การจดั การ (Management) หมายถงึ กระบวนการในการเขา้ ถงึ ความรแู้ ละการ ถา่ ยทอดความรทู้ ต่ี อ้ ง ดาเนนิ การรว่ มกนั กบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ซง่ึ อาจเรมิ่ ตน้ จากการบง่ ชค้ี วามรทู้ ่ี ตอ้ งการใช้ การสรา้ งและแสวงหาความรู้ การประมวลเพอ่ื กลนั่ กรองความรู้ การจดั การ ความรใู้ หเ้ ป็นระบบ การสรา้ งชอ่ งทางเพอ่ื การสอ่ื สารกบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง การแลกเปลย่ี นความรู้ การจดั การสมยั ใหมใ่ ชก้ ระบวนการทางปัญญาเป็นสงิ่ สาคญั ในการคดิ ตดั สนิ ใจ และสง่ ผล ใหเ้ กดิ การกระทา การจดั การจงึ เน้นไปทก่ี ารปฏบิ ตั ิ ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ ความรทู้ ค่ี วบคกู่ บั การปฏบิ ตั ิ ซง่ึ ในการปฏบิ ตั จิ าเป็น ตอ้ งใชค้ วามรทู้ ่ี หลากหลายสาขาวชิ ามาเชอ่ื มโยงบรู ณาการเพอ่ื การคดิ และตดั สนิ ใจ และ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ จุดกาเนิดของความรคู้ อื สมองของคน เป็นความรทู้ ฝ่ี ังลกึ อยใู่ นสมอง ชแ้ี จงออก มาเป็นถอ้ ยคาหรอื ตวั อกั ษรไดย้ าก ความรนู้ นั้ เมอ่ื นาไปใช้ จะไมห่ มดไป แตจ่ ะยงิ่ เกดิ ความรู้ เพมิ่ พนู มากขน้ึ อยใู่ นสมองของผปู้ ฏบิ ตั ิ ในยุคแรก ๆ มองว่า ความรู้ หรอื ทนุ ทางปัญญา มาจากการจดั ระบบและการ ตคี วามสารสนเทศ ซง่ึ สารสนเทศกม็ าจากการประมวลขอ้ มลู ขนั้ ของการ เรยี นรู้ เปรยี บดงั ปิระมดิ ตามรปู แบบน้ี
ความรแู้ บ่งไดเ้ ป็ น 2 ประเภท คือ 1. ความรเู้ ดน่ ชดั (Explicit Knowledge) เป็นความรทู้ เ่ี ป็นเอกสาร ตารา คู่มอื ปฏบิ ตั งิ าน สอ่ื ตา่ ง ๆ กฎเกณฑ์ กตกิ า ขอ้ ตกลง ตารางการทางาน บนั ทกึ จากการทางาน ความรู้ เดน่ ชดั จงึ มชี อ่ื เรยี กอกี อยา่ งหน่ึงวา่ “ความรใู้ นกระดาษ” 2. ความรซู้ อ่ นเรน้ /ความรฝู้ ังลกึ (Tacit Knowledge) เป็นความรทู้ แ่ี ฝงอยใู่ นตวั คน พฒั นาเป็นภมู ปิ ัญญา ฝังอยใู่ นความคดิ ความเชอ่ื คา่ นิยม ทค่ี นไดม้ าจากประสบ การณ์สงั่ สมมา นาน หรอื เป็นพรสวรรคอ์ นั เป็นความสามารถพเิ ศษเฉพาะตวั ทม่ี มี าแตก่ าเนิด หรอื เรยี กอกี อยา่ ง หน่ึงวา่ “ความรใู้ นคน” แลกเปลย่ี นความรกู้ นั ไดย้ าก ไมส่ ามารถแลก เปลย่ี นมาเป็นความรทู้ ่ี เปิดเผยไดท้ งั้ หมด ตอ้ งเกดิ จากการเรยี นรรู้ ว่ มกนั ผา่ นการเป็นชุมชน เชน่ การสงั เกต การ แลกเปลย่ี นเรยี นรรู้ ะหวา่ งการทางาน หากเปรยี บความรเู้ หมอื นภเู ขาน้าแขง็ จะมลี กั ษณะดงั น้ี
หากเปรยี บความรเู้ หมอื นภเู ขาน้าแขง็ จะมลี กั ษณะดงั น้ี
ความรู้ 2 ยคุ ความรยู้ คุ ท่ี 1 เน้นความรใู้ นกระดาษ เน้นความรขู้ องคนสว่ นน้อย ความรทู้ ส่ี รา้ ง ขน้ึ โดยนกั วชิ าการทม่ี คี วามชานาญเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น เรามกั เรยี กคนเหลา่ นนั้ วา่ “ผมู้ ปี ัญญา” ซง่ึ เช่อื วา่ คนสว่ นใหญไ่ มม่ คี วามรู้ ไมม่ ปี ัญญา ไมส่ นใจทจ่ี ะใชค้ วามรขู้ องคนเหล่านนั้ โลกทศั น์ในยคุ ท่ี 1 เป็นโลกทศั น์ทค่ี บั แคบ ความรยู้ คุ ท่ี 2 เป็นความรใู้ นคน หรอื อยใู่ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคน เป็นการคน้ พบ “ภมู ปิ ัญญา” ทอ่ี ยใู่ นตวั คน ทุกคนมคี วามรเู้ พราะทุกคนทางาน ทกุ คนมสี มั พนั ธก์ บั ผอู้ ่นื จงึ ยอ่ มมี ความรทู้ ฝ่ี ังลกึ ในตวั คนทเ่ี กดิ จากการทางาน และการมคี วามสมั พนั ธก์ นั นนั้ เรยี กวา่ “ความรอู้ นั เกดิ จากประสบการณ์” ซง่ึ ความรยู้ คุ ท่ี 2 น้ี มคี ณุ ประโยชน์ 2 ประการ คอื ประการแรก ทาใหเ้ รา เคารพซง่ึ กนั และกนั วา่ ตา่ งกม็ คี วามรู้ ประการท่ี 2 ทาใหห้ น่วยงาน หรอื องคก์ รทม่ี คี วามเชอ่ื เชน่ น้ี สามารถใชศ้ กั ยภาพแฝงของทุกคนในองคก์ รมาสรา้ งผลงาน สรา้ งนวตั กรรมใหก้ บั องคก์ ร ทาให้ องคก์ รมกี ารพฒั นามากขน้ึ
การจดั การความรู้ การจดั การความรู้ (Knowledge Management) หมายถงึ การจดั การกบั ความรู้ และประสบการณ์ทม่ี อี ยใู่ นตวั คน และความรเู้ ดน่ ชดั นามาแบ่งปันใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อตนเอง และองคก์ ร ดว้ ยการผสมผสานความสามารถของคนเขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งเหมาะสม มเี ป้าหมาย เพอ่ื การพฒั นางาน พฒั นาคน และพฒั นา องคก์ รใหเ้ ป็นองคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ ในปัจจุบนั และในอนาคต โลกจะปรบั ตวั เขา้ สกู่ ารเป็นสงั คมแห่งการ เรยี นรู้ ซง่ึ ความ รกู้ ลายเป็นปัจจยั สาคญั ในการพฒั นาคน ทาใหค้ นจาเป็นตอ้ ง สามารถแสวงหาความรู้ พฒั นา และสรา้ งองคค์ วามรอู้ ยา่ งต่อเน่ือง เพอ่ื นาพา ตนเองสคู่ วามสาเรจ็ และนาพาประเทศชาตไิ ป สกู่ ารพฒั นา มคี วามเจรญิ กา้ วหน้า และสามารถแขง่ ขนั กบั ต่างประเทศได้
ความสาคญั ของการจดั การความรู้ หวั ใจของการจดั การความรคู้ อื การจดั การความรทู้ ม่ี อี ยใู่ นตวั บุคคล โดยเฉพาะ บุคคลทม่ี ปี ระสบการณ์ในการ ปฏบิ ตั งิ านจนงานประสบผลสาเรจ็ กระบวนการแลกเปลย่ี น เรยี นรรู้ ะหวา่ งคนกบั คน หรอื กลุ่มกบั กลุ่ม จะก่อใหเ้ กดิ การ ยกระดบั ความรทู้ ส่ี ง่ ผลตอ่ เป้า หมายของการทางาน นนั่ คอื เกดิ การพฒั นาประสทิ ธภิ าพของงาน คนเกดิ การพฒั นา และ สง่ ผลตอ่ เน่อื งไปถงึ องคก์ ร เป็นองคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั การจดั การความรู้ จงึ ถอื ว่ามคี วามสาคญั ตอ่ การพฒั นา บุคลากรในองคก์ ร ซง่ึ ประโยชน์ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ต่อบคุ คล กลุม่ หรอื องคก์ ร มอี ยา่ งน้อย 3 ประการ คอื 1. ผลสมั ฤทธขิ์ องงาน หากมกี ารจดั การความรใู้ นตนเอง หรอื ในหน่วยงาน องคก์ ร จะเกดิ ผลสาเรจ็ ทร่ี วดเรว็ ยงิ่ ขน้ึ เน่อื งจากความรเู้ พอ่ื ใชใ้ นการพฒั นางานนนั้ เป็นความรทู้ ไ่ี ด้ จากผทู้ ผ่ี า่ นการปฏบิ ตั โิ ดยตรง จงึ สามารถนามาใชใ้ นการ พฒั นางานไดท้ นั ที และเกดิ นวตั กรรมใหมใ่ นการทางาน ทงั้ ผลงานทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหม่ และวฒั นธรรมการทางานรว่ มกนั ของ คน ในองคก์ รทม่ี คี วามเออ้ื อาทรตอ่ กนั 2. บคุ ลากร การจดั การความรใู้ นตนเองจะสง่ ผลใหค้ นในองคก์ รเกดิ การพฒั นา ตนเอง และสง่ ผลรวมถงึ องคก์ ร กระบวนการเรยี นรจู้ ากการแลกเปลย่ี นความรรู้ ว่ มกนั จะทาใหบ้ คุ ลากรเกดิ ความมนั่ ใจในตนเอง เกดิ ความเป็นชุมชนในหมู่ เพอ่ื นรว่ มงาน บคุ ลากร เป็นบุคคลเรยี นรแู้ ละสง่ ผลใหอ้ งคก์ รเป็นองคก์ รแหง่ การเรยี นรอู้ กี ดว้ ย 3. ยกระดบั ความรขู้ องบคุ ลากรและองคก์ ร การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ จะทาให้ บุคลากรมคี วามรเู้ พม่ิ ขน้ึ จากเดมิ เหน็ แนวทางในการพฒั นางานทช่ี ดั เจนมากขน้ึ และเมอ่ื นาไปปฏบิ ตั จิ ะทาใหบ้ คุ คลและองคก์ รมอี งคค์ วามรเู้ พอ่ื ใชใ้ นการ ปฏบิ ตั งิ านในเรอ่ื งทส่ี ามารถ นาไปปฏบิ ตั ไิ ด้ มอี งคค์ วามรทู้ จ่ี าเป็นต่อการใชง้ าน และจดั ระบบให้อยใู่ นสภาพพรอ้ มใช้
หลกั การของการจดั การความรู้ การจดั การความรู้ ไมม่ สี ตู รสาเรจ็ ในวธิ กี ารของการจดั การเพอ่ื ใหบ้ รรลุเป้าหมาย ในเรอ่ื งใดเรอ่ื ง หน่งึ แตข่ น้ึ อยกู่ บั ปณธิ านความมงุ่ มนั่ ทจ่ี ะทางานของตน หรอื กจิ กรรมของกลุ่มตนใหด้ ขี น้ึ กวา่ เดมิ แลว้ ใชว้ ธิ กี ารจดั การความรเู้ ป็นเครอ่ื งมอื หน่ึงในการพฒั นางานหรอื สรา้ งนวตั กรรมใน งาน มหี ลกั การสาคญั 4 ประการ ดงั น้ี 1. ใหค้ นหลากหลายทศั นะ หลากหลายวถิ ชี วี ติ ทางานรว่ มกนั อยา่ งสรา้ งสรรค์ การจดั การความรู้ ทม่ี พี ลงั ตอ้ งทาโดยคนทม่ี พี น้ื ฐานแตกต่างกนั มคี วามเชอ่ื หรอื วธิ คี ดิ แตกต่างกนั (แตม่ จี ดุ รวม พลงั คอื มเี ป้าหมายอยทู่ ง่ี านดว้ ยกนั ) ถา้ กลมุ่ ทด่ี าเนินการจดั การความรปู้ ระกอบดว้ ยคนทค่ี ดิ เหมอื น ๆ กนั การจดั การความรจู้ ะไมม่ พี ลงั ในการจดั การความรู้ ความแตกต่างหลากหลาย มี คณุ คา่ มากกวา่ ความเหมอื น
หลกั การของการจดั การความรู้ (ต่อ) 2. รว่ มกนั พฒั นาวธิ กี ารทางานในรปู แบบใหม่ ๆ เพอ่ื บรรลปุ ระสทิ ธภิ าพและ ประสทิ ธผิ ลท่ี กาหนดไว้ ประสทิ ธผิ ลประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 4 ประการ คอื 2.1 การตอบสนองความตอ้ งการ ซง่ึ อาจเป็นความตอ้ งการของตนเอง ผรู้ บั บรกิ าร ความ ตอ้ งการของสงั คม หรอื ความตอ้ งการทก่ี าหนดโดยผนู้ า องคก์ ร 2.2 นวตั กรรม ซง่ึ อาจเป็โนนวตั กรรมดา้ นผลติ ภณั ฑใ์ หม่ ๆ หรอื วธิ กี ารใหม่ ๆ ก็ได้ 2.3 ขดี ความสามารถของบคุ คล และขององคก์ ร 2.4 ประสทิ ธภิ าพในการทางาน
หลกั การของการจดั การความรู้ (ต่อ) 3. ทดลองและการเรยี นรู้ เน่อื งจากกจิ กรรมการจดั การความรู้ เป็นกจิ กรรมท่ี สรา้ งสรรค์ จงึ ตอ้ งทดลองทาเพยี ง น้อย ๆ ซง่ึ ถา้ ลม้ เหลวกก็ อ่ ผลเสยี หายไมม่ ากนกั ถา้ ไดผ้ ล ไมด่ กี ย็ กเลกิ ความคดิ นนั้ ถา้ ไดผ้ ลดจี งึ ขยายการทดลองคอื ปฏบิ ตั มิ ากขน้ึ จนในทส่ี ุดขยาย เป็นวธิ ที างานแบบใหม่ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ไดว้ ธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ ่สี ง่ ผลเป็นเลศิ (best practice) ใหม่ นนั่ เอง 4. นาเขา้ ความรจู้ ากภายนอกอยา่ งเหมาะสม โดยตอ้ งถอื วา่ ความรจู้ ากภายนอก ยงั เป็นความรทู้ ่ี “ดบิ ” อยู่ ตอ้ ง เอามาทาให้ “สุก” ใหพ้ รอ้ มใชต้ ามสภาพของเรา โดยการ เตมิ ความรทู้ ม่ี ตี ามสภาพของเราลงไป จงึ จะเกดิ ความรทู้ ่ี เหมาะสมกบั ทเ่ี ราตอ้ งการใช้ หลกั การของการจดั การความรู้ จงึ มงุ่ เน้นไปทก่ี ารจดั การทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ เพราะ การจดั การความรเู้ ป็นเครอ่ื งมอื ระดม ความรใู้ นคน และความรใู้ นกระดาษทงั้ ทเ่ี ป็นความรู้ จากภายนอก และความรขู้ องกลุ่มผรู้ ว่ มงาน เอามาใชแ้ ละยกระดบั ความรขู้ องบคุ คล ของ ผรู้ ว่ มงานและขององคก์ ร ทาใหง้ านมคี ุณภาพสงู ขน้ึ คนเป็นบคุ คลเรยี นรแู้ ละองคก์ รเป็น องคก์ ร แหง่ การเรยี นรู้ การจดั การความรจู้ งึ เป็นทกั ษะสบิ สว่ น เป็นความรเู้ ชงิ ทฤษฎเี พยี ง สว่ นเดยี ว การจดั การความรจู้ งึ อยใู่ น ลกั ษณะ “ไมท่ า-ไมร่ ”ู้
กระบวนการในการจดั การความรู้ การจดั การความรนู้ นั้ มหี ลายรปู แบบ หรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ “โมเดล” มหี ลากหลาย โมเดล หวั ใจ ของการจดั การความรคู้ อื การจดั การความรทู้ อ่ี ยใู่ นตวั คน ในฐานะผปู้ ฏบิ ตั ิ และเป็นผมู้ คี วามรู้ การ จดั การความรทู้ ท่ี าใหค้ นเคารพในศกั ดศิ ์ รขี องคนอ่นื การจดั การ ความรนู้ อกจากการจดั การความรใู้ น ตนเองเพอ่ื ใหเ้ กดิ การพฒั นางานและพฒั นาตนเองแลว้ ยงั มองรวมถงึ การจดั การความรใู้ นกลุ่มหรอื องคก์ รดว้ ยรปู แบบ การจดั การความรจู้ งึ อยบู่ น พน้ื ฐานของความเช่อื ทว่ี า่ ทกุ คนมคี วามรู้ ปฏบิ ตั ใิ น ระดบั ความชานาญทต่ี า่ งกนั เคารพ ความรทู้ อ่ี ยใู่ นตวั คน ดร.ประพนธ์ ผาสกุ ยดึ ไดค้ ดิ คน้ รปู แบบการจดั การความรไู้ ว้ 2 แบบ คอื รปู แบบ ปลาทหู รอื ท่ี เรยี กวา่ “โมเดลปลาท”ู และรปู แบบปลาตะเพยี น หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “โมเดลปลา ตะเพยี น” แสดงใหเ้ หน็ ถงึ รปู แบบการจดั การความรใู้ นภาพรวมของการจดั การ ทค่ี รอบคลุม ทงั้ ความรทู้ ช่ี ดั แจง้ และความรทู้ ฝ่ี ัง ลกึ ดงั น้ี
โมเดลปลาทู
ตวั อย่างการจดั การความร้เู รื่อง “พฒั นากล่มุ วิสาหกิจชมุ ชน” ในรปู แบบปลาทู
โมเดลปลาตะเพียน
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: