราด แก้โลหิตออกทาง เปลือกและแก่นของต้น ฝาง คนรุ่นก่อนมักจะมีน้ำผสม ทวารหนักและเบา แก้เลือดกำเดา หรือเอาแก่นฝางมา น้ำยาอุทัยกล่ินหอมชื่นใจของน้ำสีชมพูอ่อนเจือรสฝาด ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นเหนียวทาบริเวณน้ำกัดเท้า ตัวยา หวานปนขมแปลกล้ินนิดๆ เป็นเคร่ืองดื่มรับรองแขก “ฝาดสมาน” ในแก่นฝางช่วยสมานผิวได้เป็นอย่างดี ผู้มาเยือน เพราะช่วยดับร้อนจากไอแดดได้เป็นอย่างดี สีน้ำตาลออกแดงสวยของเน้ือไม้ของฝางยังเป็นท่ีนิยม ซ่ึงน้ำยาอุทัยนี้ก็มีส่วนผสมของฝางเช่นกัน เด็กสาวสมัย ในการนำมาทำเคร่ืองเรือนอกี ดว้ ย
พรรณไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 101 ฝกั จะมจี ะงอยแหลม ใบ ประกอบแบบขนนก 2 ชั้น เรียงสลับกัน ช่อ ใบยาว 15-45 ซม. มชี ่อใบย่อย 8-16 คู่ แต่ละชอ่ ยอ่ ย มีใบย่อย 7-18 คู่ ใบย่อยขนาดเล็ก กว้าง 6-10 มม. ยาว 10-20 มม. ปลายมน โคนเบี้ยว ผิวใบเกล้ียงทั้ง สองด้าน ดอก ออกเป็นช่อ ออกใกล้กันบริเวณปลายกิ่ง ก้านดอกยาว 15-20 มม. แต่ละช่อมีหลายสิบดอก กลีบเล้ียงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ดอกสีเหลือง ผลิดอกในเดือนมิถุนายนถงึ กันยายน ผล เป็นฝัก เมื่อแห้งจะแข็งและแตกอ้าออก ฝกั แกส่ นี ้ำตาลแกเ่ ปน็ จดุ ๆ รูปรี ปลายฝกั มจี ะงอยแหลม มี 2-4 เมล็ด ผลแก่ในเดือนสงิ หาคมถึงกุมภาพันธ์ ฝางจัดเป็นไม้ในวงศ์ถ่ัว ที่มีช่ือเรียกต่างกันออกไป เมลด็ สนี ้ำตาลออ่ น รปู กลมแบน ขนาด 3-5 มม. ในหลายจังหวัด เช่นกะเหรี่ยงในแถบกาญจนบุรี เรยี กวา่ “งา้ ย” “หนามโค้ง” ในภาษาของชาวจังหวดั แพร่ การขยายพนั ธุ์ และ “ฝางเสน” สำหรับชาวกรงุ เทพฯ มเี ขตการกระจาย ขยายพันธ์โุ ดยการเพาะเมลด็ หรอื การปกั ชำ พนั ธุ์ในป่าเบญจพรรณ ปา่ เต็งรัง ป่าเขาหนิ ปูนแห้งแล้ง และตามชายป่าดงดิบทั่วประเทศไทย ในต่างประเทศ พบท่ีอเมริกาใต้ ปลูกกันอย่างกว้างขวางตลอดเขตร้อน อนิ เดยี ศรีลังกา พมา่ กัมพูชา ลาว เวียดนาม จีนตอนใต้ ไม้ท่ีอยู่ในสกุลฝาง (Caesalpinia) ทุกชนิดจะเป็น ไมเ้ ลอื้ ย มีเฉพาะต้นฝางนเ้ี ทา่ นัน้ ท่ีเป็นไมต้ ้นขนาดเลก็ ลกั ษณะพรรณไม ้ ต้น ไม้ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สูง 3-6 ม. มีหนามแข็งทั่วทั้งลำต้น ผลัดใบแต่ผลิใบเร็ว จะแตกกิ่ง แขนงชิดพ้ืนดิน เปลือกนอกสีเทาออกเหลือง มีปมใหญ่ ขนาดปลายนวิ้ ชที้ วั่ ท้งั เถา ส่วนปลายกิ่งจะมหี นามแหลม สีดำ ถา้ ปมหนามหลดุ จะเป็นรอยแผลเปน็
102 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง พะยูง Dalbergia cochinchinensis Pierre ชื่ออ่ืน กระยูง ขะยูง พยุง ในช่วงฤดูร้อนท่ีอากาศอบอ้าวและมีความชื้นต่ำ อย่างเดอื นมนี าคมและเมษายน จะพบว่าพรรณไม้ในป่า เต็งรังและป่าดิบแล้งแทบทุกชนิดล้วนพากันผลัดใบ ทิ้ง ลำต้นให้เดียวดาย เช่นเดียวกับต้น พะยูง ท่ียังคงมีแต่ ก่ิงก้านระเกะระกะ ราวกับว่าเป็นต้นไม้ท่ียืนต้นตาย ดูไร้ชีวิตชีวา แต่พอถึงเดือนพฤษภาคม พะยูงกลับ แตกช่อออกดอกเต็มต้น ผลิดอกขนาดเล็กสีขาวจำนวนมาก ช่วยให้ป่าเต็งรังเปลี่ยนสภาพ คืนความสดช่ืน และมี สีสันขึ้นมาทันที จะเห็นได้จากแมลงจำนวนมากท่ีบินมา ตอมน้ำหวานเสียงดังอื้ออึง สลับกับเสียงของนกตัว เลก็ ๆ ในบางชว่ งท่เี ข้ามาแย่งดดู กินนำ้ หวาน พะยูงกระจายพันธ์ุอยู่ในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบ แล้ง บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวัน- ออก ที่ระดับความสูง 100-300 ม. มีมากท่ีจังหวัด ชัยภูมิ สกลนคร นครราชสีมา ขอนแก่น ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ส่วนในต่างประเทศ พบในภูมิภาคอินโดจีน พะยูงจะออกดอกช่วงเดือน พฤษภาคมถงึ กรกฎาคม และมฝี กั แก่ในเดอื นกรกฎาคม ถึงกนั ยายน พะยูงเป็นพรรณไม้ท่ีทนทานต่อความแห้งแล้ง สามารถข้ึนได้แม้ดินท่ีข้ึนจะเป็นดินทรายหรือดินร่วน ท่ีระบายน้ำดี มีช้ันหน้าดินต้ืน หรือดินมีความอุดม สมบูรณ์ต่ำ ด้วยเหตุนี้พะยูงจึงเป็นพรรณไม้ที่ได้รับการ คัดเลือกให้มีการเพาะเมล็ดเป็นต้นกล้า แล้วนำต้นกล้า ไปปลูกเป็นพรรณไม้ปลูกป่าในพื้นที่ต่างๆ เกือบทั่ว ประเทศ แต่ทั้งน้ีพะยูงกลับเป็นพรรณไม้ท่ีเจริญเติบโต ได้ช้ามาก จึงต้องอาศัยระยะเวลาในการดูแลค่อนข้าง นาน
พรรณไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 103 ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากต้นพะยูงหลายทาง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ช่อใบยาว เนื้อไม้สีแดงอมม่วงเป็นมันเลื่อม เนื้อละเอียดเหนียว 10-15 ซม. มีใบย่อย 7-9 ใบ เรียงสลับใบรูปไข่แกม ทนทาน ใชท้ ำเคร่อื งเรือน บผุ นัง และใช้ในงานกอ่ สรา้ ง รูปขอบขนาน กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-7 ซม. ปลายสุด ทำส่วนต่างๆ ของเกวียน กระบะรถยนต์ ดา้ มเคร่อื งมอื ของช่อเป็นใบเด่ียวๆ โคนใบมน ปลายใบแหลม ผิวใบ การเกษตร ใช้ในงานแกะสลัก ใช้ทำเครื่องดนตรี เช่น ดา้ นบนสเี ขียวเข้ม ดา้ นลา่ งสขี าวนวล ลูกระนาด ซออู้ ซอด้วง ในตำรายาสมุนไพรพื้นบ้าน รากของพะยูงยังสามารถแก้ไข้พิษ เปลือกต้มเอาน้ำอม ดอก เปน็ ช่อสีขาวแยกแขนง ออกตามซอกใบเหนอื แก้ปากเป่ือย และด้วยความท่ีเป็นไม้ท่ีมีเนื้อคุณภาพดี ปลายก่ิง กลีบเล้ียงรูปถ้วยสีเขียว ปลายแยกเป็น จึงเป็นท่ีต้องการของต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ญ่ีปุ่น 5 แฉก กลีบดอกแบบดอกถั่ว มี 5 กลีบ เม่ือบาน และเกาหลี ท่ีนิยมนำไปทำเฟอร์นิเจอร์กันมาก จนมี มีขนาด 5-8 มม. การส่ังซื้อไม้พะยูงจากไทย ลาว และกัมพูชา เป็นเหตุ ให้จำนวนต้นที่มีอยู่ตามธรรมชาติลดน้อยลง กลายเป็น ผล เป็นฝักแห้งไม่แตก แบนและบาง ผิวเกลี้ยง พรรณไม้หายาก และมีมูลค่าสงู ในปัจจุบนั กว้าง 1.2 ซม. ยาว 4-6 ซม. เมล็ดเรียงตามความยาว ของฝัก จำนวน 1-4 เมล็ด เมลด็ สีนำ้ ตาลอ่อน รูปไต ยาว 8-10 มม. แเบปใบบ็นขสในบีเขนปียกรวปะเกลขอาม้ ยบ ค ี่ การขยายพันธุ์ ขยายพันธโ์ุ ดยการเพาะเมลด็ ลำต้น มเี ปลือกสีเทา ลกั ษณะพรรณไม้ ต้น เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 15-25 ม. ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีเทาเรียบ และล่อนเป็น แผ่นบางๆ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมค่อนข้างโปร่ง ปลาย กิง่ ห้อยย้อยลง
104 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง ม ะป่วน Mitrephora tomentosa Hook. f. & Thomson ช่ืออื่น นมหนู ปอแฮด แฮด ลำดวนดง มะป่วน เป็น 1 ใน 8 ชนิดของพรรณไม้สกุล มหาพรหมท่ีมีอยู่ในประเทศไทย โดยมีลักษณะเด่นคือ เป็นพรรณไม้ที่มีเมล็ดจำนวนมาก มีระบบรากแข็งแรง ทนแล้งได้ดี จึงนิยมนำมาเป็นต้นตอทาบกับพรรณไม้ ชนดิ อน่ื ๆ ทอี่ ยู่ในสกลุ มหาพรหมดว้ ยกนั ดอกมะป่วนจะออกในเดอื นเมษายน สว่ นผลจะแก่ โดยปกติมะป่วนจะกระจายพันธ์ุได้ดี เนื่องจาก เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม มะป่วนมีการกระจายพันธุ์ ผลสุกมีรสหวานและเป็นอาหารของสัตว์ป่าหลายชนิด ในปา่ ดิบแล้งทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื และ นับตง้ั แต่ กระรอก นก คา้ งคาว และเมื่อรว่ งหลน่ ลงมา ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ท่ีระดับความสูง 100-300 ม. แล้วยังเป็นอาหารของพวกเก้งและไก่ป่า เม่ือสัตว์เหล่านี้ ปัจจุบันนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ และเป็นพืชสมุนไพร กินผลมะป่วนเข้าไปพอถ่ายมูลออกมาก็จะมีเมล็ดมะป่วน แกน่ มะป่วนใชต้ ม้ นำ้ ดื่มครงั้ ละ 1 กำมือ วันละ 3 ครั้ง งอกข้ึนในบริเวณดังกล่าวด้วย
พรรณไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 105 ดอก ออกเป็นกระจุก 2-3 ดอก ตรงข้ามใบ กา้ น ดอกยาว 1-1.5 ซม. กลีบดอกสีเหลือง 6 กลีบ เรียง ปใลบาเยดใีย่ บวเรเียปวน็ แรหูปลรมี เป็น 2 ช้นั ชนั้ ละ 3 กลีบ รปู ขอบขนานปลายแหลมและ โค้ง ขอบกลีบหยักเว้า กว้าง 1-1.5 ซม. ยาวประมาณ 2.5 ซม. กลบี ดอกช้ันในรปู ชอ้ น กว้างและยาวประมาณ 1.5 ซม. เรยี งตัวชดิ กันเป็นรูปโดม ผล ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 16-24 ผล แต่ละผล รูปกลมรี ยาวประมาณ 3 ซม. ก้านยาวประมาณ 1.5 ซม. ผลสกุ สเี หลือง มีขนสนี ำ้ ตาลคลมุ มี 3-7 เมล็ด มะป่วนมีทรงพุ่มที่กลมสวยงาม จึงเหมาะท่ีจะ เมลด็ สีนำ้ ตาล กลมแบน ขนาด 6-8 มม. ปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในงานจัดภูมิทัศน์และในสนามกอล์ฟ แต่การท่ีมะป่วน จะออกดอกได้พร้อมกันทั้งต้นเป็นทรงพุ่มหรือไม่ จะข้ึน อยู่กับสภาพความแล้ง หากพื้นที่ปลูกเป็นเนินและเป็น โคกท่ีแห้งแล้ง หรือเนินที่ระบายน้ำได้ดี มะป่วนจะ ออกดอกได้พร้อมกันท้ังต้น มีความสวยงามมาก แตกต่างจากต้นท่ีขึ้นอยู่ในที่ลุ่มหรือมีน้ำแฉะตลอดเวลา รวมท้ังต้นที่ปลูกตามบ้านพัก ซ่ึงมีการให้น้ำกันอยู่แทบ ทุกวนั จนดนิ ปลูกมสี ภาพความชน้ื สงู จะทำใหต้ ้นมะปว่ น แตกใบอ่อนอยู่ตลอดเวลาและไม่ออกดอก หรือมีดอก ออกน้อยมาก ลักษณะพรรณไม้ ผลออกเป็นกล่มุ ตน้ ไมต้ น้ สูง 10-15 ม. เรอื นยอดเป็นพ่มุ ค่อนขา้ ง การขยายพันธุ ์ กลม เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาล ก่ิงอ่อนและใบอ่อนมี โดยการเพาะเมล็ด แต่หากต้องการให้ออกดอก ขนสีน้ำตาลหนาแน่น ได้รวดเร็วข้ึนจะใช้วิธีทาบกิ่ง โดยใช้ต้นมะป่วนทาบกับ ใบ เป็นใบเด่ียว เรียงสลับสองข้างของกิ่งใน ก่ิงยอดของมะป่วนท่ีออกดอกแลว้ ระนาบเดียวกัน แผ่นใบรูปรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 9-20 ซม. ปลายใบเรยี วแหลม ผวิ ใบมขี นสนี ้ำตาล
106 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง ลำดวนแดง เสมปพีื่อลน้ืเสราเม่ิีมยปบว่กน็ งลาสแนีบเี ดหกดงลล้าเอืนีบขงม้ใดนน อวมกล ีมี Melodorum fruticosum Lour. cv. ‘Lamduan Daeng’ ชื่ออื่น - ในอดีต ลำดวนแดง เป็นพรรณไม้ท่ีมีต้นแม่พันธ์ุ อยู่เพียงต้นเดียวในโรงเรียนประชาพัฒนศึกษา อำเภอ อุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซ่ึงเกิดมาจากการกลาย พันธุ์ของต้นลำดวนท่ีมีดอกสีเหลือง จึงนับเป็นพรรณไม้ แปลกประหลาด ทำให้มีความพยายามขยายพันธ ุ์ ทงั้ โดยวิธีการเพาะเมล็ด และการทาบกิ่ง โดยใช้ลำดวน ดอกเหลืองเป็นต้นตอ ปรากฏว่าการขยายพันธ์ุท้ังสอง วธิ ีได้ผลดี มจี ำนวนตน้ เพ่ิมมากขนึ้ และไดร้ ับความนยิ ม ในการนำไปปลูกท่ัวประเทศ จนกระท่ังปัจจุบันสามารถ พบเหน็ ตน้ ลำดวนแดงไดท้ ่วั ไป ลำดวนแดงเป็นพรรณไม้วงศ์กระดังงา มีช่วงฤดู ดอกบานอยู่ในเดือนมกราคมถึงเมษายน ปัจจุบัน จากการท่ีมีการปลูกลำดวนแดงเป็นไม้ประดับตามบ้าน มากข้ึนก็พบว่าลำดวนแดงมีช่วงฤดูออกดอกนานมาก ข้ึน บางคร้ังจะมีดอกหลังเดือนเมษายน และมีโอกาส ทยอยออกดอกในเดือนอ่ืนๆ ได้อีก ขณะท่ีลำดวน ดอกเหลืองจะออกดอกเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ถึง มีนาคมเท่าน้ัน ทั้งน้ีอาจเนื่องมาจากการที่ผู้ปลูกมีการ รดน้ำและใส่ปุ๋ยลำดวนแดงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ พฤติกรรมการออกดอกของต้นลำดวนแดงท่ีปลูกอยู่ เปลี่ยนแปลงไป
พรรณไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 107 หากใครท่ีคิดจะปลูกลำดวนแดงแต่ยังไม่ทราบวิธี สังเกตความแตกต่างระหว่างลำดวนแดงกับลำดวนที่ม ี ดอกเหลืองตามปกติ ก็สามารถดูได้จากดอก เนื่องจาก สีดอกของลำดวนทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่หากไม่ได้ อยู่ในช่วงฤดูออกดอก ก็สามารถสังเกตได้จากลักษณะ รูปร่างของใบ โดยลำดวนธรรมดามีใบรูปขอบขนาน เรียวยาว เนื้อใบหนา และด้านล่างของใบมีนวลสีขาว ฉาบอยู่ ขณะท่ีลำดวนแดงมีใบรูปรี ขนาดใบใหญ่กว่า ลำดวนธรรมดา และด้านล่างของใบมีนวลขาวฉาบอยู่ ออมกีกดลอ่นิ กหเอดมี่ย ว เพียงเลก็ นอ้ ย แม้ลำดวนแดงกับลำดวนธรรมดาจะมีสีดอกและ ลักษณะใบแตกต่างกัน แต่ในการจำแนกชื่อทาง ใบ เป็นใบเด่ียวรูปรี หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน พฤกษศาสตร์ ยังคงจัดใหล้ ำดวนท้งั สองมชี อ่ื วทิ ยาศาสตร์ กว้าง 3-3.5 ซม. ยาว 6-12 ซม. โคนใบมน ปลายเรยี ว เปน็ ต้นเดยี วกันอยู่ แหลมมีต่ิง ขอบใบเรียบ เน้ือใบหนาเป็นมันทั้งสองด้าน ใบด้านบนสเี ขยี วเขม้ ใบดา้ นล่างสีออ่ นกว่า ลักษณะพรรณไม้ ดอก เปน็ ดอกเดีย่ ว ออกปลายกงิ่ หรอื ตามซอกใบ ต้น ไม้ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สูง 5 ม. เปลือก ใกล้ปลายก่ิง เมื่อเริ่มบานกลีบดอกมีสีพ้ืนเป็นสีเหลือง ลำต้นเรียบ สีดำ เนื้อไม้แข็งและเหนียว และมีกล่ินฉุน นวล ปลายกลีบด้านในมีสีม่วงแดงเข้ม มีกลิ่นหอม แตกก่งิ ทป่ี ลายยอดจำนวนมาก กลบี ดอกชัน้ นอก 3 กลีบ รปู ไข่ บานกางออก กลบี นอก ชน้ั ในประกบกนั เปน็ รปู กลม ผล กลุ่ม มีผลย่อย 20-35 ผล ผลรูปรี ผลอ่อน เปลอื กเรยี บ สเี ขียวเขม้ เป็นมนั เม่อื แก่เปล่ียนเป็นสีมว่ ง อมดำ มี 1 เมล็ด ใบเด่ียวรูปรี เมลด็ กลมรี สขี าว ยาว 5-8 มม. การขยายพนั ธุ ์ ขยายพันธโ์ุ ดยการเพาะเมล็ด และทาบกงิ่
108 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง หมักม่อ Rothmannia wittii (Craib) Bremek. ชื่ออ่ืน ต้นข้ีหมู หม่อ หมักม่อ เป็นพรรณไม้ในสกุลสะแล่งหอมไก๋ของ ดอใกกมอลีสอ้ปขีกลาเปาวยน็นยวกลอร ดะจ กุ วงศ์เข็ม ที่มีคำระบุชนิด wittii ต้ังเป็นเกียรติแก่ อำมาตย์เอกพระยาวินิจวนันดร นักพฤกษศาสตร์นาม กระเด่ืองของไทย มีการสำรวจพบครั้งแรกของโลกใน ดอกรูประฆังคว่ำสีขาวนวล ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ประเทศไทย ท่ีจังหวัดนครราชสีมา บริเวณป่าเต็งรัง มีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 3-5 ซม. กลีบดอกด้านใน ระดบั 60 ม. มรี ายงานตีพิมพเ์ ปลย่ี นมาใช้เป็นชื่อน้ีในปี มีจุดประสีม่วงแดง หากจะเปรียบเทียบกับสะแล่งหอมไก๋ 2454 ซึ่งมีลักษณะต่างๆ และขนาดของต้นใกล้เคียงกัน หมักม่อมีลักษณะใกล้เคียงกับพรรณไม้ชนิดอื่นๆ ก็จะพบส่วนท่ีแตกต่างกันได้ โดยที่หมักม่อมีจำนวนดอก ทีอ่ ยู่ในสกลุ เดยี วกันซึง่ มีทงั้ หมด 8 ชนิด ส่วนใหญ่มที รง ตอ่ กระจกุ 5-12 ดอก มีใบนม่ิ คอ่ นขา้ งใหญ่ บางและมี พุ่มขนาดเล็กหรือขนาดกลาง มีเน้ือไม้แข็งและเหนียว ขนมาก ขณะท่ีสะแลง่ หอมไกม๋ ดี อกกระจุกละ 1-3 ดอก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลจนถึงดำและมีดอกหอม ซึ่ง มีใบรูปรี ปลายใบเรียวแหลม ค่อนข้างเล็ก หนาและ เป็นลักษณะเด่นของพรรณไม้ในสกุลน้ี นอกจากนี้ยังม ี เรียบเป็นมันทั้งสองด้าน
พรรณไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 109 ถ่ินกำเนิดและการกระจายพันธ์ุของหมักม่อจะ ขึ้นอยู่ในป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้งหรือป่าผลัดใบ และป่า ละเมาะท่ีเป็นดินทรายหรือดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี มีความทนทานต่อความแห้งแล้ง อยู่ตามเนินเขาท่ีม ี หน้าดินตื้น ชนั้ ลา่ งเปน็ หินทราย มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ต้นหมักม่อจึงเจริญเติบโตช้ามาก และมีขนาดลำต้น ไม่สูงใหญ่ ข้ึนอยู่ในพ้ืนท่ีระดับความสูง 200-500 ม. ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางส่วนของ ดอก ออกเป็นกระจุกใกล้ปลายยอดสีขาวนวล ภาคกลาง จงั หวดั ที่พบมากได้แก่ นครราชสีมา ขอนแกน่ แต่ละกระจุกมี 5-12 ดอก รูประฆัง ปลายแยกเป็น มหาสารคาม ชัยภมู ิ สกลนคร 5 กลีบ มีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 3-5 ซม. กลีบดอก หมักม่อเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของภาคตะวันออก- ด้านในมีจุดประสีม่วงแดง ออกดอกพร้อมกันท้ังต้น เฉียงเหนือ มีการใช้ส่วนแก่นหรือรากของหมักม่อต้มน้ำ มีฤดูดอกบานนาน 1 สัปดาห์ มีกล่ินหอมอ่อนในช่วง เดือดช่วยแก้ไข้ และใช้ลำต้นเข้าตำรับยาสมุนไพรอ่ืนๆ กลางวนั และกลางคนื ออกดอกเดือนมนี าคมถงึ เมษายน เน้ือในของผลมีสีดำแฉะเล็กน้อย มีลักษณะเป็นลอน ผล กลม ขนาด 3-4 ซม. ผลอ่อนสีเขียว ผลแก ่ คล้ายข้ีหมู กินได้มีรสหวาน มีสรรพคุณเป็นยาแก้เจ็บ สีดำ มีรสหวาน รับประทานได้ มีเมลด็ จำนวนมาก คอ ส่วนการปลูกต้นหมักม่อเพื่อใช้ประโยชน์เป็น เมล็ด สีนำ้ ตาลอ่อน รปู กลมรี ยาว 4-6 มม. ไม้ดอกไม้ประดับ เริ่มได้รับความนิยมมากข้ึนหลังจากท่ีมี ข้อมูลและภาพเผยแพร่ออกมาจากหนังสือไม้ดอกหอม การขยายพนั ธุ์ ทำให้หลายคนได้รับรู้และชื่นชมว่าหมักม่อเป็นพรรณไม้ ขยายพนั ธ์ุโดยการเพาะเมล็ด ที่มีทรงพุ่มสวยงาม มีดอกดกเตม็ ตน้ และมกี ล่ินหอม ลักษณะพรรณไม้ ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 6-8 ม. เปลือก สีน้ำตาลอมดำ แตกกิ่ง 3-4 กิ่งออกจากจุดเดียวกันคล้าย ฉัตร ก่ิงอ่อนมีขนปกคลุม ก่ิงแก่ค่อนข้างเรียบ มีใบ เฉพาะตอนปลายกิ่ง ทรงพุม่ กลมโปร่ง ใบ เป็นใบเด่ียวเรียงตรงข้ามเป็นคู่ รูปรี ยาว 6-10 ซม. ใบอ่อนมีขนปกคลุมและเห็นเส้นแขนง ใบชัดเจน ขอบใบเรียบและเป็นคล่ืนเล็กน้อย เน้ือใบ บาง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111