หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตตะเลงพ่าย เรื่อง : นางสาว รุ่งนนภา มุณี นางสาว ณัฏฐณิชา สุขยิ่ง นางสาว นันท์นภัส ยาดีวงศ์ คลิปอาร์ต : นางสาว พรรณนิภรณ์เผ่าเครื่อง
นางสาวรุ่งนภา มุณี เลขที่ 17 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 นางสาวณัฏฐณิชา สุขยิ่ง เลข ที่20 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 นางสาวนันท์นภัส ยาดีวงศ์ เลขที่ 22 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 นางสาวพรรณนิภรณ์ เผ่าเครื่อง เลขที่ 23 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 นำเสนอ ครู อ้อมใจ จันทร์กิเสน
ผู้แต่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุ ชิตชิโนรส และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม หมื่นภูบาลบริรักษ์ ลักษณะคำประพันธ์ เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต
ความเป็นมา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร มหาราช มีการดำเนินเรื่องตาม พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เริ่มตั้งแต่ สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต จนถึงตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีกังพระมหาอุปราชา ของพม่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.๒๑๓๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุ ชิตชิโนรสทรงพระนิพนธ์เรื่องนี้เพื่อ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร มหาราช โดยแต่งแนวเดียวกับยวนพ่าย โคลงดั้น หรือโคลงยวนพ่าย ซึ่งมีมาก่อน ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่าทรงทราบข่าวว่าพระมหาธรรม ราชาสวรรคต จึงทรงคาดว่ากรุงศรีอยุธยาอาจมีการชิงบัลลังก์ กันระหว่างพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถ จึงรับสั่งให้พระมหาอุป ราชาผู้เป็นโอรสยกทัพมารุกรานไทย แต่พระมหาอุปราชาได้ กราบทูลพระราชบิดาว่าโหรทำนายว่าพระองค์กำลังมีเคราะห์ พระเจ้านันทบุเรงจึงตรัสประชดว่า ถ้าแกรงจะมีเคราะห์ก็ให้นำ เสื้อผ้าสตรีมาสวมใส่เพื่อเป็นการสร้างเคราะห์ พระมหาอุปราชา เกรงพระราชอาญาและทรงอับอาย จึงยกทัพไปกรุงศรีอยุธยา โดยเกณฑ์พลจากเชียงใหม่และเมืองขึ้นต่างๆ มาช่วย จากนั้น พระองค์ก็เสด็จเข้าห้องเพื่อไปลาพระสนมด้วยความอาลัย
พระเจ้านันทบุเรง ประทานโอวาท ๘ ประการแก่พระมหาอุปราชา ดังนี้ ๑. อย่าหูเบา ๒. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ๓. ให้เอาใจทหาร ๔.อย่าไว้ใจคนขลาดเขลา ๕. รอบรู้กระบวนการจัดทัพ ๖. รู้หลักตำราพิชัยสงคราม ๗. ให้รางวัลทหารที่มีความสามารถ ๘. จงพากเพียร
กวีใช้ลีลาการแต่งแบบนิราศแต่งบทรำพันถึงนาง โดย นำธรรมชาติที่พระมหาอุปราชาได้พบเห็นเชื่อมโยงกับ อารมณ์ความรู้สึกของพระองค์ึที่มีต่อพระสนม ใช้ความ เปรียบโดยนำชื่อดอกไม้ ต้นไม้ เป็นสื่อพรรณนาความรัก และความอาลัยต่อนางอันเป็นที่รักได้อย่างไพเราะ และ สะเทือนอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
พระมหาอุปราชายกทัพมาถึงอำเภอพนมทวน จังหวัด กาญจนบุรี เกิดเหตุร้าย ลมเวรัมภา (ลมที่เกิดจากอำนาจเวร กรรม) พัดฉัตรบนหลังช้างทรงหัก พระมหาอุปราชาทรง หวั่นพระทัย จึงทรงให้โหรมาทำนายเหตุการณ์ดังกล่าว โหร ทั้งหลายต่างตระหนักว่าเป็นเหตุร้ายแรงถ้าทูลความจริง เกรงจะได้รับโทษ จึงทูลว่าเหตุการณ์นี้เกิดในยามเช้าไม่ดี แต่ ถ้าเกิดในยามเย็นนั้นดีจะชนะข้าศึก
พระมหาอุปราชาทรงรำพึงถึงพระบิดาว่า หากต้อง ทรงเสียโอรส คือพระมหาอุปราชาแก่ข้าศึก พระเจ้า นันทบุเรงคงจะทรงเสียพระทัยและทรงเป็นทุกข์ยิ่ง แผ่นดินมอญก็จะไม่มีผู้มาปกป้อง ด้วยพระเจ้านันทบุ เรงก็ทรงชราภาพแล้ว เกรงว่าจะแพ้ข้าศึก หากพระ มหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในสงครามครั้งนี้ทรงเป็นห่วง ว่าจะไม่มีใครมาเก็บพระศพพระเจ้านันทบุเรงนั้นมาก ล้นเกรงว่าจะไม่ได้ตอบแทน
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จจากกรุงศรีอยุธยาไปขึ้นบกที่อำเภอปากโมก(ป่าโมก) จังหวัด อ่างทอง เมื่อพระองค์บรรทมก็เกิดพระสุบินเทพสังหรณ์ว่า มีน้ำท่วมมาจากทิศตะวันตก พระองค์ทรงลุยน้ำ พบจระเข้ใหญ่จะกัดพระองค์ จึงทรงต่อสู้กับจระเข้ด้วยพระแสงดาบ จระเข้ถูกพระนเรศวรฆ่า น้ำที่ท่วมก็กลับแห้งเหือดไป เมื่อพระองค์สร่างบรรทมจึงทรงให้ โหรทำนายพระสุบิน โหรทำนายว่าเป็นพระสุบินที่เทวดาดลบันดาลให้ทรงทราบ น้ำที่ไหล เชี่ยวคือกองทัพพม่า ส่วนจระเข้นั้นหมายถึงพระมหาอุปราชา สมเด็จพระนเรศวรจะทรง กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาและทรงมีชัยชนะ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงสดับคำ พยากรณ์ของโหรก็ทรงยินดี จากนั้นทรงเครื่องต้นเสด็จพร้อมพระอนุชาไปยังกองทัพที่ เตรียมไว้ เกิดศุภ-นิมิต สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรพระบรมสารีริกธาตุ มีแสงสว่าง งดงามขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยงลอยมาจากทิศใต้ เวียนขวารอบกองทัพ 3 รอบ แล้วลอยไป ทางทิศเหนือ
ฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้กองทัพเคลื่อนพล ตากเกล็ดนาค ซึ่งเป็นแบบแผนการเคลื่อนทัพตามตำราพิชัยสงคราม คือวันใดนาคจะหัดไปทางทิศใดถ้ายกทัพวันนั้นก็ต้องเดินทัพไปในทิศทาง เดียวกันกับทิศที่หัวนาคหันไปจะเกิดสิริมงคล การยกทัพในครั้งนี้พระ นเรศวรทรงช้างไชยานุภาพ ส่วนพระเอกาทศรถทรงช้างปราบไตรจักร ช้างทั้งสองกำลังตกมัน เมื่อได้ยินเสียงฆ้อง กลอง ปืนศึก จึงวิ่งเข้าไปใน แดนข้าศึก โดยปราศจากทหารติดตามนอกจากควาญช้างและกลางช้าง ของพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ ฝ่ายพม่าได้ระดมยิงธนูแต่มิได้ถูก พระนเรศวรและพระเอกาทศรถ ทันใดนั้นก็เกิดฝุ่นตลบมืดมัวจนมองไม่ เห็นใคร สมเด็จพระนเรศวรจึงมีพระราชดำรัสแก่เทพบนสวรรค์ช่วยให้ ฝุ่นละอองที่ทำให้มืดมัวนั้นหายไป พอสิ้นพระราชดำรัสก็เกิดลมพายุพัด ฝุ่นนั้นให้จางหายไปจนสมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นพระมหาอุปราชาทรง ช้างพันธกออยู่ที่ใต้ต้นข่อย
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จเข้าไปเชิญพระมหาอุปราชาให้ออกมา ทำยุทธหัตถี โดยตรัสว่าการทำยุทธหัตถีเป็นธรรมเนียมการละ เล่นของกษัตริย์ จากนั้นทรงโน้มน้าวว่าการรบระหว่างสมเก็จ พระนเรศวรกับพระมหาอุปราชาเป็นการการทำยุทธหัตถีครั้ง สุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ และจะเป็นที่กล่าวขานต่อไปเพราะไม่มีใคร กล้าหาญพอที่จะทำศึกเช่นนี้ พระมหาอุปราชาทรงหมดหนทาง ที่จะเลี่ยงการรบ อีกทั้งทรงมีความฮึกเหิม จึงต้องจำใจออกรบ
การรบของขุนศึกทั้งสองฝ่ายเปรียบได้กับการทำสงคราม ระหว่างพระอินทร์กับท้าวไพจิตราสูร หรือเปรียบเหมือน การทำสงคราบระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ช้างทรงของ พระมหาอุปราชาสามารถงัดช้างทรงของพระนเรศวร พระ มหาอุปราชาทรงฟาดพระแสงของ้าวไปยังสมเด็จพระ นเรศวร แต่สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงเบี่ยงพระเศียรหลบ โดยทรงใช้ขอปัดอาวุธจนกระทั่งช้างทรงของพระนเรศวร สามารถงัดช้างทรงของพระมหาอุปราชาได้ จึงทรงใช้ พระแสงของ้าว(พระแสงพลพ่าย) ฟันพระมหาอุปราชา ขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์
สมเด็จพระวันรัตเข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร เพื่อกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษแก่ทหาร ที่ตามเสด็จไม่ทันในการรบครั้งนี้ โอยอ้างว่า ชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรเปรียบได้กับ ชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่เผด็จมาร
สะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสีย สละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่งคนไทยควรภาคภูมิใจ แผ่นดินไทยต้องผ่านการทำศึก สงครามอย่างมากมายกว่าที่จะมารวม กันเป็นปึกแผ่นอย่างปัจจุบันนี้ พระราชภารกิจของกษัตริย์ไทยในสมัย ก่อน คือการปกครองบ้านเมืองให้ ร่มเย็นเป็นสุขและรบเพื่อปกป้อง อธิปไตยของไทย
หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตตะเลงพ่าย เรื่อง : นางสาว รุ่งนนภา มุณี นางสาว ณัฏฐณิชา สุขยิ่ง นางสาว นันท์นภัส ยาดีวงศ์ คลิปอาร์ต : นางสาว พรรณนิภรณ์เผ่าเครื่อง
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: