Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความสำคัญและความหมายของการวัดประเมินผลทางการศึกษา

ความสำคัญและความหมายของการวัดประเมินผลทางการศึกษา

Published by phunsawat saengrung, 2020-01-16 10:50:22

Description: ความสำคัญและความหมายของการวัดประเมินผลทางการศึกษา

Search

Read the Text Version

องคป์ ระกอบสาคัญในการจัดการเรยี นรู้ จดุ มุง่ หมาย คอื จุดที่ต้องพยายามไปให้ถึงเป็นสิง่ ทห่ี วังไวใ้ นอนาคต เปน็ เครือ่ งบอกทิศทางใหผ้ ู้ทางานอยา่ ง หน่ึงพยายามไปให้ถงึ จุดน้ัน เปรยี บเสมอื นผู้กาหนดทิศทาง ดังน้ันจุดมุง่ หมาย ทางการศึกษาจึงเป็นการ กาหนดทศิ ทางของกจิ กรรมทางการศึกษาให้ไดด้ ังทีพ่ ึงประสงค์ไว้ การกาหนดจดุ มงุ่ หมายเป็นงานทมี่ ีความสาคญั เพราะจุดมงุ่ หมายท่กี าหนดข้นึ จะเห็นแนวทางในการ กาหนดเนือ้ หา การเลือกวธิ สี อน กจิ กรรมการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดผล จงึ ควร มีลกั ษณะ ที่ชดั เจนและเป็นไปได้ในเชงิ ปฏิบตั ิ สงิ่ ทส่ี าคญั อยตู่ รงทวี่ า่ ต้องรู้ใหแ้ นช่ ัดเสียตั้งแตต่ น้ ว่า วชิ านี้ บทน้ี จะตอ้ ง วัดอะไรบ้าง จะต้องวดั มากน้อยอย่างละเทา่ ไร และจะต้องวัดด้วยวิธีใด ซึ่งจัดว่าเปน็ ส่งิ แรกที่สาคัญทีส่ ดุ ของ กระบวนการวัดผล ดังน้นั การที่จะตอบคาถามดังกลา่ วน้ันได้ จงึ จาเป็นทจี่ ะต้องร้ถู งึ จุดมุ่งหมายของวิชา หรอื บทเรยี นนนั้ เสยี กอ่ นวา่ ต้องการใหเ้ กิดส่งิ ใดกบั ผเู้ รยี นบา้ ง จงึ จะสามารถทาการวดั ได้อย่างถกู ต้อง หาก พิจารณาจากกระบวนการสอนทีเ่ รียกว่า OLE จะประกอบด้วย 1) O = Objective = จุดมงุ่ หมาย 2) L = Learning Experience = การจัดประสบการณก์ ารเรยี นการสอน 3) E = Evaluation = การประเมนิ ผล ซง่ึ ทงั้ 3 สว่ นจะต่อเนื่องเปน็ วงจรการเรียนการสอน แสดงเปน็ วงจรไวด้ งั ภาพ จากวงจรการเรียนการสอน จะเหน็ ได้ว่าองค์ประกอบท้ัง 3 สว่ น มคี วามเกยี่ วข้องต่อเนื่องกันคอื 1. จุดมงุ่ หมาย (Objective) การเรยี นการสอนเพื่อใหผ้ เู้ รียนเกิดความเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม ตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ โดยเนน้ ท่เี ป้าหมายของการสอน ซง่ึ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมนีเ้ ปน็ พฤติกรรม ท้งั 3 ดา้ น ได้แก่ ด้านความรู้ความคิด (ด้านพทุ ธิพสิ ยั ) ด้านเจตคติ (ด้านจติ พสิ ัย) คือการไดเ้ หน็ คุณค่า เหน็ ความสาคญั และด้านทักษะ (ดา้ นทักษะพิสัย) คือการปฏบิ ตั ิไดถ้ ูกตอ้ งตามวัย ดงั นัน้ ในการสอนจึงต้องตั้งจดุ มุ่งหมายให้ผ้เู รยี นเกิดการพฒั นาท้งั 3 ดา้ น มใิ ช่เพียงด้านใดด้าน หนงึ่ เพียงดา้ นเดียว จึงจะถอื วา่ เป็นการสอนทส่ี มบรู ณ์ ตลอดจนมงุ่ ใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถนาประสบการณ์ใหม่ไป ใชไ้ ด้ การออกแบบการวัดประเมินและตดั สนิ ผลการเรยี น

2. การเรียนการสอน (Learning Experience) เปน็ กจิ กรรมทสี่ าคัญในกระบวนการทาง การศึกษา เพราะเป็นการนาหลกั สตู รไปใช้ปฏิบัติให้บรรลุจุดมงุ่ หมายท่ีไดก้ าหนดไว้ คุณภาพของการศกึ ษา จะดหี รือไมน่ น้ั การสอนเปน็ สาคัญซ่งึ จะทาหนา้ ท่ีพฒั นาและเสรมิ สรา้ งผู้เรียนใหเ้ กิด การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม และมีประสบการณ์การเรยี นรูเ้ พมิ่ ขนึ้ 3. การประเมินผล (Evaluation) เปน็ การตดิ ตามผลการจดั การเรยี นการสอนวา่ ผูเ้ รยี นบรรลผุ ล มากน้อยเพยี งใด ตามธรรมชาติของผู้เรียนแตล่ ะคนขึน้ อยู่กับการพัฒนาทางสติปัญญาและทางรา่ งกาย ซ่งึ มี ความแตกต่างกัน การประเมินผลการเรยี นจะเช่ือมโยงกับจดุ มุ่งหมายทางการศกึ ษาและวิธีการเรยี น การ สอน กล่าวคือ ผ้สู อนมกั จะต้งั ความหวงั ก่อนสอนว่าต้องการจะให้ผ้เู รยี นรอู้ ะไร เกดิ พฤตกิ รรมอะไร หรือทา อะไรไดบ้ ้าง ซงึ่ ความหวงั น้เี รียกวา่ จดุ มุ่งหมายทางการศกึ ษา ซึ่งมี 3 ดา้ น คือ พุทธพิ ิสยั จติ พสิ ัย และ ทักษะพสิ ยั วธิ ีการวดั และประเมินผลจึงต้องเกี่ยวพันกบั จุดม่งุ หมายการศกึ ษา ดงั น้ันครหู รอื ผูป้ ระเมนิ ต้องสามารถตคี วามหมายของจุดมงุ่ หมายรายวชิ านั้น ๆ ให้ ถกู ต้อง ครอบคลุมและชัดเจน จึงจะสามารถวัดและประเมินไดต้ รงกบั สง่ิ ท่ีต้องการ แตป่ ญั หาท่ีมักพบในทาง ปฏิบัติ คอื จากจุดมุ่งหมายของรายวชิ าเดียวกนั ครูผู้สอนแต่ละคนมักจะตคี วามต่างกันไป โดยเฉพาะในแง่ ของขอบขา่ ย อันสง่ ผลใหก้ ารดาเนินการสอนและการสอบวัดในประเด็นท่ีแตกตา่ งกันไป เกณฑก์ ารประเมนิ ผลการเรียนร้ขู องผ้เู รยี นแบบ KPA KPA ย่อมาจาก Knowledge Practice Attitude KPA หมายถึง เกณฑ์การประเมินผลการเรยี นรขู้ องผ้เู รียน ประกอบดว้ ยการประเมินด้านความรู้ (Knowledge) ด้านทกั ษะและการปฏบิ ตั ิ (Practice) และด้านเจตคตหิ รือคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Attitude) การประเมนิ จะแบ่งตามลกั ษณะของรายวิชาดว้ ยเครอ่ื งมือทแ่ี ตกต่างกนั ไปเช่น การประเมนิ ด้าน ความรู้ (K) จะนยิ มใชแ้ บบทดสอบในการประเมิน ในขณะที่การประเมนิ ด้านทักษะ (P) จะใชภ้ าระงานหรือ ชน้ิ งานมาประกอบกับเกณฑ์การใหค้ ะแนน (Rubrics) มาประเมนิ ส่วนด้านเจตคติ (A) จะใชก้ ารประเมินตาม สภาพจรงิ ซ่ึงมีความซบั ซ้อนกวา่ 2 อยา่ งแรก มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วดั (หลกั สตู รฯ2551) มาตรฐานการเรียนรูเ้ ปน็ เปา้ หมายสาคัญของการพัฒนาคุณภาพผ้เู รียน จะระบสุ ิ่งท่ีผเู้ รียนพงึ รู้ ปฏิบัติ ได้ ึมีคุณธรรมจรยิ ธรรม และคา่ นิยมที่พงึ ประสงคเ์ ม่ือจบการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐานมาตรฐานการเรียนรู้เป็นกลไก สาคัญในการขับเคลื่อนพฒั นาการศกึ ษาท้งั ระบบเพราะจะสะท้อนให้ทราบว่า ต้องการอะไร จะสอนอยา่ งไร และประเมนิ อยา่ งไร รวมทง้ั ยังเปน็ เครอ่ื งมือในการตรวจสอบเพอ่ื ประกันคณุ ภาพการศึกษา โดยหลักสูตร แกนกลางการศึกษามกี ารกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ จานวน 67 มาตรฐาน การออกแบบการวดั ประเมนิ และตัดสินผลการเรยี น

ตวั ชี้วัด (หลกั สตู รฯ2551) เป็นตัวระบสุ ง่ิ ที่นักเรียนพงึ ร้แู ละปฏิบัติได้ มีความเฉพาะเจาะจงเปน็ รูปธรรม นาไปใช้ในการกาหนด เนอ้ื หา จดั ทาหนว่ ยการเรียนรู้ จดั การเรยี นการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรบั การวัดประเมนิ ผลเพ่ือ ตรวจสอบคณุ ภาพผเู้ รยี น ความสาคญั และความหมายของการวัดประเมินผลทางการศึกษา การวัดผลและประเมินผลเป็นสว่ นหน่ึงของการสอน และเป็นส่วนสาคัญทผ่ี ู้สอนที่ดจี ะแสวงหา แนวทางให้การเรียนการสอนประสบความสาเร็จ และเพ่ือให้ผเู้ รียนบรรลุตามจุดประสงค์ทต่ี ั้งไว้ ผ้สู อนจะต้องรู้ ความสามารถของผูเ้ รียน ความสนใจของผู้เรยี น และข้อบกพรอ่ งของผู้เรียน โดยอาศยั กระบวนการของการ วัดผลและประเมนิ ผลทางการศกึ ษา การจดั การศกึ ษาเป็นกระบวนการที่มีระบบ มโี ครงสรา้ งเป็นแบบแผนดังน้นั ในการจดั การศึกษาจาต้อง ประกอบด้วยองคป์ ระกอบสาคัญ 5 ประการ (ไพศาล หวังพานิช 2518 : 21) 1. ปรัชญาการศกึ ษา (Education Philosophy) เปน็ สงิ่ ทก่ี าหนดเป้าหมาย หรือทิศทางของ การศกึ ษาว่าตอ้ งการใหเ้ กดิ ผลหรือคุณภาพเช่นไร แกผ่ ู้เรียน หรือตอ้ งการใหผ้ ู้เรียนมลี ักษณะอย่างไร 2. หลักสตู ร (Curriculum) เปน็ สิง่ กาหนดคณุ ลักษณะหรือเกณฑ์ของเป้าหมายว่าผู้เรยี นทีจ่ ะบรรลุ เป้าหมายท่ีต้องการ จะต้องมีคุณสมบตั ิ คุณภาพอยา่ งไร และต้องเรียนร้สู ่งิ ใด 3. การสอน (Teaching) เป็นกระบวนการที่ชกั นา ปลกู ฝงั ฝกึ ฝนให้ผเู้ รยี นเกดิ คุณสมบัติมคี ุณภาพ และเรียนรูต้ ามหลกั สูตรกาหนด เพอ่ื จะนาไปสเู่ ปา้ หมายท่ีตอ้ งการ โดยใชว้ ิธสี อนและจิตวิทยาเปน็ เครอื่ ง ประกอบ 4. การประเมนิ ผล (Evaluation) เป็นกระบวนการพิจารณาตีราคาหรือตรวจสอบคณุ ภาพของผู้เรยี น วา่ บงั เกิดคณุ ลักษณะตา่ ง ๆ ตามทก่ี าหนด มากน้อยเพียงใด 5. การวจิ ยั (Research) เป็นกระบวนการหาความจริง หรือสาเหตขุ องปญั หาต่าง ๆโดยวธิ ีทาง วิทยาศาสตร์ อนั เป็นแนวทางนาไปส่คู วามเปลย่ี นแปลงปรับปรงุ หลกั สูตร การเรยี นการสอน และการ ประเมนิ ผลตอ่ ไป การวัดผลและประเมินผลการเรยี นสอน จงึ เปน็ ส่วนหนง่ึ ของกระบวนการเรียนการสอนไมว่ ่าจะเป็น การเรยี นการสอนในระดับใดหรือวิชาใดก็ตาม การวัดผลและประเมินผลจะเปน็ เครื่องมอื อันหนง่ึ ท่ีจะชว่ ย พัฒนาคุณภาพการเรยี นการสอนในระดับนัน้ หรอื ในวชิ านัน้ เพราะผลจากการวัดและประเมิน เปน็ พื้นฐานใน การตัดสินใจของครผู ู้สอนและนกั การศึกษา เพ่ือใช้ในการปรับปรุงวธิ กี ารสอนการแนะแนว การประเมนิ ผล หลกั สตู ร แบบเรยี น การใช้อุปกรณ์การสอน ตลอดจนการจัดระบบบรหิ ารท่ัวไปของโรงเรียน และนอกจากนี้ การออกแบบการวดั ประเมนิ และตัดสนิ ผลการเรยี น

ยังชว่ ยปรบั ปรุงการเรียนของผเู้ รียนให้เรยี นไดผ้ ลดีย่ิงขน้ึ เชน่ ผ้เู รียนส่วนใหญใ่ นช้นั เรียนมีผลการเรียนอ่อน จะแสดงถึงความสามารถในการเรียนของผเู้ รียน และแสดงถึงผลการสอนของครูผ้สู อนด้วย ครูผู้สอนจะตอ้ ง นาผลการเรยี นที่ไมด่ ขี องผเู้ รียนนัน้ กลบั มาชว่ ยปรับปรุงวธิ กี ารสอนให้เหมาะสม และถา้ ผู้เรยี นสว่ นใหญ่ใน โรงเรียนมีผลการเรยี นอ่อน ฝ่ายแนะแนวในโรงเรยี นจะต้องช่วยแนะแนวให้ผเู้ รยี นได้เรยี น ในโปรแกรมหรือ สายวชิ าทเ่ี หมาะกบั ความสามารถของเขา และทางฝา่ ยบริหารโรงเรยี น จะต้องกลบั มาพิจารณาดรู ะบบการ บริหารการเรียนการสอนในโรงเรยี น เพือ่ ให้มีประสิทธิภาพดยี ิง่ ขนึ้ จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมและการวิเคราะห์หลกั สตู ร การสอนเปน็ กิจกรรมที่สาคญั ทส่ี ุด ในกระบวนการจัดการศึกษา เพราะเปน็ การนาหลักสตู รไปใชป้ ฏิบตั ิ ใหบ้ รรลจุ ุดมงุ่ หมายที่ไดก้ าหนดไว้ คณุ ภาพของการศกึ ษาจะดีหรือไม่น้ัน ย่อมขน้ึ กับการสอนเป็นสาคญั ซึ่งจะ ทาหนา้ ทพ่ี ัฒนา และเสริมสร้างผูเ้ รยี นใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรม และมีประสบการณ์การเรยี นร้เู พ่ิมขึน้ การสอบเปน็ การติดตามผลการเรียนการสอนว่า ผ้เู รียนบรรลผุ ลมากน้อยเพยี งใด ตามธรรมชาตขิ อง ผู้เรยี นแตล่ ะคน ข้ึนอยูก่ บั การพัฒนาทางสติปัญญาและทางรา่ งกาย ซึง่ มีความแตก-ต่างกัน และจาก แนวความคดิ เก่ยี วกบั ความแตกต่างระหว่างบุคคลนีเ้ อง ทาใหเ้ กิดปรชั ญาทางการศกึ ษาท่ีว่า คนเราเรยี นรู้ได้ เทา่ กันในเวลาท่ีไม่เท่ากัน และคนเราเรยี นรู้ไดไ้ ม่เทา่ กนั ในเวลาที่เท่ากนั ทาให้การสอบมี 2 ลกั ษณะดว้ ยกนั คือ 1. สอบเพ่ือปรับปรุงการเรียนการสอน เปน็ การสอบวัดเพือ่ ค้นหาข้อบกพร่องในการเรียน ของผ้เู รยี น ว่า ควรใชเ้ วลาในการเรยี นเพ่ิมมากขึน้ หรือไม่ จึงมคี วามสามารถใกลเ้ คยี งกับคนอ่นื ๆ การสอบ ลกั ษณะนจ้ี ะสอบเมื่อจบเน้อื หาย่อยในแตล่ ะบทเรียน 2. สอบเพือ่ ประเมนิ ผลการเรียน เป็นการสอบวดั เพื่อทาหนา้ ที่ตรวจสอบหรือพจิ ารณาผลการเรียนโดย สรปุ ของผเู้ รียน ว่าแต่ละคนเก่ง-ออ่ น เพยี งใด เมื่อใช้เวลาในการเรยี นเท่ากนั การสอบลักษณะน้ีจะสอบเมื่อ สนิ้ สุดการเรยี นเน้ือหาในบทเรียน หรอื ที่เรยี กวา่ การสอบปลายภาค ความสาคัญของการวัดผลในโรงเรยี น อยู่ตรงท่ีว่าต้องรใู้ หแ้ นช่ ดั เสียแต่ตน้ วา่ วิชานี้ บทนี้ จะตอ้ งวัด อะไรบ้าง จะต้องวัดมากน้อยอย่างละเท่าไร และจะต้องวัดด้วยวิธใี ด ซงึ่ จัดวา่ เป็นส่งิ แรกท่ีสาคัญที่สดุ ของ ขบวนการวัดผล ดงั นั้นการทจี่ ะตอบคาถามดงั กลา่ วน้ันได้ จึงจาเปน็ ที่จะต้องรู้ถงึ จดุ ม่งุ หมายของวิชา หรอื บท นั้นเสียกอ่ น ว่าต้องการการให้เกดิ สิ่งใดกบั ผ้เู รียนบ้าง จงึ จะสามารถทาการวดั ไดอ้ ย่างถูกต้อง จดุ ม่งุ หมายทางการศกึ ษา 1.จุดมุง่ หมายการเรยี นรู้ ความหมาย จุดมงุ่ หมายของการเรยี นรู้คือ จดุ มุ่งหมายของการเรยี นการสอน บทเรียนแตแ่ ละบท ซ่งึ กาหนดขึ้นจากการยึดเอาตวั ผเู้ รยี นเป็นหลัก โดยคาดหวังว่า ถ้าผูเ้ รียนผ่านการเรียนรู้ บทเรียนน้นั ๆแล้ว ผ้เู รียนจะมพี ฤติกรรมเปล่ยี นแปลงไปอยา่ งไร การกาหนดจดุ ประสงค์ในแบบดังกลา่ วนี้ คาด ว่าจะชว่ ยส่งเสรมิ การเรยี นการสอนให้เกิดท้ังประสิทธิภาพและประสิทธิผล (efficiency and effectiveness) มากย่ิงข้ึน เพราะเปน็ จุดมุ่งหมายทย่ี ดึ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของผ้เู รียนเป็นสาคญั หรอื ทเ่ี รียกวา่ จุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม (Behavioral objectives) ซ่งึ ผูส้ อนสามารถสงั เกตและวดั ไดอ้ ย่าง ใกล้เคยี งกับความเปน็ จริงมากกว่า การออกแบบการวัดประเมนิ และตดั สนิ ผลการเรียน

2. จดุ มงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม หมายถึง พฤติกรรมปลายทางที่คาดหวัง ทงั้ ดา้ นพทุ ธพสิ ยั เจตพิสยั และ ทกั ษะพิสัย ว่าเม่ือการเรียนการสอนสิ้นสุดลง ผเู้ รียนสามารถทาอะไรไดบ้ า้ ง โดยทวั่ ไปการกาหนดพฤตกิ รรม น้นั จะเขยี นในรูปพฤติกรรมที่สังเกตได้ วัดได้ ภายใต้สถานการณท์ ่ีกาหนด หลกั พน้ื ฐานในการกาหนดจุดมุง่ หมาย ในการกาหนดจดุ ประสงค์แตล่ ะข้อนน้ั ได้ยึดหลักการทเ่ี ป็นพน้ื ฐานสาคัญ 3 ประการคือ 2.1 พฤติกรรมทค่ี าดหวัง (Behavior) โดยใชถ้ ้อยคาทีแ่ สดงถึงการกระทา (Action words) ไวอ้ ยา่ งชดั เจนว่า เม่อื ผู้เรยี นผ่านการเรยี นรบู้ ทเรียนนัน้ ไปแล้ว ผเู้ รียนสามารถจะกระทา อะไรบ้าง เช่น ตวั อยา่ ง 1) นกั เรียนสามารถ อธิบาย สภาพภมู ิศาสตร์ของจงั หวดั ที่ตนอาศยั อยู่ได้ 2) นกั เรยี นสามารถ ทดลอง ให้เหน็ จรงิ ได้วา่ แมเ่ หล็กจะวางตวั อยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ตลอดเวลา 2.2 กาหนดเง่ือนไขหรือสถานการณ์ (Condition) เพอื่ ชว่ ยขยายพฤติกรรมให้เด่นชดั มาก ย่งิ ขนึ้ วา่ จะเกิดข้นึ เมอ่ื ใด ทไี่ หน และอยา่ งไร เชน่ ตัวอยา่ ง 1) เมอ่ื กาหนดชื่อยาสามัญประจาบา้ นให้ นักเรยี นสามารถ อธบิ ายสรรพคุณ วธิ ใี ช้ และข้อควรระวังอยา่ งสงั เขปได้ 2) เม่ือกาหนดอุปกรณ์สาเรจ็ รปู ให้ นกั เรียนสามารถ แสดง วิธกี ารใชแ้ ละการเกบ็ รักษาอปุ กรณ์เหลา่ น้ันได้ 2.3 กาหนดเกณฑห์ รอื มาตรฐานขนั้ ต่า (Criterion) เพื่อเปน็ เกณฑ์ในการตัดสินวา่ ผเู้ รียนจะตอ้ งเกดิ พฤติกรรมอย่างนอ้ ยท่ีสุดเท่าใด ครผู สู้ อนจึงจะพอใจวา่ ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ในบทเรียน น้นั ๆ แลว้ เชน่ ตวั อยา่ ง 1) เม่ือกาหนดช่ือสัตวต์ ่างๆ ให้ นกั เรยี นสามารถ บอก ไดว้ า่ สัตวช์ นิดใดเป็นสัตว์ท่ีมกี ระดกู สันหลงั ได้อย่าง ถกู ต้อง 2) เมอื่ กาหนดรายชือ่ พชื ตา่ งๆ ใหน้ ักเรยี นสามารถ อธิบาย วิธบี ารุงรักษาต้นพืชเหลา่ น้ัน ไดถ้ ูกต้องอย่างน้อย 1 ชนิด 3) เมอ่ื กาหนดรายชอื่ อาหารให้ 10 ชนิด นกั เรียนสามารถบอกได้วา่ อาหารชนดิ ใดอยู่ ในหมใู่ ดถูกต้อง 8 ชนดิ 4) นักเรียนสามารถให้เหตุผลในการเลือกซ้ืออาหารสาหรบั ตน ได้อยา่ งถูกต้อง ตามหลัก โภชนาการ การเขียนจุดมุง่ หมายเชงิ พฤตกิ รรมน้ี กเ็ พ่ือบรรยายใหท้ ราบอย่างชดั เจนว่า จะตอ้ งให้ผ้สู อบ แสดงอาการอย่างใดออกมา เพือ่ บ่งบอกว่าเขามีพฤตกิ รรมตามที่ต้องการวดั หรือไม่ เช่น เราจะวัดความ เขา้ ใจ แตค่ วามเขา้ ใจนี้คืออะไร ผสู้ อบแสดงอาการอย่างไรจึงจะเปน็ การแสดงว่าเขาเข้าใจเร่ืองตวั ประกอบ แล้ว เราตอ้ งเขียนบรรยายออกมาให้เหน็ ชดั เจน การออกแบบการวดั ประเมินและตดั สนิ ผลการเรียน

สรุปได้ว่า การเขยี นจุดม่งุ หมายเชิงพฤติกรรมต้องประกอบกัน 3 สว่ น ดงั น้ี ขอ้ ความทจี่ ะแสดงหรือบ่งชีว้ า่ มีความสามารถ “ตามพฤติกรรม” ต่างๆ นั้นจะมีดังนี้ ตวั อยา่ ง คากริยาที่แสดงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของจดุ มุ่งหมายทางการศึกษา การออกแบบการวดั ประเมนิ และตัดสินผลการเรยี น

ประโยชนข์ องจดุ มุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ถ้าพิจารณาถงึ ประโยชน์ของจดุ มุ่งหมายทางการศึกษาท่เี ขยี นในรูป จุดม่งุ หมายเชงิ พฤติกรรมมี 3 ประการด้วยกัน คือ 1. ด้านการสอน จดุ มงุ่ หมายเชิงพฤติกรรมชว่ ยใหผ้ ู้สอนทราบว่า ในการสอนแตล่ ะเรอ่ื งต้องการให้ ผ้เู รยี นเปลี่ยนแปลงหรือเกิดพฤตกิ รรมใดบ้าง ครูผู้สอนจะไดเ้ ลอื กวธิ กี ารสอนสื่อการสอนได้อย่างเหมาะสม และสอนไดค้ รบทกุ ข้นั ตอนที่ได้กาหนดไว้ และเพื่อให้การสอนได้ผลตามจุดมุง่ หมายที่วางไว้ ควรมกี ารวัดผล เปน็ ระยะ ๆ เพ่อื ครไู ด้ทราบพัฒนาการของผู้เรยี นและปรับปรงุ การเรียนการสอนได้ตลอดระยะการเรยี นการ สอน 2. ด้านการเรียนของนกั เรยี น ถา้ นกั เรยี นไดท้ ราบจุดมุง่ หมายเชงิ พฤติกรรม ในการเรยี นวา่ จดุ มุ่งหมาย ของการเรยี นตอ้ งการให้นกั เรียนมคี วามสามารถดา้ นใด กส็ ามารถปรับปรุงตนเองไปในทิศทางน้ัน และประเมิน ความสามารถของตนตามจุดหมายทว่ี างไว้ 3. ด้านการวดั และประเมินผล จุดมุ่งหมายเชงิ พฤติกรรมจะช่วยใหผ้ ู้สอนกาหนดขอบเขตแนวทางการ ประเมนิ ผลได้ชัดเจน พรอ้ มทั้งเลอื กใช้เครือ่ งมือในการวัดผลไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและสอดคล้องกับพฤติกรรมที่ ตอ้ งการวัดในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน จะต้องมีการวัดและประเมนิ ผลวา่ ได้ผลตามจุดม่งุ หมายของ หลกั สูตรหรือไม่ ครูผูส้ อนจะต้องออกข้อทดสอบ ใหค้ รอบคลมุ จดุ ประสงค์การเรียนรรู้ ายวชิ าทกี่ ลมุ่ โรงเรยี น กาหนด โดยปกตคิ รูผสู้ อนทีด่ ี จะตอ้ งวิเคราะหจ์ ดุ มุ่งหมายการเรียนตามหลักสูตรกาหนด เป็นจุดมุ่งหมาย เชงิ พฤติกรรม และจะออกข้อทดสอบตามจุดมุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม น้นั ๆ แบบทดสอบ การทดสอบทัว่ ๆ ไป จะใชแ้ บบทดสอบ หรือข้อสอบเป็นเคร่ืองมือสาคัญ แบบทดสอบ คอื ชุด ของคาถาม ปญั หาสถานการณ์ กลมุ่ ของงานหรือกิจกรรมอยา่ งใดอย่างหนึ่งท่ีใช้เป็นสง่ิ เรา้ กระตุ้นย่วั ยุ หรอื ชักนาให้ผู้ถูกทดสอบแสดงพฤติกรรมหรอื ปฏิกริ ิยายาตอบสนอง ตามแนวทางท่ีต้องการแบบทดสอบ เป็นเครอ่ื งมอื วดั สมรรถภาพ ทางสมองไดด้ ีทีส่ ุด (เผยี น ไชยศร 2526 : 8) การทดสอบเป็นวิธีวัดผลทส่ี าคัญยงิ่ และใชม้ ากท่ีสุดในวงการศึกษา จนอาจนับได้วา่ เปน็ หลกั ของการวดั ผลในโรงเรียนกว็ า่ ได้ การทดสอบที่ดจี ะชว่ ยใหค้ รูทราบถงึ สถานภาพของนักเรยี น และของ ครเู อง (ชวาล แพรตั กุล 2516 : 110) ดงั นั้นการท่จี ะวัดคณุ ลักษณะทางการศึกษาใดๆก็ตาม ผูส้ อนต้องพิจารณาว่าจะใชส้ ถานการณ์ หรือเขียนคาถามอย่างไรดี จงึ จะไปเร้าใจให้ผ้ถู ูกทดสอบแสดงพฤติกรรมใหป้ รากฏออกมาและผู้สอน ต้องคอยสังเกตดูพฤตกิ รรมเหลา่ นน้ั ให้ดี เพ่อื แปลผลจากพฤติกรรมน้นั ต่อไป ประเภทของแบบทดสอบ แบบทดสอบท่ีใชท้ างการศึกษามีแตกต่างกันหลายประเภท แลว้ แตห่ ลกั เกณฑ์ทีใ่ ชใ้ นการ จาแนกต่างกนั ดังน้ี 1. จาแนกตามกระบวนการในการสรา้ ง จาแนกได้ 2 ประเภทคือ (ภัทรา นิคมานนท2์ 533 : 22-26) 1.1 แบบทดสอบท่คี รูสร้างข้ึนเอง (Teacher Made Test) เปน็ แบบทดสอบที่สรา้ ง การออกแบบการวัดประเมินและตดั สินผลการเรยี น

ข้ึนเฉพาะคราวเพื่อใช้ทดสอบผลสมั ฤทธแ์ิ ละความสามารถทางวชิ าการของเด็ก มใี ช้กันทวั่ ๆไปใน โรงเรียน แบบทดสอบประเภทนี้ สอบเสร็จก็ท้งิ ไปจะสอบใหม่ก็สร้างข้ึนมาใหม่หรือเอาของเกา่ มาเปล่ียน แปลง ปรบั ปรุง ไม่มีการวิเคราะหว์ ่าขอ้ สอบนั้นดี-เลวประการใด ดงั นั้นแบบทดสอบประเภทน้ีจงึ ยังไม่อาจ รับรองคุณภาพได้ 1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เปน็ แบบทดสอบทส่ี รา้ งขน้ึ ดว้ ย กระบวนการ หรือวธิ ีการท่ีซับซ้อนมากกวา่ แบบทดสอบท่ีครสู ร้างขึ้นเองเมื่อสร้างขึน้ แล้วมีการนาไป ทดลองสอบ วเิ คราะหด์ ว้ ยวิธีการทางสถิติ หลายคร้งั เพื่อปรับปรงุ ใหม้ ีคุณภาพดีมีความเปน็ มาตรฐาน สามารถ ไปใช้วดั ได้กว้างขวางกว่าแบบทดสอบท่ีครเู ปน็ ผูส้ ร้าง แบบทดสอบมาตรฐานจะมีความเป็นมาตรฐานอยู่ 2 ประการคือ 1) มาตรฐานในการดาเนนิ การสอบ เพ่ือควบคุมตัวแปรทจี่ ะมีผลกระทบต่อคะแนนของ ผูส้ อบ ดงั นนั้ ขอ้ สอบมาตรฐานจงึ จาเปน็ ตอ้ งมีค่มู ือดาเนนิ การสอบไว้เปน็ แนวปฎิบัติสาหรับผู้ใช้ข้อสอบ 2) มาตรฐานในการแปลความหมายคะแนน เพราะข้อสอบมาตรฐานมเี กณฑ์สาหรับการ เปรยี บเทยี บคะแนนให้เป็นมาตรฐานเดียวกนั ซ่ึงเรยี กวา่ เกณฑป์ กติ (Norm) แบบทดสอบทค่ี รูสร้างขึ้นเอง มีข้อดตี รงทคี่ รวู ัดได้ตรงจุดมุ่งหมายเพราะผสู้ อนเป็นผู้ออกข้อสอบ เอง แตแ่ บบทดสอบมาตรฐานมขี อ้ ดีตรงที่คุณภาพของแบบทดสอบเปน็ ที่เช่ือถือได้ ทาให้สามารถนาผล ไปเปรียบเทยี บไดก้ ว้างขวางกวา่ 2. จาแนกตามจดุ มงุ่ หมายในการใช้ประโยชน์ จาแนกได้ 3 ประเภทดงั นี้ 2.1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) หมายถงึ แบบทดสอบทใี่ ชว้ ดั ปรมิ าตรความรคู้ วามสามารถ ทกั ษะเกย่ี วกับด้านวชิ าการท่ีไดเ้ รยี นรู้มาว่ารบั รไู้ ว้ได้มากน้อยเพียงไร 2.2 แบบทดสอบความถนัด (Aptitude Test) เปน็ แบบทดสอบท่ีใชว้ ดั ความสามารถท่ี เกิดจากการสะสมประสบการณท์ ีไ่ ด้เรียนรู้มาในอดีต ส่วนมากใช้ในการทานายสมรรถภาพของบุคคลว่า สามารถเรยี นไปได้ไกลเพยี งไร โดยมีจุดมงุ่ หมาย เพอ่ื พยากรณอ์ นาคตข้อเท็จจรงิ ท้ังในปัจจุบนั และ ประสบการณ์ในอดีตมาเป็นรากฐานการทานาย ชวาล แพรัตกุล (2516 : 116) กลา่ ววา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิก์ ับท่ีวดั ความถนดั ต่างกนั อย่างเดน่ ชดั ในเรื่องความม่งุ หมายเทา่ น้นั ซึ่งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ต้องการวัดว่า ขณะนเ้ี ด็กรู้เรอ่ื ง นี้มาแลว้ เท่าใด ส่วนแบบทดสอบวดั ความถนัดทายว่า เดก็ จะสามารถเรยี นเรื่องนนั้ ไปได้ไกลเท่าใด หรือ ขณะน้เี ขาไดเ้ รียนรเู้ ร่ืองราวนนั้ มาแล้วมากน้อยเพียงใดนนั่ เอง ดังนั้นเนื้อหาและคาถามของแบบทดสอบ ทั้งสองประเภทน้ี จงึ มลี ักษณะคลา้ ย ๆ กนั ดังน้นั อาจกล่าวไดว้ ่าแบบทดสอบวดั ความถนดั มลี กั ษณะแตกต่างกับแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ ตรงท่ี เวลาที่ใช้ต่างกนั แบบทดสอบวัดความถนัด ใชว้ ดั ก่อนมีการเรยี นการสอน ส่วนแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธ์ใิ ชว้ ดั หลงั จากมีการเรียนการสอนแล้วแบบทดสอบวัดความถนัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1) แบบทดสอบวดั ความถนดั ทางการเรียน (Scholastic Aptitude Test) หมายถงึ แบบ การออกแบบการวัดประเมนิ และตัดสินผลการเรยี น

ทดสอบวดั ความถนดั ทางด้านวชิ าการต่าง ๆ เชน่ ความถนัดทางด้านภาษา ดา้ นคณติ ศาสตร์เหตุผล เป็นต้น แบบทดสอบประเภทน้ี ใชว้ ดั เพื่อทานายว่าเด็กแต่ละคน จะสามารถเรยี นต่อไปในแขนงใดจงึ จะ ดแี ละจะเรียนไปไดม้ ากเพยี งใด 2) แบบทดสอบความถนัดเฉพาะอย่างหรอื ความถนัดพเิ ศษ (Specific Aptitude Test) หมายถึง แบบทดสอบวัดความถนัดท่เี กีย่ วกบั อาชีพหรอื ความสามารถพิเศษทน่ี อกเหนือ จากความ สามารถด้านวิชาการ เช่น ความถนดั เชงิ กล ความถนดั ทางดา้ นดนตรี ศิลปะ การแกะสลกั กฬี า เปน็ ต้น ซึ่ง ความถนดั ประเภทน้มี ีความสมั พันธ์กบั ความถนัดทางการเรยี น 2.3 แบบทสอบวดั บุคลิกภาพ (Personal Social Test) มหี ลายประเภทคอื 1) แบบทดสอบวัดทัศนคติ (Attitude Test) ใช้วัดทศั นคติของบคุ คล ท่ีมตี ่อบุคลส่งิ ของ การ กระทา สังคม ประเทศ ศาสนา และอ่นื ๆ 2) แบบทดสอบวัดความสนใจ อาชพี 3) แบบทดสอบวัดการปรับตัว ความมัน่ ใจ 3. จาแนกตามรูปแบบคาถามและวธิ กี ารตอบ จาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทดังน้ี 3.1 แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) แบบทดสอบประเภทน้ีมีจุดมุ่งหมายท่ีจะใหผ้ ู้ตอบ ไดต้ อบยาว ๆ แสดงความคิดเห็นเต็มท่ี ผสู้ อบมีความร้ใู นเน้ือหาน้ันมากน้อยเพียงไรก็เขยี นออกมาให้ หมดภายในเวลาทกี่ าหนดให้ แบบทดสอบประเภทน้เี หมาะสาหรับวดั ความสามารถหลาย ๆ ดา้ นในแตล่ ะ ขอ้ เช่น วดั ความสามารถในด้านความคิดเห็น การแสดงออกทางอารมณ์ ความสามารถในการใชภ้ าษา เป็น ตน้ 3.2 แบบทดสอบปรนยั (Objective Test) เป็นแบบทดสอบท่ีม่งุ ใหผ้ ้สู อบตอบสน้ั ๆในแตล่ ะข้อ วัดความสามารถเพียงเร่ืองใดเร่ืองหนง่ึ เพียงเรื่องเดยี ว ได้แก่ แบบทดสอบแบบตา่ ง ๆ ดังต่อไปนี้ 1) แบบถูก-ผดิ (True - False) 2) แบบเตมิ คา (Completion) 3) แบบจับคู่ (Matching) 4) แบบเลือกตอบ (Multiple Choices) 4. จาแนกตามลักษณะการตอบ จาแนกได้ 3 ประเภทดังนี้ 4.1 แบบทดสอบภาคปฏิบตั ิ (Performance Test) ไดแ้ ก่ ขอ้ สอบภาคปฏิบัติท้งั หลาย เชน่ วิชา พลศึกษา ให้แสดงท่าทางประกอบเพลง วิชาหตั ถศกึ ษาใหป้ ระดษิ ฐข์ องใชด้ ้วยเศษวสั ดุ ให้ทา อาหารในวิชาคหกรรมศาสตร์เป็นต้น การให้คะแนนจากการทดสอบประเภทน้ีครูต้องพิจารณาทงั้ ปรมิ าณ คุณภาพ และวธิ ีการ 4.2 แบบทดสอบเขยี นตอบ (Paper-Pencil Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้การเขียนตอบ ทกุ ชนดิ ไดแ้ ก่ แบบทดสอบปรนัย และอัตนยั ท่ีใช้กันอยู่ทั่วไปในโรงเรียน รวมท้งั การเขียนรายงานซึง่ ตอ้ งใชก้ ระดาษ ดนิ สอ หรือปากกา เป็นเครอ่ื งมือสาคัญในการสอบ การออกแบบการวดั ประเมินและตดั สินผลการเรยี น

4.3 แบบทดสอบดว้ ยวาจา (Oral Test) เปน็ แบบทดสอบทีผ่ ู้สอบใชก้ ารโต้ตอบดว้ ยวาจา แทนท่ีจะเปน็ การเขยี นตอบ หรอื ปฏบิ ตั ิ เช่น การสอบสัมภาษณ์ การสอบท่องจา การท่องบทอาขยาน เปน็ ต้น 5. จาแนกตามเวลาท่ีกาหนดให้ตอบ จาแนกได้ 2 ประเภทดังนี้ 5.1 แบบทดสอบวดั ความเรว็ (Speed Test) เปน็ แบบทดสอบทม่ี ุ่งวดั ทักษะความคลอ่ ง แคลว่ ในการคดิ ความแมน่ ยาในการรเู้ ปน็ สาคัญ แบบทดสอบประเภทน้ีมักมลี ักษณะคอ่ นขา้ งง่าย แตม่ ี จานวนมากข้อ และให้เวลาทานอ้ ย ใครทาเสร็จก่อนและถูกตอ้ งมากทส่ี ุดถือว่ามปี ระสิทธิภาพสูงสดุ 5.2 แบบทดสอบวัดความสามารถสงู สุด (Power Test) มีลกั ษณะคอ่ นขา้ งยากและให้ เวลาทามากเพยี งพอในการตอบ เป็นการสอบวัดความสามารถในเรื่องใดเรื่องหนง่ึ โดยให้เวลาผู้สอบ ทาจนสุดความสามารถหรือจนกระทั่งทกุ คนทาเสรจ็ เช่น การใหค้ น้ คว้าเขียนรายงาน การทาวิทยานิพนธ์ หรอื ขอ้ สอบอตั นัยบางอย่างก็อนโุ ลมจัดอยู่ในประเภทน้ีได้ การเปรียบเทยี บข้อดแี ละข้อเสยี ของข้อสอบชนดิ ตา่ ง ๆ ขอ้ สอบแต่ละชนดิ ยอ่ มมีทั้งข้อดขี ้อเสีย และขอบเขตจากัดไม่เหมอื นกนั การทจ่ี ะเลือกชนดิ ของ ข้อสอบใหไ้ ดป้ ระโยชนม์ ากท่ีสุดนนั้ จาเปน็ ต้องพยายามกาจดั ขอ้ เสยี ต่าง ๆ ของข้อสอบเหล่านนั้ ออกไป ใหม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทีจ่ ะทาได้ การท่ีจะเขยี นขอ้ สอบได้ดนี นั้ นอกจากจะตอ้ งมกี ารวางแผนในการสร้าง ข้อสอบอย่างดีแล้ว จาเป็นจะตอ้ งทราบองคป์ ระกอบทดี่ แี ละไม่ดีของข้อสอบแตล่ ะชนิดด้วย ตาราง 6.1 แสดง การเปรยี บเทียบข้อสอบแต่ละชนิดวา่ มอี งคป์ ระกอบอะไรทดี่ ี และอะไรท่ไี ม่ดี เคร่ืองหมาย (+) หมายถงึ คอ่ นข้างดี (+ +) หมายถึงดีมาก (-) หมายถงึ ค่อนข้างไมด่ ี (- - ) หมายถึงไม่ดีมาก การออกแบบการวัดประเมินและตัดสนิ ผลการเรยี น

ตาราง 7.1 แสดงการเปรียบเทียบข้อดแี ละข้อเสยี ของข้อสอบชนดิ ต่าง ๆ ทีม่ า : อนันต์ ศรีโสภา 2524 : 130-131 การเลือกชนิดของข้อสอบ ข้อสอบชนดิ หน่ึงอาจจะมคี วามเหมาะสมในการวดั จุดม่งุ หมายของการสอนกว่าข้อสอบอีกชนิด หน่งึ ตวั อยา่ งเช่น ถา้ ต้องการจะวัดจดุ มงุ่ หมายทีก่ าหนดว่า “นกั เรยี นจะมีความสามารถเสนอแนวความ คิดและเขยี นบรรยายได้อย่างมีเหตผุ ล” การวดั จุดมงุ่ หมายอยา่ งน้ี ก็ได้เหมาะทจ่ี ะนาข้อสอบแบบปรนยั หรือแบบเลอื กตอบมาใช้ทดสอบ แตถ่ ้าจุดมงุ่ หมายของการสอบกาหนดใหน้ ักเรียนสามารถจาเกีย่ วกบั ช่อื สถานที่ เวลา และเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ไม่เหมาะที่จะนาข้อสอบแบบเรยี งความมาใชว้ ัดจดุ มุง่ หมายชนิดน้ี อีกเหมือนกัน อยา่ งไรก็ดีแมว้ ่าจุดมุง่ หมายของการสอบหน่ึง ๆ สามารถจะนาขอ้ สอบชนิดต่าง ๆมาวัดได้ กจ็ รงิ แต่ถ้าสามารถเลือกชนิดข้อสอบมาวดั ไดเ้ หมาะสมแล้ว ก็จะชว่ ยใหก้ ารวดั นัน้ มีประสทิ ธภิ าพยง่ิ ข้ึน การออกแบบการวัดประเมนิ และตัดสินผลการเรยี น

การเลอื กขอ้ สอบชนิดไหนเพ่ือใช้ทดสอบนักเรียนในห้องเรียน ขึน้ อยู่กับองค์ประกอบหลาย ประการ คือ 1. ความมุ่งหมายของการทดสอบ 2. เวลาท่ใี ชใ้ นการสรา้ งขอ้ สอบและการให้คะแนน 3. จานวนนกั เรยี นทท่ี ดสอบ 4. เครื่องอานวยความสะดวกตา่ งๆ ในการจดั พิมพ์ขอ้ สอบ 5. ทกั ษะในการเขียนข้อสอบชนดิ ต่าง ๆ ความยาวของแบบทดสอบ (Test Length) การพิจารณาความยาวของแบบทดสอบว่าควรจะประกอบด้วยขอ้ สอบก่ีข้อ ข้ึนอย่กู บั จุดมุ่งหมายของ การทดสอบชนดิ ของข้อสอบท่ใี ช้ ระดบั ความเช่ือมัน่ ท่ีตอ้ งการ อายุ และความสามารถของนักเรยี นที่ จะทดสอบ หลักเกณฑ์ท่ีสามารถนามาใช้พิจารณาจานวนข้อในแบบทดสอบ เพอ่ื ทาให้แบบทดสอบนนั้ มี ความเท่ยี งตรง มีดงั น้ี (อนนั ต์ ศรีโสภา 2524: 129-130) 1. จุดมุ่งหมาย ถ้าแบบทดสอบต้องการวัดเพยี งเน้ือหาวชิ าในบทหน่งึ แบบทดสอบกไ็ มจ่ าเปน็ ตอ้ งยากนัก เพราะเหตุว่าจุดมุ่งหมายและเน้ือหาวชิ าในบทเรียนหน่งึ มนี อ้ ย ดังนนั้ ขอ้ สอบเพียงไมก่ ่ีข้อก็ สามารถวดั ผลสมั ฤทธิใ์ นการเรียนของบทเรยี นนน้ั ได้ สาหรับจดุ มุ่งหมายของการทดสอบเพ่ือนาไปใชแ้ ก้ ปญั หาหรือปรบั ปรุงการเรยี นการสอน มักต้องการแบบทดสอบทมี่ ีข้อสอบจานวนมากข้อ ซง่ึ จะใหค้ ่าความ เช่ือมั่นสูงกว่าแบบทดสอบทมี่ ีข้อสอบจานวนนอ้ ยข้อ 2. ชนดิ ของข้อสอบทใ่ี ชข้ ้อสอบแบบเรียงความต้องการเวลาในการตอบมากกวา่ ข้อสอบแบบ ปรนัย ข้อสอบแบบคาตอบสั้นต้องการเวลาตอบมากกว่าข้อสอบแบบ ถกู -ผิด ส่วนข้อสอบแบบถูก-ผดิ ใช้ เวลาตอบนอ้ ยกว่าขอ้ สอบแบบเลือกตอบ อยา่ งไรกด็ มี ขี ้อสังเกตบางประการกับการกาหนดความยาวของ แบบทดสอบทส่ี ัมพันธ์กบั ชนดิ ของข้อสอบ ดงั น้ี 2.1 สาหรบั ขอ้ สอบแบบเลือกตอบท่ีมี 4 หรอื 5 ตัวเลอื ก ใชท้ ดสอบนักเรียนชน้ั ประถม หรอื มธั ยมศึกษา ถ้าครูกาหนดเวลาทดสอบไว้ 50 นาที ก็ควรให้นักเรียนทาข้อสอบแบบเลอื กตอบชนดิ 5 ตัวเลือก จานวน 35 ขอ้ ใหน้ ักเรยี นใชเ้ วลาทาข้อสอบจริง 44 นาที สว่ นเวลาที่เหลอื ใชส้ าหรับแจกและ เก็บข้อสอบ อธิบายคาสง่ั ชแี้ จงและตอบข้อซกั ถามต่าง ๆ ความยากของเนื้อหาวชิ าและจดุ มงุ่ หมายทีจ่ ะ วัด การจัดจาแนกตลอดจนจานวนตัวเลอื ก ก็มีอิทธิพลต่อการใชเ้ วลาในการตอบข้อสอบของนักเรยี นดว้ ย เหมอื นกนั 2.2 สาหรับขอ้ สอบแบบเรียงความชนดิ สัน้ (Short Essay Response)ซึง่ ยาวประมาณ คร่ึงหน้านกั เรียนสว่ นมากสามารถตอบได้ 6 ข้อ ภายในเวลา 1 ช่ัวโมง แต่ท้ังนีก้ ย็ อ่ มข้ึนอยูก่ ับความยาก ของเน้ือหาวิชาดว้ ย 2.3 สาหรบั ขอ้ สอบแบบเรียงความ (2-3 หน้า) นกั เรียนในระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย หรือมหาวทิ ยาลยั สามารถตอบได้ 3 ขอ้ ในเวลา 1 ชวั่ โมง แตถ่ ้าเปน็ นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ การออกแบบการวดั ประเมินและตัดสนิ ผลการเรียน

สามารถตอบได้ประมาณ 2 ขอ้ ในเวลา 1 ชว่ั โมง 2.4 สาหรับขอ้ สอบแบบคาตอบสัน้ แบบจบั คู่หรอื แบบถูกผดิ ก็ให้เวลานักเรียนทาขอ้ ละ 1 นาที ถา้ กาหนดเวลาในการทดสอบหน่งึ ชั่วโมง ก็ควรจะมี 60 ข้อ เป็นต้น 2.5 ถ้าขอ้ สอบท่ีมีความยากเทา่ กัน นักเรยี นทาข้อสอบแบบเลือกตอบชนิด 4 ตวั เลือก หนง่ึ ข้อใช้ เวลาเทา่ กับทาขอ้ สอบแบบถูกผิด ได้ 3 ข้อ 3. ความเชือ่ มั่นทตี่ ้องการ แบบทดสอบท่ีมจี านวนข้อสอบมากย่อมมคี วามเชื่อมั่นสูงกวา่ แบบ ทดสอบท่ีมจี านวนขอ้ น้อย เนอื่ งจากความคลาดเคลือ่ นซึ่งเกดิ ขน้ึ โดยแบบสมุ่ (Random Error) ยอ่ ม หกั ล้างซ่งึ กันและกนั หมดไป ดงั นั้นการพิจารณาระดบั ความเชอื่ มนั่ ที่ต้องการน้ัน จงึ ขน้ึ อยู่กับจานวนขอ้ ใน แบบทดสอบ ความแตกตา่ งระหว่างข้อสอบแบบอัตนยั และแบบปรนยั ความแตกตา่ งระหว่างข้อสอบแบบอัตนัยกบั แบบปรนัยวา่ 1. ข้อสอบแบบอัตนัย เป็นข้อสอบทีใ่ หน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ ในการตอบอย่างอสิ ระ ข้อสอบ แบบปรนยั เปน็ ข้อสอบที่มีคาตอบใหน้ ักเรยี นเลือก หรือเว้นว่างใหน้ ักเรียนหาคาตอบทสี่ น้ั ๆ มาเติม การ ตอบแบบเขียนตอบนั้น ไมจ่ าเป็นจะต้องเป็นงานท่ยี ุ่งยากและซับซ้อนมากไปกวา่ การเลอื กคาตอบที่ถกู จากตวั เลือกต่าง ๆ นกั เรยี นบางคนมีความสามารถในการเขียนบรรยายดี แตค่ วามสามารถในการตดั สิน ใจไมด่ ี สว่ นนกั เรียนบางคนมีความสามารถในการตัดสนิ ใจดี แต่อ่อนในการเขยี นบรรยายนบั เป็นปัญหา ในการเลอื กชนิดข้อสอบแกค่ รูเปน็ อันมาก ดงั นนั้ ถา้ เรามีความต้องการท่ีจะวดั ความสามารถในการ แสดงความคดิ เห็น และความสามารถในการเขียนข้อสอบแบบอตั นัยมีความเหมาะสมมากกวา่ ข้อสอบ แบบปรนยั (อนนั ต์ ศรโี สภา 2524 :132) 2. ข้อสอบแบบอัตนัยประกอบด้วยข้อสอบน้อยข้อแต่ละข้อต้องการคาตอบทยี่ าวส่วนขอ้ สอบแบบ ปรนยั มจี านวนข้อสอบมากข้อแตล่ ะข้อใชเ้ วลาตอบเพยี งเล็กนอ้ ย ถา้ คานึงถึงการสุ่มเนื้อหาวชิ าที่ เหมาะสมประสทิ ธิภาพของความเช่อื ม่ันของแบบทดสอบแล้ว ขอ้ สอบแบบปรนยั จะมีคุณคา่ ทุกด้านสงู กวา่ ข้อสอบแบบอตั นยั 3. คุณภาพของขอ้ สอบอัตนัยสว่ นใหญข่ ึ้นอย่กู ับทักษะของผู้อา่ นหรอื ผใู้ ห้คะแนน ส่วนคุณภาพ ของขอ้ สอบแบบปรนยั ข้ึนอยู่กบั ทกั ษะของผูส้ ร้างขอ้ ทดสอบ 4. การสร้างขอ้ สอบแบบอัตนยั ง่ายกว่า แต่มคี วามยุ่งยากในการตรวจใหค้ ะแนนมากกวา่ ข้อสอบ แบบปรนัย ครบู างคนสรา้ งข้อสอบแบบอตั นัยขณะทเ่ี ดนิ ทางไปโรงเรียน แลว้ เขยี นข้อสอบน้ันลงบน กระดานดาใหน้ กั เรียนทา แม้วา่ จะเปน็ ไปได้ แตก่ ็เป็น วธิ กี ารทไ่ี ม่ไดข้ ้อสอบทด่ี ี 5. ขอ้ สอบแบบอตั นยั ส่งเสริมทัง้ นกั เรียนและครูมีความเป็นอิสระมาก สว่ นข้อสอบแบบปรนยั สง่ เสริม ใหค้ รูหรือผอู้ อกข้อสอบมีความเปน็ อสิ ระเพียงคนเดียว การออกแบบการวัดประเมนิ และตดั สินผลการเรยี น

6. คาตอบและการใหค้ ะแนนขอ้ สอบแบบปรนยั มีความชัดเจนมากกวา่ ข้อสอบแบบอตนัย 7. ขอ้ สอบแบบปรนยั ง่ายต่อการเดา ส่วนขอ้ สอบแบบอตั นยั น้ันงา่ ยต่อการเล่นตบตา (Bluffing) การเดามักจะเกิดข้นึ เสมอในการทาข้อสอบแบบปรนัย แต่ก็ไม่ทาใหต้ าแหนง่ ที่ของนกั เรียนเปลย่ี นแปลง ไปเมื่อเปรยี บเทยี บกบั Norm Group สว่ นการเลน่ ตบตาในการตอบขอ้ สอบแบบอัตนยั นนั้ ก็งา่ ยทีจ่ ะทา การตรวจสอบ ถา้ ครูให้คะแนนมที กั ษะในการอา่ นคาตอบ กพ็ อจะทราบวา่ คาตอบทีเ่ ขียนมานนั้ ตอบไปใน แนวใด ถูกหรอื ไม่ 8. การใหค้ ะแนนข้อสอบแบบอัตนัยมักจะแตกตา่ งกันระหว่างครูแตล่ ะคน ส่วนการให้คะแนนข้อ สอบแบบปรนยั จะเหมือนกนั ทกุ ครง้ั ไม่ว่าครูคนใดจะเปน็ ผู้ตรวจให้คะแนน การหาคุณภาพของเครื่องมอื วดั ผลทางการศึกษา คุณลกั ษณะของเคร่ืองมือวัดผลทีด่ ี 1. ความเท่ยี งตรง (Validity) ความเท่ยี งตรง (Validity) หมายถึง เครื่องมือวัดผลนั้นสามารถวัดคณุ ลกั ษณะท่ีต้องการ จะวดั ได้หรือไม่ ไม่ใช่วัดสงิ่ อนื่ ทไ่ี ม่ได้กาหนดไว้ว่าจะวดั ประเด็นนถี้ ือว่ามีความสาคญั ทสี่ ุดเพราะตัวแปร ทางการศึกษาท่ีต้องวัดน้ันมักมีลกั ษณะเปน็ นามธรรม สังเกตเหน็ ได้ยาก (สธุ รรม์ จนั ทร์หอมและพรทิพย์ ไชยโส 2540 : 121) คุณลกั ษณะน้จี ัดเป็นความสาคัญเปน็ ยอดของคณุ ลกั ษณะอ่นื ๆ เปน็ ทป่ี รารถนาของ เคร่ืองมอื วัดผลท้งั หลาย สมควรท่จี ะได้ทราบความหมาย ชนดิ และวิธีการไว้ เพื่อจะได้ใช้เป็นหลกั เกณฑ์ สาหรบั ตคี ณุ คา่ ของแบบทดสอบตา่ ง ๆ ไดถ้ กู ต้อง (ชวาล แพรตั กุล 2516 : 124) ลักษณะของความเที่ยงตรง แบง่ ได้เปน็ 4 ลกั ษณะ คือ 1) เทย่ี งตรงตามเนื้อหา ( Content Validity ) หมายความวา่ ข้อสอบฉบบั น้ันมีคาถาม สอดคลอ้ งตรงตามเน้อื เรื่องหรือเนือ้ หาวิชาท่ีระบุไวใ้ นหลักสูตร สามารถวัดเน้ือหาสาระท่ตี อ้ งการวัดได้ ครบถ้วน หรอื วดั ได้ครบตามจุดประสงค์การเรยี นรู้ท่กี าหนด 2) เทีย่ งตรงตามโครงสรา้ ง ( Construct Validity) หมายถงึ เครื่องมือน้ันสามารถวัด พฤติกรรมและสมรรถภาพด้านตา่ ง ๆ ได้ตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้และเปน็ ไปตามหลกั การของทฤษฎี นนั้ ๆ อยา่ งครบถว้ น มิใช่ถามแตค่ วามจาเปน็ ส่วนใหญ่ 3) ความเท่ียงตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) หมายถึงลักษณะของเครอื่ งมือ ทสี่ ามารถวัดไดต้ รงตามสภาพความเป็นจริงของผูท้ ่ีถูกวัดในขณะนนั้ ความเทีย่ งตรงตามสภาพนี้เราไม่ สามารถวัดได้จริงๆ โดยใช้แบบทดสอบ แต่เราต้องเอาคะแนนของเด็กไปเปรียบเทยี บกับสภาพจริง การออกแบบการวัดประเมนิ และตัดสินผลการเรยี น

ของเด็กดวู ่าสอดคลอ้ งกนั หรอื ไม่ 4) ความเที่ยงตรงตามพยากรณ์ ( Predictive Validity) หมายถึงเครอื่ งมอื ที่สามารถ ให้ขอ้ มูลได้สอดคลอ้ งกบั ผลการเรียนในภายหน้า วธิ ีหาความเที่ยงตรงของแบบทดสอบชนิดน้ีทาไดโ้ ดย นาคะแนนท่ีสอบไดไ้ ปหาความสัมพนั ธ์กับคะแนนท่ไี ดใ้ นอนาคตว่า มีความสอดคล้องตรงกันนา่ เช่อื ถอื ได้ หรือไม่เพียงใด 2. ความเชื่อมน่ั (Reliability) ความเชือ่ มั่น หมายถงึ ความคงเสน้ คงวาของคะแนนในการวัดแตล่ ะครัง้ หรือกลา่ วไดว้ า่ เคร่ืองมอื นน้ั วดั คร้ังใด ๆ ก็ได้คา่ เทา่ เดิมไมเ่ ปลย่ี นแปลง (พร้อมพรรณ อดุ มสิน 2533 : 79) ผลของการวัดไมว่ า่ จะเปน็ คะแนนหรอื อันดบั ที่ก็ตามเมื่อวดั ไดผ้ ลออกมาแลว้ สามารถเชอ่ื ถือได้ในระดบั สงู จนสามารถประกนั ได้ว่า ถ้ามีการตรวจสอบวัดผลซา้ อีกไมว่ า่ ก่คี ร้ังกจ็ ะได้ผลใกล้เคียง และสอดคลอ้ งกบั ผลการวดั เดิมนั่นเอง 3. ความเปน็ ปรนัย (Objectivity) ความเป็นปรนัย หมายความว่า ทกุ ฝา่ ยทเ่ี กีย่ วข้องกบั การวัดผลครงั้ นัน้ มีความเหน็ สอดคล้อง กันในเรื่องของคาถาม คา่ ของคะแนนหรืออนั ดับท่ที ว่ี ัดไดต้ ลอดจนการแปลงคา่ คะแนนเปน็ ผลประเมิน ในการตัดสินคุณค่ากส็ อดคลอ้ งตรงกัน (ภัทรา นิคมานนท์ 2543 : 133) การพจิ ารณาความเปน็ ปรนยั ของแบบทดสอบมหี ลายประการ คุณสมบัติความเปน็ ปรนยั ของ แบบทดสอบทส่ี าคัญ ไดแ้ ก่คุณสมบัติ 3 ประการดังน้ี 1) ชัดแจ้งในความหมายของคาถาม ข้อสอบท่ีเป็นปรนัย ทกุ คนที่อ่านขอ้ สอบไม่ว่าจะ เปน็ ผู้สอบหรอื ผตู้ รวจข้อสอบยอ่ มจะเขา้ ใจตรงกนั ไม่ตคี วามไปคนละแง่ 2) ตรวจให้คะแนนได้ตรงกนั ขอ้ สอบท่ีมคี วามเป็นปรนยั ไม่วา่ จะเป็นผู้ออกข้อสอบหรอื ใครก็ตามสามารถตรวจให้คะแนนไดต้ รงกัน ขอ้ สอบท่ผี ้ตู รวจเฉลยไม่ตรงกนั แสดงใหเ้ ห็นถึงความไม่ ชดั เจนในคาถามหรือคาตอบ 3) แปลความหมายของคะแนนไดต้ รงกัน โดยทวั่ ไปข้อสอบปรนยั นนั้ ผู้ตอบถูกจะได้ 1 คะแนน ตอบผดิ จะได้ศนู ย์คะแนน จานวนคะแนนที่ได้จะแทนจานวนข้อท่ีถูก ทาให้สามารถแปล ความหมายได้ชดั เจนว่าใครเก่ง ออ่ นอย่างไร ตอบถูกมากน้อยต่างกันอย่างไร ขอ้ สอบประเภทถูกผดิ จับคู่ เตมิ คา เลือกตอบท่ีขาดคุณสมบตั ิขอ้ ใดข้อหน่งึ อาจกลา่ วไดว้ ่าเปน็ ขอ้ สอบปรนัยเฉพาะรปู แบบของ ขอ้ สอบเทา่ น้นั ส่วนคณุ สมบัติยังไมเ่ ป็นปรนยั ความเปน็ ปรนัยของข้อสอบ จะนาใหเ้ กดิ คุณสมบตั ทิ าง ความเช่ือม่นั ของคะแนน อันจะนาไปสู่ความเท่ียงตรง ของการวัดผลด้วย (ชวาล แพรตั กลุ 2516 : 131) การออกแบบการวดั ประเมนิ และตัดสินผลการเรยี น

4. ความยากง่าย (Difficulty) ความยากงา่ ย ของข้อสอบพจิ ารณาไดจ้ ากผลการสอบของผู้สอบเปน็ สาคญั ขอ้ สอบใดท่ผี สู้ อบ ส่วนมากตอบถกู คา่ คะแนนเฉลี่ยของข้อสอบสูงกวา่ 50% ของคะแนนเตม็ อาจกลา่ วไดว้ ่าเปน็ ขอ้ สอบที่ งา่ ยหรอื ค่อนขา้ งงา่ ยข้อสอบที่มีความยากง่ายพอเหมาะ คะแนนเฉลี่ยของขอ้ สอบควรมีประมาณ 50% ของคะแนนเตม็ ค่าคะแนนเฉล่ียต่ากวา่ 50% แสดงวา่ เป็นขอ้ สอบค่อนข้างยาก ขอ้ สอบท่ดี ีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากหรอื ง่ายเกินไป ข้อสอบฉบับหนงึ่ ควรมผี ู้ตอบถูก ไม่ตา่ กวา่ 20 คนและไม่เกนิ 80 คนจากผูส้ อบ 100 คน นั่นคอื ค่า P อยู่ระหวา่ ง.20-.80 จงึ ถือวา่ เป็น ขอ้ สอบที่มีคา่ ความยากง่ายพอเหมาะ 5. อานาจจาแนก (Discrimination) อานาจจาแนก คอื ลักษณะของแบบทดสอบทส่ี ามารถแบ่งเด็กออกเปน็ ประเภทต่างๆ ไดท้ ุก ระดบั ตงั้ แต่อ่อนสดุ จนถงึ เกง่ สุด แม้ว่าจะเกง่ อ่อนกวา่ กันเพียงเล็กน้อยก็สามารถชี้จาแนกใหเ้ ห็นได้ ข้อสอบทมี่ ีอานาจจาแนกสงู นั้น เดก็ เก่งมักตอบถูกมากกว่าเดก็ อ่อนเสมอ ขอ้ สอบทท่ี ุกคนทาถูกหมด จะไมส่ ามารถบอกอะไรเราได้เลย หรอื ผดิ หมดไม่สามารถบอกได้วา่ ใครเกง่ หรืออ่อน 6. ความมปี ระสิทธภิ าพ ( Efficiency ) เครือ่ งมือวัดผลที่มปี ระสิทธภิ าพ หมายถึงเคร่ืองมือทที่ าให้ได้ขอ้ มูลได้ ถกู ต้องเชอ่ื ถอื ไดโ้ ดย ลงทุนน้อยที่สุดไมว่ ่าจะเปน็ การลงทนุ ในแงเ่ วลา แรงงาน และทนุ ทรัพยร์ วมท้ังความสะดวกสบายคลอ่ ง ตวั ในการรวบรวมข้อมูล ขอ้ สอบท่มี ปี ระสทิ ธภาพสามารถให้คะแนนไดเ้ ท่ียงตรงและเชื่อถือมากที่สุด โดยใชเ้ วลาแรงงานและเงนิ น้อยท่ีสุด แต่ประโยชน์ ท่ีได้จากการสอบคุ้มคา่ ขอ้ สอบท่ีพิมพผ์ ิดตกหลน่ มาก จานวนหน้าไม่ครบ รปู แบบของแบบทดสอบเรียงไมเ่ ปน็ ระเบยี บทาให้ผู้สอนเกดิ ความสับสน มผี ล ต่อคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบทั้งส้ิน การจดั รูปแบบของขอ้ สอบปรนัยแบบเลือกตอบเพื่อใหด้ ูงา่ ย มีความเป็นระเบยี บเรยี บร้อยนยิ มพมิ พแ์ บ่งคร่งึ หน้ากระดาษ 7. ความยตุ ิธรรม ( Fair ) ความยุติธรรม ข้อสอบทดี ีต้องไมเ่ ปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดเ้ ปรียบเสยี เปรยี บกนั เช่น ข้อสอบบาง ฉบับครไู ปเน้นเรื่องใดเรอ่ื งหน่ึง ซง่ึ ตรงกบั เร่ืองทเี่ ดก็ ทารายงานในบางกลุ่ม ทาให้กลุ่มน้ันไดเ้ ปรยี บคน อืน่ ๆ ข้อสอบบางข้อใชค้ าถามหรอื ขอ้ ความที่แนะคาตอบ ทาใหน้ ักเรียนใช้ไหวพรบิ เดาได้การใชข้ ้อสอบ แบบอตั นัยเพยี ง 5 หรือ 10 ข้อมาทดสอบเด็กนนั้ ไมอ่ าจสร้างความยุติธรรมในการสอนให้แก่เด็กได้ เพราะ ผูส้ อบมีโอกาสเกง็ ข้อสอบได้ถูกมากกว่าแบบปรนยั ที่ถามถงึ 100 ข้อ การออกแบบการวดั ประเมนิ และตดั สนิ ผลการเรียน

8. คาถามถามลกึ ( Searching) ข้อสอบทถ่ี ามลึกไมถ่ ามแต่เพียงความรูค้ วามจาเทา่ น้ัน แต่จะถามวัดความเขา้ ใจการนาความรทู้ ่ี ได้เรยี นไปแล้วมาแก้ปัญหา วเิ คราะห์ ตลอดจนสรา้ งสรรค์ สิ่งใหมข่ ้นึ มาจนท้ายท่สี ุดคอื การประเมนิ ผล คาถามท่ีถามลึกนนั้ ผู้ตอบตอ้ งคิดค้นก่อนจงึ จะสามารถหาคาตอบได้ มิใชเ่ พียงแต่ระลึกถึงประสบการณ์ ต่างๆ เพยี งตน้ื ๆ ก็ตอบปญั หาได้ แตเ่ ป็นแบบทดสอบท่ีวดั ความลกึ ซงึ้ ทางวิชาการตามแนวด่งิ มากกวา่ จะวดั ตามแนวกวา้ ง 9. คาถามย่ัวยุ (Exemplary) คาถามยัว่ ยุ ได้แกค่ าถามที่มลี กั ษณะทา้ ทายให้เด็กอยากคิดอยากทา มีลีลาการถามที่นา่ สนใจ ไมถ่ าม วนเวียนซ้าซากน่าเบื่อหน่าย การใช้รปู ภาพประกอบก็เป็นวิธหี น่ึง ท่ที าใหข้ ้อสอบนา่ สนใจ ขอ้ สอบ ทีย่ ากเกินไปทาใหผ้ สู้ อบหมดกาลังใจที่จะทา ส่วนข้อสอบที่งา่ ยเกนิ ไป กไ็ ม่ท้าทายให้อยากทา การเรยี ง คาถามจากข้องา่ ยไปหายากเปน็ วธิ หี น่งึ ทีท่ าใหข้ ้อสอบมลี ักษณะท้าทายน่าทา 10. จาเพาะเจาะจง (Definite) คาถามทดี่ ีต้องไม่ถามกว้างเกินไป ไม่ถามคลมุ เครอื หรอื เลน่ สานวนใหเ้ ดก็ งง เด็กอ่านแลว้ ต้อง เขา้ ใจชดั เจนวา่ ครูถามอะไร ส่วนจะตอบไดห้ รอื ไม่อยูท่ คี่ วามสามารถของผตู้ อบเป็นสาคัญ การใหค้ ะแนน และการตดั สินผลการเรียน ความหมายของคะแนน คะแนนที่ไดจ้ ากการตรวจคาตอบ หรือผลงานของผู้เรยี น หรือจากการสงั เกตผลการปฏบิ ตั คิ ะแนน เหลา่ น้ีเราเรยี นกวา่ คะแนนดิบ ซึ่งคะแนนดิบเปน็ เพยี งส่ิงทบี่ อกวา่ ผ้เู รียนทาข้อสอบได้มากน้อยเทา่ ใด ไม่ สามารถบอกว่านกั เรยี นแต่ละคนเกง่ อ่อนเทา่ ใดนักเรียนทที่ าคะแนนได้ 50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ไม่ไดบ้ อกวา่ นักเรียนมคี วามเก่ง ปานกลางเพราะทาข้อสอบได้ครึง่ หนงึ่ ของคะแนนเต็มทง้ั นี้ขน้ึ อย่กู ับความยากง่ายของขอ้ สอบ ดงั นน้ั จะเห็นไดว้ า่ คะแนนดบิ ไม่มีความหมายเพยี งพอทจี่ ะนามาเปรยี บเทียบกันได้ เนื่องจาก คะแนนดบิ มีความไม่เหมาะสมหลายประการ คอื (กังวาล เทยี นกัณฑ์เฑศน์ 2536 : 194) 1. หนว่ ยของคะแนนที่ใช้วดั ไม่สมบูรณ์ ไม่มคี วามหมาย เปรยี บเทยี บไม่ได้ 2. คะแนนดบิ ไมม่ ีความคงที่ 3. คะแนนท่ีแทนความสามารถของมนษุ ย์ต้องมีความซับซ้อนเพียงพอ จะเหน็ ว่าคะแนนดิบมีความไม่เหมาะสมเพียงพอท่ีตีความหมายไดช้ ดั เจน ถกู ต้อง เปน็ ที่เขา้ ใจ ไดท้ กุ ฝา่ ย คะแนนทจ่ี ะตคี วามหมายสมบรู ณ์จึงต้องแปลงเป็นคะแนนมาตรฐานก่อน คะแนนจากการสอบวัดผูเ้ รียน กาหนดข้ึนเพื่อใหเ้ ปรยี บเทยี บ แตม่ ิใชเ่ พ่ือการบอกจานวนหรอื ปรมิ าณมากน้อย ดังน้นั การให้คะแนนของผูเ้ รียนแต่ละคนจงึ ตอ้ งอาศยั การเปรียบเทยี บเป็นหลักสาคัญซึ่ง อาจกาหนดโดยการเปรยี บเทียบกนั ภายในกลมุ่ ผูเ้ รียน (ซง่ึ เรียกว่า การตัดสินแบบอิงกลุ่ม) หรอื เปรียบ การออกแบบการวัดประเมนิ และตัดสินผลการเรียน

เทยี บกบั เกณฑ์ที่กาหนดไว้ (ซ่ึงกเ็ รยี กว่า การตัดสนิ แบบ อิงเกณฑ์) (บญุ ธรรม กจิ ปรีดาบรสิ ทุ ธิ์ 2524 : 87) ระบบในการให้คะแนนจะเป็นแบบใดกแ็ ล้วแต่สถาบันจะเหน็ เหมาะสม คะแนนจะเปน็ ส่ือความ หมายท่ดี ีได้เมื่อเคร่ืองมือในการวัดมคี วามเทยี่ งตรง(Valid) และเชื่อถือได(้ Reliable) การเปรียบเทยี บ หรือรวมคะแนนที่ไดจ้ ากการสอบทไ่ี ม่เหมือนกัน จงึ ต้องพยายามทาให้คะแนนแต่ละจานวนท่ีหน่วยคงท่ี ซง่ึ ต้องอาศยั ระเบยี บวธิ สี ถติ ิ วัตถปุ ระสงค์การใชผ้ ลคะแนน การใช้ผลคะแนนการสอบมวี ตั ถุประสงค์การนาไปใช้ 4 ประการ ไดแ้ ก่ (ไพศาล หวงั พานชิ 2526 : 193) 1. ใชบ้ อกระดับความสามารถเปน็ การใช้เพ่ือจะชว่ ยใหท้ ราบวา่ เด็กแตล่ ะคนมีความสามารถ ขนาดใด สูงหรือต่ากวา่ เกณฑ์ แต่ละคนได้เกรดอะไร เดก็ ส่วนใหญม่ ีผลการเรยี นเป็นเช่นไร การใชผ้ ล ลักษณะน้ี จะทาให้ทราบทงั้ สภาพเด็กและสภาพของสถานศกึ ษาว่ามมี าตรฐานการเรยี นเปน็ เชน่ ไร 2. ใช้บอกความเดน่ -ด้อย เปน็ การใชเ้ พื่อคน้ และพัฒนาความสามารถของเดก็ กล่าว คอื เป็น การคน้ หาลกั ษณะเด่นของเด็กเพ่ือใหก้ ารส่งเสรมิ ไดต้ รงตามความสามารถ ในขณะเดยี วกันก็ชว่ ยคน้ หา ขอ้ บกพร่องตา่ ง ๆ ในการเรียนของเด็กๆ เพ่ือให้การชว่ ยเหลอื หรอื แกไ้ ขปรบั ปรงุ หรือให้การซอ่ มเสริม การเรยี นต่อไป 3. ใชบ้ อกความงอกงามเปน็ การใช้เพ่ือบอกประสิทธภิ าพของการเรยี นการสอนโดยยดึ ความ เปลย่ี นแปลงของเดก็ เปน็ หลักวา่ หลังจากมกี ารเรียนการสอนแลว้ เด็กได้พัฒนาหรือเปล่ียนแปลงพฤติ- กรรมไปในลักษณะใด มากน้อยเพยี งใด เพอ่ื เป็นประโยชนใ์ นการแก้ไขปรับปรุงวิธกี ารเรียนของเด็กหรือ วิธีการสอนของครูต่อไป 4. ใชบ้ อกคุณภาพเครื่องมือ เปน็ ผลพลอยไดท้ เ่ี ป็นประโยชน์อยา่ งยิ่งต่อการวดั ผลการศึกษา เพราะการใชผ้ ลการสอบไปตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือนัน้ จะชว่ ยพฒั นาการวัดผลในสถานศึกษานนั้ ๆ ได้เปน็ อย่างดี จะทาใหม้ เี ครอื่ งมือทีผ่ ่านการตรวจสอบคณุ ภาพ และแก้ไขปรับปรุงไว้ใช้ตอ่ ไป การให้ระดบั คะแนน ระบบการให้คะแนนความสามารถของผุ้เรยี นหรอื คุณลกั ษณะอืน่ ใดก็ตามนิยมใช้เปน็ 2 ระบบ ได้แก่ ระบบการให้คะแนนเป็นอักษรและระบบการให้คะแนนเป็นตัวเลข (อนันต์ ศรีโสภา 2525 : 263) 1.การให้ระดบั คะแนนเป็นตัวอักษร การให้คะแนนเป็นตวั อกั ษรนัน้ เป็นการแบง่ ช่วง คะแนนตามระดบั ความสามารถของผถู้ กู วัด โดยใช้ตวั อกั ษรเพอ่ื แทนความสามารถของผู้เรยี น โดยแบง่ เปน็ ช่วง ๆ ได้แก่ การออกแบบการวดั ประเมนิ และตดั สินผลการเรียน

1. แบ่งเปน็ 2 ช่วง ไดแ้ ก่ ผา่ น (P-Pass) และไม่ผา่ น (F-Fall) 2. แบง่ เปน็ 3 ช่วง ไดแ้ ก่ ดี (G) ผา่ น (P) และไมผ่ ่าน (F) หรืออาจเป็น A B C 3. แบง่ เป็น 5 ชว่ งได้แก่ A B C D และ E 4. แบง่ เปน็ 8 ช่วง ได้แก่ A B+ B C+ C และ D+ D และ E 5. แบ่งเปน็ 9 ช่วง ได้แก่ A A- B+ B B- C+ C- C และ D การใหค้ ะแนนเป็นระบบตวั อักษรน้ันมีไดห้ ลายระดบั ข้ึนอยกู่ บั ผปู้ ระเมินจะใช้ นอกจากน้ันผปู้ ระเมิน อาจให้คะแนนโดยให้คะแนนเป็นตวั เลขแลว้ จึงแปลงเปน็ ตัวอกั ษรก็ได้ อย่างไรกด็ บี างคร้ังผปู้ ระเมนิ อาจ ใหค้ ะแนนเป็นตวั อักษรเลยก็ไดเ้ ชน่ กนั แตต่ ้องกระทาดว้ ยความระมัดระวงั พิจารณาผู้เรียนที่จะประเมนิ อย่างรอบคอบและปราศจากอคติ การจัดคะแนนเปน็ ตวั อักษรทุกแบบไม่ควรเข้มงวด โดยถือคะแนนจาก การสอบอย่างเดียวเปน็ เกณฑ์จนเกนิ ไป การคดิ ถึงความสามารถจรงิ ๆ ของผู้เรยี นเทา่ ทสี่ ังเกตได้ขณะท่ี ทาการสอนมาประกอบด้วย (ประคอง กรรณสตู และวิรตั น์ ธรรมาภรณ์ 2523 : 4) 2.การใหร้ ะดบั คะแนนเปน็ ตวั เลข เป็นการเปลี่ยนความสามารถท่ไี ดจ้ ากการทดสอบ เปน็ ตัวเลข เพ่อื บ่งบอกขนาดแห่งความสามารถของบุคคล คะแนนท่ีไดเ้ รียกวา่ คะแนนดิบ คะแนนที่ ผูเ้ รียนไดร้ ับคอื คะแนนทีต่ อบคาถามตามเกณฑ์ทผ่ี ้สู อนกาหนดไว้ ซ่งึ ถอื ว่ามีหนว่ ยไม่เหมือนกัน ผล การสอบท่ีไดจ้ งึ ไม่ไดข้ ึน้ อยกู่ บั คะแนน แต่ข้ึนอยู่กบั การตคี วามหมายของคะแนนแล้วนาไปใชใ้ ห้เกิด ประโยชน์ การใหค้ ะแนนเป็นตวั เลขทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ (รตั นะ บวั สนธ์ 2540 : 188) 2.1 คะแนนดบิ และเปอรเ์ ซ็นต์ระดับการรอบรู้ 2.2 อันดับเปอรเ์ ซ็นไทล์ 2.3 คะแนนมาตรฐาน 2.1 คะแนนดิบและเปอรเ์ ซน็ ตร์ ะดับการรอบรู้ (Raw Score and Percentage-Master Scale) คะแนนท่ีไดจ้ ากการสอบวดั เราเรยี กวา่ คะแนนดบิ (Raw Score) ซ่งึ คะแนนดบิ เปน็ คะแนนหรือข้อมลู ท่ีมีความหมายน้อยมากสาหรบั การนาไปใชต้ ามวัตถุประสงคท์ ่ตี ้องการ ดงั น้ันในทาง ปฏิบตั ิแลว้ จึงมกั มีการคะแนนดบิ ทีไ่ ด้ไปแปลงรปู หรือเปรยี บเทียบกบั เกณฑใ์ ดเกณฑ์หนึง่ เสยี ก่อน จะ ชว่ ยใหม้ ีความหมายมากข้ึน เปอร์เซ็นตร์ ะดับการรอบรูเ้ ปน็ ความพยายามในการทาใหค้ ะแนนดิบมีความหมายมาก ข้ึนด้วย การแปลงคะแนนดิบใหเ้ ป็นคะแนนรอ้ ยละของคะแนนเต็ม เชน่ นักเรยี นคนหน่งึ สอบได้คะแนน 60 คะแนน จากจานวนคะแนนเต็ม 100 คะแนน ดังนัน้ คนนีม้ ีความสามารถในการเรยี นเน้อื หาวชิ าน้ี 60 เปอร์เซ็นต์ของ เน้อื หาวิชาท่ใี ช้ทดสอบ 2.2 อับดับเปอรเ์ ซน็ ไทล์ (Percentile Rank Scale) อนั ดบั เปอร์เซ็นตไ็ ทล์เปน็ การระบวุ ่า มผี ู้ทเี่ ข้าสอบด้วยกนั กเ่ี ปอรเ์ ซ็นต์ ของผเู้ ขา้ สอบ การออกแบบการวัดประเมินและตัดสินผลการเรยี น

ท้ังหมด ได้คะแนนตา่ กว่าคะแนนก่ึงกลาง (Mid Point) ของแตล่ ะคะแนนหรือแตล่ ะชว่ งคะแนน (อนันต์ ศรโี สภา 2525 : 237) อนั ดบั เปอร์เซ็นไทล์เปน็ การรายงานผลการสอบที่มีความหมายในตัว และใชใ้ นลักษณะ เปรียบเทยี บระหว่างผลการสอบของนักเรียนแตล่ ะคน เชน่ ก สอบได้ 45 คะแนนจากคะแนนเต็ม 60 คะแนน คดิ เป็นอันดับเปอร์เซ็นไทล์ หรือ PR ท่ี 70 (PR70) หมายความว่า ก ได้คะแนนสงู กวา่ คะแนน ของคนอนื่ ๆ อยู่ 70 คนใน 100 คน และมีคนอืน่ ๆ ได้คะแนนอย่สู งู กว่า ก 30 คน การแจกแจงของ PR จะแบง่ สดั สว่ นของผูเ้ ขา้ สอบออกเปน็ 100 ส่วน เท่า ๆ กัน ตวั อยา่ งเชน่ ความแตกตา่ งระหว่าง ความสามารถของคนที่ได้ PR70 กับ PR80 จะไดเ้ ทา่ กบั คนที่ได้ PR50 กบั PR60 เปน็ ตน้ ดงั นั้น การที่ จะนา Scale แบบนไี้ ปใชจ้ ะต้องระวังข้อจากดั เหล่าน้ีไวด้ ้วย ในการตีความหมายผลการทดสอบ นอกจากน้ีอนั ดับเปอรเ์ ซน็ ไทลน์ ไ้ี มใ่ ช่ร้อยละ แตห่ มายถงึ คะแนนท่ไี ด้หลังจากทเี่ ทยี บ คะแนนเต็มเป็น 100 เชน่ เด็กชายโอฬารสอบภาษาไทยไดร้ ้อยละ 60 ของคะแนนเตม็ แต่เม่ือแปลง คะแนนเปน็ อนั ดับเปอร์เซ็นต์ไทล์ อาจจะได้อนั ดับเปอรเ์ ซน็ ตไ์ ทลท์ ่ี 75 กไ็ ด้เมอื่ เทียบเดก็ ทง้ั กลุ่ม ซง่ึ หมายความว่าจานวนเดก็ ร้อยละ 75 ของเดก็ ทง้ั หมดที่เข้าสอบด้วยกันได้คะแนนตา่ กวา่ เด็กชายโอฬาร จะเหน็ วา่ อันดบั เปอรเ์ ซ็นต์ไทล์แสดงถงึ ตาแหน่งเทา่ น้นั ไมเ่ กย่ี วกับคะแนนของเดก็ คนน้นั คิดเป็นรอ้ ยละ ของคะแนนเต็ม 2.3 คะแนนมาตรฐาน (Standard Score) คะแนนมาตรฐานเปน็ คะแนนที่ได้จากการแปลงคะแนนดิบใหม้ คี ่าเฉล่ีย ( ) และสว่ น เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S) คงที่หรือใหเ้ ป็นหนว่ ยเดียวกันเพ่ือประโยชนใ์ นการนาคะแนนมาเปรียบเทยี บกัน ได้ คะแนนมาตรฐานมหี ลายประเภทได้แก่ 1) คะแนนมาตรฐานซี (Standard Z –Score) คะแนนมาตรฐานซี (Z) หาไดโ้ ดยการนาคะแนนท่ีได้ (แต่ละตวั ) ลบคะแนนเฉลยี่ และ หารด้วยสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนชุดนัน้ เขยี นได้ตามสูตร (บญุ ธรรม กิจปรดี าบรสิ ุทธ์ิ 2524 : 218) เมือ่ Z แทน คะแนนมาตรฐานซ ี X แทน คะแนนแตล่ ะตัว แทน คะแนนเฉลีย่ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การออกแบบการวดั ประเมินและตัดสินผลการเรียน

คะแนนมาตรฐานซจี ะมคี ะแนนเฉลยี่ เป็น 0 (ศนู ย)์ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานเป็น 1 (หนึ่ง) ซ่งึ คะแนนมาตรฐานซนี น้ั อาจมคี ่าเป็นได้ทง้ั บวกและลบ 2) คะแนนมาตรฐานที (Standard T-Score) เนอื่ งจากคะแนนมาตรฐานซี จะมีคา่ เปน็ ทั้งบวกและลบซง่ึ อาจทาให้เข้าใจยากดังนั้น จงึ มกี ารแปลงเป็นคะแนนมาตรฐานที เพอ่ื ไม่ให้คะแนนติดลบโดยวิธีการแปลงตามสูตร (บญุ ธรรม กิจปรดี าบรสิ ทุ ธ์ิ 2524 : 218) หรือ คะแนนมาตรฐาน-ที จะมีคะแนนเฉลย่ี 50 และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 10 การตดั เกรด การตดั เกรด (Grading) หรือการกาหนดระดบั คะแนนน้ันเปน็ วิธกี ารสรุปผลการเรียนข้นั สุดท้าย เพอ่ื ประเมนิ ผลและกาหนดระดับของความสามารถในการเรียนของเด็กวา่ ผ่าน-ไม่ผา่ น เก่งอ่อนระดบั A B C D หรือ E การตดั เกรดจงึ เปน็ การนาผลการสอบวัดทุกชนดิ ไปประเมนิ ผล (รตั นะ บวั สนธ์ 2540 : 194-195) 1. องค์ประกอบทใี่ ชใ้ นการตดั เกรด ความถูกต้องเหมาะสมของการตดั เกรดย่อมขน้ึ อยู่กับ องคป์ ระกอบ 3 ประการคือ 1) ผลการวดั (Measurement) เป็นข้อมลู ท่ีได้จากการศกึ ษารายละเอยี ด ของเด็กโดยอาศยั วธิ กี ารต่างๆ เชน่ การสอบ การสงั เกต การปฏบิ ัตงิ าน เป็นตน้ การตดั เกรดที่ดีจะต้อง อาศัยผลของการวดั ทถี่ ูกต้อง แม่นยา มคี วามเท่ยี งตรง ครอบคลุมและเชื่อม่ันได้ถา้ หากผลการวดั เชือ่ ถือ ไมไ่ ด้ หรอื ขาดความเทย่ี งตรง เมอ่ื นาผลไปตัดเกรด กย็ ่อมคลาดเคลอื่ นจากความเปน็ จริง ดงั นัน้ จงึ กลา่ ว ได้ว่าการให้เกรดทด่ี ีต้องอาศยั ผลการวัดทด่ี ี 2) เกณฑก์ ารพจิ ารณา (Criteria) เป็นมาตรฐานทใ่ี ช้เป็นหลกั ของการ เปรียบเทียบหรอื คุณลักษณะทต่ี ัง้ ไว้ เปน็ เป้าหมายหรือความมุ่งหวงั ที่จะใหเ้ กิดแกผ่ ู้เรยี นและใช้เป็น เครื่องตัดสินช้ีขาดระดบั ความสามารถท่เี กิดข้นึ กบั เดก็ 3) วิจารณญาณและคุณธรรมต่าง ๆ (Value Judgement)เปน็ คณุ สมบตั ใิ นดา้ นต่างๆ ของผู้สอน ท่จี ะช่วยใหก้ ารกาหนดกระทาอย่างเหมาะสมยุติธรรม ผลการวดั ที่ไดเ้ ป็น เพียงข้อมลู สว่ นหนง่ึ เกีย่ วกับตัวเด็กเทา่ น้นั การประเมนิ ผลท่ีเที่ยงตรง จาเปน็ ต้องอาศยั ดุลพนิ ิจหรอื การ พิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถว้ นของผ้สู อนประกอบอีกส่วนหน่ึงด้วย โดยพยายามให้ความเปน็ ธรรม ขจัด ความลาเอยี งหรืออคตสิ ว่ นตวั และควรคานึงถงึ ความเปล่ยี นแปลงงอกงามของเดก็ ในดา้ นอื่นๆ ประกอบ ดว้ ย เชน่ ความสนใจ ความตัง้ ใจใน การเรียนรายวชิ านัน้ ๆ ด้วย การออกแบบการวดั ประเมนิ และตัดสนิ ผลการเรยี น

2. ระบบของการตดั เกรด โดยปกตกิ ารตัดเกรด หรือการกาหนดระดับคะแนนมอี ยู่ 2 แบบ ดว้ ยกัน (บุญธรรม กิจปรดี าบรสิ ุทธ์ิ 2524 :192-193) 1) ระบบสมบรู ณ์ (Absolute Marking System) เปน็ ระบบการใหเ้ กรดทีใ่ ชค้ ะแนนดบิ หรอื เปอรเ์ ซน็ ตท์ ี่เดก็ สอบได้เปน็ หลักในการตดั เกรด เช่น เดก็ ได้ 90% ข้ึนไป ให้เกรด A ได้ 75%-89% ไดเ้ กรด B เป็นต้น ระบบนม้ี ีจุดออ่ นตรงทีใชเ้ ปอร์เซน็ ต์ดงั กล่าวเป็นหลัก ทั้งนีเ้ พราะเปอรเ์ ซน็ ต์หรอื คะแนนที่เด็ก ได้ จะขึ้นอยูก่ บั ความยากง่ายของข้อสอบเปน็ อย่างมาก อีกท้ังการใช้วิจารณญาณของผู้สอนจะไมม่ สี ่วน เกี่ยวข้องเลย ดังนนั้ ถ้าเด็กกล่มุ หนง่ึ มีผลการเรียนโดยความรสู้ ึกของผ้สู อนวา่ ค่อนข้างอ่อน ไมเ่ ป็นทพี่ อใจ นกั แตข่ อ้ สอบท่ีใหเ้ ดก็ ทานั้นง่ายเกินไปเดก็ กล่มุ นีก้ ็จะได้เกรด A หลายคน ซ่ึงก็ไมส่ อดคลอ้ งกับการประเมิน ของผ้สู อนเลย 2) ระบบสัมพทั ธ์ (Relative Marking System) เปน็ ระบบการใหเ้ กรดโดยการเปรียบเทยี บ คะแนนของเดก็ ภายในกลุม่ แลว้ ใช้วิจารณญาณของผูส้ อนกาหนดเกณฑ์การพิจารณาตามสภาพของกลมุ่ นน้ั หลักการเบือ้ งต้นของระบบนก้ี ค็ ือ จะต้องแปลงคะแนนที่เดก็ สอบได้ดงั กลา่ วได้ให้สามารถนามา เปรยี บเทยี บกนั ได้ ก็คือต้องใช้ระบบคะแนนมาตรฐาน จดุ ออ่ นของวธิ ีการน้ีกค็ ือ ยึดการกระจายของคะแนน เป็นแนวโคง้ ปรกติเปน็ เหตุให้นาไปใช้กบั กลุ่มที่มีลักษณะเฉพาะ เชน่ เด็กเก่งทง้ั กลุ่ม หรอื เด็กอ่อนท้งั กลุ่ม อาจจะเกดิ ความไม่เหมาะสม นน่ั คือ การตัดเกรดแบบเกณฑส์ มั พัทธ์ จะมคี วามยุ่งยากเมื่อใชก้ บั กลุ่มเดก็ ทีม่ ี การกระจายของคะแนนแคบ หรือคะแนนการสอบของเด็กใกล้เคยี งหรอื เกาะกลุ่มกัน การให้ระดับผลการเรียน การตดั สนิ เพ่ือใหร้ ะดบั ผลการเรยี นรายวิชาของกลุม่ สาระการเรียนรูใ้ ห้ใช้ตวั เลขแสดงระดับผลการ เรยี นเปน็ 8 ระดบั การตัดสินผลการเรยี นในระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐานใช้ระบบผา่ นและไม่ผ่านโดยกาหนด เกณฑ์การตดั สินผา่ นแตล่ ะรายวิชาที่ร้อยละ 50 จากน้นั จึงใหร้ ะดบั ผลการเรยี นทผี่ ่านสาหรบั ระดับมธั ยมศึกษา ตอนต้นและตอนปลายใช้ตัวเลขแสดงระดบั ผลการเรยี นเป็น 8 ระดบั แนวการใหร้ ะดับ ผลการเรียน 8 ระดับและความหมายของแตล่ ะระดับดงั แสดงในตารางดังน้ี 4 ดเี ย่ียม 80-100 3.5 ดมี าก 75-79 3 ดี 70-74 2.5 คอ่ นขา้ งดี 65-69 2 ปานกลาง 60-64 1.5 พอใช้ 55-59 1 ผา่ นเกณฑข์ ้ันตา่ 50-54 0 ตา่ กว่าเกณฑ์ 0-49 ในกรณีท่ีไมส่ ามารถใหร้ ะดบั ผลการเรียนเป็น 8 ระดับได้ใหใ้ ช้ตัวอกั ษรระบุเง่อื นไขของผลการเรียนดงั นี้ การออกแบบการวดั ประเมนิ และตดั สนิ ผลการเรียน

“มส” หมายถงึ ผู้เรียนไม่มีสทิ ธเิ ข้ารับการวัดผลปลายภาคเรยี นเนอ่ื งจากผเู้ รียนมีเวลาเรยี นไมถ่ ึงร้อย ละ 80 ของเวลาเรียนในแต่ละรายวชิ าและไมไ่ ด้รับการผ่อนผันใหเ้ ข้ารบั การวัดผลปลายภาคเรียน “ร” หมายถงึ รอการตดั สินและยงั ตัดสนิ ผลการเรียนไม่ได้เนอ่ื งจากผเู้ รยี นไม่มีข้อมูลผลการเรยี น รายวชิ านน้ั ครบถว้ นได้แก่ไม่ได้วดั ผลระหวา่ งภาคเรยี น/ปลายภาคเรียนไม่ได้ส่งงานทม่ี อบหมายให้ทาซ่ึงงานนัน้ เปน็ สว่ นหนึง่ ของการตัดสินผลการเรยี นหรอื มีเหตุสดุ วสิ ัยที่ทาใหป้ ระเมินผลการเรยี นไม่ได้ การประเมินการอ่านคิดวเิ คราะห์และเขยี นและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคน์ น้ั ใหผ้ ลการประเมินเป็น ผา่ นและไมผ่ ่านกรณีทผ่ี า่ นให้ระดับผลการประเมนิ เป็นดเี ย่ียมดีและผ่าน 1) ในการสรปุ ผลการประเมินการอา่ นคิดวเิ คราะห์และเขียนเพอ่ื การเล่ือนชั้นและจบการศึกษากาหนด เกณฑ์การตัดสินเปน็ 4 ระดับและความหมายของแต่ละระดบั ดงั น้ี ดีเยย่ี ม หมายถงึ มีผลงานท่แี สดงถงึ ความสามารถในการอา่ นคดิ วิเคราะห์และเขียนที่มี คุณภาพดีเลิศอยู่เสมอ ดี หมายถงึ มผี ลงานทแี่ สดงถึงความสามารถในการอา่ นคิดวเิ คราะห์และเขียนที่มีคณุ ภาพ เป็นที่ยอมรบั ผา่ น หมายถึง มีผลงานทแ่ี สดงถึงความสามารถในการอ่านคดิ วิเคราะหแ์ ละเขยี นท่ีมคี ุณภาพ เปน็ ท่ยี อมรับแต่ยงั มีขอ้ บกพร่องบางประการ ไมผ่ า่ น หมายถึง ไมม่ ผี ลงานท่ีแสดงถงึ ความสามารถในการอา่ นคิดวเิ คราะห์และเขียนหรอื ถ้ามีผลงานผลงานน้ันยงั มีข้อบกพร่องทต่ี ้องได้รับการปรบั ปรงุ แกไ้ ขหลายประการ 2) ในการสรปุ ผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคร์ วมทุกคุณลักษณะเพื่อการเลื่อนชน้ั และจบ การศึกษากาหนดเกณฑ์การตัดสินเปน็ 4 ระดบั และความหมายของแต่ละระดบั ดังน้ี ดเี ย่ยี ม หมายถงึ ผ้เู รียนปฏิบัตติ นตามคุณลกั ษณะจนเป็นนสิ ยั และนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั เพือ่ ประโยชน์สุขของตนเองและสงั คมโดยพิจารณาจากผลการประเมินระดับดีเย่ียมจานวน 5-8 คณุ ลักษณะ และไม่มีคุณลกั ษณะใดได้ผลการประเมนิ ตา่ กว่าระดับดี ดี หมายถงึ ผู้เรยี นมีคุณลกั ษณะในการปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑเ์ พ่ือใหเ้ ป็นการยอมรับของสงั คม โดยพจิ ารณาจากไดผ้ ลการประเมินระดบั ดเี ยย่ี มจานวน 1-4 คณุ ลักษณะและไม่มีคุณลักษณะใดไดผ้ ลการ ประเมนิ ตา่ กว่าระดบั ดหี รือได้ผลการประเมินระดบั ดที ้ัง 8 คณุ ลกั ษณะหรือไดผ้ ลการประเมินตงั้ แตร่ ะดับดขี ้นึ ไปจานวน 5-7คุณลักษณะและมบี างคุณลกั ษณะไดผ้ ลการประเมินระดับผา่ น ผ่าน หมายถึง ผเู้ รียนรบั รู้และปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขท่สี ถานศกึ ษากาหนดโดยพิจารณา ได้ผลการประเมนิ ระดบั ผา่ นทั้ง 8 คุณลักษณะหรือ ไดผ้ ลการประเมินตัง้ แตร่ ะดับดีขนึ้ ไปจานวน 1-4 คุณลักษณะและคุณลักษณะท่ีเหลอื ได้ผลการประเมนิ ระดับผา่ น ไม่ผ่าน หมายถงึ ผเู้ รยี นรับรแู้ ละปฏิบตั ไิ ด้ไมค่ รบตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขท่สี ถานศกึ ษากาหนดโดย พจิ ารณาจากผลการประเมินระดบั ไม่ผา่ นตั้งแต่ 1 คุณลกั ษณะการประเมินกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียนจะตอ้ ง พิจารณาทั้งเวลาการเข้ารว่ มกิจกรรมการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมและผลงานของผูเ้ รียนตามเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนด และให้ผลการประเมนิ เป็นผา่ นและไม่ผา่ นกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนมี 3 ลกั ษณะคือ การออกแบบการวัดประเมนิ และตดั สนิ ผลการเรียน

1) กิจกรรมแนะแนว 2) กิจกรรมนักเรยี นซึ่งประกอบดว้ ย (1) กจิ กรรมลกู เสอื เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บาเพญ็ ประโยชนแ์ ละนกั ศึกษาวิชาทหารโดยผเู้ รียน เลือกอยา่ งใดอย่างหนง่ึ (2) กจิ กรรมชมุ นมุ หรอื ชมรม ทง้ั นผ้ี เู้ รยี นระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ จะต้องเขา้ ร่วมกจิ กรรมทง้ั ข้อ (1) และ (2) สาหรบั ผูเ้ รียนระดบั มัธยมศึกษาตอนปลายสามารถเลอื กเขา้ ร่วมกิจกรรมใดกจิ กรรมหนึ่งในข้อ (1) หรอื (2) 3) กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชนใ์ ห้ใช้ ตัวอกั ษรแสดงผลการประเมิน ดังนี้ “ผ” หมายถึง ผู้เรยี นมีเวลาเขา้ รว่ มกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี นปฏบิ ตั ิกิจกรรมและมีผลงานตามเกณฑท์ ี่ สถานศกึ ษากาหนด “มผ” หมายถงึ ผู้เรียนมีเวลาเข้ารว่ มกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและมผี ลงานไมเ่ ป็นไปตาม เกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนด การเปลย่ี นผลการเรียน การเปล่ียนผลการเรยี น “0” สถานศกึ ษาจดั ให้มีการสอนซอ่ มเสรมิ ในมาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวชว้ี ดั ที่ผ้เู รยี นสอบไม่ผ่านก่อนแลว้ จงึ สอบแก้ตัวได้ไมเ่ กิน 2 คร้ังถา้ ผเู้ รียนไม่ดาเนนิ การสอบแกต้ ัวตามระยะเวลาทส่ี ถานศึกษากาหนดให้อยู่ในดุลย พินจิ ของสถานศึกษาที่จะพิจารณาขยายเวลาออกไปอีก 1 ภาคเรียนสาหรบั ภาคเรยี นท่ี 2 ตอ้ งดาเนนิ การให้ เสรจ็ สน้ิ ภายในปกี ารศึกษานั้น ถ้าสอบแก้ตวั 2 คร้งั แล้วยงั ไดร้ ะดบั ผลการเรยี น “0” อกี ให้สถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการ ดาเนนิ การเกย่ี วกบั การเปลยี่ นผลการเรยี นของผู้เรียนโดยปฏิบตั ดิ ังน้ี 1) ถา้ เป็นรายวิชาพ้ืนฐานใหเ้ รยี นซา้ รายวิชานน้ั 2) ถา้ เป็นรายวิชาเพิ่มเตมิ ใหเ้ รียนซา้ หรือเปลีย่ นรายวชิ าเรียนใหม่ท้ังนใ้ี หอ้ ยู่ในดุลยพินิจของ สถานศกึ ษา ในกรณที เ่ี ปลย่ี นรายวชิ าเรียนใหมใ่ ห้หมายเหตใุ นระเบยี นแสดงผลการเรยี นวา่ เรยี นแทนรายวชิ าใด การเปล่ียนผลการเรียน “ร” การเปลีย่ นผลการเรยี น “ร” ให้ดาเนนิ การดังน้ี ใหผ้ ู้เรยี นดาเนนิ การแกไ้ ข “ร” ตามสาเหตุเม่ือผ้เู รยี นแก้ไขปัญหาเสร็จแลว้ ใหไ้ ด้ระดับผลการเรยี น ตามปกติ(ตั้งแต่ 0-4)ถ้าผูเ้ รียนไม่ดาเนินการแก้ไข “ร” กรณีท่ีส่งงานไม่ครบแต่มีผลการประเมินระหว่างภาค เรยี นและปลายภาคใหผ้ ูส้ อนนาข้อมูลทม่ี ีอย่ตู ดั สนิ ผลการเรยี นยกเวน้ มเี หตุสุดวสิ ัยใหอ้ ยู่ในดุลยพนิ จิ ของ สถานศกึ ษาที่จะขยายเวลาการแก้ “ร” ออกไปอกี ไมเ่ กนิ 1 ภาคเรยี นสาหรับภาคเรียนท่ี 2 ตอ้ งดาเนนิ การให้ เสรจ็ สิ้นภายในปีการศกึ ษานั้นเม่ือพ้นกาหนดน้ีแลว้ ให้เรียนซา้ หากผลการเรียนเป็น “0” ให้ดาเนนิ การแก้ไข ตามหลกั เกณฑ์ การออกแบบการวัดประเมินและตัดสินผลการเรยี น

การเปล่ยี นผลการเรียน “มส” การเปลีย่ นผลการเรยี น “มส” มี 2 กรณีดังน้ี 1) กรณผี ้เู รยี นไดผ้ ลการเรียน “มส” เพราะมีเวลาเรยี นไม่ถงึ ร้อยละ 80 แตม่ เี วลาเรียนไมน่ ้อยกวา่ ร้อย ละ 60 ของเวลาเรยี นในรายวิชานนั้ ให้สถานศกึ ษาจัดให้เรยี นเพ่ิมเติมโดยใช้ชว่ั โมงสอนซ่อมเสริมหรือใชเ้ วลา ว่างหรอื ใชว้ ันหยดุ หรอื มอบหมายงานใหท้ าจนมเี วลาเรยี นครบตามทีก่ าหนดไวส้ าหรบั รายวิชานน้ั แล้วจงึ ให้ วัดผลปลายภาคเปน็ กรณพี เิ ศษผลการแก้ “มส” ให้ไดร้ ะดับผลการเรียนไมเ่ กิน “1”การแก้ “มส” กรณนี ้ใี ห้ กระทาใหเ้ สร็จสน้ิ ภายในปีการศึกษานัน้ ถา้ ผู้เรยี นไม่มาดาเนินการแก้ “มส” ตามระยะเวลาทก่ี าหนดไวน้ ี้ให้ เรียนซ้ายกเวน้ มีเหตสุ ุดวิสยั ให้อยใู่ นดุลยพินิจของสถานศึกษาทีจ่ ะขยายเวลาการแก้ “มส”ออกไปอกี ไมเ่ กิน 1 ภาคเรียนแตเ่ มื่อพน้ กาหนดน้ีแล้วให้ปฏบิ ัติดงั น้ี (1) ถา้ เป็นรายวชิ าพืน้ ฐานให้เรียนซา้ รายวิชาน้ัน (2) ถ้าเปน็ รายวิชาเพ่มิ เตมิ ให้อยู่ในดุลยพนิ ิจของสถานศกึ ษาใหเ้ รียนซ้าหรือเปลย่ี นรายวชิ า เรยี นใหม่ 2) กรณผี ้เู รยี นได้ผลการเรียน “มส” เพราะมเี วลาเรยี นน้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ของเวลาเรียนท้ังหมดให้ สถานศึกษาดาเนนิ การดงั นี้ (1) ถ้าเป็นรายวิชาพน้ื ฐานให้เรยี นซ้ารายวิชานนั้ (2) ถา้ เป็นรายวชิ าเพิ่มเติมให้อยู่ในดุลยพนิ ิจของ สถานศกึ ษาให้เรียนซ้าหรอื เปล่ยี นรายวิชาเรยี นใหม่ในกรณีท่ีเปลยี่ นรายวชิ าเรียนใหม่ใหห้ มายเหตุใน ระเบยี นแสดงผลการเรียนวา่ เรียนแทนรายวิชาใด การเรยี นซา้ รายวชิ า ผู้เรยี นทไี่ ดร้ บั การสอนซอ่ มเสริมและสอบแก้ตัว 2 ครั้งแล้วไมผ่ า่ นเกณฑ์การประเมินให้เรยี นซ้า รายวิชานั้นทัง้ น้ีให้อยู่ในดุลยพนิ ิจของสถานศึกษาในการจัดให้เรียนซา้ ในชว่ งใดชว่ งหนง่ึ ที่สถานศึกษาเห็นวา่ เหมาะสม เช่น พกั กลางวนั วนั หยดุ ช่วั โมงวา่ ง หลงั เลิกเรียนภาคฤดรู อ้ นเป็นต้น ในกรณีภาคเรียนที่ 2 หากผเู้ รยี นยังมีผลการเรยี น “0” “ร” “มส” ให้ดาเนินการให้เสรจ็ สน้ิ ก่อนเปิด เรยี นปกี ารศกึ ษาถัดไปสถานศึกษาอาจเปิดการเรยี นการสอนในภาคฤดูร้อนเพื่อแก้ไขผลการเรียนของผ้เู รยี นได้ ท้งั นี้หากสถานศึกษาใดไม่สามารถดาเนนิ การเปิดสอนภาคฤดรู ้อนได้ให้สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษา/ตน้ สังกัด เป็นผูพ้ จิ ารณาประสานงานให้มกี ารดาเนนิ การเรยี นการสอนในภาคฤดรู ้อนเพื่อแก้ไขผลการเรยี นของผู้เรยี น การเปลยี่ นผล “มผ” กรณที ผี่ ูเ้ รียนได้ผล “มผ” สถานศกึ ษาต้องจดั ซ่อมเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนทากจิ กรรมในส่วนทีผ่ ู้เรียนไมไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มหรือไม่ได้ทาจนครบถ้วนแลว้ จึงเปลยี่ นผลจาก “มผ” เป็น “ผ” ไดท้ ้งั น้ดี าเนินการให้เสร็จสิน้ ภายในภาค เรยี นน้ันๆยกเวน้ มเี หตสุ ดุ วสิ ยั ให้อยูใ่ นดลุ ยพินิจของสถานศึกษาที่จะพจิ ารณาขยายเวลาออกไปอีกไมเ่ กนิ 1 ภาคเรียนสาหรบั ภาคเรยี นท่ี 2 ตอ้ งดาเนินการใหเ้ สร็จสิน้ ภายในปกี ารศึกษานัน้ การเลื่อนชน้ั การออกแบบการวัดประเมินและตดั สินผลการเรยี น

เม่ือส้นิ ปกี ารศกึ ษาผูเ้ รยี นจะได้รบั การเล่ือนช้ันเม่ือมคี ณุ สมบัติตามเกณฑ์ดงั ต่อไปน้ี 1) รายวชิ าพน้ื ฐานและรายวชิ าเพ่ิมเติมไดร้ บั การตัดสนิ ผลการเรยี นผา่ นตามเกณฑท์ สี่ ถานศกึ ษา กาหนด 2) ผเู้ รียนต้องได้รบั การประเมนิ และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนดในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียนคุณลักษณะอนั พึงประสงคแ์ ละกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น 3) ระดับผลการเรยี นเฉล่ียในปกี ารศึกษานัน้ ควรได้ไม่ต่ากวา่ 1.00 ทัง้ น้รี ายวชิ าใดท่ีไม่ผา่ นเกณฑก์ าร ประเมนิ สถานศึกษาสามารถซ่อมเสริมผูเ้ รียนให้ไดร้ บั การแก้ไขในภาคเรียนถดั ไปทั้งนี้สาหรับภาคเรียนที่ 2 ตอ้ งดาเนนิ การใหเ้ สรจ็ ส้ินภายในปกี ารศึกษาน้นั การสอนซ่อมเสรมิ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐานพทุ ธศักราช 2551กาหนดให้สถานศึกษาจัดสอนซ่อมเสรมิ เพ่อื พัฒนาการเรียนรู้ของผูเ้ รยี นเตม็ ตามศักยภาพ การสอนซ่อมเสรมิ เป็นการสอนเพ่ือแก้ไขข้อบกพร่องกรณีท่ี ผเู้ รียนมคี วามรู้ทกั ษะ กระบวนการหรอื เจตคต/ิ คุณลกั ษณะไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑท์ สี่ ถานศึกษากาหนด สถานศึกษาต้องจัดสอนซ่อมเสรมิ เปน็ กรณีพเิ ศษนอกเหนือไปจากการสอนตามปกตเิ พ่ือพัฒนาใหผ้ ู้เรยี น สามารถบรรลตุ ามมาตรฐานการเรียนรู/้ ตวั ชีว้ ัดทก่ี าหนดไว้เปน็ การให้โอกาสแกผ่ ูเ้ รียนไดเ้ รียนรแู้ ละพัฒนาโดย จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ทีห่ ลากหลายและตอบสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคลการสอนซ่อมเสริมสามารถ ดาเนนิ การได้ในกรณดี งั ต่อไปนี้ 1) ผ้เู รียนมีความร้/ู ทกั ษะพน้ื ฐานไมเ่ พยี งพอที่จะศึกษาในแตล่ ะรายวชิ านั้นควรจดั การสอน ซ่อมเสรมิ ปรบั ความร/ู้ ทักษะพ้ืนฐาน 2) ผูเ้ รยี นไมส่ ามารถแสดงความรู้ทกั ษะกระบวนการหรอื เจตคติ/คุณลักษณะท่ีกาหนดไว้ตาม มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชวี้ ดั ในการประเมินผลระหว่างเรยี น 3) ผูเ้ รียนทไ่ี ด้ระดับผลการเรียน “0” ให้จดั การสอนซ่อมเสริมก่อนสอบแกต้ วั 4) กรณีผเู้ รยี นมีผลการเรียนไมผ่ า่ นสามารถจดั สอนซ่อมเสริมในภาคฤดูร้อนเพ่ือแก้ไขผลการ เรียนท้ังนใ้ี หอ้ ยู่ในดลุ ยพนิ ิจของสถานศกึ ษาจากรายละเอยี ดตา่ งๆข้างตน้ สรุปเปน็ แผนภาพท่ี 2.6 แสดง กระบวนการตัดสินและแก้ไขผลการเรียนระดบั มธั ยมศกึ ษา การเรียนซา้ ช้นั ผู้เรียนท่ีไม่ผ่านรายวิชาจานวนมากและมแี นวโนม้ วา่ จะเป็นปญั หาต่อการเรียนในระดบั ชน้ั ท่ีสูงข้นึ สถานศกึ ษาอาจตงั้ คณะกรรมการพจิ ารณาให้เรยี นซา้ ชนั้ ได้ทงั้ นี้ให้คานึงถงึ วฒุ ภิ าวะและความรคู้ วามสามารถ ของผเู้ รยี นเปน็ สาคัญการเรียนซ้าชน้ั มี 2 ลักษณะคือ 1) ผูเ้ รยี นมรี ะดับผลการเรียนเฉลย่ี ในปกี ารศึกษาน้ันตา่ กว่า 1.00และมีแนวโนม้ วา่ จะเปน็ ปัญหาต่อ การเรยี นในระดับช้นั ทส่ี งู ขนึ้ 2) ผู้เรียนมผี ลการเรยี น 0, ร, มส เกินครึ่งหนง่ึ ของรายวชิ าที่ลงทะเบียนเรยี นในปีการศกึ ษาน้นั การออกแบบการวดั ประเมนิ และตัดสนิ ผลการเรยี น

ทง้ั น้หี ากเกิดลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึงหรือท้ัง 2 ลกั ษณะใหส้ ถานศึกษาแตง่ ตั้งคณะกรรมการพิจารณา หากเหน็ วา่ ไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ให้ซา้ ชัน้ โดยยกเลิกผลการเรียนเดมิ และให้ใช้ผลการเรียนใหมแ่ ทนหาก พจิ ารณาแลว้ ไม่ต้องเรยี นซ้าชั้นให้อย่ใู นดลุ ยพินจิ ของสถานศึกษาในการแก้ไขผลการเรยี น การออกแบบการวดั ประเมนิ และตัดสินผลการเรียน