บทร้อยกรอง ๑. ความหมายของบทร้อยกรอง บทร้อยกรอง หมายถึง งานเขียนที่มีลักษณะ บงั คบั ในการแต่งให้มีคาสัมผสั คลอ้ งจองกนั โดย กาหนดจานวนคา การสัมผสั และลกั ษณะบงั คบั อ่ืน ๆ ตามรูปแบบฉนั ทลกั ษณ์ของร้อยกรองแต่ละชนิด ท้ังน้ีในการเรี ยกชื่องานเขียนประเภทน้ีน้ัน นอกจากจะเรียกวา่ “บทร้อยกรอง” แลว้ อาจจะเรียกเป็ นอย่างอื่น เช่น บทกลอน บทกวี กวีนิพนธ์ ก็ได้ หรือ โคลงกลอน กาพย์กลอน ก็มี โดยมีความหมายหรื อ สื่ อ ความหมายไดเ้ ช่นเดียวกบั คาวา่ “บทร้อยกรอง”
๒. ประเภทของบทร้อยกรอง แบ่งตามลกั ษณะบงั คบั ได้ ๕ ประเภท คือ ๑. กลอน แบ่งย่อยเป็ นกลอนสุภาพหรือกลอนแปด กลอนหก กลอนดอกสร้อย กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนนิราศ กลอนเพลงยาว และกลอนเพลงปฏิพากย์ ๒. กาพย์ แบ่งย่อยเป็ น กาพยย์ านี กาพยฉ์ บงั กาพย์ สุรางคนางค์ และกาพยข์ บั ไม้ ๓. โคลง แบ่งย่อยเป็ น โคลงสุภาพ โคลงด้นั และ โคลงโบราณ ๔. ฉันท์ แบ่งย่อยเป็ นหลายชนิด เช่น วิชชุมมาลา ฉันท์ มาณวกฉันท์ อิทิสังฉันท์ จิตรปทาฉันท์ อินทร วเิ ชียรฉนั ท์ วสนั ตดิลกฉนั ท์ เป็นตน้ ๕. ร่าย แบ่งย่อยเป็น ร่ายสุภาพ ร่ายด้นั ร่ายโบราณ และร่ายยาว นอกจากน้ี ยงั มีคาประพนั ธ์ที่แต่งประสมกันแล้ว เรี ยกช่ือเสียใหม่ เช่น ร่ายกับโคลงแต่งรวมกันเรี ยก “ลลิ ติ ” โคลงแต่งรวมกนั กบั กาพย์ เรียก “กาพย์ห่อโคลง” เป็ นตน้
๓. ประเภทของการอ่านบทร้อยกรอง มดี ังนี้ ๑. อ่านแบบธรรมดา เป็ นการอ่านเหมือนร้อยแกว้ แต่เน้นจังหวะวรรคตอน อาจมีการทอดเสียงบ้าง เลก็ นอ้ ย ๒. อ่านแบบเจรจา เป็ นการอ่านเหมือนร้อยแกว้ แต่ เน้นจงั หวะวรรคตอน และเน้นเสียงเพ่ือแสดงอารมณ์ ความรู้สึก คลา้ ยพดู มากกวา่ การอ่านแบบธรรมดา กาพย์ สุรางคนางค์ และกาพยข์ บั ไม้ ๓. อ่านแบบทานองเสนาะ เป็ นการอ่านท่ีมีเสียงสูง ต่า ส้ัน ยาว หนัก เบา มีการเอ้ือนเสียง และเน้นสัมผสั ชดั เจนทาใหเ้ กิดความไพเราะ ถา้ ยง่ิ ใชน้ ้าเสียงเหมาะสม ดบั เน้ือความตามบทต่าง เช่น ชมความงาม ตดั พอ้ คร่า ครวญ โกรธเกร้ียว ฯลฯ ก็จะทาใหเ้ กิดอารมณ์คลอ้ ยตาม มากยงิ่ ข้ึน
คุณค่าของบทร้อยกรอง “บทร้อยกรอง” เป็ นงานเขียนที่แสดงออกถึง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ความรู้และประสบการณ์ ของผูเ้ ขียนท่ีไดส้ ั่งสมมา โดยถ่ายทอดออกมาเป็ น ภาษาของกวีท่ีไพเราะ มีความหมายลึกซ้ึง กินใจ ก่อให้เกิดคุณค่าท้งั ต่อผูเ้ ขียน ผูอ้ ่าน และสังคม ซ่ึง สรุปได้ ดงั น้ี ๑. คุณค่าต่อผ้เู ขยี น ผูเ้ ขียนยอ่ มจะภาคภูมิใจที่ตนสามารถใชภ้ าษากวี ที่ไพเราะ มีความหมาย มาเป็ นส่ือในการบอก เร่ื องราว บอกเล่าความรู้สึ กนึกคิด หรื อความ ตอ้ งการไดจ้ นสาเร็จ ถือเป็นส่ิงที่มีค่ายงิ่ นกั และอาจ พมิ พเ์ ผยแพร่ ทาใหม้ ีช่ือเสียงเป็นที่ยอมรับต่อไป
๒. คุณค่าต่อผู้อ่าน การอ่านบทร้อยกรอง เป็ นวิธีหน่ึงท่ีจะช่วย เสริมสร้างปัญญาแก่มนุษย์ ช่วยให้รู้จักผูอ้ ื่นและนา ความคิดที่ได้จากการอ่านมาปรับตัวให้เข้ากับผูอ้ ่ืน และอยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข นอกจากน้ีการอ่าน บทร้อยกรองทีม่ ีคุณค่า จะช่วยปลุกเร้าความรู้สึกนึกคิด หรือจินตนาการท่ีดีงาม ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน เป็ นการให้อาหารใจท่ีดแี ก่ผู้อ่าน ๓. คุณค่าต่อสังคม เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมแลว้ บทร้อยกรองย่อม นามาซ่ึ งสันติสุ ขแก่สังคมและต่อโลกเพราะบทร้ อย กรองช่วยสร้างจินตนาการที่ดีงาม กว้างไกล ทาให้ จิตใจละเอยี ดอ่อน เห็นใจเพ่ือนมนุษย์ทาให้มองโลกใน แง่ดี มีความคิดสร้ างสรรค์ อันจะนามาซึ่งความ เจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขต่อสังคมโลก นับเป็ น คุณค่าสูงสุดของบทร้อยกรอง
ข้อปฏิบตั ใิ นการเขียนบทร้อยกรอง คนไทยได้ชื่อว่า เป็ นคนเจ้าบทเจ้ากลอน มี สายเลือดนักกลอนอยู่ในตัว จึงไม่ใช่เรื่องยากท่ีจะ เขียนบทร้อยกรอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จึงควร ทราบขอ้ ปฏิบตั ิท่ีดีในการเขียนบทร้อยกรอง ดงั น้ี ๑. สนใจบทร้อยกรองอย่างจริงจงั การจะเขียนบทร้อยกรองให้ได้ดีน้ัน ผู้เขียน จะตอ้ งสนใจอย่างจริงจงั โดยตอ้ งอ่านและศึกษาหา ความรู้เก่ียวกบั การเขียนบทร้อยกรองอย่างละเอียด ซ่ึงถา้ จะให้ดีสาหรับ การอ่าน ในแต่ละคร้ังน้นั ควร บนั ทึกตวั อยา่ งสานวนดี ๆ ไวด้ ว้ ย เพื่อเป็ นแนวทาง ในการเขียนต่อไป
๒. ศึกษาฉันทลกั ษณ์และศิลปะการแต่ง ฉนั ทลกั ษณ์หรือลกั ษณะบงั คบั เป็นพ้นื ฐานสาคญั ของ การแต่งบทร้อยกรอง ซ่ึงผแู้ ต่งจะผิดพลาดไมไ่ ด้ เมื่อมีความแม่นยาในฉันทลกั ษณ์แลว้ ก็สามารถจะสร้าง งานและมีความชานาญในการเขียนแต่ งบทร้ อยกรองได้ ตามตอ้ งการ นอกจากน้นั การศึกษาศิลปะการแต่งของผูอ้ ่ืน สังเกตกลวิธีในการเขียนของผูอ้ ื่น จะทาให้มองเห็น จุดเด่นจุดดอ้ ยและนามาใช้ในการพฒั นาการเขียนของ ตนเองไดอ้ ยา่ งดี ๓. รวบรวมคาไว้ใช้ ผูท้ ี่ต้องการเขียนบทร้อยกรองให้ได้ดีน้ัน จะต้อง ร่ารวยคา ตอ้ งศึกษาและประมวลคาเพ่ือให้สามารถเลือก วิเคราะห์ และนามาใชใ้ นการแต่งบทร้อยกรองไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม เช่น คาที่มีความหมายเหมือนกนั คลา้ ยกนั ตรง ขา้ มกนั คาที่เป็ นกลุ่มพวกเดียวกนั คาสัมผสั คลอ้ งจองกนั ถอ้ ยคาสานวนโวหารและสุภาษิตต่างๆ เป็นตน้
แนวทางการเขียนบทร้อยกรองท่ีดี ในการเขียนบทร้อยกรองน้ัน นอกจากการศึกษา ฉันทลกั ษณ์ให้ชัดเจน แม่นยาและปฏิบัติตนตามข้อ ปฏิบตั ิที่ดีขา้ งตน้ แลว้ เมื่อลงมือเขียนบทร้อยกรองก็มี แนวทาง ดงั น้ี ๑.วางโครงเรื่อง ก่อนจะเขียนตอ้ งกาหนดเน้ือหาที่จะเขียนและวาง โครงเร่ืองใหช้ ดั เจน วา่ จะเขียนเรื่องอะไร มีจุดมุ่งหมาย อยา่ งไร จะเร่ิมตน้ อย่างไร ดาเนินเรื่องอยา่ งไร และจบ เร่ืองอยา่ งไร ๒. ดาเนินเร่ือง ในการดาเนินเร่ือง ควรคานึงถึงส่ิงต่อไปน้ี ๒.๑ เรื่องตอ้ งมีความเป็นเอกภาพ คือ การดาเนิน เรื่องจะตอ้ งเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั มีใจความสาคัญ หรือจุดมุ่งหมายอย่างเดียว กล่าวถึงเร่ืองใดก็ตอ้ งอยูใ่ น ขอบเขตของเรื่องน้นั ไม่เขียนถึงเรื่องอ่ืนที่ไม่เกี่ยวขอ้ ง กนั
๒.๒ เรื่องจะตอ้ งมีสมั พนั ธภาพ คือ การดาเนิน เร่ื องจะต้องเก่ียวเนื่องเชื่อมโยงเป็ นเรื่ องราว เดียวกนั โดยตลอด มีความเป็ นเหตุเป็ นผลสอดรับ ซ่ึงกนั และกนั ต้งั แตต้ น้ จนจบ เน้ือความไม่กระโดด ไปมา ๒.๓ มีจุดเนน้ ของเรื่อง คือ เน้ือหา ไดแ้ สดง เร่ืองราวและอารมณ์ของเร่ือง สามารถโนม้ น้าวให้ ผูอ้ ่านมีความรู้สึกคลอ้ ยตาม เกิดจินตนาการหรือ เกิดความประทบั ใจอยา่ งชดั เจน ๓. ตรวจสอบและพฒั นาปรับปรุง เมื่อเขียนบทร้อยกรองเสร็จแลว้ ตอ้ งตรวจสอบ ผลงานที่เขียนเสมอ โดยตรวจสอบว่าถูกตอ้ งตาม ฉนั ทลกั ษณ์หรือไม่ เน้ือหาของเร่ือง รวมถึงการใช้ ถอ้ ยคาสานวนถกู ตอ้ ง ชดั เจนตามที่ตอ้ งการหรือไม่ การตรวจสอบน้ันอาจจะตรวจสอบด้วยตนเอง หรือให้ผูอ้ ่ืนช่วยอ่านวิพากษ์วิจารณ์ เสนอแนะ แลว้ นาขอ้ สังเกตหรือขอ้ เสนอแนะน้นั มาปรับปรุง แกไ้ ขต่อไป
ข้อปฏิบตั ใิ นการอ่านบทร้อยกรองที่ดี ๑. รู้ลกั ษณะและจังหวะในการอ่านของบทร้อย กลองแต่ละชนิด เช่น กลอนส่ี กลอนแปด กาพยย์ านี๑๑ โคลง ฉนั ท์ ตัวอย่าง จากลาธาร สายนอ้ ย ค่อยรินไหล จากขนุ เขา เนินไพร ในป่ ากวา้ ง ลาธารนอ้ ย เลาะเรื่อย มาตามทาง บรรจบกนั เป็นลาราง ชลาลยั ๒. ออกเสียงคาใหถ้ กู ตอ้ งชดั เจนตามอกั ขรวิธี โดย เฉพาะตวั ร ล และคาควบกล้า เพอ่ื ไม่ใหค้ วามหมายคลาย เคล่ือน ๓. วิธีอา่ น - เนน้ เสียงคาที่เป็นสมั ผสั บงั คบั ใหช้ ดั เจนและตอ้ ง ทอดเสียงคาสมั ผสั ระหว่าบทใหย้ าวกว่าปกติ เช่น เนน้ สี ยง ไหล-ไพร และทอดเสียง ชลาลยั - อาศยั
ข้อปฏบิ ตั ใิ นการอ่านบทร้อยกรองทีด่ ี - ออกเสียงใหส้ ูงและดงั กอ้ งในคาท่ีมีสียงวรรณยกุ ต์ จตั วา เช่น ไหล อาศยั - ไม่เอ้ือนเสียงคาที่มีสระเสียงส้นั และเบา เช่น เลาะ แหลง่ - อา่ นเสียงเบาและรวบเสียงที่มี ๒ พยางคใ์ นคาท่ี ฉนั ทลกั ษณ์บงั คบั ใหอ้ อกเสียงเพียง ๑ พยางค์ โดยใหเ้ สียง ตกท่ีพยางคห์ ลงั เช่น ชโลม ลาราง ฯลฯ - ตอ้ งเอ้ือนเสียงและทอดจงั หวะใหช้ า้ ลงเมื่อจบบท ๕. เขา้ ใจความหมายของคาศพั ท์ เพื่อถอดความและ จบั ความสาคญั ได้
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: