44 ) บอกวตั ถุประสงคข์ องการจดั เวทีประชาคม เป็ นการบอกกล่าว เพือใหผ้ เู้ ขา้ อภิปราย ไดเ้ ตรี ยมตวั ในฐานะผูม้ ีส่วนเกียวข้องกบั ประเด็น/ปัญหา การบอกวตั ถุประสงค์ของการจัดเวที ประชาคมนีสามารถทาํ ไดห้ ลายวิธี ตงั แต่การบอกว่าวตั ถุประสงคข์ องการจดั เวทีประชาคมมีอะไรบา้ ง หรือเริมดว้ ยการถามถงึ สาเหตุการเขา้ มารวมกนั ในเวที การให้เขียนบนกระดาษและติดไวใ้ ห้ผอู้ ภิปราย ไดเ้ ห็นพร้อมกนั การใชก้ าร์ดสี ฯลฯ อย่างไรก็ตามการทีจะเลือกใชว้ ิธีไหนนันตอ้ งคาํ นึงถึงความถนัด และทกั ษะของวิทยากรกระบวนการ และการกระตุน้ ให้เกิดการมีส่วนร่วมของผรู้ ่วมอภิปราย ควรใช้ ภาษาทีสอดคลอ้ งกบั ภมู ิหลงั ของผเู้ ขา้ ร่วมอภิปราย และตอ้ งใหผ้ รู้ ่วมอภิปรายในเวทีประชาคมรู้สึกไวใ้ จ ตงั แต่เริมตน้ ) การเกรินนาํ เขา้ สู่ทีมาทีไปของประเดน็ การอภิปรายในเวทีประชาคม เพอื ใหผ้ เู้ ขา้ ร่วม อภิปรายไดเ้ ขา้ ใจทีไปทีมา และความสาํ คัญของประเด็นต่อการดาํ เนินชีวิต หรือวิถีชีวิต และบอกถึง ความจาํ เป็ นในการร่วมมือกนั หรือแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนีร่วมกนั เพือหาจุดยืนหรือแนวทาง แกป้ ัญหาของประเดน็ ดงั กลา่ ว ทงั นีจุดมงุ่ หมายของขนั ตอนนีคือกระตุน้ ใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมอภิปรายในฐานะผมู้ ี ส่วนเกียวขอ้ งโดยตรงต่อประเด็น/ปัญหา ตอ้ งช่วยกนั ผลกั ดนั หรือมีส่วนร่วมในกระบวนการแกไ้ ขปัญหา ทีส่งผลกระทบโดยตรง ) การวางกฎ และระเบียบของการจดั เวทีประชาคมร่วมกนั ขนั ตอนนีเป็นขนั ตอนก่อน การเริมอภิปรายในประเด็นทีตงั ไว้ มีจุดมุ่งหมายเพือร่วมกนั กาํ หนดขอบเขต และการวางระเบียบของ การจดั ทาํ เวทีประชาคมร่วมกนั ระหว่างผดู้ าํ เนินการอภิปรายและผรู้ ่วมอภิปราย ทงั นีเพือป้ องกนั ความ ขดั แยง้ ระหว่างการอภิปราย การมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของคนใดคนหนึงต่อคนอืน ๆ เพือให้เวที ประชาคมดาํ เนินไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ และบรรลุตามวตั ถุประสงคท์ ี วางไว้ การวางกฎระเบียบร่วมกนั นี สามารถเริมไดจ้ ากการทีวิทยากรกระบวนการใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมเวทีประชาคมเสนอกติกาการพดู คุยร่วมกนั ว่ากฎกติกามารยาทของเวทีจะมีอะไรบา้ ง เพือจะช่วยให้การพูดคุยกนั เป็ นไปตามวตั ถุประสงคท์ ีวางไว้ และมีบรรยากาศการพูดคุยทีดี เมือผเู้ ข้าร่วมเวทีเสนอกติกาใดกติกาหนึงขึนมา วิทยากรต้องจดไวใ้ น กระดาษใหท้ ุกคนเห็น เมือรวบรวมขอ้ เสนอไดแ้ ลว้ ใหม้ ีการโหวตร่วมกนั ว่ากติกามารยาทระหว่างการ จดั เวทีประชาคมทีทุกคนตกลงร่วมกันมีอะไรบ้าง เมือไดข้ ้อสรุ ปแลว้ ต้องเขียนกติกามารยาทนัน ในกระดาษ หรือกระดานวางหรือติดไวใ้ นทีทีทุกคนเห็นไดต้ ลอดเวลาของการจดั เวทีประชาคมขอ้ เสนอ ทีได้ เช่น ตอ้ งปิ ดเสียงโทรศพั ทม์ อื ถือ ตอ้ งตรงต่อเวลา ตอ้ งยกมือก่อนพูด ตอ้ งพูดตรงประเด็น เป็ นตน้ การไดก้ ฎกติกาทีมาจากกลมุ่ จะช่วยใหก้ ลุ่มเกิดความรู้สึกวา่ ตอ้ งเคารพกฎกตกิ านนั ๆ มากกว่าทีจะเป็นกฎ ทีผูจ้ ดั เวทีเป็ นฝ่ ายกาํ หนดขึน อย่างไรก็ตามหากกติกาทีผเู้ ขา้ ร่วมไดเ้ สนอแต่เป็ นกฎพืนฐานทีจาํ เป็ น สาํ หรับกิจกรรมระดมสมอง เช่น เวทีประชาคม นนั วิทยากรกระบวนการจาํ เป็ นทีตอ้ งเสนอในทีประชุม ซึงอาจจะเสนอเพมิ เติมภายหลงั จากทีผเู้ ขา้ ร่วมเวทีประชาคมไดเ้ สนอมาแลว้ กฎพนื ฐาน คือ
45 ( ) ทุกคนตอ้ งแสดงความคดิ เห็น (หรือหากเป็นกลมุ่ ใหญ่ ตวั แทนของแต่ละกล่มุ ตอ้ งแสดงความคิดเห็น) ( ) กาํ หนดเวลาทีแน่นอนในการพดู แต่ละครัง ( ) ไมแ่ ทรกพดู ระหวา่ งคนอนื กาํ ลงั อภิปราย ( ) ทุกคนในเวทีประชาคมมคี วามเท่าเทียมกนั ในการแสดงความคดิ เห็นไม่ว่า ผเู้ ขา้ ร่วมจะมีสถานะทางสงั คม หรือสถานภาพทตี ่างกนั เช่น ลกู บา้ น ผใู้ หญ่บา้ น ผรู้ ับบริการ ผใู้ หบ้ ริการ ผหู้ ญิง ผชู้ าย ฯลฯ ( ) ทุกคนสามารถเสนอประเดน็ ใหม่ ๆ ได้ แต่ตอ้ งตรงกบั ประเดน็ หลกั ทีเป็น ประเด็นอภิปราย ( ) ทุกคนสามารถเสนอประเด็นใหม่ ๆ ได้ แต่ตอ้ งตรงกบั ประเดน็ หลกั ทีเป็น ประเด็นอภิปราย ( ) วทิ ยากรหลกั เป็นเพียงคนกลางทีช่วยกระตุน้ ใหเ้ กิดการพดู คุย และสรุป ประเดน็ ทีเกดิ จากการอภิปราย ไม่ใช่ผเู้ ชียวชาญในการแกป้ ัญหา ) การอภิปรายประเด็นหรือปัญหา ในขนั ตอนนีวิทยากรกระบวนการ/ผอู้ าํ นวยการ เรียนรู้ต้องดาํ เนินการอภิปรายให้บรรลุตามวตั ถุประสงค์ ตามกระบวนการ และตามแผนทีวางไว้ นอกจากนนั ทีมงานเองกต็ อ้ งช่วยสนบั สนุนใหเ้ วทีประชาคมดาํ เนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตาม แผนทีไดต้ กลงกนั ไว้ วทิ ยากรหลกั สามารถใชว้ ิธีการอืน ๆ เขา้ มาช่วยสนบั สนุนการซกั ถามเพือกระตุน้ การมีส่วนร่วมในเวทีใหม้ ากทีสุด ) การสรุป เป็นขนั ตอนสุดทา้ ยของการจดั เวทีประชาคม ซึงวทิ ยากรหลกั /ผอู้ าํ นวยการ เรียนรู้ตอ้ งสรุปผลของการอภิปราย โดยแยกเป็นผลทีไดจ้ ากการพดู คุยกนั เพือนาํ ไปเป็ นแนวทางในการ แกป้ ัญหาต่อไป ผลทีไม่สามารถสรุปไดใ้ นเวทีและจาํ เป็ นตอ้ งดาํ เนินการอย่างใดอย่างหนึงต่อไป ในขนั ตอนนีจาํ เป็ นตอ้ งมีการทบทวนร่วมกนั และทาํ เป็ นขอ้ ตกลงร่วมกนั ว่าจะตอ้ งมีการดาํ เนินการ อยา่ งไรกบั ผลทีไดจ้ ากเวทีประชาคม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ อาจระบุอยา่ งชดั เจนว่าใครจะตอ้ งไปทาํ อะไรต่อ และจะนดั หมายกลบั มาพบกนั เพอื ติดตามความคืบหนา้ กนั เมอื ไร อยา่ งไร 1.2.3 ติดตาม-ประเมินผล เป็นกระบวนการต่อเนืองหลงั จากการจดั เวทีประชาคมเสร็จสินแลว้ ซึงสามารถแบ่ง กระบวนการนีเป็น ขนั ตอนใหญ่ คือ การติดตาม และการประเมินผล ) ขนั ตอนการติดตาม เป็นการตามไปดูว่ามีการดาํ เนินการอยา่ งใดอยา่ งหนึงหรือไม่ ตามทีไดต้ กลงกนั ไว้ ขนั ตอนนีจาํ เป็ นตอ้ งเปิ ดโอกาสให้ประชาชนหรือผทู้ ีมีส่วนเกียวขอ้ งไดเ้ ขา้ มามี ส่วนร่วมในการติดตามผล โดยอาจจะกาํ หนดบทบาทหน้าทีทาํ แผนการติดตาม และกาํ หนดวิธีการ ติดตามร่วมกนั และมกี ารติดตามร่วมกนั อยา่ งสมาํ เสมอตามแผนทีวางไว้ ขนั ตอนนีจะช่วยใหผ้ เู้ ขา้ ร่วม
46 ในเวทีประชาคม เขา้ ใจความสาํ คญั ของการทาํ งานร่วมกนั ในฐานะเจา้ ของประเด็น/ปัญหาและเรียนรู้จาก ประสบการณ์การติดตามเพอื นาํ ไปเพมิ ทกั ษะการจดั การปัญหาของชาวบา้ นเองในอนาคต ) ขนั ตอนของการประเมนิ ผล คือ ( ) เพือตรวจสอบการเปลียนแปลงภายหลงั การจดั เวทีประชาคมว่าประชาชน มีคุณภาพชีวติ ทีดีขึนหรือไม่ เมือมกี ารจดั การอย่างใดอย่างหนึงแลว้ เช่น เมือมีการผลกั ดนั ประเด็นใด ประเด็นหนึงทีเป็นปัญหาเขา้ สู่ความสนใจของผมู้ อี าํ นาจในการกาํ หนดนโยบาย หรือบรรจุอยใู่ นนโยบาย ของรัฐแลว้ เป็นตน้ ( ) เพือประเมินทังประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการจดั เวที ประชาคมทังหมดว่า ไดร้ ับความร่วมมือมากน้อยเพียงใด ลักษณะและกระบวนการทีทําเอือต่อ การแลกเปลยี นเรียนรู้ร่วมกนั หรือไม่ ผลทีไดร้ ับคุม้ ค่าหรือไมแ่ ละบรรลุตามวตั ถุประสงคท์ ีวางไวห้ รือไม่ อยา่ งไร การสรุปขอ้ มลู ทีไดจ้ ากการติดตามและการประเมนิ ผล จะช่วยใหท้ งั ผจู้ ดั เวทีประชาคมและ เขา้ ร่วมไดม้ บี ทเรียนร่วมกนั และสามารถนาํ ประสบการณท์ ีไดไ้ ปใชพ้ ฒั นาในการจดั กิจกรรมประชาคม อนื ๆ ต่อไป 1.3 การประชุมกล่มุ ย่อย หรือการสนทนากล่มุ การสนทนากลุ่ม หมายถงึ การรวบรวมขอ้ มลู จากการสนทนากบั กลุ่มผใู้ หข้ อ้ มลู ในประเด็น ปัญหาทีเฉพาะเจาะจง โดยมีผดู้ าํ เนินการสนทนา (Moderator) เป็ นผคู้ อยจุดประเด็นในการสนทนา เพอื ชกั จูงใหก้ ลมุ่ เกิดแนวคิดและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือแนวทางการสนทนาอย่างกวา้ งขวาง ละเอยี ดลึกซึง โดยมีผเู้ ขา้ ร่วมสนทนาในแต่ละกลุ่มประมาณ - คน ซึงเลือกมาจากประชากรเป้ าหมาย ทีกาํ หนดเอาไว้ (สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั , ) 1. . ขนั ตอนการจดั สนทนากลมุ่ Judith Sharken Simon (ม.ป.ป.) กล่าวว่า การสนทนากลุ่มไม่ไดจ้ ดั ทาํ ไดใ้ น ระยะเวลาอนั สนั ก่อนทจี ะมีการประชุมควรมกี ารเตรียมการไม่นอ้ ยกวา่ สปั ดาห์ บางครังกว่าทีจะ ปฏบิ ตั ิไดจ้ ริงอาจใชเ้ วลาถงึ - สปั ดาห์ ก่อนทีจะมีการดาํ เนินงาน ผรู้ ่วมงานควรมกี ารตกลง ทาํ ความ เขา้ ใจเกียวกบั หวั ขอ้ การสนทนาและทดสอบคาํ ถาม เพอื ใหม้ ีความเขา้ ใจตรงกนั เพือใหก้ ารสนทนาที เกิดขนึ เป็นไปตามระยะเวลาทีกาํ หนด ซึงมีขนั ตอนในการจดั สนทนากลุ่มดงั นี ) กาํ หนดวตั ถุประสงค์ ( - สปั ดาห์ก่อนการสนทนากลมุ่ ) 2) กาํ หนดกล่มุ ผรู้ ่วมงานและบุคคลกลุ่มเป้ าหมาย ( - สปั ดาห์ก่อนการสนทนากลุ่ม) ) รวบรวมทีอยแู่ ละเบอร์โทรศพั ทข์ องผรู้ ่วมงาน ( - สปั ดาห์ก่อนการสนทนากลมุ่ ) ) ตดั สินใจวา่ จะทาํ การสนทนาเป็นจาํ นวนกีกลุ่ม ( - สปั ดาห์ก่อนการสนทนากลุม่ )
47 ) วางแผนเรืองระยะเวลาและตารางเวลาการสนทนา ( - สปั ดาห์ก่อนการ สนทนากลมุ่ ) ) ออกแบบแนวคาํ ถามทีจะใช้ ( - สปั ดาหก์ ่อนการสนทนากลุ่ม) ) ทดสอบแนวคาํ ถามทีสร้างขนึ ( - สปั ดาหก์ ่อนการสนทนากล่มุ ) ) ทาํ ความเขา้ ใจกบั ผดู้ าํ เนินการสนทนา (Moderator) และผจู้ ดบนั ทึก (Note taker) ( - สปั ดาห์ก่อนการสนทนากลุ่ม) 9) คดั เลือกผเู้ ขา้ ร่วมกลุม่ สนทนา และจดั ทาํ บตั รเชญิ ส่งใหผ้ รู้ ่วมสนทนา ( - สปั ดาห์ก่อนการสนทนากลุ่ม) ) โทรศพั ทเ์ พอื ติดตามผลและส่งบตั รเชิญใหผ้ รู้ ่วมงาน ( - สปั ดาหก์ ่อน การสนทนากลมุ่ ) ) การจดั การเพือเตรียมการทาํ สนทนากลุ่ม เช่น จดั ตาํ แหน่งทีนงั จดั เตรียมเครืองมือ อปุ กรณ์ เป็นตน้ ) แจง้ สถานทีใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมสนทนาทราบลว่ งหนา้ วนั ) จดั กลมุ่ สนทนา และหลงั จากการประชุมควรมกี ารส่งจดหมายขอบคุณผรู้ ่วมงาน ดว้ ย ) สรุปผลการประชุม วเิ คราะห์ขอ้ มลู และส่งใหผ้ รู้ ่วมประชุมทุกคน ) การเขียนรายงาน . .2 การดาํ เนินการสนทนากลมุ่ ) แนะนาํ ตนเองและทีมงาน ประกอบดว้ ย พธิ ีกร ผจู้ ดบนั ทึก และผบู้ ริการทวั ไป โดยปกติไมค่ วรใหม้ ผี สู้ งั เกตการณ์ อาจมีผลต่อการแสดงออก ) อธิบายถงึ จุดมงุ่ หมายในการมาทาํ สนทนากลุ่ม วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา ) เริมเกรินนาํ ดว้ ยคาํ ถามอุน่ เครืองสร้างบรรยากาศเป็นกนั เอง ) เมอื เริมคุน้ เคย เริมคาํ ถามในแนวการสนทนาทีจดั เตรียมไวท้ ิงช่วงใหม้ กี ารถก ประเดน็ และโตแ้ ยง้ กนั ใหพ้ อสมควร ) สร้างบรรยากาศใหเ้ กิดการแลกเปลยี นความคิดเห็นต่อกนั ควบคุมเกมไมใ่ ห้ หยดุ นิง อยา่ ซกั ถามคนใดคนหนึงจนเกินไป คาํ ถามทีถามไมค่ วรถามคนเดียว อยา่ ซกั ถามรายตวั ) ในการนงั สนทนา พยายามอยา่ ใหเ้ กิดการข่มทางความคิด หรือชกั นาํ ผอู้ นื ใหเ้ ห็น คลอ้ ยตามกบั ผทู้ ีพดู เก่ง (Dominate) สร้างบรรยากาศใหค้ นทีไมค่ ่อยพดู ใหแ้ สดงความคิดเห็นออกมา ใหไ้ ด้ ) พธิ ีกรควรเป็นผคู้ ุยเก่งซกั ถามเก่ง มพี รสวรรคใ์ นการพดู คุย จงั หวะการถามดี ถามชา้ ๆ ละเอยี ดควรมีการพดู แทรกตลกอยา่ งเหมาะสมดว้ ย
48 . .3 ขอ้ ดีของการจดั สนทนากลุ่ม ) ผเู้ กบ็ ขอ้ มลู เป็นผไู้ ดร้ ับการฝึกอบรมเป็นอยา่ งดี ) เป็นการนงั สนทนาระหว่างผดู้ าํ เนินการกบั ผรู้ ู้ ผใู้ หข้ อ้ มลู หลายคนทีเป็นกลุม่ จึงก่อใหเ้ กิดการเสวนาในเรืองทีสนใจ ไมม่ ีการปิดบงั คาํ ตอบทีไดจ้ ากการถกประเด็นซึงกนั และ กนั ถือวา่ เป็นการกลนั กรองซึงแนวความคิดและเหตุผล โดยไม่มีการตีประเดน็ ปัญหาผดิ ไป เป็นอยา่ งอืน ) การสนทนากลมุ่ เป็นการสร้างบรรยากาศเสวนาใหเ้ ป็นกนั เองระหว่างผนู้ าํ การสนทนาของกล่มุ กบั สมาชิกกล่มุ สนทนาหลาย ๆ คนพร้อมกนั จึงลดสภาวการณ์เขินอายออกไปทาํ ใหส้ มาชิกกลุ่มกลา้ คุยกลา้ แสดงความคิดเห็น ) การใชว้ ิธีการสนทนากลุ่ม ไดข้ อ้ มูลละเอียดและสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ อง การศึกษาไดส้ าํ เร็จหรือไดด้ ียงิ ขึน ) คาํ ตอบจากการสนทนากลุม่ มลี กั ษณะเป็นคาํ ตอบเชิงเหตุผลคลา้ ย ๆ กบั การรวบรวมขอ้ มลู แบบคุณภาพ ) ประหยดั เวลาและงบประมาณของผดู้ าํ เนินการในการศกึ ษา ) ทาํ ใหไ้ ดร้ ายละเอยี ด สามารถตอบคาํ ถามประเภททาํ ไมและอยา่ งไรไดอ้ ยา่ ง แตกฉาน ลึกซึงและในประเดน็ หรือเรืองทีไมไ่ ดค้ ดิ หรือเตรียมไวก้ ่อนกไ็ ด้ ) เป็นการเผชิญหนา้ กนั ในลกั ษณะกลุม่ มากกวา่ การสมั ภาษณ์ตวั ต่อตวั ทาํ ใหม้ ี ปฏิกิริยาโตต้ อบกนั ได้ ) การสนทนากลุ่ม จะช่วยบ่งชีอิทธิพลของวฒั นธรรมและคุณค่าต่าง ๆ ของสงั คม นนั ได้ เนืองจากสมาชิกของกลุม่ มาจากวฒั นธรรมเดียวกนั ) สภาพของการสนทนากลมุ่ ชว่ ยใหเ้ กิดและไดข้ อ้ มลู ทีเป็นจริง . การสัมมนา “สัมมนา” มาจาก คาํ ว่า ส + มน แปลว่า ร่วมใจ เป็ นศพั ท์บญั ญตั ิให้ตรงกับ คาํ ว่า Seminar หมายถึง การประชุมทีสมาชิกซึงมีความรู้ ความสนใจในเรืองเดียวกนั มาประชุมดว้ ยความร่วม ใจ ปรึกษาหารือ ร่วมใจกนั คิดช่วยกนั แกป้ ัญหา ซึงมีผใู้ ห้คาํ นิยามและทศั นะต่าง ๆ ไว้ สรุปความหมาย ของการสมั มนาคือ การประชุมของกลุ่มบุคคลทีมคี วามรู้ ความสนใจ ประสบการณ์ในเรืองเดียวกนั ทีมี จุดมุ่งหมายเพือร่ วมกันวิเคราะห์และหาแนวทางการแก้ปัญหาทีประสบอยู่ตามหลักการของ ประชาธิปไตย
49 ประโยชน์ของการสัมมนา . ผจู้ ดั สามารถดาํ เนินการจดั สมั มนาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ . ผเู้ ขา้ ร่วมสมั มนาไดร้ ับความรู้ แนวคิดจากการเขา้ ร่วมสมั มนา . ช่วยทาํ ใหร้ ะบบและวิธีการทาํ งานมีประสิทธิภาพสูงขึน . ช่วยแบ่งเบาภาระการปฏบิ ตั ิงานของผบู้ งั คบั บญั ชา . เป็นการพฒั นาและส่งเสริมความกา้ วหนา้ ของผปู้ ฏิบตั ิงาน . เกิดความริเริมสร้างสรรค์ . สามารถสร้างความเขา้ ใจอนั ดีต่อเพือนร่วมงาน . สามารถร่วมกนั แกป้ ัญหาในการทาํ งานได้ และฝึกการเป็นผนู้ าํ องค์ประกอบของการสัมมนา . ผดู้ าํ เนินการสมั มนา . วทิ ยากร . ผเู้ ขา้ ร่วมสมั มนา ลกั ษณะทัวไปของการสัมมนา . เป็นประเภทหนึงของการประชุม . มกี ารยดื หยนุ่ ตามความเหมาะสม . เป็นองคค์ วามรู้และปัญหาทางวิชาการ . เป็นกระบวนการรวมผทู้ ีสนใจในความรู้ทางวิชาการทีมีระดบั ใกลเ้ คียงกนั หรือ แตกต่างกนั มาสร้างสรรคอ์ งคค์ วามรู้ใหม่ จากการแลกเปลยี นความรู้ ความคิดเห็น นาํ มาทดสอบ ประเมนิ ค่าความรู้จากคนคนหนึงสู่อกี คนหนึง ซึงจะมคี ุณค่ามากมาย เป็นลกั ษณะการแพร่กระจายสู่ หลากหลายวงการอาชีพ ซึงจะทาํ ใหค้ วามรู้เหลา่ นนั ไดถ้ กู นาํ ไปใชอ้ ยา่ งแพร่หลายมากขึน . อาศยั หลกั กระบวนการกลมุ่ (Group dynamic หรือ group process) 6. เป็นกิจกรรมทีเร่งเร้าใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมสมั มนา มคี วามกระตือรือร้น . มีโอกาสนาํ เสนอ พดู คุย โตต้ อบซกั ถาม และแสดงความคิดเห็นต่อกนั . ไดพ้ ฒั นาทกั ษะ การพดู การฟัง การคิด และการนาํ เสนอความคดิ ความเชือ และ ความรู้อืน ๆ ตลอดจนการเขียนรายงานหรือเอกสารประกอบการสมั มนา . ฝึกการเป็นผนู้ าํ และผตู้ ามในกระบวนการเรียนรู้ คือ อาจมผี ทู้ รงคุณวฒุ ิ คณาจารย์ หรือผเู้ ชียวชาญ ทงั หลายมาเป็นวทิ ยากร หรือผดู้ าํ เนินรายการ คอยช่วยประคบั ประคองกระบวนการ สมั มนาใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ ขณะเดียวกนั ผรู้ ่วมสมั มนาจะเป็นผตู้ ามในการเรียนรู้ มกี ารแลกเปลยี น ความรู้ในระหว่างการสมั มนา
50 . เล็งถึงกระบวนการเรียนรู้ (process) มากกว่าผลทีไดร้ ับ (product) จากการ สมั มนาโดยตรง นนั คือ ผลของการสมั มนาจะไดใ้ นรูปของผรู้ ่วมสมั มนาไดม้ กี ารพฒั นากระบวนการฟัง การคิด การแลกเปลียนความคิดเห็นซึงกนั และกนั การทดสอบองคค์ วามรู้ การประเมินค่าความคิดเห็น จากผรู้ ่วมสมั มนา เช่น การไดเ้ รียนรู้วา่ การคิดของผอู้ นื และของตนเองมีวิธีการคิดทีเหมอื นหรือแตกต่าง กนั อยา่ งไร รู้จกั ตนเองวา่ มภี ูมริ ู้เป็นทียอมรับของบุคคลอนื มากนอ้ ยแค่ไหน ตนเองจะตอ้ งพฒั นาความรู้ ความสามารถดา้ นใด จึงจะเสนอความรู้ ความคิด ความเชือ และอืน ๆ ของตนเองให้ผอู้ ืนรับได้ และ ความรู้เดิมก่อใหเ้ กิดความรู้ใหมอ่ ะไรบา้ ง อยา่ งไร 1.5 การสํารวจประชามติ ประชามติ (Referendum) หมายถึง การลงประชามติ, คะแนนเสียงทีประชาชนลง ความหมายตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. หมายถึง มติของประชาชน ส่วนใหญ่ใน ประเทศทีแสดงออกในเรืองใดเรืองหนึงหรือในทีใดทีหนึง มติของประชาชนทีรัฐใหส้ ิทธิออกเสียง ลงคะแนนรับรองร่างกฎหมายทีสาํ คญั ทีผ่านสภานิติบญั ญตั ิแลว้ หรือให้ตดั สินปัญหาสาํ คญั ๆ ในการ บริหารประเทศ ประเภทการสํารวจประชามติ การสาํ รวจประชามติทางดา้ นการเมอื ง ส่วนมากจะรู้จกั กนั ในนามของ Public Opinion Polls หรือการทาํ โพล ซึงเป็นทีรู้จกั กนั อยา่ งแพร่หลาย คือ การทาํ โพลการเลือกตงั (Election Polls) แบ่งได้ ดงั นี 1. Benchmark Survey เป็นการทาํ การสาํ รวจเพือตอ้ งการทราบความเห็นของประชาชน เกียวกบั การรับรู้เรืองราว ผลงานของผสู้ มคั ร ชือผสู้ มคั ร และคะแนนเสียงเปรียบเทียบ 2. Trial Heat Survey เป็นการหยงั เสียงว่าประชาชนจะเลอื กใคร 3. Tracking Polls การถามเพอื ดแู นวโนม้ การเปลยี นแปลง ส่วนมากจะทาํ ตอนใกล้ เลือกตงั 4. Cross-sectional vs. Panel เป็นการทาํ โพล ณ เวลาใดเวลาหนึง หลาย ๆ ครัง เพอื ทาํ ใหเ้ ห็นวา่ ภาพผสู้ มคั รในแต่ละหว้ งเวลามคี ะแนนความนิยมเป็นอยา่ งไร แต่ไม่ทราบรูปแบบการ เปลยี นแปลงทีเกิดขึนในตวั คน ๆ เดียว จึงตอ้ งทาํ Panel Survey 5. Focus Groups ไม่ใช่ Polls แต่เป็นการไดข้ อ้ มลู ทีค่อนขา้ งน่าเชือถือไดเ้ พราะจะเจาะ ถามเฉพาะกลมุ่ ทีรู้และใหค้ วามสาํ คญั กบั เรืองนนั ๆ จริงจงั ปัจจุบนั นิยมเชิญผเู้ ชียวชาญหลาย ๆ ดา้ นมา ใหค้ วามเห็นหรือบางครังก็เชิญกล่มุ ตวั อยา่ งมาถามโดยตรงเลย การทาํ ประชุมกลมุ่ ยอ่ ยยงั สามารถใชใ้ น การถามเพือดวู า่ ทิศทางของคาํ ถามทีควรถามควรเป็นเช่นไรดว้ ย
51 6. Deliberative Opinion รวมเอาการสาํ รวจทวั ไป กบั การทาํ การประชุมกลุ่มยอ่ ยเขา้ ดว้ ยกนั โดยการนาํ เอาตวั แทนประชาชนมารวมกัน แลว้ ใหข้ อ้ มูลข่าวสารหรือโอกาสในการอภิปราย ประเด็นปัญหา แลว้ สาํ รวจความเห็นในประเด็นปัญหาเพอื วดั ประเดน็ ทีประชาชนคิด 7. Exit Polls การสมั ภาษณ์ผใู้ ชส้ ิทธิออกเสียงเมือเขาออกจากคูหาเลือกตงั เพือดูว่าเขา ลงคะแนนใหใ้ คร ปัจจุบนั ในสงั คมไทยนิยมมาก เพราะมคี วามน่าเชือถอื มากกว่า Polls ประเภทอนื ๆ การสาํ รวจทศั นคติและความคิดเห็นทางดา้ นการตลาด (Marketing Research) ส่วนมากจะ เน้นการศึกษาความเห็นของผูใ้ ชส้ ินค้าและบริการต่อคุณสมบัติอนั พึงประสงคข์ องสินคา้ และบริการ รวมทงั ความคาดหวงั ในการไดร้ ับการส่งเสริมการขายทีสอดรับกับความตอ้ งการของผใู้ ชส้ ินคา้ และ บริการดว้ ย การสาํ รวจความเห็นเกียวกบั ประเด็นทีเกียวขอ้ งกบั การอยรู่ ่วมกนั ในสงั คม เป็ นการสาํ รวจ ความคิดเห็นของสาธารณชนในมติ ิทีเกียวขอ้ งกบั สภาพความเบียงเบนจากการจดั ระเบียบสงั คมทีมีอยใู่ น สงั คมใดสังคมหนึง เพือนาํ ขอ้ มูลมากาํ หนดแนวทางในการแกไ้ ขปัญหาความสัมพนั ธ์ทีเกิดขึนเป็ น วิธีการทีใชม้ ากในทางรัฐศาสตร์และสงั คมวิทยา เรียกว่า การวิจยั นโยบายสาธารณะ(PolicyResearch) กระบวนการสํารวจประชามติ . การกาํ หนดปัญหาหรือขอ้ มลู ทีตอ้ งการสาํ รวจ คือ การเลือกสิงทีตอ้ งการจะทราบจาก ประชาชนเกียวกบั นโยบาย บุคคล คณะบุคคล เหตุการณ์ ผลงาน และสถานทีต่าง ๆ เช่น ดา้ นการเมือง มกั เกียวขอ้ งกบั บุคคล นโยบายรัฐ ดา้ นสงั คมวทิ ยา เกียวกบั ความสมั พนั ธ์ สภาพปัญหาสงั คมทีเกิดขึน . กลุ่มตวั อยา่ ง ตวั แทน คือ การกาํ หนดกลุ่มตวั อยา่ งของการสาํ รวจประชามติทีดีตอ้ ง ใหค้ รอบคลมุ ทุกเพศ วยั อาชีพ ระดบั การศกึ ษา และรายได้ เพอื ใหไ้ ดเ้ ป็ นตวั แทนทีแทจ้ ริง ซึงจะมีผลต่อ การสรุปผล หากกลุ่มตวั อย่างทีไดไ้ ม่เป็ นตวั แทนทีแทจ้ ริงทงั ในดา้ นคุณภาพและปริมาณ การสรุปอาจ ผดิ พลาดได้ . การสร้างแบบสอบถาม แบบสอบถาม คือ เครืองมอื วิจยั (Research Tool) ชนิดหนึง ใชว้ ดั ค่าตวั แปรในการวิจยั แบบสอบถามมสี ภาพเหมอื นมาตรหรือมิเตอร์ทีใชใ้ นทางวทิ ยาศาสตร์ หรือใช้ ในชีวิตประจาํ วนั เช่น มาตรวดั ความดนั นาํ มาตรวดั ปริมาณไฟฟ้ า แบบสอบถามทีใชใ้ นการทาํ ประชามติ คือ มาตรวดั คุณสมบตั ิของเหตุการณ์ทีทาํ การศกึ ษา (Likert scale) เครืองมือวดั ทศั นคติ หรือความคิดเห็น ทีกาํ หนดคะแนนของคาํ ตอบในแบบสอบถาม ส่วนใหญ่กาํ หนดนาํ หนกั ความเห็นต่อคาํ ถามแต่ละขอ้ เป็ น 5 ระดบั เช่น “เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ ” ใหม้ คี ะแนนเท่ากบั 5 “เห็นดว้ ย” ใหม้ ีคะแนนเท่ากบั 4 “เฉย ๆ” หรือ “ไม่แน่ใจ” หรือ “เห็นดว้ ย ปานกลาง” ใหม้ คี ะแนนเท่ากบั 3 “ไมเ่ ห็นดว้ ย” ใหม้ คี ะแนนเท่ากบั 2 และ ” ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ ” ใหม้ คี ะแนนเท่ากบั 1 คะแนนของคาํ ตอบเกียวกบั ทศั นคติหรือความคดิ เห็นแต่ละชุด จะนาํ มาสร้างเป็นมาตรวดั ระดบั ของทศั นคติหรือความคิดเห็นในเรืองนัน ๆ การออกแบบสอบถามเป็ น ทงั ศาสตร์และศิลป์ การออกแบบสอบถามไดช้ ดั เจน เขา้ ใจง่าย สามารถเปิ ดโอกาสให้ไดม้ ีโอกาสคิด
52 ไดบ้ า้ ง เป็นสิงทีทาํ ไดย้ าก เป็นเรืองความสามารถในการเรียบเรียงขอ้ ความให้ตรงกบั ความเขา้ ใจของคน ตอบ และคนตอบตอ้ งเขา้ ใจคลา้ ยกนั ดว้ ย จึงจะทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทีมคี วามน่าเชือถอื (Reliable) . ประชุมเจา้ หน้าทีเก็บข้อมูล เป็ นการประชุมเพือซกั ซอ้ มความเขา้ ใจในประเด็น คาํ ถามทีถามใหต้ รงกนั ความคาดหวงั ในคาํ ตอบประเภทการใหค้ าํ แนะนาํ วิธีการสมั ภาษณ์ การจดบนั ทึก ขอ้ มลู การหาขอ้ มลู เพมิ เติมในกรณีทียงั ไม่ไดค้ าํ ตอบ . การเก็บขอ้ มลู ภาคสนาม เจา้ หนา้ ทีเก็บขอ้ มลู จะไดร้ ับการฝึกในเรืองวธิ ีการสมั ภาษณ์ การบนั ทึกขอ้ มลู และการตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู การเก็บขอ้ มลู การสาํ รวจประชามติสามารถ ดาํ เนินการได้ 3 ทางคือ การสมั ภาษณ์แบบเห็นหนา้ (Face to Face) การสัมภาษณ์ทางโทรศพั ท์ และการ ส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ . การวิเคราะห์ขอ้ มลู ในกรณีการสาํ รวจประชามติ การวิเคราะหข์ อ้ มลู ส่วนมาก ไม่สลบั ซบั ซอ้ นเป็นขอ้ มลู แบบร้อยละ เพือตีความและหยบิ ประเดน็ ทีสาํ คญั จดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั . การนาํ เสนอผลการสาํ รวจประชามติ มีโวหารทีใชน้ าํ เสนอผลการสาํ รวจประชามติ ดงั นี . โวหารทีเนน้ นยั สาํ คญั ทางสถติ ิ นาํ เสนอผลโดยสร้างความเชือมนั จากการอา้ งถึง ผลทีมีนยั สาํ คญั ทางสถิติรองรับ . โวหารว่าดว้ ยเป็นวิทยาศาสตร์ การนาํ เสนอผลโดยการอา้ งถึงกระบวนการไดม้ า ซึงขอ้ มลู ทีเนน้ การสงั เกตการณ์ การประมวลขอ้ มลู ดว้ ยวิธีการทีเป็นกลาง . โวหารในเชิงปริมาณ นาํ เสนอผลโดยใชต้ วั เลขทีสาํ รวจไดม้ าสร้าง ความน่าเชือถือและความชอบธรรมในประเด็นทีศกึ ษา . โวหารว่าดว้ ยความเป็ นตวั แทน การนาํ เสนอขอ้ มูลในฐานะทีเป็ นตวั แทนของ กลุ่มตวั อยา่ งทีทาํ การศึกษา 1.6 การประชาพจิ ารณ์ การทาํ ประชาพจิ ารณ์ หมายถึง การจดั เวทีสาธารณะเพอื ใหป้ ระชาชนโดยเฉพาะผเู้กียวขอ้ ง หรือผทู้ ีมีส่วนไดเ้ สียโดยตรง ไดม้ โี อกาสทราบขอ้ มลู ในรายละเอยี ดเพอื เป็นการเปิ ดโอกาสใหม้ ีส่วนใน การแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการใหข้ อ้ มลู และความคิดเห็นต่อนโยบายหรือโครงการนนั ๆ ไม่วา่ จะเป็นการเห็นดว้ ยหรือไมเ่ ห็นดว้ ยกต็ าม การจดั ทาํ ประชาพิจารณ์ เป็นกระบวนการหนึงในการดาํ เนินการของรัฐเกียวกบั การรับ ฟังความคิดเห็นของประชาชนตามระเบียบสาํ นักนายกรัฐมนตรี ว่าดว้ ยการรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชน พ.ศ. 2548 ในเรืองทีเกียวกบั การจดั ทาํ หรือการดาํ เนินโครงการของหน่วยงานของรัฐก่อนการ ดาํ เนินโครงการในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หน่วยงานของรัฐตอ้ งประกาศใหป้ ระชาชน
53 ทราบถงึ วิธีการรับฟังความคิดเห็น ระยะเวลา สถานที ตลอดจนรายละเอียดอืนทีเพียงพอแก่ การทีประชาชนจะเขา้ ใจและแสดงความคิดเห็นได้ ขันตอนการทาํ ประชาพจิ ารณ์ นาํ เสนอตวั อยา่ งการทาํ ประชาพจิ ารณ์ของสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพอื ใหร้ ่างรัฐธรรมนูญฉบบั ทีจะ ทาํ ขึนนีเป็นของประชาชนโดยแทจ้ ริง สภาร่างรัฐธรรมนูญไดแ้ ต่งตงั คณะกรรมาธิการ รับฟังความคิดเห็น และประชาพิจารณ์ขึน เพือรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนเกียวกบั ร่างรัฐธรรมนูญโดยมีขนั ตอน ดงั นีคือ ขันตอนที 1 สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญนาํ ประเดน็ หลกั และหลกั การสาํ คญั ในการแกไ้ ขปัญหา ซึงแยกเป็น 3 ประเด็นคือ ประเด็นเรืองสิทธิและการมสี ่วนร่วมของพลเมือง ประเด็นเรืองการตรวจสอบ การใชอ้ าํ นาจรัฐ และประเดน็ เรืองสถาบนั การเมืองและความสมั พนั ธร์ ะหว่างสถาบนั การเมืองออกไปรับ ฟังความคิดเห็นของประชาชนเบืองตน้ และนาํ ขอ้ มลู เสนอกรรมาธิการ ภายในช่วงตน้ เดือนเมษายน ขันตอนที 2 กรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและประชาพิจารณ์ออกรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนจงั หวดั ต่าง ๆ จนถงึ เดือนมถิ ุนายน ขันตอนที 3 คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและประชาพิจารณ์ส่งผลสรุปความคิดเห็นของ ประชาชนทีไดจ้ ากการจดั ทาํ สมชั ชาระดบั จงั หวดั ใหก้ รรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรืองที 2 การจดั ทาํ แผน 2.1 แผน (plan) หมายถงึ การตดั สินใจทีกาํ หนดล่วงหนา้ สาํ หรับการเลอื กใชแ้ นวทาง การปฏิบตั ิการ ประกอบดว้ ยปัจจยั สาํ คญั คือ อนาคต ปฏิบตั ิการและสิงทีตอ้ งการให้เกิดขึนนนั คือ องคก์ ร หรือแต่ละบุคคลทีตอ้ งรับผดิ ชอบ (ขรรคช์ ยั คงเสน่ห์ และคณะ, ) แผนแบ่งตามขอบเขตของกิจกรรมทีทาํ (Scope of activity) เป็น ประเภทคือ . แผนกลยทุ ธ์ (Strategic plan) เป็นแผนทีทาํ ขึน เพือสนองความตอ้ งการในระยะยาว และรวมกิจกรรมทุกอยา่ งของหน่วยงาน ผบู้ ริหารระดบั สูงทีวางแผนกลยทุ ธจ์ ะตอ้ งกาํ หนดวตั ถุประสงค์ ของทงั หน่วยงาน แลว้ ตดั สินใจวา่ จะทาํ อยา่ งไร และจะจดั สรรทรัพยากรอย่างไรจึงจะทาํ ใหส้ าํ เร็จตาม เป้ าหมายนนั จะตอ้ งใชเ้ วลาในการกาํ หนดกิจกรรมทีแตกต่างกนั ในแต่ละหน่วยงาน รวมทงั ทิศทางการ ดาํ เนินงานทีไมเ่ หมือนกนั ใหอ้ ยใู่ นแนวเดียวกนั การตดั สินใจทีสาํ คญั ของแผนกลยทุ ธ์ก็คือ การเลือก วธิ ีการในการดาํ เนินงานและการจดั สรรทรัพยากรทีมีอยอู่ ยา่ งจาํ กดั ใหเ้ หมาะสม เพือทีจะนาํ พาหน่วยงาน ใหก้ า้ วไปขา้ งหนา้ อยา่ งสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์แวดลอ้ มภายนอกทีเปลียนแปลงตลอดเวลา . แผนดาํ เนินงานหรือแผนปฏิบตั ิการ (Operational plan) เป็นแผนทีกาํ หนดขึนมาใช้ สาํ หรับแต่ละกิจกรรมโดยเฉพาะ เพือใหบ้ รรลเุ ป้ าหมายของแต่ละกิจกรรมซึงเท่ากบั เป็นแผนงานเพือให้
54 แผนกลยทุ ธบ์ รรลุผลหรือเป็นการนาํ แผนกลยทุ ธไ์ ปใชน้ นั เอง แผนดาํ เนินงานทีแยกเป็นแต่ละกิจกรรมก็ ไดแ้ ก่ แผนการผลิต แผนการเงิน แผนการตลาด แผนทรัพยากรมนุษยแ์ ละแผนอุปกรณ์ เป็นตน้ ปัจจุบนั หน่วยงานไดน้ าํ แผนทีมขี อบข่ายความรับผดิ ชอบเชือมโยงนโยบายกบั แผนงาน เป็น “ยทุ ธศาสตร์” คือ การตดั สินใจจากทางเลอื กทีเชือว่าดีทีสุด และเป็นไปไดท้ ีสุด เรียกวา่ แผน ยทุ ธศาสตร์ แผนทีดีตอ้ งประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะดงั ต่อไปนี ตอ้ งกาํ หนดวตั ถปุ ระสงคข์ องแผนอยา่ งชดั เจน ตอ้ งนาํ ไปปฏบิ ตั ิง่าย และสะดวกต่อการปฏบิ ตั ิ ตอ้ งยดื หยนุ่ ไดต้ ามสภาพการณ์ ตอ้ งกาํ หนดมาตรฐานของการปฏบิ ตั ิงานไว้ ตอ้ งมคี วามละเอียดถีถว้ นเป็นแผนทีสมบูรณ์แบบ ตอ้ งทาํ ใหเ้ กิดประโยชน์แก่ผเู้ กียวขอ้ ง เพือจงู ใจใหท้ ุกคนปฏิบตั ิตามแผนนนั . โครงการ (Project) โครงการ คือ “แผนหรือ เคา้ โครงการตามทีกาํ หนดไว”้ เป็ นส่วนประกอบส่วนหนึงใน การวางแผนพฒั นาทีช่วยใหเ้ ห็นภาพ และทิศทางการพฒั นา มีขอบเขตทีสามารถติดตามและประเมินผล ได้ โครงการ (project) ถือเป็ นส่วนประกอบสาํ คญั ของแผน เป็ นแผนจุลภาคหรือ แผน เฉพาะเรือง ทีจดั ทาํ ขึนเพือพฒั นาหรือแกป้ ัญหาใดปัญหาหนึงขององคก์ ร แผนงานทีปราศจากโครงการ ยอ่ มเป็นแผนงานทีไมส่ มบูรณ์ ไม่สามารถนาํ ไปปฏิบตั ิใหเ้ ป็ นรูปธรรมได้ โครงการจึงมีความสมั พนั ธ์ กบั แผนงาน การเขียนโครงการขึนมารองรับแผนงานยอ่ มเป็ นสิงสาํ คญั และจาํ เป็ นยงิ จะทาํ ใหง้ ่ายใน การปฏิบตั ิและง่ายต่อการติดตามและประเมินผล เพราะถา้ โครงการบรรลุผลสาํ เร็จ นันหมายความว่า แผนงานและนโยบายนนั บรรลุผลสาํ เร็จดว้ ย โครงการจึงเปรียบเสมือนพาหนะทีนาํ แผนปฏิบตั ิการไปสู่ การดาํ เนินงานใหเ้ กิดผล เพือไปสู่จุดหมายปลายทางตามทีตอ้ งการ อีกทงั ยงั เป็นจุดเชือมโยงจากแผนงาน ไปสู่แผนเงิน และแผนคนอกี ดว้ ย โครงการมลี กั ษณะสาํ คญั ดงั นี . เป็นระบบ (System) มีขนั ตอนการดาํ เนินงาน . มวี ตั ถุประสงค์ (Objective) เฉพาะชดั เจน . มรี ะยะเวลาแน่นอน (มจี ุดเริมตน้ และจุดสินสุดในการดาํ เนินงาน) . เป็นเอกเทศและมีผรู้ ับผดิ ชอบโครงการอยา่ งชดั เจน . ตอ้ งใชท้ รัพยากรในการดาํ เนินการ
55 . มเี จา้ ของงานหรือผจู้ ดั สรรงบประมาณ ในปัจจุบนั สาํ นกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ไดใ้ ชว้ ธิ ีการเขยี น โครงการแบบผสมผสานระหวา่ งแบบประเพณีนิยม และแบบตารางเหตุผลต่อเนือง ซึงมีรายละเอียดและ ขนั ตอน ดงั นี หวั ขอ้ ลกั ษณะ/รูปแบบ/แนวทางการเขียน . ชือโครงการ เป็นชือทีสัน กระชบั เขา้ ใจง่าย และสือไดช้ ดั เจนว่าเนือหา สาระของสิ งทีจะทําคืออะไร โดยทัวไปชือโครงการ มีองคป์ ระกอบ ส่วน คือ ส่วนที เป็นประเภทของโครงการ เช่น โครงการฝึ กอบรม โครงการสมั มนา โครงการประชุม เชิงปฏิบตั ิการ ส่วนที เป็ นลกั ษณะหรือความเกียวขอ้ งของ โครงการ ว่าเกียวกับเรื องอะไร หรื อเกียวกับใคร เช่น กาํ หนดตามตาํ แหน่งงานของผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ กาํ หนดตาม ลกั ษณะของเนือหาวิชาหลกั ของหลกั สูตรหรือประกอบกนั ทงั สองส่วน เช่น โครงการอบรมอาชีพไม้ดอกไม้ประดับ โครงการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุ โครงการจัดการขยะ มลู ฝอยชุมชน เป็นตน้ . หลกั การและเหตุผล ความสาํ คญั ของโครงการ บอกสาเหตุหรือปัญหาทีทาํ ใหเ้ กิด โครงการนีขึน และทีสาํ คญั คือตอ้ งบอกไดว้ ่า ถา้ ไดท้ าํ โครงการแลว้ จะแกไ้ ขปัญหานีตรงไหน การเขียนอธิบาย ปัญหาทีมาโครงการ ควรนาํ ขอ้ มลู สถานการณ์ปัญหาจาก ทอ้ งถนิ หรือพนื ทีทีจะทาํ โครงการมาแจกแจงใหผ้ อู้ า่ นเกิด ความเขา้ ใจชดั เจนขนึ โดยมีหลกั การเขียน ดงั นี . เขียนในลกั ษณะบรรยายความ ไมน่ ิยมเขียนเป็นขอ้ ๆ . เขียนใหช้ ดั เจน อ่านเขา้ ใจง่าย และมีเหตุผล สนบั สนุนเพยี งพอ ลาํ ดบั ทีหนึง เป็นการบรรยายถงึ เหตผุ ล และความจาํ เป็นในการจดั โครงการโดยบอกทีมา และ ความสาํ คญั ของโครงการนนั ๆ ลาํ ดบั ทีสอง เป็นการอธิบาย ถึงปัญหาขอ้ ขดั ขอ้ ง หรือ พฤติกรรมทีเบียงเบนจากหลกั การ ทีควรจะเป็น ซึงทาํ ใหเ้ กิดความเสียหายในการปฏิบตั ิงาน (หรืออาจเขียนรวมไวใ้ นลาํ ดบั แรกก็ได)้ สุดทา้ ยเป็น
หวั ขอ้ 56 . วตั ถุประสงค์ ลกั ษณะ/รูปแบบ/แนวทางการเขียน . เป้ าหมาย การสรุปวา่ จากสภาพปัญหาทีเกิดขึน ผรู้ ับผดิ ชอบจึงเห็น . กล่มุ เป้ าหมาย ความจาํ เป็นทจี ะตอ้ งจดั ทาํ โครงการขึน ในเรืองอะไร และ . วธิ ีดาํ เนินการ สาํ หรับใคร เพือใหเ้ กิดผลอยา่ งไร . งบประมาณ ระบุสิงทีตอ้ งการใหเ้ กิดขึนเมอื ดาํ เนินการตามโครงการนีแลว้ โดยตอบคาํ ถามว่า “จะทาํ เพอื อะไร” หรือ “ทาํ แลว้ ไดอ้ ะไร” โดยตอ้ งสอดคลอ้ งกบั หลกั การและเหตุผล วตั ถปุ ระสงคท์ ดี ี ควรเป็นวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ซึงสามารถสงั เกตไดแ้ ละ วดั ได้ องคป์ ระกอบของวตั ถุประสงคท์ ีดี มดี งั นี . เขา้ ใจง่าย ชดั เจน ไมค่ ลุมเครือ . เฉพาะเจาะจง ไมก่ วา้ งจนเกินไป . ระบุถงึ ผลลพั ธท์ ีตอ้ งการ ว่าสิงทีตอ้ งการใหเ้ กิดขนึ คือ อะไร . สามารถวดั ได้ ทงั ในแง่ของปริมาณและคุณภาพ . มคี วามเป็นไปได้ ไมเ่ ลือนลอย หรือทาํ ไดย้ ากเกิน ความเป็นจริง คาํ กริยาทีควรใชใ้ นการเขียนวตั ถปุ ระสงค์ ของโครงการ แลว้ ทาํ ใหส้ ามารถวดั และประเมินผลได้ ไดแ้ ก่ คาํ วา่ เพอื ให้ แสดง กระทาํ ดาํ เนินการ วดั เลอื ก แกไ้ ข สาธิต ตดั สินใจ วิเคราะห์ วางแผน มอบหมาย จาํ แนก จดั ลาํ ดบั ระบุ อธิบาย แกป้ ัญหา ปรับปรุง พฒั นา ตรวจสอบ ระบุสิงทีตอ้ งการใหเ้ กิดขึนทงั ในเชิงปริมาณ และเชิงคณุ ภาพ ในแต่ละช่วงเวลาจากการดาํ เนินการตามโครงการนีแลว้ โดย ตอบคาํ ถามว่า “จะทาํ เท่าใด” ใครคือกลมุ่ เป้ าหมายของโครงการ หากกลมุ่ เป้ าหมายมีหลาย กล่มุ ใหบ้ อกชดั ลงไปว่า ใครคือกลุ่มเป้ าหมายหลกั ใครคือ กลมุ่ เป้ าหมายรอง บอกรายละเอียดวิธีดาํ เนินการ โดยระบุเวลาและกจิ กรรมการ ดาํ เนินโครงการ (ควรมีรายละเอียดหวั ขอ้ กิจกรรม) เป็นส่วนทีแสดงยอดงบประมาณ พร้อมแจกแจงค่าใชจ้ ่าย
หวั ขอ้ 57 . ระยะเวลาดาํ เนินงาน ลกั ษณะ/รูปแบบ/แนวทางการเขียน . สถานที . ผรู้ ับผดิ ชอบ ในการดาํ เนินกิจกรรมขนั ต่าง ๆ โดยทวั ไปจะแจกแจงเป็น . โครงการ/กิจกรรมที หมวดยอ่ ย ๆ เช่น หมวดค่าวสั ดุ หมวดค่าใชจ้ ่าย หมวดค่าตอบแทน หมวดค่าครุภณั ฑ์ ซึงการแจกแจง เกียวขอ้ ง งบประมาณจะมีประโยชนใ์ นการตรวจสอบความเป็นไปได้ และความเหมาะสม นอกจากนีควรระบุแหลง่ ทีมาของ งบประมาณดว้ ยวา่ เป็นงบประมาณแผน่ ดนิ งบช่วยเหลอื จาก ต่างประเทศ เงินกหู้ รืองบบริจาค จาํ นวนเท่าไร ในการจดั ทาํ ประมาณการค่าใชจ้ ่ายของโครงการจะตอ้ งตระหนกั ว่า ค่าใชจ้ ่ายทงั หมด แบ่งออกไดเ้ ป็น ส่วน คือ ค่าใชจ้ ่ายจาก โครงการ หรืองบประมาณส่วนทีจ่ายจริง และค่าใชจ้ ่ายแฝง ไดแ้ ก่ ค่าใชจ้ ่ายอนื ๆ ทีเกิดขนึ จริง หรือมกี ารใชจ้ ่ายอยจู่ ริง แต่ไม่สามารถระบุรายการค่าใชจ้ ่ายนนั ๆ เป็นจาํ นวนเงินได้ อยา่ งชดั เจน ดงั นนั ผคู้ ิดประมาณการตอ้ งศกึ ษาและทาํ ความ เขา้ ใจในรายละเอยี ดโครงการหลกั เกณฑแ์ ละอตั ราการเบิก จ่ายเงินงบประมาณตามระเบียบดว้ ย ตอบคาํ ถามวา่ “ทาํ เมือใด และนานเท่าใด” (ระบุเวลาเริมตน้ และเวลาสินสุดโครงการอยา่ งชดั เจน) โดยจะตอ้ งระบุ วนั เดือน ปี เช่นเดียวกบั การแสดงแผนภูมิแกนท์ (Gantt Chart) เป็นการระบุสถานทีตงั ของโครงการหรือระบวุ า่ กจิ กรรมนนั จะทาํ ณ สถานทีแห่งใด เพือสะดวกต่อการประสานงานและ จดั เตรียมสถานทีใหพ้ ร้อมก่อนทีจะทาํ กิจกรรมนนั ๆ เป็นการระบุเพือใหท้ ราบวา่ หน่วยงานใดเป็นเจา้ ของ หรือ รับผดิ ชอบโครงการ โครงการยอ่ ย ๆ บางโครงการระบุเป็น ชือบุคคลผรู้ ับผดิ ชอบเป็นรายโครงการ หลาย ๆ โครงการทีหน่วยงานดาํ เนินงานอาจมคี วามเกียวขอ้ ง กนั หรือในแต่ละแผนอาจมีโครงการหลายโครงการ หรือ บางโครงการเป็นโครงการยอ่ ยในโครงการใหญ่ ดงั นนั จึง ตอ้ งระบุโครงการทีมคี วามเกียวขอ้ งดว้ ย
58 หวั ขอ้ ลกั ษณะ/รูปแบบ/แนวทางการเขียน . เครือข่าย/หน่วยงานทีให้ ในการดาํ เนินการโครงการ ควรจะประสานงานและขอ การสนบั สนุน ความร่วมมือกบั หน่วยงานอืน หากมีหน่วยงานร่วมดาํ เนิน โครงการมากกว่าหนึงหน่วยงานตอ้ งระบุชือใหค้ รบถว้ น และ แจกแจงใหช้ ดั เจนดว้ ยว่าหน่วยงานทีร่วมโครงการแต่ละฝ่ าย จะเข้ามามีส่วนร่ วมโครงการในส่วนใด ซึงจะเป็ นข้อมูล สะทอ้ นให้เห็นว่าโครงการจะประสบผลสาํ เร็จและเกิดผล ต่อเนือง . ผลทีคาดวา่ จะไดร้ ับ เมอื โครงการนนั เสร็จสินแลว้ จะเกิดผลอยา่ งไรบา้ งใครเป็น ผไู้ ดร้ ับผลประโยชน์โดยตรงและผลประโยชนใ์ นดา้ น ผลกระทบของโครงการ . การประเมินโครงการ บอกรายละเอยี ดการใหไ้ ดม้ าซึงคาํ ตอบว่าโครงการทีจดั นีมี ประโยชนแ์ ละคุม้ ค่าอยา่ งไร โดยบอกประเดน็ การประเมนิ / ตวั ชีวดั แหล่งขอ้ มลู วิธีการประเมนิ ใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคห์ รือเป้ าหมายของโครงการ . ตวั ชีวดั ผลสาํ เร็จของ . ตวั ชีวดั ผลผลติ (output) หมายถงึ ตวั ชีวดั ทีแสดงผลงาน โครงการ เป็นรูปธรรมในเชิงปริมาณและ / หรือคุณภาพอนั เกิดจากงาน ตามวตั ถุประสงคข์ องโครงการ . ตวั ชีวดั ผลลพั ธ์ (out come) หมายถึง ตวั ชีวดั ทีแสดงถงึ ผลประโยชนจ์ ากผลผลิตทีมผี ลต่อบุคคล ชุมชน สิงแวดลอ้ ม เศรษฐกิจ และสงั คมโดยรวม เรืองที 3 การเผยแพร่สู่การปฏบิ ตั ิ 3.1 การเขยี นรายงาน การเขียนรายงาน คือ การเขียนรายละเอียดต่าง ๆ เกียวกบั การดาํ เนินงานของบุคคลใน หน่วยงาน ซึงรายงานแต่ละประเภทนนั กจ็ ะมีวิธีการเขียนทีแตกต่างกนั ออกไป รายงานจึงเป็นสิงจาํ เป็น และสาํ คญั ในการบริหารงาน และการทีจะเสนอการเขียนรายงานนนั ใหอ้ อกมาอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และ รวดเร็วนนั ควรทีจะมีการวางแผนกาํ หนดเวลาเริมตน้ และเวลาสินสุดของแต่ละรายงานไวด้ ว้ ย วธิ ีการเขยี นรายงาน . เขียนใหส้ นั เอาแต่ขอ้ ความทีจาํ เป็น
59 . ใจความสาํ คญั ครบถว้ นวา่ ใคร ทาํ อะไร ทีไหน เมือไร อยา่ งไร . เขียนแยกเรืองราวออกเป็นประเดน็ ๆ . เนือความทีเขียนตอ้ งลาํ ดบั ไมส่ บั สน . ขอ้ มลู ตวั เลข หรือสถติ ิต่าง ๆ ควรไดม้ าจากการพบเหน็ จริง . ถา้ ตอ้ งการจะแสดงความคิดเห็นประกอบ ควรแยกความคิดออกจากตวั ข่าวหรือ เรืองราวทีเสนอไปนนั . การเขียนบนั ทึกรายงาน ถา้ เป็นของทางราชการ ควรเป็นรูปแบบทีใชแ้ น่นอน . เมือบนั ทึกเสร็จแลว้ ตอ้ งทบทวนและตงั คาํ ถามในใจว่า ควรจะเพมิ เติมหรือตดั ทอน ส่วนใดทิงหรือตอนใดเขียนแลว้ ยงั ไมช่ ดั เจน กค็ วรจะแกไ้ ขใหเ้ รียบร้อย วธิ กี ารเขยี นรายงานจากการค้นคว้า . รายงานคน้ ควา้ เชิงรวบรวม เป็นการรวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งต่าง ๆ มาเรียบเรียง ปะติดปะต่อกนั อยา่ งมรี ะบบระเบียบ . รายงานคน้ ควา้ เชิงวเิ คราะห์ เป็นการนาํ ขอ้ มลู ต่าง ๆ ทีไดม้ าวเิ คราะห์ หรือคน้ หา คาํ ตอบในประเดน็ ใหช้ ดั เจน วธิ กี ารนาํ เสนอรายงาน 1. รายงานดว้ ยปากเปลา่ (Oral Reports) หรือเสนอดว้ ยวาจา โดยการเสนอแบบ บรรยายต่อทีประชุมต่อผบู้ งั คบั บญั ชา ฯลฯ ในกรณีพิเศษเช่นนี ควรจดั เตรียมหวั ขอ้ ทีสาํ คญั ๆ ไวใ้ ห้ พร้อม โดยการคดั ประเดน็ เรืองทีสาํ คญั จดั ลาํ ดบั เรืองทีจะนาํ เสนอก่อนหนา้ หลงั ไว้ . รายงานเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร (Written Reports) มกั ทาํ เป็นรูปเล่ม เป็นรูปแบบการ นาํ เสนออยา่ งเป็นทางการ (Formal Presentation) ลกั ษณะของรายงานทดี ี . ปกสวยเรียบ . กระดาษทีใชม้ ีคุณภาพดี มขี นาดถกู ตอ้ ง . มหี มายเลขแสดงหนา้ . มีสารบญั หรือมีหวั ขอ้ เรือง . มีบทสรุปยอ่ . การเวน้ ระยะในรายงานมคี วามเหมาะสม . ไมพ่ ิมพข์ อ้ ความใหแ้ น่นจนดูลานตาไปหมด . ไม่มกี ารแก้ ขดู ลบ . พมิ พอ์ ยา่ งสะอาดและดูเรียบร้อย . มผี งั หรือภาพประกอบตามความเหมาะสม
60 . ควรมกี ารสรุปใหเ้ หลอื เพียงสนั ๆ แลว้ นาํ มาแนบประกอบรายงาน . จดั รูปเล่มสวยงาม 3.2 การเขยี นโครงงาน โครงงานเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนทีเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั อยา่ งแทจ้ ริง เพราะผเู้ รียน เป็นผทู้ ีสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง เริมจากการเลือกหวั ขอ้ หรือปัญหาทีมาจากความสนใจ ความสงสยั หรือ ความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง หวั ขอ้ ของโครงงานควรเป็นเรืองใหม่ ทีเฉพาะเจาะจง และทีสาํ คญั ตอ้ ง เหมาะสมกบั ความรูค้ วามสามารถของตน การเขียนโครงงานเป็นการกาํ หนดกรอบในการทาํ งาน การ เขียนโครงงานโดยทวั ไปจะมีองคป์ ระกอบเช่นเดียวกบั การเขียนโครงการ แต่โครงงานเป็นงานทีทาํ เสร็จ แลว้ จะมชี ินงานดว้ ยเมอื มีโครงงาน และดาํ เนินการจดั ทาํ โครงงานเสร็จเรียบร้อยแลว้ ชนิ สุดทา้ ยคือการ เขียนรายงานโครงงาน การเขยี นรายงานโครงงาน โดยทวั ไปมอี งคป์ ระกอบดงั นี . ชือโครงงาน ชือผทู้ าํ โครงงาน . คาํ นาํ - สารบญั . ทีมาของโครงงาน อธิบายเหตุผลในการทาํ โครงงานนี . วตั ถุประสงคข์ องการทาํ โครงงาน . วิธีดาํ เนินการควรแยกเป็น ขนั ตอน ขนั ตอนที การเตรียมการ ขนั ตอนที กระบวนการ วธิ ีดาํ เนินงานโครงงาน ขนั ตอนที ผลงานโครงงาน ประโยชนท์ ีไดร้ ับ . สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ
61 กิจกรรมบทที คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปนี โดยเขียนตอบลงในสมุดบนั ทึกกจิ กรรมของผเู้ รียน แลว้ ตรวจสอบความ ถกู ตอ้ งจากแนวเฉลยกิจกรรมทา้ ยหนงั สือเรียน 1. เขียนการเตรียมประเดน็ หนึงประเดน็ ใดในการจดั ทาํ เวทีประชาคมโดยใชต้ าราง 2. บอกขอ้ ดีของการจดั สนทนากลมุ่ 3. บอกประโยชนข์ องการสมั มนา 4. การสาํ รวจประชามติมกี ีประเภท อะไรบา้ ง 5. บอกลกั ษณะของรายงานทีดีมกี ีขอ้ อะไรบา้ ง 6. ใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ในเรืองทีตนเองสนใจแลว้ นาํ มาเขียนรายงานในรูปแบบการ เขียนรายงานคน้ ควา้ เชิงรวบรวมไมน่ อ้ ยกว่า หนา้ กระดาษ 7. เขียนสรุปลกั ษณะของโครงงานหนึงหวั ขอ้ โดยระบุทีมา/ชือผเู้ ขียนดว้ ย 8. เขียนสรุปการทาํ งาน/กจิ กรรมเป็นกลมุ่ นนั มปี ระโยชน์ ทาํ ใหไ้ ดพ้ ฒั นาตนเองอยา่ งไร
62 บทที บทบาท หน้าทีของผ้นู ํา สมาชิกทดี ขี องชุมชนและสังคม สาระสําคญั สิงสําคัญทีมีผลต่อความสาํ เร็จของการพฒั นาชุมชน และสังคม ก็คือ ผูน้ ํา เพราะผนู้ าํ มี ภาระหนา้ ทีและความรับผิดชอบทีจะตอ้ งวางแผน สังการ ดูแล และควบคุมให้การทาํ งานใด ๆ สาํ เร็จ ซึงในการปฏบิ ตั ิงานต่าง ๆ จะมกี ารแบ่งบทบาท หนา้ ที ความรับผดิ ชอบ เพอื ใหก้ ารทาํ งานเป็ นไปดว้ ย ความราบรืน มีปัญหาอุปสรรคน้อยทีสุด งานสาํ เร็จตามวตั ถุประสงค์ทีตังไว้ และเกิดประโยชน์ต่อ องคก์ าร ซึงการจดั ทาํ และขบั เคลอื นแผนพฒั นาชุมชน และสงั คมจะสาํ เร็จไดก้ จ็ ะตอ้ งมผี นู้ าํ และผตู้ ามทีดี ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั เมอื ศึกษาบทที จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ 1. รู้และเขา้ ใจบทบาท หนา้ ทีของผนู้ าํ ชุมชน . เป็นผนู้ าํ ผตู้ ามในการจดั ทาํ และขบั เคลือนแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม ขอบข่ายเนอื หา เรืองที ผนู้ าํ และผตู้ าม เรืองที ผนู้ าํ ผตู้ าม ในการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชน สงั คม เรืองที ผนู้ าํ ผตู้ ามในการขบั เคลือนแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม
63 เรืองที ผ้นู ําและผ้ตู าม ในการจัดทาํ และขับเคลือนแผนพฒั นาชุมชน สังคม สิงสาํ คญั ทีมีผลต่อความสําเร็จของ การพฒั นาชุมชน และสงั คม ก็คือผนู้ าํ เพราะผนู้ าํ มีภาระหนา้ ทีและความรับผดิ ชอบทีจะตอ้ งวางแผน สงั การ ดูแล และควบคุมใหก้ ารทาํ งานใด ๆ สาํ เร็จ ซึงในการปฏิบตั ิงานต่าง ๆ จะมีการแบ่งบทบาท หนา้ ที ความรับผดิ ชอบ เพือใหก้ ารทาํ งานเป็ นไปดว้ ยความราบรืน มีปัญหา อุปสรรคนอ้ ย และงาน สาํ เร็จตามวตั ถุประสงค์ทีตงั ไว้ ซึงการจดั ทาํ และขบั เคลือนแผนพฒั นาชุมชน สงั คม จะสาํ เร็จไดต้ อ้ ง อาศยั การทาํ งานทีมผี นู้ าํ และผตู้ ามทีดี . ผ้นู ํา ความหมายของผ้นู ํา ผนู้ าํ (Leader) คือ บุคคลทีมคี วามสามารถในการชกั จูงใหค้ นอืนทาํ งานในส่วนต่าง ๆ ทีตอ้ งการ ใหบ้ รรลุเป้ าหมายและวตั ถุประสงค์ทีตงั ไว้ ทงั นีผนู้ าํ อาจเป็ นบุคคลทีมาจากการเลือกตงั หรือแต่งตงั หรือ การยกยอ่ งขึนมาของกลุ่ม เพือใหท้ าํ หนา้ ทีเป็ นผชู้ ีแนะและช่วยเหลือใหก้ ลุ่มประสบความสาํ เร็จ และมีการเรียกชือผูน้ าํ แตกต่างกันออกไปตามลกั ษณะงานและองคก์ ารทีอยู่ เช่น ผบู้ ริหาร ผจู้ ดั การ ประธานกรรมการ ผอู้ าํ นวยการ อธิการบดี ผวู้ ่าราชการ นายอาํ เภอ กาํ นนั เป็นตน้ องค์ประกอบของความเป็ นผ้นู าํ . ความรู้ เช่น วิชาการ รู้รอบ รู้ตน รู้คน รู้หนา้ ที เป็นตน้ . ความคิดและจิตใจ เช่น คิดเชิงบวก คิดเชิงวเิ คราะห์ คิดเชิงระบบ หลกั คิด สมาธิ วสิ ยั ทศั น์ คิดริเริมสร้างสรรค์ เป็นตน้ . บุคลิกภาพ เช่น การวางตน ความมนั ใจ เอกลกั ษณ์ อารมณ์ การพดู การเป็นผใู้ ห้ เป็นตน้ . ความสามารถ เช่น รูปแบบการทาํ งาน การตดั สินใจ เป็นตน้ ประเภทของผ้นู ํา ผ้นู ําตามลกั ษณะของการใช้อาํ นาจหน้าที แบ่งไดเ้ ป็น ประเภท คือ . ผนู้ าํ แบบเผด็จการ (Autocratic Leadership) หมายถึง ผนู้ าํ ทีเน้นการบังคบั บญั ชาและการ ออกคาํ สงั มกั จะทาํ การตดั สินใจดว้ ยตนเองเป็ นส่วนใหญ่ และไม่ค่อยมอบหมายอาํ นาจหนา้ ทีใหแ้ ก่ ผตู้ ามหรือผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชามากนกั ลกั ษณะของผนู้ าํ ชนิดนีเป็นลกั ษณะเจา้ นาย . ผนู้ าํ แบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) เป็ นผนู้ าํ ทีให้ความสาํ คญั กบั ผตู้ ามหรือ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ไม่เน้นการใชอ้ าํ นาจหน้าที หรือก่อให้เกิดความเกรงกลวั ในตวั ผนู้ าํ แต่จะให้โอกาส ผตู้ าม ไดแ้ สดงความคิดเห็นในการปฏบิ ตั ิงานทุกคน จะมโี อกาสเขา้ ร่วมพิจารณาและร่วมตดั สินใจไดด้ ว้ ย
64 . ผนู้ าํ แบบเสรีนิยม (Laissez – faire or Free – rein Leadership) ผนู้ าํ ชนิดนีจะใหอ้ ิสระเต็มที กบั ผตู้ าม หรือใหผ้ ตู้ ามสามารถทาํ การใด ๆ ตามใจชอบ ผตู้ ามจะตดั สินปัญหาต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง และอาจ ไดร้ ับสิทธิในการจดั ทาํ เป้ าหมายหรือวตั ถุประสงค์ หรือจดั ทาํ แผนงานต่าง ๆ ได้ ผ้นู ําตามลกั ษณะการจดั การแบบม่งุ งานกบั ม่งุ คน แบ่งได้ ประเภท คือ . ผนู้ าํ แบบมงุ่ งาน (Job Centered) ผนู้ าํ ชนิดนีใหค้ วามสาํ คญั ต่องาน โดยถือว่าคนเป็ นปัจจยั ที จะนาํ มาใชช้ ่วยใหก้ ารทาํ งานประสบความสาํ เร็จ ซึงจะตอ้ งควบคุมดูแลอย่างใกลช้ ิด และไม่ควรมอบ อาํ นาจการตดั สินใจใหก้ บั ลกู นอ้ ง . ผูน้ ําแบบมุ่งคน (Employee Centered) ผนู้ าํ ชนิดนีให้ความสาํ คัญและเห็นคุณค่าของคน มคี วามเชือมนั ในตวั ลกู นอ้ งหรือผตู้ าม จะไมข่ ดั ขวาง และคอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ส่งเสริมให้ ลกู นอ้ งมสี ่วนร่วมในการตดั สินใจต่าง ๆ ผ้นู ําตามลกั ษณะการยอมรับจากกล่มุ หรือสังคม แบ่งได้ ประเภท คือ 1. ผนู้ าํ ตกทอด (Hereditary Leader) คือ ผทู้ ีกลุ่มหรือสงั คมใหก้ ารยอมรับในลกั ษณะทีเป็ น การสืบทอด เช่น การไดร้ ับตาํ แหน่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือผทู้ ีเป็ นทีเคารพนบั ถือของกลุ่มหรือ สงั คมนนั มาก่อน 2. ผนู้ าํ อยา่ งเป็นทางการ (Legal Leader) คือ บุคคลทีกล่มุ หรือสงั คมใหก้ ารยอมรับในลกั ษณะที เป็ นทางการ เช่น การไดร้ ับการแต่งตงั หรือได้รับการเลือกตงั อย่างเป็ นทางการ เนืองจากมีคุณสมบตั ิ เหมาะสมทีจะเป็นผนู้ าํ 3. ผนู้ าํ ตามธรรมชาติ (Natural Leader) คือ ผนู้ าํ ทีกลุ่มหรือสงั คมยอมรับสภาพการเป็นผนู้ าํ ของ บุคคลใดบุคคลหนึงใหเ้ ป็นผนู้ าํ กลมุ่ ไปสู่เป้ าหมายอยา่ งไม่เป็นทางการ และผนู้ าํ ก็ปฏบิ ตั ิไปตามธรรมชาติ ไม่ไดม้ ีการตกลงกนั แต่ประการใด 4. ผนู้ าํ ลกั ษณะพิเศษ หรือผนู้ าํ โดยอาํ นาจบารมี (Charismatic Leader) คือ ผทู้ ีไดร้ ับการ ยอมรับจากกลมุ่ หรือสงั คมในลกั ษณะทีเป็นเพราะความศรัทธา ทงั นีเนืองจากมีความเคารพ เชือถือเพราะ บุคคลนนั มีคุณสมบตั ิพิเศษทีเป็นทียอมรับของกล่มุ 5. ผนู้ าํ สญั ลกั ษณ์ (Symbolic Leader) คือ บุคคลทีไดร้ ับการยอมรับในลกั ษณะทีเป็ นเพราะ บุคคลนนั อยใู่ นตาํ แหน่งหรือฐานะอนั เป็นทีเคารพยกยอ่ งของคนทงั หลาย คณุ ลกั ษณะของผ้นู าํ 1. ทางความรู้และสติปัญญา เช่น รู้รอบ มที กั ษะการคิดทีดี ชอบริเริมสร้างสรรค์ เป็นตน้ 2. ทางร่างกาย เช่น มีสุขภาพดี มีบุคลิกทีดูดี เป็นตน้ 3. ทางอารมณ์และวฒุ ิภาวะ เช่น สมาธิดี มีความเชือมนั ในตนเอง ปรับตวั และมีความยดื หยนุ่ สูง เป็นตน้ 4. ทางอุปนิสยั เช่น น่าเชือถือไวใ้ จได้ กลา้ ทีจะเผชิญปัญหาอุปสรรค รับผดิ ชอบดี มงุ่ มนั อดทน พากเพียร พยายาม ชอบสงั คม เป็นตน้
65 ผ้นู าํ ทดี ี ผนู้ าํ ทีดี ควรมีคุณสมบตั ิ ดงั นี 1. วสิ ัยทศั น์ (Vision) ผนู้ าํ ทีดีตอ้ งมีวิสยั ทศั น์ การมวี สิ ยั ทศั น์เป็นการมองการณ์ไกล เพอื กาํ หนด ทิศทางทีควรจะเป็นในอนาคต การมองเห็นก่อนคนอนื จะทาํ ใหป้ ระสบความสาํ เร็จกอ่ น และเป็นแรงขบั ทีนาํ ไปสู่จุดหมายทีตอ้ งการ และผนู้ าํ จะตอ้ งสามารถสือสารวิสยั ทศั นข์ องตนไปยงั ผเู้ กียวขอ้ งได้ และชกั จงู หรือกระตุน้ ใหผ้ ตู้ ามพงึ ปฏบิ ตั ิไปตามวิสยั ทศั นข์ องผนู้ าํ นนั ๆ . ความรู้ (Knowledge) การเป็นผนู้ าํ นนั ความรู้เป็นสิงจาํ เป็นทีสุด ความรู้ในทีนีมไิ ดห้ มายถึง เฉพาะความรู้เกียวกบั งานในหนา้ ทีเท่านนั หากแต่รวมถึงการใฝ่ หาความรู้เพิมเติมในดา้ นอืน ๆ ดว้ ย การ จะเป็นผนู้ าํ ทีดี หวั หนา้ งานจึงตอ้ งเป็นผรู้ อบรู้ ยงิ รอบรู้มากเพียงใด ฐานะแห่งความเป็ นผนู้ าํ ก็จะยิงมนั คง มากขึนเท่านนั . ความริเริม (Initiative) ความริเริม คือ ความสามารถทีจะปฏิบตั ิสิงหนึงสิงใดในขอบเขต อาํ นาจหนา้ ทีไดด้ ว้ ยตนเอง โดยไม่ตอ้ งคอยคาํ สงั หรือความสามารถในการแสดงความคิดเห็นทีจะแกไ้ ข สิงหนึงสิงใดใหด้ ีขึน หรือเจริญขึนไดด้ ว้ ยตนเอง ความริเริมจะเจริญงอกงามได้ หวั หน้างานจะตอ้ งมี ความกระตือรือร้น คือมีใจจดจ่องานดี มีความเอาใจใส่ต่อหน้าที มีพลงั ใจทีตอ้ งการความสําเร็จอยู่ เบืองหนา้ . มคี วามกล้าหาญและความเดด็ ขาด (Courage and Firmness) ผนู้ าํ ทีดีจะตอ้ งไม่กลวั อนั ตราย ความยากลาํ บาก หรือความเจ็บปวดใดๆ ทงั ทางกาย วาจา และใจ ผูน้ าํ ทีมีความกลา้ หาญ จะช่วยให้ สามารถเผชิญต่องานต่างๆ ใหส้ าํ เร็จลุล่วงไปได้ นอกจากความกลา้ หาญแลว้ ความเดด็ ขาดกเ็ ป็นลกั ษณะ หนึงทีจะตอ้ งทาํ ใหเ้ กิดในตวั ของผนู้ าํ 5. การมมี นุษยสัมพนั ธ์ (Human Relations) ผนู้ าํ ทีดีจะตอ้ งรู้จกั ประสานความคิด ประสาน ประโยชนส์ ามารถทาํ งานร่วมกบั คนทุกเพศทุกวยั ทุกระดบั การศึกษาได้ ผนู้ าํ ทีมีมนุษยสัมพนั ธ์ดีจะช่วย ใหป้ ัญหาใหญ่กลายเป็นปัญหาเลก็ ได้ . มคี วามยุตธิ รรมและซือสัตย์สุจริต (Fairness and Honesty) ผนู้ าํ ทีดีจะตอ้ งอาศยั หลกั ของความถกู ตอ้ ง หลกั แห่งเหตุผลและความซือสตั ยส์ ุจริตต่อตนเองและผอู้ ืน เป็นเครืองมือในการ วนิ ิจฉยั สงั การ หรือปฏิบตั ิงานดว้ ยจิตทีปราศจากอคติ ปราศจากความลาํ เอยี ง ไมเ่ ล่นพรรคเลน่ พวก 7. มคี วามอดทน (Patience) ความอดทนจะเป็นพลงั อนั หนึงทีจะผลกั ดนั งานใหไ้ ปสู่ จุดหมายปลายทางไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง 8. มคี วามตนื ตวั ( Alertness ) ความตืนตวั หมายถึง ความระมดั ระวงั ความสุขุม รอบคอบ
66 ความไม่ประมาท ไม่ยืดยาดหรือขาดความกระฉับกระเฉง มีความฉับไวในการปฏิบัติงานทันต่อ เหตุการณ์ ความตืนตวั เป็ นลกั ษณะทีแสดงออกทางกาย และทางจิตใจ จะตอ้ งหยดุ คิดไตร่ตรองต่อ เหตุการณ์ต่าง ๆ ทีเกิดขึน รู้จกั ใชด้ ุลยพินิจทีจะพิจารณาสิงต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง คือ ผนู้ าํ ทีดีจะตอ้ งรู้จกั วิธีควบคุมตวั เองนนั เอง (Self Control) 9. มคี วามภักดี (Loyalty) การเป็นผนู้ าํ หรือหวั หนา้ ทีดีนนั จาํ เป็นตอ้ งมคี วามจงรักภกั ดีต่อ หมู่คณะต่อส่วนรวมและต่อองค์การ ความภกั ดีนี จะช่วยใหผ้ นู้ าํ ไดร้ ับความไวว้ างใจ และปกป้ องภยั อนั ตรายในทุกทิศไดเ้ ป็นอยา่ งดี . มคี วามสงบเสงียมไม่ถอื ตวั (Modesty) ผนู้ าํ ทีดีจะตอ้ งไมห่ ยงิ ยโส ไมจ่ องหอง ไม่วางอาํ นาจ และไมภ่ มู ิใจในสิงทีไร้เหตุผล ความสงบเสงียมนีถา้ มีอย่ใู นผนู้ าํ หรือหัวหน้างานคนใดแลว้ ก็จะทาํ ให้ผู้ ตามหรือลกู นอ้ งมคี วามนบั ถอื และใหค้ วามร่วมมือเสมอ การเสริมสร้างภาวะผ้นู ําชุมชน การเสริมสร้างภาวะผนู้ าํ ชุมชน หมายถึง การทาํ ใหผ้ นู้ าํ ชุมชนมภี าวะผนู้ าํ เพมิ ขึน หรือการทาํ ให้ ผนู้ าํ ชุมชนมีการปรับปรุงความสามารถในการทาํ หน้าทีหรือการเข้าไปมีบทบาทในแต่ละด้านให้กับ ชุมชนไดด้ ีขึน การเสริมสร้างภาวะผนู้ าํ ไดแ้ ก่ การพฒั นาบุคลิกภาพ การพฒั นารูปลกั ษณ์ การพฒั นา ทกั ษะใน การติดต่อสือสาร การพฒั นาความทรงจาํ และการพฒั นาความคิดริเริมสร้างสรรค์โดยมี รายละเอียดดงั นี การพฒั นาบุคลิกภาพของผนู้ าํ ไดแ้ ก่ การเสริมสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ เช่น การควบคุมตนเอง การรับฟังผอู้ ืน การมีความซือสตั ยต์ ่องาน เพอื นร่วมงาน การรู้จกั ถอ่ มตน การให้ความร่วมมือกบั ผอู้ ืน การถนอมนําใจผูอ้ ืนเป็ นต้น การเข้าใจความต้องการของชุมชนและการสร้างภาพลกั ษณ์ เช่น ความมนั ใจในตวั เอง แรงจงู ใจในการทาํ งาน การปรับตวั เขา้ กบั ผอู้ ืน การแสดงความคิดเห็น เป็นตน้ การพฒั นารูปลกั ษณ์ของผนู้ าํ ไดแ้ ก่ การออกกาํ ลงั กาย การรับประทานอาหารทีเป็นประโยชน์ ถกู หลกั โภชนาการ การรักษารูปร่างและสัดส่วน การรู้จกั การแต่งกาย และการพฒั นามารยาท เช่น มารยาทในการแนะนาํ ตวั มารยาทในโต๊ะอาหาร มารยาทต่อคนรอบขา้ ง มารยาทในทีทาํ งาน มารยาทในการประชุม เป็ น ตน้ การพฒั นาทกั ษะในการติดต่อสือสาร ไดแ้ ก่ การพดู การฟัง การสือสารทางโทรศพั ท์ การพดู ในทีชุมชน การวิเคราะหก์ ลมุ่ ผฟู้ ัง การวเิ คราะห์เนือหา การอ่าน การเขียน การใหค้ าํ แนะนาํ คาํ ปรึกษา การพฒั นาความทรงจาํ ไดแ้ ก่ การจาํ รายละเอียดของงาน การจาํ รายละเอยี ดเกียวกบั บุคคล การจาํ เกียวกบั ตวั เลข การพฒั นาความคิดริ เริ มสร้างสรรค์ เป็ นการพัฒนาเพือหาวิธีการใหม่ ๆ ทาํ ให้กล้าคิด กลา้ แสดงออก ทาํ ใหม้ องโลกกวา้ ง และมีความยดื หยนุ่ สร้างผลงานใหม่ ๆ
67 ภาวะผ้นู ําของชุมชน . ดา้ นการบริหารตนเอง ผนู้ าํ ควรเป็นผมู้ ีความรู้ความสามารถ มคี ุณธรรม ศลี ธรรม จริยธรรม มีวินยั ในตนเอง และมีบุคลกิ ภาพดี 2. ดา้ นการบริหารงาน ผนู้ าํ ควรมีการวางแผน การปรับปรุงแกไ้ ขงบประมาณ การเงิน บญั ชี การบริหารงบประมาณ การพฒั นางานอย่างต่อเนือง การควบคุมและประเมินผล การสร้างและการ พฒั นาทีมงาน และการมคี วามรับผดิ ชอบต่อชุมชน . ดา้ นการบริหารสงั คม ผนู้ าํ ควรมีมนุษยสมั พนั ธท์ ีดี ความเป็นประชาธิปไตย การประสานงาน ดี และการเป็นทีปรึกษาทีดี หน้าทขี องผ้นู ําชุมชน ในการทาํ หน้าทีเป็ นผนู้ าํ ชุมชนนนั จะตอ้ งเป็ นผรู้ ักษาหรือประสานให้สมาชิกของชุมชนอยู่ ร่วมกนั คือ ตอ้ งอยใู่ กลช้ ิดกบั ชุมชน มคี วามสมั พนั ธก์ บั คนในชุมชน และเป็นทียอมรับของคนในชุมชน อีกทังผูน้ ําจะต้องเป็ นผูป้ ฏิบัติภารกิจของชุมชนให้บรรลุวัตถุประสงค์ คือ ต้องรับผิดชอบใน กระบวนการวิธีการทาํ งานดว้ ยความมนั คงและเขา้ ใจ และตอ้ งทาํ งานใหบ้ รรลุเป้ าหมาย นอกจากนัน ผนู้ าํ ชุมชนจะตอ้ งมีบทบาทในการสนบั สนุนใหเ้ กิดการติดต่อสมั พนั ธใ์ นกลุ่ม คือ จะตอ้ งปฏิบตั ิงานใน ลกั ษณะอาํ นวย ความสะดวกให้สมาชิกในชุมชนเกิดการติดต่อสัมพนั ธ์และปฏิบตั ิต่อกันดว้ ยดี การติดต่อสือสารทีดีจึงเป็นสิงสาํ คญั และเป็นการช่วยใหห้ นา้ ทีผนู้ าํ ชุมชนบรรลุเป้ าหมาย แนวทางในการทาํ หน้าทผี ้นู าํ ชุมชน 1. สร้างความสามคั คีใหเ้ กิดขึนในชุมชน 2. กระตุน้ ใหส้ มาชิกทาํ สิงทีเป็นประโยชนต์ ่อชุมชน 3. พฒั นาสมาชิกใหเ้ กิดภาวะผนู้ าํ 4. ร่วมกบั สมาชิกกาํ หนดเป้ าหมายของชุมชน 5. บริหารงาน และประสานงานในชุมชน 6. ใหค้ าํ แนะนาํ และชีแนวทางใหก้ บั ชุมชน 7. บาํ รุงขวญั สมาชกิ ในชุมชน 8. เป็นตวั แทนชุมชนในการติดต่อประสานงานกบั หน่วยงานอนื ๆ 9. รับผดิ ชอบต่อผลการกระทาํ ของชุมชน บทบาทผ้นู ําชุมชน ด้านเศรษฐกจิ 1. ทาํ ใหค้ รัวเรือนสามารถพงึ ตนเองได้ 2. ส่งเสริมอาชีพทีตอบสนองต่อความตอ้ งการของชุมชน
68 3. ส่งเสริมวสิ าหกิจชุมชนตามความเหมาะสม ด้านการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อมในชุมชน 1. บริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งเหมาะสม 2. เสริมสร้างสภาพแวดลอ้ มทีดี 3. วางระบบโครงสร้างพนื ฐานเพยี งพอต่อความตอ้ งการ ด้านสุขภาพอนามยั 1. วางระบบโครงสร้างพนื ฐานเพือสุขภาพจากการมีส่วนร่วมของชุมชน 2. จดั การเพอื เสริมสร้างสุขภาพ 3. การป้ องกนั โรค 4. การดแู ลสุขภาพดว้ ยตนเอง ด้านศาสนา วฒั นธรรม และประเพณี 1. การนบั ถือศาสนาทียดึ เหนียวจิตใจ 2. การมวี ถิ ีชีวติ แบ่งปันเออื อาทร 3. การอนุรกั ษส์ ืบสานวฒั นธรรมประเพณีของชุมชน ด้านการพฒั นาคน . การจดั การความรู้ / ภมู ปิ ัญญา . การพฒั นาผนู้ าํ / สมาชิกในชุมชน ด้านการบริหารจดั การชุมชน 1. การจดั ทาํ ระบบขอ้ มลู 2. การจดั ทาํ แผนชุมชน 3. การจดั สวสั ดิการชุมชน 4. การเสริมสร้างการเมอื ง การปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ด้านความมนั คงปลอดภัยในชีวติ และทรัพย์สิน 1. การป้ องกนั รักษาความปลอดภยั ในชีวติ และทรัพยส์ ินของชุมชน 2. การป้ องกนั ภยั ธรรมชาติ 1.2 ผ้ตู าม ความหมายของผ้ตู าม (Followers) และภาวะผ้ตู าม (Followership) ผตู้ าม และภาวะผตู้ าม หมายถึง ผปู้ ฏิบตั ิงานในองคก์ ารทีมีหน้าที และความรับผดิ ชอบที จะตอ้ งรับคาํ สงั จากผนู้ าํ หรือผบู้ งั คบั บญั ชามาปฏบิ ตั ิใหส้ าํ เร็จและบรรลวุ ตั ถุประสงค์
69 พฤตกิ รรมของผ้ตู าม 5 แบบ ดงั นี 1. ผตู้ ามแบบห่างเหิน มลี กั ษณะเป็นคนเฉือยชา มีความเป็นอสิ ระ และมคี วามคิดสร้างสรรค์ สูง ส่วนมากเป็นผตู้ ามทีมปี ระสิทธิผล มปี ระสบการณ์ และผา่ นอุปสรรคมาก่อน 2. ผตู้ ามแบบปรับตาม หรือเรียกวา่ ผตู้ ามแบบครับผม มลี กั ษณะเป็นผทู้ ีมคี วามกระตือรือร้น ในการทาํ งาน แต่ขาดความคดิ สร้างสรรค์ 3. ผตู้ ามแบบเอาตวั รอด มลี กั ษณะเลือกใชพ้ ฤติกรรมแบบใดขึนอยกู่ บั สถานการณ์ทีจะ เออื ประโยชนก์ บั ตวั เองไดม้ ากทีสุดและมีความเสียงนอ้ ยทสี ุด 4. ผตู้ ามแบบเฉือยชา มลี กั ษณะชอบพงึ พาผอู้ ืน ขาดความอิสระ ไมม่ คี วามคดิ ริเริม สร้างสรรค์ 5. ผตู้ ามแบบมปี ระสิทธิผล มีลกั ษณะเป็นผทู้ ีมคี วามตงั ใจในการปฏบิ ตั ิงานสูง มี ความสามารถในการบริหารจดั การงานไดด้ ว้ ยตนเอง ลกั ษณะผ้ตู ามทีมปี ระสิทธผิ ล ดงั นี 1. มีความสามารถในการบริหารจดั การตนเองไดด้ ี 2. มีความผกู พนั ต่อองคก์ ารและวตั ถุประสงค์ 3. ทาํ งานเต็มศกั ยภาพ และสุดความสามารถ 4. มีความกลา้ หาญ ซือสตั ย์ และน่าเชือถอื การพฒั นาศักยภาพตนเองของผ้ตู าม การพฒั นาลกั ษณะนิสยั ตนเองใหเ้ ป็นผตู้ ามทีมปี ระสิทธิผล มี 7 ประการ คือ 1. ตอ้ งมีนิสยั เชิงรุก (Be Proactive) 2. เริมตน้ จากส่วนลกึ ในจิตใจ (Begin with the end in Mind) 3. ลงมอื ทาํ สิงแรกก่อน (Put first Things first) 4. คิดแบบชนะทงั สองฝ่ าย (Think Win-Win) 5. เขา้ ใจคนอนื ก่อนจะใหค้ นอืนเขา้ ใจเรา (Seek first to Understand, Then to be Understood) 6. การรวมพลงั (Synergy) หรือทาํ งานเป็นทีม (Team Work) 7. ลบั เลอื ยใหค้ ม หรือพฒั นาตนเองอยเู่ สมอ (Sharpen The Saw) แนวทางส่งเสริมและพฒั นาผ้ตู ามให้มคี ณุ ลกั ษณะผ้ตู ามทพี งึ ประสงค์ มดี ังนี 1. การดแู ลเอาใจใส่ เรืองความตอ้ งการขนั พืนฐานของมนุษยใ์ หก้ บั สมาชิกและเป็นธรรม 2. การจงู ใจดว้ ยการใหร้ างวลั คาํ ชมเชย 3. การใหค้ วามรู้ และพฒั นาความคิดโดยการจดั โครงการฝึกอบรม สมั มนา และศกึ ษาดูงาน
70 4. ผนู้ าํ ตอ้ งปฏบิ ตั ิตนใหเ้ ป็นแบบอยา่ ง 5. มีการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานอยา่ งต่อเนือง 6. ควรนาํ หลกั การประเมนิ ผลงานทีเนน้ ผลสมั ฤทธิ 7. ส่งเสริมการนาํ หลกั ธรรมมาใชใ้ นการทาํ งาน 8. การส่งเสริมสนบั สนุนใหผ้ ตู้ ามนาํ หลกั ธรรมาภิบาลมาใชใ้ นการปฏบิ ตั ิงานอยา่ งจริงจงั เรืองที ผ้นู าํ ผ้ตู ามในการจดั ทําแผนพฒั นาชุมชน สังคม แผนพฒั นาชุมชน สังคม มีชือเรียกแตกต่างกนั ไปในแต่ละทอ้ งถิน เช่น แผนชุมชน แผน ชุมชนพึงตนเอง แผนชีวิต แผนชีวิตชุมชน แผนชีวิตชุมชนพึงตนเอง แผนแม่บทชุมชน แผนแม่บท ชุมชนพงึ ตนเอง เป็นตน้ แผนชุมชน คือ เครืองมอื พฒั นาชุมชนทีคนในชุมชนรวมตวั กนั จดั ทาํ ขึนเพือใชเ้ ป็ นแนวทาง ในการพฒั นาชุมชนของตนเองใหเ้ ป็นไปตามสภาพปัญหาและความตอ้ งการทีชุมชนประสบอยรู่ ่วมกนั โดยคนในชุมชนร่วมกันคิด ตดั สินใจ กาํ หนดแนวทางและทาํ กิจกรรมการพฒั นาของชุมชนดว้ ย หลกั การพงึ ตนเองตามศกั ยภาพ ภูมปิ ัญญา วิถีชีวิต วฒั นธรรม ทรัพยากรและสิงแวดลอ้ ม ในทอ้ งถิน เป็ นหลกั กล่าวโดยสรุป แผนชุมชน หมายถึง แผนทีทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทาํ ทุก ขนั ตอน เพือใชแ้ กป้ ัญหาชุมชนตนเองและทุกคนในชุมชนไดร้ ับผลประโยชน์จากการพฒั นาร่วมกนั การจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชนนนั ผนู้ าํ ชุมชนจะตอ้ งเป็นผรู้ ิเริมจดั ทาํ โดยสร้างการมสี ่วนร่วมของ คนในชุมชน ดงั นี 1. เตรียมความพร้อมทมี งาน 1.1 ทีมงานจดั ทําแผน ผนู้ าํ ชุมชนร่วมกบั ทีมงานพฒั นาชุมชนระดบั อาํ เภอเผยแพร่ความคิด สร้างความรู้ ความเขา้ ใจแก่ สมาชิกในชุมชนเกียวกบั แผนชุมชนถงึ กระบวนการเทคนิคการเป็นวิทยากร บทบาทหน้าที ความสาํ คญั ในการจดั ทาํ แผนชุมชนเพือคน้ หา คดั เลือกบุคคลเป็ นคณะทาํ งานระดบั หม่บู า้ น/ชุมชน ร่วมกบั ทุกภาค ส่วนโดยพจิ ารณาผทู้ ีมคี ุณสมบตั ิเหมาะสมกบั การทาํ งาน ตอ้ งการทาํ งานเพอื ชุมชน ชุมชนใหก้ ารยอมรับ ใหเ้ ป็ นคณะทาํ งาน เช่น กาํ นนั ผใู้ หญ่บา้ น ผนู้ าํ ตามธรรมชาติ แกนนําอาสาสมคั รสาธารณสุขประจาํ หมบู่ า้ น (อสม.) อาสาพฒั นาชุมชน (อช.) ภูมิปัญญา ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ พระสงฆ์ นกั วิชาการทอ้ งถิน บุคคลใน องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บล (อบต.) ส่วนราชการและหน่วยงานเอกชน เป็นตน้
71 1.2 ทมี งานผ้สู ่งเสริมกระบวนการจดั ทําแผน ทีมงานภาคีเครือข่ายในการจดั ทาํ แผน เป็นภาคีการพฒั นาซึงมที งั ภาคราชการ ภาคประชาสงั คม สถาบนั วิชาการ และองคก์ รพฒั นาเอกชน จาํ นวน 19 องคก์ ร ไดแ้ ก่ 1.2.1 ภาคราชการ จาํ นวน 11 องคก์ ร คือ กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครอง ส่วนทอ้ งถิน สาํ นักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั (กศน.) กรมส่งเสริม วิชาการเกษตร กรมการพฒั นาชุมชน (พช.) กรมสนบั สนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กรมประชาสัมพนั ธ์ องคก์ ารสือสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) ธนาคารเพอื การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) สาํ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ (สศช.) และสาํ นักงานกองบญั ชาการ ทหารสูงสุด (บก.สูงสุด) 1.2.2 ภาคประชาสังคม จาํ นวน 3 องค์กร คือ สถาบันพฒั นาองค์กรชุมชน (พอช.) สาํ นกั งานคณะกรรมการกองทุนหม่บู า้ นและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) และสาํ นกั งานคณะกรรมการ กองทุนเพือการวิจยั (สกว.) 1.2.3 สถาบนั วชิ าการ จาํ นวน 2 องคก์ ร คือ ทบวงมหาวิทยาลยั และสถาบนั ราชภฏั . . ภาคเอกชน จาํ นวน 3 องคก์ ร คือ มูลนิธิหมู่บา้ น วิทยาลยั การจดั การทางสงั คม (วจส.) และสถาบนั ชุมชนทอ้ งถนิ พฒั นา 2. เตรียมความพร้อมข้อมูลและพนื ที 2.1 ข้อมูล ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ความจาํ เป็ นพืนฐาน (จปฐ.) ขอ้ มลู พืนฐานระดบั หมู่บา้ น/ชุมชน (กชช. 2 ค) คือ ขอ้ มลู พืนฐานของหม่บู า้ นทีแสดงใหเ้ ห็นสภาพทวั ไปและปัญหาต่าง ๆ ของหม่บู า้ น ไดแ้ ก่ โครงสร้างพืนฐานเศรษฐกิจ สุขภาพและอนามยั ความรู้และการศึกษา ความเข้มแข็งของชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม สภาพแรงงาน ยาเสพติด ขอ้ มลู ศกั ยภาพชุมชน 2.2 พนื ที คือ ความพร้อมของพนื ทีมดี า้ นใดบา้ ง เช่น ทุนทางสงั คม ไดแ้ ก่ บุคคล ภูมปิ ัญญา ทุนทางเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ ทรัพยากรในการประกอบอาชีพ ทุนของชุมชนทีเออื ต่อการวางแผนชุมชน 3. ดําเนินการจดั ทาํ แผนชุมชน การจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชนนัน คณะทาํ งานซึงเป็ นแกนนาํ ชุมชน ในการจดั ทาํ แผนใชเ้ วทีประชาคมในการประชุมเพือวางแนวทางดว้ ยกระบวนการกล่มุ ชุมชน ดงั นี 3.1 การศึกษาชุมชนตนเอง คณะทาํ งานชุมชนนาํ พาสมาชิกชุมชนใหศ้ ึกษาเรียนรู้ชุมชนของตนเอง เช่น สภาพการเงินของครัวเรือน เป็ นอย่างไร สภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มในอดีตกบั ปัจจุบนั แตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร เนืองจากเหตุใดสภาพสังคมนันพฤติกรรมของคนในชุมชนพึงประสงค์เป็ นไปตามจารีตประเพณี วฒั นธรรมเพียงใด เป็นตน้
72 3.2 สํารวจรวบรวมข้อมลู ชุมชน ผนู้ าํ และสมาชิกในชุมชนร่วมกนั ออกแบบเครืองมือสาํ รวจขอ้ มลู เอง หรือนาํ แบบสาํ รวจ ขอ้ มูลทีหน่วยงานมีอยู่ เช่น กชช. 2ค หรือ จปฐ. มาปรับปรุงเพิมเติมขอ้ มลู ทีตอ้ งการทราบ แลว้ นาํ ไป สาํ รวจขอ้ มลู ชุมชน หรือสาํ รวจขอ้ มลู โดยการจดั เวทีประชาคมเพือเรียนรู้สภาพปัญหาและความตอ้ งการ ของชุมชน ซึงผสู้ าํ รวจขอ้ มลู และผใู้ หข้ อ้ มลู กค็ ือคนในชุมชนนนั เอง 3.3 วเิ คราะห์ข้อมูล/สังเคราะห์ข้อมูล คณะทาํ งานชุมชน ผนู้ าํ ชุมชน สมาชิกในชุมชนร่วมกบั ทีมงานส่งเสริมกระบวนการจดั ทาํ แผนชุมชนนําข้อมูลทีเก็บรวบรวมมาแยกแยะตามประเภทของข้อมูล เช่น ข้อมูลดา้ นครอบครัว ด้านเศรษฐกิจ ด้านอาชีพ ด้านสังคม ด้านการคมนาคม ด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ วฒั นธรรม ด้านการสาธารณสุข ด้านการเมืองการปกครอง ดา้ นโครงสร้างพืนฐานทีจาํ เป็ นต่อการดาํ รงชีวิต ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม เป็ นตน้ ซึงจะทาํ ใหท้ ราบถึงปัญหาและสาเหตุของปัญหาใน ชุมชน 3.4 จดั ทําแผนชุมชน มขี ันตอนดงั นี 3.4.1 ยกร่างแผนชุมชน คณะทาํ งานจดั ทาํ แผนเชิญบุคคลทีมีความรอบรู้และมีส่วน เกียวขอ้ งกบั การทาํ แผนประชาชนในชุมชน ประชุมเชิงปฏิบตั ิการจดั ทาํ ร่างเค้าโครงของแผนชุมชน จดั ทาํ แผนงาน โครงการกิจกรรมบนพนื ฐานของขอ้ มลู ชุมชนทีสอดคลอ้ งกบั แนวนโยบายของรัฐ ยดึ หลกั แนวทางการพึงตนเองอยา่ งยงั ยนื 3.4.2 ประชาพิจารณ์แผนชุมชน จดั ประชุมประชาคมสมาชิกชุมชนเพือนาํ เสนอร่าง แผนให้สมาชิกในชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมกนั พิจารณาตรวจสอบขอ้ มูล แกไ้ ข ปรับปรุง เพิมเติมแผนงานโครงการ กิจกรรมใหถ้ ูกตอ้ งตามความเป็ นจริงและเป็ นปัจจุบนั สอดคลอ้ งกบั สภาพ ปัญหาและความตอ้ งการของชุมชน ประชาชนในชุมชนใหค้ วามเห็นชอบ ยอมรับเป็นเจา้ ของร่วมกนั เพือ ผลกั ดนั แผนชุมชนใหเ้ กิดการใชง้ านไดจ้ ริง แลว้ จดั ทาํ เอกสารเป็นรูปเล่มทีสามารถอา้ งองิ นาํ ไปใชใ้ นการ ประสานงาน การสนบั สนุนให้เกิดโครงการ กิจกรรมตามทีกาํ หนด ตลอดจนใชเ้ ป็ นเครืองมือการ ดาํ เนินงานพฒั นาชุมชนและประสานความร่วมมอื ยกระดบั คุณภาพชีวิตทีดีขึนของสมาชิกในชุมชนและ สามารถตรวจสอบระดบั ความกา้ วหนา้ ของการพฒั นากบั แนวทางทีวางไวไ้ ด้ กลา่ วโดยสรุปแลว้ ทงั ผนู้ าํ และผตู้ ามจะตอ้ งมีส่วนร่วมในกระบวนการจดั ทาํ แผนพฒั นา ชุมชนทุกขนั ตอน ทงั ในดา้ นการศึกษาเรียนรู้ชุมชน ตนเอง การสาํ รวจ รวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ ขอ้ มลู ตรวจสอบขอ้ มลู เพือคน้ หาปัญหาและสาเหตุของปัญหา ยกร่างแผนและจดั ทาํ แผนฉบบั สมบูรณ์ เมือแต่ละหมบู่ า้ น/ชุมชน ไดจ้ ดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชนเสร็จแลว้ ก็นาํ มาบูรณาการในระดบั ตาํ บล/เทศบาล อาํ เภอ และจงั หวดั เป็นแผนพฒั นาสงั คม ดงั นี
73 1. คณะทาํ งานแผนระดบั หมู่บา้ น/ชุมชน นําแผนชุมชนตนเองเขา้ ร่วมบูรณาการแผนชุมชน สงั คม ระดบั ตาํ บล/เทศบาล โดยคณะทาํ งานระดบั ตาํ บล/เทศบาล เป็ นผอู้ าํ นวยการบูรณาการขึน จากนัน มอบแผนของหม่บู า้ น/ชุมชน ระดบั ตาํ บล/เทศบาล ให้แก่องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถินและหน่วยงาน ภาคีเครือข่าย นาํ ไปบรู ณาการกบั แผนพฒั นาทอ้ งถนิ และแผนพฒั นาของหน่วยงานภาคีต่าง ๆ และนาํ ไปสู่ การปฏบิ ตั ิ 2. ในระดบั อาํ เภอก็จะนาํ แผนชุมชนมาบูรณาการเป็ นแผนพฒั นาระดบั อาํ เภอและแผนพฒั นา ของทุก ๆ อาํ เภอ ก็จะถูกนาํ มาบูรณาการเป็ นแผนระดบั จงั หวดั ซึงแผนพฒั นาชุมชน สงั คมนี ภาครัฐก็ สามารถนาํ มากาํ หนดเป็ นแผนยทุ ธศาสตร์ในการพฒั นาประเทศได้เป็ นอย่างดี เนืองดว้ ยแผนนันเกิด ขึนมาจากการมี ส่วนร่วมในการพฒั นาจากประชาชนในทอ้ งถนิ 3. คณะทาํ งานแผน ซึงเป็ นผนู้ าํ ในการจดั ทาํ แผนตอ้ งติดตามผลว่า แผนทีไดจ้ ดั ทาํ ขึนนันมีผล เป็ นอย่างไร มีหน่วยงานใดบ้างทีแปลงแผนพฒั นาชุมชนไปดาํ เนินการ ดาํ เนินการแลว้ มีผลอยา่ งไร แกป้ ัญหาไดห้ รือไม่ แผนใดไมไ่ ดร้ ับการนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิ แลว้ สรุปเป็นขอ้ มลู เพือใชเ้ ป็นแนวทางในการ จดั ทาํ แผนพฒั นาหมบู่ า้ น/ชุมชนในครังต่อไป 4. คณะทาํ งานแผน ทาํ การทบทวนปรับปรุงแผนพฒั นาอยา่ งต่อเนืองทุกปี เพือใหก้ ระบวนการ เรียนรู้การจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชน สงั คม แบบมีส่วนร่วมนนั เป็นเครืองมือในการพฒั นาศกั ยภาพยกระดบั คุณภาพของคนในหม่บู า้ น/ชุมชน เรืองที ผ้นู ํา ผ้ตู ามในการขบั เคลอื นแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม เมอื จดั ทาํ แผนชุมชนเป็นรูปเลม่ เอกสารเรียบร้อยแลว้ ผนู้ าํ ชุมชนและประชาชนในชุมชนมีส่วน ร่วมขบั เคลือนนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิจึงจะมีคุณค่าและเกิดประโยชน์ตอ่ ชุมชน ซึงแนวทางในการขบั เคลอื นมี ดงั นี 1. คณะทาํ งานระดบั หมู่บา้ น/ชุมชน และชาวบา้ น ซึงเป็ นสมาชิกของชุมชนจดั ประชุมปรึกษา หารือร่วมกนั พิจารณาการนาํ โครงการ/กิจกรรมไปดาํ เนินการใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงคท์ ีกาํ หนดโดย 1.1 จัดลาํ ดบั ความสาํ คัญของโครงการ/กิจกรรม ว่าโครงการใด มีความสําคัญทีต้อง ดาํ เนินการก่อน-หลงั 1.2 จดั ประเภทของแผนงาน ซึงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.2.1 แผนชุมชนทีชุมชนสามารถดาํ เนินการไดเ้ อง 1.2.2 แผนชุมชนทีชุมชนและหน่วยงานภายนอก ร่วมกนั ดาํ เนินการ 1.2.3 แผนชุมชนทีตอ้ งประสานหน่วยงานภายนอก เขา้ มาใหก้ ารสนบั สนุน 2. แบ่งบทบาทหนา้ ทีของคณะทาํ งาน อาสาสมคั ร สมาชิกชุมชน เป็ นผรู้ ับผิดชอบแผนงาน โครงการ/กิจกรรม เพอื ผลกั ดนั ใหม้ กี ารนาํ ไปปฏิบตั ิจริงในชุมชน
74 3. ร่วมกนั ดาํ เนินกิจกรรมของโครงการใหบ้ รรลุผลตามทีตงั ไวใ้ นแผน 4. ติดตามผลความกา้ วหน้า ปัญหา อุปสรรคของการดาํ เนินโครงการตามแผนงาน เพือช่วยกนั แกไ้ ขปัญหาอปุ สรรคทีเกิดขึน 5. ประเมนิ ผลการดาํ เนินการโครงการกิจกรรมสาํ เร็จตามวตั ถุประสงค์ทีตงั ไวห้ รือไม่ เพยี งใด
75 กจิ กรรมบทที . ใหผ้ เู้ รียนอธิบายความหมายของผนู้ าํ ชุมชน และหนา้ ทีของผนู้ าํ ชุมชน . ใหผ้ เู้ รียนอธิบายการเป็นสมาชิกทีดีหรือผตู้ ามทีดี 3. ใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลุม่ ๆ ละ 5 คน และร่วมกนั ระดมความคิดโดยแบ่งบทบาทหนา้ ทีของสมาชิก ในกลุ่มใหเ้ป็นผนู้ าํ และผตู้ ามในการจดั ทาํ โครงการการป้ องกนั “ไขห้ วดั 2009”หรือ“ไขห้ วดั ใหญ่สายพนั ธุใ์ หม่ ชนิด เอ (เอช เอน็ )” ในชุมชนของผเู้ รียน ว่าควรปฏบิ ตั ิหนา้ ทีอยา่ งไรใหเ้ กิดความเหมาะสม
76 แนวเฉลยกิจกรรม แนวเฉลยกจิ กรรมบทที ข้อ ความหมาย . การพฒั นาตนเอง หมายถึง ความตอ้ งการของบุคคลทีจะพฒั นาความรู้ ความสามารถของ ตนจากทีเป็นอยู่ ใหม้ คี วามรู้ ความสามารถทีมากขึนหรือสูงขึน . การพฒั นาชุมชน หมายถงึ กระบวนการส่งเสริมความเป็นอย่ขู องประชาชนให้ดีขึน โดย ประชาชนเขา้ ร่วมมอื และริเริมดาํ เนินงานเอง . การพฒั นาสงั คม หมายถึง กระบวนการเปลยี นแปลงทีดีทงั ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง การปกครอง วฒั นธรรม เพือประชาชนจะไดม้ ีชีวิตความเป็ นอย่ทู ีดีขึนทงั ทางดา้ นอาหาร ทีอย่อู าศยั การศึกษา สุขภาพอนามยั การมงี านทาํ มีรายไดเ้ พียงพอในการครองชีพ ประชาชนไดร้ ับความเสมอภาค ความยตุ ิธรรม มคี ุณภาพชีวิต ทงั นีประชาชนจะตอ้ งมสี ่วนร่วมในกระบวนการเปลียนแปลงทุกขนั ตอน อยา่ งมีระบบ ข้อ หลกั การพฒั นาตนเอง มดี งั ต่อไปนี . บุคคลตอ้ งสามารถปลดปลอ่ ยศกั ยภาพระดบั ใหมอ่ อกมา . คนทีมกี ารพฒั นาตนเอง ควรรับรู้ความทา้ ทายในตวั คนทงั หมด (Total self) . เป็นการริเริมดว้ ยตวั เอง แรงจงู ใจเบืองตน้ เกิดขึนผา่ นผลสมั ฤทธิของตวั เอง และการทาํ ให้ บรรลุความสาํ เร็จดว้ ยตนเอง รางวลั และการลงโทษจากภายนอกเป็นเรืองทีรองลงมา . การพฒั นาตนเอง ตอ้ งมีการเรียนรู้ มีการหยงั เชิงอยา่ งสร้างสรรค์ . การพฒั นาตนเอง ตอ้ งเตม็ ใจทีจะเสียง ข้อ ประโยชนท์ ีไดร้ ับจากการพฒั นาตนเองทีเกิดขึนกบั ตนเอง . การประสบความสาํ เร็จในการดาํ รงชีวิต . การประสบความสาํ เร็จในการประกอบอาชีพการงาน . การมสี ุขภาพอนามยั สมบรู ณ์ . การมีความเชือมนั ในตนเอง . การมีความสงบสุขทางจิตใจ ข้อ การพฒั นาตนเองดว้ ยวิธีหาความรู้เพมิ เติม กระทาํ ไดโ้ ดย . การอ่านหนงั สือเป็นประจาํ และอยา่ งต่อเนือง . การเขา้ ร่วมประชุมหรือเขา้ รับการฝึกอบรม . การสอนหนงั สือหรือการบรรยายต่าง ๆ
77 4. การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนหรือองคก์ ารต่าง ๆ ข้อ แนวคิดพืนฐานของการพฒั นาชุมชน . การมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation) . การช่วยเหลอื ตนเอง (Aide Self-Help) . ความคิดริเริมของประชาชน (Initiative) . ความตอ้ งการของชุมชน (Felt-Needs) . การศึกษาภาคชีวิต (Life-Long Education) ข้อ หลกั การพฒั นาชุมชน 1. ยดึ หลกั ความมศี กั ดิศรี และศกั ยภาพของประชาชน . ยดึ หลกั การพงึ ตนเองของประชาชน . ยดึ หลกั การมสี ่วนร่วมของประชาชน . ยดึ หลกั ประชาธิปไตย ข้อ แนวคิดของการพฒั นาสงั คม . กระบวนการ (Process) การแกป้ ัญหาสงั คมตอ้ งกระทาํ ต่อเนืองกนั อยา่ งมีระบบ เพือให้ เกิดการเปลยี นแปลงจากลกั ษณะหนึงไปสู่อีกลกั ษณะหนึง ซึงจะตอ้ งเป็นลกั ษณะทีดีกว่าเดิม . วิธีการ (Method) การกาํ หนดวิธีการในการดาํ เนินงาน โดยเฉพาะเน้นความร่วมมือของ ประชาชนในสงั คมนนั กบั เจา้ หนา้ ทีของรัฐบาลทีจะทาํ งานร่วมกนั . กรรมวิธีเปลียนแปลง (Movement) การพฒั นาสังคมจะตอ้ งทาํ ให้เกิดการเปลียนแปลง ใหไ้ ด้ และจะตอ้ งเปลยี นแปลงไปในทางทีดีขึน . แผนการดาํ เนินงาน (Planning) การพฒั นาสงั คมจะตอ้ งทาํ อยา่ งมแี ผน มีขนั ตอน สามารถ ตรวจสอบ และประเมนิ ผลได้
78 แนวเฉลยกจิ กรรมบทที ข้อ ขอ้ มลู คือ ขอ้ เทจ็ จริงของบุคคล สตั ว์ สิงของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทีเกิดขึน ซึงอาจเป็น ขอ้ ความ ตวั เลข หรือภาพกไ็ ด้ ข้อ ขอ้ มลู มีความสาํ คญั ดงั นี ความสําคญั ของข้อมูลต่อตนเอง 1. ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถดาํ รงชีวิตอย่รู อดปลอดภยั มนุษยร์ ู้จกั นาํ ขอ้ มลู มาใชใ้ นการ ดาํ รงชีวิตแต่โบราณแลว้ มนุษยร์ ู้จกั สงั เกตสิงต่าง ๆ ทีอยรู่ อบตวั เช่น สงั เกตว่าดิน อากาศ ฤดูกาลใดที เหมาะสมกบั การปลูกพืชผกั ชนิดกินได้ พืชชนิดใดใชเ้ ป็ นยารักษาโรคได้ สะสมเป็ นองค์ความรู้แลว้ ถ่ายทอดสืบต่อกนั มา ขอ้ มลู ต่าง ๆ ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถนาํ ทรัพยากรธรรมชาติมาใชเ้ ป็ นอาหาร สิงของ เครืองใช้ ทีอยอู่ าศยั และยารักษาโรคเพือการดาํ รงชีพได้ 2. ช่วยใหเ้ รามคี วามรู้ความเขา้ ใจเรืองราวต่าง ๆ ทีเกิดขึนรอบตวั เช่น เรืองร่างกาย จิตใจ ความตอ้ งการ พฤติกรรมของตนเอง และผอู้ นื ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถปรับตวั เอง ใหส้ ามารถอยรู่ ่วมกบั คน ในครอบครัวและสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสงบสุข 3. ทาํ ใหต้ นเองสามารถแกป้ ัญหาต่าง ๆ ทีเกิดขึนให้ผ่านพน้ ไปไดด้ ว้ ยดี การตดั สินใจต่อ การกระทาํ หรือไมก่ ระทาํ สิงใดทีไม่มขี อ้ มลู หรือมขี อ้ มลู ไมถ่ กู ตอ้ งอาจทาํ ใหเ้ กิดการผดิ พลาดเสียหายได้ ความสําคญั ของข้อมลู ต่อชุมชน/สังคม 1. ทาํ ใหเ้ กิดการศึกษาเรียนรู้ ซึงการศกึ ษาเป็นสิงจาํ เป็นต่อการพฒั นาชุมชน/สงั คมเป็ นอยา่ ง ยงิ ชุมชน /สงั คมใดทีมีผไู้ ดร้ ับการศกึ ษา การพฒั นาก็จะเขา้ ไปสู่ชุมชน/สงั คมนนั ไดง้ ่ายและรวดเร็ว 2. ขอ้ มูลต่าง ๆ ทีสะสมเป็ นองค์ความรู้นัน สามารถรักษาไวแ้ ละถ่ายทอดความรู้ไปสู่ คนรุ่นต่อ ๆ ไปในชุมชน/สงั คม ทาํ ใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจ วฒั นธรรมของชุมชน/สังคม ตนเอง และ ต่างสงั คมไดก้ ่อใหเ้ กิดการอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งสงบสุข . ช่วยเสริมสร้างความรู้ ความสามารถใหม่ ๆ ในด้านต่าง ๆ ทังทางด้านเทคโนโลยี การศึกษา เศรษฐศาสตร์ การคมนาคม การเกษตร การพาณิชย์ ฯลฯ ทีเป็ นพืนฐานต่อการพฒั นา ชุมชน/สงั คม ข้อ ประโยชนข์ องขอ้ มลู . เพอื การเรียนรู้ . เพือการศึกษาคน้ ควา้ . เพือใชเ้ ป็นแนวทางในการพฒั นา . เพือใชใ้ นการนาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข . เพอื ใชเ้ ป็นหลกั ฐานสาํ คญั ต่าง ๆ
79 . เพือการสือสาร . เพอื การตดั สินใจ แนวเฉลยกิจกรรมบทที 1. ถา้ ครูตอ้ งการศกึ ษาพฤติกรรมการทาํ งานกล่มุ ของนกั ศกึ ษา ครูควรจะเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยวิธีสงั เกตจึงจะเห็นพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มของนกั ศกึ ษา . คะแนนเฉลยี ของหมวดวชิ าภาษาไทย ของนกั ศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา หาไดด้ งั นี = 33 36 25 29 34 28 37 = 222 = 31.71 77 . การประกอบอาชีพของคนในชุมชน อาชีพ จาํ นวน เลยี งไก่ คน เลยี งววั คน ทาํ ไร่ขา้ วโพด คน ทาํ สวนผลไม้ คน 121 รวมทงั หมด
80 แนวเฉลยกิจกรรมบทที ข้อ 1 ตวั อยา่ ง การเตรียมประเดน็ การจดั ทาํ เวทีประชาคมโดยใชต้ าราง ประเด็น ประเด็นย่อย ข้อมูลทตี ้องการสือในประชาคม ความคิดเห็นของ ประชาชนเรืองการให้ - ความพอใจในบริการ - เพือใหป้ ระชาชน/ผเู้ กียวขอ้ งแสดง บริการหอ้ งสมุด ประชาชนอาํ เภอ...... - ความตอ้ งการใหเ้ กิด ความรู้สึก/ความคิดเห็นเหมอื นเป็น การปรับปรุงบริการ เจา้ ของบริการ - การมสี ่วนร่วมของประชาชน - ในฐานะเจา้ ของบริการสามารถบอกได้ ในการปรับปรุงบริการ วา่ ตอ้ งการบริการแบบใด - ในฐานะเจา้ ของบริการ เป็นหนา้ ที และทีตอ้ งการร่วมมอื กนั ในการ สนบั สนุนใหเ้ กิดการจดั บริการตาม ทีตอ้ งการ ข้อ 2 ขอ้ ดีของการจดั สนทนากลมุ่ มี 10 ขอ้ ดงั นี . ผเู้ ก็บขอ้ มลู เป็นผไู้ ดร้ ับการฝึกอบรมเป็นอยา่ งดี . เป็นการนงั สนทนาระหวา่ งนกั วจิ ยั กบั ผรู้ ู้ผใู้ หข้ อ้ มลู หลายคนทีเป็นกลุ่ม จึงก่อใหเ้ กิด การเสวนาในเรืองทีสนใจ ไม่มกี ารปิ ดบงั คาํ ตอบทีไดจ้ ากการถกประเดน็ ซึงกนั และกนั ถือวา่ เป็น การกลนั กรองซึงแนวความคิดและเหตุผล โดยไมม่ กี ารตีประเดน็ ปัญหาผดิ ไปเป็นอยา่ งอืน . การสนทนากลุม่ เป็นการสร้างบรรยากาศเสวนาใหเ้ ป็นกนั เองระหวา่ งผนู้ าํ การสนทนา ของกลมุ่ กบั สมาชิกกล่มุ สนทนาหลาย ๆ คนพร้อมกนั จึงลดสภาวการณ์เขินอายออกไปทาํ ใหส้ มาชิก กลุ่มกลา้ คุยกลา้ แสดงความคิดเห็น . การใชว้ ธิ ีการสนทนากลุ่ม ไดข้ อ้ มลู ละเอยี ดและสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ อง การศกึ ษาไดส้ าํ เร็จหรือไดด้ ียงิ ขึน . คาํ ตอบจากการสนทนากลมุ่ มีลกั ษณะเป็นคาํ ตอบเชิงเหตุผลคลา้ ย ๆ กบั การรวบรวม ขอ้ มลู แบบคุณภาพ . ประหยดั เวลาและงบประมาณของนกั วิจยั ในการศึกษา . ทาํ ใหไ้ ดร้ ายละเอยี ด สามารถตอบคาํ ถามประเภททาํ ไมและอยา่ งไรไดอ้ ยา่ งแตกฉาน ลกึ ซึงและในประเดน็ หรือเรืองทีไมไ่ ดค้ ิดหรือเตรียมไวก้ ่อนกไ็ ด้
81 . เป็นการเผชิญหนา้ กนั ในลกั ษณะกลุ่มมากกวา่ การสมั ภาษณ์ตวั ต่อตวั ทาํ ใหม้ ปี ฏกิ ิริยา โตต้ อบกนั ได้ . การสนทนากลมุ่ จะช่วยบ่งชีอิทธิพลของวฒั นธรรมและคุณค่าต่าง ๆ ของสงั คมนนั ได้ เนืองจากสมาชิกของกลุ่มมาจากวฒั นธรรมเดียวกนั . สภาพของการสนทนากล่มุ ช่วยใหเ้ กดิ และไดข้ อ้ มลู ทเี ป็นจริง ข้อ 3 ประโยชนข์ องการสมั มนามี 8 ขอ้ ดงั นี . ผจู้ ดั หรือผเู้ รียนสามารถดาํ เนินการจดั สมั มนาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ . ผเู้ ขา้ ร่วมสมั มนาไดร้ ับความรู้ แนวคิดจากการเขา้ ร่วมสมั มนา . ช่วยทาํ ใหร้ ะบบและวธิ ีการทาํ งานมปี ระสิทธิภาพสูงขึน . ช่วยแบ่งเบาภาระการปฏิบตั ิงานของผบู้ งั คบั บญั ชา . เป็นการพฒั นาและส่งเสริมความกา้ วหนา้ ของผปู้ ฏบิ ตั ิงาน . เกิดความริเริมสร้างสรรค์ . สามารถสร้างความเขา้ ใจอนั ดีต่อเพอื นร่วมงาน . สามารถร่วมกนั แกป้ ัญหาในการทาํ งานได้ และฝึกการเป็นผนู้ าํ ข้อ 4 การสาํ รวจประชามติมี 7 ประเภท ดงั นี การสาํ รวจประชามติทางดา้ นการเมอื ง ส่วนมากจะรู้จกั กนั ในนามของ Public Opinion Polls หรือการทาํ โพล ซึงมีทีรู้จกั กนั อยา่ งแพร่หลาย คือ การทาํ โพลการเลือกตงั (Election Polls) แบ่งได้ ดงั นี 1. Benchmark Survey เป็นการทาํ การสาํ รวจเพือตอ้ งการทราบความเห็นของประชาชนเกียวกบั การรับรู้เรืองราว ผลงานของผสู้ มคั ร ชือผสู้ มคั ร และคะแนนเสียงเปรียบเทียบ 2. Trial Heat Survey เป็นการหยงั เสียงวา่ ประชาชนจะเลือกใคร 3. Tracking Poll การถามเพือดแู นวโนม้ การเปลยี นแปลง ส่วนมากจะทาํ ตอนใกลเ้ ลอื กตงั 4. Cross-sectional vs. Panel เป็นการทาํ โพล ณ เวลาใดเวลาหนึง หลาย ๆ ครัง เพือทาํ ให้เห็นว่า ภาพผสู้ มคั รในแต่ละห้วงเวลามีคะแนนความนิยมเป็ นอย่างไร แต่ไม่ทราบรูปแบบการเปลียนแปลงที เกิดขึนในตวั คน ๆ เดียว จึงตอ้ งทาํ Panel Survey 5. Focus Groups ไมใ่ ช่ Poll แต่เป็นการไดข้ อ้ มลู ทีค่อนขา้ งน่าเชือถือไดเ้ พราะจะเจาะถามเฉพาะ กล่มุ ทีรู้และใหค้ วามสาํ คญั กบั เรืองนีจริงจงั ปัจจุบนั นิยมเชิญผเู้ ชียวชาญหลาย ๆ ดา้ นมาใหค้ วามเห็นหรือ บางครังกเ็ ชิญตวั กลุ่มตวั อยา่ งมาถามโดยตรงเลย การทาํ ประชุมกล่มุ ยอ่ ยยงั สามารถใชใ้ นการถามเพือดูว่า ทิศทางของคาํ ถามทีควรถามควรเป็นเช่นไรดว้ ย
82 6. Deliberative Opinion รวมเอาการสาํ รวจทวั ไป กบั การทาํ การประชุมกลุ่มยอ่ ยเขา้ ดว้ ยกนั โดยการนาํ เอาตวั แทนประชาชนมารวมกนั แลว้ ใหข้ อ้ มูลข่าวสารหรือโอกาสในการอภิปรายประเด็น ปัญหา แลว้ สาํ รวจความเห็นในประเดน็ ปัญหาเพอื วดั ประเดน็ ทีประชาชนคิด 7. Exit Polls การสมั ภาษณ์ผใู้ ชส้ ิทธิออกเสียงเมอื เขาออกจากคหู าเลือกตงั เพอื ดูว่าเขาลงคะแนน ใหใ้ คร ปัจจุบนั ในสงั คมไทยนิยมมาก เพราะมคี วามน่าเชือถอื มากกว่า Poll ประเภทอนื ๆ ข้อ 5 ลกั ษณะของรายงานทีดีมี 12 ขอ้ ดงั นี . ปกสวยเรียบ . กระดาษทีใชม้ คี ุณภาพดี มขี นาดถกู ตอ้ ง . มหี มายเลขแสดงหนา้ . มสี ารบญั หรือมหี วั ขอ้ เรือง . มบี ทสรุปยอ่ . การเวน้ ระยะในรายงานมีความเหมาะสม . ไม่พมิ พข์ อ้ ความใหแ้ น่นจนดูลานตาไปหมด . ไมม่ ีการแก้ ขดู ลบ . พิมพอ์ ยา่ งสะอาดและดเู รียบร้อย . มีผงั หรือภาพประกอบตามความเหมาะสม . ควรมกี ารสรุปใหเ้ หลือเพียงสนั ๆ แลว้ นาํ มาแนบประกอบรายงาน . จดั รูปเลม่ สวยงาม ข้อ 6 ภาพ ทอมสั เจฟเฟอร์สนั (THOMAS JEFFERSON) ทอมสั เจฟเฟอร์สัน เป็ นประธานาธิบดีแห่ง สหรัฐอเมริกา คนที 3 (ดาํ รงตาํ แหน่งระหว่างวนั ที 4 มีนาคม ค.ศ. 1801 – 4 มีนาคม ค.ศ. 1809) และผปู้ ระพนั ธ์ “คาํ ประกาศอิสรภาพ” (Declaration of Independence) เขา เป็ นประธานาธิบดีคนแรกทีเป็ นหัวหน้าพรรคการเมือง และใชอ้ าํ นาจผา่ นพรรคการเมอื งในการควบคุมรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา และเป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดี
83 สหรัฐอเมริกาทีรูปใบหนา้ ไดร้ ับการสลกั ไวท้ ีอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหนา้ ของเขาปรากฏบนธนบตั รราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐและเหรียญนิกเกิล 5 เซนต์ ข้อ 7 ภาพสลกั ใบหนา้ ทอมสั เจฟเฟอร์สนั (THOMAS JEFFERSON) ทีอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานตร์ ัชมอร์ (Mount Rushmore) ตวั อย่าง ลกั ษณะของโครงงานทีมผี ้เู ขยี นไว้ ดงั นี ลดั ดา ภู่เกียรติ ( ) โครงงานนับว่าเป็ น กระบวนการเรียนรู้อยา่ งหนึงทีเนน้ การสร้างความรู้ดว้ ย ตนเองของผเู้ รียนโดยการบูรณาการสาระความรู้ต่าง ๆ ทีอยากรู้ใหเ้ ออื ต่อกนั หรือร่วมกนั สร้างเสริมความคิด ความเข้าใจ ความตระหนัก ทังด้านสาระและคุณค่า ต่าง ๆ ใหก้ บั ผเู้ รียน โดยอาศยั ทกั ษะทางปัญญาหลาย ๆ ดา้ น ทงั ทีเป็ นทกั ษะขนั พืนฐานในการแสวงหา ความรู้และทกั ษะขนั สูงทีจาํ เป็นในการคิดอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละมวี จิ ารณญาณ สุวทิ ย์ – อรทยั มลู คาํ ( ) โครงงานเป็นกระบวนการทตี รงกบั หลกั การเรียนรู้อยา่ งมี ประสิทธิภาพทีวา่ “การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพยงิ ขึนเมอื ผเู้ รียน” - รู้ว่าตอ้ งทาํ อะไร - เขา้ ใจว่าทาํ ไมตอ้ งกระทาํ สิงนนั - รู้วา่ เมอื ไรจะถกู ประเมินและดว้ ยวธิ ีใด - ไดม้ ีโอกาสเขา้ ถึงสือทีสามารถเขา้ ใจได้ - มีโอกาสในการพฒั นาทกั ษะ - ไดร้ ับการสนบั สนุนทีเหมาะสมจากครู เพือน และผเู้ กียวขอ้ ง - ไดท้ าํ งานตามจงั หวะเวลาทีเหมาะสมกบั ตนเอง - สนใจในสิงทีกาํ ลงั ทาํ - ไดท้ าํ กิจกรรมอยา่ งหลากหลาย - ไดม้ โี อกาสทบทวนความกา้ วหนา้ ของตนเอง - มีความเป็นเจา้ ของสิงทีกาํ ลงั ทาํ
84 สุวิทย์ – อรทยั มลู คาํ ( ) การจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกระบวนการเรียนรู้ทีเปิ ด โอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ และลงมือปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถ ของตนเอง ซึงอาศยั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรื อกระบวนการอืน ๆ ทีเป็ นระบบไปใช้ใน การศึกษาหาคาํ ตอบในเรืองนนั ๆ กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน ( ) การทาํ โครงงานของนกั ศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนนนั มี วตั ถุประสงค์เพือใหน้ ักศึกษาได้นาํ องค์ความรู้จากหมวดวิชาทีลงทะเบียนเรียนไปศึกษาเพิมเติมโดย ผลิตผลงานทีเป็นการบรู ณาการองคค์ วามรู้ตามหมวดวิชาทีลงทะเบียนเรียนกบั การนาํ ไปประยุกต์ใชใ้ น ชีวิตประจาํ วนั จากการปฏิบตั ิจริงในเรืองทีสอดคลอ้ งกบั ความสนใจความตอ้ งการของตนเองรวมทัง สามารถสร้างและสรุปองคค์ วามรู้ทีไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ สุรพล เอยี มอทู่ รัพย์ ( ) การสอนแบบโครงงานยงั เนน้ ใหผ้ เู้ รียนมคี วามคิดทีตอ้ งการจะ คน้ หาคาํ ตอบทีตอ้ งการรู้หรือคิดแกป้ ัญหาต่าง ๆ โดยการทาํ งานกลุ่มอยา่ งมีระบบขนั ตอน สามารถคิด สร้างสรรค์ในเรืองต่าง ๆ ทีเป็ นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ การสอนแบบโครงงานหรือการให้ ผเู้ รียนจดั ทาํ โครงงานตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ดงั นี 1. มคี วามคิดและแสดงออกอยา่ งอสิ ระสามารถคิดเป็น ทาํ เป็น และแกป้ ัญหาได้ . มีความคิดสร้างสรรค์ จากการศึกษาคน้ ควา้ การคิดวิเคราะห์ คิดสงั เคราะห์ การวินิจฉยั การสรุปผลประเมินค่า คิดแยกแยะ . มีความคิดในการเสาะแสวงหาความรู้หรือแหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ ไดต้ ามความสนใจ และความชอบของตนเอง . รู้จกั การทาํ งานเป็นทีม เป็นกลุ่มใหค้ วามสนใจต่อเพอื นร่วมงาน เรียนรูก้ ารอยรู่ ่วมกนั อยา่ งเป็นประชาธิปไตย รู้จกั การช่วยเหลือซึงกนั และกนั และการใหอ้ ภยั ต่อกนั . การฝึกปฏิบตั ิงานและการเรียนรู้จากการปฏบิ ตั ิงานจริงทีเห็นในชีวติ ประจาํ วนั และ สามารถนาํ ความรู้และประสบการณ์ทีไดจ้ ากการฝึกปฏิบตั ิไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ . ฝึกการควบคุมอารมณ์และจิตใจของตนเอง เพือการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมี ความสุข ข้อ 8 การพฒั นาตนเอง จากการมสี ่วนร่วมในการทาํ งาน/กจิ กรรม ดงั นี การทาํ งานเป็ นกลุ่มเป็ นทีมทาํ ให้ผูเ้ รี ยนได้มีการแลกเปลียนเรี ยนรู้ซึงกนั และกัน ได้ฝึ ก การประเมนิ ตนเอง รู้จกั ตนเอง เห็นคุณค่าของตนเองและยอมรับผอู้ นื เกิดการเขา้ ใจอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดของผอู้ ืนและการควบคุมตนเอง เป็ นการช่วยพฒั นาความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ หรือระดับ สติปัญญาทางอารมณ์ (Emotional Quotient) หรือความสามารถในการตระหนกั ถึงความรู้สึกของตนเอง
85 (การมีสติ) และผอู้ ืน พร้อมทงั สามารถบริหารหรือจดั การอารมณ์ของตนได้ เช่น การฝึกควบคุมอารมณ์ ของตนเองทําให้เป็ นคนมีวินัยในตนเองและตรงต่ อเวลาและสามารถสร้ างสัมพันธภาพ (การมีมนุษยสัมพนั ธ์) กบั ผอู้ ืนไดเ้ ป็ นอย่างดี รู้จกั กระตุ้นและจูงใจตนเอง ทาํ ให้เกิดความพยายาม มมุ านะ ในการทาํ งานจนประสบความสาํ เร็จในชีวิต นอกจากนียงั เป็ นการพฒั นาระดบั สติปัญญาทาง ศีลธรรมหรือระดบั ความไม่เห็นแก่ตวั (Moral Quotient) ให้กบั ผเู้ รียนโดยไม่รู้ตวั อีกดว้ ย (ลดั ดา ภู่ เกียรติ. : 28-29) แนวเฉลยกิจกรรมบทที ข้อ ผนู้ าํ ชุมชน หมายถงึ บุคคลทีมคี วามสามารถในการชกั จูงใหค้ นอืนทาํ งานในส่วนต่าง ๆ ทีตอ้ งการ ใหบ้ รรลุเป้ าหมายและวตั ถุประสงคท์ ีตงั ไว้ ซึงผนู้ าํ ชุมชนอาจเป็นบุคคลทีมาจากการเลอื กตงั หรือ แต่งตงั หรือการยกยอ่ งขึนมาของสมาชิก เพือใหท้ าํ หนา้ ทีเป็นผชู้ ีแนะและช่วยเหลือใหก้ ารจดั ทาํ และขบั เคลอื นแผนพฒั นาชุมชน ประสบความสาํ เร็จ หนา้ ทีผนู้ าํ ชุมชน มดี งั นี 1. สร้างความสามคั คีใหเ้ กดิ ขึนในชุมชน 2. กระตุน้ ใหส้ มาชิกทาํ สิงทีเป็นประโยชนต์ ่อชุมชน 3. พฒั นาสมาชิกใหเ้ กิดภาวะผนู้ าํ 4. ร่วมกบั สมาชกิ กาํ หนดเป้ าหมายของชุมชน 5. บริหารงาน ประสานงานในชุมชน 6. ใหค้ าํ แนะนาํ ชีแนวทางใหก้ บั ชุมชน 7. บาํ รุงขวญั สมาชกิ ในชุมชน 8. เป็นตวั แทนชุมชนในการตดิ ต่อประสานงานกบั หน่วยงานอืน ๆ 9. รับผดิ ชอบต่อผลการกระทาํ ของชุมชน ข้อ การเป็นสมาชิกทีดีหรือผตู้ ามทดี ี ควรมีลกั ษณะดงั นี เป็นผมู้ ีความสามารถในการบริหาร จดั การตนเองไดด้ ี มีความผกู พนั ต่อชุมชนต่อวตั ถปุ ระสงคข์ องงาน ทาํ งานเตม็ ศกั ยภาพ และ สุดความสามารถ และมคี วามกลา้ หาญ ซือสตั ย์ และน่าเชือถือ
86 บรรณานุกรม ภาษาไทย กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน. การวเิ คราะห์นโยบายกรมการศึกษานอกโรงเรียน ประจาํ ปี งบประมาณ 2540-2545. กรุงเทพฯ : รังสีการพมิ พ,์ 2546. กรมการศึกษานอกโรงเรียน. ความหมายของคาํ เกยี วกบั แผนงาน โครงการ. กรุงเทพฯ: ศนู ยเ์ ทคโนโลยที างการศกึ ษา, 2545. กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน. เอกสารการอบรมการวางแผนการศึกษานอกโรงเรียน. กรุงเทพฯ : ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2540. กรรณิกา ทิตาราม. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู . เขา้ ถึงไดจ้ าก http://guru.sanook.com/search/ knowledge_search.php ( 22/7/2552) กระบวนการจดั ทาํ แผนชุมชน. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.iad.dopa.go.th.subject/cplan/ process-cplan.ppt (25/2/2554) กระบวนการวางแผน เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.pitajarn.lpru.ac.th/-chitlada/WEB page/om/3pdf. (8/8/2552) กลั ยา วานิชยบ์ ญั ชา. สถิตสิ ําหรับงานวจิ ยั . พิมพค์ รังที 2. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2549. การประเมนิ ประสิทธภิ าพของภาวะผ้นู าํ . เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.nrru.ac.th/article/ leadership/page1.5.html (16/8/2009) การพฒั นาสังคม. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http:// www.phetchaburi.m-society.go.th/p.htm.(5/9/2552) การพฒั นาสังคมโดยการมสี ่วนร่วม. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://dnfe.5.nfe.go.th/lip/soc2/8031-2_4.htm. (25/8/2552.) การมสี ่วนร่วม. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki (25/8/2552) การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาตจิ งั หวดั ภูเกต็ . เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.oknation.net/blog/singh/2009/08/18/entry. (8/8/2552) การวางแผน. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.cado.mnre.go.th. (8/08/2552) การเสริมสร้างภาวะผ้นู าํ ชุมชน. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.uinthai.com/index. php?lay= show&ac=article&Id=538667754&Ntype=119 (14/8/2009) เกรียงศกั ดิ เขียวยงิ . การบริหารทรัพยากรมนษุ ย์และบุคคล. ขอนแก่น : ภาควิชาสงั คมศาสตร์ คณะมนุษย์ ศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ , 2539. ข้อมลู ด้านภูมศิ าสตร์และการปกครอง. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.spb3.obec.go.th_ geo.htm (18/8/2552)
87 ขันตอนการดาํ เนนิ การจดั ทําแผนหม่บู ้าน/ชุมชน (เครืองมอื การเรียนรู้ของชุมชนท้องถนิ ). เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.pattanalocal.com/n/52/13.pdf (18/ 3/2554) คณะกรรมการส่งเสริมสวสั ดิการสงั คมแห่งชาติ. แผนพฒั นาสวสั ดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ แห่งชาติ ฉบบั ที 4 (พ.ศ. 2545-2549) (อดั สาํ เนา) คนเกบ็ ขยะ (การมสี ่วนร่วมของประชาชน) เขา้ ถึงไดจ้ ากhttp://gotoknow.org/blog/rubbish/ . ( // ) คลงั ปัญญาไทย. การนําเสนอข้อมูล. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.panyathai.or.th (1/7/2552) ความรู้พนื ฐานการพฒั นาชุมชน. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://royalprojects.kku.ac.th/king/files/ (29/8/2552) ความหมาย “แผนแม่บทชุมชนพงึ ตนเอง”. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.thailocaladmin.90.th/ workle_book/eb3/5p8_1.pdf (5/4/2554) ความหมายของผ้นู าํ . เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.nrru.ac.th/article/leadership/page1.1.html (16/8/2009) ความหมายของแผนชุมชน. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.thailocaladmin.go.th (5/4/2554) ความหมายแผนงาน. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.3.cdd.go.th/phichit/b03.html (5/4/2554) จิตติ มงคลชยั อรัญญา. แนวทางการพฒั นาสังคม (ทเี หมาะสม) เขา้ ถึงไดจ้ าก http:// socadmin.tu.ac.th/kanabady (5/9/2552) จิตราภา กุณฑลบุตร. การจดั ระบบข้อมลู และสารสนเทศทางการศึกษา. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.chittrapa.net/index.php?option=com_content&task=view&id=35&Itemid=mid =36 (10/7/2552) เฉลิมขวญั สตรี, โรงเรียน. หน้าทีพลเมอื งและวฒั นธรรมไทย. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://nucha.chs.ac.th/1.1htm (18/8/2552) ชาญชยั อาจินสมาจาร. พฒั นาตนเองสู่ความเป็ นผ้บู ริหาร. กรุงเทพฯ : พิมพท์ อง, ม.ป.ป. ชูเกียรติ ลสี ุวรรณ์. การวางแผนและบริหารโครงการ. จิตวฒั นาการพิมพ,์ 2545. ธงชยั สนั ติวงษ.์ หลกั การจดั การ. กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, 2540. ธนู อนญั ญพร. กระบวนการพฒั นาชุมชน., 2549 (อดั สาํ เนา) นเรศวร, มหาวิทยาลยั . ภาควชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม. โครงการเครือข่ายเฝ้ าระวงั ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อม ล่มุ นําวงั ทอง. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://conf.agi.nu.ac.th/nrs-new/wangtong/hist.php. (7/7/2552) แนวคดิ ผ้นู ํายคุ ใหม่. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://sa.sa.ku.ac.th/index.php?option=com_content& task=view&id=75&Itemid=107 (16/8/2552)
88 แนวคดิ และความเข้าใจเกยี วกบั การพฒั นาสังคมไทย. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://dnfe5.nfe.go.th/ ilp/so02/so20_5.html (1/7/2552) แนวทางการพัฒนาคุณภาพแผนชุ มชน. เข้าถึงได้จาก http://Kaewpany.rmutl.ac.th/2552/ attachments/1475_ dev-plan.pdf (25/2/2554) บทความอาหารสมองเรือง : การสนทนากล่มุ (Focus Group Discussion). เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.vijai.org/articles data/show topic.asp?Topicid=98(30/1/2549) บทบาท หน้าที และลกั ษณะผ้นู าํ ชุมชนทดี ี. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.uinthai.com/index. php?lay=show&ac=article&Id=538667753&Ntype=119 (14/8/2009) ปราชญา กลา้ ผจญั และพอตา บุตรสุทธิวงศ.์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์. กรุงเทพฯ : ธนะการพิมพ,์ 2550. ปราณี รามสูตร และจาํ รัส ดว้ งสุวรรณ. พฤตกิ รรมมนุษย์กบั การพฒั นาตน. พิมพค์ รังที 3 กรุงเทพมหานคร :ธนะการพมิ พ,์ 2545. ปองทิพย์ เทพอารีย.์ การศึกษาการพฒั นาตนเองของครูในโรงเรียนอนุบาลเอกชน กรุงเทพ มหานคร. สารนิพนธ์ กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ, 2551. แผนการทาํ งานและการมสี ่วนร่วมโดยการแก้ปัญหาเอดส์ในชุมชน เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.phayaocitil.net/joomla/index.php?. (26/8/2552) แผนชุมชนประจาํ ปี พ.ศ. 2553. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://payakhan.go.th/document/ 1298599706.doc (8/4/2554) พรชยั ธรณธรรม. สารานุกรมไทยฉบบั เยาวชน. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.guru.sanook. com/search/knowledge_search.php?q...1 (15/7/2552) พฒั น์ บุณยรัตพนั ธุ.์ ปรัชญาพฒั นาชุมชน. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://royalprojects.kku.ac.th/king/ files/(29/8/2552) พฒั นาชุมชนจงั หวดั มหาสารคาม, สาํ นกั งาน. เอกสารประกอบการประชุม การประชุมเชิง ปฏิบตั กิ ารภาคพี เี ลยี งระดับตาํ บลและแกนนาํ ระดับตาํ บล เพอื เพมิ ประสิทธิภาพแผนชุมชน. มหาสารคาม : สาํ นกั งานพฒั นาชุมชนจงั หวดั มหาสารคาม, 2550. (อดั สาํ เนา) ไพโรจน์ ชลารักษ.์ ทักษะการจดั การความรู้. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://lib.kru.ac.th/eBook/ / doc - . html (10/7/2552) ไพโรจน์ ทิพมาตร์. หลกั การจดั การ. นนทบุรี : ไทยร่มเกลา้ , 2548.
89 ไพศาล ไกรสิทธิ. เอกสารคาํ สอนรายวชิ าการพฒั นาตน. ราชบุรี : คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั หมบู่ า้ น จอมบึง, 2541. มลู นิธิเครือข่ายครอบครัว. ตวั ตนของหนู...ต้องช่วยส่งเสริม. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www. familynetwork.or.th/node/15673 (15/7/2552) ยนื ภู่วรรณ. การนําเสนอข้อมลู . เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.school.net.th/library/snet2/ knowledge_math/pre_dat.htm (22 /7/2552) ยวุ ฒั น์ วฒุ ิเมธี. ปรัชญาของการพฒั นาชุมชน. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://royalprojects.kku.ac. th/king/files/(29/8/2552) ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525. พมิ พค์ รังที 6. กรุงเทพฯ : อกั ษรเจริญทศั น,์ 2539. ราชภฏั เทพสตรี, มหาวทิ ยาลยั . การรู้สารสนเทศ. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://human.tru.ac.th/elearning/tec_ban/tinfo01/info06.html ราชภฏั นครศรีธรรมราช, มหาวทิ ยาลยั . เทคโนโลยกี ารศึกษา. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.nrru.ac.th/preeteam/rungrot/page13004asp (1/7/2552) ลกั ษณะภาวะผ้นู าํ . เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.nrru.ac.th/article/leadership/page1.4.html (16/8/2009) วรัชยา ศิริวฒั น์. ลกั ษณะผตู้ ามทีมีประสิทธิผลกบั แนวทางการพฒั นาผตู้ ามในยคุ ปฏริ ูประบบราชการ. วารสารพฒั นาชุมชน. (กุมภาพนั ธ์ 2547) : 27-34. วราภรณ์ นกั พิณพาทย.์ ความคดิ เหน็ ของข้าราชการมหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒทมี ตี ่อการพฒั นา บุคลากรของมหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม., 2545. (อดั สาํ เนา) วเิ ลขา ลสี ุวรรณ์. ศูนย์การเรยี นชุมชน : ชุมชนเข้มแขง็ สู่สังคมแห่งการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : บริษทั สุวติ า เอน็ เตอร์ไพรส์ จาํ กดั , 2550. ศศิธร พรมสงฆ.์ Web site เพอื การเรียนการสอนรายวชิ าสถิตวิ เิ คราะห์. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://student.nu.ac.th/429/12.htm (10/7/2552) ศิริพงษ์ ศรีชยั รมยร์ ัตน.์ ผ้นู ําทีดคี วรมคี ณุ สมบัตอิ ย่างไร. เขา้ ถึงไดจ้ ากhttp://www.sombatlegal. com/index.php?lay=show&ac=article&Id=421796 (25/8/2552) ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกโรงเรียนภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ. ค่มู อื การอบรมกระบวนการวางแผนแบบมสี ่วน ร่วม. อุดรธานี : ศิริธรรมออฟเซท็ , 2542.
90 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกโรงเรียนภาคใต.้ รายงานการวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วมในการพฒั นากระบวนการ จดั ทาํ แผนชุมชนตามโครงการบูรณาการแผนชุมชนเพอื ความเข้มแขง็ ของชุมชนและ เอาชนะความยากจนในภาคใต้. สงขลา, 2547. (อดั สาํ เนา) สถาบนั การศึกษาและพฒั นาต่อเนืองสิรินธร. เอกสารประกอบการฝึ กอบรมกล่มุ ข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา. นครราชสีมา : มิตรภาพการพิมพ,์ 2551. สนธยา พลศรี. ทฤษฎีและหลกั การพฒั นาชุมชน. พิมพค์ รงั ที 4 กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2545. สมจิตร เกิดปรางค์ และนุตประวณี ์ เลศิ กาญจนวตั . การสัมมนา. กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พส์ ่งเสริมวชิ าการ , 2545. สญั ญา สญั ญาววิ ฒั น.์ การพฒั นาชุมชน. พิมพค์ รังที 2. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2525. สญั ญา สญั ญาววิ ฒั น.์ การพฒั นาชุมชนหลกั การและวธิ ีปฏิบตั .ิ กรุงเทพฯ : แพร่พทิ ยา, 2515. สญั ญา สญั ญาวิวฒั น.์ ทฤษฎีและกลยุทธ์การพฒั นาสังคม. พิมพค์ รังที 2. กรุงเทพฯ : สาํ นกั พิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2540. สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) สาํ นกั งานภาค. การสนทนากล่มุ (Focus Group Discussion). เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.vijai.org/Tool vijai/12/02.asp (30/1/2549) สาํ นกั งานสถิติแห่งชาติ. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู . เขา้ ถึงไดจ้ าก http://service.nso.go.th/ nso/knowledge/estat/esta1_6.html (22 /7/2552) สาํ นกั บริหารงานการศกึ ษานอกโรงเรียน. คาํ ชีแจงการจดั ทาํ แผนปฏบิ ัตกิ ารประจาํ ปี งบประมาณ 2551. (อดั สาํ เนา) สุโขทยั ธรรมาธิราช, มหาวิทยาลยั . บณั ฑิตศกึ ษา สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์. ประมวลสาระชุดวชิ าบริบท ทางการบริหารการศึกษา หน่วยที 11-15 กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั , 2546. สุพล พลธีระ. การประชุม. สารเทคนิคการแพทย์จุฬาฯ 4, 2533. สุวิมล ติรกานนั ท.์ การประเมนิ โครงการ : แนวทางสู่การปฏิบตั .ิ กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, 2544. หน่วยที 5 การเขียนรายงาน เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.tice.ac.th/Online/Online2- 2549/bussiness/.../n5.htm (17/7/2552) อรพนิ ท์ สพโชคชยั . การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาระบบราชการ. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.plan.ru.ac.th/newweb/opdc/data/participatory.pdf. (28/8/2552) ภาษาองั กฤษ
91 Administrator. การสนทนากล่มุ แบบเรียน -learning. ภาควชิ าพฒั นาชุมชน คณะสงั คมสงเคราะห์ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ : กรุงเทพฯ, 2547. IT Destination Tech Archive [00005]. ความหมายของข้อมูล. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.itdestination.com/resources/tech/showtech.php?00005 (1/7/2552) Judith Sharken Simon. How to Conduct a Focus Group. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.tgci.com/magazine/99fall/focus1.asp (30/1/2549) Noina koku GEO. ความหมายของข้อมลู สารสนเทศ สารสนเทศภูมศิ าสตร์ ฐานข้อมลู . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.noinazung-06blogspot.com 2009/06geographic-information-system-gis.html (10/7/2552) UNESCO / APPEAL. HandBook : Non-formal Adult Education Facilitator, Module 4 Participatory Learning. Bangkok, 2001. UNESCO / APPEAL. Monitoring and Evaluation of literacy and continuing education programmes. Bangkok, 1999.
92 ทปี รึกษา คณะผ้จู ดั ทาํ 1. นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. รองเลขาธิการ กศน. 2. ดร.ชยั ยศ อมิ สุวรรณ์ รองเลขาธิการ กศน. ทีปรึกษาดา้ นการพฒั นาหลกั สูตร กศน. 3. นายวชั รินทร์ จาํ ปี ผอู้ าํ นวยการกล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน 4. ดร.ทองอยู่ แกว้ ไทรฮะ กลุม่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน ศนู ยเ์ ทคโนโลยที างการศกึ ษา 5. นางรักขณา ตณั ฑวุฑโฒ กลุม่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน ผ้เู ขียนและเรียบเรียง ศนู ยเ์ ทคโนโลยที างการศกึ ษา กลมุ่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน . นางกนกพรรณ สุวรรณพทิ กั ษ์ ขา้ ราชการบาํ นาญ ขา้ ราชการบาํ นาญ . นางชนิดา ดียงิ ขา้ ราชการบาํ นาญ ขา้ ราชการบาํ นาญ ผ้บู รรณาธกิ าร และพฒั นาปรับปรุง ขา้ ราชการบาํ นาญ ขา้ ราชการบาํ นาญ . นางกนกพรรณ สุวรรณพิทกั ษ์ กล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน . นางชนิดา ดียงิ กลุ่มพฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน กลุม่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน . นางสาววรรณพร ปัทมานนท์ กลุม่ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน กลุ่มพฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน . นายววิ ฒั นไ์ ชย จนั ทน์สุคนธ์ กล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน . นางสาวสุรีพร เจริญนิช กลมุ่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน . นางพิชญาภา ปิ ติวรา . นางธญั ญวดี เหลา่ พาณิชย์ . นางเออื จิตร สมจิตตช์ อบ . นางสาวชนิตา จิตตธ์ รรม คณะทํางาน . นายสุรพงษ์ มนั มะโน . นายศภุ โชค ศรีรัตนศิลป์ . นางสาววรรณพร ปัทมานนท์ 4. นางสาวศริญญา กุลประดิษฐ์ . นางสาวเพชรินทร์ เหลอื งจิตวฒั นา ผ้พู มิ พ์ต้นฉบบั นางสาววรรณพร ปัทมานนท์ ผ้อู อกแบบปก นายศุภโชค ศรีรัตนศลิ ป์
93 ขอ้ มลู กช
Search