คำนำ วธิ ีปฏิบตั ทิ ีเ่ ปน็ เลศิ (Best Practice) ดำ้ นกำรจดั กำรเรยี นรู้ เปน็ รูปแบบที่ใชก้ ำรจดั กำรเรยี น กำรสอนทโ่ี รงรยี นเซนต์ปอลหนองคำยได้สนบั สนนุ ให้ครูผูส้ อนมีกำรพฒั นำเทคนคิ กำรสอนเพือ่ นำไปสผู่ ลลัพธ์ ทีด่ ตี อ่ ผู้เรียน ซ่งึ กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนโดยใช้เทคนิคภาพมหัศจรรย์สรา้ งสรรค์สูค่ วามเป็นเลิศดว้ ยแนวคิด Visual Thinking เป็นกำรบูรณำกำรในกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยใช้ภำพและกำรจัดเรยี งควำมสำคญั ของ เน้อื หำวชิ ำมำปรับใช้ เพื่อให้ผูเ้ รยี นไดม้ ที ักษะในกำรคดิ รเิ ร่ิม สร้ำงสรรค์ คิดอยำ่ งมเี หตุผล เป็นระบบและคดิ วิเครำะห์เพ่ือแกป้ ญั หำในสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ ในชีวิตประจำวนั ผจู้ ดั ทำหวงั เป็นอย่ำงย่ิงวำ่ วิธีปฏิบัตทิ ่เี ปน็ เลศิ ด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิคภาพ มหศั จรรย์สรา้ งสรรค์สู่ความเป็นเลิศด้วยแนวคิด Visual Thinking จะเปน็ ประโยชนแ์ ละเป็นแบบอย่ำงให้กบั บุคลำกรครูในกำรพฒั นำกำรจดั กำรเรียนกำรสอนทกุ ระดับชั้นต่อไป ผจู้ ัดทำ นำงสำวภูชดิ ำมำศ รำชชมภู
สำรบญั เร่อื ง หนำ้ คำนำ ชอ่ื ผลงำน ๑ ควำมสำคญั ของนวตั กรรม ๑ กระบวนการพัฒนานวัตกรรม ๒ ผลท่เี กดิ ขน้ึ จากการดาเนินงานตามนวตั กรรม ๕ ภำคผนวก ๑๐
รายงานนวตั กรรม/วธิ ีการปฏิบตั ทิ ีเ่ ปน็ เลศิ (Best Practices) ภายใตโ้ ครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมการศึกษาเพ่อื พัฒนาการศกึ ษา สานกั งานศึกษาธิการจังหวัดหนองคาย ประจาปงี บประมาณ พ.ศ.2565 ชอื่ ผลงาน (Best Practice) ภาพมหัศจรรยส์ ร้างสรรคส์ ู่ความเป็นเลศิ ด้วยแนวคดิ Visual Thinking ตาแหน่ง ครผู สู้ อน โรงเรียน เซนต์ปอลหนองคาย สังกดั สำนกั งำนคณะกรรมกำรส่งเสรมิ กำรศกึ ษำเอกชน เบอรโ์ ทร 095-189-4763 ประเภท การบริหารจดั การของสถานศกึ ษา การจดั การเรียนรู้ ระดบั ○ ปฐมวยั ประถมศกึ ษา ○ มธั ยมศึกษา การนเิ ทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผล ๑. ความสาคัญของนวตั กรรม 1.1 ความเปน็ มาและสภาพของปญั หา การวางแผนจดั การเรยี นรู้สาหรับครผู ู้สอนแลว้ ย่อมมคี วามสาคญั ตอ่ การจัดการเรยี นการสอนเป็นอยา่ ง ยิง่ เพราะนอกจากจะชว่ ยลาดับสถานการณ์ท่ผี ้สู อนดาเนนิ การแล้ว ยงั ช่วยให้การเรียนการสอนเปน็ ไปได้อย่าง มปี ระสิทธิภาพ ปัจจุบนั ในรายวชิ าตา่ งๆ มักจะประสบปัญหาในการเรียนการสอน เกิดจากการเปล่ยี นแปลงของ สภาพสังคม และไม่ว่าจะเปน็ รายวชิ าใดก็ย่อมประสบปัญหาเช่นเดยี วกนั 1.2 แนวทางการแก้ไขปัญหาและหรอื การพฒั นา ปจั จบุ ันการเรยี นการสอนจะต้องมุ่งเนน้ ใหผ้ ้เู รยี นเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ ดว้ ยตนเอง จนกระทง่ั เกิดเปน็ ความเขา้ ใจเพื่อนาไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ การถ่ายทอดเนื้อหาวชิ าไปสู่ ผูเ้ รียน จะตอ้ งทาให้ผู้เรยี นเข้าถึงเน้ือหาทผี่ ู้สอนตอ้ งการถ่ายทอด ผ่านส่ือการสอนที่ผสานใหก้ ารจดั การเรยี น การสอนเปน็ ไปได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ เกดิ เปน็ เทคนคิ การเรยี นการสอนท่นี าแนวคดิ Visual Thinking คอื การ เรียนรู้จากการเห็นภาพทางานร่วมกบั สมอง ที่เกดิ เปน็ กลไกลาดบั ความสาคญั เปน็ ภาพอย่างชัดเจน ยกตวั อยา่ งตามสถานการณ์เช่น เมือ่ เรานึกถึงสิ่งต่างๆ เราจะมองเหน็ เปน็ ภาพส่งิ นัน้ มากกวา่ ท่จี ะเข้าใจ เปน็ ตวั อกั ษร หากเป็นเน้ือหารายวชิ าท่ีตอ้ งจดจา ผู้เรียนมักจะเสียเวลากบั การท่องจามากเกินไป แตห่ ากผเู้ รยี น สามารถยกภาพหรือสัญลักษณ์มาทดแทนเน้ือหาทเ่ี ปน็ ตวั อักษรได้ จะช่วยย่นระยะเวลาในการทาความเขา้ ใจได้ เช่น การทดสอบระดบั ชาติในรายวิชาภาษาองั กฤษ(O-NET) จะมีการนาภาพสัญลักษณ์, ภาพสาคัญจาก เทศกาลต่างๆ หรอื ป้ายจราจร เพือ่ นามาทดสอบความรู้ความเขา้ ใจของผู้เรยี น
(ภาพ 2.1.1 อา้ งองิ จากขอ้ สอบ O-NET ระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 ปี 2563) (ภาพ 2.1.2 อา้ งอิงจากขอ้ สอบ O-NET ระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ปี 2564) จากภาพตวั อย่างน้ันเป็นสงิ่ ที่ผู้เรียนสามารถพบเห็นได้ในชีวติ ประจาวัน เช่น การ์ดทีผ่ ู้คนมักจะส่งมอบ ใหแ้ กก่ นั ตามเทศกาล(ภาพ 2.1.1) แมว้ า่ จะไม่ใช้คาท่ีบ่งบอกวา่ เป็นการด์ ทีส่ ่งมอบให้ในเทศกาลคริสต์มาส แต่ ในภาพก็ส่ือถงึ พวงมาลัยครสิ ต์มาสทผี่ ู้คนมักจะนามาประดับตกแต่งตามประตูบา้ นเมื่อเทศกาลนม้ี าถึง หรอื สญั ลักษณ์อักษรตวั P ทีห่ มายถงึ สถานทสี่ าหรับจอดรถยนต์(ภาพ 2.1.2) เปน็ ต้น ซ่ึงผ้เู รียนจะตอ้ งเข้าใจในสถานการณแ์ ละความเป็นมาของภาพ เมือ่ นามาผสานกับกระบวนการเรียน การสอนในรายวชิ าภาษาอังกฤษแลว้ ผูเ้ รยี นย่อมเกดิ เป็นความจาที่เข้าใจจากภาพและสามารถเชื่อมโยงกบั ความรู้ได้ 1.3 ประโยชนแ์ ละความสาคัญ กอ่ นที่ผเู้ รยี นจะสรา้ งองคค์ วามรู้ด้วยตนเองได้ ผเู้ รียนจะต้องพบเห็นภาพในชวี ิตประจาวนั มาบา้ งแลว้ ผสานกบั การเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาองั กฤษหรอื เน้ือหารายวชิ าอนื่ ๆในชัน้ เรียน เม่ือความรู้ท่ีผู้สอนถา่ ยทอดให้แก่ ผู้เรียนสามารถแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจาวนั ของผเู้ รียนได้ จึงจะบอกได้วา่ การจดั การเรียนการสอนนั้นมี ประสทิ ธผิ ลตอ่ ผเู้ รียนอย่างสงู สดุ 2. กระบวนการพัฒนานวตั กรรม 2.1 วัตถุประสงค์และเปา้ หมายการพัฒนา การนาเทคนิคการสอนโดยใช้ภาพมหศั จรรยส์ ร้างสรรคส์ คู่ วามเปน็ เลิศด้วยแนวคิด Visual Thinking มาใชน้ น้ั มีวตั ถุประสงคด์ งั ต่อไปน้ี 1. เพอื่ ให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรจู้ ากภาพนาไปสู่ความเขา้ ใจทีป่ ระยุกตใ์ ชใ้ น ชีวติ ประจาวันได้ 2. เพ่อื พฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นและผลการทดสอบระดับชาติ(O-NET) 3. เพื่อให้ผเู้ รยี นจบั ประเด็นสาคญั ของเน้ือหาวิชาได้ง่ายขึ้น 4. เพ่ือพฒั นาการจดั การเรียนการสอนให้เขา้ กบั สภาพแวดล้อมและสังคมในปัจจุบัน
2.2 หลักการ ทฤษฎี แนวคดิ ในการพัฒนา แนวคิด Visual Thinking หรอื กระบวนกำรคิดเปน็ ภำพเป็นสิ่งท่มี ีมำนำนแลว้ ยกตวั อยำ่ งเชน่ กำร คน้ พบภำพเขียนสีโบรำณสมยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตร์ อำยรุ ำว ๓,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปี ทอี่ ุทยำนแหง่ ชำตผิ ำแต้ม จงั หวัดอุบลรำชธำนี ซึ่งเปน็ ภำพเขยี นสีที่ส่อื ถงึ ภำพสัตว์ เครือ่ งมือเครื่องใช้ สัญลกั ษณ์และคน นัน่ จงึ หมำยควำมว่ำกำรส่ือควำมน้ันไม่ไดม้ แี ต่กำรถ่ำยทอดเปน็ ลำยลักษณ์อักษร แต่ภำพทมี่ ีอำยรุ ำว ๓,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปี ก็สำมำรถส่ือควำมใหค้ นในยุคปัจจบุ นั เข้ำใจได้ ศำสตร์ของกำรจดั ระเบียบควำมคิดเปน็ ภำพ เพ่ือเพ่ิมศกั ยภำพในกำรคดิ และสื่อสำรจำกภำยใน ควำมคิดสผู่ ้รู บั สำร นับว่ำเป็นเทคนคิ ท่ีสำมำรถชว่ ยให้กำรจัดกำรเรียนกำรสอนในเน้ือหำท่มี ีควำมซบั ซ้อน ถ่ำยทอดให้ผู้เรยี นเขำ้ ใจงำ่ ย ชดั เจน รวมถึงสำมำรถดำเนนิ กจิ กรรมไปในทิศทำงเดียวกันได้ กระบวนกำรคดิ เป็นภำพน้ี ถือเป็นกำรเรียนร้ผู ่ำนส่ือทไี่ มเ่ ปน็ ลำยลกั ษณ์อักษร ซึ่งจะช่วยให้ผ้เู รยี นทุก ประเภทสำมำรถเขำ้ ใจในเนอ้ื หำรำยวิชำ รวมถงึ จัดระบบทำงควำมคดิ ได้อย่ำงงำ่ ยดำย อีกทัง้ ยงั ชว่ ยลดเวลำใน กำรจดั กำรเรยี นรู้อีกดว้ ย 2.3 การออกแบบและแนวทางการพฒั นา การจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนคิ Visual หมายถงึ การกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นเกดิ กระบวนการคดิ เปน็ ภาพ เพ่อื ใหง้ า่ ยต่อการจดั ระบบองค์ความรู้ เพราะกลไกของสมองนนั้ จะสามารถบนั ทึกเป็นภาพได้ดีกว่าเป็น ตวั อกั ษร ฉะนน้ั ไมว่ า่ จะเป็นเน้อื หาสาระใด ก็สามารถปรบั ใชเ้ ทคนิคนี้ได้ โดยเร่มิ จากกระบวนการตามแผนผงั ความคดิ ดังต่อไปน้ี
2.3 การนาไปใช้ เทคนคิ การสอนมีอยู่มากมายหลายอยา่ ง ไม่ไดม้ ีกฎเกณฑใ์ ดมากาหนดวา่ วิธใี ดคือวธิ ที ดี่ ีทส่ี ดุ แตข่ น้ึ อยู่ กับธรรมชาตขิ องรายวิชาน้ันๆ หากครผู ูส้ อนจะนาเทคนคิ การสอนรูปแบบใดมาใช้ก็จะต้องคานึงถงึ ประสทิ ธิภาพของการจัดการเรียนการสอนเป็นหลัก ผูเ้ รียนได้รบั อะไรจากการเรียนการสอนหรอื สามารถนาไป ปรับใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้หรือไม่? การใช้เทคนิคการสอนโดยใช้ภาพมหัศจรรยส์ ร้างสรรค์ส่คู วามเป็นเลิศด้วยแนวคิด Visual Thinking จะเนน้ การใชภ้ าพมาแทนองค์ความรู้ต่างๆ เพ่ือใหผ้ ้เู รียนมองเหน็ เปน็ ภาพและลาดับความสาคญั ของเนอ้ื หาน้นั ได้ ฉะนน้ั ผู้สอนจึงไม่ควรปดิ ก้นั จินตนาการของผเู้ รยี น ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้นาเสนอภาพจากความคดิ จนกระทัง่ นาเสนอออกมาได้ แมว้ ่าจะมีความแตกต่างแต่กเ็ ป็นสิ่งทพ่ี บได้ในชวี ติ ประจาวันอยแู่ ลว้ ตัวอยา่ งเชน่ หากเราใหน้ ักเรียนบันทกึ ขอ้ มูลเกีย่ วกบั วิธีการตอนกิง่ ของพืช ผู้เรียนกส็ ามารถศกึ ษาวิธีการปฏบิ ัติเปน็ ภาพได้ ซ่ึงจะชัดเจนกว่าการอ่านข้อมูลเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรเพยี งอย่างเดยี ว (ภาพ 2.3 อา้ งอิงจากเวบ็ ไซตท์ รปู ลกู ปัญญา https://www.trueplookpanya.com/) ความมหัศจรรย์ของเทคนคิ การสอนโดยใช้ภาพมหัศจรรยส์ ร้างสรรค์สู่ความเป็นเลศิ ด้วยแนวคดิ Visual Thinking ไมไ่ ดห้ มายถึงภาพทเ่ี หนือธรรมชาติใด แต่หากนาภาพทีผ่ ู้เรยี นพบเหน็ ได้ทวั่ ไปใน ชวี ิตประจาวนั มาปรับใชก้ ับการจดั การเรยี นการสอน จนกระท่ังส่งิ ท่ีดธู รรมดากลายเปน็ กุญแจสาคัญสูป่ ระตู แหง่ การเรียนรขู้ องผ้เู รยี นได้ 2.4 การประเมนิ และการปรับปรุง การประผลผลการดาเนินงาน สามารถทาได้หลายวธิ ี อาทเิ ช่น แบบประเมินการอา่ น, แบบประเมนิ การ นาเสนอ, แบบทดสอบ ก่อนเรยี น-ระหวา่ งเรียน-หลังเรยี น, ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน หรือ ผลการทดสอบ ระดับชาติของโรงเรียน เป็นต้น นาผลท่ไี ด้จากการประเมินอย่างหลากหลายดา้ นมาปรับปรุงแผนจัดการเรียนรู้ เพ่ือให้สอดคล้องกบั เน้ือหารายวชิ าและกระบวนการจัดการเรียนการสอนมากที่สดุ อาจสรา้ งแบบสารวจความพึงพอใจเพื่อ ตรวจสอบวา่ ผเู้ รียนสะทอ้ นความคดิ เหน็ ของตนเองเกี่ยวกบั การใช้เทคนิคการสอนน้มี ารว่ มกับการเรียนการ สอนในหอ้ งเรยี นอย่างไรบ้าง เพ่ือให้ไดผ้ ลลัพธ์ท่ีตรงตามจุดประสงค์
3. ผลท่เี กดิ ขนึ้ จากการดาเนนิ งานตามนวัตกรรม มกี ำรบริหำรและกำรจดั กิจกรรม 3.1 ผลท่ีเกิดขึ้นกับสถานศึกษาและผบู้ ริหาร 3.1.1 ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษา โรงเรยี นเซนต์ปอลหนองคำยเปน็ สถำนศึกษำขนำดกลำง กำรเรยี นกำรสอนในทุกด้ำน ผบู้ ริหำรโรงเรยี นไดส้ ่งเสริมและสนบั สนุนใหบ้ ุคลำกรครเู ขำ้ รับกำร อบรมและพัฒนำตนเองใหม้ ีแนวคิดใหม่ๆเพอื่ จดั สื่ออปุ กรณ์กำรเรียนท่ที นั ยุคสมยั ให้สอดคลอ้ งกับกำร จัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอน โดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ ผ้บู ริหำรโรงเรียนได้สง่ เสริมสนับสนนุ ให้บุคลำกรครู นำรปู แบบกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนแบบกำรมีส่วนรว่ ม โดยไม่ปิดกนั้ จินตนำกำรของผู้เรยี น เพรำะกำร จดั กำรเรยี นกำรสอนนน้ั จะต้องคำนึงถึงผลลพั ธท์ ่ีผู้เรียนจะสำมำรถนำไปในชีวติ ปะจำวนั ได้ รวมถงึ กำร จดั อำคำรสถำนทห่ี รือภูมิทัศน์แหลง่ กำรเรียนร้ทู งั้ ภำยในและภำยนอกโรงเรียน มำเป็นพลังในกำร ขบั เคล่อื นกำรดำเนนิ กำรจดั กำรเรียนกำรสอนของโรงเรียนเพอ่ื ใหบ้ รรลผุ ลสำเร็จตำมวิสยั ทัศน์ท่ีวำงไว้ นอกจำกน้ใี นกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนรู้ ครูผูส้ อนจะคำนึงถึงเน้ือหำในบทเรยี น เน่อื งจำกเน้ือหำกำรเรยี นในบทเรียนจะเป็นปจั จยั ที่ใชก้ ำหนดวธิ กี ำรจดั กำรเรยี นรู้ ตวั อย่ำงเชน่ กำรทำ แผนจดั กำรเรยี นรูใ้ นรำยวิชำสังคม นอกจำกจะต้องคำนึงถึงเนื้อหำแลว้ กจ็ ะต้องนำพำผู้เรยี นไปให้เทำ่ ทันต่อเหตุกำรณ์ของสังคมโลก รวมถึงแนะนำใหผ้ ้เู รยี นคน้ คว้ำหำควำมรูจ้ ำกสื่อเทคโนโลยีต่ำงๆ อยำ่ ง เหมำะสม 3.1.2 การดาเนนิ งาน การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้เทคนคิ ภาพมหศั จรรย์สรา้ งสรรค์สูค่ วามเป็นเลศิ ดว้ ยแนวคิด Visual Thinking มีแนวทางปฏบิ ตั ิที่งา่ ย และสามารถนาไปประยกุ ต์ ปรับใช้ไดท้ ุกรายวชิ า โดยเฉพาะ ผเู้ รียนในระดบั ประถมศกึ ษา ท่ีเปน็ วัยแห่งการเสริมสร้างจินตนาการควบคู่ไปกับความรู้ โดยครูผู้สอน สามารถดาเนินการตามวิธีการดงั ต่อไปนี้
3.1.3 การมเี ครอื ข่ายพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของสถานศึกษา โรงเรยี นเซนตป์ อลหนองคายมีการจัดการประชุมเพ่ือแลกเปล่ียนเทคนิคการสอนหรือการ ดาเนินการอ่นื ๆอยู่สม่าเสมอ เพื่อให้เกดิ การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ระหว่างครผู ูส้ อน นาไปสกู่ ารสรา้ ง เครอื ข่ายที่เข้มแข็ง กอ่ ให้เกดิ การแบ่งปนั วธิ กี ารสอนเพื่อปรับปรุงและพัฒนาตอ่ ไป โดยการใช้เทคนิคภาพมหัศจรรย์สร้างสรรคส์ ู่ความเปน็ เลศิ ด้วยแนวคิด Visual Thinking นัน้ ถกู นาไปสอดแทรกกับแผนการจดั การเรียนรู้ในทุกรายวชิ า ไมว่ า่ จะเป็นสื่อการสอนบัตรคา บัตรภาพ หรอื ใชส้ อื่ เทคโนโลยีอื่นๆ รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสริมสร้างจินตนาการโดยการสร้างสรรคภ์ าพ ขึ้นมาเอง สร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเองและถา่ ยทอดออกมาใหผ้ ู้เรียนคนอ่นื ไดเ้ ข้าใจไปในทิศทาง เดยี วกัน 3.1.4 การยอมรับทมี่ ีต่อสถานศกึ ษา กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนของโรงเรียนเซนต์ปอลหนองคำย โรงเรยี นไดต้ ระหนักและถอื เปน็ หนำ้ ทีท่ ต่ี ้องบรหิ ำรจัดกำรกำรศกึ ษำใหน้ ักเรียนให้มีคณุ ภำพตำมมำตรฐำนกำรศกึ ษำ โรงเรยี นจงึ มี แนวคิดท่ีวำ่ กำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน เพื่อนกั เรยี น จึงได้เปดิ โอกำสให้บคุ ลำกรครูทุกคนและผู้ มสี ว่ นเก่ยี วข้องไดร้ ่วมกำรจดั กำรเรียนกำรสอนได้เขำ้ มำมสี ่วนร่วมโดยกำรร่วมคดิ ร่วมตัดสินใจ ร่วมกันวำงแผน ร่วมกันทำงำน ร่วมกนั แก้ปัญหำ และ ร่วมกันพฒั นำโรงเรยี น โดยมีคณะครูเข้ำมำมี ส่วนรว่ มพฒั นำกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนกำรอย่ำงแทจ้ ริง ซ่ึงตลอดระยะเวลำที่ผำ่ นมำโรงเรียนได้มีกำรพัฒนำบุคลำกรครอู ยำ่ งต่อเน่ืองในทุกๆดำ้ น เช่น กำรส่งเสริมสนบั สนุนใหบ้ ุคลำกรครูได้รบั กำรพฒั นำกำรอบรม กำรศึกษำและดูงำนทงั้ หน่วยงำนของ ภำครฐั และเอกชนควบคกู่ บั กำรพัฒนำระบบกำรเรยี นกำรสอนโดยใช้สือ่ และเทคโนโลยที ี่ทนั สมยั มงุ่ เนน้ ใหค้ รูผสู้ อนมีทักษะกระบวนกำรเรียนกำรสอนโดยยึดผู้เรยี นเป็นสำคญั ควบคู่ด้วยกำรสง่ เสริม ควำมรดู้ ้ำนคุณธรรม จริยธรรม ระเบยี บวินยั มีมำรยำท ตำมวถิ ีวฒั นธรรมไทย มีควำมรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง และสงั คม จำกควำมมุ่งมั่นของบคุ ลำกรครูในกำรพัฒนำด้ำนกำรศกึ ษำ ส่งผลใหม้ จี ำนวน นักเรียนเพิ่มขนึ้ และเปน็ ท่ีไว้วำงใจของผ้ปู กครอง 3.2 ผลท่เี กิดขึ้นกับครูผู้สอน 3.2.1 การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ ๑. กำหนดจดุ ประสงค์และสำระสำคญั ของแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ เพ่อื ให้ทรำบถึง เปำ้ หมำยของกำรจัดกำรเรยี นกำรสอน และดำเนนิ ไปตำมแผนทว่ี ำงไว้ ๒. วเิ ครำะหจ์ ดุ ประสงค์ ส่ือและสภำพแวดล้อมทีเ่ กีย่ วข้อง รวมทั้งศกั ยภำพของ ผูเ้ รียนและผ้สู อน เพ่ือใหก้ ำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมเนอื้ หำสำระน้นั มคี วำม เหมำะสม ๓. ออกแบบกิจกรรมกำรเรยี นร้ใู ห้สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์ โดยสำมำรถหยบิ ยก เทคนคิ กำรจดั กำรเรียนกำรสอนท่หี ลำกหลำยมำใช้ได้
๔. ออกแบบปฏสิ มั พนั ธ์ในแตล่ ะกิจกรรมกำรเรียนรู้ โดยเลือกใชก้ ระบวนกำรกลุม่ ท่ี เหมำะสมกบั กิจกรรมนน้ั ๆ พร้อมทัง้ ใชก้ ำรประเมินผลท่หี ลำกหลำย ๕. เตรียมส่อื /อุปกรณ์ และแหลง่ กำรเรยี นรู้อน่ื ๆ เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกดิ ควำม กระตือรอื รน้ ในกำรเรียนรู้ ๖. ออกแบบกำรประเมนิ ผลและเคร่ืองมือวดั เพื่อตรวจสอบว่ำผูเ้ รียนเกิดกำรเรียนรู้ ตำมจุดประสงคห์ รือไม่ ๗. จดั กำรเรียนร้แู ละบนั ทึกผลกำรใช้แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ เพื่อนำไปต่อยอดในกำร พฒั นำและปรับปรุงแผนให้ดีย่ิงขนึ้ ๘. ปรับปรงุ และพฒั นำแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ 3.2.2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กำรจะจดั กจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอนให้บรรลตุ ำมวตั ถุประสงค์ เปำ้ หมำย และตัวช้ีวดั ตำมท่ีสถำนศึกษำกำหนดนน้ั ครูผู้สอนจำเป็นจะต้องศึกษำจำกข้อมูลหลำยประกำร เพ่ือนำมำ ชว่ ยเสริมสรำ้ งกำรเรียนรู้ของผู้เรียน กำรจดั กำรเรยี นรูไ้ มว่ ำ่ ระดับใดจะขน้ึ อยู่กับองค์ประกอบ 3 ประกำรดังตอ่ ไปนี้ ๑. ผเู้ รยี น ๒. บรรยำกำศทำงจติ วทิ ยำทเ่ี ออ้ื ต่อกำรเรยี นรู้ ๓. ปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่ำงผู้เรียนและบรรยำกำศทำงจิตวิทยำในชัน้ เรียน 3.2.3 การพฒั นาสื่อการเรียนรู้ ในกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรใู้ ห้ประสบผลสำเร็จนั้น ครผู ู้สอนจะต้องทำกำรวำง แผนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้พร้อม ๆ ไปกับกำรผลิตและกำรใชส้ อื่ กำรเรียนรู้ โดยคำนงึ ถงึ เนอ้ื หำวชิ ำ ควบคู่ไปกับกำรนำส่อื ท่ีจะทำใหผ้ เู้ รียนเกิดกำรเรยี นรู้ กระตุน้ ให้ผเู้ รยี นตืน่ ตัว และ สำมำรถเรยี นรไู้ ด้อยำ่ งเตม็ ควำมสำมำรถ ฉะนนั้ กำรผลิตสื่อใดๆกต็ ำมจึงตอ้ งใช้สอ่ื ท่ีเหมำะสม ในปัจจุบันผู้เรียนยังสำมำรถเลอื กใชส้ ่อื ท่หี ลำกหลำย ไม่ว่ำจะเปน็ กำรคน้ คว้ำดว้ ยตนเองจำก อนิ เตอร์เน็ต ซง่ึ หนำ้ ท่ีของครูผู้สอนกค็ ือแนะนำให้ผู้เรียนค้นคว้ำและเลอื กใช้ส่ือทเี่ หมำะสม 3.2.4 การวัดและการประเมินผล ๑. กำรประเมินผลกสนเรียนรู้สำมำรถทำไดโ้ ดยผ่ำนผู้เชย่ี วชำญด้ำนต่ำง ๆ ไดแ้ ก่ ดำ้ น เนอื้ หำ ดำ้ นกำรออกแบบกำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ด้ำนสอื่ และด้ำนประเมนิ ผล ๒. ประเมินบริบทกำรใช้ เพื่อหำบริบททเี่ หมำะสมในกำรจัดกำรเรียนรู้อย่ำงมี ประสิทธภิ ำพในสภำพจรงิ เช่น กำรจดั จำนวนสมำชิกในกลมุ่ ผู้เรียนทม่ี ปี ระสิทธิภำพสงู สุดใน กจิ กรรมกำรแกป้ ัญหำท่ีใช้ Web-based learning
๓. ประเมนิ ดำ้ นควำมคิดเห็น เจตคติที่มีต่อกำรเรยี น เพอ่ื นำควำมเหน็ ของผเู้ รยี นมำ พัฒนำต่อได้ เพรำะควำมเห็นของผู้เรยี นท่มี ีต่อรำยวิชำและกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนจะ สะท้อนให้ครผู ู้สอนทรำบวำ่ ผู้เรยี นสำมำรถเรยี นรู้อย่ำงมคี วำมสุขหรือไม่ ๔. ประเมินดำ้ นควำมสำมำรถของผเู้ รยี น ควำมสำมำรถของผเู้ รยี นประเมินได้จำก กำรกระทำที่แสดงออกโดยตรงจำกกำรทำงำนดำ้ นต่ำง ๆ ตัวอย่ำงเช่น สถำนกำรณท์ ี่ กำหนดให้ตำมสภำพจรงิ หรอื ใกลเ้ คยี งกบั สภำพจริง เปิดโอกำสใหผ้ ู้เรียนแกป้ ัญหำหรอื ปฏบิ ัตงิ ำนจรงิ อำจประเมินไดจ้ ำกกระบวนกำรทำงำน กระบวนกำรคดิ (Cognitive process) โดยเฉพำะกำรคิดในระดับสงู (higher-order thinking) ได้แก่ กำรคิดวเิ ครำะห์ กำรคิด วิพำกษว์ จิ ำรณ์ กำรคดิ แบบสร้ำงสรรค์ กำรคิดเชงิ เหตผุ ล เป็นต้น นอกจำกน้อี ำจประเมนิ เกีย่ วกบั กระบวนกำรทำงำน เช่น กระบวนกำรกำรแกป้ ญั หำ ๕. ประเมนิ ด้ำนผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรยี น 3.3 ผลท่ีเกิดข้นึ กบั ผู้เรียน ผลการทดสอบระดบั ชาต(ิ O-NET) วิชาภาษาอังกฤษ ระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๖ ต้ังแตป่ ี การศกึ ษา ๒๕๖๒-๒๕๖๔ มีนักเรยี นทไ่ี ด้คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน ปกี ำรศกึ ษำ ๒๕๖๒ ระดับชั้นประถมศึกษำปีที่ ๖ จำนวน ๗ คน ดังนี้ ๑. เด็กหญิงนิชชำ พจนสนุ ทร ๒. เดก็ ชำยเดชฑตั พยอมใหม่ ๓. เด็กชำยรวชิ ชมุ่ วงศำ ๔. เด็กชำยนฤบดี ศรีพระจันทร์ ๕. เดก็ ชำยศภุ กำนต์ บญุ ตำระวะ ๖. เด็กชำยเสฏวฒุ ิ นำคมนต์ ๗. เด็กชำยธีธชั สทิ ธโิ ชคกจิ สกุล ปกี ำรศึกษำ ๒๕๖๓ ระดับช้ันประถมศึกษำปที ่ี ๖ จำนวน ๑๔ คน ดงั นี้ ๑. เด็กหญิงพฤกษช์ นก ผ่ำนชมพู ๒. เด็กชำยปณิธิ พรนภำลยั ๓. เด็กชำยปัณณ์ อสุ ่ำห์ดี ๔. เดก็ ชำยสิรภพ วงศ์ธนสำรสิน ๕. เด็กชำยณชพล บึงรำษฎร์ ๖. เด็กหญิงธนภรณ์ อนกุ ำรสกลุ
๗. เดก็ หญิงกรชนก กวยอภยั ๘. เดก็ หญงิ พรลภสั ณ หนองคำย ๙. เดก็ หญงิ รชั ภร ปทุมเดโชสวุ รรณ ๑๐. เด็กหญงิ นภัทรพี อมุ้ ญำติ ๑๑. เดก็ หญงิ รฐั นนั ท์ ธรรมจำรีสกุล ๑๒. เด็กหญงิ พชรภำ คำภำจันทร์ ๑๔. เดก็ หญงิ ชนกนันท์ สมบรู ณท์ รพั ย์ ๑๕. เด็กหญิงอลิชำ่ พีล ปีกำรศกึ ษำ ๒๕๖๔ ระดบั ชั้นประถมศึกษำปที ี่ ๖ จำนวน ๕ คน ดงั นี้ ๑. เดก็ ชำยณภัทร เวียงทัด ๒. เดก็ ชำยวีรศรุต พรย่งิ เจริญ ๓. เดก็ หญงิ ธญั ญำเรศ เบ้ำธรรม ๔. เด็กหญงิ กัลยณฏั ฐ์ น้อยตะริ ๕. เด็กหญงิ กัลยวรรธน์ มลำไวย์
ภาคผนวก
การสรา้ งสรรคภ์ าพสิ่งมชี วี ติ ชนดิ ใหมข่ ้ึนมาโดยนาอวยั วะของสัตวช์ นิดตา่ งๆ มาประกอบ พรอ้ มท้งั ใหข้ ้อมลู เกี่ยวกับสง่ิ มชี วี ติ ชนิดน้นั รว่ มกนั
สง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียนนาเสนอชิ้นงานตามอธั ยาศยั
ใชส้ ่อื การสอนท่เี สรมิ สรา้ งให้ผ้เู รียนเกดิ มโนภาพและเข้าใจงา่ ยยิ่งข้ึน
ไมป่ ดิ กั้นความคิดสร้างสรรคข์ องผ้เู รยี น
ผ้เู รียนสามารถวเิ คราะห์ขอ้ มูลของสิ่งมชี วี ิตได้
ตวั อย่างสื่อการสอน บัตรภาพ คลิปสรุปเน้ือหายอ้ นหลงั ใน Youtube การสอนออนไลน์ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของ COVID-๑๙ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔
กจิ กรรมค่าย Intensive ของนกั เรียนชว่ งชนั้ ท่ี ๒ ทาฐานกจิ กรรม Jungle party ในคา่ ย Intensive ของนักเรยี นชว่ งช้นั ท่ี 2
กจิ กรรม Communicative English ในชว่ งบ่ายของค่ายฤดูรอ้ น ค่าย STEM ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ช่วงคา่ ยฤดรู ้อน
ตัวอย่างแผนการสอน โดยใชเ้ ทคนิคภาพมหศั จรรยส์ รา้ งสรรค์สคู่ วามเปน็ เลศิ ด้วยแนวคิด Visual Thinking แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ กลมุ่ สำระกำรเรยี นรภู้ ำษำตำ่ งประเทศ รหสั วชิ ำ อ 15101 ชน้ั ประถมศึกษำปที ี่ 5 หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ 2 เร่อื ง Work and play every day จำนวน 4 ชว่ั โมง แผนกำรเรยี นรู้ 1 เรื่อง Present simple เวลำ 1 ชว่ั โมง เทคนคิ กำรสอน กำรจดั กำรเรียนรแู้ บบสรำ้ งองคค์ วำมรดู้ ว้ ยภำพ (Constructivism visual thinking) 1. ตวั ชว้ี ดั /ผลกำรเรยี นรู้ ต 1.1 ป.5/1 ปฏบิ ตั ิตำมคำสงั่ คำขอร้อง และคำแนะนำง่ำย ๆ ทฟี่ ังและอ่ำน ต 1.1 ป.5/3 ระบุ/วำดภำพ สัญลักษณ์ หรือเคร่ืองหมำยตรงตำมควำมหมำยของประโยคและ ข้อควำมสั้น ๆ ท่ีฟังหรอื อำ่ น ต 1.1 ป.5/4 บอกใจควำมสำคัญและตอบคำถำมจำกกำรฟังและอ่ำนบทสนทนำ และนิทำน ง่ำยๆ หรอื เร่อื งสั้น ๆ ต 1.2. ป.5/5 พูด/เขยี นแสดงควำมรู้สกึ ของตนเองเก่ียวกับเร่ืองต่ำงๆ ใกล้ตวั และกจิ กรรตำ่ งๆ พร้อมทัง้ ให้เหตุผลส้ัน ๆ ประกอบ ต 1.3 ป.5/1 พูด/เขียนใหข้ อ้ มลู เก่ียวกับตนเอง และเรอื่ งใกล้ตวั 2. จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ 1. มีควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจเกี่ยวกับกำรใช้ Present simple tense (K) 2. สำมำรถใชค้ ำสรรพนำมหรอื คำนำมเฉพำะเพ่ือเปน็ ประธำนในกำรสร้ำงประโยค Present simple (K) 3. สำมำรถพดู คยุ และเขียนเกย่ี วกบั กจิ กรรมตำ่ งๆ ในเร่ืองกำรทำงำนและกำรเล่นได้ (K, P) 4. มีควำมรับผดิ ชอบในงำนท่ีได้รับมอบหมำย (A) 3. สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด กำรเรยี นรเู้ กี่ยวกบั กิจวัตรประจำวนั และงำนบ้ำนโดยใชป้ ระโยคในรูปของ Present simple เพ่ือ อธบิ ำยถงึ กิจกรรมที่ทำเปน็ ประจำ 4. สำระกำรเรยี นรู้ 1. Vocabulary feed the cat, go skateboarding, go to the movies, help with breakfast, play video games, ride bikes, sweep the floor, take out the garbage, walk the dog 2. Structure Present simple tenses 2.1 Function Talking about activities at home and free time activities.
5. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ - มวี นิ ยั - ใฝ่เรยี นรู้ - อยอู่ ย่ำงพอเพยี ง 6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 1. ควำมสำมำรถในกำรสอ่ื สำร 2. ควำมสำมำรถในกำรคดิ 3. ควำมสำมำรถในกำรใชท้ ักษะชีวติ 7. คำถำมทำ้ ทำย -What do you do in the morning? 8. กำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ 1. Warm up (5 นำท)ี 1.1 ครทู กั ทำยนกั เรียน ทบทวนควำมรูเ้ ดิมเกี่ยวกบั คำกริยำแท้ท่นี กั เรยี นทรำบ แบ่งกลุ่ม นักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม ก่อนจะนำนักเรยี นเขำ้ สู่เกม “ใบ้กิจกรรมจำกท่ำทำง” โดยขออำสำสมคั รนักเรยี นเพอ่ื ดูโจทย์คำกรยิ ำ แล้วใหอ้ ำสำสมัครแสดงท่ำทำงเพื่อใหส้ มำชิกทัง้ 2 กลุ่มตอบถูก 1.2 ครูติดบตั รคำแสดงถึงคำกริยำลงบนกระดำนเมอ่ื นักเรียนตอบถูกทัง้ หมดแลว้ 1.3 ครนู ำบัตรคำสรรพนำมติดลงบนกระดำนหน้ำคำกรยิ ำ ไดแ้ ก่ I, You, We, They, He และ She รวมถงึ ยกตวั อยำ่ งตวั ละครในเรอื่ งมำ 2 คนคอื Betty และ Paul แยกเป็น I, You, We, They และ He, She, Betty, Paul 2. Presentation (15 นำท)ี 2.1 ครนู ำเสนอภำพกิจกรรมหรือกำรเลน่ ให้นักเรียนดู พร้อมเปดิ Audio track 11 ใหน้ ักเรยี น ฟัง 1 รอบ ซง่ึ มีเน้ือหำดังต่อไปน้ี 1. Betty helps with breakfast every morning. 2. Betty sweeps the floor every day. 3. Betty and her friends ride their bikes every day after school. 4. Betty and her friends go to the movies on the weekend. 5. Paul feeds the cat and walks the dog every morning. 6. Paul takes out the garbage every day. 7. Paul and his friends go skateboarding every afternoon. 8. Paul and his friend play video games on the weekend. 2.2 ครูแจกบัตรคำ/ภำพให้นักเรียนตำมแถว แล้วเปิด Audio track 11 ให้นักเรียนฟังทีละ ประโยค เพอื่ ใหน้ กั เรียนออกมำเรยี งประโยคหนำ้ กระดำนใหถ้ ูกต้อง 2.3 เมื่อนักเรียนนำภำพ/คำศัพท์มำเรียงครบท้ัง 8 ประโยคแล้ว ให้นักเรียนอ่ำนทบทวน ประโยคท้งั หมดอย่ำงถูกต้อง
3. Practice (10 นำที) 3.1 ครูให้นักเรียนอ่ำนประโยคท้ัง 8 ประโยคพร้อมกันเพื่อตรวจสอบควำมเข้ำใจและควำม ถกู ต้อง 3.2 ครูแสดงภำพตำมหนังสือเรียน หน้ำ 12 แล้วให้นักเรียนพูดประโยคที่ตรงกับภำพให้ ถูกตอ้ ง 3.3 ครใู ชเ้ ทคนคิ Visual Thinking ที่นำเสนอภำพสำคัญจำกเหตุกำรณ์ท่ีเก่ียวข้องในประโยค เพ่ือให้นักเรียนไดช้ ว่ ยกนั บอกเล่ำถงึ สถำนกำรณน์ ั้นๆ 4. Production (20 นำที) 4.1 ครูแจกใบงำนเพื่อให้นักเรียนได้เขียนบันทึกประโยคท้ัง 8 ประโยค โดยสำมำรถใช้ภำพ สำคัญในเหตุกำรณ์แทนได้ พร้อมท้ังเดินตรวจสอบว่ำนักเรียนสำมำรถทำได้และมีปัญหำหรือไม่ ก่อนจะให้ คำแนะนำตำมควำมเหมำะสม (15 นำที) 4.2 นักเรียนส่งใบงำน แล้วครูจะเลือกสุ่มประโยคและภำพจำกใบงำนของนักเรียนข้ึนมำ แล้ว ใหน้ กั เรยี นชว่ ยกันอำ่ นประโยคท้งั 8 ประโยคอีกครง้ั (5 นำท)ี 5. Wrap up (10 นำท)ี 5.1 ครูทบทวนประโยคท้งั 8 ประโยคให้นกั เรียน พร้อมท้ังสรุปกำรใชป้ ระโยคในรปู แบบ Present simple tense ท่เี ป็นประโยคบอกเล่ำ
9. สื่อ อุปกรณ์ และแหล่งกำรเรยี นรู้ 1. หนงั สอื เรียน TOPS 5 2. ใบงำน 3. Audio track 11 จำกหนังสือเรยี น TOPS5 4. บัตรคำ/บตั รรูปภำพ 5.สอื่ Power point 10. กำรวัดและประเมนิ ผล วธิ กี ำรวดั ผล เครอ่ื งมอื วดั ผล เกณฑก์ ำรประเมนิ แบบบนั ทกึ คะแนน กำรวดั และประเมนิ ผล กำรตรวจใบงำน เรือ่ ง รำยบคุ คล เรือ่ ง work -ควำมถูกต้อง 8 ด้ำนควำมรู้ (K) work and play and play every day คะแนน เขียนประโยคในรูปแบบ every day -ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ 6 Present simple tense แบบสงั เกตกำรอ่ำน คะแนน ได้ -กำรนำเสนอผลงำน 6 แบบบันทึกพฤติกรรม คะแนน ในบันทึกหลงั สอน ด้ำนทกั ษะกระบวนกำร (P) กำรสังเกตในชั้นเรียน พดู และคยุ เกยี่ วกับกิจกรรม ต่ำงๆ ในเรื่องกำรทำงำน และเลน่ ได้ ดำ้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ กำรสงั เกตในชั้นเรียน ประสงค์ (A) มีควำมรับผิดชอบต่องำนท่ี ได้รบั มอบหมำย
รางวัลแหง่ ความภาคภมู ใิ จ
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: