EBOOK พช.มุกดาหาร
ประวตั ิจงั หวดั มุกดาหาร เจ้าจนั ทรสรุ ยิ วงษ์และพรรคพวกไดต้ ้งั อยทู่ ีบ่ ้านหลวงโพนสิม ใกลพ้ ระธาตอุ งิ ฮังทาง ฝง่ั ซ้ายแมน่ ำ้ โขง (ดนิ แดนลาว) ต่อมาอีกหลายสิบปี จนได้ถึงแกก่ รรม เจ้าจนั ทกนิ รี ผู้เป็นบตุ ร ไดเ้ ปน็ หัวหน้าปกครองต่อมา จนถงึ พ.ศ. 2310 ได้มนี ายพรานคนหน่งึ ขา้ มโขงมาทางฝ่ังขวาแม่น้ำโขงตรงปากห้วยบงั มกุ ได้พบเมอื งร้าง วดั รา้ งและพบ ต้นตาล 7 ยอดอย่รู มิ ฝั่งโขง เห็นวา่ เป็นทำเลทอ่ี ดุ มสมบรู ณ์กวา่ ดนิ แดนทางฝัง่ ซา้ ย แมน่ ำ้ โขง อีกทง้ั ในแม่นำ้ โขงตรงปากห้วยบงั มกุ มีปลาชมุ ชมุ อีกด้วย จึงกลบั ไป รายงานให้เจา้ จันทกินรหี วั หนา้ ทราบ เจ้าจันทกนิ รไี ด้พาพรรคพวกข้ามโขงมาดกู ็ เห็นว่าคงเปน็ ทีต่ ั้งเมอื งโบราณมากอ่ น และเป็นทำเลท่ีอดุ มสมบรู ณ์กวา่ ทางฝั่งซ้าย แม่นำ้ โขง จึงไดพ้ ากันอพยพจากบ้านหลวงโพนสมิ มาต้ังบา้ นเรอื นอยทู่ างฝ่ังขวา แมน่ ้ำโขงตรงปากห้วยบงั มกุ เมอ่ื เรม่ิ ถากถางหกั รา้ งพงเพอื่ ตงั้ เมอื งขึ้นใหม่ ได้พบพระพุทธรปู 2 องคอ์ ยู่ ใต้ตน้ โพธริ์ มิ ฝ่ังโขง พระพุทธรูปองค์ใหญ่เปน็ พระพุทธรูปก่ออิฐถอื ปนู สว่ น พระพทุ ธรูปองคเ์ ล็กเป็นพระพทุ ธรปู โลหะหลอ่ ด้วยเหล็กเน้อื ดี จงึ ไดพ้ รอ้ มกนั สรา้ ง วดั ขนึ้ ใหม่ในบรเิ วณวัดรา้ งรมิ ฝัง่ โขง และขนานนามวดั ทีส่ รา้ งขึน้ ใหมน่ ว้ี ่า วดั ศรมี งุ คณุ (ศรมี งคล) และได้กอ่ สรา้ งกฏุ ิวิหารขน้ึ ในบรเิ วณวัดพร้อมกับได้อัญเชญิ พระพุทธรูปทั้งสององคท์ ่ีอยใู่ ตต้ ้นโพธิร์ ิมฝงั่ โขงขึ้นไปประดษิ ฐาน บนพระวหิ ารของ วดั ต่อมาปรากฎวา่ พระพทุ ธรูปโลหะ (องคเ์ ลก็ ) เกิดปาฎิหาริย์กลับลงไป ประดิษฐานอยู่ใตต้ น้ โพธิท์ ี่ตง้ั เดิมอีกถึง 3-4 ครงั้ ในทสี่ ุดพระพทุ ธรปู องค์เล็กนนั้ ก็ ค่อยๆ จมหายลงไปใต้ดนิ คงเหน็ แต่ยอดพระเกศโผลข่ ้ึนมาให้เห็นอยู่ใตต้ ้นโพธร์ิ มิ ฝง่ั โขง จงึ ไดพ้ ร้อมกันสรา้ งแท่นสกั การะบูชาครอบไว้ในบริเวณน้นั และขนานนาม พระพุทธรปู องค์นั้นวา่ พระหลุบเหล็ก ปัจจุบันบริเวณทพี่ ระหลุบเหล็กจมดนิ ได้ถกู กระแสน้ำเซาะตล่งิ โขงพงั ลงไปหมดแลว้ (คงเหลือแตแ่ ทน่ สักการะบชู าที่ยกเข้ามา เกบ็ รักษาไวห้ น้าพระวหิ ารของวัดศรมี งคลใตใ้ นปัจจบุ ัน)
สว่ นพระพทุ ธรปู องคใ์ หญ่ที่กอ่ อฐิ ถือปนู และไดอ้ ัญเชญิ ข้นึ ไปประดษิ ฐาน อยูบ่ นพระวหิ ารของวัดศรมี ุงคุณ ชาวเมืองได้ขนานนามว่า \"พระเจา้ องคห์ ลวง\" เป็นพระประธานของวัดศรมี ุงคุณ ซึง่ ตอ่ มาได้เปลย่ี นนามเป็น วัดศรมี งคลใต้ ตลอด มาจนถึงปัจจบุ ันเป็นพระพุทธรปู คบู่ า้ นคเู่ มอื งตลอดมาตัง้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบนั เมื่อครัง้ ต้ังเมอื งขน้ึ ใหมใ่ นเวลากลางคืน ได้มีผู้พบเห็นแก้วดวงหนงึ่ สีสดใส เปล่งแปลงเป็นประกายแวววาวเสด็จ(ลอย) ออกจากตน้ ตาล 7 ยอดริมฝ่ังโขง ลอ่ งลอยไปตามลำนำ้ โขงแทบทกุ คนื จวบจนใกล้รงุ่ สวา่ งแกว้ ดวงนน้ั จึงเสดจ็ (ลอย) กลับมาทต่ี ้นตาล 7 ยอด เจา้ จนั ทกินรจี ึงได้ขนานนามแกว้ ศภุ นิมติ ดวงนว้ี ่า แก้ว มุกดาหาร เพราะตง้ั เมอื งขึ้นรมิ ฝง่ั โขงตรงปากหว้ ยบังมุกอีกทงั้ ไดม้ ผี ู้พบเห็นไขม่ ุก อยู่ในหอยกาบ(หอยก้ี) ในลำน้ำโขงอกี ด้วย เจา้ จันทกินรจี งึ ใหข้ นานนามเมืองท่ี ต้งั ขน้ึ ใหมน่ ีว้ า่ เมืองมุกดาหาร ตั้งแต่เดือน 4 ปีกุน จุลศกั ราช 1132(พ.ศ.2313) อาณาเขตเมอื งมุกดาหารครอบคลมุ ท้งั สองฝงั่ แมน่ ้ำโขงจนจรดแดนญวน (รวมเขต ของแขวงสวุ รรณเขตของดนิ แดนลาวดว้ ย) คร้ันถงึ สมัยกรงุ ธนบุรีเม่อื พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ไดแ้ ผแ่ สนยานุภาพขึ้น มาถงึ แถบลมุ่ แม่น้ำโขง จนถงึ พ.ศ. 2321 ได้ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหส้ มเด็จ พระยามหากษัตริยศ์ ึกฯ และเจ้าพระายาจกั รยี กกองทพั ขนึ้ มาตามลำนำ้ โขง เพอ่ื ปราบปรามและรวบรวมหัวเมอื งใหญน่ อ้ ยในสองฝัง่ แมน่ ำ้ โขงให้รวมอยูใ่ นข้าขอบ ขณั ฑสมี าของกรุงธนบรุ ี และไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ต้งั ให้ เจ้าจันทกนิ รี เป็น พระยาจันทรศรสี ุราชอปุ ราชามันธาตรุ าช เจ้าเมืองมุกดาหารคนแรกและได้ พระราชทานนามเมอื งวา่ เมืองมุกดาหาร
ภายในมปี ราสาทชื่อ สองนางสถติ ย์ ภายในปราสาทองคก์ ลางมแี กว้ มุกดาหารอยู่บนพาน ใต้พานมผี า้ ทพิ ยร์ องรับ หน้าผา้ ทพิ ยม์ อี กั ษรไขวช้ ่อื ย่อจังหวัด ในปราสาทองคร์ มิ ทั้งสองข้าง มบี ายศรยี นตะลมุ่ อันเปน็ เครื่องบชู าของชาวอีสาน เบือ้ งหลงั มีพระธาตพุ นมซงึ่ จงั หวดั มกุ ดาหารแยกมา และเคยอยูใ่ นอาณาจกั รโคตร บรู ณเ์ ดียวกนั มีแนวแมน่ ้ำโขงอยดู่ ้านหลัง ดา้ นตะวันออก พระอาทิตยก์ ำลังทอแสง หลังหมูก่ ้อนเมฆ 2525 เปน็ ปที ่ีตัง้ จังหวดั มุกดาหาร ดอกไมป้ ระจำจังหวดั มกุ ดาหาร : ดอกชา้ งนา้ ว
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: