Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Cอช32001การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ

Cอช32001การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ

Published by boy230936, 2020-06-14 10:32:49

Description: Cอช32001การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ

Search

Read the Text Version

50 หนงั สือ รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 11. ทบทวนบันทึกทันทีเมื่อจบการบรรยาย ควรทบทวนบันทึกทันทีที่จบคำบรรยาย ใช้เวลาสั้นๆ เพียง 5 นาทีก็พอ คงจำกันได้ว่าการลืมจะเกิดข้ึนทันทีหลังจากการเรียนรู้ และจะมีอัตราสูงด้วย ดังน้ัน ถ้าเราไดท้ บทวนทนั ทีจะชว่ ยใหเ้ ราไมล่ มื หรือลมื น้อยลง การที่จะรู้ว่าความต้องการของผู้ใช้บริการ จากงานบริการตามสภาพท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน คงไม่ใช่ส่ิง ทจี่ ะคน้ หาคำตอบไม่ได้ เพราะความต้องการใชท้ รพั ยากรสารสนเทศท่เี ปน็ จริงในงานบรกิ ารกบั สง่ิ ทค่ี าดหวงั ของผใู้ ชท้ กุ ระดบั สามารถเชอ่ื มตอ่ ความตอ้ งการใหเ้ ปน็ หนงึ่ ไดด้ ว้ ยวธิ กี าร Focus Group โดยเนน้ ประเดน็ ความ ตอ้ งการสารนเิ ทศใหส้ อดคลอ้ งกบั การใชใ้ นเวลาทพ่ี อเหมาะพอดีซง่ึ จะชว่ ยลดปญั หาของผใู้ ชท้ มี่ ตี อ่ หนว่ ยงานท่ี รบั ผดิ ชอบดา้ นเปน็ แหลง่ ความรทู้ างการเรยี นการสอนไดร้ ะดบั หนงึ่ การนำโฟกสั กรปุ๊ เพอื่ นำมาประยกุ ตใ์ ชเ้ ชน่ การสนทนากลุ่ม เป็นวิธีเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการจัดให้คนที่เลือกจากประชากรที่ต้องการศึกษาจำนวน ไมม่ ากนกั มารว่ มวงสนทนากนั เพอ่ื อภปิ รายพดู คยุ กนั โดยมงุ่ ประเดน็ การสนทนาไปยงั เรอ่ื งทส่ี นใจศกึ ษาในระหวา่ ง การจดั สนทนากลมุ่ อยา่ งเปน็ ระบบ อาจเลอื กผเู้ ขา้ รว่ มสนทนากลมุ่ จำนวน 7-12 คน ทม่ี ลี กั ษณะทางประชากร สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมท่คี ล้ายคลึงกัน มาพูดคุยแลกเปล่ยี นความคิดเห็นในประเด็นปัญหาเดียวกัน ระหวา่ งการพดู คยุ มพี ธิ กี รเปน็ ผดู้ ำเนนิ การ มผี จู้ ดบนั ทกึ เปน็ ผจู้ ดยอ่ เนอ้ื หาการสนทนา และมเี ทปบนั ทกึ เสยี ง บันทึกรายละเอียดของการพูดคุย เม่อื เสร็จส้นิ การสนทนา ผ้จู ดบันทึกจะถอดรายละเอียดจากเทปท่บี ันทึกไว้ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการวเิ คราะหต์ อ่ ไป ดงั นน้ั ความหมายของการสนทนากลมุ่ จงึ หมายถงึ การรวบรวมขอ้ มลู จากการสนทนากับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในประเด็นปัญหาที่เฉพาะเจาะจง โดยมีผู้ดำเนินการสนทนา (Moderator) เป็นผู้คอยจุดประเด็นในการสนทนา เพื่อชักจูงให้กลุ่มเกิดแนวคิดและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือ แนวทางการสนทนาอย่างกว้างขวางละเอียดลึกซึ้ง โดยมีผู้เข้าร่วมสนทนาในแต่ละกลุ่มประมาณ 6-10 คน ซง่ึ เลอื กมาจากประชากรเปา้ หมายทก่ี ำหนดเอาไว้ ประโยชนข์ องการสนทนากลมุ่ สามารถระบใุ ชใ้ นการศกึ ษา ความคิดเห็น ทัศนคติ ความรู้สึก การรับรู้ ความเช่ือ และพฤติกรรม หรือใช้ในการกำหนดสมมติฐานใหม่ๆ หรือใช้ในการกำหนดคำถามต่างๆท่ใี ช้ในแบบสอบถาม หรือใช้ค้นหาคำตอบท่ยี ังคลุมเครือ หรือยังไม่แน่ชัด ของการวิจัยแบบสำรวจ เพื่อช่วยให้งานวิจัยสมบูรณ์ยิ่งข้ึน หรือใช้ในการประเมินผลทางด้านธุรกิจ ข้อดีของการสนทนากล่มุ ผ้เู ก็บข้อมูล เป็นผ้ไู ด้รับการฝึกอบรมเป็นอย่างดี เป็นการเผชิญหน้ากันในลักษณะ กลมุ่ มากกวา่ และการสมั ภาษณต์ วั ตอ่ ตวั ทง้ั นใ้ี หม้ ปี ฏกิ ริ ยิ าโตต้ อบกนั ได้ สว่ นบรรยากาศของการคยุ กนั เปน็ กลมุ่ จะช่วยลดความกลัวท่ีจะแสดงความเห็นส่วนตัว ข้อจำกัดถ้าในการสนทนากลุ่ม มีผู้ร่วมสนทนาเพียง ไม่ก่ีคนที่แสดงความคิดเห็นอยู่ตลอดเวลาจะทำให้ข้อมูลท่ีได้เป็นเพียงความคิดเห็นของคนส่วนน้อยเหล่านั้น ดังน้ันจงึ ตอ้ งระวงั ไมใ่ หม้ กี ารผกู ขาดการสนทนาขน้ึ พฤตกิ รรมบางอยา่ งซง่ึ เปน็ สง่ิ ทไ่ี มย่ อมรบั ในชมุ ชนอาจไมไ่ ด้ รบั การเปดิ เผยในกลุ่มสนทนา ในกรณนี ี้ใช้การสัมภาษณต์ ัวตอ่ ตัวจะดกี ว่า ถา้ ผูด้ ำเนนิ ในการสนทนาคมุ เกมส์ ไมไ่ ด้ การสนทนากลุม่ จะไมร่ าบร่นื

หนงั สือ รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 51 เร่ืองที่ 2 การจดบนั ทึกเพอ่ื ระบผุ ลติ ภณั ฑท์ ต่ี ลาดตอ้ งการ การจดบันทึก การจดบันทึกเป็นส่งิ สำคัญสำหรับการดูนกมากอีกประการหน่งึ ควบค่ไู ปกับใช้กล้อง ส่องทางไกลและคู่มือดูนกเพราะจะช่วยให้เราเก็บข้อมูลราย ละเอียดเก่ียวกับนอกจาก การสังเกตของตัวเอง ไวไ้ ดอ้ ย่างชัดเจน เช่น เราพบนกทไ่ี หน บอ่ ยคร้งั เพียงใด รวมทงั้ รายละเอียดเกยี่ วกับพฤตกิ รรมตา่ งๆ ของนก ทเี่ ราพบเหน็ เน่ืองจากการจดจำแตอ่ ย่างเดยี วอาจคลาดเคล่ือนหรือไม่ อาจจำไดท้ ้งั หมด ดังนั้นการจดบันทึกจงึ เป็นประโยชนใ์ นการคน้ ควา้ ทบทวน และศกึ ษาเพิ่มเติมในภายหน้า เปน็ การเพิม่ ความรเู้ กย่ี วกบั นก พฤติกรรม อาหาร แหลง่ อาศยั และสงิ่ แวดลอ้ มอน่ื ๆ การจดบนั ทกึ จงึ เปน็ สง่ิ ทชี่ ว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ ราเปน็ นกั ดนู กทด่ี ที งั้ ยงั เปน็ ความทรงจำทีด่ ถี งึ ช่วง เวลาท่ีสนกุ สนานในการดูนกเม่อื นำสมุดบนั ทกึ กลบั มาดอู ีกคร้ัง อุปกร ณ์ท่ีใ ช้ในก ารจด บันท ึก สมุดพกติดตัว (field notebook) ขนาดพกพาสะดวกสำหรับ นำติดตัวไปในเวลาที่ออกดูนกนอกสถานที่ ควรเป็นปกแข็ง ไม่มีเส้นบนกระดาษ สมุดบันทึกถาวร ควรมขี นดใหญก่ วา่ สมดุ พกตดิ ตวั และใชบ้ นั ทกึ ขอ้ มลู ไดล้ ะเอยี ดและชดั เจนมากขนึ้ สำหรบั เกบ็ เปน็ ขอ้ มลู ถาวร ดินสอ ปากกา และยางลบ ดินสอสีและสีน้ำ การจดบันทึกท่ีดี ควรจะมีลักษณะดังต่อไปน้ี บันทึกความจริง สิ่งนี้สำคัญท่ีสุดคงไม่มีใครตั้งใจจะแต่งเรื่องให้ผิดความจริง แต่ส่ิงที่บันทึกอาจคลาดเคล่ือนได้ หากเราไม่ ระมัดระวังพอ ควรบันทึกส่งิ ท่เี ห็นไม่ใช่ท่คี ิดว่าเห็น อะไรท่ไี ม่แน่ใจควรบอกว่าไม่แน่ใจ ตัวอย่างหน่งึ ในอดีต คือการบันทึกนิสัยการทำรังของนกเงือก ของเจ้าฟ้ากุ้งในนิราศธารทองแดง ที่ว่าตัวผู้เข้าไปกกไข่ในโพรง ส่วนตัวเมียไปเล่นชู้ ซึ่งนับว่าผิดพลาดจากความเป็นจริงมาก บันทึกทันที ณ สถานที่ที่พบเห็น (field note) ชว่ ยใหเ้ ราบนั ทกึ ไดอ้ ยา่ งครบถว้ นถกู ตอ้ ง อยา่ เชอ่ื ความจำตนเองเลยมนั มกั จะตกหลน่ ไปเสมอ บนั ทกึ อยา่ งเปน็ วทิ ยาศาสตร์ วิธีการจดบันทึก เม่ือเราพบเห็นนกตัวใดตัวหน่ึง เราต้องสังเกตรายละเอียดของนกให้ได้มากท่ีสุด แล้วบันทึกเอาไว้ให้มากท่ีสุดเท่าที่จะจำได้ โดยเขียนคำบรรยายให้ชัดเจนถึงลักษณะต่างๆ ของนก เนน้ ท่จี ดุ เด่นต่างๆ รวมท้งั พฤติกรรมและสภาพแวดลอ้ มดงั นี้ ชื่อนกท่ีพบ (ในกรณีท่ีทราบแล้วว่าเป็นนกชนิดใด) ขนาดของนก ซ่ึงหากไม่รู้จักนกชนิดนั้นควร เปรียบเทยี บกบั ขนาดนกทพ่ี บโดยทั่วๆ ไป เช่น ใหญก่ วา่ นกกระจอกบ้าน แต่เลก็ กว่านกเขาชวา รูปร่างลักษณะ เช่น นกตัวนั้นมีรูปร่างลำตัวผอมยาว หรืออ้วนป้อม ปากส้ันหรือปากยาวโค้งแหลม หรือตรงยาว มีจุดสังเกตท่เี ด่นชัดอย่ทู ่สี ่วนใด เช่น มีจุดท่ดี ำข้างแก้ม หรือมีสีขาวท่ปี ลายปีก นกบางตัวอาจมี สขี นที่เปลี่ยนไปตามอายุหรือช่วงฤดู เช่น นกชายเลน เหย่ียว ดังน้ันจึงต้องพยายามสังเกตและจดบันทึกการ เปล่ียนแปลงนัน้ เชน่ สีขน แถบทป่ี ีก สขี องปลายปาก เปน็ ต้น พฤตกิ รรม ใหส้ งั เกตถงึ ลกั ษณะทา่ ทางทน่ี กชอบกระทำบอ่ ยๆ เชน่ การเกาะ วา่ อยใู่ นทา่ ตวั ตง้ั ตรงหรอื ขนานกบั กง่ิ ไม้ การบนิ เปน็ แนวเสน้ ตรงอยา่ งนกกง้ิ โครง หรอื บนิ ขน้ึ ๆ ลงๆ อยา่ งนกหวั ขวานชอบกระดกหางหรือ แพนหาง รวมทั้งพฤติกรรมในการทำรังว่ามีลักษณะอย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรและทำรังบริเวณใด เช่น ทำรังในโพรงไม้ หรอื ตามโพรงดนิ

52 หนงั สอื รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) เสียงร้องและเสียงร้องเพลงนก จะส่งเสียงร้องเม่ือต้องการแสดงอารมณ์ต่างๆ ทั้งเสียงร้องตกใจ (Alarm call) เสียงร้องขู่ขวัญ ในการบันทึกให้บันทึกเสียงร้องปกติท่ีได้ยินบ่อยๆ หรือเสียงร้องเพลงซึ่ง นกมักรอ้ งเมื่อมีอารมณด์ ี เช่น หลงั อาหารหรอื ขณะเก้ียวพาราสี ว่ามีลักษณะอย่างไร แหบ แหลม หรือเบานมุ่ แลว้ ถา่ ยทอดออกมาเปน็ ตวั อกั ษรเสยี งรอ้ งของนกมคี วามจำเพาะหากจำไดจ้ ะชว่ ยใหเ้ ราจำแนกชนดิ นกไดง้ า่ ยขน้ึ และมีนกบางชนิดท่ีเราไม่อาจจำแนกจากลักษณะภายนอกได้เลย ต้องอาศัยเสียงร้องท่ีมีความแตกต่างกันช่วย การจดจำเสยี งร้องของนกอาจใช้เครอ่ื งบนั ทึกเสียงชว่ ย จะช่วยให้จดจำรายละเอยี ดของเสียงรอ้ งได้ดีขน้ึ แหล่งท่ีอยู่อาศัย เป็นรายละเอียดเก่ียวกับบริเวณท่ีพบนกว่ามีสภาพอย่างไร เป็นป่าแบบไหน มีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง รวมท้ังระดับความสูงของพ้ืนที่ถ้าหากทราบ เช่น เป็นบริเวณป่าไผ่ริมน้ำตก หรอื กลางทางเดนิ ในปา่ สน พบนกกนิ เมลด็ พชื อยู่ ควรบนั ทกึ รายละเอยี ดของสง่ิ แวดลอ้ มโดยทว่ั ไปใหม้ ากทส่ี ดุ เวลา วันเดอื นปี และสถานท่ี เป็นสิ่งทส่ี ำคัญสำหรับนักดนู กท่จี ะตอ้ งทราบว่า พบนกชนดิ นัน้ ท่ีไหน เมอ่ื ใดในชว่ งเวลาใดเพราะจะทำใหท้ ราบวา่ นกชนดิ นน้ั พบยากหรอื พบงา่ ยจะทำใหเ้ ราทราบสถานภาพของนก รวมทง้ั ชว่ งเวลาทพ่ี บนก ทำใหเ้ ราทราบวา่ นกชนดิ นน้ั เปน็ นกประจำถน่ิ หรอื นกอพยพ รวมทง้ั การบนั ทกึ จำนวน นกทพี่ บในแตล่ ะครัง้ สภาพแวดลอ้ มและสภาพอากาศ เปน็ สว่ นประกอบทท่ี ำใหก้ ารบนั ทกึ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั นกสมบรู ณ์ ยง่ิ ขึน้ เช่น นกบางชนดิ ชอบปรากฏตัวเม่ืออากาศมดื คร้ึม ส่วนเหยย่ี วและนกกาบบวั ชอบบินร่อนขนึ้ สูงในวัน ทแ่ี ดดจา้ ซง่ึ มอี ากาศรอ้ น (thermal) ชว่ ยยกตวั มนั ขน้ึ นกหายากบางชนดิ อาจพบเหน็ ตวั ไดห้ ลงั จากมพี ายไุ ตฝ้ นุ่ หรือดีเปรสชั่นพัดหลงมาในการบันทึกเราควรวาดภาพร่างคร่าวๆ ของนกท่ีพบเพ่ิมข้ึน เพื่อจะช่วยให้เรา เกบ็ รายละเอยี ดและทำความเขา้ ใจเกย่ี วกบั นกชนดิ นน้ั ไดง้ า่ ย ยง่ิ ขน้ึ ทง้ั ยงั แสดงลกั ษณะพฤตกิ รรมทน่ี กแสดงออก เชน่ การขม่ ขู่ การเกย้ี วพาราสี การหาอาหาร รวมทง้ั ลกั ษณะของสง่ิ แวดลอ้ ม ทง้ั นก้ี ารวาดภาพรา่ งจะสวยงามเพยี งใด คงต้องข้ึนอยู่กับความชำนาญส่วนตัวและการฝึกฝน แต่ทุกคนสามารถท่ีจะวาดภาพร่างคร่าวๆ ได้ เพียงให้ ตัวเองสามารถจดจำและเข้าใจรายละเอียดต่างๆ ได้ดีข้ึน ทั้งยังอาจนำภาพร่างที่เราพบแต่บอกชื่อไม่ได้ไปถาม ผรู้ ใู้ หช้ ว่ ยจำแนกชนดิ ไดใ้ นภายหลงั สว่ นการบนั ทกึ ความรสู้ กึ เปน็ สง่ิ ทส่ี ำคญั ไมน่ อ้ ยไปกวา่ ขอ้ มลู ทางวทิ ยาศาสตร์ เราอาจถ่ายทอดใหผ้ ู้อ่ืน ได้ต่นื เตน้ ดใี จ ประทับใจไปกับเรา ตรงกันข้ามเม่อื เราไปดูนกแลว้ พบการดกั จับลา่ นก การทำลายปา่ ดนั เปน็ บา้ นของนก เราอาจรสู้ กึ เศรา้ สลด หรอื โกรธแคน้ ความรสู้ กึ เหลา่ นค้ี วรไดร้ บั การจดบนั ทกึ เพราะจะเปน็ พลงั ในการสอ่ื สารถึงคนอ่ืนไดอ้ ย่างดี การบันทึกแผนทที่ างเดนิ และพื้นท่ีดูนก เป็นอีกส่งิ หน่งึ ท่ี ทำใหเ้ รารู้จกั สภาพแวดลอ้ มหรอื พนื้ ท่ีดีขึ้น และเปน็ ประโยชน์แก่ผู้อน่ื ดว้ ยเช่นกนั

หนงั สอื รายวชิ า การพัฒนาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) 53 การบันทึก หมายถึง ข้อความที่จดไว้เพ่ือช่วยความทรงจำหรือเพ่ือเป็นหลักฐาน หรือข้อความ ทนี่ ำมาจดยอ่ ๆ ไว้เพอื่ ให้รูเ้ ร่ืองเดิม (ราชบณั ฑิตยสถาน 2525) การจดบนั ทึก การจดบันทึก คือการเขียนข้อความ เพ่ือช่วยในการจำ เป็นเครื่องมือในการรวบรวมความรู้ที่อ่าน ประมวลความคิดหลังจากการอ่าน และเพื่อได้กรอบความคิดในเน้ือหาสาระสำหรับการอ่านต่อไป การจดบันทึกมีประโยชน์มาก ในการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาด้วยตนเองตามระบบการ สอนทางไกล เพราะผ้เู รียนต้องค้นคว้าหาความร้ดู ้วยตนเองจากการอ่าน นักศึกษาท่เี ร่มิ ต้นเรียนเป็นปีแรกๆ มักประสบปัญหาในเรื่อง การจดบันทึก เพราะขาดประสบการณ์ ที่สำคัญคือ ไม่รู้เทคนิคในการจดบันทึก โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นการยากท่ีเราจะเข้าใจ จดจำจุดสำคัญ และรายละเอียดปลีกย่อยท่ีเราอ่านหรือฟัง ได้หมด เราอาจจะลืมหัวข้อใหญ่ๆ ผลก็คือ ต้องอ่านใหม่อีกคร้ังหรือสองครั้ง เพื่อให้จำจุดสำคัญได้ซ่ึงเป็น การเสียเวลา จึงควรจะส่งิ ท่มี าช่วยจำว่าเราอ่านอะไรไปบ้าง การจดบันทึกเป็นการช่วยจำและทำให้เข้าใจย่งิ ข้นึ นักศึกษาบางคนจดบันทึกไม่ได้เพราะพยายามจดอย่างละเอียด จนเกินความจำเป็น ไม่มีการสรุปประเด็น ไม่มีการเรียบเรียงความคิด ก็เกิดความท้อแท้ที่จะจด และหยุดจด ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาท่ีผิด การจดบันทึก นับว่าเป็นทักษะในการเรียนที่สำคัญและจำเป็นมากสำหรับการเรียนด้วยตนเองเพราะในแต่ละภาคการศึกษา นักศึกษาอาจลงทะเบียนเรียน 3 ชดุ วิชา ซ่ึงมีเน้อื หาสาระหลากหลายเปน็ จำนวนมาก หากไม่มเี ทคนคิ หรือ เคร่ืองมือช่วยในการจำที่ดีจะทำให้เกิดความสับสนและเมื่อต้องมีการทบทวนก่อนสอบ บันทึกย่อที่ทำไว้ จะเป็นประโยชน์อยา่ งยิ่ง แนวทางการจดบันทึก 1) บนั ทกึ สาระสำคญั ไดแ้ ก่ การบนั ทกึ คำหรอื ประเดน็ สำคญั ทง้ั ชอื่ เรอ่ื ง หวั ขอ้ หลกั และหวั ขอ้ รอง รวมทัง้ ความหมายของคำสำคัญ โดยการตอบคำถามตามสตู ร 5 W 1 H อาทิ ประเด็นสำคญั เก่ียวกับอะไร อาจารย์บรรยายถึงสิง่ นั้นอยา่ งไร และทำไมจึงเปน็ เชน่ นน้ั 2) บนั ทึกชื่อหนงั สือหรือตำรา และหวั ขอ้ รวมท้งั ชื่อผู้แตง่ หรือช่ือหวั ข้อ และชื่ออาจารย์ผบู้ รรยาย การบนั ทกึ จากการอา่ นนน้ั การบนั ทกึ ดงั กลา่ วจะชว่ ยในการคน้ ควา้ เมอ่ื ตอ้ งการรายละเอยี ด รวมทง้ั การอา้ งองิ ไดท้ ันที 3) จัดหมวดหมู่ของสาระสำคัญ โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ หรือหมวดหมู่ตามแต่เน้ือหา ทั้งนี้เพ่ือ ค้นคว้าหรือทบทวนได้สะดวก และจดจำได้ง่ายขึ้น การจัดหมวดหมู่ของสาระสำคัญทำได้หลายวิธี เช่น จดั หมวดหมตู่ ามหัวข้อ จัดหมวดหมคู่ วามเหมอื นหรือความแตกตา่ ง ฯลฯ 4) เรียงลำดับเรื่อง ให้อ่านและเข้าใจง่าย และที่สำคัญคือ เช่ือมโยงประเด็นให้เห็นความสัมพันธ์ ท้ังหมด และถกู ต้องตามความหมาย การเรยี งลำดบั เรอ่ื งทำได้หลายวิธี อาทิ เรยี งลำดบั ตามลำดบั เวลา (อดีต- ปจั จบุ นั ) เรยี งลำดับตามตำแหน่งพื้นท่ี (เหนือ-ใต-้ ออก-ตก) เรียงลำดับตามสาเหตไุ ปสู่ผล (ที่เกดิ ขึน้ )

54 หนงั สอื รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 5) ใช้ถ้อยคำที่กระชับ แต่ชัดเจน เข้าใจง่าย และครอบคลุมเน้ือหามากท่ีสุด โดยอาจใช้เทคนิค การบนั ทกึ โดยใชค้ ำสมั ผสั ซึง่ การใชค้ ำท่มี ีเสียงสัมผัสคล้องจองจะชว่ ยให้จำได้ดี วธิ กี ารและเครอ่ื งมือช่วยในการบันทึก 1. การจดบันทึก การจดบันทึกสามารถดำเนินการได้หลายวิธี สำหรับผ้เู รียนด้วยตนเองอาจดำเนิน การบันทึกได้ตั้งแต่ช่วงการอ่านเอกสารการสอน เช่นการใช้ ดินสอหรือปากกาขีดเส้นใต้หรือใช้ปากกาสี ขีดบนข้อความสำคญั ไว้ หรอื อาจทำเครอื่ งหมาย * > < = / หรอื ? เปน็ ตน้ หลงั จากน้ันก็นำมาจดั ทำเป็น บนั ทกึ ยอ่ ซง่ึ สรปุ สาระสำคญั จากการอา่ น หรอื การฟงั การบรรยายจากอาจารยส์ อนเสรมิ หรอื จากการฟงั หรอื ชมรายการวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ได้เนื้อหาส้ัน กะทัดรัดมีใจความ สำคัญครบถ้วน อ่านงา่ ย 2. การบันทกึ ยอ่ ในกระดาษยอ่ ความ การบันทกึ ย่อในกระดาษย่อความ ได้แก่การบนั ทกึ สาระสำคญั และรายละเอียดพร้อมสรปุ ในกระดาษยอ่ ความที่แบ่งพื้นทเ่ี ป็น 3 ส่วน สว่ นท่ี 1 สาระสำคญั ไดแ้ ก่ คำสำคญั ประเด็นสำคัญหรอื ประโยคสำคัญท่ีมีคุณลักษณะสำคัญ คือ เปน็ ประโยคหรอื คำทม่ี คี วามหมายครอบคลมุ ยอ่ หนา้ ใดยอ่ หนา้ หนงึ่ มากทส่ี ดุ อาจเปน็ เนอื้ หาในสว่ นทผ่ี เู้ ขยี น เนน้ ยำ้ มากทส่ี ดุ และอาจเปน็ คำหรอื ขอ้ ความทอ่ี ธบิ ายรายละเอยี ด อธบิ ายสนบั สนนุ หรอื ความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตา่ ง โดยทว่ั ไปมักปรากฏเปน็ ตัวอักษรขนาดใหญ่ หรือตวั อกั ษรหนาเขม้ หรือ ตวั อกั ษรเอียง สว่ นท่ี 2 รายละเอยี ด คือส่วนข้อความทีเ่ ป็นเนื้อหาสาระท่ีขาดไมไ่ ด้ หรอื เม่ือไม่มีแลว้ อาจทำให้ ไมเ่ ขา้ ใจ หรือเขา้ ใจผดิ ได้ ส่วนที่ 3 ส่วนสรุปเป็นการสรุปความหรือย่อความเป็นการนำเอาเรื่องราวต่างๆมาเขียนใหม่ ดว้ ยสำนวนภาษาของผเู้ ขยี นเองเมอ่ื เขยี นแลว้ เนอ้ื ความเดมิ จะสน้ั ลง แตย่ งั มใี จความสำคญั ครบถว้ น การยอ่ นไ้ี มม่ ี ขอบเขตวา่ ยอ่ ลงไปเทา่ ใด จงึ จะเหมาะสม เพราะบางเรอ่ื งมใี จความมากกจ็ ะยอ่ ได้ 1 ใน 2 บางครง้ั มใี จความสำคญั น้อยอาจเหลอื 1 ใน 4 หรอื มากกว่านั้น แตท่ ่ีสำคญั ควรครอบคลุมใจความหรือเน้อื หาสาระสำคญั เดมิ 3. บนั ทกึ เปน็ แผนภมู แิ บบเชอ่ื มโยงความสมั พนั ธ์ แผนภมู ิ หมายถงึ แผนท่ี เสน้ หรอื ตารางทท่ี ำขน้ึ เพื่อแสดงเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง การบันทึกแบบแผนภูมิเชื่อมโยงความสัมพันธ์ช่วยให้นักศึกษาสามารถรวบรวม เน้ือหาสาระท่นี กั ศกึ ษาตอ้ งการไดอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง เป็นระบบ ดงู า่ ย จำงา่ ย 4. บันทึกแบบแผนภูมิความคิด การเขียนแผนภูมิความคิด Mind maps หรือแผนภูมิช่วยจำ เป็นการบันทึกและเรียบเรียงความเข้าใจในสาระที่ได้จากเน้ือเรื่องที่อ่านซ่ึงอาจจะอยู่ในรูปของแผน ภูมิ หรือแผนภาพท่ีทำขึ้นได้ง่ายๆ โดยมิได้เน้นรูปแบบมากนัก เนื่องจากต้องการให้อิสระแก่ผู้จัดทำ แผนภมู ิ ในการสรปุ ตามความเขา้ ใจดว้ ยรปู แบบของตนเอง Mind maps เปน็ เครอ่ื งมอื ชว่ ยจำท่ี โทนี ปซู าน คดิ คน้ มาให้เหมาะสมกับการทำงานของสมองเพราะมีการแตกข้อมูลจากจุดศูนย์กลางคล้ายเซลล์สมองจริงๆ มกี ารใช้ภาพ ใช้สีสันซ่ึงวา่ กันตามหลักการทำงานของสมอง

หนังสือ รายวชิ า การพฒั นาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 55 วิธีการเขยี นแผนภูมิชว่ ยจำ การเขียนแผนภูมิช่วยจำ มีเทคนิคในการเขียนคำอธิบายควรสั้น ใช้เคร่ืองหมาย รูปภาพ ตัวเลข สญั ลกั ษณต์ า่ งๆ มาประกอบ เพอ่ื ใหก้ ารเขยี นแผนภมู ิ เปน็ ไปโดยงา่ ยและรวดเรว็ โดยมแี นวทางแบบงา่ ยๆ ดงั น้ี 1. เริม่ ตน้ เขียนแผนภูมิ ดว้ ยการเขียนหัวเร่ือง หัวข้อสำคญั หรือประเดน็ สำคญั ทส่ี ุด ด้วยรูปแบบใดๆ กไ็ ด้ท่คี ณุ ชอบไวต้ รงกลางกระดาษ 2. ค่อยๆ แตกแขนงความคิด ความเขา้ ใจออกไปเป็นข้อยอ่ ยๆ โดยแตกแขนงออกจากศูนยก์ ลาง 3. ใช้เส้นแสดงความเช่ือมโยงระหว่างเรื่อง หรือข้อย่อยต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกันหรือต่อเนื่องกันโดย ความยาวแต่ละเส้นไม่ตอ้ งเท่ากัน ขน้ึ อยู่กบั ความยาวของคำบรรยายท่ีเขียนไวบ้ นเสน้ น้ันๆ 4. เขียนคำบรรยายสั้นๆ ไว้บนเสน้ ดังกลา่ ว 5. ใช้ความหนาของเส้นและขนาดของตัวหนังสือท่ีต่างกันข้ึนอยู่กับระดับความสำคัญของเร่ือง (เร่อื งที่สำคญั กว่าใหใ้ ชเ้ ส้นหนา ตัวอกั ษรโต) 6. ใชห้ มายเลขช่วยในการเรยี งลำดบั ความสำคญั และความตอ่ เนอื่ งของสาระ 7. แผนภูมิความคิดท่ีใช้ในการสรุปเร่ืองที่มีหัวข้อย่อยจำนวนมากๆ อาจแบ่งกลุ่มนำมาเขียน เป็นกลุ่มละ 1 หน้าโดยมีข้อแนะนำว่าแต่ละหน้าควรมีใจความจบในแต่ละเรื่องหรือแต่ละหัวข้อ (ไม่ว่าเป็น หวั ขอ้ ใหญ่หรอื ขอ้ ยอ่ ยกต็ าม ) 8. ควรแบ่งกระดาษเป็น 80 / 20 คือ 80 จดสิง่ ทอี่ า่ นหรอื ได้ฟังมา อกี 20 จดตามความคิดของเรา สรปุ การเรยี นในระดบั อดุ มศกึ ษา ผู้เรียนควรมีทกั ษะท่ดี ีท้ังทักษะทางดา้ นการอ่าน การฟงั โดยสามารถ เช่ือมโยงเน้ือหากับภาพในใจ (ในสมอง) ท่ีมีอยู่ อันจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจในเน้ือหา และสามารถบันทึก แนวคิดหลักออกมาในรูปแบบต่างๆ ได้ หากผ้เู รียนยังไม่เข้าใจเน้อื หาในคร้งั แรกท่เี รียน (หรือต้องการศึกษา รายละเอียดของรายวิชาน้ัน) ผู้เรียนอาจอ่านหนังสือ ตำรา หรือเอกสารประการเรียนการสอนรอบที่ 2 (ในบางรายวชิ าจะบนั ทกึ เทปวดี ที ศั น์ นกั ศกึ ษาสามารถนำมาดู/ฟงั อกี ครง้ั ได)้ หรอื สอบถามจากอาจารย์ ผสู้ อน ซงึ่ จะทำใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจ และสามารถบนั ทกึ ไดถ้ กู ตอ้ งตามความหมาย ดงั นน้ั นกั ศกึ ษาจะเหน็ ไดว้ า่ การบนั ทกึ ยอ่ เปน็ เร่อื งงา่ ย ที่จะทำ และยงั ช่วยการลดปัญหาการอ่านหนังสือไมท่ ัน อ่านแลว้ จำไม่ไดไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดีอีกด้วย

56 หนังสอื รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) เรอื่ งที่ 3 การวเิ คราะห์รายรบั -รายจา่ ย การทำบันทึกเก่ยี วกับการเงิน หมายถึง การจดบันทึกเหตุการณ์ท่เี ก่ยี วกับการเงินอย่างน้อยท่สี ุดคือ บางส่วนยังเกี่ยวข้องกับการเงิน โดยผ่านการวิเคราะห์ จัดประเภท และบันทึกไว้ในแบบฟอร์มท่ีกำหนดเพ่ือ แสดงฐานะ การเงนิ และผลของการดำเนนิ งานของบุคคล บันทึกการใช้จา่ ยท่นี ักเรยี นอาจเก่ียวข้องดว้ ยได้แก่ • บนั ทึกการใช้จา่ ยส่วนตัว • บนั ทกึ การใชจ้ า่ ยของครอบครัว • บันทึกการใช้จ่ายในกจิ กรรมต่างๆ • วัตถปุ ระสงคแ์ ละประโยชน์ของการทำบนั ทกึ การรบั จา่ ย • เพ่ือเป็นข้อมูลในการตดั สนิ ใจและวางแผนการใชจ้ า่ ยเงินของตนเองและครอบครวั • เพือ่ ควบคมุ การใชจ้ า่ ยเงินใหเ้ ป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ • เพื่อบันทกึ เหตกุ ารณเ์ ก่ยี วกบั การเงนิ ทีเ่ กดิ ขึน้ ในชว่ งระยะเวลาหนึ่ง • เพอื่ ปอ้ งกนั การหลงลมื และข้อผิดพลาดในการทำงาน • เพอ่ื ใหท้ ราบฐานะของบคุ คล ณ วันใดวนั หนึ่งว่ามีรายได้ หนีส้ ิน เท่าใด จากการทำบัญชีทำให้ทราบว่ารายได้และค่าใช้จ่ายในช่วงหนึ่งเป็นเท่าใดและมีเงินเก็บออมหรือไม่ หลักปฏิบัติในการทำบันทึกรายรับรายจ่ายของตนเอง การทำบันทึกรายรับรายจ่ายของตนเอง นอกจากจะมี ประโยชน์และมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและยังเป็นการฝึกความมีระเบียบวินัยในการใช้จ่ายเงินด้วย สำหรับหลกั ปฏิบัติในการทำบันทกึ นน้ั เปน็ การทำบนั ทึกอยา่ งงา่ ยๆ การนำบนั ทกึ รายรับรายจา่ ยของตนเองไปใชป้ ระโยชน์ ช่วยความจำ สามารถเตือนตนเองได้วา่ ใช้เงิน ซอ้ื สง่ิ ของประเภทใด เปน็ สง่ิ ทจ่ี ำเปน็ ตอ้ งใชเ้ ทา่ ใด เปน็ ของทต่ี อ้ งการเทา่ ใด ชว่ ยทบทวนทำใหส้ ามารถทบทวน การใช้จ่ายเงินว่าเหมาะสมหรือต้องลดค่าใช้จ่ายประเภทใดให้น้อยลงบ้าง ช่วยในการวางแผนการใช้จ่าย พิจารณาจัดสรรเงินไว้ใช้จ่ายในส่ิงที่จำเป็นอื่นๆ หรือส่ิงท่ีต้องการในโอกาสพิเศษ โดยไม่ต้องรบกวนขอเงิน เพม่ิ จากพอ่ แม่ เปน็ การชว่ ยประหยดั อกี ทางหนง่ึ เปน็ หลกั ฐานในการขอเงนิ เพม่ิ ในกรณที ไ่ี ดร้ บั เงนิ ไมเ่ พยี งพอ แก่การใชจ้ า่ ยบันทึกการรับจ่ายของตนเอง เรื่องท่ี 3 การพัฒนาระบบบญั ชี การพฒั นา หมายถงึ ทำใหม้ น่ั คง ทำใหก้ า้ วหนา้ การพฒั นาประเทศกท็ ำใหบ้ า้ นเมอื งมน่ั คงมคี วามเจรญิ ความหมายของการพัฒนาประเทศนี้ก็เท่ากับต้ังใจที่จะทำให้ชีวิตของแต่ละคนมีความปลอดภัย มีความเจริญ มคี วามสขุ ระบบบญั ชี หมายถงึ ระบบการจดั เกบ็ ขอ้ มลู ทางการเงนิ อนั ประกอบดว้ ยแบบฟอรม์ หรอื เอกสารตา่ งๆ การบนั ทกึ ทางการบญั ชี ตลอดจนวธิ กี ารและอปุ กรณต์ า่ งๆ ทไ่ี ดน้ ำมาใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู เกย่ี วกบั การดำเนนิ งาน และการเงินของกิจการใหก้ บั ผทู้ ่เี ก่ยี วขอ้ ง เชน่ พนกั งาน ผ้จู ัดการ ผู้บรหิ าร ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ และส่วนราชการ เปน็ ตน้

หนงั สือ รายวชิ า การพฒั นาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) 57 การตดั สนิ ใจใชโ้ ปรแกรมบัญชี มหี ลายเหตุผล ขึ้นอยู่กบั ปจั จัยและความพรอ้ มหลายอย่าง สว่ นใหญ่ กจ็ ะเปน็ ดังน้คี ือ 1. ลดข้นั ตอนและความซำ้ ซ้อนในการทำงาน 2. ลดต้นทนุ ไดใ้ นระยะยาว เพื่อควบคุมขัน้ ตอนของงานใหด้ แี ละเกิดประสทิ ธิภาพ 3. สามารถนำขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ เพือ่ ตัดสินใจและแข่งขันกับคู่แข่ง 4. ข้อมลู และรายงานทางบญั ชีรวดเร็ว และแมน่ ยำ 5. สรา้ งความเชื่อถือข้อมลู ทางบญั ชีการเงนิ คณุ สมบัตขิ องโปรแกรมบญั ชีทีด่ ี 1. มบี ริการหลงั การขายทีด่ ี 2. พัฒนาโดยนักพัฒนาโปรแกรมมอื อาชพี 3. พนกั งานบริการมีความรูใ้ นระบบดี 4. โปรแกรมมีการพฒั นาอย่างตอ่ เน่อื ง 5. ควรได้รับการรบั รองจากกรมสรรพากร ข้ันตอนการวางระบบงานดว้ ยโปรแกรมบญั ชี จัดประชุมระบบปฏิบัติการของทุกๆ ระบบงานประชุมกับหัวหน้าแผนกและพนักงานท่ีเกี่ยวข้อง ปรับปรุงระบบโปรแกรมบัญชีบางส่วน ให้เหมาะสมกับงาน ไม่ได้หมายถึงทำตามใจผู้ใช้งานโปรแกรม แต่ทางบรษิ ัทจะคำนึงถงึ ความสะดวกของงานทต่ี อ้ งทำ และต้องไม่ทำให้ระบบลม้ เหลวหรอื ลอ่ แหลมต่อการ ถกู ทจุ ริต หรอื ผิดหลกั กฎหมายจนทำใหบ้ ริษัทต้องเสยี หายในอนาคต 1. จดั ประชมุ ผใู้ ชง้ านและผู้ทเี่ ก่ียวข้อง 2. กำหนดทางเดนิ ของเอกสารตา่ ง ๆ ทง้ั ระบบ 3. จัดทำเอกสารโครงสรา้ งโปรแกรมบัญชี 4. ติดตง้ั ระบบโปรแกรม ในแต่ละแผนก 5. ตรวจสอบปัญหาและแกไ้ ขข้อผดิ พลาดตา่ ง ๆ 6. รายงานสรุปให้กับผบู้ รหิ ารที่เก่ียวข้อง 7. ใหค้ ำแนะนำระบบงานเพิ่มเตมิ ความหมายของ “การบญั ช”ี การบัญชีมีคำนิยามต่างๆ กันตามความนิยม แต่ที่ใช้กันมากได้แก่คำนิยามของสมาคมผู้สอบบัญชี รับอนุญาตของประเทศสหรัฐอเมริกา ซ่ึงกล่าวไว้ว่า การบัญชีหมายความถึง “การจดบันทึก การจำแนก การสรุปผลและการรายงานเหตุการณ์เก่ียวกับการเงินโดยใช้หน่วยเป็นเงินตรารวมท้ังการแปลความหมาย ของผลการปฏบิ ตั ิดังกล่าวด้วย”

58 หนงั สือ รายวชิ า การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) จากนยิ ามความหมายของการบญั ชดี งั กลา่ วขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ในกระบวนการทำบญั ชนี น้ั จะตอ้ งเรม่ิ ดว้ ยการ รวบรวมเอกสารหลกั ฐานของเหตกุ ารณท์ างการเงนิ ของธรุ กจิ หรอื เรยี กอกี อยา่ งวา่ รายการคา้ เพอ่ื นำมาจดบนั ทกึ เรียงตามลำดับก่อนหลังในสมุดรายวัน แล้วจึงนำมาจำแนกแยกประเภทของรายการค้าในสมุดแยกประเภท จากนั้นทุกรอบระยะเวลาตามแต่ที่เราต้องการ เช่นทุกเดือน ทุกไตรมาส ทุกปี ก็จะมาทำการสรุปผล สง่ิ ทบ่ี นั ทกึ แยกประเภทไวแ้ ลว้ นอี้ อกมาเพอ่ื แสดงฐานะทางการเงนิ (งบดลุ ) ผลการดำเนนิ งาน (งบกำไรขาดทนุ ) และผลการเปลยี่ นแปลงฐานะทางการเงนิ (งบแสดงการเปลย่ี นแปลงฐานะทางการเงนิ ) ซงึ่ งบทแี่ สดงผลสรปุ น้ีเรียกรวมว่า งบการเงิน และงบการเงินท่ีได้มาก็จะนำมาแปลความหมายในรูปของการวิเคราะห์งบการเงิน ต่อไป ประโยชน์ของการบัญชี เม่อื มีการจัดทำบัญชีแล้ว กิจการก็จะได้รับประโยชน์จากรายงานทางการบัญชีในด้านต่างๆ มากมาย ได้แก่ บัญชีทำหน้าท่ีเป็นเคร่ืองมือในการควบคุมดูแลทรัพย์สิน เช่น บัญชีแสดงยอดเงินสดคงเหลือย่อมเป็น การบังคับใหผ้ รู้ ักษาเงินสดตอ้ งรบั ผิดชอบในยอดเงนิ สดให้ตรงกบั ทป่ี รากฏตามบัญชี การบัญชีเป็นวิธีการเก็บรวบรวมสถิติอย่างหนึ่ง ซ่ึงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหาร ในการควบคุมให้ การดำเนนิ งานเปน็ ไปโดยมปี ระสทิ ธภิ าพชว่ ยปอ้ งกนั ความผดิ พลาดในการทำงานเชน่ ไมห่ ลงลมื จา่ ยคา่ ใชจ้ า่ ยซำ้ และใช้ตรวจสอบความถูกต้องได้ในภายหลัง ช่วยคำนวณผลกำไรขาดทุนของกิจการสำหรับระยะเวลาหนึ่ง รวมทง้ั ยังช่วยแสดงฐานะของกิจการในขณะใดขณะหนงึ่ ดว้ ย ระบบบัญชี แบ่งแยกเปน็ สว่ นยอ่ ยได้ดั้งนี้คอื 1. ระบบการรวบรวมจัดเก็บข้อมูลรายการทางการเงิน โดยกำหนดแบบพิมพ์หรือเอกสารที่กิจการ ใชอ้ ยูแ่ ล้วในการทำธุรกิจเชน่ ใบส่งสนิ ค้า ใบรบั สนิ คา้ ใบเสร็จรบั เงิน ใบสำคญั จ่ายเงิน เปน็ ต้น ซ่ึงเปน็ แหล่ง ข้อมูลที่กิจการจะใช้ในการบนั ทกึ รายการทางบญั ชี 2. ระบบในการบนั ทกึ รายการทางเงนิ เหลา่ นต้ี ามลำดบั กอ่ นหลงั โดยกำหนดประเภทของสมดุ รายวนั ขนั้ ตน้ ซึง่ ทวั่ ไปกไ็ ด้แก่ สมดุ รายวนั ท่ัวไป สมดุ รายวันขาย สมดุ รายวันซื้อ สมดุ เงินสด เปน็ ตน้ เพื่อใช้ในการ บนั ทกึ รายการดงั กล่าว 3. ระบบการแยกประเภทบัญชี โดยกำหนดจากประเภทของสินทรพั ย์ หนีส้ นิ รายได้ ค่าใช้จ่ายตาม ความเหมาะสมของแตล่ ะกจิ การ เพือ่ ใช้ในการผา่ นรายการบัญชี 4. ระบบในการจัดทำรายงานในรูปงบการเงิน ซึ่งก็ได้แก่การวางรูปแบบของงบดุล งบกำไรขาดทุน และรายงานอื่นตามทกี่ จิ การตอ้ งการ

หนังสอื รายวชิ า การพฒั นาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 59 การวางแผนระบบบญั ชี ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ บญั ชคี อื การรวบรวมขอ้ มลู รายการคา้ ของกจิ การ ดงั นน้ั พนกั งานทกุ คนของกจิ การ ต่างก็มีส่วนอยู่ตลอดเวลาที่ก่อให้เกิดรายการค้าข้ึน จึงมีความจำเป็นท่ีจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ามีการทำ รายการคา้ อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดขน้ึ พนกั งานคนใดตอ้ งทำอะไร ใชเ้ อกสารแบบพมิ พอ์ ะไร กรอกขอ้ ความอะไรลงใน แบบพิมพ์ท่ีกำหนดน้ัน เรียบร้อยแล้วต้องนำส่งให้พนักงานบัญชีอย่างไร และเมื่อพนักงานบัญชีได้รับแล้ว จะตอ้ งบนั ทกึ อยา่ งไร ขน้ั ตา่ งๆทก่ี ลา่ วขา้ งตน้ คอื การวางแผนระบบบญั ชนี น้ั เอง ซง่ึ กจิ การโดยทว่ั ไปพอจะแยก ธุรกรรมหลกั ๆ ทีต่ ้องวางหลักการขน้ั ตอนในการทำงานเพ่อื ใช้ในการบนั ทกึ รายการทางบัญชีไดด้ งั น้ี 1. ระบบบัญชสี ำหรับการจัดซ้ือและควบคุมสนิ ค้าคงเหลอื 2. ระบบบญั ชีสำหรับการขายและควบคุมลูกหนี้ 3. ระบบบญั ชสี ำหรบั การคำนวณต้นทุนในการผลิต 4. ระบบบญั ชสี ำหรับเงินสดรบั 5. ระบบบัญชีสำหรบั เงนิ สดจา่ ย เมื่อวางระบบกำหนดหน้าท่ีของแต่คนได้แล้ว ในการบันทึกรายการทั้งในระดับตามเวลาก่อนหลัง และบนั ทกึ แยกประเภทบญั ชี ตลอดจนการจดั ทำรายงาน กจิ การอาจพิจารณาใช้ระบบคอมพิวเตอร์เขา้ ช่วยได้ ซงึ่ ปัจจบุ นั มซี อฟตแ์ วร์สำเรจ็ รูปทางบัญชใี ห้เลอื กมากมายในทอ้ งตลาด

60 หนังสอื รายวชิ า การพฒั นาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) ใบงานท่ี 6 ชื่อ-สกลุ .......................................................................รหัสนกั ศกึ ษา................................................................ รหสั .............................................................................กศน.ตำบล.................................................................... กศน.อำเภอ..................................................................จงั หวัด.......................................................................... 1. จงอธบิ ายประโยชน์ของการจดบนั ทกึ ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………...........................................................………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..................................................................................................………… 2. ประโยชน์ของรายรับ - รายจา่ ย มีอะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..................................................................................................………… 3. งานบญั ชี มคี วามจำเปน็ อยา่ งไรในการขยายตลาดสินคา้ ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………...............................................................................................……… 4. การพัฒนาระบบบญั ชี มีประโยชนอ์ ยา่ งไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………..........................................................…

62 หนังสอื รายวิชา การพฒั นาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) ตอนท่ี 7 การพฒั นาแผนและโครงการพฒั นาอาชีพใหม้ ีรายได้ มเี งนิ ออมและมที ุนในการขยายอาชพี เร่ือง 1 แผนและโครงการพฒั นาอาชพี การวางแผนและการเขยี นโครงการ การวางแผน คอื การมองอนาคต การเลง็ เห็นจุดหมายที่ต้องการ การคาดปญั หาเหล่าน้นั ไวล้ ่วงหนา้ ไว้อยา่ งถูกตอ้ ง ตลอดจนการหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ประเภทของแผน เม่ือกล่าวมาถึงตอนนี้น่าจะพูดถึงประเภทของแผนเสียเล็กน้อยเพ่ือความเข้าใจลักษณะของแผน แตล่ ะอยา่ ง ถ้าจะมองในแงข่ องระยะเวลาอาจจะแบง่ แผนออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดงั นค้ี ือ 1. แผนพฒั นาระยะยาว (10 - 20 ป)ี กำหนดเคา้ โครงกวา้ งๆ วา่ ประเทศชาตขิ องเราจะมที ศิ ทางพฒั นา ไปอย่างไร ถ้าจะดึงเอารัฐธรรมนูญ และ/หรือแผนการศึกษาแห่งชาติมาเป็นแผนประเภทน้ีก็พอ ถูไถไปได้ แตค่ วามจรงิ แผนพัฒนาระยะยาวของเราไม่มี 2. แผนพัฒนาระยะกลาง (4 - 6 ปี) แบ่งช่วงของการพัฒนาออกเป็น 4 ปี หรือ 5 ปี หรือ 6 ปี โดยคาดคะเนว่าในช่วง 4 - 6 ปี น้ี จะทำอะไรกันบ้าง จะมีโครงการพัฒนาอะไร จะงบประมาณใช้ทรัพยากร มากนอ้ ยเพยี งไรแผนดงั กลา่ วไดแ้ กแ่ ผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตนิ น่ั เอง ในสว่ นของการศกึ ษากม็ แี ผน พฒั นาการศกึ ษาแห่งชาติ (ไมใ่ ช่แผนการศึกษาแหง่ ชาติ) ในเรอื่ งของการเกษตรก็มีแผนพฒั นาเกษตรเปน็ ตน้ 3. แผนพฒั นาประจำปี (1 ปี ) ความจรงิ ในการจดั ทำแผนพฒั นาระยะกลาง เชน่ แผนพฒั นาการศกึ ษา ไดม้ กี ารกำหนดรายละเอยี ดไวเ้ ปน็ รายปอี ยแู่ ลว้ แตเ่ นอ่ื งจากการจดั ทำแผนพฒั นาระยะกลางไดจ้ ดั ทำไวล้ ว่ งหนา้ ข้อมูลหรือความต้องการที่เขียนไว้อาจไม่สอดคล้องกับสภาพท่ีแท้จริงในปัจจุบัน จึงต้องจัดทำแผนพัฒนา ประจำปีข้ึน นอกจากน้ัน วิธีการงบประมาณของเราไม่ใช้แผนพัฒนาระยะกลางขอตั้งงบประมาณประจำปี เพราะมีรายละเอยี ดน้อยไป แตจ่ ะตอ้ งใชแ้ ผนพัฒนาประจำปี เป็นแผนขอเงิน 4. แผนปฏิบัติการประจำปี (1 ปี) ในการขอตั้งงบประมาณตามแผนพัฒนาประจำปีในข้อ 3 ปกตมิ กั ไมไ่ ดต้ ามทก่ี ระทรวง ทบวง กรมตา่ งๆขอไป สำนกั งบประมาณหรอื คณะกรรมาธกิ ารของรฐั สภามกั จะ ตดั ยอดเงนิ งบประมาณทส่ี ว่ นราชการตา่ งๆ ขอไปตามความเหมาะสมและจำเปน็ และสภาวการณก์ ารเงนิ งบประมาณ ของประเทศทจ่ี ะพงึ มภี ายหลงั ทส่ี ว่ นราชการตา่ งๆ ไดร้ บั งบประมาณจรงิ ๆแลว้ จำเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งปรบั แผนพฒั นา ประจำปีที่จัดทำข้ึนเพื่อขอเงินให้สอดคลอ้ งกับเงนิ ท่ไี ด้รับอนุมตั ิ ซึ่งเรยี กวา่ แผนปฏบิ ัติการประจำปขี น้ึ

หนังสือ รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) 63 ความหมายของโครงการ พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของโครงการว่า หมายถงึ “แผนหรอื เค้าโครงการตามท่ีกำหนดไว้” โครงการเป็นส่วนประกอบส่วนหน่ึงในการวางแผนพัฒนาซ่ึงช่วยให้เห็นภาพ และทศิ ทางการพัฒนา ขอบเขตของการทสี่ ามารถติดตามและประเมนิ ผลได้ โครงการเกิดจากลักษณะความพยายามท่ีจะจัดกิจกรรม หรือดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ เพื่อ บรรเทาหรือขจดั ปญั หา และความตอ้ งการทง้ั ในสถาณการณป์ จั จบุ นั และอนาคต โครงการโดยทัว่ ไป สามารถ แยกได้หลายประเภท เช่น โครงการเพื่อสนองความต้องการ โครงการพัฒนาท่ัวๆ ไป โครงการตามนโยบาย เรง่ ด่วน เป็นตน้ องค์ประกอบของโครงการ องคป์ ระกอบพ้นื ฐานในโครงการแต่ละโครงการน้นั ควรจะมดี ังนี้ 1. ชื่อแผนงาน เป็นการกำหนดชื่อให้ครอบคลุมโครงการเดียวหรือหลายโครงการท่ีมีลักษณะงาน ไปในทศิ ทางเดียวกันเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาหรอื สนองวัตถปุ ระสงค์หลกั ทกี่ ำหนดไว้ 2. ชื่อโครงการ ให้ระบุชื่อโครงการตามความเหมาะสม มีความหมายชัดเจนและเรียกเหมือนเดิม ทุกคร้งั จนกวา่ โครงการจะแล้วเสรจ็ 3. หลักการและเหตุผล ใช้ช้ีแจงรายละเอียดของปัญหาและความจำเป็นท่ีเกิดขึ้นที่จะต้องแก้ไข ตลอดจนชแ้ี จงถงึ ผลประโยชนท์ จ่ี ะไดร้ บั จากการดำเนนิ งานตามโครงการและหากเปน็ โครงการทจ่ี ะดำเนนิ การ ตามนโยบาย หรือสอดคล้องกับแผนจังหวัดหรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือแผนอื่น ๆ กค็ วรชแี้ จงดว้ ย 4. วัตถุประสงค์ เป็นการบอกให้ทราบว่า การดำเนินงานตามโครงการน้ันมีความต้องการให้อะไร เกดิ ขน้ึ วัตถปุ ระสงคท์ ่ีควรจะระบุไว้ควรเป็นวตั ถุประสงคท์ ีช่ ดั เจน ปฏิบตั ไิ ดแ้ ละวัดและประเมนิ ผลได้ 5. เป้าหมาย ให้ระบุว่าจะดำเนินการสิ่งใด โดยพยายามแสดงให้ปรากฏเป็นรูปตัวเลขหรือจำนวนที่ จะทำได้ภายในระยะเวลาทก่ี ำหนด การระบุเป้าหมาย เป็นประเภทลกั ษณะและปรมิ าณ ให้สอดคลอ้ งกบั วัตถุ ประสงค์และความสามารถในการทำงานของผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ 6. วิธีดำเนินการหรือกิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงาน คืองานหรือภารกิจซึ่งจะต้องปฏิบัติ ในการดำเนินโครงการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ในระยะการเตรียมโครงการจะรวบรวมกิจกรรมทุกอย่างไว้ แลว้ นำมาจดั ลำดบั วา่ ควรจะทำสง่ิ ใดกอ่ น-หลงั หรอื พรอ้ มๆ กนั แลว้ เขยี นไวต้ ามลำดบั จนถงึ ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ย ที่ทำใหโ้ ครงการบรรลุวตั ถุประสงค์ 7. ระยะเวลาการดำเนนิ งานโครงการ คอื การระบรุ ะยะเวลาตง้ั แตเ่ รม่ิ ตน้ โครงการจนเสรจ็ สน้ิ โครงการ ปจั จบุ นั นยิ มระบุ วนั -เดอื น-ปี ทเ่ี รม่ิ ตน้ และเสรจ็ สน้ิ การระบจุ ำนวน ความยาวของโครงการเชน่ 6 เดอื น 2 ปี โดยไมร่ ะบเุ วลาเริ่มต้น-ส้นิ สดุ เป็นการกำหนดระยะเวลาทีไ่ ม่สมบรู ณ์ 8. งบประมาณ เป็นประมาณการค่าใช้จ่ายทั้งส้ินของโครงการ ซึ่งควรจำแนกรายการค่าใช้จ่ายได้ อย่างชดั เจน

64 หนังสือ รายวิชา การพฒั นาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) 9. เจ้าของโครงการหรือผู้รับผิดชอบโครงการ เป็นการระบุเพ่ือให้ทราบว่าหน่วยงานใดเป็นเจ้าของ หรือรบั ผิดชอบโครงการ โครงการย่อยๆ บางโครงการระบุเปน็ ชือ่ บุคคลผ้รู ับผิดชอบเปน็ รายโครงการได้ 10. หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เป็นการให้แนวทางแก่ผู้อนุมัติและผู้ปฏิบัติว่าในการดำเนินการ โครงการนนั้ ควรจะประสานงานและขอความรว่ มมือกบั หนว่ ยงานใดบ้าง เพ่ือบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ่ตี ง้ั ไว้ 11. การประเมนิ ผล บอกแนวทางวา่ การตดิ ตามประเมนิ ผลควรทำอยา่ งไรในระยะเวลาใดและใชว้ ธิ กี าร อยา่ งไรจึงจะเหมาะสม ซง่ึ ผลของการประเมนิ สามารถนำมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ เตรยี มโครงการ ทีค่ ล้ายคลงึ หรือเกี่ยวขอ้ งในเวลาตอ่ ไป 12. ผลประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ ับ เม่อื โครงการน้นั เสร็จสน้ิ แลว้ จะเกดิ ผลอย่างไรบ้างใครเป็นผ้ไู ด้รับ เรอื่ งนี้สามารถเขยี นท้ังผลประโยชนโ์ ดยตรงและผลประโยชน์ในด้านผลกระทบของโครงการดว้ ยได้ ลกั ษณะโครงการทดี่ ี โครงการทีด่ มี ลี ักษณะดังน้ี 1. เป็นโครงการที่สามารถแก้ปัญหาของทอ้ งถ่นิ ได้ 2. มีรายละเอียด เนอ้ื หาสาระครบถว้ น ชดั เจน และจำเพาะเจาะจง โดยสามารถตอบคำถามได้ 3. รายละเอียดของโครงการดังกล่าว ต้องมีความเก่ียวเน่ืองสัมพันธ์กัน เช่น วัตถุประสงค์ต้อง สอดคลอ้ งกบั หลกั การและเหตุผล วิธีดำเนินการต้องเปน็ ทางท่ที ำใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ได้ เปน็ ต้น 4. โครงการที่ริเริม่ ข้ึนมาตอ้ งมีผลอย่างนอ้ ยทีส่ ดุ อยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ในหัวข้อตอ่ ไปนี้ - สนองตอบ สนบั สนนุ ตอ่ นโยบายระดบั จงั หวดั หรอื นโยบายสว่ นรวมของประเทศ - กอ่ ให้เกิดการพัฒนาท้ังเฉพาะส่วนและการพัฒนาโดยสว่ นรวมของประเทศ - แกป้ ญั หาทเี่ กิดขึน้ ไดต้ รงจุดตรงประเด็น 5. รายละเอียดในโครงการมพี อที่จะเป็นแนวทางใหผ้ ูอ้ นื่ อ่านแล้วเข้าใจ และสามารถดำเนนิ การตาม โครงการได้ 6. เปน็ โครงการที่ปฏบิ ัติได้และสามารถตดิ ตามและประเมินผลได้ เรื่องที่ 2 องค์ความรู้ (Knowledge) องค์ความรู้ คือ ข้อมูล (Data) หรือข่าวสาร (Information) ท่ีสามารถอธิบายความหมายได้ มีความสัมพันธ์กับปัญหา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงประเด็น ซ่ึงองค์ความรู้ จดั เปน็ ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาอยา่ งหนง่ึ ขององคก์ ร สามารถแลกเปลย่ี นทรพั ยส์ นิ นไ้ี ดร้ ะหวา่ งบคุ คล และทรพั ยส์ นิ ชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตหรือพัฒนาให้เพ่ิมพูนได้ ดังน้ันองค์ความรู้จึงจัดเป็นพลังพิเศษขององค์กร ท่ีจะ สามารถเพม่ิ ผลกำไรใหก้ ับองคก์ รไดใ้ นอนาคต

หนงั สือ รายวิชา การพฒั นาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) 65 ประเภทขององค์ความรู้ (Knowledge Types) สามารถจำแนกประเภทขององค์ความรู้ ไดด้ ังนี้ 1. Base knowledge คอื องค์ความรพู้ น้ื ฐานขององคก์ ร ซง่ึ ทกุ องคก์ รจะต้องมี จดั เป็นองคค์ วามรู้ ที่มคี วามสำคญั ใชใ้ นการสร้างความได้เปรยี บในการแข่งขัน และใช้วางแผนระยะสั้นขององคก์ ร 2. Trivial knowledge คือ องคค์ วามรูท้ ่ัวไปขององคก์ ร เก็บรวบรวมไว้ในองค์กรแต่ไมไ่ ด้ใช้ในการ ตัดสินใจกบั งานหลักหรือภารกจิ หลกั ขององคก์ ร 3. Explicit knowledge คือ องค์ความรทู้ ม่ี โี ครงสร้างชัดเจน สามารถเขียนบรรยายไดอ้ ยา่ งชัดเจน ในรปู แบบของกระดาษ (Paper) หรอื รายงาน (Report) ซง่ึ Explicit knowledge อาจไดม้ ามาจากวตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ในการดำเนนิ งานขององค์กร ขอ้ มูลทีว่ า่ ด้วยหลกั เหตผุ ลตา่ งๆ หรอื ขอ้ มลู ด้านเทคนิค ซง่ึ องคค์ วามร้เู หลา่ น้ี สามารถเก็บรวบรวมได้ง่ายๆ จากแหล่งเอกสารในองค์กรสามารถถ่ายทอดให้กับคนอ่ืนได้ง่ายอาจจะโดยวิธี การสอนหรือการเรียนรู้ 4. Tacit knowledge คอื องค์ความรูท้ ีไ่ ม่มีโครงสร้าง ไม่สามารถบรรยายหรือเก็บรวบรวมได้จาก แหลง่ เอกสาร เป็นความรูท้ ส่ี ะสมมาจากประสบการณท์ ี่เคยพบเจอกับปญั หาตา่ งๆ อาจจะเปน็ สัญชาตญาณ และความชำนาญเฉพาะด้านของบุคคล ซ่ึงปัจจุบันองค์ความรู้ประเภทน้ี กำลังถูกพัฒนาให้มีการจัดเก็บ เพราะเป็นความรู้ทน่ี อกเหนือจากมอี ยใู่ นรปู แบบของ Explicit knowledge การจดั การองคค์ วามรู้ (knowledge Management : KM) การจดั การองคค์ วามรู้ เป็นกระบวนการในการล้วงเอาความจรงิ ภายในองคก์ รออกมาจากน้นั ทำการ เปล่ียนรูป และเผยแพร่องค์ความรู้นั้นผ่านทางหน่วยงานต่างๆ ขององค์กร ดังน้ันองค์กรสามารถใช้ องค์ความรู้ร่วมกันได้ ซ่ึงเมื่อนำองค์ความรู้ไปใช้งานแล้ว องค์ความรู้น้ันจะไม่หมดสามารถนำกลับมาใช้ ใหม่ได้อีก องค์ความร้จู ะช่วยทำให้องค์กรสามารถค้นหา คัดเลือก จัดการเผยแพร่ และส่งมอบข่าวสาร และ ความเชย่ี วชาญในการแก้ไขปญั หาที่สำคัญได้ การจัดการกับองค์ความรู้นั้น จะทำการเปลี่ยนรูปข้อมูลและข่าวสารให้อยู่ในรูปขององค์ความรู้ที่ สามารถนำไปใชป้ ฏบิ ตั กิ ารในการแกไ้ ขปญั หาได้ และตอ้ งสามารถใชไ้ ดผ้ ลกบั ทกุ ๆ หนว่ ยงาน และกบั ทกุ ๆ คน ภายในองค์กร วัตถุประสงคข์ องการจัดการองคค์ วามรู้ (KM Objectives) การจัดการองคค์ วามรู้ มีวตั ถุประสงค์หลัก ดงั น้ี 1. เพือ่ สรา้ งระบบจัดเก็บองคค์ วามรู้ (Create knowledge repositories) 2. เพื่อปรบั ปรงุ การเขา้ ถงึ องคค์ วามรู้ (Improve knowledge access) 3. เพอ่ื ยกระดบั สภาพแวดลอ้ มขององคค์ วามรใู้ หด้ ขี น้ึ (Enhance knowledge as an environment ) 4. เพอ่ื จดั การองคค์ วามรใู้ หเ้ ปน็ ทรพั ยส์ นิ ทม่ี คี า่ และมปี ระโยชน์ (Manage knowledge as an asset )

66 หนังสือ รายวิชา การพฒั นาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) เหตุผลในการนำ KM มาปรับใช้ในองคก์ ร 1. ลดตน้ ทนุ (Cost savings) 2. เพ่มิ ประสทิ ธภิ าพในการทำงาน และการแก้ปัญหาไดด้ ยี ิง่ ขนึ้ (Better performance) 3. เพื่อพิสจู น์ความสำเรจ็ ขององคก์ ร (Demonstrated success) 4. เพอ่ื การปฏบิ ัติงานรว่ มกันทดี่ ีเย่ียม (Share Best Practices) 5. เพอ่ื สรา้ งความไดเ้ ปรียบในการแขง่ ขนั (Competitive advantage) การพฒั นาการจัดการองคค์ วามรู้ (KM Development) ในการสร้างกลยุทธ์องค์ความรู้ องค์กรต้องรู้ว่าต้องการใช้องค์ความรู้ด้านใดเป็นกลยุทธ์ (Need - a knowledge strategy) ซ่ึงต้องมองเน้นในเร่ืองการเพ่ิมความสามารถในการแข่งขันกับธุรกิจภายนอกก่อน เป็นอันดับแรก และพิจารณาถึงประโยชน์ท่อี งค์กรคาดว่าจะได้รับ หากมีการพัฒนาองค์ความร้ขู ้นึ มาใช้งาน จากนน้ั ทำการกำหนดทรพั ยส์ นิ องคค์ วามรทู้ จ่ี ะใช้ (Identify knowledge assets) เปน็ การระบรุ ายละเอยี ดของ องคค์ วามรวู้ า่ ฐานองคค์ วามรวู้ า่ อะไรทเ่ี ราตอ้ งการ และจำแนกประเภทองคค์ วามรนู้ น้ั ๆ ใหต้ รงกบั ความตอ้ งการ ของผู้ใช้ในแต่ละหน่วยงานขององค์กร จากน้ันทำการสร้างแบบจำลอง (Model) แนวคิดเพื่อวิเคราะห์ หาจุดเดน่ จุดด้อย ขององคค์ วามรแู้ ต่ละประเภท ขั้นตอนการพัฒนาการจดั การองคค์ วามรู้ 1. ระบุปัญหา (Identify the problem) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลและค้นหาปัญหาท่ีมีจำเป็น ที่จะต้องแก้ไขพิจารณาองค์ความรู้ท่ีมีอยู่ในองค์กร องค์ความรู้ใดยังขาดประสิทธิภาพ ต้องได้รับการแก้ไข ปรับปรงุ และองค์ความรใู้ ดท่ีองค์กรยงั ขาดอยู่ ยงั ไมม่ กี ารจัดเก็บเอาไวใ้ นฐานความรู้ 2. จัดเตรียมกระบวนการเปลี่ยนแปลง (Prepare for change) เป็นการออกแบบขั้นตอนในการ เปลย่ี นแปลงกระบวนการพัฒนาองคค์ วามรู้ วา่ ถา้ หากจะมีการปรับปรุงหรือพัฒนาองค์ความรนู้ ั้น จะตอ้ งมี ข้ันตอนและกิจกรรมในการดำเนินงานอยา่ งไรบา้ ง 3. จัดสร้างทีมงานสำหรับพัฒนาองค์ความรู้ (Create the team) สำหรับทีมงานในการพัฒนา องค์ความรู้น้นั ไม่จำกัดวา่ จะต้องเป็นบุคคลเฉพาะที่อยู่ในสว่ นของ IT เท่านน้ั เน่ืองจากจำเป็นตอ้ งมผี ทู้ มี่ ี ความรู้ ความชำนาญในแต่ละด้านขององค์ความรนู้ น้ั ๆ ดังน้นั หวั หนา้ ฝ่ายจดั การองค์ความรู้ (CKO) จะเป็น ผู้บริหารทีมงาน หากจะให้การพัฒนาระบบองค์ความรู้นั้นประสบผลสำเร็จควรมีโครงการพัฒนาระบบ แบบนำรอ่ ง (Pilot) เพื่อให้พนักงานบางสว่ นไดท้ ดลองนำองค์ความรูอ้ อกไปใชใ้ นการแก้ปัญหาจริงเสยี กอ่ น 4. การกำหนดองคป์ ระกอบตา่ งๆขององค์ความรู้ (Map out the knowledge) เป็นองคป์ ระกอบท่ี ประกอบกันข้ึนเป็นระบบซ่ึงในขั้นตอนน้ีจะต้องพิจารณาว่าองค์ความรู้นั้นควรจะเก็บจากแหล่งใดบ้าง และจดั เกบ็ จากบคุ คลใดบา้ ง มกี ารจำแนกประเภทขององคค์ วามรอู้ อกเปน็ หมวดหมู่ เพอ่ื งา่ ยตอ่ การดงึ ไปใช้ และแก้ปญั หา ตลอดจนเลือกเคร่อื งมือ (Tool) ท่ีจะใช้ในการพฒั นาองคค์ วามรู้

หนงั สือ รายวชิ า การพฒั นาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) 67 5. สรา้ งกลไกในการตอบสนองกลบั (Create a feedback mechanism) เปน็ การกำหนดขน้ั ตอนและ กระบวนการในการรับข้อคิดเห็น (Comment) จากการนำระบบองค์ความรู้ไปใช้งาน เมื่อเกิดปัญหาข้ึน ควรมรี ะบบทจี่ ะใหพ้ นักงานส่งคำแนะนำกลบั มายังหน่วยงาน เพ่ือจะได้นำไปปรับปรุงระบบอกี ครั้ง 6. สร้างกรอบให้คำจำกัดความ (Define the building blocks) เป็นการกำหนดกรอบแนวคิด ของแตล่ ะขอบขา่ ยองคค์ วามรทู้ จ่ี ะกระทำ ขอบขา่ ยองคค์ วามรนู้ จ้ี ะใหท้ ำอะไรบา้ ง มวี ธิ กี ารจดั เกบ็ องคค์ วามรู้ ในรูปแบบใด ใชห้ ลักการค้นหาองคค์ วามรูอ้ ย่างและนำเสนอในรูปแบบใด เปน็ ตน้ 7. รวมระบบเข้ากับข่าวสารที่มีอยู่แล้วในระบบเดิม (Integrate existing information systems) เป็นการนำเอาองค์ความรู้ท่ีมีอยู่แล้วในมือ ผสมผสานเข้ากับระบบข่าวสารในองค์กร เพ่ือให้มีระบบท่ีมี ประสิทธิภาพมากยง่ิ ขึ้นและทันความตอ้ งการ เร่อื งที่ 3 ทักษะในความรู้ ทักษะ (Skill) คอื สงิ่ ท่อี งคก์ รต้องการให้ “ทำ” เช่นทักษะด้าน ICT ทกั ษะด้านเทคโนโลยีการบริหาร สมัยใหม่ เปน็ สงิ่ ท่ตี ้องผา่ น การเรียนรู้ และฝึกฝนเปน็ ประจำจนเกดิ เป็นความชำนาญในการใช้งาน ความรู้ (Knowledge) หมายถึง การเรียนรู้ท่ีเน้นถึงการจำและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ซ่ึงเป็นความจำท่ีเริม่ จากสิง่ ง่าย ๆ ทีเ่ ป็นอิสระแกก่ ัน ไปจนถงึ ความจำในสง่ิ ที่ย่งุ ยาก ซับซอ้ นและมคี วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งกัน ความร้ตู ามลกั ษณะมี 2 ประเภท คือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือ สัญชาตญาณของแต่ละบคุ คล เชน่ ทกั ษะในการทำงาน งานฝมี ือ หรอื การคดิ เชงิ วเิ คราะห์ 3. ความรู้ท่ชี ัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็น ความรู้ทสี่ ามารถ ถ่ายทอดไดโ้ ดยผ่านวธิ ีตา่ งๆ เชน่ การบันทกึ ความรตู้ ามโครงสร้างอยู่ 2 ระดับ คอื 1. โครงสร้างสว่ นบนของความรู้ ไดแ้ ก่ Idea ปรัชญา หลักการ อุดมการณ์ 2. โครงสรา้ งสว่ นลา่ งของความรู้ ไดแ้ ก่ ภาคปฏบิ ตั กิ ารของความรู้ ไดแ้ กอ่ งคค์ วามรทู้ แ่ี สดงในรปู ของ ขอ้ เขยี น สญั ญะ การแสดงออกในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ ศลิ ปะ การเดนิ ขบวนทางการเมอื ง โครงสรา้ งสว่ นลา่ งของ ความรมู้ ีโครงสรา้ งระดบั ลกึ คือ ความหมาย (significant)

68 หนังสือ รายวิชา การพฒั นาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) เรื่องที่ 4 การตลาด ตลาด เป็นกระบวนการ หรือกิจกรรมท่ีเกิดข้ึนเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นการ ผลิตสนิ คา้ และจัดหา ไปถงึ มือลูกค้าหรือผู้บรโิ ภคในกลุ่มต่างๆ เพอ่ื ที่จะช่วยเหลือหรือสง่ เสริมให้สินคา้ หรือ บริการถูกต้อง และตรงตามความตอ้ งการของลูกคา้ มากทสี่ ดุ ตลาดโดยท่ัวๆ ไปมีหนา้ ที่ ดงั น้ี 1. หน้าท่ใี นการผลติ สนิ ค้า และบรกิ ารเพื่อสนองความต้องการของลูกคา้ หรอื ผบู้ รโิ ภค 2. หน้าที่ในการขนส่งและเก็บรักษา เพ่ือให้สินค้าและบริการนั้น ถึงมือลูกค้าได้สะดวกและ ทนั ความตอ้ งการ 3. หน้าท่ีทางการเสี่ยงภัย โดยการจัดมาตรฐานการแบ่งระดับสินค้าและการเงิน เพ่ือความสะดวก ในการกำหนดราคาอีกทั้งเป็นการให้เครดิตแก่ผู้บริโภคหรือลูกค้าในรูปแบบต่างๆ เพ่ือช่วยปริมาณการขาย สินคา้ และบริการให้มากข้ึน 4. หน้าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า เช่น ความต้องการของลูกค้าสภาวะตลาด การเมอื ง สงั คม คา่ นยิ ม ความเชื่อ และวฒั นธรรม เปน็ ตน้ การตลาด หมายถึง ทุกอย่างท่ีเราทำเพ่ือสนองความต้องการของลูกค้า และก่อให้เกิดการขาย โดยมผี ลกำไร หน้าทที่ างการตลาด 1. จัดหาสินค้า / บริการท่ีลูกค้าตอ้ งการ 2. กำหนดราคาสินคา้ / บรกิ ารทีล่ ูกคา้ ยินดจี ่าย 3. นำสินค้า / บรกิ ารไปส่ลู ูกค้า 4. ให้ข้อมูลและดึงดูดใจเพ่ือใหล้ ูกคา้ ซ้ือสนิ คา้ / บริการ ส่วนแบ่งทางการตลาด ส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นกระบวนการแบ่งตามลักษณะของผู้บริโภคที่มีความต้องแตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลด้านการตลาดท่ีมีผลต่อยอดขายสินค้า โดยจะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ด้านภมู ิศาสตร์ ด้านประชากรศาสตร์ ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ดา้ นจิตพิสยั สว่ นบุคคล ดา้ นความสมั พนั ธ์ ในการนำไปใช้ ด้านสถานการณก์ ารใช้ ด้านผลประโยชน์ และด้านการประสมประสาน การวิเคราะห์การตลาด การศกึ ษาขอ้ มลู และรายละเอยี ดเกย่ี วกบั ลกู คา้ ทบ่ี ง่ บอกถงึ ลกั ษณะและคณุ สมบตั ขิ องลกู คา้ ซง่ึ เปน็ การค้นหาพฤติกรรมในการซื้อของผู้ซ้ือ ผู้บริโภคเพื่อท่ีจะได้นำข้อมูลที่ได้ไปวางแผนทางตลาดหรือกลยุทธ์ ทางการตลาดทสี่ ามารถสนองความตอ้ งการและความพงึ พอใจของผบู้ ริโภคและลูกคา้ ได้อย่างเหมาะสม

หนังสอื รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชพี (อช32001) 69 การศึกษาสภาพแวดล้อมทางการตลาด ตลาดในยคุ ปจั จบุ นั มกี ารแขง่ ขนั กนั อยา่ งรนุ แรง ดงั นน้ั ผปู้ ระกอบการควรนำรปู แบบของตลาดทเ่ี ปน็ ส่วนแคบๆ หรืออาจเรียกว่ากลยุทธ์ตลาดเป้าหมาย หรือกลยุทธ์ตลาดรายย่อย มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการพัฒนา การตลาด การวางแผนการตลาด ตลาดทด่ี มี ปี ระสทิ ธภิ าพจะสรา้ งความนา่ เชอ่ื ถอื ใหก้ บั กจิ การ และผปู้ ระกอบการ กจิ กรรมทางการตลาด ควรมขี ้อมูลเหล่าน้ี คือ 1. กจิ การจะขายอะไร หรือผลิตอะไร 2. สินค้ามีราคาเท่าไร 3. กลุม่ เป้าหมายทใ่ี ช้คือใคร 4. ลูกค้าอยู่ท่ไี หน 5. วธิ ีการนำลูกค้าและบริการส่ลู ูกคา้ ทำไดอ้ ยา่ งไร เรอื่ งที่ 5 การผลิต การผลติ หมายถงึ กระบวนการทท่ี ำใหเ้ กดิ มลู คา่ เพม่ิ (Value Added) ทง้ั ทเ่ี ปน็ มลู คา่ หรอื ประโยชน์ ใชส้ อย (Use Value) และมูลค่าในการแลกเปลยี่ น (Exchange Value) โดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่ือตอบสนอง ความต้องการของมนุษย์ในการดำรงชีวิตเพราะฉะน้ันการผลิตจึงเป็นการสร้างคุณค่าของสินค้าท่ีสามารถ สนองตอบความต้องการของมนษุ ย์ (Utility) การสร้างคุณค่าของสินค้าท่ีสามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์นั้นได้พัฒนาการมาพอจะ สรปุ ได้ ดังน้ี ระยะแรก มนุษย์สร้างสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของตนเอง เร่ิมตั้งแต่ยุคท่ีเรียกว่า Hunting and Gathering และยุคการเกษตรทอี่ าศยั ธรรมชาติ ระยะท่ีสอง มนุษย์สร้างสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้อ่ืนเพ่ือประโยชน์แห่งตน เรม่ิ ตง้ั แตย่ คุ พาณชิ ยน์ ยิ ม ยคุ ปฏวิ ตั ิ อตุ สาหกรรม และพาณชิ ยกรรม ในยคุ นต้ี อ้ งใชค้ วามรดู้ า้ นการบรหิ ารและ จดั การเพอ่ื การผลติ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ เพอ่ื ใหผ้ ลติ ไดม้ ากและตน้ ทนุ ตำ่ เมอ่ื ผลติ มากกต็ อ้ งขายใหม้ ากจงึ จำเปน็ ตอ้ งหาวิธีการใหป้ ระชาชนบริโภคมากขนึ้ อนั นำไปสกู่ ารบริโภคเกนิ (Over consumption) และลงทุนเกิน (Over investment) ทำใหท้ รพั ยากรถกู ใช้หมดไปอยา่ งรวดเรว็ กอ่ ใหเ้ กิดปัญหาตามมามากมาย ระยะที่สาม มนุษย์ได้ตระหนักถึงปัญหาท่ีเกิดข้ึน และทรัพยากรท่ีมีจำนวนโดยยังใช้ประโยชน์ ไมเ่ ตม็ ท่ี คอื “คน” จงึ ไดใ้ หค้ วามสนใจตอ่ “คน” กระบวนการผลติ โดยยงั มคี วามแตกตา่ งใน ความคดิ โดย กลุ่มหน่ึงยังคิดในระบบเก่าท่ีว่า “คน” คือ ปัจจัยการผลิตชนิดหน่ึงที่ใช้ในการผลิตเหมือนปัจจัยการผลิต อ่ืนๆ เรียกว่า ทรัพยากรมนุษย์ หมายความว่า มนุษย์เป็นที่มาของทรัพย์ ซึ่งให้ความสำคัญต่อ “มูลค่า” แต่อีกกลุ่มคดิ ในระบบใหม่วา่ “คน” คอื จดุ หมายปลายทาง (Ends) เพราะ “คน” รวู้ ่าตนเองตอ้ งการอะไร และทำอะไรได้ โดยทำให้ชวี ิตดขี ้นึ และสงั คมก็ดขี ึน้ “มองคน” ในแง่จิตวญิ ญาณ เท่ากบั ใหค้ วามสำคญั ตอ่ “คณุ คา่ ” ของความเปน็ คน

70 หนังสือ รายวชิ า การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) เรื่องที่ 6 ระบบการบญั ชี การบัญชี หมายถงึ การรวบรวม การจดบันทกึ การจดั ประเภท การวเิ คราะหแ์ ละสรุปผลรายการ ทางการเงินที่เก่ียวข้องกับธุรกิจอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อจัดทำเป็นรายการทางการเงินแสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานและการเปลย่ี นแปลงฐานะการเงนิ ของธุรกิจ ซึ่งเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผใู้ ช้งบการเงินในการนำ ขอ้ มลู ไปประกอบการตดั สินใจ การทำบัญชี หมายถึง การจดบันทึกรายการทางบัญชีที่เกิดข้ึน โดยการบันทึกรายการขั้นตอน การจดั หมวดหมโู่ ดยการแยกประเภทรายการ และสรปุ ผลรายการทเ่ี กดิ ขน้ึ จดั ทำเปน็ งบการเงนิ ตามหลกั การ บญั ชที ่ีใช้กนั อยู่ทว่ั ไป ประโยชนข์ องการจดั ทำบัญชี 1. ชว่ ยในการควบคมุ รักษาทรพั ย์สินต่างๆ ของกิจการ 2. แสดงให้เหน็ ผลการดำเนนิ งาน (ผลกำไรหรือขาดทุน) ของกจิ การ เพอื่ นำไปคำนวณภาษี 3. แสดงใหเ้ หน็ ฐานะการเงินของกิจการ เพื่อประโยชนใ์ นการบรหิ ารจัดการ 4. ให้ขอ้ มลู ตวั เลขที่เปน็ ประโยชน์กับเจา้ ของกจิ การในการตัดสินใจ ประเภทของบัญชี แบง่ ออกเป็น 5 ประเภท คอื 1. สินทรัพย์ หมายถึง ส่ิงของท่ีสามารถวัดมูลค่าได้เป็นตัวเงินท้ังท่ีมีตัวตนและไม่มีตัวตน เช่น เงนิ สด เงินฝากธนาคาร ลูกหน้ี วสั ดสุ ำนกั งาน อาคาร รถยนต์ สิทธิบตั ร ลิขสทิ ธ์ิ เป็นตน้ ตวั อยา่ ง กจิ การแหง่ หนง่ึ มเี งนิ สด 40,000 บาท เงนิ ฝากธนาคาร 20,000 บาท อาคาร 1,040,000 บาท ดงั น้ันกจิ การแหง่ น้มี ีสินทรัพยท์ ้ังสน้ิ 2,000,000 บาท 2. หนี้สิ้น หมายถึง จำนวนเงินที่กิจการเป็นหนี้บุคคลภานอกซ่ึงจะต้องชำระคืนในอนาคต เช่น เจ้าหนก้ี ารคา้ เงนิ กู้ เงินเบิกเกนิ บญั ชธี นาคาร เป็นต้น ตัวอย่าง กิจการกู้เงินจากธนาคารมาลงทุน 500,000 บาท ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ 8,000 บาท ดงั น้ันกิจการนม้ี หี นส้ี ินทง้ั ส้ิน 508,000 บาท 3. ทนุ หรือส่วนของเจ้าของ หมายถึง สินทรพั ยส์ ทุ ธิทกี่ ิจการเป็นเจา้ ของ หรือสนิ ทรัพย์ทก่ี ิจการ มีอยู่หกั ดว้ ยหน้ีสินทม่ี ีอยู่ ตัวอยา่ ง กจิ การมีเงนิ สด 50,000 บาท เงินฝากธนาคาร 100,000 บาท เจา้ หนีก้ ารคา้ 20,000 บาท ดังน้นั กจิ การนมี้ ีสนิ ทรัพยส์ ุทธิหรือส่วนของเจ้าของ 130,000 บาท 4. รายได้ หมายถงึ รายไดจ้ าการดำเนนิ งานของกจิ การ เชน่ รายไดจ้ ากการขายสนิ คา้ รวมทง้ั รายไดอ้ น่ื ๆ ของกจิ การ เชน่ รายไดจ้ ากดอกเบย้ี เงนิ ฝากธนาคาร รายได้จากเงนิ ปนั ผล (ลงทนุ ซื้อหนุ้ กิจการอนื่ ) 5. ค่าใช้จา่ ย หมายถึง คา่ ใชจ้ า่ ยจากการดำเนินงานของกจิ การ เชน่ เงินเดือน ค่าวสั ดุ สำนักงาน ค่าพาหนะ และรวมถงึ คา่ เส่อื มราคาดว้ ย

หนงั สอื รายวิชา การพฒั นาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 71 การบนั ทึกบัญชี 1. สมการบญั ชี คอื สมการทแ่ี สดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสนิ ทรพั ย์ หนส้ี นิ และทนุ (สว่ นของเจา้ ของ) แสดงไดด้ งั นี้ สินทรพั ย์ = หนี้สิ้น + ทนุ (ส่วนของเจ้าของ) ตัวอย่าง กจิ การมเี งนิ ฝากธนาคาร 500,000 บาท มีเจา้ หน้กี ารค้า 20,000 บาท ดังนั้นสามารถ คำนวณทนุ หรอื ส่วนของเจา้ ของได้จากสมการบัญชี สินทรัพย์ = หน้ีสนิ + ทุน หรอื ทนุ = สนิ ทรพั ย์ - หนี้สิน ทุน = 500,000 - 20,000 บาท ทุน = 480,000 บาท 2. หลกั บญั ชี โดยทว่ั ไปกำหนดใหบ้ นั ทกึ บญั ชตี ามหลกั บญั ชคี ู่ หมายถงึ การบนั ทกึ รายการทางบญั ชี ทีเ่ กดิ ขึ้นด้วยจำนวนเงนิ ท่ีเทา่ กนั ท้ัง 2 ด้าน (เดบติ และเครดิต) น่ันคือ เมือ่ รายการทางบญั ชเี กิดข้นึ จะตอ้ ง บันทกึ บัญชหี นึ่งทางด้านเดบติ และอีกบัญชหี น่ึงทางดา้ นเครดติ ดว้ ยจำนวนเงินเท่ากันเสมอ 3. การวเิ คราะหร์ ายการคา้ 3.1 รายการค้า หมายถึง กิจกรรมหรือการดำเนินงานของธุรกิจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สินทรัพย์หน้ีสินและทุน ซึ่งต้องนำไปบันทึกบัญชีไว้เป็นหลักฐาน เช่น การนำเงินสดมาลงทุนในกิจการ การนำเงินฝากธนาคาร การจ่ายค่าใชจ้ ่ายต่างๆ 3.2 รายการทไ่ี มใ่ ชร่ ายการคา้ หมายถงึ รายการทไ่ี มก่ อ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในสนิ ทรพั ย์ หนส้ี นิ และส่วนของเจา้ ของหรือทนุ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร 3.3 การวิเคราะห์รายการค้า หมายถึง การพิจารณารายการค้าที่เกิดข้ึนว่ามีผลทำให้สินทรัพย์ หนสี้ ินและสว่ นของเจา้ ของหรอื ทนุ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร 4. วิธีการวเิ คราะหร์ ายการค้าตามหลกั บญั ชีคู่ 1. รายการคา้ ทเ่ี กิดขึน้ เป็นรายการประเภทใด และเกีย่ วข้องกับบัญชีอะไรบ้าง 2. รายการนัน้ มีผลทำใหบ้ ญั ชีเหลา่ นน้ั มียอดเพม่ิ ข้นึ หรือลดลงดว้ ยจำนวนเงนิ เทา่ ใด

72 หนงั สือ รายวชิ า การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) ตัวอยา่ ง การวิเคราะหร์ ายการคา้ สรปุ การบนั ทกึ บัญชีประเภทตา่ งๆ 5. รายงานทางการเงินและบัญชี 5.1 งบทดลอง คือ รายงานทางบัญชีท่ีจัดทำขึ้นเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของการบันทึกบัญชี ตามหลกั บญั ชีคู่ โดยแสดงยอดคงเหลอื ของบญั ชีต่างๆ เม่ือส้ินสดุ ระยะเวลาใดระยะหนึ่ง โดยยอดรวมของ ยอดคงเหลือของบญั ชีด้านเดบติ จะเท่ากับยอดรวมของยอดคงเหลือของบัญชีดา้ นเครดิต 5.2 งบการเงนิ คอื การรายงานสรปุ ขอ้ มลู ทางบญั ชที เ่ี กดิ ขน้ึ ของกจิ การในชว่ งเวลาหนง่ึ แบง่ เปน็ (1) งบกำไรขาดทุน คือ รายงานทางการเงินที่แสดงให้เห็นว่ากิจการมีผลกาดำเนินงาน ในชว่ งเวลาเปน็ อยา่ งไร โดยการเปรยี บเทยี บรายไดก้ บั คา่ ใชจ้ า่ ยทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชว่ งเวลาเดยี วกนั ถา้ รายไดม้ ากกวา่ ค่าใชจ้ า่ ยแสดงว่ามีผลกำไร แตร่ ายไดน้ ้อยกว่าค่าใช้จ่ายแสดงวา่ ขาดทนุ (2) งบดลุ คือ รายงานทางการเงนิ ทแี่ สดงฐานะการเงินของกจิ การ ณ เวลาใดเวลาหน่ึง โดยบอกใหท้ ราบวา่ กจิ การมสี นิ ทรพั ยแ์ ละหนส้ี นิ ประเภทใดบา้ ง จำนวนเทา่ ใด และมสี ว่ นของเจา้ ของจำนวน เท่าใด

หนังสอื รายวชิ า การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 73 แบบทดสอบ รายวชิ าเลอื กสาระการประกอบอาชีพ (การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ ) ตอนที่ 7 การพัฒนาแผนและโครงการพัฒนาอาชีพใหม้ ีรายได้ มเี งินออมและมีทนุ ในการขยายอาชพี ........................................................................... คำช้ีแจง ใหน้ กั ศึกษาวงล้อมรอบข้อที่ถูกตอ้ ง 1. ขอ้ ใดใหค้ วามหมายเกีย่ วกบั รายการทางการเงนิ ทแ่ี สดงฐานะการเงนิ ของกิจการ ก. งบดุล ข. งบกำไรขาดทนุ ค. งบทดลอง ง. งบรายรบั -รายจ่าย 2. ขอ้ ใดไมใ่ ชร่ ายการสินทรัพย์ ก. วัสดุสำนกั งาน ข. ลิขสทิ ธิ์ ค. สทิ ธิบตั ร ง. เงนิ เบิกเกินบัญชีธนาคาร 3. ข้อใดเปน็ ประเภทองค์ความรพู้ นื้ ฐาน ก. Base knowledge ข. Trivial knowledge ค. Explicit knowledge ง. Tacit knowledge 4. การจัดทำแผนมกี ี่ประเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 5. แผนพฒั นาระยะยาวมีระยะเวลากปี่ ี ก. 3-4 ป ี ข. 4-6 ปี ค. 6-9 ป ี ง. 10-20 ปี 6. ข้อใดเป็นลกั ษณะของโครงการทดี่ ีที่สุด ก. เป็นโครงการท่ีสามารถแก้ปัญหาของท้องถิ่นได้ ข. เปน็ โครงการที่มรี ายละเอยี ดครบถ้วน ค. เปน็ โครงการท่ีมวี ตั ถปุ ระสงค์รายข้อ ง. เปน็ โครงการท่ีใช้งบประมาณในการดำเนินการมากท่สี ดุ 7. เหตุผลในการนำ KM มาปรับใชใ้ นองคก์ ร ก. เพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการทำงาน และการแก้ปัญหาไดด้ ยี ่ิงขน้ึ ข. เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ค. เพ่ือพสิ ูจนค์ วามสำเร็จขององค์กร ง. ถูกทกุ ขอ้

74 หนงั สือ รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 8. ขอ้ ใดเปน็ โครงการพัฒนาอาชีพ ก. โครงการศึกษาดูงานวทิ ยาศาสตร์เพ่อื การศึกษา ข. โครงการแลกเปล่ียนนกั เรยี นสมั พนั ธ์ ค. โครงการการทำเกษตรวิถีธรรมชาติ ง. โครงการคา่ ยธรรมเชดิ ชูคณุ ธรรม 9. ข้อใดเป็นสมการบัญชไี มถ่ กู ต้อง ก. สินทรัพย์ = หนส้ี นิ + ทนุ (ส่วนของเจ้าของ) ข. หน้ีสิน = สินทรัพย-์ ทนุ (สว่ นของเจา้ ของ) ค. ส่วนของเจ้าของ = สินทรพั ย์+สินทรัพย์ ง. ส่วนของเจา้ ของ = สนิ ทรพั ย-์ สินทรัพย์ 10. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หน้าทีก่ ารตลาด ก. จัดหาสินค้า ข. กำหนดราคาสินคา้ ค. หาลูกคา้ ง. นำสนิ ค้าไปส่ตู ลาด

76 หนังสือ รายวิชา การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) แบบทดสอบหลงั เรียน รายวิชาเลือกสาระการประกอบอาชีพ รายวชิ า การพฒั นาแผนและโครงการอาชพี (อช 32001) ........................................................................... คำชแ้ี จง ให้นักศึกษาวงลอ้ มรอบขอ้ ทถ่ี ูกต้อง 1. การส่งเสรมิ การขายวิธใี ดจะกระตุ้นใหล้ ูกค้าเกดิ การซอ้ื ซำ้ ได้ ก. การใช้แสตมป์การคา้ ข. การลดราคา ค. การแจกสนิ คา้ ตวั อยา่ ง ง. การจดั แสดงสนิ ค้า 2. ข้อใดไมใ่ ชป่ ระเภทของบญั ชี ก. ส่วนของเจ้าของ ข. หนส้ี นิ ค. เงนิ ฝากธนาคาร ง. รายได้ 3. ความรูเ้ ชือ่ มโยงกับโลกของความเป็นจริงภายใตส้ ภาพความเป็นจริงทีซ่ ับซอ้ น คอื ความรู้ระดับใด ก. ความรใู้ นระดบั ทอ่ี ธิบายเหตผุ ล ข. ความรู้เชิงทฤษฎีและเชิงบรบิ ท ค. ความรใู้ นระดบั คุณค่า ความเช่ือ ง. ความรู้เชงิ ทฤษฎี 4. Explicit knowledge คอื ก. องคค์ วามร้พู ืน้ ฐานขององคก์ ร ข. องค์ความรู้ท่ไี ม่มโี ครงสร้าง ค. องค์ความรทู้ ี่มีโครงสรา้ งชัดเจน ง. องค์ความรทู้ ว่ั ไปขององค์กร 5. ความรทู้ ีไ่ ม่สามารถอธิบายโดยใชค้ ำพดู ได้ มีรากฐานมาจากการกระทำและประสบการณ์ ก. ความรแู้ บบฝงั ลึก ข. ความรชู้ ัดแจ้ง ค. ความรแู้ ฝงเร้น ง. ถูกทงั้ ก และ ค 6. ข้อใดเปน็ หนา้ ทข่ี องช่องทางการตลาด ก. การส่งเสรมิ การตลาด ข. การรบั ภาระการเส่ยี ง ค. การสัง่ ซือ้ สินค้า ง. ถกู ทุกข้อ 7. งานทถ่ี กู ออกแบบขึ้นมาเพ่อื เก็บรวบรวมข้อมูล การจดั ทำสารสนเทศ และการสนบั สนนุ สารสนเทศใหแ้ ก่ บคุ คลหรือหน่วยงานตา่ ง ๆ ภายในองคก์ ารที่ต้องการใช้ ก. ขอ้ มลู ข. สารสนเทศ ค. ระบบสารสนเทศ ง. ผดิ ทุกขอ้ 8. ข้อใดคือเหตผุ ลของการนำ KM มาปรับใช้ในองค์กร ก. เพอ่ื การปฏิบตั งิ านรว่ มกันที่ดีเยีย่ ม ข. เพอ่ื ให้บคุ คลในองค์ได้รับรางวัล ค. เพอื่ สร้างความไดเ้ ปรียบในการแข่งขัน ง. ขอ้ ก และ ค

หนงั สือ รายวิชา การพฒั นาแผนและโครงการอาชีพ (อช32001) 77 9. ขอ้ ใดเปน็ หมวดค่าใช้จา่ ย ข. คา่ เส่ือมราคา ก. สิทธบิ ตั ร ง. ดอกเบ้ยี เงนิ ฝาก ค. เงินเบกิ เกนิ บญั ชธี นาคาร 10. ขอ้ ใดไมใ่ ชอ่ งค์ประกอบของการเขยี นโครงการ ข. งบประมาณ ก. วตั ถุประสงค ์ ง. การกำหนดอายขุ องโครงการ ค. การประเมนิ ผลโครงการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook