พระพทุ ธศาสนา มธั ยมศึกษาปี ที4่
หลกั ประชาธปิ ไตยทวั่ ไปในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสนาประชาธปิ ไตยมาตัง้ แตเ่ รม่ิ แรก กอ่ นทพี่ ระพทุ ธเจา้ จะทรงมอบใหพ้ ระสงฆเ์ ป็ นใหญใ่ นกจิ การ ทัง้ ปวงเสยี อกี ลักษณะทเ่ี ป็ นประชาธปิ ไตยใน พระพทุ ธศาสนามตี วั อยา่ งดังตอ่ ไปนี้
1. พระพทุ ธศาสนามพี ระธรรมวนิ ัยเป็ นธรรมนูญหรอื กฎหมาย สงู สดุ พระธรรม คอื คาสอนทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระ วนิ ัยคอื คาสง่ั อนั เป็ นขอ้ ปฏบิ ตั ทิ พี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญัตขิ นึ้ เมอื่ รวมกนั เรยี กวา่ พระธรรมวนิ ัย ซงึ่ มคี วามสาคญั ขนาดท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงมอบใหเ้ ป็ นพระศาสดาแทนพระองค์ กอ่ นที่ พระองคจ์ ะปรนิ พิ พานเพยี งเล็กนอ้ ย 2. มกี ารกาหนดลกั ษณะของศาสนาไวเ้ รยี บรอ้ ย ไม่ ปลอ่ ยใหเ้ ป็ นไปตามยถากรรม ลักษณะของ พระพทุ ธศาสนาคอื สายกลาง ไมซ่ า้ ยสดุ ไมข่ วาสดุ ทางสายกลางนเ้ี ป็ นครรลอง อาจปฏบิ ตั คิ อ่ นขา้ ง เครง่ ครัดกไ็ ด ้ โดยใชส้ ทิ ธใิ นการแสวงหาอดเิ รกลาภ ตามทท่ี รงอนุญาตไว ้ ในสมัยตอ่ มา เรยี กแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาวา่ วภิ ัชชวาที คอื ศาสนาทก่ี ลา่ ว จาแนกแจกแจง ตามความเป็ นจรงิ บางอยา่ งกลา่ วยนื ยัน โดยสว่ นเดยี วได ้ บางอยา่ งกลา่ วจาแนกแจกแจงเป็ น กรณี ๆ ไป
3. พระพทุ ธศาสนา มคี วามเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ัย บคุ คลทเี่ ป็ นวรรณะกษัตรยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแตเ่ ดมิ รวมทัง้ คนวรรณะตา่ กวา่ นัน้ เชน่ พวกจัณฑาล พวกปกุ กสุ ะคน เก็บขยะ และพวกทาส เมอ่ื เขา้ มาอปุ สมบทใน พระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ มคี วามเทา่ เทยี มกนั คอื ปฏบิ ตั ติ ามสกิ ขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คอื ผอู ้ ปุ สมบทภายหลงั เคารพผอู ้ ปุ สมบทกอ่ น 4. พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา มสี ทิ ธิ เสรภี าพภายใตพ้ ระ ธรรมวนิ ัย เชน่ ในฐานะภกิ ษุเจา้ ถนิ่ จะมสี ทิ ธไิ ดร้ ับของแจก กอ่ นภกิ ษุอาคนั ตกุ ะ ภกิ ษุทจ่ี าพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มสี ทิ ธไิ ดร้ ับ ของแจกตามลาดบั พรรษา มสี ทิ ธริ ับกฐนิ และไดร้ ับ อานสิ งสก์ ฐนิ ในการแสวงหาจวี รตลอด 4 เดอื นฤดหู นาวเทา่ เทยี มกนั นอกจากนัน้ ยังมเี สรภี าพทจี่ ะเดนิ ทางไปไหนมา ไหนได ้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดก็ไดเ้ ลอื กปฏบิ ตั กิ รรมฐานขอ้ ใด ถอื ธดุ งควตั รขอ้ ใดก็ไดท้ งั้ สนิ้
5. มกี ารแบง่ อานาจ พระเถระผใู ้ หญท่ าหนา้ ทบี่ รหิ ารปกครอง หมคู่ ณะ การบญั ญตั พิ ระวนิ ัย พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั เิ อง เชน่ มภี กิ ษุผทู ้ าผดิ มาสอบสวนแลว้ จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ัย สว่ นการตดั สนิ คดตี ามพระวนิ ัยทรงบญั ญตั แิ ลว้ เป็ นหนา้ ทข่ี อง พระวนิ ัยธรรมซงึ่ เทา่ กบั ศาล 6. พระพทุ ธศาสนามหี ลกั เสยี งขา้ งมาก คอื ใชเ้ สยี งขา้ งมาก เป็ นเกณฑต์ ดั สนิ เรยี กวา่ วธิ เี ยภยุ ยสกิ า การตดั สนิ โดยใช ้ เสยี งขา้ งมาก ฝ่ ายใดไดร้ ับเสยี งขา้ งมากสนับสนุน ฝ่ ายนัน้ เป็ นฝ่ ายชนะคดี
อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลกั คาสอนหนึ่งของ พระโคตมพทุ ธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระ อริยบคุ คล หรือความจริงที่ทาให้ผ้เู ข้าถึงกลายเป็นอริยะ มอี ย่สู ี่ ประการ
ทุกข์ คือ สภาพที่ทนไดย้ าก ภาวะท่ีทนอยใู่ นสภาพเดิมไม่ได้ สภาพท่ี บีบค้นั ไดแ้ ก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกบั สิ่งอนั ไม่เป็นที่รัก การพลดั พรากจากสิ่งอนั เป็นที่รัก การปรารถนาส่ิงใดแลว้ ไมส่ มหวงั ในสิ่งน้นั กล่าวโดยยอ่ ทุกขก์ ค็ ืออุปาทานขนั ธ์ หรือขนั ธ์ 5 สมุทยั คือ สาเหตุท่ีทาใหเ้ กิดทุกข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา 3 คือ กามตณั หา- ความทะยานอยากในกาม ความอยากไดท้ างกามารมณ์, ภวตณั หา- ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากท่ี ประกอบดว้ ยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วภิ วตณั หา-ความทะยาน อยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นน่ี ความอยาก ท่ีประกอบดว้ ยวภิ วทิฏฐิหรืออจุ เฉททิฏฐิ
นิโรธ คือ ความดบั ทุกข์ ไดแ้ ก่ ดบั สาเหตุที่ทาใหเ้ กิดทุกข์ กลา่ วคือ ดบั ตณั หาท้งั 3 ไดอ้ ยา่ งสิ้นเชิง มรรค คือ แนวปฏิบตั ิท่ีนาไปสู่หรือนาไปถึงความดบั ทุกข์ มี องคป์ ระกอบอยแู่ ปดประการ คือ 1. สมั มาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สมั มาสงั กปั ปะ-ความดาริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สมั มากมั มนั ตะ-ทาการงานชอบ 5. สมั มาอาชีวะ-เล้ียงชีพชอบ 6. สมั มาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สมั มาสมาธิ-ต้งั ใจชอบ ซ่ึงรวมเรียกอีกชื่อหน่ึงไดว้ า่ \"มชั ฌิมาปฏิปทา\" หรือทางสายกลาง
วิดีโอประกอบ https://www.youtube.com/watch?v=bqJVXcpPSvo https://www.youtube.com/watch?v=JfwlfT4r5ps https://www.youtube.com/watch?v=yz6TSShCCBI
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: