Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศส

วัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศส

Published by 16415154, 2022-09-15 05:17:20

Description: วัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศส

Search

Read the Text Version

วัฒนธรรม ของ ประเทศฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสไม่นิยมการให้ทิป ใครที่คิดจะไปเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานพิเศษโดยหวังจะได้ทิปเยอะ ๆ ขอบอกว่าเป็นเรื่องยากมากมาย เพราะที่ฝรั่งเศสไม่นิยมให้ทิปกัน ( บางคนมองว่าเป็นเรื่องแปลก ) เพราะค่าบริการต่างๆ จะถูกรวมไว้ใน บิลอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่ม แต่หากสมมุติว่าพนักงานบริการดีมากก็อาจจะได้ทิปเล็ก ๆ น้อย.ๆ สัก 1-2 ยูโรได้ ที่สำคัญคือคนฝรั่งเศสจะชำระค่าบริการทุกอย่างด้วยบัตรเครดิตแทบจะทั้งหมด แม้ว่า จะเล็ก ๆ น้อยเพียง 5 ยูโรก็ตาม ผู้เขียนเคยมีเพื่อนชำระเงินสดประมาณ 20 ยูโร แล้วคนขายทำงง ๆ การจ่ายเป็นเงินสดผู้ขายหลายคนอาจจะมองคุณในแง่ลบได้ เพราะเงินสดมักจะไม่มีที่มาที่ไปของเงิน ( คิดว่ามาจากเงินที่ทำผิดกฎหมาย อะไรทำนองนี้ ) ดังนั้น ก่อนการเดินทางไปฝรั่งเศส พยายามที่จะพก บัตรเครดิตติดตัวไว้บ้างก็ดี ร้านขายยาที่ขายเฉพาะ \" ยา \" ร้านขายยาในปัจจุบัน นอกจากจะขายยาแล้ว แทบทุกร้านจะมีขายเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง มาสคาร่า หรือของใช้อื่น ๆ ที่สารพัดจะหามาขาย แต่ร้านขายยาในฝรั่งเศสจะขายเฉพาะ \" ยา \" เท่านั้น เคยมีการสำรวจพบว่าคนฝรั่งเศสเป็นชาติที่เสียเงินใช้จ่ายในการซื้อยามากที่สุดในยุโรป ซึ่งร้านขายยานั้น สามารถหาได้ง่ายตามมุมถนนทั่วไป เพราะคนฝรั่งเศสจะจริงจังเรื่องสุขภาพและการใช้ยามาก ที่จะเห็นได้ บ่อยมาก ๆ คือ การเจ็บป่วยแล้วเดินเข้าโรงพยาบาลนั้น บางครั้งคุณอาจจะไม่ได้รับการรักษา คุณอาจจะ หงายเงิบได้หากว่าคุณป่วย แล้วเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ตอบคุณกลับมาว่า ถ้าคุณไม่ได้นัดไว้ก็เชิญกลับบ้าน อีกทั้งการรักษาในโรงพยาบาลนั้น ค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้น คนฝรั่งเศสเป็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ต้องพึ่งร้านขายยาไว้ก่อนนั่นเอง

จริงจังเรื่องสุขภาพ องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยจัดอันดับให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีระบบดูแลสุขภาพประชาชนที่ ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก โดยวัดได้จากการที่ฝรั่งเศสมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายที่ต่ำมาก เพราะทุกคนมี ประกันสุขภาพ ที่จะจ่ายทดแทนให้ได้หมดแทบไม่มีข้อยกเว้น เรียกว่าป่วยเมื่อไหร่ประกันจ่ายให้หมด 100% แม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้าไปในอาศัยในประเทศฝรั่งเศสก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วย โดยราคาของ ประกันสุขภาพอยู่ที่ประมาณ 200-500 ยูโรหรือประมาณ 8,000-20,000 บาทต่อปี ภาษีโทรทัศน์ ที่ประเทศฝรั่งเศสใครมีโทรทัศน์ ต้องเสียภาษีโทรทัศน์ด้วย เพราะภาษีเหล่านี้ทางรัฐบาลจะนำไป ปรับปรุงรายการโทรทัศน์ให้มีคุณภาพมากขึ้น และมีโฆษณาคั่นรายการน้อยมาก เพราะรัฐบาลฝรั่งเศส ไม่ต้องการให้ประชาชนถูกโฆษณาเหล่านั้นมอมเมา ( รายการทีวีของฝรั่งเศสไม่มีรายได้จากโฆษณา จึงต้องเก็บเป็นภาษีแทน )

ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า คุณอาจคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า The customer is always right. คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงลูกค้า ก็คือพระเจ้าและถูกอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ที่ฝรั่งเศสแน่นอน ว่ากันว่าวิถีการให้บริการของคนที่นั่นค่อนข้างแข็ง และทื่อ ๆ ไม่ค่อยแคร์ลูกค้า บางร้านค้าในฝรั่งเศส เวลาในการเปิดบริการขึ้นอยู่กับอารมณ์คนขาย เมื่อเป็นแบบนี้จะเห็นบ่อยมากเมื่อเราคุยภาษาอังกฤษกับคนขาย สิ่งที่ตอบกลับมาคือเขาจะตอบกลับด้วย ภาษาฝรั่งเศส แม้ว่าเค้าจะพูดได้ แต่ประมาณว่า ก็ฉันไม่พูดน่ะ ใครจะทำไม ไม่พอใจก็ไปร้านอื่นดิ และเชื่อไหมว่า เป็นกันอย่างนี้แทบจะทุกร้านจริง ๆ ร้านที่จะบริการดีหน่อยคือร้านที่เป็นเอเชียอย่างร้าน อาหารจีน ญี่ปุ่น หรือไม่ก็อาหารเวียดนาม ที่เดินเข้าไปแล้วจะรู้สึกสบายใจ ไม่ต้องเกร็งว่าจะโดนตะเพิด ออกมาหรือไม่นั่นเอง เจ้าแห่งรางวัลโนเบล ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติที่โรแมนติก ทำให้ที่นี่จึงเป็นบ้านเกิดของกวีและนักเขียนชื่อดังมากมาย และประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาวรรณกรรมมากที่สุดของโลกด้วย นักเขียนที่เคยได้รับรางวัลนี้ก็เช่น J. M. G. Le Clézio หรือ ฌ็อง มารี กุสตาฟว์ เลอ เกลซีโย เป็นนักเขียนและนักเดินทางรอบโลกชาวฝรั่งเศส ซึ่งมีผลงานเขียนกว่า 40 เรื่อง จนได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา

French Greetings วิธีการทักทายของชาวฝรั่งเศสก็เป็นอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจรู้สึกไม่ชิน นอกจากการจับมือแล้ว การนำ แก้มมาแตะกันด้วยแก้มทั้งสองข้างก็เป็นทักทายเช่นกัน หากเป็นเพื่อนสนิทจะแตะแก้มกันสามครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับธรรมเนียมของแคว้นนั้น ๆ เราจะเรียกลักษณะการทักทายแบบนี้ว่า บีซู ข้อระวังที่มักจะเข้าใจผิดกันได้บ่อย ๆ คือ ไม่ใช่การจุ๊บกันนะ และที่สำคัญคือ ถ้าเขาเป็นฝ่ายหญิง และเราเป็นฝ่ายชาย โดยที่ฝ่ายหญิงเขาไม่ยื่นแก้มมาก่อน เราอย่าไปพยายามทำนะ การเมืองในฝรั่งเศสค่อนข้างแรง เนื่องจากคนฝรั่งเศสมีพื้นเพอุปนิสัยรัก และชอบที่จะวิจารณ์คนอื่น รวมถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา หลายต่อหลายครั้งก็ทิ่มกลับเหตุผลที่ทำให้เราได้หงายเงิบกันไปหลายครั้ง แต่นี่คืออุปนิสัยของชาวฝรั่งเศส ดังนั้น เรื่องการเมืองก็ไม่แพ้กัน จึงทำให้มีการแบ่งพรรคการเมืองออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน อีกทั้ง หนังสือพิมพ์จะวิจารณ์อย่างรุนแรง และมีการแบ่งอย่างชัดเจนด้วยคำว่า ขวา หรือ ซ้าย ดังนั้น เรื่องของ การเมืองเป็นเรื่องที่ควรจะหลีกเลี่ยง เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อน ๆ หลาย ๆ คน เพราะเดี๋ยวมันจะทำให้กลายเป็น เรื่องชวนทะเลาะกันซะเปล่า ๆ

คนฝรั่งเศสกินอาหารแบบเรียงตามลำดับหรือคอร์ส จบไปทีละคอร์ส ไม่วางอาหารทุกอย่างบนโต๊ะแล้วนั่งล้อมวงกันกินเหมือนคนไทย โดยทั่วไปจะมี 3 คอร์สคือ entré , plate principal และ dessert ถ้าเสิร์ฟแบบเต็มยศก็เพิ่มอีกสามเป็น 6 คอร์สโดยเริ่มจาก aperitif หรือออร์เดิร์ฟ แล้วเป็น entré ซึ่งมักจะเป็นซุป ตามด้วยอาหาร จานหลักที่เป็นเนื้อสัตว์ ต่อด้วยสลัดแล้วตามด้วยเนยแข็งสารพัดชนิด ปิดท้ายด้วยของหวานหรือผลไม้พร้อมกับกาแฟ ส่วนขนมปัง ไวน์ และน้ำแร่จะมีเสิร์ฟตลอดเวลาที่กินอาหาร คนฝรั่งเศสใช้มีดและส้อมในการกินอาหารเกือบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งเฟร้นฟรายส์ โดยถือมีดด้วยมือขวา และมือซ้ายถือส้อม ไม่มีการเปลี่ยนมือไปมา ชาวฝรั่งเศส จะไม่วางศอกบนโต๊ะอาหาร แต่ต้องวางมือไว้บนโต๊ะให้เห็น ไม่วางมือไว้บนหน้าตัก ชาวฝรั่งเศสถือว่าการดูทีวีระหว่างกินอาหารเย็น เป็นมารยาทที่ไม่ดี

1. คุณสามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour) ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า หรือบงซัว (Bonsoir) ที่หมายถึงสวัสดีตอนเย็น กล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า โอ เครอ วัว (Au revoir) ที่แปลว่า ลาก่อน และกล่าวขอบคุณว่า แม็กซิ (Merci) ได้ 2. วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคู่ทักทายของคุณ จะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่าง ๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง (la bise) ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้ง

3. เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตราคารอย่าตะโกนเรียกบริกรว่า \" การ์ซ็อง (garçon) \" ที่ตรงกัน กับภาษาอังกฤษว่า boy ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสถือว่าไม่สุภาพ ควรเรียกว่า เมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า ซิล วู เปล ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวก เสื้อคลุมโอเวอร์โค๊ดหรือแจ้กเก็ต เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้ง 4. สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากคุณละเมิดกฏเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าคุณทำผิดกฏหมาย

5. เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลา เขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง ๆ 6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้น ที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับนั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง

หอไอเฟล ไฮไลท์แห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ไม่ว่าใครไปถึงก็ต้องไปถ่ายรูป แล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ฯลฯ เพื่อให้คนอื่น ๆ รับรู้ว่าเราได้ \" มาถึงแล้ว \" จริง ๆ เรื่องการถ่ายรูปกับสถานที่ท่องเที่ยวแล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียนี้เป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็ทำกัน แต่รู้หรือไม่ว่า การเผยแพร่รูปหอไอเฟลที่ถ่ายในยามกลางคืนนั้น เป็นเรื่อง \" ผิดกฎหมาย ในสหภาพยุโรป มีกฎหมายทางด้านลิขสิทธิ์คุ้มครองผลงานศิลปะในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น งานเพลง จิตรกรรม ภาพถ่าย วิดีโอ หรือแม้แต่ผลงานทางสถาปัตยกรรม โดยลิขสิทธิ์ของงานศิลปะ เหล่านี้จะหมดอายุลง 70 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิตของศิลปินเจ้าของผลงาน หมายความว่า ไม่ว่า ใครก็ตามที่ต้องการเผยแพร่ภาพถ่ายผลงานศิลปะจากประเทศยุโรป ก็จะต้องขอรับการพิจารณาจาก เจ้าของลิขสิทธิ์เสียก่อน เรื่องของลิขสิทธิ์การจำกัดการเผยแพร่รูปถ่ายผลงานศิลปะโดยเฉพาะผลงานด้านสถาปัตยกรรมนี้ ได้ส่งผลกระทบให้กับเว็บไซต์ชื่อดังอย่างวิกิพีเดียเป็นอย่างมาก เนื่องจากวิกิพีเดียจะใช้รูปที่ได้รับ อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ได้เท่านั้น ดังนั้นปัญหาเรื่องข้อจำกัดการเผยแพร่รูปดังกล่าวส่งผลให้ วิกิพีเดียจำเป็นต้องแก้ปัญหาโดยการเซ็นเซอร์รูปผลงานทางศิลปะในบางบทความ

อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทางรัฐสภาของยุโรปก็ได้พิจารณาให้แก้ไขกฎหมายการจำกัด การเผยแพร่ภาพงานศิลปะ กล่าวคือเปิดกว้างให้นักท่องเที่ยวหรือใครก็ตามที่มาเยี่ยมชมผลงาน ศิลปะสามารถที่จะถ่ายรูปและเผยแพร่รูปผลงานเหล่านั้นได้ (Freedom of Panorama) แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางประเทศที่ยังเป็นข้อยกเว้น ยังคงยืนยันที่จะรักษาข้อกำหนดดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศฝรั่งเศสเมืองเลื่องลือวัฒนธรรมนี้ เชื่อได้ว่ามีผู้ไปเยือนจำนวนไม่น้อยที่ได้ฝ่าฝืน กฎหมายข้อนี้กันไปเรียบร้อยแล้ว เพราะจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าการแชร์รูปหอไอเฟลที่ถ่ายยามกลางคืน นั้นถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ! เรื่องลิขสิทธิ์ภาพหอไอเฟลนี้ฟังดูแล้วน่าประหลาดใจเมื่อลองตั้งคำถามว่า ทำไมจึงห้ามแชร์รูป หอไอเฟลที่ถ่ายในยามกลางคืนเท่านั้น ? แถมศิลปินเจ้าของผลงานหอไอเฟลก็เสียชีวิตไปตั้งแต่ ค.ศ. 1923 หรือ 93 ปีที่แล้ว ทำไมจึงยังมีลิขสิทธิ์คุ้มครองอยู่? คำตอบก็คือ แท้จริงแล้ว ลิขสิทธิ์นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวหอไอเฟล แต่อยู่ที่ไฟที่ติดอยู่ที่หอไอเฟลซึ่งเพิ่ง จะมีการติดตั้งใน ค.ศ. 1985 หรือเมื่อ 35 ปีที่แล้วเท่านั้น ทั้งนี้ฝรั่งเศสได้ถือว่าแสงไฟสุดโรแมนติก ที่เพิ่มความงดงามให้กับหอไอเฟลในยามกลางคืนนี้ก็เป็นผลงานทางศิลปะเช่นกัน หากใครอยาก จะแชร์ภาพตัวเองยืนคู่กับหอไอเฟลในยามกลางคืนอย่างถูกกฎหมายก็อาจจะต้องรอกันอีกนาน หรือไม่ก็ลองยื่นเรื่องให้เจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งในที่นี้คือ Société d’Exploitation de la Tour Eiffel ลองพิจารณาดู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook