ปาฐกถา เรื่อง “ อภธิ รรมปฎิ กเป็นพุทธพจน์หรอื ? ” เสถียร โพธินนั ทะ ๔ มีนาคม ๒๔๙๙
จัดพมิ พ์ตัวอกั ษรขนึ้ ใหมจ่ ากหนงั สือตน้ ฉบับ (ไฟลส์ แกน) โดยยงั คงวธิ ีการสะกดคาตามต้นฉบับเดิมไว้ทั้งหมด ดาวนโ์ หลดหนังสือต้นฉบบั สแกน ไดจ้ าก ปาฐกถา เร่อื ง “อภธิ รรมเปน็ พุทธพจนห์ รือ ?” เสถยี ร โพธนิ ันทะ, 2472-2509 https://archive.org/details/unset00002472 ไฟล์นีจ้ ัดทาขึ้นเพ่ือเป็นพุทธบชู า นาไปพมิ พ์แจกได้ตามความประสงค์ (หา้ มจาหน่าย)
คำนำ เรอ่ื ง “อภิธรรมเปน็ พทุ ธพจน์หรือ?” นี้ เป็นปาฐกถา ซงึ่ คุณ เสถียร โพธินันทะ ได้แสดงที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย เมื่อ วนั ที่ ๔ มีนาคม ๒๔๙๙ ปาฐกถาเรื่องนไี้ ดม้ หี นงั สอื พิมพ์บางฉบบั เก็บ ความสังเขป นาไปลงตีพิมพ์ ทาให้ขาดข้อความสาคัญบางตอน เป็น เหตใุ หเ้ กดิ วิพากษ์วจิ ารกันในหมผู่ ู้รู้ โดยเฉพาะคือ นักศึกษาอภิธรรม อันนี้เป็นเหตุหน่ึง ซึ่งทาให้ปาฐกปรารถนาจะรวบรวมพิมพ์เป็นเล่ม สมบูรณส์ ู่ดุลยพ์ นิ ิจของท่านผูร้ ู้อีกคร้ังหนึ่ง จึงเสนอข้อดารนิ ต้ี อ่ สมาคม ยวุ พุทธิกสมาคมแหง่ ประเทศไทยพจิ ารณาแล้ว เหน็ ว่าปาฐกถา เรือ่ งนีเ้ ป็นผลงานค้นคว้าของคณุ เสถยี ร โพธนิ ันทะ แมว้ า่ จะเป็นเร่ือง ทีเ่ ปน็ ไปในเชิงค้านความคดิ และศรทั ธาเดมิ ของเราก็ตาม แต่ปาฐกถานี้ ก็คงอา้ งองิ คัมภรี ์ หรอื ตาหรับตาราต่าง ๆ ท้ังฝ่ายหินยาน และฝ่าย มหายาน ซึง่ ในกาลามสูตร (อนั เป็นตาราอนั หนึง่ ) หา้ มไว้มใิ ห้เช่อื โดย อา้ งตารา ฉะนั้นความผิดถกู ของปาฐกถานี้จงึ อยู่ที่ตาราที่อ้างองิ ไม่ได้ อยู่ท่ีปาฐก หรอื ทผี่ ู้จัดพมิ พ์ สว่ นการทีค่ วรเช่ือได้ หรอื ไมไ่ ด้เพยี งใด นัน้ ขึน้ อยกู่ ับดุลยพินิจของท่านผอู้ า่ นทจ่ี ะพินิจพิจารณาตรกึ ตรองเอง โดยอิสระ และโดยบริสุทธ์ิ ไม่ติดตาราใด ๆ ท้งั ส้ิน ยุวพทุ ธิกสมาคมแหง่ ประเทศไทย หวังวา่ หนังสอื เลม่ น้ี คงจะ ไดร้ ับการต้อนรับอย่างอบอ่นุ และหวังว่าท่านผอู้ า่ นทุกท่าน คงจะอ่าน
หนงั สอื เลม่ นโี้ ดยปราศจากอคติ และใช้ดุลยพินิจของท่านเองโดยเสรี ก่อนท่ีจะเชื่อไปในทางใดทางหน่ึง ซ่ึงเป็นวิสัยของพุทธศาสนิกชนผู้ เต็มเป่ียมไปดว้ ยศรัทธาและปัญญาอันสมบรู ณ์ ยุวพทุ ธกิ สมาคมแหง่ ประเทศไทย ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๙๙
๑ อภิธรรมปิฎกเปน็ พทุ ธพจน์หรอื ? เสถยี ร โพธนิ ันทะ แสดง พระคณุ เจา้ ทเี่ คารพและทา่ นผู้เจริญทง้ั หลาย พระพุทธวจนะตามความเชอื่ ของชาวพุทธมามกชนท่ัวไป ทั้งฝ่าย สาวกยานและมหายาน ยอ่ มถือตรงกนั วา่ มอี ยู่ ๓ ปฎิ ก คือ พระวินัย ปิฎก ๑, พระสุตตันตปิฎก ๑, พระอภิธรรมปิฎก ๑, รวมเรียกว่า พระไตรปิฎก. ก็ในพระไตรปฎิ กนี้ กล่าวกันว่าได้ถูกรวบรวมข้ึนเป็น หมวดหมู่แน่ชัด จาเดมิ แต่ครง้ั ทาปฐมสงั คายนา. จาเนียรกาลล่วงมา เม่ือการศึกษาพระพุทธศาสนากว้างขวางข้ึน คือได้มีการศึกษาทั้ง ทางด้านประวัตศิ าสตร์, โบราณคดปี ระกอบดว้ ยหลักธรรม มิไดจ้ ากัด ศึกษาแต่ข้อความในคัมภีร์อย่างเดียว จึงทาให้เกิดการวิจัย พระไตรปิฎกกันขึ้นในหมู่นักปราชญ์ทั้งฝ่ายตะวันตกและตะวันออก. ผลการวจิ ัยก็ปรากฏว่า พระไตรปิฎกมิได้รวบรวมขึ้นเป็น ๓ หมวด ใหญ่ ในคร้ังปฐมสังคายนาเสยี แล้ว. แต่จะต้องเป็นเวลาภายหลังกว่า นั้น และโดยเฉพาะอย่างย่ิงคือพระอภิธรรมปิฎกซ่ึงเข้าใจกันว่าเป็น พุทธวจนะนั้น ความจริงเป็นของแต่งขึ้นในช้ันหลัง. ก็มติดังกล่าวนี้ ย่อมทาความไมพ่ อใจให้เกิดแก่นักศึกษาที่เช่ือถือตามคัมภีร์โบราณว่า อภธิ รรมเปน็ พุทธพจน์อยา่ งย่ิง. แตข่ อ้ เท็จจริงของเหตผุ ลฝ่ายใดจะแน่ ชดั กวา่ กนั เทา่ น้นั จะเป็นเคร่อื งช้ีขาด เมือ่ ข้าพเจ้าไดร้ บั หน้าทบี่ รรยาย
๒ วิช า ค วา ม รู้ พ ระ พุ ท ธ ศา ส น า สา ก ล ใน ส ภ า กา ร ศึ ก ษา ม ห า มกุ ฏ ร า ช วิทยาลัย มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ข้าพเจ้าได้ คน้ ควา้ ศกึ ษาหลักฐานต่าง ๆ ในปัญหาอภิธรรมเป็นพุทธพจน์หรือมิใช่ ทั้งในปกรณ์บาลีและปกรณ์ฝ่ายสสกฤต จนได้ผลงานดังจะนาเสนอ ท่านผ้ฟู ังต่อไปน้ี ก. หลักฐานฝ่ายรับรองอภิธรรมเป็นพุทธพจน์ หลักฐานของ ฝ่ายนี้ ได้นามาจากพระสุตตันตปิฎกบ้าง พระวินัยบ้างและ จากอรรถกถาบ้าง คอื ๑. ในอรรถกา เชน่ ธัมมปทฏั ฐกถาและปรมตั ถทีปนี แสดงว่า ในวันเม่ือพระบรมศาสดาทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ปราบพวกเดียร นถิ คี รนถ์ ณ แขวงเมอื งสาวตั ถี วนั น้ันเวลาบา่ ยทรงยกพระบาทเบ้ือง ขวา เหยยี บยอดไม้คณั ฑามะพฤกษ์ยกพระบาทคารบสองเหยียบยอด เขายคุ ุนธร ยกพระบาทเปน็ คารบสามเหยยี บยอดพระสุเมรุ เป็นยก พระบาทสามย่างสน้ิ ทาง ๖๘๐๐๐ โยชน์ จากโลกมนุษยถ์ ึงสวรรค์ช้ัน ดาวดงึ ส์ แล้วประทับเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ท่ามกลางเทพยดา ปรารภพทุ ธมารดาซ่ึงเสดจ็ ลงมาจากสวรรค์ชนั้ ดสุ ติ . จงึ พระบรมศาสดา ตรัสพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์เน่ืองไปตลอดไตรมาส คือ ๓ เดือนเปน็ กาหนด ทดแทนพระคุณของพระพทุ ธมารดา ครงั้ ออกพรรษาเป็นวันมหาปวารณา พระบรมศาสดาเสด็จลงจาก ดาวดึงส์สมู่ นษุ ยโ์ ลก ณ. แทบประตเู มืองสงั กัสสะนคร. ตอนนแี้ สดงอาคตสถานของอภิธรรม และข้าพเจ้าเข้าใจว่าเม่ือ เสดจ็ มาสมู่ นุษย์โลกแลว้ จะตอ้ งตรัสเล่าแสดงอภิธรรมแก่พระอานนท์ เถรเจ้าอกี เทีย่ วหนึง่ ใหท้ รงจาเอาไว้
๓ ๒. ในสตุ ตันตปิฎก องั คุตตรนิกาย มีความข้อหนึ่งว่า “ก็โดยสมัย นัน้ แล พระภกิ ษเุ ถระท้งั หลายกลับจากบิณฑบาตภายหลงั แห่งภตั ตแ์ ลว้ ประชุมสันนิบาต สนทนาอภิธรรมกันอยูด่ ังนี้ ” ๓. ในสตุ ตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาโคสิงคสาล สตู ร พระโมคคัลลานะกล่าวแสดงมติของท่านว่า ป่าโคสิงคสาลวันอัน สงบเงียบ เหมาะสมกับภิกษุ ผู้มีปัญญาสามารถวิสัชชนาข้ออภิธรรม กถาอย่างยงิ่ ๔. ในสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ กินติสูตร มี พทุ ธพจน์วา่ ---------“ภิกษุท้ังหลาย! ก็เม่ือท่านท้ังน้ันมาพร้อมเพรียง กัน เมื่อไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่ หากมีภิกษุ ๒ รูป มีวาทะต่างกันใน อภิธรรม........” ๕. ในสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุบาลีเถรวัตถุ มีข้อความว่า “(ข้าแต่พระองค์ผู้จอมมุนี) พระสูตร, พระอภิธรรม, พระวินัย รวม พระพทุ ธพจน์มีองค์ ๙ ทั้งสนิ้ นี้ เป็นธรรมสภาของพระองค์” ๖. ในสุตตันตปฎิ ก ขุททกนิกาย เถรีอปทาน มีขอ้ ความวา่ “ ใน พระศาสนานี้ ดิฉนั (นางเขมาเถรี) ฉลาดในวิสุทธิ ๗ และสามารถใน กถาวัตถุ เปน็ ผูร้ ู้นยั แหง่ อภิธรรมถึงซง่ึ วสีทัง้ ๕ ” ๗. ในวินัยปิฎกมหาวิภังค์ ทัพพมัลลบุตรเถระวัตถุมีว่า “ภิกษุ เหล่าใดศึกษาอภิธรรม ภิกษุเหล่าน้ันรวมอยู่กันเป็นคณะ พระทัพ พมัลลบุตรจัดเสนาสนะไว้ด้วยคิดว่า ท่านเหล่านี้จักมีธรรมสากัจฉา อภิธรรมกัน. พระทัพพมัลลบุตรท่านเป็นเอตทัคคะทางจัดเสนาสนะ เม่ือท่านรู้ว่าภิกษุอาคันตุกะรูปใดเป็นวินัยธร หรือสุตตันติธร หรือ อภิธรรมธร ท่านก็จัดให้ภิกษุรูปน้ันได้พักอยู่ร่วมกับคณะภิกษุท่ีเล่า เรยี นมาเหมอื นกัน.
๔ ๘. ในวินยั ปฎิ ก ภิกขุณวี ภิ งั ค์ มขี ้อความวา่ “ภิกษณุ ีผ้ถู ามปญั หาแก่ ภิกษุ ขอโอกาสอันใดต้องถามอันน้ัน ถ้าขอโอกาสถามพระสูตรแล้ว กลับไปถามพระวินัยก็ดี หรือไพล่ไปถามอภิธรรมก็ดีเป็นอาบัติ ปาจติ ตีย์ ถ้าขอโอกาสถามพระวินยั แลว้ กลับไปถามพระสตู รกด็ ี หรอื ไพล่ไปถามพระอภิธรรมกด็ ี เปน็ อาบตั ิปาจิตตยี ์ ขอโอกาสถามพระ อภิธรรมแล้วกลับไปถามพระสูตรก็ดีถามพระวินัยก็ดี เป็นอาบัติ ปาจิตตีย์” ๙. คาวา่ ธมโฺ ม จ วนิ โย จ ซงึ่ แปลวา่ ธรรมดว้ ยวนิ ยั ดว้ ย หรือพูด ง่าย ๆ วา่ พระธรรมวนิ ัยนั้น พระธรรมในทนี่ ้หี มายรวมเอาทั้งพระสูตร และพระอภธิ รรมเข้าด้วย ๑๐. ในอภิธรรม ๗ คัมภรี ์น้ันยอมให้อยู่คัมภีร์หน่ึง คือ กถาวัตถุ ซ่งึ เปน็ วาทะของพระโมคคลีบตุ รติสสะเถระคร้งั ตตยิ สงั คายนา แตท่ ่าน กแ็ ต่งตามพทุ ธาธบิ าย. ท้ัง ๑๐ ข้อนี้ เป็นหลักฐานฝ่ายที่ถือว่าอภิธรรมเป็นพุทธพจน์ นอกจากน้ี ยังมีเร่ืองราวประวัติของอภิธรรมปรากฏในคัมภีร์ อัฏฐสาลินี อรรถกถาแห่งอภิธรรมสังคณี รจนาโดยพระพุทธโฆษะ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๙ ตอนต้นของคัมภีร์ ได้เขียนเล่าประวัติของพระ อภธิ รรมปิฎกทาของคาถามคาตอบ เชน่ “ถามว่า อภธิ รรมเป็นคาของ ใคร” แก้ว่า “เปน็ พระดารัสของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ” ถามวา่ “ใคร เปน็ ผู้นาสบื กนั มา ?” แก้ว่า “พระอาจารยท์ ้งั หลายนาสืบกันมา” แล้ว ให้รายนามอาจารยท์ ส่ี ืบวงศอ์ ภิธรรม ดงั นี้ ๑. พระสารบี ุตร์ ๒. พระภัททริ ๓. พระโสภติ ะ
๕ ๔. พระปิยะชาลี ๕. พระปยิ ะปาละ ๖. พระปยิ ะทัสสี ๗. พระโกสยิ ะบุตร ๘. พระสิคควะ ๙. พระสนั เทหะ ๑๐. พระโมคคลบี ุตร ๑๑. พระมิสสทัตตะ ๑๒. พระธรรมมิยะ ๑๓. พระสาทกะ ๑๔. พระโสนกะ ๑๕. พระเรวตะ อาจารย์เหล่านี้นาสืบทอดกันมาเรื่อยจนกระทั่งมาแพร่หลายสืบ ทอดกนั ในลังกา. แตใ่ นสมยั ทีแ่ ตง่ คัมภรี ์อฏั ฐสาลินี ดเู หมอื นจะปรากฏ มีคณะสงฆ์ในลงั กาบางคณะไม่ยอมเชอื่ อภธิ รรมวา่ เปน็ พทุ ธพจน์ ท่านผู้ แต่งซึ่งเป็นฝักไฝ่ข้างเช่ือว่าอภิธรรมเป็นพุทธพจน์ จึงต้องเเต่งแก้ไข แสดงหลักฐานหลายอย่างว่า อภิธรรมเป็นพุทธพจน์จริง และเชิดชู อภิธรรมว่าอภิธรรมน้ีเป็นพุทธวิสัย มิใช่เป็นสาวกวิสัย และท่ีสุดเลยขู่ พวกท่ไี มเ่ ชื่ออภิธรรมวา่ “ ผู้ที่ปฏเิ สธอภิธรรม กย็ ่อมช่ือว่าปฏิเสธพระสัพพัญญุตญาณ ในชินจักร์น้ี ชื่อว่าทาเวสารัชชญาณของพระศาสดาให้หมุนกลับ ทาให้บริษทั ผใู้ ครจ่ ะฟงั (ในอภิธรรม) ให้เข้าใจผิด กัน้ ทานบกดี ขวาง ในอริยมรรค จัดเขาผู้ปฏิเสธอภิธรรม ในพวกก่อเหตุให้แตกร้าว
๖ ๑๘ จาพวกใดจาพวกหนง่ึ เป็นผู้สมควรแก่การลงอุกเขปนิยกรรม (ลงโทษด้วยวิธีรอนสิทธ์ิมิให้มีสิทธ์ิเสมอผู้อ่ืน) นิยสกรรม (ลงโทษ ดว้ ยการปลดจากตาแหน่ง) และตัชชนิยกรรมโดยแท้ (ลงโทษด้วย การตักเตือนให้สานึก) ผู้เช่นนี้ พวกเรา (คือฝ่ายเช่ืออภิธรรม) ควรปัพพาชนิยกรรม (ลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากหมู่) เป็นต้น (สดุ แต่กรณยี ์) แล้วไสส่งไปวา่ เจ้าจงไปเปน็ คนกินเดนเสยี เถดิ ” ฉะนน้ั บคุ คลผปู้ ฎิเสธอภิธรรมสมัยน้ันจึงเป็นเรื่องท่ีไม่น่าจะสนุก นัก. ต้องตกเป็นจาเลยข้อหามิจฉาทิฏฐิและถูกลงโทษเอาง่ายๆ แต่ ถงึ แมฝ้ า่ ยเชอื่ อภธิ รรมวา่ เป็นพุทธพจน์ จะพยายามหาวธิ ีทงั้ อ้างคัมภีร์ หรือท้ังขู่ลงโทษ ก็ไม่สามารถปิดบังข้อเท็จจริงไว้ได้ ดังเราจะได้ พจิ ารณาดหู ลักฐานฝ่ายปฏิเสธอภธิ รรมมิใชพ่ ุทธพจนต์ ่อไป ข. หลกั ฐานฝ่ายปฏเิ สธอภธิ รรมวา่ เป็นพุทธพจน์ ๑. ข้ออ้างเรื่องพระบรมศาสดาเสด็จขึ้นไปเทศนาอภิธรรมบน ดาวดงึ สเ์ ปน็ เพียงขอ้ ความปรากฏในอรรถกถาเทา่ นนั้ และคัมภีร์อรรถ กถากแ็ ตง่ หลงั พระพุทธปรนิ ิพพาน เรอื่ งเทศน์อภธิ รรมในดาวดึงส์สวรรค์จะเป็นพระพุทธภาษติ แสดง ไว้ในพระสูตรใดพระสูตรหน่ึง หรือแสดงไว้ในพระวินัย ก็จะเป็น หลักฐานทดี่ ีมาก แต่นา่ เสียใจทีพ่ ระสุตตนั ตปฎิ กท้ังหมด ๕ นิกาย และ พระวินัยปิฎกท้ังหมดทุกคัมภีร์ ไม่เคยปรากฏเรื่องนี้เลย แต่ไพล่ไปมี ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา ซึ่งไม่รู้ว่าท่านอรรถกถาจารย์ไปคุ้ยหลักฐานมา จากไหน ฉะน้ันข้ออ้างฝ่ายรับรองอภิธรรมข้อนี้ จึงเกือบไม่มีค่างวด อะไร
๗ ๒. คาว่า ‘อภธิ มเฺ ม’ หรืออภธิ รรมท่ีปรากฏในพระสูตรหรือพระ วินัย มิได้หมายถึงอภิธรรมปิฎก เป็นแต่หมายถึงธรรมอันยิ่ง คือ โลกตุ รธรรมเท่านนั้ ในกินติสูตรเองก็มีพระพุทธพจน์ยืนยันอย่างนั้น คือ พระองคต์ รัสว่า “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่า ใดทีเ่ รารู้ย่ิงแลว้ แสดงแล้วแก่ท่านท้ังหลาย เหมือนอย่างไร ? เหมือน อย่างนี้ คอื สติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, มรรคมีองค์ ๘, อันท่านท้ังหมดมาพร้อมกัน เมื่อบันเทงิ พรอ้ มกัน เมือ่ ไมว่ ิวาทกนั ควรศึกษาในธรรมเหล่าน้นั ภกิ ษุ ทัง้ หลาย ! กเ็ มือ่ ท่านทัง้ นัน้ มาพร้อมเพรียงกัน เมื่อบรรเทิงพร้อมกัน เม่อื ไม่ววิ าทกันควรศึกษาในธรรมเหลา่ นนั้ ไซร์......” พระพุทธพจน์ใน ท่ีนแี้ สดงชัดว่า อภิธรรมหมายเอา โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ซึ่ง พระอรรถกถาจารย์ก็แก้ไว้ดังนั้นเหมือนกัน ฉะน้ันอภิธรรมปิฎกท่ี ปรากฏในพระสตู รอน่ื ๆ กด็ ี ท่ีปรากฏในพระวนิ ัยกด็ ี มุ่งหมายถึงพระ โพธปิ ักขยิ ธรรม ๓๗ ประการนเ้ี อง. ๓. ถ้าอภิธรรมจักพึงเป็นปิฎกหน่ึง และเป็นพระพุทธพจน์จริง แล้วไซร้ ไฉนในสตุ ตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรนิ พิ พานสตู ร เม่อื พระบรมศาสดาแสดงมหาปเทส ๔ สาหรบั ใหพ้ ุทธบริษทั สอบสวน พระธรรมวินัยว่า อันใดเปน็ พทุ ธพจน์ อันใดมิใช่พุทธพจน์ ตรัสว่า ให้สอบวา่ เข้ากันได้กับพระสตู ร ลงกนั ได้กบั พระวินัย เป็นใช้ได้ ว่าน่ัน คือพุทธพจน์ แตไ่ มเ่ ห็นมีวา่ ใหส้ อบเข้ากันได้กับอภิธรรมเลย ดังพระ พุทธพจน์ว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ! ก็ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พึงกล่าว อย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีสงฆ์อยู่ พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้ง หัวหน้า, ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วต่อหน้าสงฆ์ ข้าพเจ้ารับมาแล้วต่อ หน้าสงฆน์ นั้ ว่า ‘นธี้ รรม นว้ี ินยั นี้คาสอนของพระศาสดา’ ดกู อ่ นภิกษุ
๘ ทั้งหลาย พวกเธอไมค่ วรรับรอง ไม่ควรคัดค้านคาของภิกษุนั้น พวก เธอมไิ ด้รบั รอง มิไดค้ ัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะนั้นให้ดี แล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าลงในพระสูตรไม่ได้ เทยี บในพระวินยั ไม่ได้ พงึ สันนษิ ฐานอยา่ งนีว้ า่ ขอ้ นมี้ ิใชค่ าของพระผู้ มีพระภาคน้ันแน่นอน เป็นคาของท่ีภิกษุนี้จามาผิด ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ! พวกเธอพึงทิ้งข้อน้ีเสีย ด้วยประการดังนี้ แต่ถ้าว่า สอบสวนลงได้ในพระสูตร เทียบเคียงได้ในพระวินัย ก็พึงสันนิษฐาน ในข้อนั้นว่า น้เี ป็นคาของพระผูม้ ีพระภาคนั้นแน่นอน และภิกษุน้ีจา มาได้ดีแล้ว--------” ก็ถ้าอภิธรรมปิฎกพึงเป็นพระพุทธพจน์แล้ว พระองค์จักพึงตรัสว่าให้สอบลงในพระสตู ร เข้ากันได้กับพระอภิธรรม และเทียบกันได้กับพระวินัยเป็นแน่ ไฉนในมหาปเทสจึงมิได้ปรากฏ อภิธรรมเลย ๔. คาวา่ ‘มาติกา’ ทป่ี รากฏในพระสูตรกด็ ี พระวนิ ัยกด็ ี หมายถงึ หัวข้อธรรม หรือแมบ่ ทของธรรมเท่าน้ัน ๕. สานวนในอภธิ รรมปิฎก เป็นสานวนรุน่ ใหมก่ ว่าสานวนในพระ สูตรและพระวินัย ǰและปรากฏว่ามีศัพท์เทฆนิคใหม่ๆ มาก และ กฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ซ่ึงในพระสูตร, พระวินยั ไมม่ ี ๖. ลักษณะของอภธิ รรมปิฎก เป็นแบบอรรถกถาแก้พระสูตรอกี ที หนึ่ง และไม่ปรากฏมีคาอาลปนะ เช่น ดูก่อนเทพยดาท้ังหลาย ! สมกับท่ีพระบรมศาสดาแสดงอภิธรรมแก่ปวงเทพเลย พอขึ้นต้นก็ว่า ด้วยเรื่อง กุสลาธมฺมา อกสุ ลาธมฺมา ฯลฯ เลยทีเดียว เข้าใจว่า คันถ รจนาจารย์ผู้รจนาอภิธรรม ท่านไม่เจตนาจะให้คนเข้าใจว่าเป็น พุทธพจน์ ฉะนัน้ จึงไม่มีการบอกสถานทีว่ ่า พระบรมศาสดาประทับ ณ สถานทีใ่ ด ปรารภผู้ใด จึงแสดงอภิธรรม ความนิยมนับถือว่าอภิธรรม
๙ เป็นพุทธพจน์ เกิดขึ้นเมื่อพุทธปรินิพพานแล้วหลายร้อยปี และมา มน่ั คงเอาเมือ่ สมยั อรรถกถาเล่าว่าพระองค์เทศนาอภิธรรมในดาวดึงส์ สวรรคน์ ่ันเทยี ว ๗. ถ้าพระอภิธรรมพึงเป็นพุทธพจน์แล้ว ก็เหตุไร นิกายใน พระพทุ ธศาสนาอ่ืน ๆ จงึ มีอภิธรรมปฎิ กไมเ่ หมือนกัน แม้แต่ช่อื คัมภรี ์ก็ เรียกไม่ตรงกัน นิกายในพระพุทธศาสนาในที่น้ี ข้าพเจ้าขอเว้นไม่ กล่าวถึงอภิธรรมฝ่ายมหายาน เอาเพียงนิกายในเครือฝ่ายสาวกยาน ด้วยกันก็พอ คอื ในพทุ ธศตวรรษที่ ๑ ที่ ๓ สงั ฆมณฑลในอินเดียเกดิ แตกนิกายออกถึง ๑๘ นิกาย และแต่ละนิกายยังมีกิ่งนิกายย่อยอีก มาก ซ่งึ ทา่ นผสู้ นใจในดา้ นประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา จะหาอ่าน รายละเอียดได้ในหนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาภาค ๑ ของ ข้าพเจ้า มจี าหน่าย ณ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในจานวน ๑๘ นิกาย น้นั ปรากฏวา่ นิกายใหญ่ ๆ ท่มี ีอทิ ธิพล และมีอภธิ รรมปิฎกของตนเอง ไม่ซ้ากับของใคร ก็คอื นกิ ายเถรวาท, นิกายมหาสงั ฆกิ ะ, นิกายโคกุลิ กะ, นิกายสรวาสติวาทิน, นิกายวัชชีบุตร. นิกายเถรวาทซึ่งนับถือ ภาษาบาลเี ปน็ ภาษาถา่ ยทอดพระพทุ ธวจนะ มอี ภิธรรม ๗ ปกรณ์ คือ ก. ธรรมสงั คณี ข. วิภงั คะ ค. ธาตุถถา ง. ปุคคลบัญญตั ิ จ. ยมก ฉ. ปัฏฐานะ ช. กถาวตั ถุ
๑๐ เป็นหนังสือพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พิมพ์คร้ังแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๗ รวม ๑๒ เล่ม รายละเอียดของอภิธรรมบาลีมีอย่างไร ข้าพเจ้าไม่จาต้องพรรณนา เพราะท่านผฟู้ งั ท่สี นใจ อาจจะศึกษาไดจ้ ากสานักเรียนอภิธรรมหลาย แห่ง เช่นท่ีพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยเป็นต้น แต่ข้าพเจ้าจะนา หลักธรรมฝ่ายอภธิ รรมของนิกายอ่ืน ซ่ึงยังไม่เคยปรากฏแก่นักศึกษา อภิธรรมฝ่ายบาลเี ลย มาแสดงไว้ ณ ทีน่ ี้ เพื่อท่านจะไดอ้ าศยั เทยี บเคียง กนั ดู ในบรรดานิกายพระพทุ ธศาสนาเหล่านั้น มอี ยู่ ๒ นิกาย ท่บี ูชานับ ถอื อภธิ รรมปิฎกเปน็ ชีวิตจิตตใ์ จ ยงิ่ กวา่ ปฎิ กอน่ื ๆ คอื ก. นกิ ายโคกลุ ิกะ ในตานานสสกฤตช่ือเภทธรรมมติจักรศาสตร์ และอรรถกถาแห่ง คัมภรี น์ ้ัน ชื่อ “อ้ีปู้จงหลุงหลนุ่ ซุกกี่” แตง่ โดยพระคณาจารย์กยุ กี เม่ือ พุทธศตวรรษท์ ี่ ๑๑ เล่าว่า นิกายนีน้ บั ถอื อภิธรรมปิฎกหนกั หนา มคี ติ ถอื วา่ พระพทุ ธพจนท์ ล่ี กึ ซ้ึงมีอย่ใู นอภิธรรมเท่านั้น ส่วนวินัยปิฎกและ สตุ ตันตปิฎกเปน็ เพียงอบุ ายธรรมซงึ่ พระบรมศาสดาสอนสัตวโ์ ดยลาดบั เพอ่ื ใหเ้ ข้าถึงอภธิ รรม เพราะฉะนน้ั ภิกษุในนกิ ายนี้เลยดูหม่ินพระวินัย และพระสตู ร เห็นการปฏบิ ัติเครง่ ครดั ในวินัยเปน็ เรือ่ งรุงรงั ข้อสาคญั ให้แตกฉานเข้าถึงอภิธรรมเป็นใช้ได้ เห็นพระสูตรเป็นเร่ือง หญ้าปากคอกไมจ่ าเปน็ ตอ้ งรู้ คณาจารย์ผู้ให้กาเนิดนิกายโคกุลิกะว่า เป็นบุคคลในวรรณะพราหมณ์ ท่ีแยกเป็นนิกายออกมาก็เพราะ ประสงคแ์ ต่จะแผ่อภธิ รรมปิฎก ๆ เดยี ว ข้าพเจ้าขอเรียกนิกายน้ีว่า อภิธรรมสรณะนิกาย จะเหมาะสม อย่างย่ิง และปรากฏว่าในเมอื งไทยเรามีนักอภิธรรมบางท่าน มีความ
๑๑ คิดเห็นคล้ายคลึงกับคติของนิกายน้ีมาก คือเห็นอภิธรรมปิฎกวิเศษ ปิฎกเดยี ว ถงึ กับกลา่ ววา่ ถ้าผใู้ ดไม่ได้เรียนรู้อภิธรรม เป็นไม่สามารถ บัลลุมรรคผลนิพพานได้ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าท่านผู้มีความเห็นอย่างนี้ ควรสมัครเปน็ ลูกศิษย์นกิ ายโคกลุ กิ ะจะเป็นกิ่งทองใบหยกงามสมพิลึก แต่น่าเสียใจที่ว่านิกายโคกุลิกะสาปสูญเลิกล้มไปแล้วช้านาน เห็นจะ เป็นเพราะความเป็นอภิธรรมสรณะนิกายนี่เอง เลยถูกนิกายอื่น ๆ เขมน่ เอา ฉะน้นั อภิธรรมปิฎกของนิกายโคกุลิกะมีลักษณะหลักธรรม ฉันใด จึงไม่มที างจะทราบได้ ข. นกิ ายสรวาสติสาทนิ นกิ ายน้นี บั ถอื ยกย่องอภธิ รรมปฎิ กเป็นเลศิ เหมือนกัน แต่ไมร่ ุนแรง อย่างนิกายโคกุลิกะ คือพร้อมกับการเผยแผ่อภิธรรมก็ได้รักษาวินัย เครง่ ครดั และศึกษาเลา่ เรียนพระสตู รกากับกันไปด้วย นิกายสรวาสติ วาทินจึงสามารถธารงตัวอยู่ตลอดเวลากว่าพันปี และมีอิทธิพล แพร่หลายท่ัวไปในอินเดีย, อาฟฆานิสตาน, เตอรกีสตาน แล้วเข้าไป รุ่งเรืองในประเทศจีนอยู่ระยะหน่ึง นิกายสรฺวาสติวาทินต้องเลิกล้ม สาปสูญไปพร้อมกับนิกายพระพุทธศาสนาอื่น ๆ ท้ังสาวกยานและ มหายานในสมัยท่ีกองทัพอิสลามเข้ามารุกรานอินเดีย เพราะฉะน้ัน คมั ภรี ์ตา่ ง ๆ ท้งั พระวินัย, พระสูตร, พระอภิธรรมของนิกายสรวาสติ วาทินจึงยังมีเหลือยู่ทั้งในประเทศจีนและประเทศธิเบตแต่ได้แปลสู่ ภาษาจีนแล้วในสมัยโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอภิธรรมปิฎกของ นกิ ายนี้ ได้มแี ปลเปน็ ภาษาจนี โดยสมบูรณท์ ้งั ปิฎก ซ่งึ ข้าพเจา้ ได้อาศัย ศึกษาจากฉะบับพากษจ์ ีนนเ่ี อง อภธิ รรมปิฎกของนกิ ายสรวาทินได้ใช้ ภาษาสสกฤตแทนภาษาบาลี และบอกไว้ว่าเป็นรจนาของพระ
๑๒ มหาสาวกทม่ี ีชวี ติ อยู่คร้ังพุทธกาล และหลงั พุทธกาลหลายรอ้ ยปี มี รายการดังน้ี ๑. อภิธรรมสังคีติบรรยายปาทศาสตร์ (อาพีตับม๊อจิบอ้ีมึ๋งจก หลุง) ในฉบับจีนว่าเป็นรจนาของพระสารีบุตรอรหันต์ ในหนังสือ อธิบายอภิธรรมโกศของยโศมติ รว่า เปน็ ของพระมหาโกฏฐิตะ ๒. อภิธรรมสกันธปาทศาสตร์ (อาพีตับม๊อฮวบอุ้งจกหลุง) ใน ฉะบับจีนว่าเป็นรจนาของพระโมคคัลลานะอรหันต์ แต่ยโศมิตรว่า เป็นของพระสารบี ตุ ร ๓. อภธิ รรมปฺรชญฺ าปฺติปาทศาสตร์ (อาพีตับม๊อซีเสียกจกหลุง) ฝ่ายจีนว่าเปน็ ของพระมหากจั จานะ แต่ยโศมิตรวา่ เปน็ ของพระโมคคลั ลานะ ๔. อภิธรรมวิชญาณกายปสาทศาสตร์ (อาพีตับม๊อเซกซิงจก หลงุ ) พระเทวศรมนั รจนาในพทุ ธสตวรรษ์ที่ ๓ ๕. อภิธรรมปกรณะปาทศาสตร์ (อาพีตับม๊อปงิ ลุย่ จกหลุง) พระ วสมุ ิตรรจนาในพุทธศตวรรษที่ ๔ ๖. อภิธรรมธาตุกายปาทศาสตร์ (อาพีตับม๊อกายซิงจกหลุง) พระวสมุ ติ รรจนา ๗. อภธิ รรมชฺญาณปรสฺถานศาสตร์ (อาพีตับม๊อฮวดฉู้หลุง) พระ กาตยายนบี ุตรรจนาเม่อื พทุ ธศตวรรษ์ที่ ๕ นกิ ายสรวาสติวาทินเกิดมีขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒ ก่อนทาตติย สังคายนายังยอมรับว่า อภธิ รรมปฎิ กเปน็ รจนาของพระมหาสาวก และ มีการรจนาเพ่ิมเติมมาเรือ่ ย จึงถึงยุคพุทธศตวรรษที่ ๖ จึงสาเร็จเป็น
๑๓ ปิฎกหนึ่งโดยเอกเทศ เรียกว่า “สัตตัปปกรณะ” หรือ สดับปกรณ์ แปลว่า ปกรณท์ ั้ง ๗ ก็ถ้าอภิธรรมปิฎกจะเป็นพุทธพจน์แล้ว นิกายเหล่าน้ีจะต้อง เรียกชือ่ ตรงกัน และจะต้องเป็นคัมภีร์นับถือบูชาร่วมกัน น่ีกลับเป็น วา่ ตา่ งนิกายต่างมีของตนไม่ซ้ากัน ผิดกับสุตตันตปิฎกและวินัยปิฎก โดยเฉพาะคือวินัยปาฏิโมกข์ ต่างนิกายมีลักษณะตรงกัน จะผิดกันก็ เรื่องปลีกยอ่ ยเลก็ นอ้ ยและเป็นเรื่องไม่สาคัญ น่ีก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อภธิ รรมปิฎกมิใชพ่ ทุ ธพจน์ เพราะหากใช่แลว้ ตา่ งนิกายตอ้ งรับรองนับ ถือเหมือนพระสตู รกับพระวนิ ยั ๘. นอกจากน้ี หลกั ฐานยังยืนยนั อกี คอื วิธีการจัดระเบียบธรรม ในอภธิ รรมของแต่ละนกิ ายก็ผิดแผกกัน เช่น อภิธรรมปิฎกฝ่ายสรวา สตวิ าทินมรี ะเบยี บธรรมดงั น้ี รูปธรรม ๑๑ (บาลีว่ารูป ๒๘) จิตตธรรม ๑ (บาลีว่าจิตต์มี ๘๙ ดวง พิสดาร ๑๒๑ ดวง) จิตตสัมปยุตธรรม ๔๖ (บาลีว่า เจตสิก ๕๒) จิตตวิปปยุตตธรรม ๑๔ (บาลีไม่มี) อสังขตะ ๓ รวม ๗๕ ประการ รูปธรรม ๑๑ ได้แก่ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, และรูปวิสัย ๕ ได้แก่รูป วิสัย, สัททวิสัย, คันธวิสัย, รสา วิสัย, ผัสสะวิสัย, รวมกับอวิญญัติรูปอีก ๑ เป็น ๑๑ ( ฝ่ายบาลีไม่ บญั ญตั อิ วิญญตั ิวา่ เป็นรปู )
๑๔ จิตตธรรม ๑ คอื ภวังคจิตต์และพฤตภิ าพของจติ ต์ ซง่ึ แสดงออกมาทางตา, ห,ู จมกู , ลน้ิ , กาย, ใจ จติ ตสัมปยุตตธรรม ๔๖ ก. มหาภูมิกธรรม ๑๐ ได้แก่ เวทนา, สัญญา, เจตนา, สัมผัส, มติ, สติ, ฉันทะ, มนสกิ าร, อธิโมกข์, สมาธิ เจตสกิ ทง้ั ๑๐ ดวงเป็นได้ ทัง้ กศุ ล, อกศุ ล, อัพยากตะ ประพฤตเิ ปน็ ไปร่วมกับจิตต์ เมอื่ จิตตข์ น้ึ สู่ วิถรี ับอารมณ์ทกุ คร้งั ไป ข. มหากศุ ลภูมิกธรรม ๑๐ ได้แก่ ศรัทธา, อัปปมาทะ, ปสั สัทธ,ิ อเุ บกขา, หิริ, โอตตัปปะ, อโลภะ, อโทสะ, อหิงสา, วิริยะ เจตสิก ๑๐ ดวงน้ี เกดิ กับจติ ตท์ เี่ ป็นกศุ ลลว้ น ๆ ค. มหากิเลสภูมิกธรรม ๖ ได้แก่ โมหะ ปมาทะ, โกสัชชะ, อศรัทธา, ถนี ะ, อทุ ธจั จะ เจตสิกเหลา่ น้ีมีธรรมชาติเป็นอารมณฝ์ า่ ยอัพ ยากตะ เกดิ กับจติ ตท์ ี่ยงั มอี าสวะ ง. มหาอกุศลภูมธิ รรม ๒ ไดแ้ ก่ อหริ ิ, อโนตตัปปะ จ. อปุ กิเลสภูมิธรรม ๑๐ ไดแ้ ก่ โกรธะ, มกั ขะ, มัจฉรยิ ะ, อจิ ฉา, ปโทสะ, วิหงิ สา, อปุ นาหะ, มายา, สาเถยยะ, มทะ เจตสิกข้อ ง. และ จ. น้ีเกิดกบั จิตตท์ ี่เป็นอกศุ ล ฉ. อนิยตะภูมิธรรม ๘ ได้แก่ วิตก, วิจาร, มิทธะ, กุกกุจจะ, ราคะ, ปฏิฆะ, มานะ, วิจิกิจฉา เจตสิกเหล่านี้เป็นไปในสภาพกุศล, อกุศล, อัพยากตะ แตไ่ มใ่ ช่จะต้องเกิดกบั จิตตท์ ุกดวงไป
๑๕ สัมปโยคนยั เชน่ สตั วใ์ นปญั จโวการฝ่ายกามาวจร เมือ่ กุศลจิตตเ์ กดิ ข้ึนย่อม เกิดพรอ้ มดว้ ยเจตสิก ๒๒ ดวง คอื มหาภมู กิ ธรรมเจตสิก ๑๐, มหา กุศลภมู กิ ธรรมเจตสกิ ๑๐ และอนยิ ตภูมิธรรม ๒ (คือ วติ ก, วจิ าร) เม่ือกศุ ลจิตต์บังเกดิ ขน้ึ ยอ่ มเกิดพร้อมด้วยเจตสิก ๒๐ ดวง คือ มหาภูมกิ ธรรมเจตสิก ๑๐, มหากิเลสภูมิกธรรมเจตสิก ๖, มหาอกุศล ภูมิกธรรม ๒ และอนติ ยภูมิธรรม ๒ (คือ วิตก, วิจาร) เมื่ออาวรณ์ฝ่ายอัพยากตะจิตต์บังเกิดขึ้น ย่อมเกิดพร้อมด้วย เจตสกิ ๑๘ ดวง คอื มหาภูมธิ รรมเจตสกิ ๑๐, มหากิเลสภมู กิ ธรรม ๖ อนิตยภูมธิ รรม ๒ (คือ วติ ก, วิจาร) เมอ่ื อนาวรณฝ์ า่ ยอัพยากตะจิตต์บังเกิดขึ้น ย่อมเกิดพร้อมด้วย เจตสกิ ๑๒ ดวง คือ มหาภมู ิธรรมเจตสิก ๑๐ อนติ ยภูมิธรรม ๒ (คือ วิตก, วิจาร) ส่วนสัตวใ์ นรูปาวจร, อรปู าวจร ก็มพี ิสดารออกไป ถ้าขืน นามาแสดงจะกลายเป็นปาฐกถาเรื่องอภธิ รรมปิฎกนกิ ายสรวาสติวาทนิ ไป จึงของด ส่วนจิตตวปิ ยตุ ตสังขารธรรม ๑๔ ไดแ้ ก่ ปตั ติ, อปัตติ, สภาคตา, ชวี ิตนิ ทรีย์, ชาติ, ฐิติ, ชรา, อนิจจา, อสัญญีผล, อสัญญีสมาบัติ, นิโรธ สมาบัติ, นามกาย, พยัญชนกาย ระเบียบสภาวะธรรมฝ่ายนิกายสรวาสติวาทิน ท่านผู้ฟังลอง นาไปเปรียบเทียบกบั ระเบยี บสภาวะฝา่ ยอภิธรรมบาลีดูบ้างเถอะ จะ เห็นไดว้ า่ แตกตา่ งกนั ในทน่ี ้จี ะยกตัวอย่างเฉพาะหมวดเจตสิกธรรม ฝา่ ยบาลีมาแสดงไว้
๑๖ เจตสกิ ๕๒ ของฝา่ ยอภิธรรมเถรวาท ๑. อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ได้แก่ ผัสสะ, เวทนา, สัญญา, เจตนา, เอกัคคตา, ชีวิตินทรีย์, มนสิกาโร, วิตก, วิจาร, ปีติ, อธิโมกข์, วิริยะ, ฉันทะ ต้ังแตผ่ ัสสะจนถึงมนสิการรวม ๖ ดวง เรียกว่า สัพพ จติ ตะสาธารณเจตสกิ ท่เี หลอื เรียกว่า ปกณิ ณกเจตสกิ ๒. อกุศลเจตสิก ๑๔ ได้แก่ โลภะ, โทสะ, โมหะ, อหิริกะ, อโนตัปปะ, มานะ, ทิฏฐิ, อิสสา, มัจฉริยะ, กุกกุจจะ, ถีนะ, มิทธะ, อทุ ธจั จจะ, วิจกิ ฉิ า ๓. โสภณเจตสิก ๒๕ ได้แก่ ศรัทธา, สติ, หิริ, โอตัปปะ, อโลภะ, อโทสะ, ตัตตรมัชฌัตตา, กายปัสสัทธิ, จิตตปัสสัทธิ, กายลหุ ตา, จิตตลหุตา , กายมุทุตา , จิตตมุทุตา, กายกัมมัญญตา , จิตตกัมมัญญตา, กายปาคุญญตา, จิตตปาคุญญตา, กายุชุกตา, จิตตุ ชุกตา, วริ ตั ิเจตสิกอีก ๓ คอื สัมมาวาจา, สัมมากมั มันโต, สัมมาอาชี โว, อัปปมัญญา ๒, คือ กรุณา, มุทิตา, ปัญญินทรีย์ คือ ปัญญา เจตสกิ อีก ๑ ก็ถ้าหากอภิธรรมปิฎกจักเป็นพุทธพจน์แล้ว การจัดแบ่งจิตต์, เจตสกิ ซึ่งเป็นเรือ่ งของหวั ข้อธรรมจะไม่แตกต่างกนั จนเห็นได้ชัดอย่าง นีเ้ ลย ๙. นอกจากน้ีแล้ว ในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๒-๕ ได้มีพุทธ ศาสนานิกายหนึ่งเรียกตนเองว่า“สุตตวาที” ในภาษาบาลี หรือ “เสาตรฺ นตฺ กิ วาทนิ ” ในภาษาสสกฤต นิกายนีไ้ ม่ยอมรบั อภิธรรมปฎิ ก เป็นพุทธพจน์ อ้างเหตผุ ลว่าอภิธรรมเป็นงานรจนาของพระคันถรจนา จารย์เท่านั้น ฉะนั้นนิกายนี้จึงเผยแผ่แต่ฉะเพาะสุตตันปิฎก ถือเอา พระสตู รเปน็ ปทัฏฐานโดยไม่นาพากับอภิธรรมเลย
๑๗ นี่ก็บ่งใหเ้ หน็ อยโู่ ตง้ ๆ วา่ การปฏิเสธอภิธรรมมิไดเ้ ป็นของใหม่ หากได้มี ผูป้ ฏเิ สธมาตง้ั แต่หลังพทุ ธกาลเพียง ๒๐๐ ปี ๑๐. แม้ภายหลังที่เกิดลัทธิพระพุทธศาสนามหายานข้ึน ฝ่าย มหายานก็รับวา่ อภิธรรมเป็นรจนาของพระคันถรจนาจารย์
๑๘ สรูปความ เมื่อพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว จะเห็นประจักษ์ชัดว่าอภิธรรม มิใช่พุทธพจน์ ได้รับรองท้ังด้านประวัติศาสตร์, โบราณคดี เม่ือเป็น เช่นน้ี เราควรจะละทิง้ อภิธรรมปิฎกหรือ ? พระไตรปิฎกควรจะเหลือ เปน็ ทวปิ ิฎกกระนน้ั หรือ ? ขา้ พเจ้าขอตอบวา่ เราละทิ้งอภิธรรมปิฎก ไม่ได้ พระไตรปิฎกจะขาดแม้แต่ปิฎกใดปิฎกหนึ่งไม่ได้ ท้ังนี้เพราะ อภิธรรมเป็นขอ้ คดิ ทางทฤษฎวี เิ คราะหพ์ ุทธพจน์ และขยายอรรถแห่ง พุทธพจนใ์ ห้พสิ ดาร หลกั สาคญั ของอภิธรรมความจริงก็นาเอามาจาก สุตตันตปิฎกนัน่ เอง เชน่ ชักนามาจากมหาสติปัฏฐานสูตรในทีฆนิกาย เราจะพบความคดิ เรอ่ื งแบง่ ลักษณะจติ ต์นา ๆ ชนิดตามอารมณ์ ในสูตร นนั้ เชน่ สราคจิตต์ ๆ มีราคะ, วีตราคจิตต์ ๆ ไม่มีราคะ, สโทสจิตต์ ๆ มโี ทสะ, วตี โทสจิตต์ ๆ ไม่มโี ทสะ, สโมหจิตต์ ๆ มีโมหะ , วีตโมหจิตต์ ๆ ไม่มีโมหะ สังขิตตจิตต์ ๆ หดหู่, วิกขิตตจิตต์ ๆ ฟุ้งซ่าน, มหัคคต จติ ต์ ๆ ถึงความเป็นใหญ่, อมหัคคตจิตต์ ๆ ไม่เป็นใหญ่ , สอุตตระ จิตต์ ๆ เป็นสอุตตระ, อนุตตระจิตต์ ๆ เป็น อนุตตระ ฯลฯ ------\" พทุ ธพจนน์ ้ีได้เปน็ แนวทางให้คนั ถรจนาจารย์แตง่ อภิธรรม ไดแ้ บ่งแยก ประเภทของจิตต์ออกไปพิสดารตามภพ, ภูมิ, และอารมณ์ จน กลายเป็นจิตต์ ๘๙ ดวง พิศดาร ๑๒๑ ดวง นอกจากน้ียังชักนา หลกั ธรรมในสงั ยตุ ตนกิ าย เช่น ขันธสังยุตต์, ธาตุสังยุตต์ ฯลฯ มา อธิบาย ฉะน้ัน เราจะพบคาอธิบายในคัมภีร์วิภังค์, ธาตุกถา และ ธรรมสงั คณี ซ่ึงได้ข้อคดิ จากสงั ยตุ ตนิกายสว่ นมาก และในคมั ภรี ์ปุคคล บัญญัติ เราจะพบวา่ ท่านผูร้ จนาได้พยายามรวบรวมเอาประเภทแห่ง
๑๙ จาพวกบุคคลในโลกมาจากอังคุตตรนิกาย ศาสตราจารย์อกานุมาชาว ญ่ีปนุ่ กลา่ วว่า มีบคุ คลในปคุ คลบัญญตั ิเพียงประเภทเดียวเท่านั้นท่ีหา ไม่พบในอังคุตตรนิกาย นัน่ คอื บคุ คลประเภท สมสสี ี ในคัมภรี ์ปัฏฐานะ เล่า แทจ้ รงิ กเ็ ป็นการหยิบยกเอากฎแห่งปัจจัยการ ๑๒ ของพระพุทธ องคไ์ ปขยายความเพม่ิ เติมใหพ้ สิ ดาร โดยวัตถปุ ระสงค์เพ่อื ให้ประจักษ์ ในความเกี่ยวเน่ืองแห่งปัจจัยต่าง ๆ เท่าน้ัน ส่วนคัมภีร์ยมก แทัคือ ตรรกวิทยาชั้นเย่ียมทีเดียวละ อภิธรรมปิฎกจึงเป็นการรจนาของ คันถรจนาจารย์หลายทา่ น ช่วยกันเรียบเรยี งและรวบรวมพร้อมท้ัง ขยายความเพ่ิมเติม ทั้งนี้โดยอนุวัตรตามแนวแห่งพุทธมติ ต่าง คณาจารยต์ ่างแตง่ ขยายอรรถแหง่ พุทธพจน์ตามทศั นะของตน และ ดังนั้นจึงปรากฏว่า อภิธรรมปิฎกของแต่ละนิกายไม่เหมือนกัน การจัดระเบียบหมวดหมู่แห่งสภาวะธรรมไม่ตรงกัน ฉะเพาะ อภิธรรมปิฎกฝ่ายบาลี เข้าใจได้ว่าได้ถูกรวบรวมขึ้นเป็นปิฎกหนึ่งใน สมัยตตยิ สงั คายนา อนั ทจี่ รงิ อภิธรรมมเี ค้ากาเหนดิ มาช้านานก่อนปฐมสงั คายนาเสีย ดว้ ยซา้ กลา่ วคือในเบื้องสมัยพทุ ธกาลความคิดแนวอภิธรรมก็ปรากฏ แล้ว พระมหาสาวกผใู้ ห้กาเนดิ แนวคดิ อภิธรรม คือ พระสารีบุตรและ พระมหากจั จานะ ตลอดจนถึงพระโมคคลั ลานะ โดยฉะเพาะพระสารี บตุ ร ได้มีภาษิตอธิบายพุทธพจน์ให้พิสดารอยู่หลายสูตร เช่น สังคีติ สตู รในฑีฆนกิ ายเป็นตวั อยา่ ง ในสูตรน้มี ีลกั ษณะจดั ระเบยี บธรรมะเป็น หมวดหมู่ เปน็ แนวทางของการเรียบเรียงอภิธรรมและเป็นแบบอย่าง ของการทาสังคายนาดว้ ย นอกจากนย้ี งั คัมภีรจ์ ุลนทิ เทส, มหานิทเทส, และปฏิสมั ภิทามรรคในขทุ ทกนิกาย ก็ว่าเป็นภาษิตของพระสารีบุตร ดุจกนั ก็คัมภรี ์ทั้ง ๓ นี้มรี ปู โครงอยา่ งอภิธรรมนับเปน็ อรรถกถาเก่าแก่
๒๐ ท่ีสดุ สว่ นพระมหากจั จานะก็มีภาษิตขยายความพุทธพจน์หลายสูตร เหมอื นกัน จนได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเลิศในทางกระจาย ธรรมย่อให้พิศดาร บางสมยั พระองคต์ รัสแต่หัวข้อธรรมโดยย่อเรียกว่า อุทเทส แลว้ ใหท้ ่านเป็นผ้อู ธบิ ายแกพ่ ุทธบรษิ ทั กลา่ วกนั วา่ คัมภีรเ์ นตติ ปกรณ์ เป็นภาษิตของพระมหากัจจานะ คัมภีร์นี้แต่งเป็นอรรถกถา วรรณนานวังคสตั ถศุ าสน์ แมฝ้ ่ายนิกายสรวาสติวาทนิ กย็ งั บอกแสดงไว้ ว่า มีอภธิ รรมหลายปกรณแ์ ต่งโดยพระมหาสาวกทั้งหลายน้ี อน่ึงแม้ ในอรรถกถาฝ่ายบาลีก็ยังยอมรับว่าอภิธรรมเดิมสงเคราะห์อยู่ในเวย ยากรณ์ อันเป็นองค์หนงึ่ แห่งนวังคสตั ถศุ าสน์ จาเนียรกาลล่วงมา เมื่อสังฆมณฑลเกิดการแบ่งแยกนิกายโดย ทัศนะทางธรรม หรือทางวินัยของบรรดาคณาจารย์ไม่ตรงกันเป็น มูลเหตุ (ควรอ่านประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาภาค ๑ ของข้าพเจ้า ประกอบ) บรรดาคณาจารย์ได้ต่างพยายามแต่งอภิธรรมขยายอรรถ พทุ ธภาษิตมากขน้ึ หรอื บางครั้งแมเ้ ดิมจะเป็นภาษิตของพระมหาสาวก คร้ังพุทธกาล ท่านคณาจารย์เหล่าน้ันก็ได้แต่งเติมเถรภาษิตน้ันให้ กว้างขวางออกไปตามทัศนะของท่าน เช่นอย่างคัมภีร์อภิธรรมฝ่าย นิกายสรวาสติวาทิน ถึงแม้จะอ้างนามของพระมหาสาวกว่าเป็น เจา้ ของคมั ภรี ก์ ็จรงิ แตข่ ้าพเจ้าไม่มีข้อกังขาเลยว่าคัมภีร์นั้น ๆ ได้ถูก เพมิ่ เติมแตง่ เสรมิ อะไร ๆ ลงไปบ้างไม่มากก็น้อย อภิธรรมจึงยากขึ้น ยากข้ึนโดยลาดับ พิสดารมากข้ึนโดยลาดับ เต็มไปด้วยทฤษฎีหรือ กฎเกณฑใ์ หม่ ๆ และเต็มไปดว้ ยศพั ทเ์ ทฆนคิ พิเศษมากมาย ท้ังนี้โดย วัตถุประสงค์อันเดยี วร่วมกันคือ อธิบายกฎแห่งอนิจจังและอนัตตา ของพระพุทธองค์ให้ละเอียดสุดที่จะละเอียด อภิธรรมเหมือนกับ ตาราแยกธาตผุ สมธาตเุ ลม่ มหึมา ซ่งึ ได้นาเอานามธรรมและรปู ธรรมมา
๒๑ แยกแยะ ว่าส่วนใดเป็นอะไร, ส่วนใดประกอบผสมข้ึนด้วยอะไร, มี ความสัมพันธเ์ กี่ยวเนือ่ งกันอยา่ งไร ? มขี ้ึนได้อย่างไร ? ดับไปด้วยวิธี ไหน ? จะสร้างใหม้ ีขนึ้ อย่างไร ? ในอภิธรรมเราจะพบคาตอบอยา่ งจุใจ ตอ่ ปัญหาเหลา่ นี้ และเน่อื งด้วยเหตนุ ี้ เลยทาให้อภิธรรมปฎิ กเป็นปฎิ ก ท่ีต้องใช้เวลาศึกษาช้านาน ผู้ใดถ้ามีโอกาสศึกษาก็จะเกิดความพึง พอใจสนุกในการเรียนอภิธรรมมากข้นึ คอื ทาให้ได้รับความร้ลู ึกเข้าไป ทีละช้นั ของสภาวะธรรม ทาให้เกิดความคดิ วจิ ัยเขา้ ไปโดยลาดบั และ ผู้ทจี่ ะเก่งในอภิธรรม ก็ตอ้ งมคี วามจาทแี่ ม่นยาประกอบดว้ ย เพราะต้อง ท่องจาศัพท์เทฆนิคซึ่งบัญญัติข้ึน เพื่อเรียกสภาวะธรรมแต่ละ สภาวะธรรม และต้องจาทฤษฎีสัมพันธ์ของสภาวะธรรมแต่ละหมวด อกี ท้งั รปู ท้งั นามมากมาย ฉะนัน้ อภิธรรมจึงเหมาะสมฉะเพาะบัณฑิตหรือผู้มีเวลาว่าง ๆ เรยี นไวป้ ระดับปัญญา และสาหรับขบคิดธรรมะขั้นปรมัตถ์เท่านั้น ถ้า ปรารถนาปฏิบตั ิธรรมเพ่ือลว่ งทกุ ข์ หรือนาธรรมะมาประยุกตก์ บั ความ เป็นอยู่ประจาวันแล้ว ข้าพเจ้าขอแนะนาว่า ไม่จาเป็นต้องเรียนรู้ อภิธรรมปิฎกเลย เอาเพียงศึกษาขั้นสุตตันตปิฎก และเลือกศึกษา พระสตู รสาคญั ๆ ท่ีเกื้อกูลแก่การปฏิบัติอย่างละเอียดก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าปรารถนาจะเป็นนักพุทธปรัชญา หรือนักค้นคว้าทาง พระพุทธศาสนาละก็ ข้าพเจ้าขอแนะนาว่า ท่านต้องศึกษา พระไตรปิฎกท้ัง ๓ ปิฎกให้สมบูรณ์ และถ้าจะศึกษาให้แตกฉานใน อภิธรรมปิฎกได้ กจ็ ะเปน็ การดียง่ิ และพร้อมกันน้ันก็ตอ้ งศกึ ษาปกรณ์ วเิ ศษตา่ งๆ ซึง่ คณาจารยใ์ นพระพทุ ธศาสนารจนาไว้ รวมท้ังฝ่ายนกิ าย สาวกยานและนิกายมหายาน
๒๒ ข้าพเจ้าขอเพ่มิ เติมว่า ๑. อภิธรรมปิฎกเป็นพุทธภาษิตฉะเพาะบางส่วนของมาติกา และคาอธบิ ายธรรมะบางแหง่ ๒. ส่วนใหญเ่ ป็นของคนั ถรจนาจารย์ แต่งขยายพุทธพจน์ตาม แนวพุทธมติ และบางแห่งได้แทรกกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ข้ึน รวมท้ัง บัญญัติศัพท์ใหม่ ๆ ขึ้นด้วย การแต่งนั้นแต่งกันหลายท่าน เหมือนกับ การสอบนักธรรม มีการแต่งแก้กระทู้ธรรม ตัวกระทู้ธรรมเป็นพุทธ ภาษติ แต่คาอธบิ ายกระท้เู ปน็ อาจริยภาษิต ๓. นักปริยัติธรรมเมืองไทยควรศึกษาอภิธรรมปิฎกให้แตกฉาน ไม่ควรมองข้ามอภิธรรมปฎิ กไปเสีย ข้าพเจา้ เหน็ พอ้ งกบั คาพดู ของคุณ หลวงเทพดรุณานุศิษฏ์ (ทวี ป.๙) ท่ีว่าปัญหาธรรมะในพระสูตรบาง แห่งยน่ ยอ่ ยากแกก่ ารเข้าใจ ก็ไดค้ วามอธิบายโดยละเอียดในอภิธรรม และธรรมะในอภิธรรมท่ีละเอียดพิสดารจนยากที่จะรวบรัดความได้ เรากไ็ ด้ความสรปู อย่างย่อจากพระสูตร ขอจบปาฐกถาของขา้ พเจ้าแต่เพียงเท่าน้ี ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ท่านผ้เู จริญท้ังหลายทุกๆ ท่านเทอญ สวสั ดี
รายชือ่ หนังสอื และธรรมบรรยาย ของ อาจารย์เสถียร โพธนิ นั ทะ – ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนา – แนวพระพทุ ธศาสนา – พระพทุ ธศาสนาในราชอาณาจักรไทย – พุทธธรรมกบั ปรัชญา – ปรัชญามหายาน – บ่อเกิดลทั ธมิ หายาน – หลักสูญญตา – ปาฐกถาเรอื่ ง สุญญตา – ปาฐกถาเรอื่ ง ปรปจั จยั – พลเมืองทเิ บต – กระแสมนตรยานในนกิ ายเถรวาท – ประวัติพระไตรปิฎกฉบบั จนี พากย์ – คมั ภีร์บาลีในพระไตรปฎิ กจนี – “อภธิ รรมเป็นพทุ ธพจนห์ รอื ?” Download หนงั สอื และธรรมบรรยายไฟล์ pdf https://archive.org/details/@pbook2 (Free Download)
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: