คำนำ ในการจดั ทาบทความเรื่อง การปรบั ใชจ้ ิตวทิ ยาและจริยธรรมในการประกอบวชิ าชีพทางนิเทศศาสตร์ จดั ทาข้นึ เพือ่ ศกึ ษาแนวคิดให้เขา้ ใจมนุษยไ์ ดด้ ีมากย่งิ ข้นึ เพราะนอกจากจะตอ้ งเรียนรู้พฤตกิ รรมแลว้ มนุษยท์ ่เี ป็น สัตวส์ งั คมจึงจาเป็นตอ้ งเรียนรู้และสามารถปรับตวั มีชีวิตอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ืน่ ได้ การหาพฤตกิ รรมตามธรรมชาติของ มนุษยน์ ้นั สามารถนาไปเป็นแนวทางในการแกไ้ ขปัญหา การวจิ ยั หรือ รบั มือสาหรบั การเปลย่ี นแปลงของยคุ สมยั ไดร้ วมไปถงึ การปรับตวั น้นั สามารถมเี งือ่ นไขกฎ หรือจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพไดใ้ นเงอ่ื นไข บรรทดั ฐานตามกฏเกณฑท์ ่ีสงั คมไดก้ าหนดไว้ การจดั ทารายงานโครงการสัมมนา การปรบั ใช้จิตวิทยาและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพทางนิเทศ ศาสตร์ คร้งั น้ีสาเร็จลลุ ว่ งไปไดด้ ว้ ยดี เนื่องจากไดร้ บั ความร่วมมือจากทีป่ รึกษาโครงการ รองศาตราจารย์ ดร. จุไรรตั น์ ทองคาช่ืนวิวตั น์ นกั ศกึ ษานกั ศึกษามหาวิทยาลยั ราชภฏั จนั ทรเกษม ตลอดจนผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ ผจู้ ดั ทาขอขอบคุณทกุ ท่านทไ่ี ดใ้ หค้ วามร่วมมอื ในการจดั ทาโครงการสมั มนา การปรบั ใชจ้ ิตวทิ ยาและ จริยธรรมในการประกอบวิชาชีพทางนิเทศศาสตร์ ในคร้ังน้ีหากมสี ่ิงบกพร่องไป ผจู้ ดั ทาขอรบั ไวพ้ จิ ารณาเพ่ือ ปรบั ปรุงในโอกาสตอ่ ไป นกั ศึกษาช้นั ปี ท่ี4 แขนงประชาสัมพนั ธ์และโฆษณา
สำรบัญ หน้ำ เรื่อง 1 1.การปรบั ใชจ้ ิตวิทยาและจริยธรรมในการประกอบวชิ าชีพทางนิเทศศาสตร์ 7 12 2.จิตวทิ ยากบั การปรบั ตวั 3.จิตวทิ ยาทางสังคม
1 กำรปรับใช้จติ วทิ ยำและจริยธรรมในกำรประกอบวชิ ำชีพทำงนเิ ทศศำสตร์ จิตวทิ ยาบคุ ลิกภาพและการปรบั ตวั เป็นการศึกษาเก่ียวกบั คุณลกั ษณะของบคุ คล ซ่ึงมคี วามสาคญั ในแง่ การทาความเขา้ ใจมนุษยท์ ้งั ในมติ ขิ องการเขา้ ใจตนเอง นาไปสู่การพฒั นาตนเองท้งั ในการดาเนินชวี ิตประจาวนั และการทางาน อกี ท้งั นาไปสู่การเรียนรู้ที่จะเขา้ ใจผูอ้ ่นื และปรบั ตวั ให้ขา้ กบั ผอู้ น่ื เพ่อื ดาเนินชีวิตไดอ้ ยา่ งมี ความสุขในสงั คม ในการมองเห็นภาพรวมต่างๆ ปัจจยั ส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั รวมถึงตนเองท่เี กี่ยวขอ้ งน้นั ลว้ นแต่ กอ่ ให้เกิด ลกั ษณะของแต่ละบุคคล และบคุ ลกิ ภาพท้งั ภายในและภายนอกรวมไปถงึ การปรบั ตวั ตามส่ิงแวดลอ้ ม ประสบการณท์ ี่พบเจอเพือ่ หาแนวทางในการพฒั นาตนเองและสามารถปรบั ตวั ไดด้ ีในสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆได้ อยา่ งเหมาะสม นกั จิตวิทยาคนสาคญั ของแนวคดิ กลมุ่ จิตวเิ คราะห์ คอื ซิกมนั ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นจิตแพทย์ แห่งกรุงเวยี นนา ฟรอยด์ (Freud) กลา่ ววา่ บคุ ลกิ ภาพประกอบดว้ ย จิตของมนุษยม์ โี ครงสร้างของจิต เป็น 3 ส่วน Id, Ego and Superego เป็นพลงั ผลกั ดนั ให้บุคคลมพี ฤติกรรมต่าง ๆ กนั จนกลายเป็นลกั ษณะของ บคุ คลจะทางานสมั พนั ธ์กนั ไม่แยกจากกนั อยา่ งเด็ดขาด อดิ (Id) หมายความถึง ความปรารถนาความตอ้ งการของมนุษย์ เป็นแหลง่ รวมพลงั งานทม่ี พี ลงั ตอ่ บคุ ลิกภาพมนุษย์ Id ประกอบดว้ ยทกุ ส่ิงท่ีไดร้ บั การถา่ ยทอดมาจากพนั ธุกรรมด้งั เดิม แรงกระตนุ้ ที่มนุษยม์ ีมา ต้งั แตแ่ รกเกิด จดั เป็นสญั ชาตญาณข้นั พ้นื ฐานของมนุษย์ ส่ิงเหลา่ น้ีรวมถงึ ความตอ้ งการของร่างกาย ความ ปรารถนาทางเพศ และแรงกระตนุ้ ความกา้ วร้าว ตามทรรศนะของ Freud พลงั ของ Id เป็นพลงั ระดบั จิตใตส้ านึก และทางานตามหลกั การแห่งความสุข (Principle of Pleasure) คือ มคี วามปรารถนาทจี่ ะเกิดข้นึ ในทนั ทีทนั ใด เพือ่ ให้ตอบสนองพงึ พอใจท้งั หมด นอกจากการทีเ่ ราจะมชี ีวติ ร่วมกบั ผอู้ ่นื แลว้ จาเป็นตอ้ งทาความเขา้ ใจความคิดคนอนื่ ว่า เขารู้สึกนิดคดิ อยา่ งไร ทาไมตอ้ งปฎิบตั ิเช่นน้นั อยา่ งเช่น พอ่ คา้ ตอ้ งการจูงใจให้คนซ้ือสินคา้ แพทยไ์ ม่เพียงแคร่ ักษาโรคภยั ไข้ เจ็บยงั ตอ้ งเกี่ยวขอ้ งกบั ตวั คนป่ วย อาจารยต์ อ้ งทาความเขา้ ใจลกู ศิษย์ สามีภรรยาตอ้ งปรบั ตวั เขา้ หากนั เพ่อื ใหช้ ีวิต ราบร่ืน นอกจากจะใชค้ วามรู้เร่ืองมนุษยเ์ พ่ือปฎิบตั ติ ่อคนทีอ่ ยใู่ กลช้ ิดแลว้ เรายงั หวงั ทจี่ ะตอ้ งใชค้ วามรู้เร่ือง มนุษยด์ ว้ ยกนั เพอ่ื แกไ้ ขปัญหาสงั คมในวงกวา้ งดว้ ยเช่น ในเร่ืองของอาชญากรรม การถอื ชนช้นั วรรณะการแบง่ เช้ือชาติผิวพรรณ ความขดั แยง้ ระหว่างประเทศ สงคราม การเมอื ง
2 แนวทางทสี่ อง การใชค้ วามปรารถนาทีต่ อ้ งการความสาเร็จ โดยผา่ นความปรารถนาทต่ี อ้ งการ ความสาเร็จ Id จะทาใหเ้ กิดจินตนาการทางความคดิ เป็นรูปวตั ถุ ซ่ึงจะทาใหเ้ กิดความพอใจ ตอ่ ความตอ้ งการน้นั และจะเป็นการช่วยลดความเครียดไดบ้ า้ ง ตามทรรศนะของ Freud ความฝันกเ็ ป็นแนวทางอยา่ งหน่ึง ซ่ึงเป็นการ แสดงออกของความปรารถนาท่ตี อ้ งการความสาเร็จ และจะทาใหเ้ กิดเป็นจิตสานึก (Conscious Mind) ความฝัน เป็นส่ิงที่มีความหมาย น้นั คือ คนที่นอนหลบั มคี วามสามารถจาเร่ืองทตี่ นปรารถนาจากจิตใตส้ านึกที่ปรากฏใน ความฝันไดก้ จ็ ะมคี วามรู้สึกเกิดความกงั วลใจ ในกรณีทฝี่ ันร้าย และบางทีก็ตอ้ งต่นื ข้ึนในเวลากลางคนื ดงั น้นั ความฝันที่เป็นความจริงก็จะถกู ปิ ดบงั ไว้ Freud พบวา่ บางคนรู้จกั ใช้สัญลกั ษณท์ ค่ี ลา้ ยกนั สาหรบั ความฝันทถ่ี กู ปกปิ ดไวน้ ้นั คอื บุคคลจะตอ้ งมีความเขา้ ใจถึงสัญลกั ษณต์ า่ ง ๆ ซ่ึงใชแ้ ทนความฝันก่อนจึงจะสามารถแปล ความหมายหรือทานายความฝันทเ่ี กิดจากจิตใตส้ านึกได้ อโี ก้ (Ego) เป็นระดบั จิตสานึกบางส่วน ทาหนา้ ท่ตี ามหลกั การแห่งความจริง (Reality Principle) เพ่อื ทา ใหเ้ กิดความพอใจตอ่ ความตอ้ งการของ Id เช่น ถา้ บคุ คลมคี วามหิว Ego จะช่วยทาใหแ้ ตล่ ะบคุ คลรู้จกั แสวงหา อาหารมาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เพอ่ื ช่วยลดความเครียดทเ่ี กิดข้นึ จากความหิวมาจาก Id ถา้ ปราศจาก Ego อิดจะตอ้ ง แสวงหาอาหาร หรือวตั ถุอน่ื เพื่อตอบสนองความพอใจต่อความตอ้ งการน้นั Ego เป็นส่วนทม่ี คี วามสาคญั ของบุคลกิ ภาพ ทาหนา้ ทตี่ ดั สินให้สัญชาตญาณเกิดความรู้สึกพอใจ ใช้ สาหรับพิจารณาการตดั สินใจและอาศยั หลกั การที่เหมาะสม รวมท้งั ความมีเหตผุ ลจนสามารถระลกึ นึกถึง ประสบการณ์ทีผ่ า่ นมาเป็นส่วนช่วยช้ีนาพฤติกรรมใหไ้ ดร้ ับความสุข หรือความพงึ พอใจสูงสุด และขจดั ความ เจบ็ ปวดใหม้ นี อ้ ยที่สุด โดยรู้จกั เลือกแนวทางทีเ่ หมาะสมทสี่ ุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระยะยาว ตวั อยา่ งเช่น Ego อาจจะไม่ยอมให้พนกั งานคนหน่ึงแสดงความกา้ วร้าวตอ่ หวั หนา้ งานโดยตรง (ซ่ึง Id มคี วามรกั และชอบทจ่ี ะกระทาเช่นน้นั ) เพราะว่าเป็นทท่ี ราบดีแลว้ วา่ การกระทาเช่นน้ี อาจจะทาให้หัวหนา้ งานกระทาการ นอกเหนืออานาจ และมกี ารแทรกแซงซ่ึงมีผลต่อการพจิ ารณาประเมนิ ผลงานของตนเองในอนาคตได้ ซูเปอร์อโี ก้ (Superego) เป็นระดบั จิตท่ีอยใู่ นจิตสานึกเป็นบางส่วน มีหนา้ ทค่ี วบคุมการแสวงหา ความสุขของ Id จากแรงกระตนุ้ Super ego ยอมให้ Id แสวงหาความสุขภายใตเ้ ง่อื นไขที่แน่นอน Super ego เป็น เรื่องเก่ียวกบั ศีลธรรม มโนธรรม สามารถจะบอกไดว้ า่ การกระทาใดถูกหรือผิดและจะยอมใหแ้ รงกระตนุ้ ของ Id ไดร้ บั การตอบสนองเป็นความสุข ก็เฉพาะการกระทาท่ถี กู ตอ้ งทางดา้ นศลี ธรรม มโนธรรม ไม่ เหมือนกบั Ego ทย่ี นิ ยอมให้ Id กระทาได้ เมื่อเป็นสิ่งที่ปลอดภยั หรือมีความเป็นไปได้ Super ego เป็นสิ่งทเี่ กิด
3 จากการมปี ระสบการณ์ โดยไดร้ ับการถ่ายทอด ฝึกอบรม มาจากพอ่ แม่ จากการสอนทางดา้ นศลี ธรรมของ สถานศกึ ษา หรือจากการเรียนรู้เม่ืออยเู่ ป็นสมาชิกของสังคมท่เี ป็นมาตรฐานสาหรับยึดถอื และปฏบิ ตั ขิ องบุคคล ในสงั คม ระบบจิตมนุษยท์ ้งั 3 ระดบั น้ี ธรรมชาติของมนุษยใ์ นการทางานตามหนา้ ท่ขี องมนั ยอ่ มจะตอ้ งมกี าร ต่อสู้ การยอมรบั การปรับตวั กนั หรือมคี วามขดั แยง้ กนั เป็นสิ่งทเ่ี ป็นธรรมดา ถา้ ส่วนของจิตทเี่ ป็ น Id Ego Superego ส่วนใดเป็นฝ่ายชนะ บุคลิกภาพของบคุ คลก็จะแสดงพฤติกรรมออกไปตามแนวของจิตฝ่ายทช่ี นะ พฒั นาการ บคุ ลกิ ภาพตามแนวคิดของ Freud เช่ือวา่ บุคลกิ ภาพมกี ารพฒั นาตามลาดบั ข้นั ตอนเหมือน พฒั นาการดา้ นอน่ื ๆ เริ่มตน้ จากวยั ทารกจนกระทง่ั วยั ชรา หากในแต่ละช่วงวยั ไดร้ บั การตอบสนองทเ่ี หมาะสม พฒั นาการทางบคุ ลกิ ภาพกจ็ ะมกี ารพฒั นาเป็นไปตามปกติ แต่หากไมส่ ามารถตอบสนองไดอ้ ยา่ งเหมาะสมท้งั สภาวะท่มี ากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไป อนั เกิดข้ึนไดจ้ ากการทีพ่ อ่ แมด่ แู ลลูกไมเ่ พยี งพอหรือสร้างความคบั แคน้ ใจ ใหล้ ูกอยา่ งหนกั จะเกิดสภาวะทเ่ี รียกวา่ “การติดตรึง (Fixation)” ทาให้บุคคลน้นั แสวงหาความพอใจในร่างกาย ส่วนน้นั ๆ ต่อไปอกี เมอ่ื เป็นผูใ้ หญ่ จะส่งผลตอ่ บุคลกิ ภาพของบุคคล พฒั นาการทางบุคลิกภาพมี 5 ข้นั ดงั น้ี ข้นั ที่ 1 ข้นั ปาก (Oral Stage) พฒั นาการบคุ ลกิ ภาพของมนุษยใ์ นข้นั น้ีเร่ิมต้งั แตแ่ รกเกิดจนถึงหน่ึงขวบ ความสุขหรือความพึงพอใจของวยั ทารกอยทู่ ่ีการไดด้ ดู นมมารดา หากไดร้ ับการตอบสนองมากเกนิ ไปหรือนอ้ ย เกินไปกจ็ ะทาใหเ้ กิดการตรึงแน่นของพฤตกิ รรม (Fixation) เช่น ชอบดดู นิ้ว กดั เล็บ ปากจดั จะมีบคุ ลิกภาพท่ี ยอมตามผูอ้ ื่น คอยพ่งึ พาอาศยั บคุ คลอนื่ ไมม่ คี วามเป็นตวั ของตวั เอง ไม่มคี วามมน่ั ใจ มกั จะมองโลกในแงด่ ีหรือ ร้ายจนเกินไป บุคลกิ ภาพในการชอบรับเกิดจากการถูกเอาใจมากเกินไป เรียกว่า The Oral receptive Character ทาให้กลายเป็นการพ่งึ พาผอู้ นื่ ในการหาความสุข ข้นั ท่ี 2 ข้นั ทวารหนกั (Anal Stage) อยใู่ นระยะ 2 –3 ขวบ ความสุขที่ไดร้ ับจากทางปากจะเปลีย่ นมาเป็น บริเวณขบั ถ่าย เด็กเริ่มพฒั นาความพร้อมทางกลา้ มเน้ือขบั ถ่ายใหแ้ ข็งแรงข้ึน ปัญหาเรื่องการฝึกขบั ถา่ ย ถา้ ครอบครวั มกี ารเขม้ งวดกวดขนั มากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไปอาจกอ่ ใหเ้ กิดความวิตกกงั วล ส่งผลให้เป็นคนเจา้ ระเบยี บเกี่ยวกบั การรักษาความสะอาดของร่างกาย ละเอยี ดละออ หรือเป็นไปในทศิ ทางตรงกนั ขา้ มคือ ไม่มี ระเบยี บ ทาความสกปรกและจะมีปฏิกิริยาท่ตี ่อตา้ นสังคม ขดั ขนื ด้ือดึง ตระหน่ีถเี่ หนียว หรือมีบคุ ลิกภาพแบบ เผดจ็ การ ตอ้ งการมีอานาจมาก ใจแคบ มอี คติ
4 ข้นั ที่ 3 ข้นั อวยั วะเพศ (Phallic Stage) อยใู่ นระยะ 3 – 6 ขวบ ความสุขจะเล่อื นจากอวยั วะขบั ถ่ายมา เป็นอวยั วะเพศ เด็กตอ้ งการความใกลช้ ิดจากพ่อแม่หรือคนเล้ยี งดู เพื่อเป็นแบบในการปรบั ตวั เด็กชายและ เดก็ หญิงจะเริ่มสนใจอวยั วะเพศของตนเองมากข้นึ มีความอยากรูอ้ ยากเห็นเรื่องความแตกต่างทางเพศทางดา้ น กายวภิ าค เดก็ ผชู้ ายมปี มเอ็ดดิปุส (Oedipus Complex) เด็กหญิงมีปมอเี ล็คตรา (Electra Complex) ข้นั ที่ 4 ข้นั แอบแฝง (Latency Stage) อยูใ่ นระยะ 6 – 12 ขวบ เป็นระยะกอ่ นท่จี ะพฒั นาถงึ วยั หนุ่ม สาว การใหค้ วามสาคญั กบั ความรู้สึกทางเพศไดล้ ดลง ความสนใจทางเพศไมป่ รากฎออกมาให้เห็นอยา่ งเดน่ ชดั เดก็ มกั จะร่วมกล่มุ ดาเนินกิจกรรมที่เหมาะสมกบั เพศของตนเอง เช่น เดก็ ชายมกั เลน่ ฟุตบอลหรือจบั กลุม่ กบั เด็กชาย ส่วนเดก็ หญิงกจ็ ะเล่นขายของหรือจบั กลมุ่ กบั เดก็ หญงิ วยั น้ีจะกระทาในสิ่งท่สี ังคมยอมรับตามเพศของ ตน และเร่ิมใชค้ วามคดิ อยา่ งมเี หตุผล ข้นั ท่ี 5 ข้นั ความสนใจและพงึ พอใจทางเพศ (Genital Stage) อยใู่ นระยะ 12 –15 ขวบ เป็นระยะ หนุ่มสาว เริ่มมีความสนใจในเพศตรงขา้ ม เป็นระยะพฒั นาเขา้ สู่วยั ผใู้ หญ่ ถา้ บคุ คลมีพฒั นาการมาถึงข้นั ที่ 5 และมีสุขภาพจิตดี มลี กั ษณะสาคญั 2 ประการ คอื 1.สามารถรกั ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง มคี วามเอ้ือเฟ้ื อเผอ่ื แผ่ ใกลช้ ิดสนิทสนม เช่ือถือ ไวว้ างใจ พึงพอใจในความสุข ของบคุ คลท่ตี นรกั รวมท้งั ความรกั ในเรื่องทางเพศดว้ ย 2. สามารถทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เตม็ ความสามารถและศกั ยภาพของตน ทาใหช้ ีวิตมีคณุ คา่ มี ความหมายและมีความหวงั เรียนรู้ พฤตกิ รรม จุดเด่น จดุ อ่อนของบุคลิกภำพในแต่ละ Generation การแบง่ คนจากยคุ สมยั ทค่ี นๆ น้นั เกิดเป็นรุ่นๆ ว่าดว้ ยสภาพแวดลอ้ มและสถานการณ์ท่คี นแตล่ ะยคุ เผชิญทาใหผ้ ูค้ นทเ่ี กิดและเตบิ โตข้ึนในแต่ละช่วงเวลามลี กั ษณะนิสัยและทศั นคตทิ ตี่ า่ งออกไปดงั น้ี 1. Lost Generation คือ คนทเี่ กิดช่วง พ.ศ. 2426-2443 ซ่ึงเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณป์ ระวตั ศิ าสตร์โลก สาคญั ซ่ึงแน่นอนว่าในปัจจบุ นั คนกล่มุ น้ีไมม่ ีชีวติ หลงเหลืออยแู่ ลว้
5 2. Greatest Generation หรือ G.I. Generation คอื คนท่ีเกิดในช่วงพ.ศ. 2444-2467 มกี ารทาสงคราม และตอ่ สู้ มีแบบแผนปฏิบตั ิไปในทศิ ทางเดียวกนั ความเชื่อ ความคดิ ต่างๆ มคี วามเป็นการทางการค่อนขา้ งสูง ใส่สูท ผกู ไทดอ์ อกจากบา้ น สนใจสงั คมส่วนรวม 3. Silent Generation คือ คนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2468-2488 ช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 คนส่วนใหญ่จึง ตอ้ งตายในสนามรบ ประชากรในยคุ น้ีมไี ม่มากเทา่ ยคุ อ่นื ๆ ส่งผลให้มชี ีวิตความเป็นอยยู่ ากลาบาก เศรษฐกิจ ตกต่า เป็นยคุ ท่ผี หู้ ญิงเร่ิมออกมาทางานนอกบา้ น ภายหลงั เศรษฐกิจเร่ิมฟ้ื นตวั คนในรุ่นน้ีจึงมชี ่องทางในการ สร้างรายได้ ทาธุรกิจของตวั เองกนั มากข้นึ นอกจากน้ีคนเจนน้ียงั มีบทบาทในการพฒั นาเทคโนโลยีตา่ งๆ ถอื เป็นรากฐานทีส่ าคญั ให้ไดต้ อ่ ยอดจนมาถงึ ทกุ วนั น้ี 4. Baby Boomer Generation หรือ Gen B คอื คนท่เี กิดในช่วง พ.ศ. 2489 – 2507 สิ้นสุดสงครามโลก คร้ังท่ี 2 เป็นยคุ ทบี่ า้ นเมอื งสงบ เร่งกลบั มาฟ้ืนฟูให้ประเทศแข็งแกร่งอกี คร้ังเน่ืองจากไดส้ ูญเสียจานวน ประชากรไปมากมายจากการทาสงคราม คนในยคุ น้ีจึงมีคา่ นิยม มีลกู มีหลานเยอะๆ เพือ่ เพ่มิ จานวนแรงงานมา ช่วยกนั พฒั นาประเทศนน่ั เอง ปัจจุบนั คนในยคุ น้ีท่ียงั อยจู่ ะมีอายปุ ระมาณ 55 ข้นึ ไป ลกั ษณะนิสยั จะเป็นคน จริงจงั เคร่งครัดเรื่องขนมธรรมเนียมประเพณี ชีวติ ท่มุ เทใหก้ บั การทางาน 5. Generation X หรือ Gen-X คอื คนทเ่ี กิดในช่วง พ.ศ. 2508-2522 เรียกอกี อยา่ งวา่ “ยบั ป้ี ” (Yuppie) ยอ่ มาจาก Young Urban Professionals หมายถึงพวกท่ีเกิดมาในยคุ มง่ั คงั่ ใชช้ ีวติ อยา่ งสุขสบาย เติบโตมากบั การ พฒั นาของวิดีโอเกม, คอมพิวเตอร์, สไตลเ์ พลงแบบฮิปฮอป และอาจทนั ดูทีวีจอขาวดา สาหรับในยคุ น้ีเป็นยคุ ท่ี มีการใหค้ วบคมุ อตั ราการเกิดของประชากร เน่ืองมาจาก ยคุ เบบ้ีบมู เมอร์ส่งผลให้มีเด็กเกิดมากเกินไป ส่งผลให้มี ปัญหาตามมาก็คอื ในเรื่องของทรัพยากรทีม่ อี ยนู่ ้นั ไม่เพยี งพอตอ่ จานวนประชากร เมอื่ เป็นเช่นน้ี ประชาชนจึง กลบั มานง่ั คิดว่า หากไมค่ วบคมุ อตั ราการเกิดไว้ สุดทา้ ยแลว้ คนท้งั โลกก็จะขาดแคลนอาหาร ยกตวั อยา่ งเช่น ใน ประเทศจีน มกี ารรณรงคใ์ หค้ นมลี ูกไดเ้ พียง 1 คนเท่าน้นั ปัจจบุ นั คนยคุ Gen-X เป็นคนวยั ทางาน มีอายตุ ้งั แต่ 40 ปี ข้นึ ไป พฤตกิ รรม ลกั ษณะนิสัยของคนกลุม่ น้ี ท่ีเด่นชดั คอื ชอบอะไรง่ายๆ ไม่ตอ้ งเป็นทางการ มีแนวคดิ สร้างความสมดลุ ในเร่ืองงาน และครอบครวั เป็นคน ทม่ี คี วามยดื หยนุ่ ในการปรบั ตวั กบั วฒั นธรรมท่เี ปลีย่ นไป อยา่ งเช่นมองว่าการอยกู่ อ่ นแตง่ หรือการหยา่ ร้างก็เป็น เรื่องปกติ เช่นเดียวกบั เร่ืองเพศที่ 3 ซ่ึงต่างจากกล่มุ เบบ้บี ูมเมอร์ทมี่ องเร่ืองพวกน้ีเป็นเร่ืองผดิ จารีตประเพณี
6 6. Generation Y หรือ Gen-Y เรียกอีกอย่ำงว่ำ ‘Millennials’ คอื คนทเี่ กิดในช่วง พ.ศ. 2523-2540 คน ในยคุ น้ีเตบิ โตมาพร้อมกบั เทคโนโลยี digital เปิ ดรับวฒั นธรรมต่างชาติเป็นเร่ืองปกตธิ รรมดา มเี ทคโนโลยี พกพาใชใ้ นการตดิ ตอ่ สื่อสาร เศรษฐกิจกาลงั เตบิ โต และเฟ่ืองฟเู ป็นอยา่ งมาก มีโอกาสทางการศึกษาท่ดี ี มี แนวคดิ เป็นตวั ของตวั เอง ทาในสิ่งท่ีตวั เองชอบ และปฏเิ สธส่ิงท่ีตวั เองไม่ชอบ 7. Generation Z หรือ Gen-Zคนท่ีเกิดหลงั พ.ศ. 2540 ข้นึ ไป เดก็ รุ่นน้ีเกิดมาจากพอ่ แมร่ ุ่นใหม่ อยา่ ง Gen X เป็นเด็กรุ่นใหม่ท่เี กิดมาพร้อมกบั สิ่งอานวยความสะดวกรอบดา้ น เรียนรู้รูปแบบการดาเนินชีวติ ใน สังคมแบบ Digital ดาเนินชีวิตแบบมีการติดต่อสื่อสารไร้สาย และส่ือบนั เทิงตา่ งๆ อยา่ ง DVD, WWW, สมาร์ท โฟน, YouTube มาจากพ่อแม่ 8. Gen-Cกลมุ่ สุดทา้ ยน้ี เกิดจากคนกลมุ่ Baby Boomer และ Gen-X ทป่ี รับเปลีย่ นพฤตกิ รรมของตนเอง ให้มาสนใจเรื่องเทคโนโลยมี ากข้นึ ซ่ึงจริงๆ ดว้ ยสังคมน้นั เปลี่ยนไป จึงตอ้ งปรับตวั ตามให้ทนั โลก ทกุ หน่วยของสังคมไมว่ ่าจะเป็นครอบครวั หรือสังคมการทางาน จะเห็นไดว้ า่ มีบุคคลในทกุ ๆ generation ที่ มคี วามแตกตา่ งและตอ้ งมีความสมั พนั ธ์เก่ียวขอ้ งกนั เน่ืองจากแตล่ ะ generation จะมีบุคลกิ ภาพเป็นไปตามยคุ สมยั อนั เนื่องมากจากการหลอ่ หลอมของสภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจ การศึกษา ที่เปลีย่ นแปลงไป หากทุกคน เขา้ ใจถึงลกั ษณะนิสยั และการแสดงออกท่เี ป็นลกั ษณะเฉพาะ จะทาใหเ้ กิดการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั คนแต่ละยคุ ได้ อยา่ งเหมาะสม และอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมคี วามสุข เอกสำรอ้ำงอิง เทยี นทพิ ย์ เดียวก่ี.(2559).จริยธรรมและจรรยาบรรณสื่อในการนาเสนอขา่ วในยคุ ดิจิตอล.วารสารการสื่อสารและ การจัดการนิด้า 2(2),125-140 Thai MOOC.(2563).จิตวิทยาบุคลิกภาพและการปรับตวั ทกั ษะชีวิตและการพฒั นาตนเอง | Personality Psychology and Adjustment.สืบคน้ เมอื่ 18กนั ยายน2564,จาก https://lms.thaimooc.org/courses/course- v1:PIM+PIM001+2019/course/
7 จติ วทิ ยำกบั กำรปรับตวั ในยคุ ปัจจุบนั มกี ารสื่อสารทรี่ วดเร็วและทนั สมยั การส่งตอ่ ขอ้ มลู หรือการสื่อสารน้นั จึงเป็นไปอยา่ งง่ายใน พริบตาเดียวการนาเอาจิตวทิ ยามาปรบั ใชใ้ นการเขา้ ใจสถานการณ์ท่ตี อ้ งการจะส่ือไดน้ ้นั คอื การทาความเขา้ ใจ มนุษยป์ ัจจยั สิ่งแวดลอ้ มรอบตวั รวมถึงตนเองท่ีเกี่ยวขอ้ ง ลว้ นแต่ก่อใหเ้ กิด ลกั ษณะของแต่ละบคุ คล และ บคุ ลกิ ภาพท้งั ภายในและภายนอกรวมไปถึงการปรบั ตวั ตามประสบการณ์และสิ่งแวดลอ้ ม โดยการทาความ เขา้ ใจเบ้อื งตน้ จะทาให้เราทราบถึงลกั ษณะตวั ตนของมนุษยแ์ ต่ละคนอยา่ งเขา้ ใจถึงความแตกตา่ งของพฤติกรรม การแสดงออกที่มตี อ่ เหตกุ ารณต์ า่ งๆท่ีมีปฎิกิริยาทตี่ า่ งกนั ออกไป รวมไปถึงการรับผิดชอบ ยอมรับฟังความ คดิ เห็นของผอู้ นื่ ความมีเหตุมผี ล การทางานร่วมกบั อาชีพในอนาคตไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ ธรรมชาติของมนุษยส์ ามารถจาแนกดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม เพศและสตปิ ัญญาองคป์ ระกอบของแตล่ ะ บุคคลจึงแตกตา่ งกนั ออกไป เช่น พนั ธุกรรม ระบบประสาท สิ่งแวดลอ้ ม พฒั นาการในวยั ตา่ งๆ สตปิ ัญญา การ คดิ วิเคราะห์ พฒั นาการดา้ นจริยธรรม การเปลีย่ นแปลงการเรียนรู้ของพฤตกิ รรมคอ่ นขา้ งถาวรน้นั มาจาก ประสบการณท์ ่เี รียนรู้ ท้งั ในดา้ นทฤษฎีพฤตกิ รรมท่ีแสดงออก ทกั ษะในดา้ นการคดิ วเิ คราะห์ การหาความรู้ การ ลงมือปฎิบตั จิ ริง สภาพแวดลอ้ มในดา้ นร่างกายและจิตใจและไดร้ ับการประเมนิ ผลตามสภาพความเป็นจริง อยา่ งต่อเน่ือง ในการประกอบวิชาชีพในอนาคตลว้ นแตต่ อ้ งปรับเปล่ยี นมไี หวพริบ ทีจ่ ะแกไ้ ขสถานการณ์หรือ เขา้ ใจมนุษยใ์ นข้นั พ้นื ฐานและสามารถนาความรู้ทีไ่ ดจ้ ากการทาความเขา้ ใจในหลกั จิตวิทยาเบ้ืองตน้ น้นั มาปรบั ใชไ้ ดใ้ นสาขาอาชีพต่างๆซ่ึงในการประกอบอาชีพในสาขานิเทศศาสตร์น้นั ลว้ นแตต่ อ้ งทาความเขา้ ใจตนเอง การ ส่ือสารแต่ละกลมุ่ เป้าหมายน้นั เป็นสิ่งสาคญั นอกจากปัจจยั ภายนอกทเ่ี ราจะตอ้ งทาความเขา้ ใจของแตล่ ะ กลุ่มเป้าหมายแลว้ ในการสร้างงาน การขายงาน ปัจจยั ภายในความตอ้ งการของกลมุ่ ลกู คา้ หรือ ความตา่ งของแต่ ละงานทเ่ี ราจะตอ้ งนาเสนอน้นั ลว้ นตอ้ งศึกษา เกบ็ ตวั อยา่ ง การทาวิจยั เพอื่ เขา้ ใจกลมุ่ เป้าหมายท่ตี อ้ งการไดอ้ ยา่ ง แทจ้ ริง และสามารถคดิ วเิ คราะห์วางแผนของงานแตล่ ะงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายได้ การประกอบวชิ าชีพทางนิเทศศาตร์เป็นการทาอาชีพทต่ี อ้ งพบปะผคู้ นหลากหลายบคุ ลิกเจตคตทิ ่มี ตี อ่ สาย อาชีพทางนิเทศศาตร์น้นั เป็นศาสตร์ท่ีนาเอาความรู้จากการเรียนจิตวทิ ยามาทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั บุคคล องคก์ ร สาธารณะ ประสบการณ์และสิ่งรอบตวั จะทาใหเ้ กิดการหล่อหลอมพฤติกรรมการแสดงออกการพฒั นาศกั ยภาพ ท้งั ตนเองและผอู้ ื่นไดโ้ ดยเร่ิมจากกการเรียนรู้และวถิ ีแกไ้ ขปัญหาอยา่ งมไี หวพริบจากประสบการณ์และ สิ่งแวดลอ้ มท่ีเจอมาประยกุ ษใ์ ชใ้ นการทางาน และสร้างความศรทั ธาทาให้เกิดภาพลกั ษณ์ทนี่ ่าเช่ือถือไดใ้ น
8 อนาคต กอ่ นจะทาความเขา้ ใจจริยธรรม กต็ อ้ งเขา้ ใจบทบาทหนา้ ที่ จริยธรรมถือเป็นความรบั ผิดชอบ จิตสานึก พจิ ารณาถงึ ผลกระทบที่จะเกิดข้นึ ซ่ึงผทู้ ี่จะประกอบอาชีพทางนิเทศศาสตร์น้นั ตอ้ งอยใู่ นกรอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการปฏิบตั ิงาน ไดเ้ ขา้ ใจ บทบาทหนา้ ที่และคานึงถึงความรบั ผดิ ชอบหรือผลกระทบที่ตามมา คาว่าจริยธรรม มาจากรากของคาวา่ จริยศาสตร์ เป็นคาท่ี พลตรีศาสตราจารย์ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรม หม่ืนนราธิปพงศป์ ระพนั ธ์ ทรงบญั ญตั ขิ ้ึนเป็นคร้ังแรก จริยธรรม หมายถึง ความเช่ือคา่ นิยม และหลกั ศิลธรรม ซ่ึงแต่ละสงั คมกาหนดข้นึ เพอื่ ใชใ้ นการตดั สิน สิ่งท่ีถูกหรือผดิ สิ่งใดควรทา สิ่งใดไม่ควรทา โดยแนวทางการ ปฎิบตั ขิ องบุคคลในสาขาอาชีพตา่ งๆโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ สาขาในนิเทศศาสตร์ หรือสื่อมวลชนสังคมเรียกร้องให้มี ความรบั ผดิ ชอบในเชิงจริยธรรม และมีประเดน็ ในการแกไ้ ขปัญหาหรือรบั ผิดชอบในดา้ นของจริยธรรมอยเู่ สมอ ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยีในยคุ ปัจจบุ นั เขา้ มาเปลย่ี นแปลงบทบาทและการนาเสนอในสื่อตา่ งๆการ ทปี่ ระกอบวชิ าชีพทางนิเทศนศ์ าสตร์ ทาให้มคี วามหลากหลายแขนง ในการประกอบอาชีพทางนิเทศศาสตร์ ไม่ ว่าจะเป็น นกั ประชาสัมพนั ธ์ ส่ือมวลชน นกั ข่าว สื่อโซเชียลมเี ดียหรือแมแ้ ตบ่ ริษทั ผลติ โฆษณาก็ลว้ นแตต่ อ้ ง ระมดั ระวงั ในการนาเสนอขา่ วสาร หรือขอ้ ความ งานโฆษณาทร่ี อบคอบ ไมก่ อ่ ใหเ้ กิดผลกระทบท่ีตามมา การ นาเสนอขอ้ มูลไม่รอบคอบจะกอ่ ให้เกิดประเด็นปัญหา ส่งผลกระทบไปวงกวา้ งหรือสาธารณะชน ซ่ึงจริยธรรม ในการประกอบวิชาชีพน้นั ถือว่าเป็นจิตสานึกในความรับผดิ ชอบต่อสงั คม ซ่ึงอยภู่ ายใตก้ ารดูแลขององคก์ รที่ บคุ คลประกอบวชิ าชีพอยู่ จริยธรรมมีพ้ืนฐานทางดา้ นปรัชญาทวี่ า่ ดว้ ยการตดั สินใจของมนุษยท์ ีเ่ ลอื กจะทา พฤตกิ รรมที่ผา่ นการคดิ ในเชิงศิลธรรมหรือปรชั ญาท่ีเลอื กจะทาหรือไมก่ ไ็ ด้ การปฏบิ ตั ติ ่อสงั คมเพือ่ นมนุษย์ ดว้ ยกนั เป็นสิ่งท่ีเราควรทาเพอ่ื ให้สังคมดีข้ึน จริยธรรมใครจะปฎิบตั หิ รือไมก่ ไ็ ดแ้ ตกตา่ งจากกฏหมายทใี่ ครไม่ ทาก็จะมีบทลงโทษ ลกั ษณะของบุคคลที่มีจริยธรรม มคี ณุ ลกั ษณะดงั น้ี 1.เป็นผูท้ ี่เพียรพยายามในการทาความดี ละอายตอ่ การทาชวั่ 2.เป็นผทู้ ม่ี คี วามซ่ือสัตยส์ ุจริต ยตุ ิธรรม และมเี มตตา 3.เป็นผทู้ ี่มีสตปิ ัญญา รู้ตวั อยู่เสมอ ไมป่ ระมาท 4.เป็นผูใ้ ฝ่ หาความรู้ ความสามรถในการประกอบวชิ าชีพ เพือ่ ความมน่ั คง 5.เป็นบรรทดั ฐานทางสงั คมสาหรับการพฒั นา
9 จะเห็นไดว้ ่าจริยธรรมเป็นสิ่งรอบตวั ใชเ้ พื่อการพฒั นาในหลายๆดา้ นไมว่ า่ จะเป็น การศึกษาพฒั นาตน องคก์ ร ประเทศชาติ ให้มสี งั คมและความเป็นอยทู่ ดี่ ีข้นึ การปลกู ฝังแนวคิดทศั นคติทดี่ ีเป็นการสร้างบรรยากาศ หรือสภาวะการทางาน การพฒั นาจิตใจ ส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั ทาใหม้ ีความสัมพนั ธ์ไปในทิศทางทด่ี ไี ดท้ ้งั ภายใน และภายนอกองคก์ ร จริยธรรมวชิ ำชีพเชิงกำรปลูกฝังทำงกำรศึกษำ ในส่วนของสถาบนั ในการศกึ ษา หลกั สูตรดา้ นสายงานนิเทศศาสตร์ มีการเรียนการสอนท่ีเกียวขอ้ งกบั ความสาคญั ในของจริยธรรมวิชาชีพ การสร้างคนรุ่นใหมๆ่ น้นั นอกจากจะตอ้ งมกี ารเรียนการสอนในหลกั สูตร เพ่อื ตอกย้าให้เห็นถงึ ความสาคญั ในการประกอบอาชีพในสายงานในภายภาคหนา้ ยงั สามารถใชส้ ื่อต่างๆเพ่อื เป็นบทเรียนในการเรียนการสอน ทกั ษะการใชส้ ่ือน้นั มปี ระเดน็ ในกรณีศกึ ษา ไม่วา่ จะเป็น การส่ือสารระหวา่ ง บคุ คล การนาเสนอขา่ ว วิธีการเขียนข่าว ซ่ึงจะเห็นไดว้ ่าปัจจุบนั น้นั การเขา้ ถงึ ข่าวสารน้นั สะดวกรวดเร็ว ขอ้ มูล ยงั ขาดความน่าเช่ือถอื เนื่องจากการเผยแพร่น้นั เป็ นไปอยา่ งรวดเร็วทนั เหตุการณ์อาจขาดการกรองของขอ้ มลู และอาจมีความผิดพลาดหรือผลกระทบทตี่ ามมาโดยไม่ไดค้ านึงถงึ ผลกระทบ ไมค่ รบถว้ นหรือมกี ารบดิ เบอื น และทา้ ยท่สี ุดสังคมกอ็ าจนามาเป็นประเดน็ ปัญหาที่ถกเถยี งกนั และปัญหาก็จะเกิดข้ึนให้พบเห็นในกรณีศึกษา ในประเทศไทยมอี ตั ราการใชส้ ่ือสงั คมออนไลนเ์ พ่มิ มากย่ิงข้นึ องคก์ รข่าวหรือสื่อออนไลน์เติบโตอยา่ ง ต่อเนื่อง เน่ืองจากตอบสนองกบั ไลฟ์ สไตลข์ องผอู้ า่ นในยคุ ปัจจบุ นั เวบ็ ไซตไ์ ดร้ ับความนิยมเป็นอยา่ งมาก เน่ืองจากการนาเสนอที่รวดเร็วของขา่ ว ทนั ต่อกระแส ทนั เหตุการณ์ การแชร์และแบ่งปันในสงั คมออนไลน์ สามารถเขา้ ถึงผูค้ นไดห้ ลากหลายมากย่ิงข้ึน จากความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยีน้นั ส่งผลกระทบไดท้ ้งั ในเชิงบวก และเชิงลบตอ่ สังคมส่วนรวม การประกอบอาชีพดา้ นนิเทศศาสตร์ซ่ึงการส่ือสารไดเ้ ป็นกลไกลการขบั เคลอื่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งไม่หยดุ ย้งั เน่ืองจากการส่ือสารเป็นท้งั วิธีการ และเครื่องมอื ทีก่ ่อใหเ้ กิดปารเปลี่ยนแปลงอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ท้งั ระหว่าง บุคคล หรือระหวา่ งองคก์ ร และตอ่ สงั คมส่วนรวม เหตนุ ้ีเองแนวคดิ ทางจริยธรรมของการส่ือสารจึงเป็นส่ิง สาคญั อยา่ งยิ่งที่นกั สื่อสาร หรือการเรียนหลกั สูตรนิเทศศาสตร์หรือแมแ้ ต่คนทวั่ โลกตอ้ งพึงระลึก ตระหนกั ถึง หลกั การปฎิบตั ถิ ึงหลกั การทางจริยธรรมมากข้ึน ยง่ิ เฉพาะในยคุ ของ สื่อดิจิทลั ในปัจจบุ นั ทไี่ ดร้ ับความนิยมเป็น อยา่ งมาก การปรบั ตวั โดยใชค้ วามรู้ทางจิตวทิ ยาหรือจริยธรรมจึงจาเป็นอยา่ งมากในยคุ ดิจิทลั
10 ในมุมมองของจริยธรรมในการประกอบอาชีพทางนิเทศศาสตร์ มองรูปแบบของปัญหาทางจริยธรรมทผ่ี า่ น มาจากการใชเ้ ครื่องมือส่ือสาร คอมพวิ เตอร์เกิดข้นึ ไดใ้ นหลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่การใชค้ อมพวิ เตอร์ ในการเขา้ เวบ็ ไซตข์ อ้ มูลภาพส่วนตวั ของบคุ คลมาเผยแพร่โดยไม่ไดร้ ับอนุญาต การขโมยขอ้ มูล นาไปแสวงหา ผลประโยชน์ หรือบิดเบยี นขอ้ มลู ขา่ วสาร การกล่าวเกินจริง สถาบนั ทางดา้ นจริยธรรมดา้ นคอมพิวเตอร์ ณ กรุงวอชิงตนั ดี.ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ไดใ้ ห้ หลกั 10ประการ (Computer ethics institute, 2016) เพอ่ื ใชใ้ นการอธิบายปรากฎการณข์ องวิกฤตทิ างจริยธรรม ทางคอมพวิ เตอร์ไว้ ดงั น้ี 1.ไมใ่ ชค้ อมพวิ เตอร์ทาร้ายหรือละเมดิ ผอู้ ืน่ 2.ตอ้ งไมร่ บกวนการทางานของผอู้ ื่น 3. ตอ้ งไมส่ อดแนมหรือแกไ้ ขเปิ ดดูแฟ้มงานของบคุ คลอน่ื 4. ตอ้ งไมน่ าคอมพวิ เตอร์ในการขโมยขอ้ มลู ข่าวสาร 5. ตอ้ งไมใ่ ชค้ อมพวิ เตอร์สร้างหลกั ฐานท่ีเป็นเท็จ 6. ตอ้ งไม่ดดั แปลงและคดั ลอกโปรแกรมของบุคคลอน่ื ทม่ี ลี ขิ สิทธ์ิโดยไมไ่ ดร้ บั อนุญาต 7. ตอ้ งใหม่ล่วงละเมดิ การใชท้ รพั ยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไมม่ สี ิทธ์ิ 8. ตอ้ งไมน่ าเอาผลงานของผอู้ นื่ มาแอบอา้ งว่าเป็นของตนเอง 9. ตอ้ งคานึงถึงส่ิงท่จี ะเกิดข้นึ กบั สังคมท่เี ป็นผลลพั ธต์ ิดตามมาจากการกระทา 10. ตอ้ งใชง้ านคอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบและการกติกามารยาทสงั คม จะเห็นไดว้ ่าหลกั การเหล่าน้ีผใู้ ชง้ านหรือบุคคลควรยดึ ถือเน่ืองจากสังคมออนไลนข์ าดการไตร่ตรอง ของขอ้ มลู ซ่ึงถา้ หากปัจจบุ นั ส่ือ องคก์ ร วิชาชีพทางนิเทศศาสตร์หรือแมก่ ระทง่ั ตวั บคุ คลเองหลกั ต่างๆได้ ยอ้ นกลบั มาใหค้ วามสนใจในประเดน็ ปัญหาเหลา่ น้ีก็จะเป็นสญั ญาณทดี่ ีในการแกไ้ ขปัญหาในระยะยาว กรอบจริยธรรม เป็นเครื่องมอื แพร่หลายในวิชาชีพทางนิเทศศาสตร์ โดยเฉพาะส่ือมวลชน ใชเ้ ป็นกรอบ และแนวทางการปฏิบตั เิ พื่อรักษามาตรฐานอาชีพ ซ่ึงมกั จะเป็นแค่แนวปฏิบตั ใิ ห้รู้วา่ ควรทาอะไร หรือไมค่ วรทา อะไร บทลงโทษน้นั ไม่มชี ดั เจน หลกั จริยธรรมดงั กลา่ วจึงเป็นบรรทดั ฐานของสังคมให้เป็นแอยา่ งเรียบร้อย ดารงอยใู่ นสังคมส่วนรวมร่วมกนั ของคนในสงั คมให้ตระหนกั ถึงคณุ คา่ เพอ่ื นมนุษยร์ ่วมกนั ตลอดไปจนถึงการ พฒั นาจิตสานึกทดี่ ีเคารพตอ่ จริยธรรมวชิ าชีพ กฎหมาย กฎระเบยี บ และจารีตอนั ดีงามของสมั คมไดใ้ นอนาคต
11 เอกสำรอ้ำงองิ จรวยพร ธรณินทร์.(2554).ความหมายและหลกั การของคุณธรรม ศลี ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และ ธรรมาภิบาล[เวบ็ ไซต์].สืบคน้ จาก http://www.charuaypontorranin.com/index.php?lay=show&ac ชุตสิ ันต์ เกิดวบิ ลู ยเ์ วช.(2558).นวัตกรรมสื่อดิจิทัลใหม่สาหรับนิเทศศาสตร์.วารสารนิเทศศาสตร์และนวตั กรรม นิดา้ ,2(2),55-57. ดรุณี หิรญั รักษ์ และคณะ.(2558).จริยธรรมสื่อ.กรุงเทพมหานคร : บริษทั จรัลสนิทวงศก์ ารพิมพจ์ ากดั . สุรชยั ช่อผกา.(2560).จริยธรรมส่ือสารมวลชน. กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง
12 จติ วิทยำทำงสังคม ปัจจบุ นั การดารงคช์ ีวิตร่วมกนั ในสงั คมน้นั เป็นยคุ ท่มี คี วามเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี ผูค้ นลว้ นมี อิทธิพลต่อสงั คมส่วนรวม ในส่วนของการช่วยเหลือ การติดต่อส่ือสาร การศึกษา ความชอบ ความพงึ พอใจ การ โฆษณาชวนเชื่อ การโนม้ นา้ วจิตใจจิตวทิ ยาทางสังคมจะเอ้ือประโยชนต์ อ่ ผูท้ ี่ทางานทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั บคุ คล เช่น วิชาชีพทางนิเทศศาสตร์ ไดร้ ู้จกั ธรรมชาตขิ องความคิด และพฤตกิ รรมของมนุษยไ์ ดอ้ ยา่ งลกึ ซ้ึง รวมถึงสร้าง เสริมความสามารถในพฒั นาพฤตกิ รรมทางสังคมของมนุษยเ์ พ่อื ใชใ้ นวชิ าชีพ การส่ือสารเป็นเคร่ืองมือสาคญั ที่มนุษยใ์ ชส้ าหรับการดาเนินชีวิต ท้งั ในอดีตปัจจบุ นั และอนาคตเพราะ มนุษยเ์ ป็นสัตวส์ ังคมอยรู่ ่วมกนั เป็นกลุ่ม มกี ารตดิ ตอ่ สมั พนั ธ์และพ่งึ พาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั และมปี ฏิกิริยาทาง สงั คมหรือกระบวนการเรียนรู้ถา่ ยทอดความรู้ความคิดภูมิปัญญาทางสงั คมจากบคุ คลหน่ึงไปสู่อกี บคุ คลหน่ึง เพอ่ื ใหร้ บั รู้เรื่องราวท่เี กิดข้นึ เกิดความเขา้ ใจร่วมกนั และนาไปสู่การปฏิบตั ิการตอบสนองในทศิ ทางท่ีพึง ประสงคใ์ นลาดบั ต่อไป การถา่ ยทอดเร่ืองราวดงั กล่าวที่เกิดข้ึนน้นั จะทาให้เกิดความเขา้ ใจร่วมกนั และนาไปสู่ การปฏบิ ตั กิ ารตอบสนองทไี่ ปในทิศทางเดียวกนั การถ่ายทอดเร่ืองราวที่มนุษยร์ บั รู้กนั น้นั มนุษยต์ อ้ งอาศยั การ สื่อสารเป็นสิ่งสาคญั และเครื่องมือท่ีมนุษยใ์ ชม้ าทกุ ยคุ ทุกสมยั กค็ อื ภาษาทางทีเ่ ป็น วจั นะภาษาและอววั จั นะภาษา ผสมผสานกบั เทคนิควิธีการคดิ และเทคโนโลยตี ่างๆในการสื่อสารมีวิวฒั นาการมาตามลาดบั จนกลายเป็นอีก สาขาหน่ึงท่เี รียกว่านิเทศศาสตร์ เม่ือการส่ือสารเป็นส่วนหน่ึงของความสาคญั ของมนุษยใ์ นฐานะเป็นสัตวส์ งั คมโดยมภี าษาเป็นเคร่ืองมอื ทม่ี นุษยท์ ุกคนตอ้ งใชใ้ นการสื่อสารการเรียนรู้ฝึกฝนและพฒั นาการในการใชภ้ าษาในการส่ือสารจึงเป็น ส่ิงจาเป็นโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งผูเ้ ป็นนกั ทีเ่ ทศน์ศาสตร์ที่ทางานเก่ียวกบั การสื่อสารเพ่อื ให้การสื่อสารเป็นไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ตามเป้าหมาย จิตวิทยาทางสงั คม เป็นการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์วา่ ผคู้ นคิดอยา่ งไรเก่ียวกบั บุคคลอ่ืนผคู้ นมี ความสัมพนั ธ์กบั ผอู้ ื่นอยา่ งไร และผอู้ ื่นมอี ทิ ธิพลตอ่ กนั อยา่ งไรบา้ ง ส่วนของการศกึ ษาเรื่อง ความเชื่อ เจตคติ จริยธรรม คา่ นิยม ความคดิ เห็น ภาพลกั ษณ์ ภาพในความคดิ การคาดคะเนหาสาเหตุ ปัญหาทางสังคมเพื่อเป็น แนวในการพฒั นาสงั คม พฒั นาในสายงานอาชีพทางนิเทศศาสตร์ให้ไปในทศิ ทางท่ีดีไดใ้ นอนาคต จริยธรรมในวชิ าชีพทางนิเทศศาสตร์ โดยยึดหลกั การเดียวกนั ในหลกั 3 ประการ คือ
13 1.ยดึ มน่ั ในหลกั ความจริง การยึดมน่ั ในหลกั ความจริงคนทาสื่อเพื่ออะไรการบนั เทงิ ตอ้ งอยใู่ นพ้นื ฐาน ของความจริงและสภาพการทเ่ี ป็นจริงในสังคมควรหลีกเล่ียงการนาเสนอเร่ืองราวหรือรายการทท่ี าใหผ้ ชู้ มเกิด ความเขา้ ใจคาดเคลอื่ นเลยหลงเช่ือไปในทศิ ทางที่ไร้เหตุผล 2. การยึดมน่ั ในหลกั ความงามรายการบนั เทงิ ราวงสร้างสรรคเ์ พ่ือยกระดบั จิตใจของผูค้ นในสงั คมต่อ การทารายการบนั เทงิ สามารถสร้างสรรคใ์ ชท้ นี่ านาการและเท็คนิคทกั ษะในกระบวนการผลติ รายการต่างๆได้ เป็นอยา่ งมากซ่ึงความสามารถเหลา่ น้ีช่วยนาเสนอรายการทท่ี าใหผ้ ชู้ มน้นั เกิดความสุขไปพร้อมพร้อมกบั การมี จิตใจท่ีดีงามร่วมไปกบั รายการจะทาใหส้ ังคมน้นั เกิดความสุขโดยมวลรวมร่วมกนั สมเป็นช่องทางการ สื่อสารมวลชน 3. การยึดมน่ั ในหลกั ความดีผูผ้ ลิตรายการบนั เทงิ ในช่องทางตา่ งๆจาเป็นอยา่ งย่ิงตอ้ งคานึงถงึ ผลกระทบ ของสื่อทจ่ี ะตามมาตอ้ งมคี วามระมดั ระวงั ไมใ่ ห้ผูบ้ ริโภคเกิดความเขา้ ใจผดิ เห็นผดิ เป็นชอบรวมถึงการยดึ หลกั ความดีทีม่ ีความเป็นสากลไม่ใช่ความดีของชาตหิ น่ึงหรือชนช้นั หน่ึงแต่ไปเหยยี บเยาะเยย้ ชนช้นั อ่ืนหรือชาติอ่นื เป็นการกาหนดจริยธรรม กรอบทางสงั คมทด่ี ารงไปในทิศทางเดียวกนั อยา่ งไรก็ตามขอ้ ปฏิบตั ิใน อาชีพทางนิเทศศาสตร์เป็นการส่ือสารทต่ี อ้ งมคี วามรบั ผิดชอบทางสงั คม สายงานอาชีพทางนิเทศศาสตร์น้นั ลว้ น แต่เกี่ยวขอ้ งกบั การส่ือสารเป็นส่วนใหญ่ ไมว่ า่ จะเป็นบคุ คล หรือองคก์ ร หรือส่ือมวลชน ในยคุ ปัจจบุ นั เป็นยคุ ของดิจิทลั ทก่ี ารส่ือสารรวดเร็วเพียงแค่ปลายเลบ็ มือ เหตกุ ารณป์ ระเด็นดงั กล่าวที่ส่ือสารน้นั ตอ้ งรายงานหรือ สื่อสารบนพ้นื ฐานของความเป็นจริงอยา่ งระเอยี ดรอบดา้ น และตรวจสอบอยา่ งรอบคอบ และร่วมกนั แสดงความ คดิ เห็นทางสงั คมอยา่ งเคารพ ยงิ่ เม่อื พจิ ารณาในบทบาทของสู่ยคุ ดิจิตอลที่ควรยึดถือในการสื่อสารสู่สาธารณะให้เราลกึ ซ้ึงและชดั เจน มากยิง่ ข้นึ จะพบวา่ ส่ือยคุ ใหมต่ อ้ งตระหนกั ถงึ ประเด็นและคณุ ลกั ษณะพ้นื ฐานทางจริยธรรมอยา่ งเป็นหวั ใจ สาคญั ในการปฏิบตั ิงานดา้ นการส่ือสารในยคุ ดิจิทลั ดงั น้ี 1.การสร้างสงั คมแห่งเหตุผลคือในยคุ ที่สื่อดิจิตอลทาหนา้ ทีก่ ากบั ทศิ ทางของสงั คมไมใ่ ห้ไปสู่หายนะ ตอ้ งกระทาไดโ้ ดยไมผ่ ลิตสารท่กี ระตนุ้ ให้เกิดบรรยากาศความขดั แยง้ ทางสงั คม ในทางตรงขา้ มส่ือสื่อ ตอ้ งสร้าง สังคมท่เี ป่ี ยมลน้ ดว้ ยความรู้และปัญญาสร้างผลงานทต่ี อบสนองตอ่ ประโยชนส์ ่วนรวมของสาธารณะชนเป็น หลกั เพอื่ จะไดม้ บี ทบาทในการผลกั ดนั ให้เกิดความเจริญเติบโตทางศลิ ธรรม จริยฃธรรมใหข้ ยายกวา้ งมากย่ิงข้ึน 2. การมศี รทั ธาตอ่ เสรีภาพและความรบั ผดิ ชอบสังคมส่วนรวมในยคุ ของนิตกิ รตอ้ งตระหนกั ถงึ บทบาท และคณุ คา่ ของความเป็นส่ือทไี่ มต่ อ้ งถกู ครอบงาจากอานาจอนั ไม่ชอบธรรมใดใดตลอดจนการรงั สรรคข์ ้ึนมา โดยสุจริตซ่ึงจะไม่เป็นการหลอกลวงให้คนในสังคมเขา้ ใจคาดเคลอ่ื นไปจากการสื่อสารและสามารถปฏเิ สธการ
14 มงุ่ แสวงหาผลประโยชนโ์ ดยใช้ช่องทางการสื่อสารของตนไดม้ อี สิ ระจากอานาจมืดและแนวโนม้ เชิงบวกในการ พฒั นา เพ่อื ประโยชนต์ ่อส่วนรวมมากยิ่งข้นึ 3. การเคารพต่อศกั ด์ิศรีความเป็นเพ่อื นมนุษยโ์ ดยพ้นื ฐานทวั่ ไปทางสากลทเ่ี คารพในศกั ด์ิศรีความเป็น มนุษยถ์ อื เป็นเรื่องทถี่ กู รับรองโดยกฎหมายอนั ชอบธรรมในรฐั ธรรมนูญเกือบทวั่ โลกซ่ึงนบั ว่าเป็ นเรื่องสาคญั อยา่ งยิง่ ท่ีมนุษยท์ ุกคนควรยึดถือเป็นแบบแผนในการดารงชีวิตร่วมกนั ในสังคมในแงน่ ้ีแลว้ สื่อเด็กยคุ digital จาเป็นที่ตอ้ งนาเอาประเดน็ ดงั กล่าวมาเป็นแนวทางในการสร้างนโยบายสีลทาจริยธรรมอนั ดีร่วมกนั ซ่ึงจะเป็น หลกั พ้ืนฐานให้บคุ คล ส่ือมวลชนหรือผูป้ ระกอบวิชาชีพทางนิเทศศาสตร์ปราณีตในการ เคารพศกั ด์ิศรีในการ เป็ นมนุษย์ จริยธรรมอนั ดีงามทส่ี ายวิชาชีพทางนิเทศศาสตร์ควรแก่การปฏิบตั ิไปในทศิ ทางเดียวกนั การสื่อสารน้นั จาเป็นอยา่ งมากท่จี ะคดิ วิเคราะหส์ ร้างบรรทดั ฐานมาตรฐานเดียวกนั ในวิชาชีพหรือส่งต่อขอ้ มูลทส่ี าคญั อยา่ ง ละเอียดและรอบคอบและเกิดผลกระทบต่อสาธารณะชนอยา่ งนอ้ ยทส่ี ุด เพ่อื พฒั นาความรู้สึกนึกคิด สร้างความ เคารพต่อตนเองและผอู้ นื่ รวมไปถงึ กฎหมายส่วนรวมของการอยรู่ ่วมกนั ในสังคมอกี ดว้ ย ในสายอาชีพทางนิเทศ ศาสตร์น้นั เป็นตวั แทนของการส่ือสาร สื่อมวลชน ที่เป็นตวั แทนของคนในทุกๆกล่ึมจะตอ้ งสื่อส่ือสาร นาเสนอ เป้าหมายและคุณคา่ ทีช่ ดั เจน สะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ ยคุ ตา่ งๆน้นั มีปัญหาทางจริยธรรมให้เห็นและมีแนวทางการ พฒั นาไดอ้ ยา่ งต่อเนื่องไมม่ ที ส่ี ิ้นสุด ยิ่งเป็นสายอาชีพทางนิเทศศาสตร์ผูป้ ฎิบตั งิ านในสิ่ใหม่ในยคุ ดิจิทลั ย่ิงตอ้ ง เขา้ ใจบทบาทหนา้ ท่ขี องนกั วิชาชีพ ยงั ตอ้ งศรทั ธาเคารพต่อหลกั จริยธรรมอนั ดีงามของสายอาชีพใหด้ ารงเพอื่ แก่ สาธารณะประโยชนเ์ ป็นส่ิงสาคญั ละกอ่ ให้เกิดความศรทั ธาในสายอาชีพสืบไป เอกสำรอ้ำงอิง ปรมะ สตะเวทนิ . (2546).หลักนิเทศศาสตร์พิมพ์ครั้งที่10.กรุงเทพมหานคร : ภาพพิมพ.์ ภากิตต์ิ ตรีสกลุ . (2554).หลกั นิเทศศาสตร์. พิมพค์ ร้ังที่7.กรุงเทพมหานคร : เฟิ รน์ขา้ หลวง พริ้นต้ิง แอนดพ์ บั ลิชช่ิง. สุทิติ ขตั ิยะ.(2556).กฎหมายและจริยธรรมสื่อสารมวลชน.กรุงเทพมหานค: หจกเปเปอร์เฮา้ ส์ จากดั
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: