Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชีววิทยา

ชีววิทยา

Published by boy230936, 2020-02-25 02:03:38

Description: ชีววิทยา

Search

Read the Text Version

G) พรี ะมิดนเิ วศ (Ecological Pyramid) ในลักษณะของสามเหลยี่ มพรี ะมดิ ของสิง่ มชี ีวติ (Ecological Pyramid) แบง่ ได้ 3 ประเภทตามหนว่ ย ที่ใช้วัดปริมาณของลําดับข้นั ในการกนิ 1. พรี ะมิดจํานวน (Pyramid of Number) เป็นพรี ะมิดทีบ่ อกจํานวนส่ิงมชี ีวติ ในแต่ละลําดับขนั้ เชงิ อาหารในหน่วยต้นหรือตัวต่อหนว่ ยพน้ื ที่หรอื ปริมาตร 2. พีระมดิ มวลชีวภาพ (Pyramid of Biomass) เปน็ พรี ะมิดแสดงปรมิ าณส่ิงมชี ีวติ ในแตล่ ะลําดับ ข้นั เชิงอาหารในหนว่ ยน้ําหนกั แหง้ หรือจาํ นวนแคลอรตี อ่ หน่วยพ้นื ทห่ี รอื ปริมาตร 3. พีระมิดพลงั งาน (Pyramid of Energy) เป็นพรี ะมดิ แสดงปริมาณสงิ่ มชี วี ติ โดยบอกเปน็ อัตรา การถ่ายทอดพลงั งาน หรืออัตราผลิตของแต่ละลาํ ดับขัน้ เชิงอาหารในหน่วยของพลังงานต่อหน่วยพื้นทหี่ รอื ปรมิ าตรตอ่ หน่วยเวลา พลังงานทผ่ี บู้ รโิ ภคนาํ ไปสร้างเนื้อเยอ่ื ของตนเองจึงเหลอื เพยี ง 10% (กฎ 10% ของการถ่ายทอด พลงั งานในโซ่อาหาร) ของพลังงานศกั ย์ท้งั หมดในสง่ิ มชี ีวติ ที่เป็นอาหารของตนเอง Pyramid of Energy Pyramid of Biomass Pyramid of Numbers แผนภาพพรี ะมิดนิเวศแบบต่างๆ การถา่ ยทอดสารปนเปื้อนในโซอ่ าหารและสายใยอาหาร : การสะสมสารเคมี / สารมลพิษผ่านการกนิ ตอ่ กนั ในสายใยอาหาร (Food Web) โดยความเข้มขน้ ของสารเคมีทเี่ กิดการสะสมนีจ้ ะเพมิ่ ขนึ้ เร่อื ยๆ (Biomagnification) ตามลาํ ดบั ขั้นอาหาร (Tropic Level) โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปที ่ี 26 _________________________________วิทยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา (51)

H) วัฏจักรของสารในระบบนิเวศ การหมุนเวยี นของสารเคมีอย่างสลบั ซับซอ้ น ซ่งึ อาจเกดิ จากสารหนงึ่ เปลยี่ นแปลงเปน็ อีกสารหนง่ึ มีการหมนุ เวยี นในระบบของส่ิงมีชวี ติ ไปเรอ่ื ยๆ จนสุดทา้ ยจะหมนุ เวยี นกลับมาอยูใ่ นสภาพเดิม แบง่ เป็น 2 ลักษณะ คอื 1) วฏั จกั รของสารท่มี กี ารหมนุ เวียนผา่ นบรรยากาศ เชน่ ออกซเิ จน คาร์บอน นํ้า ไนโตรเจน เปน็ ต้น 2) วัฏจกั รของสารที่มกี ารหมนุ เวียนโดยไม่ผ่านบรรยากาศ เช่น ฟอสฟอรัส กํามะถนั แคลเซียม เปน็ ตน้ วัฏจักรที่น่าสนใจ มีดงั นี้ 1. วฏั จกั รของนาํ้ (Water Cycle) ภาพวัฏจกั รของนา้ํ (Water Cycle) น้ําจากแหล่งนา้ํ ต่างๆ เชน่ แมน่ า้ํ ทะเล ลําคลองจะระเหยเปน็ ไอนาํ้ สบู่ รรยากาศ ไอนาํ้ ในบรรยากาศ เมอ่ื มีจาํ นวนมากขึ้น ความช้นื กม็ าก ทาํ ใหร้ วมตัวกันเป็นเมฆตกลงมาเปน็ ฝน เมือ่ ฝนตกลงมา น้ําสว่ นใหญจ่ ะ ไหลลงสแู่ หลง่ นํ้าต่างๆ แต่นํา้ บางสว่ นก็ยังถูกเก็บไว้ใต้ดนิ พืชดงึ มาใช้ในกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ส่วน สัตว์จะไดร้ บั นํ้าโดยตรงจากแหลง่ นาํ้ หรอื จากการบริโภคพืชเป็นอาหาร นํา้ จากแหล่งนํ้ากลบั คนื สู่บรรยากาศ ของโลกในรูปแบบไอนา้ํ อีกครั้งหนงึ่ จากการระเหย 2. วัฏจกั รคาร์บอน (Carbon Cycle) เนือ่ งจากคารบ์ อนเป็นองคป์ ระกอบหลักทส่ี าํ คัญของ อนิ ทรียสารในส่งิ มชี วี ิต อีกทัง้ ยังเปน็ องคป์ ระกอบหลักของสารอนินทรีย์ทมี่ คี วามจาํ เป็นตอ่ การดํารงชวี ติ เชน่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยข้ันตอนการหมนุ เวยี นของคารบ์ อนมดี ังนี้ คารบ์ อนในชนั้ บรรยากาศจะอยูใ่ นรูปแบบของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึง่ ได้มาจาก กระบวนการหายใจของสงิ่ มชี ีวติ และกระบวนการเผาไหม้ต่างๆ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์จะถกู พชื นาํ ไปใช้ใน กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงเพอ่ื สรา้ งอาหาร จงึ เปน็ เหตใุ ห้เกดิ การถ่ายทอดคารบ์ อนไปยังสิ่งมีชวี ิตอื่นๆ ที่กนิ พชื และกนิ สตั วต์ อ่ กนั เป็นทอดๆ พชื และสัตวจ์ ะปลดปล่อยแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดอ์ อกมาสบู่ รรยากาศในกระบวนการ หายใจขณะยังมชี ีวติ เมื่อพชื และสตั วต์ ายลงจะถูกผู้ยอ่ ยสลายอนิ ทรยี สาร เช่น จุลินทรยี เ์ ปลี่ยนสารประกอบ อนิ ทรยี ์ในรา่ งกายหรือในซากใหเ้ ปน็ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ปลดปลอ่ ยกลบั คนื สบู่ รรยากาศอกี ครงั้ วทิ ยาศาสตร์ ชวี วิทยา (52) _________________________________โครงการแบรนดซ์ ัมเมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 26

3. วัฏจกั รไนโตรเจน (Nitrogen Cycle) แกส๊ ไนโตรเจน (N2) มสี ัดส่วนในอากาศประมาณรอ้ ยละ 70 แต่สง่ิ มชี วี ติ ส่วนใหญไ่ มส่ ามารถดึงแกส๊ ไนโตรเจนในอากาศมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ทันที จะตอ้ งแปลงให้อยใู่ นรปู ของสารประกอบไนโตรเจนในรูปอ่ืนกอ่ น โดยส่งิ มีชีวิตต้องการธาตุไนโตรเจน พืชสว่ นใหญ่จะได้รบั ธาตไุ นโตรเจน ในรปู แบบของไนเตรต (NO-3 ) และเกลอื แอมโมเนีย (NH3 / NH+4 ) จากดนิ มีพืชบางชนิดเท่านนั้ ท่ีจะนาํ ธาตุ ไนโตรเจนจากอากาศท่ีอยูใ่ นรปู ของแกส๊ ไนโตรเจนมาใชไ้ ด้ พืชจาํ พวกนี้ต้องมีแบคทเี รยี จาํ พวก Nitrogen fixing bacteria ท่สี ามารถจบั แก๊สไนโตรเจนในอากาศมาใชไ้ ด้ NO-2 NO-3 ดงั สมการนี้ : N2 Nitrogen fixing bacteria เช่น ไรโซเบยี ม (Rhizobium) ทีอ่ ยรู่ ่วมกับพืชตระกูลถ่วั ท่ีปมรากถั่ว พชื จะดดู ซึมสารประกอบไนโตรเจนมาใช้สังเคราะหเ์ ปน็ โปรตนี และใชใ้ นการเจริญเติบโต เม่อื พชื และสตั วต์ ายลง ผูย้ อ่ ยสลายอินทรยี สารจะย่อยสลายซากพชื และซากสตั ว์ไดส้ ารประกอบไนเตรตทบั ถมอย่ใู นดนิ และพชื สามารถ นาํ กลบั มาใช้ไดใ้ หม่ วนเปน็ วัฏจักร โครงการแบรนด์ซัมเมอร์แคมป์ ปที ่ี 26 _________________________________วิทยาศาสตร์ ชีววทิ ยา (53)

ภาพวัฏจกั รไนโตรเจน (Nitrogen Cycle) จาํ พวกของแบคทเี รยี ในวัฏจักรไนโตรเจน NO-2 NO-3 NH3 • Nitrogen fixing bacteria สามารถเปลย่ี น N2 N2 NH+4 • Ammonifying bacteria สามารถเปลย่ี นสารประกอบ N2 • Denitrifying bacteria สามารถเปลยี่ น NO-2 , NO-3 , NH+4 I) ประชากร (Population) กลุ่มของสง่ิ มีชวี ิตท่เี ปน็ ชนดิ (Species) เดียวกัน อาศัยอย่ใู นแหลง่ ทอี่ ยู่ (Habitat) เดยี วกนั ในชว่ ง เวลาเดียวกัน ความหนาแน่นของประชากร (Population Density) : เปน็ คณุ สมบัตทิ ่เี กี่ยวกับขนาดของประชากร หากไม่สมดุลกบั สงิ่ แวดลอ้ มจะกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาต่างๆ ตามมาเป็นลูกโซ่ สามารถวัดความหนาแน่นประชากรไดด้ ังนี้ • ความหนาแน่นของประชากร (บนบก) = จาํ นวนสมาชิกของประชากร พนื้ ทีข่ องแหล่งที่อยู่ • ความหนาแนน่ ของประชากร (ในน้าํ ) = จาํ นวนสมาชิกของประชากร ปริมาตรของแหลง่ ทอี่ ยู่ การเปลย่ี นแปลงขนาดของประชากร คอื การเปลยี่ นแปลงจํานวนของประชากรในพื้นทใ่ี ดพน้ื ทีห่ นึ่ง ในช่วงเวลาที่ระบไุ ว้ สง่ิ ท่ีมีผลตอ่ ขนาดของประชากรมี 4 ปัจจยั ดังนี้ 1. การเกิด (Natality) หมายถงึ ความสามารถทจ่ี ะถา่ ยทอดพันธกุ รรมใหม้ จี าํ นวนมากขึ้น 2. การตาย (Mortality) หมายถงึ การตายของประชากรในประชากรกลมุ่ หน่ึงๆ 3. การอพยพเขา้ (Immigration) หมายถึง การเคลื่อนยา้ ยเข้ามาอย่ใู นกลุ่ม 4. การอพยพออก (Emigration) หมายถึง การเคลื่อนย้ายออกไปจากกล่มุ การอพยพ (Migration) หมายถึง การออกไปจากกล่มุ ของสัตวบ์ างชนดิ อย่างช่วั คราวตามฤดกู าล และจะกลับเขา้ มาเมอื่ สิ่งแวดล้อมในถ่ินทอี่ ยอู่ าศัยของมันกลับคนื เขา้ สู่สภาวะตามปกติ โดยมีสาเหตุของการอพยพ เชน่ หลีกเลย่ี งจากสภาพอากาศ และฤดกู าลทไี่ ม่เหมาะสม เพ่ือหาแหลง่ สบื พันธุ์ในการขยายเผ่าพันธุ์ เปน็ ตน้ วทิ ยาศาสตร์ ชวี วิทยา (54) _________________________________โครงการแบรนด์ซมั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 26

อตั ราการเปลย่ี นแปลงของประชากร 1. อัตราการเพ่มิ ของประชากร = อัตราการเกิดมาก + อตั ราการอพยพเขา้ มาก 2. อตั ราการลดของประชากร = อัตราการตายมาก + อตั ราการอพยพออกมาก แผนผังแสดงปจั จัยทีม่ ผี ลตอ่ ความหนาแนน่ ของประชากร รูปแบบการเพ่ิมของประชากร 1. เปน็ การเพิ่มประชากร โดยทส่ี มาชกิ ของประชากรนั้นมกี ารสืบพันธุ์เพยี งครัง้ เดียว (Single Reproduction) ประชากรมคี วามสามารถในการเพม่ิ ประชากรในระยะแรกไดอ้ ย่างรวดเรว็ มจี ํานวนลกู มากตอ่ การผลติ หนง่ึ ครง้ั และสามารถผลติ ลูกได้ เมือ่ นาํ มาเขียนกราฟจะไดก้ ราฟแบบเอกซ์โพเนนเชยี ล (Exponential) คอื มอี ตั ราการเกดิ สูงกวา่ อตั ราการตายมาก 2. เป็นการเพมิ่ ประชากร โดยสมาชิกของประชากรนั้นมีโอกาสในการสบื พันธไ์ุ ดห้ ลายครัง้ ในช่วงชีวติ (Multiple Reproduction) จะผลิตลูกหลานไดจ้ าํ นวนน้อยต่อการผลติ หน่งึ ครง้ั และมวี ฏั จกั รชีวิตค่อนข้าง ยาวนาน ตัวอ่อนจะได้รบั การดแู ลเปน็ อยา่ งดแี ละมีอัตราการตายตํ่า เช่น สนุ ขั ชา้ ง มา้ คน ฯลฯ เมอ่ื นาํ การเจริญลกั ษณะน้มี าเขยี นกราฟจะได้กราฟแบบลอจกิ (Logistic) หรือในกรณขี องสิ่งมชี ีวติ ที่ เปน็ กราฟแบบเอกซโ์ พเนนเชยี ล (Exponential) ในช่วงแรกให้กราฟออกมาเปน็ รูป J-shape ในขณะท่สี มาชกิ ของประชากรเพิ่มข้ึนเร่ือยๆ สง่ ผลใหเ้ กิดความหนาแน่นมากขึ้น การแก่งแย่งเพ่อื ให้ไดม้ าซ่ึงปจั จยั พ้นื ฐานทีม่ อี ยู่ อย่างจาํ กดั (K) มีสงู ข้ึน จนถงึ จดุ สูงสุดที่สภาพพืน้ ที่น้ันๆ รับได้ ณ เวลานัน้ อตั ราการเกดิ จะคอ่ ยๆ ลดลงในขณะ ทอี่ ัตราการตายเพิ่มข้นึ จนในท่ีสุดเท่ากบั อตั ราการเกิด หรือที่เรียกว่า จุดสมดุล การเพ่ิมประชากรเปน็ แบบ Logistic ซ่งึ กราฟมักเปลย่ี นเปน็ รูป S-shape จํานวนประชากร (พนั ตัว) 70 60 50 40 ระยะทม่ี กี ารเพิ่มของประชากรอย่างรวดเรว็ 30 20 ระยะท่มี กี ารเพมิ่ ของประชากร อยา่ งชา้ ๆ 10 0 รุน่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 กราฟแบบเอกซโ์ พเนนเชียล (Exponential) โครงการแบรนด์ซมั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 26 _________________________________วทิ ยาศาสตร์ ชีววทิ ยา (55)

จาํ นวนเซลล์ยีสต์ ระยะท่ีมีอัตราการเพ่ิมประชากรคงที่ 700 600 ระยะที่มอี ตั ราการเพิ่มประชากรชา้ ลง 500 400 ระยะที่มีอตั ราการเพ่ิมประชากรอย่างรวดเรว็ 300 200 ระยะที่มีอัตราการเพิ่มประชากรอย่างชา้ ๆ 100 0 เวลา (ชว่ั โมง) 2 4 6 8 10 12 14 16 18 การเพ่ิมประชากรเปน็ แบบ Logistic สง่ิ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ มแี บบแผนการรอดชวี ิตของประชากร ซึง่ ขึน้ อยู่กับชว่ งอายุขยั (Life Span) ของ ส่งิ มีชวี ติ แตล่ ะชนดิ ส่งิ มชี วี ิตบางชนิด เชน่ แมลงมชี ว่ งอายขุ ัยส้ัน แต่ในสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ชา้ งและคนมีชว่ ง อายุขัยยาวนานเฉลีย่ 70-120 ปี การรอดชวี ติ ของประชากร ตลอดชว่ งอายขุ ยั ของสง่ิ มชี วี ติ แต่ละชนดิ จะมอี ัตราการอยรู่ อดในช่วงอายขุ ยั ต่างๆ ไม่เหมือนกนั การรอด ชีวิตของประชากรในช่วงวัยตา่ งๆ กัน ทําให้ความหนาแนน่ ของของประชากรทอ่ี ยใู่ นวัยต่างๆ แตกตา่ งกนั ดว้ ย การรอดชวี ติ ตอ่ 1,000 หน่วย 1,000 รูปแบบที่ 1 100 รปู แบบท่ี 2 10 รปู แบบที่ 3 0 รอ้ ยละของอายุขยั 25 50 75 100 กราฟการรอดชีวติ ของประชากรสิ่งมีชวี ิต กราฟการรอดชวี ติ ของประชากรจะมอี ยู่ 3 รปู แบบ คอื รปู แบบที่ 1 ส่งิ มีชวี ติ มอี ัตราการรอดชวี ติ สงู ในวยั แรกเกดิ และจะคงท่ีเมือ่ โตข้ึน หลงั จากนัน้ อตั รา การรอดชีวติ จะต่ําเมอ่ื สงู วัยขึน้ สิ่งมีชวี ิตดงั กล่าว เชน่ มนษุ ย์ ช้าง มา้ สุนัข เป็นต้น รูปแบบท่ี 2 สง่ิ มชี ีวติ มีอัตราการรอดชีวติ ทีเ่ ทา่ กนั ในทุกวยั เช่น ไฮดรา นก เต่า เปน็ ต้น รปู แบบที่ 3 สิ่งมชี ีวิตมอี ตั ราการรอดชวี ิตตํา่ ในระยะแรกของช่วงชวี ติ หลงั จากนั้นเมอ่ื อายุมากขึ้น อัตราการรอดชีวิตจะสงู เช่น ปลา หอย และสตั วไ์ มม่ ีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ เป็นต้น วิทยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา (56) _________________________________โครงการแบรนดซ์ ัมเมอร์แคมป์ ปีที่ 26

J) การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีของกลุ่มส่งิ มีชวี ิตในระบบนิเวศ (Ecological Succession) การเปล่ียนแปลงแทนทขี่ องกล่มุ สิง่ มีชวี ติ ในระบบนิเวศ หมายถงึ การแทนที่ของกล่มุ ส่ิงมีชวี ติ เป็น ยุคๆ จากยุคแรกจนถงึ ยุคสงั คมส่ิงมชี วี ติ ข้ันสุด (Climax Community) เน่ืองจากสง่ิ แวดลอ้ มเปล่ียนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงแทนทแ่ี บง่ ตามลักษณะการเกิดออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. การเปล่ยี นแปลงแทนทแ่ี บบปฐมภูมิ (Primary Succession) คอื การเปล่ยี นแปลงแทนท่ี ของกลุ่มสงิ่ มชี วี ิตในสถานที่ทีไ่ ม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่กอ่ นเลย ภาพแสดงการเปลย่ี นแปลงแทนทแ่ี บบปฐมภมู ิ 2. การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีแบบทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary Succession) คอื การเปลย่ี นแปลงแทนท่ี ของกลมุ่ ส่งิ มีชีวิตในบรเิ วณท่ีเคยมีสิ่งมีชวี ิตอาศยั อยู่กอ่ นแต่ถูกทําลายด้วยปจั จัยบางอย่าง เชน่ นาํ้ ทว่ มนานๆ ไฟไหม้ป่า เปน็ ต้น มนุษย์กบั สภาวะแวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาติ สภาวะแวดล้อมมกี ารเปล่ยี นแปลงตลอดเวลาซ่ึงเป็นปกติ แตถ่ ้าหากมกี ารเปลีย่ นแปลงไปมากจนเปน็ อนั ตรายต่อการดํารงชวี ิตในด้านใดดา้ นหน่ึงแล้ว จนถงึ เปน็ อันตรายตอ่ สง่ิ มีชีวิตจะเรียกวา่ มลพิษ (Pollution) มลพษิ ทางนา้ํ วธิ กี ารตรวจนํา้ เสียทําได้ 2 วธิ ีหลกั ดังน้ี 1. วดั ปริมาณแบคทเี รียโคลฟิ อรม์ 2. วดั ปริมาณแกส๊ ออกซเิ จนในน้ําซึง่ ทําได้ 3 วิธดี งั น้ี 2.1 วัดค่า DO (Dissolved Oxygen) คือ ปรมิ าณ O2 ทีล่ ะลายในนํ้า ถ้า DO น้อยกวา่ 3 mg/lit แสดงวา่ น้ําเสยี 2.2 วัดค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) คือ ปรมิ าณ O2 ในนํา้ ท่จี ลุ ินทรีย์ต้องการใชใ้ น การยอ่ ยสลายสารอินทรีย์ ถ้าคา่ BOD มากกว่า 100 mg/lit แสดงวา่ นา้ํ เสยี 2.3 วัดคา่ COD (Chemical Oxygen Demand) คือ ปริมาณ O2 ท่ใี ชใ้ นการสลายสารอนิ ทรียใ์ นน้ํา โดยใช้สารเคมี เช่น โพแทสเซยี มไดโครเมต เป็นต้น มลพษิ ทางอากาศ อากาศที่มสี ่วนประกอบเปล่ยี นแปลงไปจากปกตมิ สี าเหตุหลายประการ สาเหตุสําคัญ เชน่ การปล่อยสาร ต่างๆ เขา้ สูช่ นั้ บรรยากาศของโรงงานอตุ สาหกรรมหรือบริเวณท่มี ีการก่อสร้าง ซ่งึ อาจทําใหม้ สี ารเจอื ปนอยใู่ น อากาศปริมาณมากจนก่อให้เกิดผลเสียต่อการดํารงชวี ิตของคน สตั ว์ พชื รวมถึงส่ิงมีชวี ติ ชนดิ อื่นในบริเวณน้ัน โครงการแบรนดซ์ ัมเมอร์แคมป์ ปที ่ี 26 _________________________________วทิ ยาศาสตร์ ชีววทิ ยา (57)

ปรากฏการณเ์ รือนกระจก (Greenhouse Effect) คอื ปรากฏการณท์ ่ีแก๊สเรอื นกระจกในบรรยากาศมี ปริมาณมากเกินไป ซึง่ แก๊สเหล่าน้ันจะดูดซบั ความรอ้ นและคายความร้อนคนื สโู่ ลกจงึ ทาํ ให้โลกมีอณุ หภมู สิ ูงขน้ึ แกส๊ เรือนกระจกทส่ี าํ คัญ เช่น แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) แกส๊ มีเทน (CH4) ออกไซดข์ องไนโตรเจน และไอนํา้ (H2O) แกส๊ เหล่านี้มีความสามารถในการเกบ็ กกั ความร้อนไดด้ ี การทําลายโอโซนในบรรยากาศ การลดลงของโอโซน (O3) ในบรรยากาศจะสง่ ผลใหร้ งั สอี ัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตยส์ อ่ งผา่ น มายงั โลกไดม้ ากขึน้ และสาร CFC เปน็ สาเหตุสําคญั ในการทาํ ลายโอโซน ขา่ วล่ามาแรง!! หลัก 5R ลดขยะและมลพษิ 1. Reduce คือ การลดปรมิ าณขยะ โดยลดการใช้ผลติ ภณั ฑ์ท่มี บี รรจุภัณฑ์สนิ้ เปลอื ง 2. Reuse คอื การนาํ มาใช้ซํ้า เชน่ ขวดแกว้ กลอ่ งกระดาษ กระดาษพมิ พห์ นา้ หลงั เปน็ ตน้ 3. Repair คอื การซ่อมแซมแก้ไขสงิ่ ของตา่ งๆ ให้สามารถใชง้ านตอ่ ได้ 4. Reject คือ การหลกี เล่ียงใชส้ ง่ิ ที่กอ่ ให้เกิดมลพิษ 5. Recycle คอื การแปรสภาพและหมุนเวยี นนาํ กลับมาใชไ้ ด้ใหม่ โดยนาํ ไปผ่านกระบวนการผลติ ใหม่อีกคร้งั แบบฝก หัด LESSON 1 เซลล 1. ออรแ์ กเนลลใ์ ดในเซลลพ์ ชื ท่ไี มพ่ บดีเอน็ เอ (O-NET’52) 1) นวิ เคลียส 2) แวคิวโอล 3) คลอโรพลาสต์ 4) ไมโทคอนเดรีย 2. เซลลท์ ่มี ีส่วนประกอบดงั ตอ่ ไปนี้ : ดเี อ็นเอ ไรโบโซม เยือ่ หุม้ เซลล์ เอนไซมแ์ ละไมโทคอนเดรียเปน็ เซลลข์ อง สง่ิ มีชีวิตในขอ้ ใด (O-NET’53) 1) แบคทเี รยี 2) พชื เท่านัน้ 3) สัตวเ์ ท่าน้นั 4) อาจเปน็ ได้ทั้งพชื หรือสัตว์ 3. ข้อใดเรยี งลําดับระยะการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสไดถ้ กู ต้อง I. II. III. IV. 1) I., II., III., IV. 2) III., II., I., IV. 3) IV., II., I., III. 4) II., I., IV., III. วทิ ยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา (58) _________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 26

4. เมื่อเสรจ็ สิน้ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ในรา่ งกายของเพศชายแลว้ เซลล์ท่เี กดิ ขึน้ จะมีรูปแบบโครโมโซม 4) 22 + Y ดังข้อใด 1) 44 + XX 2) 44 + XY 3) 22 + X LESSON 2 การเคลื่อนที่ของสารผา นเซลล 1. เม่ือนาํ กระเพาะปัสสาวะของสกุ รมาบรรจสุ ารละลายนํ้าตาล รดั ปลายทั้งสองด้านให้แน่นและนําไปชั่งนํ้าหนัก จากน้ันจึงนําไปแช่ในนํ้ากลั่นและช่ังนํ้าหนักเป็นระยะๆ กราฟใดแสดงการเปลี่ยนแปลงนํ้าหนักของ กระเพาะปัสสาวะไดถ้ ูกต้อง (O-NET’52) นาํ้ หนกั (กรัม) นํ้าหนัก (กรมั ) 1) 2) เวลา (ชม.) เวลา (ชม.) นา้ํ หนัก (กรัม) นํ้าหนกั (กรัม) 3) 4) เวลา (ชม.) เวลา (ชม.) 2. เม่ือหยดน้ําเกลือลงบนสไลด์ท่มี ใี บสาหร่ายหางกระรอกอยู่ จะสงั เกตเห็นการเปล่ยี นแปลงของเซลล์คลา้ ย กบั ที่เกิดขึน้ เมือ่ หยดสารใดมากทส่ี ุดและเกิดเรว็ ทีส่ ุด (O-NET’53) 1) นํา้ กล่ัน 2) นาํ้ เชื่อม 3) นํ้านมสด 4) แอลกอฮอล์ LESSON 3 ภาวะธาํ รงดลุ 1. ขอ้ ใดแสดงสภาวะของเลอื ดในคนกอ่ นและหลังการออกกําลังกายใหมๆ่ ไมถ่ กู ต้อง (O-NET’52) คา่ ท่ีวัด กอ่ นออกกําลงั กาย หลังออกกาํ ลงั กาย 1) ค่า pH ของเลอื ด 7.4 7.8 2) ความเข้มขน้ ของออกซเิ จน (หนว่ ย/ซม.3) 30 20 3) ความเข้มขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์ (หน่วย/ซม.3) 60 65 4) ความเข้มขน้ ของกรดแลกตกิ (หน่วย/ซม.3) 15 35 โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 26 _________________________________วิทยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา (59)

2. พิจารณาแผนภาพข้างล่างที่แสดงกลไกการรกั ษาสมดลุ อณุ หภมู ใิ นร่างกายมนุษย์ (O-NET’52) อากาศหนาว อากาศรอ้ น อณุ หภมู ขิ องรา่ งกายลดลง ก อุณหภมู ขิ องรา่ งกายเพิม่ ขนึ้ ข กระตุ้น กระตุน้ ไฮโพทาลามัส เสน้ ขนลกุ ชัน ค เสน้ ขนเอนราบ ฉ เสน้ เลอื ดฝอยหดตวั ง เส้นเลือดฝอยขยายตัว ช อัตราเมแทบอลิซึมลดลง จ อตั ราเมแทบอลิซึมเพิ่มขึ้น ซ การตอบสนองในข้อใดไม่ถูกตอ้ ง 1) ก. และ ข. 2) ค. และ ฉ. 3) ง. และ ช. 4) จ. และ ซ. 3. สัตว์ในข้อใดต่อไปน้มี อี ณุ หภมู ิรา่ งกายในสภาวะปกตสิ งู ทีส่ ุด (O-NET’52) 1) อฐู 2) ชา้ ง 3) แมว 4) นกกระจบิ 4. เหตใุ ดผู้ดมื่ เคร่อื งดื่มผสมแอลกอฮอล์จึงมักปสั สาวะบอ่ ยกว่าปกติ (O-NET’53) 1) ไตทํางานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพสูงข้นึ 2) การหลั่งฮอรโ์ มนวาโซเพรสซินลดลง 3) แอลกอฮอลเ์ ป็นพิษตอ่ รา่ งกายจงึ ถูกกาํ จัดท้ิงอยา่ งรวดเรว็ 4) รา่ งกายควบคมุ การทาํ งานของกลา้ มเน้อื กระเพาะปสั สาวะไมไ่ ด้ 5. การดม่ื น้าํ ส้มเป็นปริมาณมากทาํ ใหเ้ ลอื ดมสี ภาวะเปน็ กรดจรงิ หรือไม่ เพราะเหตใุ ด (O-NET’53) 1) เปน็ กรดจริง เพราะวิตามนิ ซีละลายนํ้าได้ 2) เปน็ กรดจริง เพราะนํา้ สม้ มีรสเปร้ียวและมีปริมาณกรดสงู 3) ไมเ่ ปน็ กรด เพราะเลือดมีสมบตั ิเปน็ สารละลายบฟั เฟอร์ 4) ไมเ่ ปน็ กรด เพราะร่างกายจะได้รบั อนั ตรายไดห้ ากเลือดมสี ภาวะเปน็ กรด LESSON 4 ภมู ิคมุ กนั รางกาย 1. อวยั วะในขอ้ ใดต่อไปนไี้ มเ่ ปน็ ส่วนหนึ่งของระบบน้ําเหลืองในร่างกายมนุษย์ (O-NET’52) 1) ม้าม 2) ทอนซิล 3) ต่อมไทมัส 4) ต่อมหมวกไต 2. เม่ือเช้ือโรคเข้าสรู่ า่ งกายคน รา่ งกายจะมีปฏิกริ ยิ าตอบสนองโดยสร้างสารใดมาต่อสู้ (O-NET’53) 1) เซรมุ่ 2) แอนตเิ จน 3) ทอกซอยด์ 4) แอนติบอดี วทิ ยาศาสตร์ ชีววทิ ยา (60) _________________________________โครงการแบรนดซ์ ัมเมอร์แคมป์ ปีที่ 26

LESSON 5 พนั ธุศาสตร 1. ลักษณะทางพันธกุ รรมในขอ้ ใดต่อไปน้ีถกู ควบคมุ ด้วยยนี บนออโตโซม (O-NET’52) ก. ผมหยกิ ข. ฮโี มฟเิ ลีย ค. หมู่เลือด AB ง. ตาบอดสี 1) ก. และ ข. 2) ค. และ ง. 3) ก. และ ค. 4) ข. และ ง. 2. ถ้าแมม่ หี มู่เลอื ด AB และลูกมหี มู่เลอื ด A พอ่ จะมหี ม่เู ลอื ดใดได้บา้ ง (O-NET’52) 1) A หรอื O 2) A หรอื AB 3) A หรือ B หรอื AB 4) A หรอื B หรอื AB หรือ O 3. ถ้าสง่ิ มีชีวิตไม่เกิดมิวเทชนั เลยอาจจะเกดิ เหตกุ ารณใ์ ดตอ่ ไปนี้ (O-NET’52) 1) สง่ิ มชี วี ติ บางชนิดอาจสญู พันธุ์ 2) จํานวนประชากรของสง่ิ มีชีวติ จะคงท่ี 3) จาํ นวนเผ่าพันธ์ุของสิ่งมีชวี ิตจะเท่าเดิม 4) สิ่งมีชวี ิตในอดีตและปจั จุบนั ไมแ่ ตกตา่ งกัน 4. เทคโนโลยีชีวภาพในขอ้ ใดถอื วา่ เปน็ เทคโนโลยที เ่ี ก่าแก่ที่สดุ (O-NET’52) 1) เทคโนโลยกี ารหมกั 2) เทคโนโลยีการถา่ ยยีน 3) เทคโนโลยีการผสมเทยี ม 4) เทคโนโลยกี ารผลิตวัคซีน 5. สมบตั ขิ องฝ้ายบีที (BT) คอื ขอ้ ใด (O-NET’52) 2) ปลูกไดใ้ นพน้ื ท่ีทมี่ คี วามแหง้ แลง้ 1) ต้านทานยาปราบวชั พืชในไรฝ่ า้ ย 4) ต้านทานโรคฝ้ายท่เี กดิ จากเชื้อไวรสั 3) ตา้ นทานหนอนเจาะสมอฝ้าย 6. วธิ ีการขยายพันธ์มุ ะมว่ งพันธ์ุดีในขอ้ ใดทที่ าํ ให้มโี อกาสเกดิ การกลายพนั ธสุ์ งู ทส่ี ุด (O-NET’52) 1) ตดิ ตา 2) ต่อก่งิ 3) ตอนกิ่ง 4) เพาะเมล็ด 7. ขอ้ ใดไมถ่ ูกต้องเก่ียวกับดีเอ็นเอ (O-NET’53) 1) ดเี อ็นเอพบได้ในคลอโรพลาสต์ 2) ดเี อน็ เอทาํ หน้าที่กาํ หนดชนดิ ของโปรตนี 3) สง่ิ มชี ีวติ แต่ละชนดิ มีปรมิ าณดีเอ็นเอไมเ่ ทา่ กนั 4) ไนโตรเจนเบสชนิดกวานีนและไซโทซนี จะจับคู่กันดว้ ยพนั ธะคู่เสมอ 8. ถา้ พ่อมีหมู่เลือด B แม่มีหม่เู ลือด A และมลี กู ชายท่มี หี มเู่ ลือด O โอกาสท่จี ะได้ลกู สาวที่มหี มูเ่ ลอื ด O เปน็ เทา่ ใด (O-NET’53) 1) 1/2 2) 1/4 3) 1/8 4) 1/16 9. ข้อใดจดั เป็นสง่ิ มชี วี ติ ดัดแปลงพนั ธกุ รรม (O-NET’53) 1) แตงโมไม่มีเมล็ด 2) กลว้ ยไมท้ ไี่ ด้จากการเพาะเลยี้ งเน้อื เย่ือ 3) แบคทเี รียที่สามารถผลิตฮอรโ์ มนอินซลู ิน 4) กลว้ ยไมพ้ ันธใุ์ หมท่ ่ไี ดจ้ ากการฉายรังสีแกมมา 10. หลักฐานในขอ้ ใดทไี่ ม่สามารถใชต้ รวจหาฆาตกรโดยใช้ลายพมิ พ์ดีเอ็นเอ (O-NET’53) 1) เส้นผม 2) ลายนิว้ มอื 3) คราบอสจุ ิ 4) คราบเลอื ด โครงการแบรนด์ซมั เมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 26 _________________________________วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา (61)

LESSON 6 ความหลากหลายทางชวี ภาพ 1. ข้อใดสนับสนุนคาํ กลา่ วที่ว่า “ระบบนิเวศป่าฝนเขตร้อน มคี วามหลากหลายทางชวี ภาพสงู ท่สี ุด” (O-NET’52) 1) ปา่ ลุ่มนา้ํ อะเมซอนในอเมรกิ าใต้เปน็ ถนิ่ กาํ เนดิ ของปลาปริ ันยา 2) ป่าฝนเขตรอ้ นมีฝนตกหนัก ความชน้ื สูง และอณุ หภมู เิ ฉล่ยี 25-27°C 3) ผนื ปา่ ภาคใตข้ องไทยมีพชื เถาวัลย์ชอื่ ยา่ นลเิ ภากระจายอยู่ทั่วไปถึง 200000 ตน้ 4) อทุ ยานแหง่ ชาติเขาสก จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี มีสตั ว์เลย้ี งลูกด้วยนม 93 ชนดิ นก 153 ชนดิ สัตว์เล้อื ยคลาน 69 ชนิด และสตั ว์สะเทินนํา้ สะเทนิ บก 27 ชนิด 2. ขอ้ ใดไม่นับว่าเป็นส่วนหนึง่ ของความหลากหลายทางชวี ภาพ (O-NET’53) 1) ความหลากหลายของสปีชีส์ 2) ความหลากหลายของพันธกุ รรมในสิ่งมีชีวติ 3) ความหลากหลายของแหล่งที่อยขู่ องสิง่ มชี วี ติ 4) ความหลากหลายของสารเคมีตา่ งๆ รอบสิง่ มีชีวิต LESSON 7 ระบบนิเวศ 1. แบคทเี รีย Escherichia coli ที่อาศัยในลาํ ไส้คนมีความสัมพนั ธแ์ บบเดียวกับสิ่งมชี วี ิตในขอ้ ใด (O-NET’52) 1) ดอกไม้กับแมลง 2) กล้วยไม้บนต้นไม้ใหญ่ 3) พยาธิใบไมใ้ นตบั กบั มนุษย์ 4) แหนแดงกับไซยาโนแบคทีเรยี 2. ภาพพรี ะมิดนี้แสดงถึงจํานวนของสง่ิ มชี ีวติ ในโซอ่ าหารใด 1) หญ้า → กระตา่ ย → งู → เหยีย่ ว 2) หญา้ → ต๊ักแตน → แมงมุม → กบ 3) ตน้ ไม้ → เพล้ีย → ดว้ งเต่าลาย → นก 4) ต้นไม้ → หนอนผีเสอ้ื → แตนเบียน → ผู้ยอ่ ยสลายอินทรียสาร 3. วัฏจกั รของสารใดในระบบนิเวศท่ีมคี วามสมั พนั ธ์กบั การเกดิ ฝนกรดมากทส่ี ดุ (O-NET’52) 1) คาร์บอน 2) กาํ มะถนั 3) แคลเซียม 4) ไฮโดรเจน 4. ดชั นที แ่ี สดงวา่ น้ําในแหล่งนาํ้ ธรรมชาตมิ คี ณุ ภาพดคี ือข้อใด (O-NET’52) 1) น้ําทมี่ คี ่า OD สงู 2) น้าํ ที่มีคา่ COD สูง 3) นาํ้ ท่ีมคี ่า BOD ตาํ่ 4) น้ํามอี ุณหภมู สิ ูงและมีค่า DO ตํ่า 5. ข้อใดต่อไปนีก้ ล่าวไมถ่ ูกต้องเก่ยี วกับภาวะโลกร้อน (O-NET’52) 1) ภาวะโลกร้อนมผี ลน้อยมากตอ่ การอยู่รอดของส่งิ มชี วี ติ ในมหาสมทุ ร 2) ภาวะโลกร้อนทาํ ให้บรเิ วณท่ชี ่มุ ช้ืนมฝี นตกมากข้นึ และเกิดพายุรุนแรง 3) ภาวะโลกร้อนทําให้เกิดความแห้งแลง้ จนอาจทาํ ใหบ้ างพ้นื ทกี่ ลายเป็นทะเลทราย 4) ภาวะโลกรอ้ นทําให้สารประกอบมเี ทนเยอื กแขง็ ทฝี่ ังตัวอย่ใู นช้ันนา้ํ แข็งหลอมเหลว และระเหยเปน็ แกส๊ มากขนึ้ 6. วธิ กี ารในขอ้ ใดที่ใชค้ วบคมุ โรคไวรัสในพชื ได้ผลดที ส่ี ดุ (O-NET’53) 1) การเผาทําลายพชื 2) การฉดี วัคซีน 3) การใช้ยาปฏชิ วี นะ 4) การเพิ่มไนโตรเจนในดิน วิทยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา (62) _________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปที ่ี 26

7. ในระบบนเิ วศซง่ึ ประกอบดว้ ย เหยย่ี ว งู กระรอก หญ้า และตกั๊ แตน ส่งิ มีชวี ิตในข้อใดมมี วลชีวภาพ น้อยทีส่ ุด (O-NET’53) 3) หญา้ 4) กระรอกและตั๊กแตน 1) งู 2) เหย่ียว 8. กระบวนการเปลย่ี นแปลงแทนท่แี บบใดนําไปสูก่ ารเกิดระบบนเิ วศหลงั จากการระเบดิ ของภูเขาไฟบนเกาะหนง่ึ (O-NET’53) 1) แบบปฐมภูมิ 2) แบบทุติยภูมิ 3) แบบตตยิ ภูมิ 4) แบบจตุรภูมิ 9. ทรพั ยากรทเี่ กิดขึ้นทดแทนใหมไ่ ด้ในขอ้ ใดทมี่ นษุ ยน์ ํามาใชป้ ระโยชนม์ ากท่ีสุดในปัจจบุ ัน (O-NET’53) 1) พลังงานนํ้า 2) พลังงานลม 3) พลังงานจากคลนื่ 4) พลังงานแสงอาทิตย์ 10. เมือ่ มีสารประกอบไนเตรตและฟอสเฟตสะสมอยู่ในแหล่งนํา้ เปน็ ปริมาณมาก ปรากฏการณใ์ ดจะเกิดข้ึน เป็นอนั ดับแรก (O-NET’53) 1) ปริมาณแพลงกต์ อนสตั ว์จะเพิม่ ขึ้น 2) จาํ นวนของแพลงก์ตอนพชื สาหร่าย และพืชน้ําจะเพม่ิ ขึ้น 3) สารพษิ ตกค้าง เช่น สารกาํ จดั แมลง จะมีปรมิ าณการสะสมสงู ขึ้น 4) ปริมาณสัตวน์ ํา้ เชน่ ปลา สตั ว์ไม่มกี ระดกู สันหลงั อน่ื ๆ จะเพม่ิ ขึน้ เฉลยแบบฝก หดั LESSON 1 เซลล 1. 2) 2. 4) 3. 4) 4. 2) LESSON 2 การเคลอื่ นที่ของสารผา นเซลล 1. 3) 2. 2) LESSON 3 ภาวะธํารงดลุ 1. 1) 2. 4) 3. 4) 4. 2) 5. 3) LESSON 4 ภมู คิ ุมกนั รางกาย 1. 4) 2. 4) LESSON 5 พันธศุ าสตร 1. 3) 2. 4) 3. 1) 4. 1) 5. 3) 6. 4) 7. 4) 8. 3) 9. 3) 10. 2) LESSON 6 ความหลากหลายทางชวี ภาพ 1. 4) 2. 4) LESSON 7 ระบบนเิ วศ 1. 4) 2. 3) 3. 2) 4. 3) 5. 1) 6. 1) 7. 3) 8. 1) 9. 1) 10. 2) ———————————————————— โครงการแบรนด์ซัมเมอร์แคมป์ ปีที่ 26 _________________________________วทิ ยาศาสตร์ ชวี วิทยา (63)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook