การสอน 12 การอ่านอยา่ งมีวจิ ารณญาณ (READING CRITICALLY) http://www.free-powerpoint-templates-design.com
ความเข้าใจเกี่ยวกบั การ คาว่า critical เราจะให้ความหมายวา่ วจิ ารณญาณโดยทว่ั ไป แตอ่ ีกนัยหนงึ่ ยงั หมายถงึ อา่ นอย่างมีวจิ ารณญาณ การวิพากษ์ การอา่ นเชิงวพิ ากษ์ความหมายไปในทางท่เี ป็นนิเสธ แตห่ ากใชใ้ นความหมายของการมี (CRITICAL READING) วิจารณญาณจะมขี อบเขตทก่ี ว้างออกไป ภารกิจของครอู ย่างหน่ึงก็คือต้องใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจอยา่ งถูกต้องในเร่อื งการอา่ นอยา่ งมี วิจารณญาณ (Critical Reading) คนทัว่ ไปมักเขา้ ใจคาวา่ critical ไปในความหมายเชงิ ลบ เราต้องเข้าใจคาว่าการอา่ นอยา่ งมวี ิจารณญาณ (Critical Reading) ว่าเป็น กระบวนการของการประเมินทั้งในเชงิ การพจิ ารณาแง่มุมบวกรวมทัง้ แงล่ บดว้ ยแต่ 2 คาน้ยี งั ไม่ ถูกต้องจริงๆแลว้ การอา่ นอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Reading) เป็นกระบวนการในการประเมิน (Assessing) มคี วามถูกตอ้ งและความสมเหตสุ มผล (Validity) ของเรือ่ งน้นั ๆ จะเหน็ ได้ว่าแงม่ ุมคนเรามองแต่เรื่องแตกตา่ งกันไปตามความแตกตา่ งในเชงิ วัฒนธรรมและ หลกั วชิ าตา่ งๆแต่การพิจารณาดงั กล่าวกต็ อ้ งมหี ลักการและหลกั ยึดอย่างนอ้ ยอยู่ภายใต้ความมเี หตุผล และการก่อสรา้ งหลักฐานประกอบความคดิ ของเราพรอ้ มท้ังต้องเปิดใจกว้างและพรอ้ มที่จะพจิ ารณาและ คดิ ใหม่ สงิ่ สาคัญของการอา่ นอยา่ งมวี จิ ารณญาณ (Critical Reading) ก็คอื การมุง่ ใหเ้ กดิ การ คณุ คิดและสงสยั อย่างมวี ิจารณญาณอยูเ่ สมอ
องค์ประกอบการทบทวนตาราอย่างมีวจิ ารณญาณ ความเข้าใจในตาราภายใต้นยั ของผเู้ ขยี น หากเป็นงานเขยี นใหม่ก็จะเปน็ การยากท่จี ะยอ้ นดู ก่อนทาการวเิ คราะหข์ อ้ เขยี นต้องเขา้ ใจในกรอบของ ความเป็นมาในเชิงรากฐานของความรู้ของวิชานน้ั แต่อยา่ งไร ผเู้ ขียนว่าเป็นอย่างไรการวิเคราะหจ์ ะไม่สมเหตุสมควรหากว่าเราไมเ่ สียใจ ก็ตามในการพจิ ารณาเรอ่ื งของความถูกต้องครอบคลมุ ว่าผเู้ ขยี นมีขอ้ โตเ้ ถียงปญั หาในเรอ่ื งนัน้ อยา่ งไรโดยจะต้องเข้าใจภาพ ความสมเหตสุ มผลและความกระจา่ งถอื วา่ เปน็ หลกั การ ทั้งหมดไมใ่ ชไ่ ปเสนอความคิดเหน็ เพยี งแตบ่ างสว่ นของงานเขยี น พิจารณาโดยท่ัวไป นกั เรียนต้องสามารถระบไุ ดว้ ่าขอ้ สมมติฐานของผเู้ ขยี นใน เรือ่ งนนั้ คืออะไรโดยอาจพจิ ารณาสมมตฐิ านทีผ่ เู้ ขยี นยึดถอื เปน็ แบบ ตา่ งๆได้ดงั น้ี 1. ขอ้ สมมตุ ฐิ านอนั เป็นกระบวนทศั น์ทผ่ี เู้ ขยี นยดึ ถอื (Paradigmatic Assumption) 2. ขอ้ สมมติฐานเชงิ อธิบาย (Prescriptive Assumption) 3. ข้อสมมติฐานแบบแสดงความสมั พนั ธ์ (Causal Assumption)
แนวทางการวิเคราะหต์ ารา เมื่อนักเรยี นมคี วามเข้าใจแจง้ ชดั แล้ววา่ ผู้เขียนตั้งใจจะนาเสนออะไรเขา้ ใจวา่ ผูเ้ ขยี นมขี ้อโต้เถียง อย่างมีวจิ ารณญาณ อะไรท่ยี กมากล่าวอา้ งและนาไปสขู่ ้อสรุป นกั เรยี นสามารถใชค้ าถามต่อไปนเี้ ป็นแนวทางเพอื่ ให้ได้รายละเอียด (Critical Analysis of • ข้อสมมตฐิ านคืออะไร ประกอบกระบวนทัศน์ คาบรรยาย และความสาคัญทผ่ี ู้เขยี นใชแ้ ละในแตล่ ะประเด็นทแี่ ตล่ ะ the Text) ข้อสมมติฐานมีความถกู ต้อง • การอธิบายหรือการตีความหมายอะไรท่ีการพิจารณาขอ้ เขียนน้ันได้ถกู เราละเลยไป ขอ้ สงั เกต • ในระหวา่ งการอธบิ ายและการตีความตามทีเ่ สนอมาน้นั มีความถูกต้องและสมเหตสุ มผลทาไมจึงเปน็ อยา่ งนัน้ ใน กรณีน้ี การหาจุดยนื ของเด็กในการวิเคราะห์เพื่อให้ • อะไรท่ีแสดงถึงความไม่คงทหี่ รอื ยังขัดแย้งกนั ที่ตาราแสดงออกให้เห็น เห็นต่อตาราหรอื หรือบทความท่ีอา่ นวา่ มีจุดยนื • มขี ้อโต้เถียงอะไรทีห่ นักแนน่ ที่สดุ ที่อย่ขู ้างก้าวหน้าและทาไมถงึ เปน็ เชน่ นั้น ในเรือ่ งนน้ั อยา่ งไรคงไม่ใช่เร่ืองง่ายเพราะเรอื่ งที่ • องค์ประกอบของขอ้ โตเ้ ถยี งทม่ี คี วามแตกต่างอะไรทลี่ ูกเขยี นดูเหมือนจะมหี ลกั ฐานโนม้ นา้ วสนบั สนุนไดด้ ีทีส่ ดุ อ่านไมน่ ้อยเขยี นโดยผเู้ ชย่ี วชาญในเรอ่ื งนน้ั อย่าง • ยามทมี่ ีขอ้ โตเ้ ถยี งและข้อกลา่ วอ้างมีระดับพ้ืนฐานความหนกั แน่นของเหตุผลรับรองในหลักฐานเชงิ ประจักษ์ มากจงึ ไม่อาจทาไดง้ า่ ยประกอบกบั ประสบการณ์ เพียงใด และความรูใ้ นเร่อื งนั้นอาจจะยงั สะสมมาไม่พอก็ได้ • เมอ่ื ใดทผ่ี ูเ้ ขียนใช้หลักของความชอบพอใจส่วนตวั ของเขามากกว่าการใช้หลักวัตถุวิสัยในการนาไปสขู่ อ้ สรปุ • ผเู้ ขียนถกู ครอบงาก่อนดว้ ยวธิ กี ารหรอื กระบวนการทัศน์ทางปรัชญาอยู่ในระดับใดท่เี ขานามาใชเ้ ป็นข้อสรปุ • จนถึงขณะน้ขี ้อสรุปหลักๆหรือการตีความท่ีมมี าไดเ้ ห็นอย่างเดน่ ชัดวา่ ยงั สอดรับกับข้อโต้เถียงและคาอธบิ าย อยู่ • ในยามที่มีแนวคิดใหมท่ าใหม่เข้าไปสู่ท่นี าเสนอผู้เขยี นไดอ้ ธิบาย ให้เห็นอย่างแจม่ ชดั มีตัวอยา่ งชว่ ยด้วยหรอื ไม่
การประเมินขอ้ เขยี น การประเมินเปน็ เพียงการพจิ ารณาในขนั้ ต้นไม่ใช่เข้าไปถอดหรือออกทง้ั หมดแต่จะเปน็ การเข้าไป ประเมนิ วา่ บทความหรือตารานั้นมอี ะไรทไี่ ดล้ ะเลยไปหรอื ไมแ่ ละอะไรทเ่ี น้อื หาน้นั ทาได้ดี คาถามต่อไปน้ีจะช่วยในการประเมินข้อเขียน อาทิ • ขอ้ เขยี นน้มี ีความเป็นปจั จบุ ันเพยี งใดในการใช้วิธกี าร กระบวนทัศน์ หรอื งานวิจัยลา่ สดุ หรอื ไม่ • มกี ารอธบิ ายหรือสาธยายในแต่ละหัวขอ้ ได้ดีเพียงใดสามารถประเมนิ ไดห้ รือไม่ว่าได้มีพลังการอธบิ ายไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้องแมน่ ยา • งานเขยี นชิน้ นเี้ มอื่ เทียบกับงานท่ีคลา้ ยกนั ในหัวขอ้ เดียวกันเป็นอย่างไรจุดทมี่ ีการเนน้ ใหค้ วามสาคญั เป็นการ กล่าวซา้ ๆกบั ทีผ่ า่ นมาหรอื ไม่ • เอาที่นาเสนอหรือคาอธบิ ายที่ให้มคี วามครอบคลุมมากหรอื น้อยกว่าในงานลักษณะเดยี วกัน • ข้อโตเ้ ถยี งมีเหตุผลเพยี งใดขอ้ สรปุ มีหลกั ฐานอ้างอิงเพยี งใดก็อนุมตั ขิ องผู้เขยี นมีเอกสารและมหี ลกั ผลอยา่ งชดั แจ้งหรือไม่ • ระดับของการวพิ ากษข์ องตนเองต่อหลกั ฐานทม่ี ีในเนอื้ หาคืออะไร • ผู้เขยี นไดพ้ ยายามสร้างความกระจา่ งในการทบทวนองคค์ วามรกู้ อ่ นหนา้ เพียงใดได้ตระหนักถึงลักษณะงานเขยี น หรือความร้ใู นเร่อื งเดยี วกนั กอ่ นหนา้ นี้เพยี งใด • ในลักษณะงานของคนอ่นื ในเรอ่ื งเดียวกนั มคี วามเหมาะสมความสุขตอ้ งและไดช้ ่วยใหม้ ีท้ังตวั อย่างคาเปรียบเปรย และการอุปมา • งานเขยี นไดม้ ีการเชือ้ เชญิ ผู้อ่านในเชิงที่อาจไม่เหน็ ดว้ ยการขยายความหรือขดั เกลางานช้นิ นี้ให้มากขึ้น ได้ชี้ใหเ้ หน็ ทิศทางอันเป็นประโยชนต์ ่อการทาการวจิ ัยหรือสนับสนุนการวิจัยในอนาคตเพยี งใด • ยามทมี่ ีการใชภ้ าษาเฉพาะในขอ้ เขียนผูเ้ ขียนแนะนามาใชอ้ ย่างมีความสมเหตสุ มผลเพียงใด
การสอน 13 การเขียนอยา่ งมวี ิจารณญาณ (WRITING CRITICALLY)
การสอนการเขยี นอยา่ งมี กล่มุ ย่อยและกลมุ่ เพื่อน วจิ ารณญาณ ประกอบดว้ ยการเรยี นรู้ ช่วยในการวพิ ากษ์ กน็ ับว่าจาเป็นตอ่ การเรยี นรู้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ในเชงิ สงั คม คอื เรยี นรเู้ ป็นกลมุ่ อย่าง ตอ่ เนอ่ื งเรม่ิ ตน้ จากชน้ิ งานเลก็ ๆ แลว้ การเรียนรู้อย่างมีตวั แบบ เพิ่มความซบั ซ้อนให้มากข้นึ การเรยี นรู้อยา่ งมตี ัวแบบโดยเฉพาะจากประสบการณ์และตวั อยา่ งจรงิ ที่ ชดั เจนและด้วยการกระทา
การเพิม่ การเรียนรอู้ ย่างเปน็ ลาดบั การใหผ้ ลตรวจสอบยอ้ นกลบั หากได้รบั คาสง่ั ให้เขียนการวเิ คราะห์เชงิ วิจารณญาณ วธิ ีแก้ ครตู อ้ งคอยตดิ ตามและใหค้ วามคดิ เหน็ ตอ่ การเขียนของนกั เรยี น จดุ นก้ี ็คงต้องมกี ารมอบหมายงานให้เขยี นไดห้ ลายแบบหลายอยา่ งและ อยา่ งต่อเน่ือง สมา่ เสมอ แต่ปญั หาของไทยคอื ห้องเรียนมขี นาดคอ่ นขา้ งใหญ่ เพื่อใหง้ า่ ยตอ่ การเรียนการสอนคดิ นีก้ จ็ าเป็นต้องมีตัวอยา่ งใหเ้ หน็ ชดั เจน ตอ่ การปฏิบัติอยา่ งใกล้ชดิ แต่กอ็ าจช่วยด้วยการถามด้วยคาถามง่ายๆ เป็น วา่ การเขียนแบบไหนดี แบบไหนไมด่ ี เมอ่ื นกั เรยี นเหน็ กจ็ ะเข้าใจและเรียนรไู้ ด้ นิสยั กจ็ ะเปน็ การช่วยติดตามไดม้ ปี ระสิทธภิ าพขึน้ แต่กต็ ้องระวงั ที่จะตอ้ งให้ งา่ ยขึน้ และจะดีข้นึ ไปอีกหากได้ตัวอยา่ งจากการเรยี นเรอ่ื งดงั กล่าวทผ่ี ่านมา นกั เรยี นทาเองไม่ได้ไปคดั ลอกความคดิ ของใครมา การสรุปรวมอะไรก็ตามจึง แต่ต้องระวังว่าการใหต้ ัวอยา่ งนัน้ ไม่ใชแ่ บบวา่ ทาตามแบบน้ันโดยง่ายแบบวา่ ตอ้ งเป็นการใช้ความคิดของตนเอง และเมอ่ื รู้ว่าครูจะใชค้ าถามเหลา่ น้ีบอ่ ยๆ คัดลอกตัวอย่างโดยท่ไี ม่ตอ้ งคดิ นกั เรยี นกป็ รบั นสิ ัยการเขยี นอยา่ งมวี ิจารณญาณ ในการให้ตัวอย่างขอ้ เขียนแก่เด็กเพ่อื การทาความเขา้ ใจ ตัวอย่างคาถามของครทู จ่ี ะชว่ ยให้นักเรียนมแี นวทาง โดยงา่ ย อาจทาโดยการติดแถบสีไว้ทแี่ ตล่ ะประโยคเพ่ือให้งา่ ยตอ่ การท่ี -ตรงไหนในข้อเขียนท่นี ักเรียนมปี ระเดน็ โตเ้ ถยี งตรงจดุ นั้น นกั เรยี นจะทาความเข้าใจและเหน็ ไดช้ ดั เจน -คุณคดิ ว่าทาไมผเู้ ขยี นจงึ มีข้อโต้แยง้ ในประเด็นนี้อย่างรนุ แรง -ประโยคทค่ี ุณเขียนรูปเหมอื นจะไมม่ คี วามเชอื่ มโยงกนั เลย ไหนลองอธบิ ายว่า มนั มคี วามเช่ือมโยงกันอย่างไร
การเขียนผ่านการเรียนรูจ้ ากเพ่อื น ( Peer Learning) วธิ นี ้ีชว่ ยไดม้ ากท้ังในการเรยี นการอ่านและการเขยี นอย่างมี วิจารณญาณ ก็คอื ตอ้ งหาทางแสดงให้นักเรยี นเห็นว่าสิง่ เหลา่ นส้ี ามารถนาไป ประยุกตต์ อ่ งานของเขาไดอ้ ย่างไร ซึง่ วิธีนกี้ ต็ ้องการใหท้ างานเป็นทมี ในทีมจะชว่ ยกัน พจิ ารณาต่อหนา้ เพื่อนๆ ในความเห็นของตน ซ่งึ ทกุ คนก็จะพยายามมสี ว่ นรว่ ม ยกตวั อย่างเช่น อาจมกี ารบอกว่าจุดไหนทย่ี งั มีความไมช่ ัดเจน ตัวอย่างอนั ไหนที่ไม่มี ความเหมาะสม เปน็ ต้น วิธีนีเ้ ป็นลักษณะของการร่วมประเมนิ ตนเอง ในปัจจบุ ันการ เรยี นด้วยระบบออนไลน์การวพิ ากษ์ก็งา่ ยเข้าด้วยการโพสตข์ อ้ ความลงใน คอมพวิ เตอรแ์ ล้วก็ใหค้ วามเหน็ ผา่ นทางส่ือออนไลน์นไ้ี ด้
ครูกบั การกาหนดตวั แบบการเรยี น วธิ นี ช้ี ว่ ยได้มากทั้งในการเรยี นการอา่ นและการเขยี น อย่างมวี ิจารณญาณ ก็คือ ต้องหาทางแสดงใหน้ ักเรยี นเห็นว่าสิ่ง เหลา่ น้ีสามารถนาไปประยกุ ต์ตอ่ งานของเขาได้อย่างไร ซง่ึ วิธีนีก้ ็ ตอ้ งการใหท้ างานเปน็ ทีม ในทีมจะชว่ ยกนั พจิ ารณาต่อหน้าเพือ่ นๆ ในความเหน็ ของตน ซง่ึ ทกุ คนกจ็ ะพยายามมีสว่ นร่วม ยกตวั อยา่ ง เชน่ อาจมกี ารบอกวา่ จดุ ไหนทย่ี ังมีความไมช่ ดั เจน ตวั อย่างอันไหน ทไี่ มม่ ีความเหมาะสม เปน็ ตน้ วิธีน้เี ปน็ ลักษณะของการร่วมประเมนิ ตนเอง ในปจั จุบนั การเรยี นดว้ ยระบบออนไลนก์ ารวพิ ากษก์ ง็ า่ ยเขา้ ดว้ ยการโพสตข์ ้อความลงในคอมพิวเตอร์แล้วก็ใหค้ วามเหน็ ผ่าน ทางส่อื ออนไลน์น้ไี ด้
ตัวอยา่ งที่ 1 แนวทางการกาหนดหวั ข้อ ก่อนทจ่ี ะให้มกี ารฝกึ คดิ และพจิ ารณาเรอ่ื งใดเรือ่ งหนึ่งก็อาจคดั เลือกมา อาจเปน็ ฝกึ การคดิ เพอื่ การอา่ นและการเขียน แคย่ ่อหน้าหรือ 1 หนา้ กระดาษ จากนั้นทาการตัดกระดาษเป็นชิ้นๆแบง่ ออกเป็น 6 ชิ้นหรือ 6 อยา่ งมวี จิ ารณญาณ ส่วน หลังจากนั้นให้นกั เรียนแตล่ ะคนสมุ่ หยบิ ออกมาคนละช้นิ เพ่ือนาไปคิดวเิ คราะหแ์ ล้วนาเสนอ หน้าชั้น ในแต่ละช้ันจะมนี ักเรียนมากกว่า 1 คนไดข้ อ้ ความหรอื ประโยคเดยี วกนั วิธีการนาเสนอความคดิ เห็นตอ่ หนา้ หอ้ งก็ขอใหม้ ีการอาสาสมัคร ใครทย่ี งั ไม่กลา้ ไม่พร้อมก็เป็นการต่อคิวคนทก่ี ลา้ ออกมาก่อน คนทอี่ อกมาพดู ทีหลงั กต็ อ้ งเอาประเด็นของคนที่ นาเสนอความคดิ เหน็ ก่อนพิจารณาด้วยซงึ่ อาจจะเห็นดว้ ยหรอื ยนื ยันตามความเห็นของเพื่อนคน ก่อนหน้าหรอื อาจจะเหน็ ตรงกนั ข้าม หรอื อาจจะเพ่ิมความเห็นจากเพือ่ นคนแรกกไ็ ด้ วิธีการนจ้ี ะ ช่วยใหท้ ุกคนได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ในการเลือกขอ้ เขียน ในการสอนการอ่านและการเขียนอยา่ งมีวิจารณญาณที่ครู ควรเลือกเนือ้ หาขอ้ ความด้วยการคานึงถงึ องคป์ ระกอบต่อไปนี้ คอื -ข้อเขียนนนั้ ควรมขี อ้ สมมตฐิ านเปน็ แบบแสดงความสง่ั เป็นลาดับ -ประกอบดว้ ยการอนุมานจากขอ้ มูลท่ีแสดงออกอยา่ งชัดเจนหรือวา่ ยงั สบั สนอยู่ -ข้อเขยี นแสดงให้เห็นการยกตวั อย่างทางท่ดี ีและไม่ดี -ประกอบไปด้วยประเด็นทีค่ งท่ีหรือขัดแยง้ กนั อย่างในเน้อื ความ เมือ่ นกั เรยี นได้ฝึกจากบททงี่ ่ายๆ กค็ อ่ ยๆขยับไปเร่ืองทม่ี ีขนาดความกวา้ งมากขน้ึ และมคี วามซับซ้อนกว้างขวางมากขึน้ ตามลาดับ
ตวั อย่างท่ี 2 แนวทางการให้เพ่ือนช่วย เป็นการให้เพื่อนในกลุม่ ช่วยพจิ ารณาดวู า่ ร่างข้อเขยี นของเราไดส้ ะทอ้ นให้เหน็ ถึงความ วิจารณ์ เขา้ ใจในการเขยี นอย่างมวี จิ ารณญาณเพียงใด โดยระบใุ นเรอ่ื งตอ่ ไปนี้ 1.ขอให้บอกว่า 3 ประโยคใดทอี่ า่ นแลว้ เขา้ ใจมากทสี่ ุด 2.ขอใหบ้ อกวา่ 3 ประโยคใดที่อ่านแล้วเข้าใจน้อยทีส่ ดุ 3.ขอใหบ้ อกว่าประโยคใดท่ยี กตวั อย่างไดอ้ ย่างถกู ต้องในการให้ความหมายตอ่ การสรุป 4.ประโยคใดท่ีให้ตวั อย่างทอี่ ธบิ ายได้แยท่ ี่สดุ 5.ประโยคหรือย่อหนา้ ใดทผี่ ู้เขียนตอ้ งอธิบายถึงข้อสมมติในเร่อื งทีศ่ ึกษาได้อยา่ งชดั เจน 6.ประโยคหรือย่อหนา้ ใดท่ีผ้เู ขยี นละเลย 7.ยอ่ หน้าหรอื ขอ้ ความใดทีผ่ เู้ ขียนรูส้ กึ ว่าเขาได้ตคี วามหมายได้อยา่ งถูกต้อง 8.ย่อหน้าหรอื ขอ้ ความทีผ่ ูเ้ ขยี นเรยี งความประเด็นทตี่ อ้ งการคาดเคลอ่ื นไป 9.ยอ่ หนา้ หรือขอ้ ความใดทีผ่ เู้ ขยี นอนุมานจากข้อความที่มไี ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 10.ยอ่ หนา้ หรือข้อความใดทร่ี ู้สึกวา่ การอนุมานอย่างเป็นขอ้ ขัดแย้งของเรื่องความถกู ต้อง 11.หน้าหรอื ข้อความใดท่ีแสดงถึงการยกขอ้ โต้เถียงได้ชัดเจน 12.ย่อหนา้ 1 ขอ้ ความใดทส่ี ร้างความสบั สนทสี่ ดุ ในการอธิบายขอ้ โต้เถยี ง
รายชอ่ื นาวสาวกนกวรรณ พินิจงาม 62003120022 นางสาวสุมติ ตา เจริญสุข 62003120031 คณะครศุ าสตร์ สาขาคณติ ศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: