กรดนิวคลีอคิ Nucleic Acid เม่ือก่อนเรียกว่า “Nuclein” มี 2 ประเภท คือ DNA (Deoxyribonucleic Acid) และ RNA (Ribonucleic Acid) โดยกรดนิวคลีอิคเป็น Polymer ของ Nucleotid ซึ่ง Nucleotide แต่ละ โมเลกุลจะประกอบไปด้วย Photphate group, Pentose sugar (Deoxyribose or Ribose) และ Nitrogeneous base ** ถา้ มแี ค่ Pentose sugar และ Nitrogeneous base จะเรยี กว่า “Nucleoside” ** 5’ O 1’ จากภาพ Phosphate group จะจับกับ C5 ของ Pentose sugar ส่วน Nitrogeneous base จะจับ กบั C1 ของ Pentose sugar แตล่ ะ Nucleotide จะเชอื่ มกันดว้ ย พันธะPhosphodiester ที่ C3 กับ Phosphate group จาก C5 ของ Nucleotide ตวั ถัดไป เช่ือมกนั ไปเรื่อยๆ จนเปน็ สาย Polynucleotide ซ่งึ มปี ลาย 2 ปลาย คอื 5’ และ 3’ โดยน้าตาลตาแหนง่ ที่ 3 จะหลดุ ไปเปน็ H2O เรยี กว่า กระบวนการ Dehydration
Pentose sugar มี 2 ประเภท คือ Deoxyribose พบใน DNA และ Ribose พบใน RNA Deoxyribose : C5H1oO4 (ดึง O ออกจาก Ribose ตาแหน่งที่ 2 ) Ribose : C5H1oO5 Nitrogeneous base เปน็ สารอินทรยี ท์ มี่ ีองค์ประกอบหลกั เปน็ ไนโตรเจน มี 2 ประเภท คือ Pyrimidine (1 วงแหวน) และ Purine (2 วงแหวน)
จากกฎของชาร์กาฟฟ์ กล่าวว่า “DNA ของสิ่งมีชีวิตจะมีอัตรส่วนของ C : G และ A :T คงท่ี เสมอ” แสดงว่า เบส C จะจับคู่กับ G เชื่อมกันด้วย Hydrogen bond 3 พันธะ และ เบส A จะจับคู่กับ T เชื่อมกันด้วย Hydrogen bond 2 พันธะ ทั้งหมดนี้เรียกว่า “เบสคู่สม” และถ้าหากสังเกตดีๆจะ พบวา่ เปน็ การจับครู่ ะหวา่ ง Pyrimidine กบั Purine เสมอ “เออรว์ นิ น์ ชารก์ าฟฟ”์ “Erwin Chargaff” เกิดเม่ือวันที่ 11 สิงหาคม 2448 เป็นที่ รู้จักในเร่ืองของ Chargaff’s Rules เนื่องจากในปี 2452 เขาค้นพบอัตรา การจับคู่ของ เบสคู่สม ใน DNA จนได้ เป็นกฎของเขาเอง Nucleic acid DNA RNA Polynucleotide 2 สาย 1 สาย Nitrogeneous base T : Thymine U :Uracil A : Adenine A : Adenine Pentose sugar C : Cytosine C : Cytosine Phosphate group G : Guanine G : Guanine Function Deoxyribose Ribose ปรมิ าณภายในเซลล์ มี มี บรรจสุ ารพันธกุ รรมในสิ่งมีชวี ิต บรรจสุ ารพันธุกรรมของไวรสั บาง นอ้ ยกวา่ ชนดิ และไวรอยด์ ชว่ ย DNA ในการสังเคราะห์โปรตีน มากกว่า
แบบจาลอง DNA แบบจาลอง DNA ของ Watson และ Crick สมบูรณ์ท่ีสุด โดยพวกเขาอ้างอิงข้อมูลจากชาร์กาฟฟ์ และพบว่า DNA มโี ครงสร้างเปน็ บันไดเวยี นคู่ (Double helix) วนขวาตามเข็มนาฬิกา สองสายเรียง ตัวทอดกลับหัวหลับหางสวนทางกัน เรียกว่า Antiparallel คือ ปลาย 5’ ไปยัง ปลาย 3’ โดยมีหมู่ ฟอสเฟตจบั กับน้าตาลเปน็ ราวบนั ได แต่ละสาย Nucleotide อยู่ห่างกัน 20 อังสตรอม (ความกว้าง ) 1 รอบเกลยี วยาว 34 อังสตรอม (แนวยาว) จะมี 10 คู่เบส แสดงวา่ แต่ละเบสอยู่หา่ งกนั 3.4 อังสตรอม James Watson(USA) Francis Crick (Eng) เป็นผู้คน้ พบแบบจาลองของ DNA วา่ เปน็ สายบิดเปน็ เกลยี ว คลา้ ยบนั ได เรยี กวา่ Double helix
Search
Read the Text Version
- 1 - 4
Pages: