Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

Published by WATKAO, 2021-01-22 07:08:58

Description: สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

Keywords: สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

Search

Read the Text Version

- 49 - ** พระสารีบุตร กลา วถึงศีล วา ถงึ ที่สุด ( ศลี ขาด ) มี ๕ อยาง ** ศีลในวสิ ทุ ธิมรรคกลาวไว ๔ ขอ (กลาวไวใ นวสิ ทุ ธมิ รรค) ๑) ศีลถงึ ทส่ี ุด เพราะ ลาภ ๑) ปาฏิโมกขสงั วรศีล ปด กนั ทาง กาย + วาจา = สมถะ ๒) ศลี ถงึ ท่สี ดุ เพราะ ยศ ๒) อินทรยิ สังวรศลี ๓) ศีลถงึ ท่สี ุด เพราะ ญาติ ผูป ฏบิ ัติใดหวังในลาภ ยศ ญาติ อวยั วะ ชวี ิตแลว ขณะน้ัน ๓) อาชวี ปาริสทุ ธิศีล - อาศัยวิรยิ ะเปนบาท ปด กันทาง ใจ = วิปสสนา ๔) ศีลถงึ ทส่ี ุด เพราะ อวยั วะ ไมไดถ อื เอาศีลเปน ใหญ เปน เหตทุ าํ ใหศ ลี ขาดลงได ๔) ปจ จยสันนิสสิตศีล - อาศัยปญ ญา ๕) ศลี ถงึ ที่สุด เพราะ ชวี ิต ( การรักษาศีลในวสิ ุทธิ มงุ หมายเปน บาทใหถ งึ มรรค ผล ยกตัวอยา งเชน ทานพระตสิ สะเถระ ) ** อรรถกถาจารย กลาวไว ๑) ศีลถึงท่ีสุด ตามสิกขาบทนน้ั เชน คฤหัสถ มศี ีล ๕ / ๘ เปนท่สี ุด ๒) ศีลถงึ ท่ีสุด เพราะกาล เชน คฤหสั ถ สมาทานศลี ๘ เปนเวลา ๓ วนั ** ขยายความหลักในการเจรญิ สลี านุสสติ ขอท่ี ๕) ตอ งประกอบดว ยความรูวา ศีลน้นั เปน เหตทุ าํ ให อปุ จารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ มรรคสมาธิ และผลสมาธิ เกดิ ข้นึ ได การเจริญสลี านุสสติ - อานสิ งส ๑. มคี วามเคารพในพระรัตนตรัย ในทกุ ภพทุกชาติ ๓. มศี รัทธาปสาทในทุกภพทุกชาติ ๒. มคี วามปตปิ ราโมทย อยา งไพบลู ย ๔. มอี ายยุ ืน, สมบตั ิมาก, ปญญามาก สมถะ วปิ ส สนา - ตองมีความบรสิ ทุ ธิ์ในศลี ท้ัง ๔ กองแหงศีล กองแหงสมาธิ กองแหงปญญา [ ไมข าด ไมท ะลุ ไมด าง ไมพ รอ ย ] ส.วายา. สต.ิ สมาธิ ส.ทฏิ ฐิ. สังกปั ป. - เจริญใหมๆ อาศยั บัญญัติที่เกี่ยวของดวย ส.วาจา. กัมมันตะ. อาชวี ะ ปญ ญา - รูในนามรปู และ บุคคล วตั ถุ เวลา อธิจิต อธิปญญา รเู หตุของนามรูป ขอบเขตเบอ้ื งตน ได \" บริกรรมภาวนา \" (สติ > ม.ก.ุ ๘) อธศิ ลี ๒. จติ ตวสิ ทุ ธิ ๓. ทิฏฐิวสิ ทุ ธิ - โลกยี ะ - คน หา \" สภาวะแหงศีลจิตตุปบาท \" ได ๔. กังขาวติ รณวสิ ุทธิ ปญญา - ในไตรลักษณ - โลกุตตร เขา ถงึ \" อปุ จารภาวนา \" (สติ > ม.ก.ุ ส.ํ ๔) ๑. ศีลวิสทุ ธิ ๕. มัคคามคั คญาณ. ปญ ญา - พระนพิ พาน ๖. ปฏปิ ทาญาณ. สมถยานกิ ะ ( = ปาฏิโมกขเทาน้ัน - ปาฏโิ มกขสังวร ๗. ญาณทัสสนวิสุทธิ หา มทางกาย วาจา ) - อินทริยสงั วร - อาชวี ปาริสทุ ธิ - ปจ จยสันนสิ สิต

- 50 - 5 จาคานุสสติ ( น.๕, ๑๒๓ - ๑๒๙ ) หมายความวา การระลึกถึงการบรจิ าคทานของตน ที่เปนไปโดยบรสิ ุทธ์ิ ไมมีการโออ วด หรือการเอาหนา เอาชอื่ เสียงแมแ ตประการใด อยเู นืองๆ ดงั วจนัตถะวา \" จาคา อนสุ สฺ ติ = จาคานุสฺสติ \" การระลกึ ถงึ การบรจิ าคทานของตนท่ีเปนไปโดยบรสิ ุทธิ์อยูเนืองๆ ช่ือวา จาคานสุ สติ องคธรรมไดแ ก สติเจตสกิ ทใี่ น มหากศุ ลจติ ท่มี บี รจิ าคเจตนาเปน อารมณ ๑) เหตเุ บอื้ งตน ผเู จริญตอ งมีการบริจาคทานทถี่ ึงพรอ มดวยคุณความดี ๓ ประการ ** คําบริกรรมภาวนา ยฺวาหํ จาเค สทา รโต ๑. ธมั มิยลัทธวัตถุ วัตถสุ งิ่ ของที่เปนเทยยธรรมนั้น ไดม าบรสิ ทุ ธิโ์ ดยชอบธรรม มนุสฺสตฺตํ สุลทฺธํ เม ปชาย วคิ โต ตโต ฯ ๒. บริบรู ณด ว ยเจตนาทง้ั ๓ คอื ปุพพเจตนา มุญจเจตนา อปรเจตนา มจฺเฉรปริยฏุ  าย ๓. มตุ ตจาคี คอื การบรจิ าคท่ีสละละพน ไปจากความตระหน่ี และตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ในบรรดาชนท้งั หลาย ทีม่ มี ัจฉริยะกอ กวนกาํ เริบดวยการหวงแหนอยูน้นั แตเ รานน้ั มคี วามยนิ ดีปลม้ื ใจ ๒) การเปรียบเทยี บการบรจิ าคของบุคคลอนื่ กับตัวเรา อยแู ตในการบริจาคทาน โดยความปราศจากมจั ฉริยะลงได การท่เี ราไดเกิดมาเปน มนุษยน ดี้ จี รงิ หนอ ๑. การบริจาคของตนปราศจาก ตณั หา มานะ ทิฏฐิ ๒. มีการขม ศัตรูภายใน อันไดแ ก ความตระหนี่ ๓. ตองรอู านสิ งสวา การบริจาคทานเปนเหตใุ หอ ายุ วรรณ สขุ พละ ** ขอบเขตของการภาวนา ๑) อาศัยบัญญตั ทิ ี่เก่ียวของดวย บุคคล วตั ถุ ส่ิงของ เวลา อาศัยบัญญตั ิ เมอื่ วาน ตองมคี ุณความดี ๓ อยาง - ธัมมยิ ลทั ธวตั ถุ สติระลกึ รู เปน ม.กุ.๘ แตว นั นี้ระลกึ โดยปุคคลาธิษฐาน เปน \" บรกิ รรมภาวนา \" - พรอมเจตนา ๓ - มุตตจาคี ๒) คน หาสภาวะในขณะทใี่ หท าน กัมมชรูป --> จติ ตชรูป --> เจตนาทาน --> ม.กุ.๘, ๓๗(เจต) (กาย+วจีสจุ ริต) (เปนประธาน) [ ตางกันท่ี ปคุ คลาธิษฐาน แตเหมือนกันที่ ธัมมาธิษฐาน ] ๓. สภาวะ จะเปน บาทใหกับการระลกึ รใู นกาลหลงั ๆ --> เปน \" อุปจารภาวนา \" ** อปุ สรรคในเจรญิ จาคานุสสติ ๑) ตองพรอ มดว ย คณุ ความดี ๓ ประการ แลว ตอ งคนหาสภาวะของทานกุศลจิตตุปบาทใหเ จอ เพ่ือเปนบาทใหกบั สตใิ นกาลหลงั ถาคน หาสภาวะได กเ็ ขาถงึ ขอบเขตของอปุ จารภาวนา หากอยูกับบัญญตั ิ ก็ไดเพียงบรกิ รรมภาวนา ๒) หากมีการปฏบิ ัติสารณยี ธรรม ก็จะทาํ ใหก ารเจริญจาคานุสสติ มกี ําลงั มากขึน้

- 51 - ** การปฏบิ ัตสิ ารณยี ธรรม หรือ สารณียวัตร ( น.๑๒๕ ) มุงหมายในภิกษุ + สามเณร - ภพน้ี - ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม (ชาตินี้ ) - ภพหนา - อปุ ช ชเวทนยี กรรม (ชาตทิ ี่ ๒ ) ท้ังโภคสมบัติ และภวสมบตั ิ ๑) ไมล ําบากในการบริโภค - อปรเวทนยี กรรม (ชาตทิ ี่ ๓ เปนตน ไป ) ๒) แมจ ะใหอาหารแกภ ิกษเุ ทา ไรกไ็ มหมด ๓) หากมีการจับสลากภตั ยอ มไดของสิง่ ท่ีดียิ่ง ๔) รกุ ขเทวดา + ภมุ มฏั ฐเทวดา เอาใจใสใ นการใสบาตร ** ขั้นตอนการตระเตรยี ม ๑) ตอ งเปน สถานทมี่ ีพระภิกษุ และสามเณรไมม าก ๒) พระภกิ ษุและสามเณรเหลานนั้ ตอ งมี สลี วันตะ ( ศลี บรสิ ทุ ธิ์ ) และมีสิกขากมั มะ คอื ศกึ ษาอยู ๒ หมวด คอื คนั ถธุระ และวปิ ส สนาธรุ ะ ๓) ตองตง้ั จิตอธิษฐานในการปฏบิ ัตสิ ารณียธรรม เปน เวลา ๑๒ ป ๔) ตอ งแจงใหภ กิ ษแุ ละสามเณรในทน่ี ั้นทราบ ** วธิ ีการปฏบิ ตั ิ ๑) ภิกษุผูป ฏิบตั ิ เม่อื ไดอ าหารท่บี ิณฑบาตมาแลว จะแจกอาหารตามความพอใจไมไ ด ตองใหพ ระภกิ ษุผูมพี รรษามากเรยี งตามลําดับ ยกเวน ๑. พระภกิ ษสุ ามเณร ผอู าพาธ ๒. พระภิกษุสามเณร ผูพยาบาล ๓. พระภิกษสุ ามเณร ทเ่ี ปนอาคันตุกะ ๔. พระภิกษุสามเณร ผเู ปนคมั มกิ ะ คอื จะรบี ไปธุระ ๕. พระภกิ ษสุ ามเณร ทีเ่ ปน นวกะ ( ผูบวชใหม ) คือ ยงั ครองจีวรและอมุ บาตรไมเปน ในขณะท่ีทาํ การถวายนนั้ ผูป ฏิบตั ิจะจดั แบง ถวายไมได ตองสงใหท้ังบาตร แลว แตผ ูรับจะรับหรือไมร ับ และหยิบตกั เอาตามความพอใจ ที่เหลือจึงนาํ มาบริโภคได ๒) หากอาหารท่บี ณิ ฑบาตมาไมเพยี งพอตองออกไปบิณฑบาตใหมท กุ ครง้ั ในระหวางเวลาทีย่ งั ไมถึงเทย่ี ง หากจะกลับไปรับใหมแ ตห มดเวลาผูปฏิบตั ิตองยอมอด ๓) สาระสําคญั ของการปฏิบตั ิ คอื ตอ งไมถอื โทษเปน อนั ขาดตอ งระงับความโกรธ หากมีความโกรธเกดิ ข้นึ ความอุตสาหพยายามที่ปฏบิ ัติมาก็สูญส้นิ ตอ งเร่ิมปฏิบัตใิ หม ( แตไ มไ ดส ญู สน้ิ ในอานิสงส ) ๔) หากผปู ฏิบตั ิ สารณยี ธรรมมีการเจรญิ ใน จาคานสุ สติดว ย ก็จะระงบั ความโกรธไดด ี

- 52 - 5 เทวตานุสสติ ( น.๕, ๑๒๙ - ๑๓๐ ) หมายความวา การระลกึ ถงึ กศุ ลกรรมของตน มีศรทั ธา เปนตน โดยเปรยี บเทยี บกับเทวดา พรหมท้ังหลายท่บี รบิ ูรณดวยสัปปุริสรตั นะ ๗ อยาง และสัปปุรสิ ธรรม ๗ ประการอยเู นอื งๆ องคธ รรม ไดแ ก สติเจตสกิ ทใี่ น มหากศุ ลจติ ทีม่ ีศรัทธาเปนตน เปน อารมณ - สัปปุริสรัตนะ ๗ ไดแก ศรทั ธา ศีล สุตะ จาคะ ปญญา หิริ โอตตัปปะ ** ขอบเขตการระลึก - สัปปุริสธรรม ๗ ไดแก ศรทั ธา สติ หริ ิ โอตตัปปะ พาหสุ ัจจะ วิรยิ ะ ปญ ญา รวมเปน ๙ ( สุตะ ถา ฟงมากๆ บอยๆก็เปน พาหสุ จั จะ ) ระลึกในคณุ ธรรมท้งั ๒ หมวด อารมณภ ายใน ระลึกในคณุ ธรรมของเทวดา พรหม ใน * คณุ ธรรมในการเจรญิ เทวตานสุ สติทั้งหมด มี ๙ ( สปั ปุรสิ รัตนะ ๗, สปั ปุรสิ ธรรม ๗) ธรรมทัง้ หมด = อารมณภ ายนอก * คณุ ธรรมในการเจริญเทวตานสุ สติ เหมือนกนั ทั้ง ๒ มี ๕ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ ปญญา เปรยี บเทยี บคณุ ธรรมท้งั ๒ * คณุ ธรรมทีเ่ ปน สปั ปุรสิ รัตนะอยางเดยี วมี ๒ คอื ศลี จาคะ ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ * คณุ ธรรมทเ่ี ปนสัปปุรสิ ธรรมอยา งเดียวมี ๒ คือ สติ วิรยิ ะ ** อปุ สรรคในการเจริญเทวตานสุ สติ สติ ระลกึ --> ม.ก.ุ ๘ สติ ระลกึ --> ม.ก.ุ ๘ สติ ระลึก --> ม.กุ.ส.ํ ๔ \" บริกรรมภาวนา \" \" บรกิ รรมภาวนา \" \" อปุ จารภาวนา \" ๑) ผูระลกึ ตองมคี ณุ ธรรมทั้ง ๒ หมวด หากขาดธรรมใดธรรมหนง่ึ การระลกึ ถอื วาไมสาํ เรจ็ * ยกเทวดาเปน พยาน ระลกึ วา ๒) หากมคี ณุ ธรรมครบท้ัง ๒ หมวด ตอ งคนหาสภาวะของคุณธรรมเหลาน้ัน - เทวดาชั้น จาตุมหาราชกิ า มีอยจู ริง - เทวดาชนั้ ดุสติ มีอยจู รงิ หากคน หาสภาวะเจอจึงจะได \" อุปจารภาวนา \" ถาไมเ จอกไ็ ดเ พียง \" บรกิ รรมภาวนา \" - เทวดาชัน้ ดาวดงึ ส มอี ยูจริง - เทวดาชน้ั นิมมานรตี มอี ยจู ริง ๓) ถา เปน ผูเจริญสลี านสุ สติ และจาคานสุ สตมิ ากอน การระลึกในเทวตานสุ สติคอ นขางสะดวก - เทวดาชนั้ ยามา มอี ยจู ริง - เทวดาชั้น ปรนมิ มติ วสวตั ตี มีอยูจริง ๔) เหมาะสาํ หรบั พระอรยิ ะท่จี ะระลึกเทา น้นั โดยยกเทวดาไวเปนพยาน ** อานิสงส ๑. เปน ทรี่ ักใครข องเทวดา ๔. มศี รทั ธาในทกุ ภพทกุ ชาติ ๒. มคี วามไพบูลยใ น ศรัทธา ศลี สตุ ะ จาคะ ปญ ญา เปนตน ๕. มกี ามสุคติภมู ิเปน ทห่ี วัง * พุทธคุณ, ธมั มคณุ , สังฆคุณ ใชอารมณภ ายนอก ๓. มีปตปิ ราโมทย * สีลานสุ สติ ใชอ ารมณภ ายใน ** ๓ อยางในชีวติ * จาคานุสสติ ใชอารมณภายใน ๑) ๓ อยา งในชวี ติ ที่ ไมห วนกลบั คือ เวลา, โอกาส, คําพดู * เทวตานุสสติ ใชอ ารมณภ ายใน และภายนอก ๒) ๓ อยางในชวี ติ ท่ี ขาดไมได คอื ความสงบแหงจติ ใจ, ความซอ่ื สัตย, ความหวัง คอื คุณธรรมท้งั ๒ หมวดของเทวดา ๓) ๓ อยา งในชวี ติ ท่ี มคี ณุ คา คือ ความมั่นใจในตนเอง, ความรกั , กัลยาณมติ ร ๔) ๓ อยางในชวี ิตท่ี ไมแ นนอน คอื โชคชะตา, ความฝน, ความสําเรจ็ ๕) ๓ อยา งในชีวิตท่ี สูความพนิ าศ คือ ความเยอหย่งิ , ความโกรธ, ความประมาท

- 53 - 5 อปุ สมานสุ สติ ( น.๕, ๑๓๐ - ๑๓๕ ) หมายความวา การระลกึ ถงึ คุณของ \" พระนพิ พาน \" ทมี่ ีสภาพสันติสขุ สงบจากกิเลส ขันธ ๕ อยูเนอื งๆ องคธรรม ไดแก สติเจตสิก ที่ใน มหากุศลจติ ทม่ี คี ณุ ของพระนิพพาน เปนอารมณ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม.๔ ผ.๔ ผ ฯ ... ปจ จเวกขณะ ระลกึ ถึง ม.ผ.นิพพาน กเิ ลสท่ลี ะ กเิ ลสทเี่ หลอื ม.กุ.ส.ํ ๔ โลกตุ .๘ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ม.กิ.ส.ํ ๔ รบั อารมณพ ระนพิ พาน สติเจ. --> ม.กุ.๘ / ม.ก.ิ ๘ --> ม.ผ. แนน อน ม.ก.ุ ส.ํ ๔ / ม.ก.ิ ส.ํ ๔ --> นิพพาน - วา โดยบุคคล เกิดกับพระอรยิ ะเทานั้น ม + ม.ก.ุ ส.ํ ๔ + ม.ก.ิ สํ.๔ + อภิญญาจติ ๒ รบั พระนพิ พาน ไมแ นนอน ถาเปนบุคคลท่วั ๆ ไป ตอ งมสี ตุ มยปญญาอยา งดี จึงจะพออนุมานในสภาพรปู นาม ใหเหน็ โดยความเปนทกุ ขโ ทษภัย เมอื่ น้นั คณุ ของพระนิพพาน กม็ ีโอกาสพอจะระลกึ ได **พระนิพพานจัดเปน \"ขันธวิมตุ \" เพราะ ๓) พระนพิ พาน มี ๓ คอื ๑) พระนพิ พาน ไมม ปี จจบุ ัน อดีต อนาคต ดังนั้น พระนิพพานจงึ เปน \" กาลวิมุต \" ๑. สุญญตนิพพาน - ความเปน อยูของพระนพิ พานทสี่ ญู สน้ิ จากกเิ ลสและขันธ ๕ ๒) พระนพิ พาน ไมใชอ ชั ฌัตต แตพ ระนิพพานเปน \" พหทิ ธ \" มปี ญญนิ ทรยี แกก ลา เห็นอนตั ตธรรม ๓) พระนิพพาน ไมใ ชโอฬารกิ แตพระนพิ พานเปน \" สขุ มุ \" ๒. อนิมิตตนพิ พาน - ความเปนอยขู องพระนิพพานทไี่ มม นี มิ ติ เครือ่ งหมาย รปู รา งสณั ฐาน ๔) พระนพิ พาน ไมใ ช หนี แตพ ระนพิ พานเปน \" ปณตี \" มีสทั ธินทรียแ กก ลา เห็นอนิจจธรรม ๕) พระนพิ พาน ไมใ ช สนั ติกะ (ใกล ) แตพระนพิ พานเปน \" ทรู ะ \" (ไกล / ของยาก ) ๓. อัปปณิหิตนพิ พาน - ความเปนอยขู องพระนพิ พานทไ่ี มเปน ที่ตั้งแหงตณั หา \" ตณั หา เกิดกับภายในของบคุ คล เรียกวา ปณิหติ \" ** ประเภทของพระนพิ พาน \" พระนพิ พาน เกดิ กบั ภายนอก เรยี กวา อัปปณิหิต \" ๑) พระนิพพาน มี ๑ คือ สันติลักษณะ มีความสงบจากกิเลสและขันธ ๕ มีสมาธินทรยี แกกลา เห็นทกุ ขธรรม ๒) พระนพิ พาน มี ๒ คอื ๑. สอปุ าทิเสสนิพพาน - มคี วามสงบจากิเลสแตย ังมขี ันธ ๕ อยู ๔) พระนิพพาน มี ๔ วา โดยบคุ คล คือ โสดาบนั บคุ คล --> อรหันตบคุ คล หรอื เรียกวา \" ทิฏฐธัมมนพิ พาน \" หรือนิพพานของพระอรยิ ตา่ํ ๓ที่ยังมกี เิ ลสเหลอื อยู ๕) พระนพิ พาน มี ๖ อยา งวา โดย ธรรมคุณ ๖ บท มี ๒. อนปุ าทิเสสนิพพาน - มีความสงบจากกเิ ลสและขนั ธ ๕ หรือเรยี กวา \" สมั ปรายกิ นิพพาน \" หรือนพิ พานของพระอรหันต ท่หี มดกิเลสแลว ๑. สวากฺขาโต ๔.เอหิปสฺสโิ ก ๒. สนฺทิฏ โก ๕.โอปเนยยฺ ิโก ๓. อกาลิโก ๖.ปจจฺ ตฺตํ เว ทติ พโฺ พ วิ ฺ ูหิ

- 54 - ** พระนิพพานจดั เปน \" วิภาวตณั หา \" บุคคลที่ไมม กี ารศึกษาในสตุ มยปญญาอยา งดี เขาใจผิดวา \" พระนิพพาน \" เปน \" เวทยิตสุข \" หรือเปน ดินแดนทพี่ ระอรยิ ะ ทง้ั หลายเมือ่ ปรินพิ พานแลว ไปรวมกนั อยู แลว มีความปรารถนาอยากทจ่ี ะไปในพระนิพพานนน้ั ** พระนิพพานทีแ่ สดงในสมถะ และในวปิ สสนา สมถะ - ไดถ งึ อปุ จารภาวนา วิปสสนา - ไดถึงอปั ปนาภาวนา ๑) อาศัยการมสี ุตมยปญญาอยางดี เหน็ สภาพรูปนามโดยทุกขโ ทษภยั ๑) เกิดจากการปฏิบตั ิในวสิ ุทธิ ๗ ในโสฬสญาณ ( ญาณ ๑๖ ) แลว อนมุ านเขา ถึงคุณธรรมของพระนิพพาน ไดข อบเขตเพียง \" บริกรรมภาวนา \" ๒) มปี จ จเวกขณะญาณมาระลึกคณุ ของพระนิพพาน เปน อุปสมานสุ สติ แท ๒) การระลึกในอุปสมานสุ สติ เปน วสิ ยั ของพระอรยิ ะเทานั้น ที่จะเขา ถึง \" อุปจารภาวนา \" ได ** วธิ ีการระลึกในคุณพระนพิ พาน (พิจารณาฝา ยสมถะ ) พิจารณาในโทษของรูปนาม ระลกึ คณุ ของพระนพิ พาน ระลึกคุณของพระนพิ พาน ๒๙ ขอ (น.๑๓๐) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... สตเิ จ. --> ม.ก.๘ --> บริกรรมภาวนา บริกรรม \" ยาวตา ภิกขฺ เว ธมมฺ า สงฺขาตา วา อสงฺขาตา วา วิราโค เตสํ ธมมฺ านํ อคฺคมกขฺ ายติ, ยททิ ํ มทนิมฺมทฺทโน, ปป าสวนิ โย, อาลยสมคุ ฺฆาโต วฏฏ ป จเฺ ฉโท ตณฺหกขฺ โย, วิราโค, นโิ รโธ, นิพพฺ านํ ฯ ( น. ๑๓๒ )

- 55 - 5 มรณานสุ สติ ( น.๕, ๑๓๖ - ๑๔๒ ) หมายความวา การระลกึ ถึงความตายทต่ี นจะตอ งไดป ระสบ แลวเกดิ ความสังเวชสลดใจอยูเนืองๆ ชอื่ วา มรณานสุ สติ องคธรรม ไดแก สตเิ จตสิก ที่ใน มาหากุศลจิต ทีม่ ชี ีวติ ินทรยิ ุปจเฉทมรณะเปน อารมณ * มรณะมี ๔ อยา ง คอื ตายละ ขณะหนึ่ง พึงสมมตุ ิ หยดุ ชวี ติ ๑. สมุจเฉทมรณะ ๒. ขณกิ มรณะ ๓. สมมตุ ิมรณะ ๔. ชวี ิตนิ ทรยิ ุปจ เฉทมรณะ - การเขา ปรินพิ พานของพระอรหันต - ความดบั ของสังขาร - ความตายทโี่ ลกสมมุติ - ไดแก รูปชวี ติ นามชวี ติ ของสตั วทัง้ หลาย ที่ตัดเสยี ซ่งึ วัฏฏทกุ ขทัง้ ปวงได รูป นาม ทเ่ี ปน อยทู ุกๆ ภังคกั ขณะ เรียกกนั วา ตน ไมตาย ทองแดงตาย ดับสน้ิ ลงไปในภพหนึ่งๆ โดยสิ้นเชงิ ของจติ เจ. รูป ปรอทตาย เหลก็ ตาย - ไมไดเก่ยี วกบั บคุ คลท่ัวไป - เปนมรณะชนดิ ละเอยี ดมาก - ไมทําใหความสังเวชเกดิ ขึ้นได - เปน มรณะท่เี กี่ยวขอ งกับบคุ คลทว่ั ไป มี ๒ บคุ คลทัว่ ไปไมส ามารถพจิ ารณาเหน็ ได ๑.กาลมรณะ การตายดว ยสิน้ บญุ / ส้นิ อายุ หรอื ทัง้ สอง ๒.อกาลมรณะ การตายดวยอุปจ เฉทกกรรม (อปุ ท วเหตตุ า งๆ ) ไมเกดิ ความสงั เวช ไมไดอยใู นวิสยั ของบุคคลทัว่ ไปท่จี ะพิจารณาได - อยใู นวสิ ยั ของบคุ คลท่วั ไปใชพ ิจารณาระลึกได - มรณานุสสตมิ ุงหมาย มรณะประเภทนี้ * ลักษณะของ \" อารมณก ับจติ \" ในการเจรญิ มรณานสุ สติ * ชีวิตนิ ทริยุปจ เฉทมรณะ - มุงหมายรูปชวี ติ นามชีวติ ( ธาตุ ๔ ดับ - หทยรปู ดบั (อุปาทายรปู ดบั ) --> นามดับ ) - บคุ คลที่ไมไดเจริญมรณานสุ สติ ภพกอน ภพน้ี อารมณเกดิ สงั เวช + จติ ระลกึ ---> โทมนัส สภาคะกัน ๑๗ จตุ ิ ปฏิ ปจฉาชาตปจจยั รปู ชวี ิต นาม ๑๖ ดวง - บุคคลทีเ่ จริญมรณานุสสติ นามชวี ติ ปฏิสนธิ + เจ. ๑๗ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ภ จตุ ิ อารมณเ กดิ สงั เวช + จิตระลกึ ---> มหากศุ ล. ๘ กาย ภาว วตั ถุ วิสภาคะกัน รูปชวี ิต + ชวี ติ ินทรีย (นาม) หทยํ นามชีวิต เปนเรือ่ งยากเพราะอารมณส ังเวช แตจ ติ มีปญ ญาเปนมหากศุ ล ทยอยเกดิ ดบั ตามอายุของรปู รปู ชีวิต ตอ งเปนวิสภาคะกนั วัตถุปุเรชาตปจจัย

- 56 - * ข้นั ตอนในการเจริญมรณานุสสติ ( น. ๑๓๖ ) ๑. พจิ ารณาอสุภทีอ่ ยูเบ้ืองหนา การเจรญิ มรณานุสสติ ใชอารมณ ๓ อยา ง -----> ๒. พิจารณาบคุ คลท่ีตายไปแลว ๓. คาํ บรกิ รรม \" มรณํ เม ภวิสฺสติ, ชวี ิตนิ ทฺ ฺรยิ ํ อุปจฺฉชิ ฺชสิ สฺ ติ \" = เราจะตองตาย รปู ชีวติ นามชวี ติ จะตอ งขาดจากกัน = ความตายเปนของแน ความมีชีวติ อยูเปนของไมแน หรอื \" มรณํ เม ธวุ ,ํ ชวี ิตํ เม อธวุ ํ \" อโยนิโส โยนโิ ส ปญญาทรี่ ะลกึ ความสงั เวชไมมี มแี ตการเกดิ โทษ ( สภาคะ ) ปญ ญาเกดิ จากการระลกึ ความสงั เวชได ( วสิ ภาคะ ) - ความเศราโศกเกิดเมอ่ื นกึ ถึงคนที่รักตายไป - สตริ ะลกึ ความตายของทกุ ๆ คนเปน เรื่องธรรมดา - ความปราโมทยเกดิ เมอ่ื นึกถงึ คนตายที่เปน ศัตรู ไมเกี่ยวของดว ยความรกั , ชัง, ศตั รู - ความสังเวชไมเกดิ เมือ่ นึกถงึ คนท่ีไมร ูจกั - เมื่อสติดีแลวเปน เหตใุ หเ กดิ - ความกลัวจะเกดิ ข้นึ เมื่อนกึ ถึงตัวเอง ก. สังเวค = สตริ ะลึกอยูเนอื งๆ ประโยชนของสังเวค (สังเวควัตถุ) ( ท้งั ๔ ขอ ไมเกิดปญญา มีแตโทษ ) ๑) เปน ผตู ง้ั อยูในความไมประมาทตน่ื ตัวอยูใ นธรรมอยเู สมอ ๒) เปนการยกจิตใหสงู ข้ึนทําใหเ กดิ ความราเรงิ ข. ญาณ = ปญญารใู นสภาวธรรม * สงิ่ ที่ไดจ ากการเจริญ \" มรณานสุ สติ \" * การเจรญิ มรณานสุ สติ - สามารถละนิวรณไ ดชัว่ ขณะหนึง่ - สติ ทใี่ น มหากุศลจติ ๘ คือ ระลกึ ความสงั เวชไมใชเ ปนไปดว ยโทษ วาโดย อารมณ เปน \" ปรมตั ถ \" วาโดย ภาวนา ได ๒ ภาวนา คอื บรกิ รรมภาวนา และอุปจารภาวนา วา โดย ภูมิ ได ๒๒ ภูมิ คือ มนษุ ย, เทวดา ๖, รูปภูมิ ๑๕ ( เวน อบาย ๔, อรปู ภมู ิ ๔, อสัญญ.) วาโดย จริต เหมาะกบั \" พุทธจิ ริต \"

- 57 - * วิถีจิตขณะระลึกความตาย ระลกึ ความตาย อสุภ ชีวติ ินทริยุปจเฉทมรณะ บคุ คลทไ่ี ดตายไปแลว รูปชีวติ + นามชวี ติ ( ใหมๆ อาศยั บญั ญัติ กศุ ลกเ็ กิดได ) ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท สติ ทใ่ี น มหากุ.๘ * การเปรียบเทียบความตาย ๘ อยา ง แสดงไวใ นอนสุ สติกัมมัฏฐานนทิ เทส สติ ทีใ่ น มหาก.ุ สํ.๔ ไปรูสภาพธรรม ๑) ความตายเหมือนเพชรฆาต อุปจารภาวนา บรกิ รรม ๒) ความตายเปน วบิ ตั แิ หง สมบตั ิ ๓) ความตายโดยการเปรียบเทียบ \" มรณํ เม ภวิสสฺ ต,ิ ๔) ชีวติ +รา งกายเปน ของสาธารณะ ชวี ิตนิ ทฺ รฺ ิยํ อปุ จฉฺ ชิ ฺชสิ สฺ ติ \" ๕) อายุเปนของออนแอ เราจะตองตาย รูปชีวติ นามชวี ิต ๖) ชวี ติ ไมป รากฏนมิ ติ จะตองขาดจากกนั ๗) ชวี ติ กําหนดดวยกาล หรือ \" มรณํ เม ธวุ ,ํ ชีวิตํ เม อธวุ ํ \" ๘) ชวี ิตเพยี งแตจติ ขณะเดียว ความตายเปนของแน ความมีชีวิตอยูเปนของไมแ น * มรณสัญญาทีต่ องประสงคในการเจรญิ มรณานุสสติ * อานิสงส ๑) มีความไมป ระมาท แมจะไมไดถ งึ อัปปนา แตกม็ ีขัน้ แหงการสาํ เร็จในการเจริญได ขน้ั แหงการสําเร็จนัน้ ไดแ ก ความรสู ึกเกย่ี วกับความตาย ท่ีเรียกวา มรณสัญญา ๘ ประการ คอื ๒) อนภิรตสิ ญั ญา - ความไมย ินดใี นภพชาติ ๓) มีหริ ิโอตตัปปะ ๑) ความรสู ึกท่ีเกย่ี วกับความตายไดเกดิ ข้นึ วา ชวี ิตของเรานจ้ี ะมอี ยูต อ ไป ไดอ ีกประมาณแค วนั หนึ่ง กับคืนหนึ่ง คอื ๒๔ ชัว่ โมงเทา น้ันเอง ๔) มีความชาํ นาญในอนจิ จสญั ญา ๒) \" \"\" \" ไดอีกประมาณแค วนั หนงึ่ คอื ๑๒ ชวั่ โมงเทา นั้น * ๕) ไมห ลงตาย ๓) \" \"\" \" ไดอ กี ประมาณเพียง คร่ึงวัน คือ ๖ ช่ัวโมงเทา น้นั ๔) \" \"\" \" ไดอีกช่ัวเวลาเพยี ง กนิ ขาวอิม่ หน่ึงเทา นน้ั ๕) \" \"\" \" ไดอ ีกชั่วครง่ึ เวลากินขาวอม่ิ หน่ึงเทา นัน้ ๖) \" \"\" \" ไดอ กี ชว่ั เวลากินขา วไดเ พียง ๔ หรือ ๕ คาํ เทา น้นั ๗) \" \"\" \" ไดอ กี ชั่วเวลาเค้ยี วขา วคําหนงึ่ เทานนั้ ถกู ตอ งตามพทุ ธประสงค ๘) \" \"\" \" ไดอกี ชั่วระยะเวลาหายใจเขา ออกเทา นน้ั

- 58 - 5 กายคตาสติ ( น.๕, ๑๔๒ - ๑๖๕ ) หมายความวา การระลกึ ถงึ ๓๒ โกฏฐาส มี เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เปนตน อยูเ นืองๆ ช่อื วา กายคตาสติ องคธรรม ไดแก สตเิ จตสกิ ท่ีใน มหากุศลจติ ๘ ทีม่ ี โกฏฐาส เปน อารมณ กายคตาสติกรรมฐานนี้ เรยี กวา ทวตั ติงสกายกรรมฐาน หรอื โกฏฐาสกรรมฐาน กไ็ ด เพราะคําวา กายะ และ โกฏฐาส มีความหมายอยางเดยี วกนั - กายะ แปลวา กอง ไดแ ก กองสว นตา งๆ มี ๓๒ กอง - โกฏฐาส แปลวา หมวด ไดแก สวนตางๆ มี ๓๒ หมวด * อารมณ เปน \" บัญญตั ิ \" * ควบเก่ยี วกับวปิ ส สนา คอื กายานปุ สสนาสตปิ ฏ ฐาน พิจารณากายในกาย แสดง ๑๔ บรรพะ * ได ๓ ภาวนา ๓ นมิ ติ โดยตรง * ภมู ิ ได มนุษยเทา นน้ั - อานาปานัสสติ = ๑ บรรพะ * จริต เหมาะกบั ราคจรติ - อริ ิยาบถ ๔ = ๑ บรรพะ - สมั ปชญั ญะ ( อริ ยิ าบถยอ ย ) = ๑ บรรพะ รวมเรยี กวา กายคตาสติ ระลกึ ในกาย แตอารมณตางกนั - โกฏฐาสะ ๓๒ = ๑ บรรพะ แตในกายคตาสติ ใน อนสุ สติ ๑๐ นัน้ มุงหมายเอาเฉพาะ ๓๒ โกฏฐาสะ เทา นั้น - ธาตุ ๔ = ๑ บรรพะ - อสภุ = ๙ บรรพะ * โกฏฐาส ๓๒ เปนมาไดอ ยา งไร ต้ังแตแรกเกิด * การแบง รางกาย ปฏิ สป.๑ สป.๒-๓ สป.๔-๕ สป.๑๑ สป.๑๒ สป.๔๒ ครบบริบรู ณ อุปริมกาย = กาย, ภาวะ (ตา หู จมกู ลิน้ ) เตโช น้ําใส --> นํ้าลา งเนอ้ื --> ชิ้นเนอ้ื เหลวสีแดง --> ปญ จสาขา รูปที่เกิดจากกรรม โครงกาย กาย (กองแหง มัชฌิมกาย = กาย,ภาวะ,วัตถุ(หทย) ตอมาเรม่ิ ปรากฏ ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง... โกฏฐาส ๓๒) เหฏฐิมกาย = กาย, ภาวะ ชีวติ นวกกลาป อาหารชรปู มี ตา หู จมูก.... = โกฏฐาส ๓๒ เปน อตุ ุที่เกดิ จาก ๔ สมุฏฐาน กาย, ภาว, วัตถุ กาย, ภาว, วัตถุ (มหาภูตรูป ๔) เตโช

- 59 - * การเจริญ กายคตาสติกรรมฐาน (โกฏฐาส ๓๒ ) ทา นแสดงไว ๖ หมวด คือ หมวด ๑ ช่อื วา ตจปญจกะ มีโกฏฐาส ๕ ไดแ ก เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ขน เลบ็ ฟน หนงั ผม นหารุ อฏ  อฏ ม ิ ชฺ ํ วกกฺ ํ เอ็น กระดกู เยอ่ื ในกระดกู ไต หมวด ๒ ชอื่ วา วกั กปญจกะ มโี กฏฐาส ๕ ไดแ ก มสํ ํ ยกนํ กิโลมกํ ปหกํ ปปผฺ าสํ ตบั พงั ผดื มา ม ปอด เนอื้ อนฺตคณุ ํ อทุ ริยํ กรสี ํ มตฺถลุงคํ ไสน อ ย อาหารใหม อาหารเกา สมอง หมวด ๓ ชอื่ วา ปป ผาสปญ จกะ มีโกฏฐาส ๕ ไดแ ก หทยํ เสมหฺ ํ ปพุ ฺโพ โลหิตํ เสโท เสมหะ นาํ้ เหลือง เลอื ด เหงอื่ หวั ใจ วสา เขโฬ สงิ ฆฺ านิกา ลสกิ า นํา้ มนั เหลว นาํ้ ลาย นา้ํ มูก นา้ํ ไขขอ หมวด ๔ ชอ่ื วา มัตถลุงคปญ จกะ มโี กฏฐาส ๕ ไดแ ก อนตฺ ํ ไสใ หญ หมวด ๕ ชอื่ วา เมทฉักกะ มโี กฏฐาส ๖ ไดแ ก ปต ตฺ ํ เมโท น้ํามันขน น้ําดี มุตตฺ ํ น้าํ มูตร หมวด ๖ ช่ือวา มุตตฉักกะ มีโกฏฐาส ๖ ไดแก อสฺสุ นํ้าตา * การพิจารณากายคตาสติ มอี ารมณอ ะไรบาง กายคตาสติ เปนกรรมฐานเดียวในกรรมฐาน ๔๐ ทีใ่ หไ ดน ิมติ ๓ อยาง โดยไมต อ งเปล่ยี นอารมณก รรมฐานเลย อารมณ นิมิตท่ปี รากฏ จดั เปนกรรมฐาน ผลทีไ่ ดรับ โดยตรง / ออ ม โดยตรง ๑. โกฏฐาส ๓๒ ( บัญญัติ ) ปฏกิ ลู นิมิต - สมถะ กายคตาสติ ปฐมฌาน โดยออ ม ( พิจารณาโกฏฐาส ๒. โกฏฐาส ๓๒ ( บญั ญตั ิ ) วณั ณนิมติ - สมถะ วัณณกสิน ปญจมฌาน แตม วี ณั ณกสินปรากฏ ) โดยออ ม ๓. โกฏฐาส ๓๒ ( บญั ญัติ ) ธาตุนิมติ - สมถะ จตธุ าตวุ วัตถาน อุปจาร * กายคตาสติ ทใ่ี หไดน ิมิต ๓ จดั ไดเ ปน ๒ นัย วปิ ส สนา ๑. พระโยคบี ุคคลไดใ น \" ธาตนุ มิ ติ \" ( โดยออ ม ) สมถะ ๑. พระโยคบี ุคคลท่ีไดใ น \" ปฏกิ ูลนิมติ \" จดั เปนฝายสมถะ( โดยตรง ) ๒. มกี ารกลาวไวใ นกายานปุ ส สนาสติปฏฐาน ( ขอ ธาตุ ๔ = ๑ บรรพะ ) ๓. ไดเ ขา ถงึ อปุ จารภาวนา หากประสงคเจรญิ วิปส สนาตอ เขาถงึ นามรปู ปรจิ เฉท --> วิปสสนาญาณ --> มรรคผล ๒. พระโยคีบุคคลทีไ่ ดใ น \" วณั ณนมิ ติ \" จดั เปน ฝา ยสมถะ ( โดยออ ม ) ๔. อาศยั เปนผมู บี ญุ บารมใี นการวิปสสนามาในกาลกอน จดั เปน ฝายสมถะเพราะ ถือการได ฌาน

- 60 - * อารมณ และขอจาํ กัดในอนุสสติ ๑๐ อารมณ ขอ จํากัด อนุสสติ ๑๐ - ภายนอก - ตอ งรคู วามหมายของธรรม พุทธคณุ ๙ ธัมมคุณ ๖ สงั ฆคุณ ๙ บท - ภายใน - ตอ งมคี วามบรสิ ุทธิข์ องศลี ๔ ประการ คือ ไมข าด ไมทะลุ ไมดา ง ไมพ รอย ๑. พทุ ธคุณ ๒. ธัมมคุณ ๓. สงั ฆคณุ - ภายใน - ตอ งพรอ มดว ยคณุ ๓ ประการ คือ ธมั มิยลทั ธวัตถุ, เจตนาทงั้ ๓, มุตตจาคี ๔. สลี านสุ สติ - ภายในและภายนอก - ตอ งพรอมดวยธรรม ๒ หมวด คอื สปั ปรุ สิ รัตนะ ๗ สัปปุริสธรรม ๗ โดยยกคุณของเทวดาไวในฐานเปน พยาน ๕. จาคานุสสติ - ภายนอก - ตองเหน็ สภาพรูปนามปรากฏโดย ทุกข โทษ ภยั ---> อยากหนี อยากพน ไปจากรปู นาม ---> เขา ถงึ สันตบิ ถ คอื พระนิพพาน ๖. เทวตานุสสติ - ภายในและภายนอก - ตองคน หาสภาวะแหงชีวิตนิ ทรยิ ุปจเฉทมรณะ อันไดแ ก รปู ชีวติ และนามชีวติ ๗. อุปสมานุสสติ - ภายในและภายนอก - ตองมีการศึกษาธรรม ๒ หมวด คอื อคุ คหโกสัลละ ๗ มนสกิ ารโกสลั ละ ๑๐ ๘. มรณานุสสติ - ภายใน - ลมหายใจยิ่งละเอยี ด การกําหนดย่งิ ยาก เพราะหาจุดกระทบของลมไมเจอ ๙. กายคตาสติ ๑๐. อานาปานัสสติ * ธรรม ๒ หมวดในกายคตาสติ ๒) มนสิการโกสัลละ ๑๐ - ความฉลาดในการพิจารณา ( ปฏิบัติ ) ๑) อคุ คหโกสลั ละ ๗ - ความฉลาดในการศึกษา ( ปริยัติ ) ๑. อนุปุพฺพโต - การพิจารณาไปตามลาํ ดับ (ไมกระโดดขา มหมวด ) - ธรรมท่เี ปน หลักสําคัญ ๑. วจสา - การพิจารณาโดยใชวาจา ๒. นาติสีฆโต - การพิจารณา โดยไมร ีบรอ นนัก ๓. นาติสณกิ โต - การพจิ ารณา โดยไมเฉ่อื ยชา นัก ๒. มนสา - การพิจารณาดวยใจ - ธรรมท่ีเปน สว นประกอบของมนสา ๔. วกิ ฺเขปปฺปฏิพาหนโต - การพิจารณา โดยบงั คบั จติ ไมใหไปที่อื่น ๓. วณฺณโต - การพิจารณาโดยความเปน วรรณะ (สีดํา ขาวหรือแดง) ๔. สณฺานโต - การพิจารณาโดยความเปนรูปรา งสณั ฐาน ๕. ปณณฺ ตฺตสิ มตกิ กฺ มโต ๖. อนุปพุ ฺพมุ จฺ นโต - การพจิ ารณา โดยทิง้ โกฏฐาส ๕. ทิสาโต - การพจิ ารณาโดยที่เกดิ (เกิดอยูสวนบน สวนลางของรางกาย) - การพจิ ารณา โดยกาวลวงบัญญัติ ที่ไมป รากฏโดยสี สัณฐาน ที่เกดิ ท่ตี ั้ง ขอบเขตตามลาํ ดับ ๖. โอกาสโต - การพิจารณาโดยที่ตั้ง (คอื ตัง้ อยใู นรา งกายสวนใด) ๗. ปรจิ เฺ ฉทโต - การพิจารณาโดยกาํ หนดขอบเขต ๗. อปปฺ นาโต - การพิจารณา ในโกฏฐาสอยางใดอยางหนึ่งใหเขา ถึงอปั ปนา ( เชนเสน ผม กาํ หนดเขต โดยผมนนั้ หยั่งลงในศีรษะประมาณเม็ดขา วเปลอื ก และในรูทเ่ี สน ผมหย่ังลงนน้ั ไมมีผม ๒ เสนอยูดว ยกนั กาํ หนดเขตปลายผมน้นั ตโย จ สุตตฺ นฺตา - การพิจารณาในพระสูตร ๓ อยา ง ( กรณยี งั ไมไ ดอปั ปนา ) สุดความยาวของเสนผม ) ๘. อธิจิตตสตู ร ๙. สีติภาวสตู ร ๑๐. โพชฌังคโกสัลลสตู ร

- 61 - * ขนั้ ตอนในการปฏิบตั ิกายคตาสติ A อคุ คหโกสลั ละ ๗ บคุ คล ๓ จาํ พวก ติกขบุคคล > ใชเ วลานอยกวา ๕ เดอื น ๑๕ วัน - ใชเวลาในการพจิ ารณา ๕ เดือน ๑๕ วนั ----> B มัชฌมิ บุคคล > ใชเวลา ๕ เดอื น ๑๕ วัน มนั ทบุคคล > ใชเวลามากกวา ๕ เดือน ๑๕ วัน ๑. วจสา ---> ๒. มนสา วิธีในการพิจารณา วจสา + มนสา มี ๓ ประการ C พระโยคบี ุคคล (ตกิ ข.+มชั ฌมิ .) --> ปรากฏนมิ ิตอยา งใดอยางหนง่ึ ใน ๓ อยา ง ปฏกิ ลู นมิ ิต วัณณนมิ ติ D วธิ ีปฏิบตั ิหลังจากนิมิตปรากฏแลว เครื่องประกอบของมนสา ธาตุนิมติ ๓.วณฺณโต ๔.สณฺ านโต E พระโยคีบุคคล ( มนั ทบคุ คล ) --> ไมมนี ิมติ อยางใดอยางหนงึ่ ปรากฏ - พจิ ารณาเพม่ิ เตมิ ๕.ทสิ าโต ๖.โอกาสโต วณณฺ โต -> ปรจิ ฺเฉทโต สาํ เร็จฌานลาภีบุคคล F ๗.ปรจิ เฺ ฉทโต ไมส ําเร็จ ตอ งไปเจรญิ มนสกิ ารโกสัลละ G อานสิ งส และคาํ ยกยอง A การสาธยายใน วจสา และมนสา ทกุ ๆ บคุ คลไมว า จะเปน ผูทรงพระไตรปฏ ก หรือ พระอรยิ ะ ก็ตอ งสาธยายในวจสา และมนสา ดว ยกนั ท้งั ส้ิน หมวดที่ ๑ ชอ่ื วา ตจปญจกะ = เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ หมวด ๑ = อนโุ ลม ๕ วัน ปฏโิ ลม ๕ วนั อนโุ ลม+ปฏโิ ลม ๕ วนั = ๑๕ วนั หมวดท่ี ๒ ช่ือวา วกั กปญ จกะ = มํสํ นหารุ อฏ  อฏ มิ ฺชํ วกฺกํ หมวด ๒ = ๑๕ วัน + หมวด ๑ + ๒ = ๑๕ วัน หมวดที่ ๓ ช่อื วา ปป ผาสปญจกะ = หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปห กํ ปปฺผาสํ หมวด ๓ = ๑๕ วนั + หมวด ๑ + ๒ + ๓ = ๑๕ วนั รวมเปน ๕ เดอื น ๑๕ วนั หมวดที่ ๔ ชื่อวา มตั ถลงุ คปญ จกะ = อนฺตํ อนตฺ คณุ ํ อทุ ริยํ กรีสํ มตถฺ ลงุ คํ หมวด ๔ = ๑๕ วัน + หมวด ๑ + ๒ + ๓ + ๔ = ๑๕ วัน หมวดท่ี ๕ ชื่อวา เมทฉักกะ = ปตตฺ ํ เสมฺหํ ปพุ ฺโพ โลหติ ํ เสโท เมโท หมวด ๕ = ๑๕ วนั + หมวด ๑ + ๒ + ๓ + ๔ + ๕ = ๑๕ วัน หมวดท่ี ๖ ชอื่ วา มตุ ตฉักกะ =อสสฺ ุ วสา เขโฬ สงิ ฆฺ านิกา ลสกิ า มุตตฺ ํ หมวด ๖ = ๑๕ วัน + หมวด ๑ + ๒ + ๓ + ๔ + ๕ + ๖ = ๑๕ วนั B วิธีในการเจรญิ วจสา + มนสา ๑) ใหสาธยายดว ย วาจา + ใจ เพียง ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เปนตน ตน ปลาย (ครบ ๕ เดือน ๑๕ วนั ) ๒) โดยไมต องพิจารณาลงลกึ ใน สี สณั ฐาน ทิศ ท่ตี ้งั ขอบเขต ปฏิกูลนมิ ติ ---> วัณณนิมิต ๓) เพือ่ ปอ งกนั นิมติ ที่ปรากฏในภายหลังกับตอนตน ๆ ไมต รงกนั ( เพ่อื ปองกนั การเขา ใจผิดในตอนเร่มิ และตอนปลายอาจไมต รงกนั ) วณั ณนมิ ิต ---> ปฏกิ ูลนิมติ

- 62 - C บุคคลที่ ๑ พระโยคีบุคคล (ติกข.+มัชฌมิ .) มี ปฏกิ ลู นมิ ิต (โดยตรง) ปรากฏ ( เจรญิ โกฏฐาส ซงึ่ เปนบัญญัติ ปรากฏเปนบญั ญตั ิ ) ( กายคตาสติ เปนการทํางานทางใจอยางเดียว ) (๒) บรกิ รรมนิมติ (๑) อคุ คหนิมติ (เกดิ ทนี่ ี่กอน) ปฏกิ ลู ปฏภิ าคนมิ ิต ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ สติ ทใ่ี น มหากุ.๘ บรกิ รรมภาวนา อปุ จารภาวนา อัปปนาภาวนา (ปฐมฌาน) สูงสดุ ของกายคตาสติ บคุ คลท่ี ๒ พระโยคบี คุ คล (ติกข.+มัชฌมิ .) มี วณั ณนมิ ิต (โดยออ ม) ปรากฏ ( เจริญโกฏฐาส ซึ่งเปนบญั ญัติ ปรากฏเปน บญั ญัติ ) (๒) บริกรรมนิมิต (๑) อุคคหนมิ ติ (เกิดท่ีนก่ี อ น) วัณณปฏิภาคนิมติ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ฌ ฌ สติ ที่ใน มหากุ.๘ บรกิ รรมภาวนา อปุ จารภาวนา * การท่ีมวี ัณณนิมติ ปรากฏ เพราะในโกฏฐาส ๓๒ มสี ตี า งๆ ปรากฏอยดู ว ย และอาศยั บุญบารมใี นกาลกอนท่ีเคยเจรญิ วณั ณกสิน บุคคลท่ี ๓ พระโยคีบคุ คล (ตกิ ข.+มัชฌมิ .) มี ธาตนุ ิมิต (โดยออ ม) ปรากฏ ( เจรญิ โกฏฐาส เริ่มตนเปนบญั ญัติ แตปรากฏเปน ปรมัตถในภายหลงั ) * การเกิดของบัญญัติ ขณะอยใู นขอบเขตของวจสา+มนสา \"เกสา\" = บญั ญตั ิ ไมป รากฏในปฏิกูล/วณั ณนมิ ิต มีแตส ัททบัญญตั +ิ อตั ถบัญญัติ \"เกสา\" ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ขณะน้ันมีอัตวาทปุ าทาน \"ยดึ วา เปน เสน ผม\" นมิ ติ จงึ ยงั ไมปรากฏ มแี ตบัญญตั ิ เกสา ผานมาชวงหนึง่ ปรมตั ถปรากฏ บัญญตั ิหาย ( สาํ หรบั ผทู ่ีมบี ารมี ในการพจิ ารณา ธาตุ ๔ ในกาลกอน ) โกฏฐาส ๓๒ ปรากฏโดยความเปน \"ปถวธี าตุ \" = ธาตนุ ิมติ (อาโป, เตโช, วาโย ) = ธาตุ ๔ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... สติ + ปญญา เกดิ ญาณหยั่งรูในธาตุนมิ ติ (นมิ ติ ที่ถกู สรา งโดยปญ ญา เปนนมิ ติ แท ) เหน็ เสนผมแตกออกเปนผงละเอียด เหมือนปถวธี าตุ (ปรมัตถ) ขณะน้นั สทั ทบัญญตั ิ อัตถบญั ญตั ิ หายไปหมด

D วิธปี ฏิบัติ หลงั นิมิตปรากฏ --> ปฐมฌาน ใหเ พกิ ปฏิกูลนิมิตออกแลว พิจารณาในวัณณนมิ ติ เพ่อื ใหไ ดฌานสงู ข้นึ - 63 - บคุ คลท่ี ๑ ปฏิกลู นมิ ติ ปรากฏ เรียกบคุ คลนว้ี า \" วิปสสนายานิกะ \" บคุ คลท่ี ๒ วณั ณนิมติ ปรากฏ ยกปฐมฌานเปนบาท --> ในการเจรญิ วปิ ส สนา --> มัคค., ผล. เรียก ๒ บุคคลนว้ี า \" สมถยานกิ ะ \" บุคคลที่ ๓ ธาตนุ มิ ิต ปรากฏ --> ปญจมฌาน ใหย กปญ จมฌานเปน บาท --> ในการเจริญวปิ สสนา --> มัคค., ผล. --> อปุ จารภาวนา ( จิตตวสิ ุทธิ ) --> พิจารณาในทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคค.+ ปฏิปทาญาณ ญาณทัสสนวิสุทธิ = มคั ค. - ผล. นามรูปปรจิ เฉทญาณ ปจ จยปริคคหญาณ (วิปส สนาญาณ ๑๐) E พระโยคีบคุ คล ( มนั ทะบคุ คล ) พิจารณาในอคุ คหโกสลั ละ ๕ ขอท่เี หลือ ( น.๑๕๗-๑๕๘) บคุ คลท่ปี ฏบิ ัติ ๕ เดือน ๑๕ วนั แลว ยงั ไมไดจ งึ ตองพิจารณาใน วัณณโต, สัณฐานโต, ทิสาโต, โอกาสโต, ปรจิ เฉทโต ผูสาํ เร็จ ไดเ ปน \" ฌานลาภีบุคคล \" ถาไมสาํ เรจ็ ตองทาํ ขนั้ ตอไป คอื มนสกิ ารโกสัลละ ( F ) F แนะวธิ ีปฏบิ ตั ิในเมอื่ นิมิตทั้ง ๓ อยา งใดอยา งหนง่ึ ไมปรากฏ ใหป ฏิบัติในมนสกิ ารโกสัลละ ๑๐ ขอ ( น. ๑๕๙ - ๑๖๓ ) ๑. อนปุ ุพฺพโต - การพิจารณาไปตามลําดบั (ไมต องทอ งบน ดว ยวาจาแตตองพจิ ารณาโกฏฐาสดว ยใจ โดยสี สณั ฐาน ทีต่ ง้ั ท่ีเกดิ ขอบเขต ใหถูกตรงตามหลกั ) ๒.นาตสิ ฆี โต - ไมเ รง รบี อาจทาํ ใหขาดรายละเอยี ด ๓.นาตสิ ณิกโต - ไมช า ไป ทําใหเ กิดชอ งวา งของเวลา ฟุงซา นได ๔.วิกเฺ ขปปป ฏิภาหนโต - ละความฟงุ ซา นของจิต ๕.ปณณฺ ตฺติสมติกกฺ มโต - พิจารณาโดยกา วลวงบญั ญตั ิ (ทง้ิ บัญญตั ิ / ท้งิ วจสา ) ๖.อนปุ พุ ฺพมุฺจนโต - ทิง้ โกฏฐาสท่ไี มช ดั ในใจ ( มนสา ) ขัน้ สดุ ทา ยตองถอื เอาแตเ พยี งโกฏฐาสเดียว ๗.อปป นาโต - เหลอื โกฏฐาสท่ีปรากฏชดั เพยี งอยา งเดียว ตโย จ สุตตฺ นตฺ า - การพิจารณาในพระสูตร ๓ อยา ง ( กรณยี ังไมไ ดอ ัปปนา ) ๘. อธจิ ิตตสูตร ๙. สตี ภิ าวสตู ร - การนอมจิตใหเ ขา ถงึ พระนิพพาน ๑๐. โพชฌงั คโกสัลลสตู ร สมาธินมิ ติ ปค คหนมิ ิต อเุ บกขานิมติ (จติ ใจสงบ) (ความพยายาม) (ความวางเฉย) ๑. ขมจติ ใจ ในสมัยท่ีควรขม ๔. พกั ผอ นจติ ในสมัยทค่ี วรพักผอ น (พจิ ารณาใหม ีสติ ทง้ั ปลอบ+ปราบ) ควรทําใหเสมอกัน ๒. ประคองจิตในสมัยท่คี วรประคอง ๕. มจี ิตใจ นอ มไปในมรรค ผล งวง, ทอ, ไมม คี วามเพยี ร เพยี รมากจนฟงุ ซาน ( สมาธิ มาก โกสัชชะ, ปคคห มาก ฟงุ ซาน, อุเบกขา มาก ขาดวิรยิ ะ ) ๓. ปลอบจติ ในสมัยทีค่ วรปลอบ ๖. มคี วามยินดีในพระนิพพาน - อบรมธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค - อบรมปส สัทธิสมั โพชฌงค - วิริยสัมโพชฌงค - สมาธสิ มั โพชฌงค - ปตสิ มั โพชฌงค - อเุ บกขาสัมโพชฌงค

- 64 - * อานสิ งส และการสรรเสรญิ ในการเจริญกายคตาสติ ( น. ๑๖๔ - ๑๖๕ ) ๑) ภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า ที่ไดสําเร็จเปน พระอรหนั ต โดยอาศยั การเจริญกายคตาสติกรรมฐานน้ี มีมากมาย ๒) บคุ คลใด เทวดา มนุษยก ต็ าม เม่อื ไดป ฏิบัติกายคตาสติกรรมฐาน บุคคลน้ันไดชอ่ื วา ภิกษุ ๓) พระพทุ ธองคทรงสรรเสรญิ วา * ดกู รภกิ ษทุ ้ังหลาย ธรรมอยา งหนง่ึ เม่ือภิกษไุ ดเจรญิ แลว และเจริญติดตอกนั ใหเพ่มิ พนู ทวีมากยงิ่ ขึน้ อยเู ร่อื ยๆ ไปแลว - ยอมเปน ไปเพอื่ ความสังเวชสลดใจอยางใหญหลวงในกาย - ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนใหญใ นปจ จุบันภพนี้ - ยอ มเปนไปเพือ่ ความโปรงใจอยา งใหญหลวงจากโยคะ - ยอ มเปนไปเพื่อมสี ติสมั ปชัญญะอยา งแรงกลา - ยอ มเปนไปเพอื่ ความเห็นในกายเปน อนจิ จะ ทุกขะ อนัตตะ อสภุ ะ - ยอ มเปนไปเพ่อื ความอยูเยน็ เปนสขุ ในภพน้ีทันตาเหน็ - ยอ มเปน ไปเพ่ือทาํ ใหแจงซ่งึ วชิ ชา ๓ พระนพิ พาน และผลสมาบัติ ธรรมอยางหนึง่ คอื อะไร คอื กายคตาสตนิ เ้ี อง * ดกู รภิกษทุ งั้ หลาย บคุ คลเหลาใดประพฤติปฏิบัติกายคตาสติ บคุ คลเหลา น้นั ยอ มไดเ สวยอมตรส คอื พระนิพพาน บคุ คลเหลาใดมไิ ดประพฤติปฏบิ ัติกายคตาสติ บุคคลเหลานน้ั ยอ มไมไดเ สวยอมตรส คอื พระนพิ พาน * ดูกรภิกษุทั้งหลาย บคุ คลเหลา ใดพยายามปฏบิ ัติกายคตาสติจนสําเรจ็ บุคคลเหลาน้ัน ยอ มไดเ สวยอมตรส คอื พระนิพพาน ไมเ สือ่ มจากพระนพิ พาน ไมผดิ ทางพระนิพพาน บคุ คลเหลา ใดไมพยายามปฏิบัติกายคตาสตใิ หส ําเร็จ บคุ คลเหลา น้ันยอ มไมไ ดเ สวยอมตรส คอื พระนพิ พาน เสอ่ื มจากพระนพิ พาน ผิดทางพระนพิ พาน ดงั นี้ * กายคตาสติ นี้ พระพทุ ธองค และทานอรรถกถาจารย ยกยอ งมิไดมงุ หมายเพียง โกฏฐาส ๓๒ แมอสุภ ๑๐ อานาปานัสสติ การกาํ หนดอริ ยิ าบถใหญน อ ยก็ดี พจิ ารณาธาตทุ ั้ง ๔ ก็ดี ลว นจดั เขา เปนกายคตาสติทั้งส้นิ แต กายคตาสติในอนุสสติ ๑๐ น้ี มงุ หมายเฉพาะแต โกฏฐาส ๓๒ เทาน้ัน

- 65 - 5 อานาปานสั สติ ( น.๕, ๑๖๕ - ๑๗๘ ) หมายความวา การระลกึ อยใู นลมหายใจเขาออก ชอื่ วา อานาปานัสสติ องคธ รรม ไดแก สตเิ จตสิก ทใ่ี นมหากุศลจิต ๘ ทมี่ ลี มหายใจเขา ออกเปน อารมณ * อานาปานัสสติ เปนอนุสสตสิ ดุ ทา ยใน อนุสสติ ๑๐ อนสุ สติ ๑-๘ -> ปรมัตถ -> อปุ จาร (สภาวะ) ธรรมกวา งขวาง สติ (สมาธิ ) + ปญ ญา ธรรมสขุ มุ ลุม ลกึ -> ตองใชอารมณเฉพาะภายในบางภายนอกบาง - พทุ ธานุสสติ ใชอ ารมณภ ายนอก - สีลานสุ สติ ใชอ ารมณคือ ศลี โดยเฉพาะของตน - มรณานุสสติ ตอ งเขาถงึ รปู ชีวิต นามชวี ติ อนุสสติ ๙ -> กายคตาสติ เปนกรรมฐานเดยี วใน ๔๐ ทเี่ ขาถึง ๓ นิมติ ปฏกิ ูลนิมติ - จัดโดยความเปนไปใน สมถะนยั วณั ณนมิ ิต - จดั โดยความเปนไปใน วิปส สนานัย ธาตนุ ิมติ -> กายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน (กายในกาย) มี ๑๔ บรรพะ - อานาปานสั สติ = ๑ บรรพะ - โกฏฐาส ๓๒ = ๑ บรรพะ <-- ขอ จํากัดคอื ตอ งศึกษารวม ๒ หมวด คือ ๑. อคุ คหโกสัลละ - อิรยิ าบถ ๔ = ๑ บรรพะ - ธาตุ ๔ = ๑ บรรพะ ๒. มนสิการโกสัลละ - สัมปชญั ญะ (อริ ยิ าบถยอ ย) = ๑ บรรพะ - อสภุ ะ = ๙ บรรพะ * อานาปานัสสติ วาโดยนยั แหง สมถะ (มุงหมายใหเ ขาถงึ ฌาน ) * อานาปานัสสติ วาโดยนัยแหง วปิ ส สนา (มงุ หมายในสติปฏ ฐาน ๔ ) ๑) เขา ถึงปญจมฌานได ๒) อารมณเ ปน \" บัญญติ \" --> มีนมิ ติ ปรากฏ ๑) พจิ ารณาลมหายใจเขาออก --> กายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๑๔ บรรพะ ๓) มี ๓ ภาวนา คอื บริกรรมภาวนา, อปุ จารภาวนา, อัปปนาภาวนา ๔) มี ๓ นิมิต คอื บรกิ รรมนมิ ิต, อุคคหนิมิต, ปฏิภาคนิมิต ( กายสังขาร มลี มหายใจเปน ผปู รงุ แตง ) ๕) เหมาะกับโมหจริต + วิตกจริต เพือ่ ความสุขในปจ จบุ นั เทา น้ัน ๖) เมือ่ วาโดยภมู ิ ปฏิบตั ไิ ดใ น มนุษย + เทวดา เทานน้ั (มไิ ดมงุ หมายการเขา ถึง ฌาน ) ๒) เกิดปติ + สขุ เวทนา --> เวทนานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๙ บรรพะ ๓) เกิดโลภะ + โทสะ + ใมหะ --> จติ ตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๑๖ บรรพะ ๔) เมือ่ พิจารณาการเขา ถึง รูป + นาม --> ธัมมานปุ ส สนาสติปฏฐาน มี ๕ บรรพะ * ในอนสุ สตนิ ี้ อานาปานัสสติ มงุ หมายในขอ ๑ คือ พิจารณาลมหายใจเขา ออก

- 66 - * อานาปานสั สติ มวี จนตั ถะดังนี้ อาน + ปาน ( ลมเขา + ลมออก ) อานาปานัสสติ มีการแสดง ๒ สวน \"อานจฺ ปานจฺ = อานาปานํ \" ลมเขา ขางในและลมออกขา งนอก ช่อื วา อานาปานะ พระสูตร พระวินยั และพระอภิธรรม - ถอื การเกดิ ขนึ้ ตามลาํ ดบั ของลมหายใจเขาออก - ถือการเกดิ ขึ้นตามลาํ ดับของลมหายใจเขา ออก \"อานาปาเน ปวตตฺ า สติ = อานาปานสสฺ ติ \" ของบคุ คลทว่ั ไป คอื มีลมหายใจเขากอ น ในขณะแรกเกดิ ของทารก คอื มลี มหายใจออกกอ น ฉะนน้ั อาน = ลมเขา, ปาน = ลมออก แลว จึงหายใจเขา ฉะนน้ั อาน = ลมออก, ปาน = ลมเขา สติท่ีเกิดขึน้ โดยมกี ารระลกึ อยูในลมหายใจเขา ออก ชื่อวา อานาปานสั สติ * วิธีการเจรญิ อานาปานัสสติ มีพระบาลี ๕ ขอ และนัยท้ัง ๔ ช้ีแนวทางสาํ หรบั การเจริญอานาปานัสสติ ( น. ๑๖๗ ) ๑) โส สโต ว อสฺสสติ สโต ว ปสฺสสติ ผูป ฏิบตั ินง่ั คูบลั ลังก ต้ังกายตรง ดํารงสตเิ ฉพาะหนาอารมณกรรมฐาน ถือเปนหลักสาํ คญั ณ สถานที่เงียบสงดั ยอ มตั้งสติ ทําความรูส ึกตวั แลวจึงหายใจเขา และหายใจออก ในการปฏบิ ัติ ๒) ทฆี ํ วา อสฺสสนโฺ ต ทฆี ํ อสฺสสามตี ิ ปชานาต,ิ เม่อื หายใจเขา ยาว และหายใจออกยาว กร็ วู าหายใจเขายาว และหายใจออกยาว ทีฆํ วา ปสสฺ สนฺโต ทีฆํ ปสฺสสามตี ิ ปชานาติ ๓) รสสฺ ํ วา อสฺสสนโฺ ต รสฺสํ อสสฺ สามตี ิ ปชานาต,ิ เม่ือหายใจเขาสั้น และหายใจออกส้ัน ก็รูว า หายใจเขาสนั้ และหายใจออกสน้ั ตองเปนไปตามนัยท้งั ๔ ( น.๑๖๘) รสสฺ ํ วา ปสฺสสนโฺ ต รสสฺ ํ ปสสฺ สามีติ ปชานาติ ๑) คณนานยั (การนับ) ๓) ผุสนานยั ๒) อนพุ ันธนานัย (ตามรู) (รกู ารกระทบ) ๔) สพฺพกาย ปฏิสเํ วที อสสฺ สิสสฺ ามตี ิ สกิ ฺขต,ิ ยอมสาํ เนยี กวา เราจะหายใจเขา และหายใจออก ก็ตอ งรูโดยแจง ชดั เพ่มิ เติมเพอื่ ใหการปฏิบตั ิ สพฺพกาย ปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกขฺ ติ ตน ลม กลางลม ปลายลม มสี มาธแิ กก ลา ๔) ฐปนานัย (ตง้ั มัน่ ) ๕) ปสฺสมฺภยํ กายสงขฺ ารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขต,ิ ยอ มสาํ เนยี กวา เราจะทาํ ลมเขาและลมออก ทห่ี ยาบใหละเอียด ปสสฺ มฺภยํ กายสงขฺ ารํ ปสสฺ สสิ ฺสามีติ สิกขฺ ติ แลว จงึ หายใจเขา และหายใจออก

- 67 - * พระบาลีท่ี ๑ ผูป ฏบิ ตั ินงั่ คบู ัลลงั ก ต้ังกายตรง ดํารงสตเิ ฉพาะหนาอารมณก รรมฐาน * พระบาลที ี่ ๒ เมื่อหายใจเขายาว และหายใจออกยาว ก็รูว า หายใจเขายาว และหายใจออกยาว ณ สถานทเี่ งียบสงดั ยอมต้ังสติ ทาํ ความรูส ึกตวั แลวจงึ หายใจเขา และหายใจออก * พระบาลีที่ ๓ เมื่อหายใจเขา ส้ัน และหายใจออกส้ัน ก็รูว าหายใจเขาสัน้ และหายใจออกส้ัน - รูตรงจุดกระทบลมหายใจเขานาน = ยาว, ถา ไมน าน = สั้น ( ไมใชบงั คับใหยาวใหส ั้น ) ๑) ผปู ฏบิ ตั ินงั่ คบู ลั ลังก - นงั่ ในอาการสบาย แตทา ท่ใี หผ ลดที สี่ ุดคอื นง่ั ขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซาย มือขวาทับมอื ซาย วางอยูหนาทอ ง ( ไมใชว างอยูบนขา ) * พระบาลีท่ี ๔ ยอ มสาํ เนยี กวา เราจะหายใจเขา และหายใจออก ก็ตอ งรโู ดยแจง ชดั ตนลม กลางลม ปลายลม - สิกขติ --> \" สําเหนยี ก \" = \"ขอ สังเกต\" ( มีการแสดงไวในวิปส สนากรรมฐาน ) ๒) ตงั้ กายตรง - กระดูกสันหลงั ตัง้ ตรงทง้ั ๑๘ ขอ - เพอ่ื ไมใ หต กไปจาก \" ปจจบุ นั อารมณ \" ๑. ตอ งเปน อารมณท ่ปี รากฏเฉพาะหนา ในทีน่ ้ี คือ ลมหายใจเขา ออก ๓) ดาํ รงสติเฉพาะหนาอารมณก รรมฐาน - อารมณกรรมฐาน คอื ลมหายใจเขา ออก ทเ่ี ปนอารมณข องสติ ๒. ตองเปนอารมณป กติ หรือเปนไปตามธรรมชาติ ไมใชก ระทําใหเกิดขึน้ มีสตริ ูจ ดุ กระทบของลมหายใจวา อยบู ริเวณไหน ๓. ตอ งทาํ ลายอภิชฌาและโทมนัส ประโยชนท ่ีไดร ับ คอื ๑. อารมณต งั้ ม่นั ดี ๔. ตองเปนไปตามสติปฏ ฐาน ๔ * ถา สกิ ขติ หาย --> อารมณปจ จุบันกห็ ายไปดว ย ๒. สติระลกึ ในอารมณท ต่ี ั้งม่นั กจ็ ะดีดว ย ๔) ณ สถานท่เี งยี บสงัด - อยูปา โคนไมห รือเรือนวาง * พระบาลีท่ี ๕ ยอมสาํ เนยี กวา เราจะทาํ ลมเขา และลมออก ทีห่ ยาบใหละเอียด แลว จงึ หายใจเขา และหายใจออก - เสพสัปปายะ ๗ อยาง - ลมหายใจละเอียด ตองมี สติ + ปญญา + อาตาป - เสยี งเปนขาศึกแหง ฌาน ( สมถะใช ๓ ทวาร ตา+กาย+ใจ ) สมถะ วปิ ส สนา - ผูปฏบิ ัตใิ หมตองใชสถานทเ่ี งยี บสงัดเปน ปจ จยั - ผป ฏิบตั บิ างทา น > ไดล มหายใจละเอยี ด แต สติ + ปญ ญา + อาตาป หาย > จึงทําใหเกดิ ความรูส กึ ตวั ใหม ดว ยการหายใจแรงๆ เพือ่ ใหเกดิ สติ ๕) ยอมตงั้ สติ ทําความรสู ึกตวั - ยอ มตง้ั สตทิ าํ ความรสู กึ ตัว > สมถะ = สติ + สมาธิ เพื่อใหไ ดนมิ ติ อยางนถี้ ือวาปฏิบัติผิด เพราะ ความรสู กึ ตัวเกดิ ข้ึนจากการกระทําไมธรรมชาติ > วิปสสนา = สติ + สมั ปชัญญะ (ปญญา) รวมเรียกวา - วธิ ีปฏบิ ัติทีถ่ ูกตอ ง > ใหเ อาสติต้งั มน่ั ทีจ่ ุดกระทบใหม ลมจะหยาบข้นึ แตม ีสติ อาตาป (ตอ งมีความเพยี ร) \"โยคาวจร\" ลมจะละเอียดขน้ึ เม่อื สติตั้งม่ันอยทู ี่จดุ กระทบ --> นมิ ิตจะเกิดจากตรงจดุ กระทบ เพื่อใหเ ห็นสันตติขาด ในกองลมหายใจ * อยา กลัน้ ลมหายใจเพ่ือใหละเอยี ด เพราะจะไดล มละเอยี ดแตส ตหิ าย * อยา ลมหายใจแรงๆ เพอื่ ใหเ กดิ สติ เพราะจะไดลมหยาย แตมีสติ

* นัยทั้ง ๔ ( น. ๑๖๙ ) - 68 - ๑) คณนานัย ( พระบาลี ขอ ๒ + ๓ ) การนบั ลมหายใจเขาออกเปนหมวดๆ มี ๖ หมวด ต้ังแต ปญ จกะ จนถงึ ทสกะ ๓) ผุสนานัย ( พระบาลี ขอ ๔ ) เปน อบุ ายตรงึ จิตใหแ นบแนน มี ๒ นัย อยใู นข้ันตอนของการกระทบเทานั้น โดยมสี ตติ ง้ั ม่นั อยา งดี ๑. ธฺ มามกคณนานยั (นับชา) มี ๖ หมวด ถา นับตาํ่ กวา ๕ จิตจะอดึ อดั เมื่อนั้น อุคคหนิมติ ปรากฏ ณ จดุ กระทบ ภาพจะแกวง ตามลมเขา ออก ( มีนมิ ติ ไดทง้ั ๓ อยาง ) ถานับมากกวา ๑๐ จติ จะฟงุ ซาน ๒. โคปาลกคณนานัย (นับเรว็ ๆ) เกิดจากการนบั ( ธฺ มามกคณนานยั ) ทมี่ สี ติต้ังมั่นดี พระบาลี ขอ ๕ > ลมหายใจตอ งละเอยี ด และสตติ อ งตั้งมัน่ ไมผดิ หมวดและตัวเลข จึงทาํ ใหก ารนบั เรว็ ขึ้น ๔) ฐปนานยั ** ตวั อยางการนบั ลมหายใจเขา ออกในใจ ( ตรวจสอบ โดยตัวเลข และหมวด ) หมวด ๖ เมือ่ อคุ คหนิมิต ปรากฏ ผูปฏิบัติตองรักษาสติใหตง้ั มัน่ โดยทงิ้ จุดกระทบ หมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ ไปอยูกบั ปฏภิ าคนิมติ ( อยใู นขั้น อุปจารภาวนา ) เพ่อื ใหฌ านเกดิ โดยการ เขา ออก เสพสัปปายะ ๗ และเจรญิ อปั ปนาโกศล ๑๐ เขา ออก เขา ออก เขา ออก เขา ออก เขา ออก ๑ ๑๒ ๑ ๑๑๒๑๒ ๓๔๒๓๒๓๓๔๓๔ ๒๓ ๕ ๔๕๔๕๕๖๕๖ ๔๕ ๖๗ ๖ ๖๗๗๘๗๘ ๘๙ ๙ ๑๐ ๒) อนพุ ันธนานัย ( พระบาลี ขอ ๔ ) การกําหนดรูลมทุกๆ ขณะไมพ ล้งั เผลอในทกุ ๆ ระยะท่ีหายใจเขา ออก เกดิ จากการนับทีถ่ กู ตอ ง และมสี ติตงั้ มน่ั ดี เมอื่ นนั้ ทงิ้ การนับมสี ตอิ ยูทีก่ ารกระทบ

- 69 - * การเจริญอานาปานัสสติ ตามแนวสมถะ ๑) พระบาลขี อ ๑ ผูปฏบิ ัตนิ ่ังคูบ ลั ลงั ก ต้ังกายตรง ดํารงสติเฉพาะหนา อารมณกรรมฐาน ณ สถานท่เี งยี บสงัด ยอ มตั้งสติ ทําความรูส ึกตัว แลวจึงหายใจเขา และหายใจออก ๒) พระบาลขี อ ๒, ๓, ๔ ตอ งดาํ เนนิ ตามนัยทง้ั ๓ คอื คณนานยั + อนุพันธนานัย + ผสุ นานยั - เบ้ืองตนยงั ไมมีภาพใดๆ อาศยั การนบั ทั้ง ๖ หมวด ไปอยางชา ๆ เปน ธฺ มามกคณนานัย ตรวจสอบดวยตัวเลข ตรวจสอบดว ยหมวด - การนับจะเรว็ ขึน้ เนอ่ื งจากมขี อผิดพลาดนอยลง เขาถึง โคปาลกคณนานยั - เมอ่ื นบั เรว็ ขึ้นและมีสติตัง้ ม่ันดีแลว --> ใหท ิ้งการนบั --> ไปอยทู กี่ ารกระทบเพียงอยา งเดยี ว - เมอื่ นั้นอคุ คหนิมติ ปรากฏ เปน ภาพแกวง ตามลมหายใจเขาออก ภาพที่ปรากฏมีลักษณะตา งๆ เชน ไอนาํ้ , เมฆหมอก, ไมค้ํา, ใยแมงมุม ภาพท่ปี รากฏของแตละบุคคล ไมเหมอื นกันเพราะ เกดิ จากสัญญาแตละบุคคลไมเหมอื นกัน ๓) ตามพระบาลีขอ ๔ ทีอ่ ยใู นข้ันตอนของ อนุพันธนานยั + ผสุ นานัย --> เพื่อใหเขา ถึงพระบาลีขอ ๕ คอื ในข้ันตอนของ ฐปนานัย เมอ่ื ปรากฏเปนอุคคหนมิ ติ แลว พระโยคีบคุ คลพงึ กระทาํ ลมทห่ี ยาบใหล ะเอยี ด พรอ มทง้ั มสี ติตัง้ มน่ั ที่ \" จุดกระทบ \" --> จนกระท่ังปรากฏเปนภาพใส เหมือนกบั พระอาทิตย หรอื พระจันทร หรือแกว มกุ ดา เขา ขอบเขตแหง ปฏิภาคนิมิต ขอหา ม ๑. หามทําลมหายใจทห่ี ยาบใหละเอียด โดยการกลั้นลม ๒. หามทําความรสู ึกตวั ( เรยี กสติ ) ดว ยการหายใจแรงๆ - เกดิ จากการกระทําของผปู ฏบิ ัติ ( ไมใชเปน ไปโดยธรรมชาติ ) ขอปฏิบัติ - ใหต ้งั สตไิ วท่ีจุดกระทบ ณ โครงจมูก หรอื ที่ริมฝป าก เม่อื นน้ั ความรสู กึ (สติ) จะกลบั มา - ถาฌานยงั ไมเ กิด ก็ใหท ําขัน้ ตอน เสพสัปปายะ ๗ และเจริญอปั ปนาโกศล ๑๐ เชนเดียวกบั การทํากสณิ * ประโยชนท่ไี ดร ับจากทงั้ ๔ นยั ระงับความฟงุ ซาน (ทาํ ใหอยกู ับปจจบุ ันอารมณไ ดดี) ระงับวิจกิ ิจฉา ระงบั วติ ก ทําใหการเจริญอานาปา.ตง้ั อยไู ดนาน เหตใุ หเ กดิ ความตั้งมั่น ๔) ฐปนานัย < -- เปนจุดเลอื กวาจะไปสมถะ หรอื วปิ ส สนา ๑) คณนานยั ธฺ มามกคณนานยั (นับชา ๆ ) ๒) อนุพันธนานัย ----------> ๓) ผุสนานัย ----------> โคปาลกคณนานัย (นบั เรว็ ๆ ) ---------> มีการนบั ตวั เลข ๖ หมวด ตามรลู มทกุ ๆ คร้งั กําหนดรูก ารกระทบ ใหเ กดิ ปต ิ และสขุ ไมพล้ังเผลอ ท้งิ การนับไดแ ลว สญั ญาต้งั มน่ั ดี

- 70 - * ขณะทพ่ี ึงปฏบิ ัติใหมๆ นมิ ิตเกดิ ตรงไหน (พระบาลี ๒ - ๔) ผสุ นานัย พระบาลี ๕ ๑.สมถะ = ม.กุ.๘ คณนานยั + อนุพนั ธนานยั + ผุสนานัย ภาพไหวดวยใจ * ฐปนานัย -> เปน จดุ เลือกวา จะไปแนวไหน ๒. วปิ ส สนา = ม.ก.ุ สํ..๔ เหน็ สภาพรูปนาม ตงั้ นิ่งเปนภาพใส มีการกระทบดว ยกาย (ฌานยังไมเกิด) (ยังไมมีภาพใดๆ ) บรกิ รรมนิมิต ----> อคุ คหนิมติ ----> ปฏิภาคนมิ ิต ----> ฌานเกดิ ** พระโยคีบุคคล จะพจิ ารณาวปิ ส สนาไดน นั้ ตองยก ปฐมฌานกศุ ล เปนบาทในการเจริญวปิ สสนา บริกรรมภาวนา ( อธ. สติ --> ม.กุ.๘) อุปจารภาวนา ( อธ. สติ --> ม.กุ.๘) อัปปนาภาวนา ยกปฏิภาคนมิ ติ เปนบาทไมไดเ พราะ ปฏิภาคนิมติ เปน บัญญัตไิ มใ ชป รมัตถ ( สติ -> ปฐมฌานกุศล) จะยกจิตตวิสทุ ธเิ ปน บาทก็ไมไ ดเ พราะท้งั อุปจาร.+อัปปนา.นนั้ มีสมาธิแรง จิตตวิสทุ ธิ ปญ ญาจะไมเกดิ * การยกฌานเปนบาทในการเจรญิ วปิ ส สนา ( น. ๑๖๙ ) (๔) ปฏิปสสฺ นา การเกิดขนึ้ แหงปจ จเวกขณญาณ คอื พจิ ารณามรรค ผล นพิ พาน กเิ ลส <--- ปจจเวกขณญาณ การพนทุกข หลังสาํ เรจ็ เปนอริยบุคคลแลว อริยมรรค มีองค ๘ สมถะยานกิ ะ (๓) ปารสิ ทุ ธิ การเกิดข้นึ แหง ผลจติ สาํ เร็จเปนผลบคุ คล <--- ผลญาณ โพชฌงค ๗ (๒) วิวฏฏนา การเกิดขึ้นแหง มรรคจิตเนือ่ งจากสัลลกั ขณา + ประหาณกิเลส <--- มคั คญาณ พละ ๕ สําเร็จเปน มรรคบุคคล โคตรภูญาณ อินทรีย ๕ (๑) สลลฺ กฺขณา มีการพิจารณารูปนาม โดยความเปนอนจิ จัง ทกุ ขัง อนัตตา <--- วิปส สนาญาณ ๑๐ อทิ ธบิ าท ๔ วปิ สสนาภูมิ ๖ ปจ จยปริคคหญาณ สมั มปั ปธาน ๔ โพธิปกขยิ ธรรม ๗ อาศยั <---- ทิฏฐวิ ิสุทธิ <--------------------------------------------- นามรูปปรจิ เฉทญาณ ---------------> ตอ งมสี ตปิ ฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ (ไดจติ ตวิสทุ ธมิ ากอน ขมนวิ รณไ ดตัง้ แตต น) ยก \" ปฐมฌานกศุ ล \" เปนบาท ( กาย. เวทนา. จิต. ธรรม. ) โดยอาศัยการขมนิวรณไ ด พิจารณาใน กาย. เวทนา. จติ . ธรรม ไดห ลงั จากไดฌานแลว และยกฌานเปนบาท ไดตั้งแต ฐปนานยั

* การยกอานาปานัสสติ ในการเจรญิ \" วปิ สสนา \" - 71 - พระโยคีบุคคลเมื่อไดใน ฐปนานยั --> อุปจารภาวนา --> ปฏภิ าคนิมิตเกดิ แลว * เบือ้ งแรก พึงทราบวธิ ปี ฏิบตั ติ ามแนวพุทธพจน ๑๖ ขอ ( ยกตามพระวนิ ยั และพระอภธิ รรม ) หากดํารทิ จ่ี ะมนสิการ อานาปานัสสตโิ ดยวิปสสนา พงึ รใู นกองลมหายใจเขา ออก โดยรปู +นาม \" ภกิ ษทุ ้ังหลาย อานาปานสติ เจริญอยา งไร ทําใหมากอยา งไร จึงจะมผี ลมาก มอี านสิ งสมาก ? * ลมหายใจเกดิ จาก * ลมหายใจ --> จิตตชรูป --> จติ ตชวาโยธาตุ สุทธัฏฐกกลาป ๑) ภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ กองรูป + กองนาม เกิดจาก สทั ทนวกกลาป ก. ไปสปู า กด็ ี ไปสโู คนไมก็ดี ไปสเู รือนวา งก็ดี ข. น่งั คบู ัลลังก ตั้งกายตรง ดํารงสตไิ วเ ฉพาะหนา (= เอาสติมุงตอกรรมฐาน คือ ลมหายใจ ) ค. เธอมีสติหายใจออก มีสตหิ ายใจเขา กามจติ ๔๔ (เวน ทว.ิ ๑๐) = มโนธาตุ + มโนวิญญาณธาตุ ๒) หมวดส่ที ี่ ๑ ใชบ ําเพ็ญ \" กายานุปสสนาสติปฏฐาน \" ได ( เกดิ จาก หทยวัตถุ ) ๑. เมอ่ื หายใจออกยาว กร็ ชู ดั วาหายใจออกยาว เมอื่ หายใจเขา ยาว ก็รชู ดั วาหายใจเขา ยาว ๒. เมอ่ื หายใจออกสัน้ กร็ ชู ัดวา หายใจออกสัน้ เม่อื หายใจเขาส้นั ก็รชู ดั วาหายใจเขา ส้ัน กายปสาท --> รบั การกระทบของลมหายใจ ๓. สาํ เหนียกวา จักเปนผรู ูตลอดกายทัง้ หมด หายใจออก สาํ เหนียกวา จักเปนผรู ูตลอดกายทง้ั หมด หายใจเขา ( กายวญิ ญาณธาตุ ) ๔. \" จักเปนผรู ะงับกายสงั ขาร \" \" จักเปน ผรู ะงบั กายสงั ขาร \" หมวดส่ีที่ ๒ ใชบ าํ เพ็ญ \" เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน \" ได * หายใจเขาออก เกดิ จากปจจัย * กายปสาท เกดิ จาก อวิชชา + สงั ขาร + กัมม ๕. สําเหนยี กวา จกั เปน ผรู ชู ัดปติ หายใจออก สําเหนยี กวา จกั เปนผูรชู ดั ปต ิ หายใจเขา * หทยวตั ถุ * กายวิญญาณธาตุ \"\" \" ๖. \" จักเปนผรู ูชัดซ่ึงสขุ \" \" จักเปนผูรูชดั ซง่ึ สขุ \" * มโนธาตุ + มโนวญิ ญาณธาตุ เกิดจาก กายปสาท ๗. \" จกั เปนผูร ูชดั ซงึ่ จติ ตสงั ขาร \" \" จกั เปนผูรูชัดซง่ึ จิตตสังขาร \" เกดิ จาก หทยวัตถุ ๘. \" จักเปนผูร ะงับจิตตสงั ขาร \" \" จักเปนระงับจติ ตสงั ขาร \" หมวดสที่ ่ี ๓ ใชบ ําเพ็ญ \" จิตตานปุ ส สนาสติปฏฐาน \" ได สตริ ะลกึ รใู นกองลมเขา ออก ๙. สําเหนียกวา จักเปนผรู ชู ัดซึ่งจิต หายใจออก สําเหนียกวา จกั เปน ผูรชู ัดซึ่งจติ หายใจเขา ๑๐. \" จกั ยังจติ ใหบ นั เทิง \" \" จักยงั จิตใหบนั เทงิ \" * อานาปานสั สติ ครบกระบวนการในการพจิ ารณา เรียกไดวา \" โสฬสวตั ถกุ ะ \" ๑๑. \" จักตั้งจิตมั่น \" \" จกั ตั้งจติ ม่ัน \" จตกุ ๔ หมวด ๑) กายานปุ สสนา > เปน หมวดแรกแหง การปฏิบตั ิ ๑๒. \" จักเปลือ้ งจติ \" \" จักเปล้ืองจติ \" ฝา ยสมถะ + วปิ ส สนา ๒) เวทนานปุ ส สนา หมวดส่ีท่ี ๔ ใชบ าํ เพ็ญ \" ธมั มานปุ ส สนาสติปฏฐาน \" ได ๓) จติ ตานปุ ส สนา ปฏิบัติหลงั จากไดฌ านแลว ๑๓. สาํ เหนียกวา จักพจิ ารณาเหน็ วาไมเ ที่ยง หายใจออก สําเหนยี กวา จักพิจารณาเหน็ วา ไมเที่ยง หายใจเขา ฝายวปิ สสนาเทาน้นั ๔) ธมั มานปุ ส สนา ๑๔. \" จกั พิจารณาเห็นความคลายออกได \" \" จกั พิจารณาเหน็ ความคลายออกได \" ๑๕. \" จกั พิจารณาเห็นความดบั ไป \" \" จกั พิจารณาเห็นความดับไป \" ๑๖. \" จกั พิจารณาเห็นความสลัดเสยี ได \" \" จกั พจิ ารณาเห็นความสลดั เสยี ได \"

- 72 - * ขยายความเฉพาะ หมวดสีท่ ่ี ๑ ใชบําเพญ็ \" กายานุปส สนาสติปฏ ฐาน \" ได ขอ ๑ + ๒ ลมกระทบนาน = ยาว คณนานยั + อนพุ ันธนานยั + ผุสนานยั ขอ ๔ เปน ผรู ใู นการระงบั กายสงั ขาร ( = ฐปนานัย ) ลมกระทบไมน าน = ส้ัน ลมหายใจ (เปน ผูป รุงแตง ) --> กายสงั ขาร ขอ ๓ รแู จงชดั ในกายสังขาร ( กายท้งั หมด ) แลว หายใจ ลมหยาบ --> จติ ทหี่ ยาบ --> กายสังขารหยาบ ๑. รไู มห ลงลืม ( = สมถะ ) ข้ันตอนของ อนพุ ันธนานัย (ละวติ ก) + ผุสนานัย (ละฟงุ ) ลมก็ละเอยี ดข้ึน <-- เมอ่ื จติ ละเอียดขน้ึ --> กายสังขารกส็ งบระงับดว ย + ฐปนานยั (ตง้ั มัน่ ไมหลงลมื ) เพื่อกาํ หนดรูอ ยู ณ จุดกระทบพรอ มทง้ั ปติ + สุข เกดิ ข้นึ ๒.รูโ ดยความเปนอารมณ ( = วปิ ส สนา ) พจิ ารณากองรปู กองนาม (วา โดยอภิธรรม - อวชิ ชา เปน ผูป รงุ แตง สังขาร วา โดยพระสูตร - ลมหายใจ เปน ผปู รุงแตงกายสงั ขาร ) (๑) ลมหายใจ เปน จิตตชรูป --> รูปทีเ่ กดิ จากจติ (๒) มีการกระทบดว ยกายปสาท --> โดยมีกายวญิ ญาณ เปนผูรับรกู ารกระทบ * ๑๒ ขอหลังเปนการดําเนินงานของผูไดฌาน เม่ือเราไมไ ด ฌาน จะเปน เร่อื งยากมาก จงึ ไมแสดง (๓) มีมโนธาตุ + มโนวิญญาณธาตุ รูกองลมที่เปนรปู นาม โดยมสี ติ ณ จดุ กระทบ * สรปุ โครงสรา ง อานาปานัสสติ อานาปานสั สติ ๒ นยั ( จตุกก ๔ ท่ี ๑ กายา. --> เปนพ้นื ฐาน สวนจตุกก ๔ ท่ี ๒ - ๔ เวทนา จิตต ธมั ม. ตองยก ฌานเปนบาท ) สมถนยั (จตกุ ก๔ ท่ี ๑ - ๓ ) วปิ สสนานยั ( จตุกก ๔ ท้ัง ๔ หมวด ) - อาศยั พระบาลี ขอ ๑ - ๕ สมถยานกิ ะ วปิ ส สนายานกิ ะ - ดําเนินตามนยั ทั้ง ๔ เรียกชอื่ วา ปฏปิ สสฺ นา <-- ปจจเวกขณญาณ เรยี กชื่อวา ปารสิ ทุ ธิ <-- ผลญาณ พระบาลี ๕ ขอ + เรยี กช่อื วา ววิ ฏฏ นา <-- มคั คญาณ > คณนานยั ผสุ นานัย > อคุ คหนิมิต โคตรภูญาณ > อนพุ ันธนานัย วปิ สสนาญาณ ๑๐ ปฏิภาคนิมติ < ฐปนานัย เรยี กชอ่ื วา สลฺลกฺขณา ปจ จยปรคิ คหญาณ - สมถะ --> อัปปนา. --> ยกฌานเปนบาท ---------------------------------------------------------------> นามรปู ปริจเฉทญาณ - วิปสสนา --> วปิ สสนายานิกะ * อานิสงสของการเจรญิ อานาปานสั สติ * ลมหายใจมที สี่ นิ้ สุด ๓ อยา ง ( น.๑๗๖ ) * ผทู ไี่ มม ลี มหายใจ มี ๘ จําพวก (น.๑๗๓) ๑. สามารถกําหนดการปลงอายสุ งั ขาร ๑) ลมหายใจภวจรมิ กะ กามบคุ คลเมือ่ ไดไปเกดิ ในรปู ภพ อรูปภพ ลมหายใจกเ็ ปนทส่ี ดุ คือ ไมมกี ารหายใจ ๑.ทารกทอ่ี ยใู นครรภ ๒. คนดาํ นาํ้ ๒. สามารถรูก าลปรินพิ พาน ๒) ลมหายใจฌานจรมิ กะ กามบคุ คลเมอ่ื ไดฌาน เมอื่ เขา รูปปญ จมฌาน หรอื อรูปฌาน ลมหายใจกเ็ ปนท่ีสุด คือ ไมมกี ารหายใจ ๓.คนสลบ ๔.คนตาย ๕.ผูเขา ปญ จมฌาน ๓.สมถะ ไดถงึ ปญ จมฌาน ๑) ลมหายใจจตุ จิ ริมกะ ลมหายใจทีเ่ กิดขึ้นพรอ มกันกับอปุ ปาทักขณะของจติ ดวงที่ ๑๗ ท่นี บั ถอยหลังจากจุติจิตข้ึนไปนั้น ๖.รูปาวจรพรหม ๗. อรูปาวจรพรหม ๔. ใหม คี วามสุขในปจจบุ นั ๕. มีภพภูมิท่ดี ี ดบั ลงพรอมกบั จตุ จิ ติ ลมหายใจนี้ก็เปนท่สี ดุ คอื ไมมีการหายใจ ๘. ผูทเ่ี ขานโิ รธสมาบัติ

5 อัปปมัญญา ( น.๕, ๑๗๘ - ๒๐๖ ) มคี วามยากเพราะ * อัปปมญั ญา ๔ เขาถงึ ฌานท้งั ๔ โสมนสั สเวทนา - 73 - ๑. สว นใหญอยูในขอบเขตของการแผเมตตา, กรณุ า, มุทติ า เทานนั้ มสี ขุ ทั้ง ๔ ฌาน ทไ่ี มส ามารถทําลายใหเ ขา ถงึ สีมสมั เภท จึงยงั ไมเรยี กวา \" แผอ ปั ปมญั ญา \" เมตตา, กรุณา, มุทิตา มีอเุ บกขาเวทนา ๒. ทีว่ าแผอยูในขอบเขตของเมตตา, กรณุ า, มุทิตา, อเุ บกขา ซึ่งมโี สมนัสสเวทนา ท่มี ีสภาพละเอยี ดปราณตี สวนใหญเปน แบบเทียม คือเจอื ดว ยอกศุ ล เชน โลภะ เปนสภาพหยาบ ยอมใหผ ลไพบูลย ๓. กรรมฐานทเี่ ปน บัญญัติ สว นใหญมนี มิ ิต แตอัปปมญั ญา เปน บัญญตั ทิ ่ีไมม ีนมิ ิตใดๆ ใกลตอ ความเกลยี ดชงั * เหตุท่ีอัปปมญั ญา มีเพยี ง ๔ (น. ๒๐๕) อปั ปมญั ญา สภาพ องคธ รรม เวทนา ธ. ตรงขาม สภาพ เวทนา ๑. เมตตา มีความรักใคร อโทสเจตสกิ โสมนสั สเว. พยาบาท ปองราย โทมนัสส. ๑) เพราะเหตุทท่ี าํ ใหสตั วทง้ั หลายเขา ถึงความบริสุทธิ์มี ๔ ๒. กรุณา ปรารถนาดี มคี วามสงสาร กรุณาเจตสิก ๑.พยาบาท - ทําความพยาบาทใหหมดไป เขา ถงึ ความบรสิ ุทธ์ไิ ด คอื เมตตา ๓. มทุ ติ า ๒.วิหิงสา - ปราบวิหิงสาใหหมดไป เขาถงึ ความบรสิ ุทธไิ์ ด คอื กรุณา ๔. อุเบกขา โสมนัสสเว. วิหงิ สา เบยี ดเบยี น โทมนัสส. ๓.อรติ (อนภิรต)ิ - ปราบความไมยนิ ดีในขณะทส่ี ตั วม คี วามสุข เขา ถึงความบรสิ ุทธิ์ได คอื มุทิตา (ผูอ ่นื มีทุกขแ ต ๔.ราคะ - ปราบราคะใหส งบ เขา ถงึ ความบริสุทธไิ์ ด คือ อเุ บกขา ผูมกี รณุ ากลบั มีโสมนสั .) ๒) เพราะเหตุทท่ี าํ ใหสัตวทั้งหลายใฝใ จตอ กนั มี ๔ มคี วามยนิ ดี มทุ ติ าเจตสิก โสมนสั สเว. อรติ(อนภิรต)ิ ไมย นิ ดที ่ี โทมนัสส. ๑.นําประโยชนใ หสัตวท ้ังหลายรกั ใครกัน ซึ่งเปนตัวเมตตา ในความสขุ ของผูอ่นื ตตั ตรมัชฌตั สตั วอ่ืนมี เชน บตุ รคนเล็ก วางเฉยใน ตตาเจตสกิ ๒.บําบดั ทุกขข องสตั วท ้ังหลาย ซึง่ เปน ตวั กรุณา อาการ ๓ ความสขุ อยา งขา งตน เชน บุตรคนท่ี ๒ ไมส บาย อเุ บกขาเวทนา ๓.ความยนิ ดี เมอื่ สตั วท ้งั หลายมีความสุข ซง่ึ เปน ตัวมทุ ิตา ๑) เกิดจากการวางเฉยในเมตตา, กรุณา, มทุ ติ า เชน บตุ รคนที่ ๓ กําลงั เติบโต ๔.การวางเฉยในเรือ่ งจะนําประโยชน บาํ บัดทุกข ยนิ ดใี นความสขุ ของสัตวทงั้ หลาย ซงึ่ เปน ตัวอเุ บกขา ๒) เหน็ จตุตถฌานที่มีโสมนสั สเวทนา เปน พรหม เชน บตุ รคนท่ี ๔ (คนโต) ทํางานไดท ่พี ง่ึ แลว ๓) เห็นปญจมฌานที่มอี เุ บกขาเวทนา เปน ของละเอยี ด

- 74 - * อัปปมัญญา ๔ ( น. ๑๗๘ ) มว. ธรรมที่เปนไปในสัตวท ้งั หลาย หาประมาณมิได ไมมจี าํ กัด ชอื่ วา \" อัปปมญั ญา \" * มุงหมาย ขอ ความนีม้ ุงหมายการเขาถงึ \" ฌาน \" ๑) ทาํ ลายเมตตา, กรุณา, มุทิตา ไมมขี อบเขตท้งั บุคคล (เสมอกนั ) และสถานท่ี (ทิศทั้ง ๑๐) จึงจะเรียกวา \" อัปปมญั ญา \" เปนเหตุใหเขา ถงึ \" ฌาน \" ๒) ถา ยงั มคี วามจาํ กัด ดว ยบุคคล + สถานท่แี ลว การแผน ้นั ไมเรียกวา อปั ปมญั ญา และไมเหน็ เหตุใหเ ขาถงึ ฌาน ๓) มุงหมายความเปนอยูอยา งพรหม เรียกวา \" พรหมวิหาร ๔ \" ( แยกคํา พรหม = ผปู ระเสรฐิ , วหิ าร = ความเปนอยูของผปู ระเสริฐ ) * การแสดงอัปปมัญญาอยา งแท และอยา งเทยี ม อปั ปมัญญา อยา งแท อยางเทียม - ตณั หาเปมะ = โลภเจ. --> โลภ.๘ ๑.เมตตา - มี อโทสเจ.ที่มี ปย มนาปสัตวบญั ญัติ เปนอารมณ มสี ภาพไมยดึ มั่นในบคุ คล มีสภาพยึดมั่นในบุคคล - ขดั ตอ สติสัมปชญั ญะ + สมาธิ และขัดตอมรรค ผล เปนปกตูปนสิ สยปจจยั ใหเกิด เมตตาแทได ปยมนาปสัตวบญั ญัติ มี ๒ อยาง ๑. พวกธรรมดา - โทสจติ ตุปบาท = มคี วามเสียใจตามผทู ีก่ าํ ลงั ไดร ับทกุ ขไ ปดว ย ๒. พวกทีเ่ ปนไปดว ยอาํ นาจสมาธิ - โลภมลู โสมนสั จิตตปุ บาท ( จิต + เจ ) มคี วามละเอียดกวา ตณั หาเปมะ มีสภาพการยึดในบุคคลทร่ี ัก เมอ่ื ไดลาภ ยศ ฯลฯ ๒.กรณุ า - มี กรุณาเจ.ทม่ี ที ุกขิตสัตวบัญญัติ เปน อารมณ ทุกขติ สัตวบญั ญตั ิ มี ๒ อยาง - อญาณอเุ บกขา = โมหเจ. ๑ พวกท่ีกําลงั ไดรับความลาํ บากดว ยพยสนะ๕ เฉยเมยในการรบั รู ไมไดวางเฉยทร่ี ใู นเมตตา, กรณุ าและมุทติ า มากอ น ๒ พวกท่กี าํ ลังสขุ แตอ นาคตตอ งไดรับความลาํ บาก * ทาํ ไดยาก เพราะ อารมณก บั จติ จะขดั กนั คอื ผูช วยเหลือ ---> ผูมที กุ ข ผูช วยเหลือ จติ ตวั เองเปนสุข แตเมอ่ื มองผูมีทกุ ข จติ กอ็ าจเกดิ ความทกุ ขต ามไปดวย ๓.มุทติ า - มี มุทิตาเจ.ที่มีสขุ ิตสตั วบญั ญตั ิ เปน อารมณ สุขติ สัตวบญั ญตั ิ มี ๒ อยา ง ๑ พวกทก่ี าํ ลงั ไดร ับความสขุ หรอื จะไดร บั ในภายหนา ๒ พวกทีก่ ําลงั ทุกข แตอดีตเคยมคี วามสขุ ๔.อเุ บกขา - มี ตัตตรมชั ฌัตตตาเจ.ทมี่ มี ัชฌตั ตสตั วบญั ญัติ เปนอารมณ มชั ฌตั ตสัตวบญั ญตั ิ มี ๒ อยาง ๑ พวกธรรมดา ( มีการวางเฉย เพราะไมร ู ) ๒ พวกทีเ่ ปน ไปดว ยอาํ นาจสมาธิ ( เกิดจากการรูใน เมตตา กรณุ าและมทุ ิตามากอน ) * อุเบกขา มขี อจํากดั ดว ยบุคคล+อารมณ คอื ตองเปนฌานลาภีบคุ คล และตองมสี ตั วบัญญัติ เปนอารมณเทา นน้ั

- 75 - * อปั ปมญั ญา มคี วามตา งกนั เมอ่ื เปรยี บเทยี บองคธรรม อปั ปมญั ญา อารมณ ลําดบั บุคคล ในการแผอ ปั ปมญั ญา สัตวบัญญัติ ลําดับที่ ๒ ลําดับที่ ๓ ลาํ ดบั ที่ ๔ ๑) เมตตา มี ๒ - คราวใดเกิดข้นึ เก่ียวของดวยสัตวบญั ญัติ ลาํ ดับที่ ๑ ลาํ ดับท่ี ๔ คราวน้นั อโทสเจตสิก เรยี กวา \" เมตตา \" ๑) เมตตา ปยมนาป. ตนเอง ๑ ปยบคุ คล ๒ อตปิ ยบคุ . ๓ มัชฌัตตบคุ . ๔ เวรบี คุ คล - คราวใดเกดิ ขน้ึ ไมเ กย่ี วของ ดวยสัตวบญั ญตั ิ เชน ขณะสวดมนต ฯลฯ ๒) กรุณา ทกุ ขติ . ตนเอง ๓ มชั ฌตั ตบุค. ๑ ปย บคุ คล ๒ 2 ๔ เวรบี คุ คล คราวนน้ั เรียกวา \" อโทสเจตสิก \" ๓) มุทติ า สุขิต. ตนเอง ๒ อตปิ ย บคุ . ๑ ปย บุคคล ๓ มชั ฌตั ตบุค. ๔ เวรีบุคคล ๔) อุเบกขา มัชฌัตต. ตนเอง ๓ มชั ฌัตตบุค. ๑ ปย บคุ คล ๒ อตปิ ย บคุ . ๔ เวรบี คุ คล ๒) กรุณาและมทุ ติ า - เกดิ ขน้ึ คราวใดตองเกยี่ วขอ งดว ยสัตวบัญญตั เิ สมอ ดังนนั้ * ในกรณุ า ๒ 2 ไมแผใหอ ตปิ ยบุคคล เพราะผทู ่ีเรารักมากมที ุกข ใจเรากม็ ักจะทุกขไปดวย ทาํ ใหแผไ มขึน้ จึงถกู เรียกวา \" กรุณาและมุทิตา \" ๓) อุเบกขา มี ๒ - คราวใดเกิดขึ้น เกีย่ วขอ ง ดว ยบคุ คล * แผใหตนเอง - เพอื่ เปน สักขีพยานวา เรารักสุขเกลยี ดทุกขอยางไร บคุ คลอ่ืนก็เชนเดยี วกนั คราวนน้ั ตองเปน มัชฌัตตตาสัตวบัญญัติ ถกู เรียกวา \" อุเบกขา \" ฉะนัน้ ในการแผอัปปมญั ญา จงึ ตองแผใ หตนเองกอน - คราวใดเกิดขึ้นไมเ ก่ียวขอ ง ดวยบุคคล คราวนน้ั เรยี กวา \" ตัตตรมัชฌตั ตตาเจตสิก \" * เวรบี คุ คล - ตอ งแผเ ปน ลําดบั สดุ ทา ย เพราะ ถา แผกอนจะเปนอปุ สรรคตั้งแตแ รก มีโทสเกิด และตอ งการทําลายขอบเขตใหเ สมอกันเพอื่ ใหเขา ถงึ สบี สมั เภท -> อัปปมัญญา ( ฌาน ) * เปรียบเทยี บองคธรรม โลภเจตสิก ใน เมตตาเทียมและมุทติ าเทยี ม * วิธีการแผอ ัปปมญั ญา โลภเจ.-->โลภ.๘ ชอ่ื วา \"ตัณหาเปมะ\" โลภมูลโสมนัส ๔ เจ. ๒๒ > เมตตา - ตนเอง เรยี กวา แผแ บบเมตตา = บรกิ รรมภาวนา = เมตตาเทียม = มุทิตาเทยี ม ( มี เมตตาเทียม ซอนอยดู วยเพราะ - บคุ คลอ่ืน ๑ คน ** เปรยี บเทยี บการแผเมตตา เจ.๒๒ นน้ั กม็ ีโลภเจ. อยดู วย ) อดตี เคยมคี วามสขุ - บุคคลอน่ื > ๑ คน เรียกวา แผแ บบอัปปมัญญา -> บุคคล ๑๒ = อุปจารภาวนา มุทติ า สตั วท ่ีกาํ ลังไดรับความทกุ ขลําบาก กรณุ า (เขา ถึง สมี สมั เภท คือ การทําลาย -> ทิศ ๑๐ = อัปปนาภาวนา สัตวทเี่ คยไดรับความสุขในอดีต อนาคตตอ งไดรบั ความลาํ บากในพยสนะ๕ ขอบเขตบคุ คล ๑๒ และทศิ ๑๐ ) > กรุณา, มทุ ติ า, อเุ บกขา กใ็ นทํานองเดยี วกนั * บาลี = ทิศ + บคุ คล + คาํ แผ ( บคุ คล ๑๒ ใหยก อโนทสิ บุคคล ๕ ขน้ึ กอ น โอทสิ บคุ คล ๗ ) * แปล = บคุ คล + ทิศ + คาํ แผ

- 76 - * คําบรกิ รรมในแผ \" เมตตา \" ( = บรกิ รรมภาวนา ) * คาํ บริกรรมในการแผ \" กรณุ า \" ๑) ตนเอง ๑) ตนเอง อหํ ทกุ ฺขา มุจจฺ ามิ ขอขา พเจา ขอทา น ๑. อหํ อเวโร โหมิ ขอขาพเจา จงเปนผูไมม ี ศตั รภู ายในและภายนอก ๒) บคุ คลอ่ืน ๑ คน ทุกขฺ า มจุ จฺ ตุ ขอทานทงั้ หลาย จงพน จากความทุกขก าย ทกุ ขใ จ ๒. อหํ อพฺยาปชฺโช โหมิ ขอขา พเจา จงเปน ผไู มมี ความวิตกกงั วล เศรา โศก พยาบาท ๓) บุคคลอ่ืน > ๑ คน ทกุ ขฺ า มุจฺจนฺตุ ๓. อหํ อนีโฆ โหมิ ขอขา พเจา จงเปน ผไู มมี ความลาํ บากกาย ใจ พนจากอปุ ทวภัย ๔. อหํ สขุ ี อตฺตานํ ปรหิ รามิ ขอขาพเจา จงเปน ผูนาํ อัตภาพทเ่ี ปน อยูดวยความสุขกาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน * คาํ บริกรรมในการแผ \" มทุ ิตา \" ๒) บุคคลอน่ื ๑ คน มคี าํ แผเ ปน เอกพจน ดังนี้ ๑) ตนเอง อหํ ยถาลทฺธสมฺปตตฺ โิ ต มา วิคจฉฺ ามิ ขอขาพเจา อยาไดสญู สิน้ จาก ขอทา น ความสุขความเจริญ ๑. อเวโร โหตุ ขอจงไร ศัตรูภายในและภายนอก ๒) บคุ คลอื่น ๑ คน ยถาลทฺธสมฺปตฺติโต มา วคิ จฉฺ ตุ ขอทา นทง้ั หลาย ที่มอี ยู ๒. อพยฺ าปชโฺ ช โหตุ ขอจงไร ความวิตกกังวล เศราโศก พยาบาท ๓) บคุ คลอืน่ > ๑ คน ยถาลทธฺ สมฺปตตฺ ิโต มา วิคจฺฉนตฺ ุ ๓. อนโี ฆ โหตุ ขอจงไร ความลําบากกาย ใจ พน จากอุปทวภยั ๔. สขุ ี อตฺตานํ ปริหรตุ ขอจงนํา อตั ภาพท่เี ปน อยดู ว ยความสขุ กาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน ๓) บคุ คลอน่ื > ๑ คนไปจนประมาณไมได มคี ําแผเ ปน พหูพจน ดงั นี้ * คําบรกิ รรมในแผ \" อเุ บกขา \" ๑. อเวรา โหนฺตุ ขอจงไมมี ศตั รภู ายในและภายนอก โดยทั่วกนั ๑) ตนเอง อหํ กมฺมสสฺ โก เรา มกี รรมเปน ของของเรา บุคคลน้ี มกี รรมเปน ของของตน ๒. อพยฺ าปชฺชา โหนฺตุ ขอจงไมม ี ความวิตกกงั วล เศรา โศก พยาบาท โดยทั่วกัน ๒) บุคคลอน่ื ๑ คน กมฺมสสฺ โก สตั วท งั้ หลาย มีกรรมเปน ของของตน ๓. อนฆี า โหนตฺ ุ ขอจงไมมี ความลาํ บากกาย ใจ พนจากอุปทวภยั โดยท่ัวกัน ๓) บคุ คลอ่ืน > ๑ คน กมฺมสฺสกา ๔. สุขี อตฺตานํ ปรหิ รนฺตุ ขอจงนาํ อตั ภาพทเ่ี ปนอยูดวยความสุขกาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน โดยท่ัวกนั * คาํ แผในบคุ คล ๑๒ ( = อุปจารภาวนา ) * คําแผในทศิ ทงั้ ๑๐ เรียกวา เขา ถึงอัปปมญั ญา ( = อัปปนาภาวนา ) ๑) อโนทิสบุคคล ๕ ๒) โอทิสบุคคล ๗ ๑. ปุรตถฺ มิ าย ทสิ าย ทศิ ตะวนั ออก ๕. ปรุ ตฺถิมาย อนทุ สิ าย ทิศตะวนั ออกเฉยี งใต ทิศตะวันตกเฉียงเหนอื ๑.สพฺเพ สตฺตา สัตวท ้ังหลาย ๑.สพฺพา อติ ถฺ โิ ย หญิงทง้ั หลาย ๒. ปจฺฉิมาย ทสิ าย ทิศตะวนั ตก ๖. ปจฉฺ มิ าย อนุทสิ าย ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทิศตะวนั ตกเฉียงใต ๒.สพฺเพ ปาณา สัตวที่มีชวี ิตทง้ั หลาย ๒.สพฺเพ ปุริสา ชายทัง้ หลาย ๓. อตุ ตฺ ราย ทสิ าย ทศิ เหนอื ๗. อตุ ตฺ ราย อนุทสิ าย ๓.สพฺเพ ภูตา สัตวทปี่ รากฏชดั ทัง้ หลาย ๓.สพเฺ พ อริยา พระอริยบุคคลทงั้ หลาย ๔. ทกฺขิณาย ทิสาย ทศิ ใต ๘. ทกฺขณิ าย อนุทสิ าย ๔.สพเฺ พ ปุคคลา บุคคลทงั้ หลาย ๔.สพเฺ พ อนริยา ปุถุชนทง้ั หลาย ๕.สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนนฺ า ๕.สพเฺ พ เทวา เทวดาทัง้ หลาย ๙. เหฏม าย ทิสาย ทศิ เบ้ืองลา ง ๑๐. อุปรมิ าย ทิสาย ทศิ เบอ้ื งบน สตั วท ่ีมีอัตภาพท้ังหลาย ๖.สพฺเพ มนสุ ฺสา มนุษยทั้งหลาย ๗.สพฺเพ วนิ ิปาติกา พวกวินิปาติกอสรุ าท้งั หลาย

- 77 - 5 คําแผเมตตา กรณุ า มุทติ า อเุ บกขา (๑) (๓) อหํ อเวโร โหมิ ขอขา พเจา จงเปน ผไู มมศี ัตรูภายในและภายนอก ปุรตถฺ ิมาย ทิสาย ท่ีอยทู างทศิ ตะวนั ออก อหํ อพยฺ าปชฺโช โหมิ ขอขาพเจาจงเปน ผูไมมคี วามวติ ก กังวล เศรา โศก พยาบาท ปจฺฉิมาย ทสิ าย \" ตะวนั ตก อหํ อนโี ฆ โหมิ ขอขา พเจาจงเปนผไู มม คี วามลาํ บากกายใจ พน จากอุปท วภัย อตุ ตฺ ราย ทิสาย \" เหนอื อหํ สุขี อตตฺ านํ ปรหิ รามิ ขอขา พเจาจงเปนผนู ําอตั ภาพท่ีเปน อยูดวยความสุขกาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน ทกขฺ ณิ าย ทสิ าย \" ใต อหํ ทุกขฺ า มุจจฺ ามิ ขอขาพเจาพนจากความทุกขก าย ทกุ ขใ จ ปรุ ตถฺ ิมาย อนทุ ิสาย \" ตะวันออกเฉยี งใต อหํ ยถาลทฺธสมปฺ ตฺติโต มา วคิ จฉฺ ามิ ปจฉฺ ิมาย อนุทสิ าย \" ตะวนั ตกเฉียงเหนือ ขอขา พเจา อยาไดส ญู สน้ิ จากความสุข ความเจรญิ ท่ีมีอยู อตุ ฺตราย อนุทิสาย \" ตะวันออกเฉยี งเหนือ อหํ กมมฺ สสฺ โก เรามกี รรมเปน ของของเรา ทกขฺ ณิ าย อนทุ ิสาย \" ตะวนั ตกเฉยี งใต เหฏ มาย ทิสาย \" เบอื้ งลาง (๒) อุปรมิ าย ทิสาย \" เบอื้ งบน สพเฺ พ สตตฺ า สตั วทง้ั หลาย สพพฺ า อิตถฺ โิ ย หญิงทง้ั หลาย (๔) สพฺเพ ปาณา สตั วที่มชี วี ติ ทง้ั หลาย สพเฺ พ ปรุ สิ า ชายท้ังหลาย อเวรา โหนตฺ ุ จงไมม ศี ัตรภู ายใน และภายนอก ท่ัวกนั สพเฺ พ ภตู า สัตวทป่ี รากฏชัดท้งั หลาย สพเฺ พ อรยิ า พระอรยิ บุคคลทงั้ หลาย อพฺยาปชชฺ า โหนฺตุ จงไมม คี วามวิตกกังวล เศราโศก พยาบาท ท่วั กนั สพเฺ พ ปคุ ฺคลา บุคคลท้ังหลาย สพเฺ พ อนรยิ า ปถุ ุชนท้ังหลาย อนีฆา โหนฺตุ จงไมมคี วามลาํ บากกายใจพน จากอปุ ท วภัยทว่ั กนั สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนนฺ าสตั วท ม่ี ีอตั ภาพทั้งหลาย สพฺเพ เทวา เทวดาทงั้ หลาย สุขี อตฺตานํ ปรหิ รนฺตุ จงนําอัตภาพท่เี ปน อยูดวยความสขุ กาย สขุ ใจ สพฺเพ มนุสสฺ า มนษุ ยท้ังหลาย ตลอดกาลนานท่ัวกนั สพฺเพ วินปิ าติกา พวกวนิ ปิ าตกิ อสุราทัง้ หลาย ทกุ ฺขา มุจจฺ นตฺ ุ จงพนจากความทุกขก าย ทกุ ขใจ ยถาลทฺธสมฺปตฺตโิ ต มา วคิ จฉฺ นฺตุ อยาไดส ญู ส้ินจากความสุข ความเจริญที่มอี ยู กมฺมสสฺ กา มีกรรมเปน ของของตน

* เมตตา มว.การปรารถนาดีรกั ใครต อ สัตวทงั้ หลาย อธ. ไดแก อโทสเจ.ทมี่ ี ปยมนาปสตั วบัญญัติ - 78 - เปนอารมณ ดังวจนตั ถะ มิชชฺ ติ สนิ ยิ ฺหตตี ิ = เมตตฺ า ขัน้ ตอนที่ ๒ \" สมี สัมเภท \" ๒) ทศิ ๑๐ \" เปน กําลงั ใหถ งึ อัปปนาภาวนา \" ๑) บคุ คล ๑๒ \" อปุ จารภาวนา \" ธรรมชาติใดยอ มรกั ใครช ่นื ชมตอสัตวท ้งั หลาย ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ นั้ ช่อื วาเมตตา * ขน้ั ตอนในการแผเมตตา อโนทสิ บคุ คล ๕ โอทสิ บุคคล ๗ ๑ ปรุ ตถฺ มิ าย ทสิ าย ขนั้ ตอนที่ ๑ \" บริกรรมภาวนา \" ๑ สพฺเพ สตฺตา ๑ สพพฺ า อติ ฺถโิ ย ๒ ปจฉฺ มิ าย ทิสาย ๑) บุคคลกบั การแผ ๒ สพเฺ พ ปาณา ๒ สพเฺ พ ปุรสิ า ๓ อตุ ฺตราย ทิสาย * บุคคลท่ีควรแผเ ปนลําดบั ตน - ปยมนาปบุคคล (บคุ คลอันเปนที่รัก ) มี ๒ พวก ๓ สพฺเพ ภตู า ๓ สพฺเพ อรยิ า ๔ ทกฺขณิ าย ทิสาย ๑) พวกธรรมดา ๒) พวกท่เี ปนไปดวยอาํ นาจสมาธิ ๔ สพฺเพ ปุคฺคลา ๔ สพเฺ พ อนริยา ๕ ปุรตฺถมิ าย อนุทสิ าย * บุคคลทแี่ ผก อ นไมได ๑. อปั ปยบคุ คล ( แผเ มตตาไมไ ด ) ๓. มัชฌัตตบุคคล ๕ สพฺเพ อตฺตภาว ๕ สพเฺ พ เทวา ๖ ปจฉฺ มิ าย อนุทสิ าย ๒. อติปยบุคคล ( ตณั หาเปมะ ) ๔. เวรบี ุคคล ปริยาปนนฺ า ๖ สพฺเพ มนสุ สฺ า ๗ อตุ ตฺ ราย อนทุ ิสาย * บคุ คลที่แผแ บบเจาะจงไมได - ลิงควิสภาคบคุ คล (เพศตรงกันขา ม ) ๗ สพเฺ พ วนิ ิปาติกา ๘ ทกฺขณิ าย อนทุ ิสาย * บุคคลที่แผไมไ ดเ ลย - กาลังคตบุคคล (บคุ คลทีต่ ายไปแลว = อทุ ิศสว นกุศล ) ๙ เหฏมาย ทสิ าย ขัน้ อปุ จาร.น้ีไมแ ยกบุคคล ดว ยอารมณ ๑๐ อุปริมาย ทสิ าย ๒) แผตามลาํ ดับบคุ คล ๓) คําบรกิ รรม ( คําแผ ) ปย มนาปสัตวบญั ญัติ เหมอื นกันทกุ คน ๑ ตนเอง บทที่ ๑ อหํ อเวโร โหมิ ฯลฯ มีจาํ นวนการแผ มีจํานวนการแผ - เพ่อื เปนสักขพี ยาน - เปน เหตใุ หสมาธแิ กก ลา ๑๐ ทศิ x ๔๘ = ๔๘๐ คําแผ - เพอื่ หวังจะไดฌ าน เพอ่ื เปน บาทใหเ ขา ถึงคําแผบทที่ ๓ ๕ คน x ๔ คําแผ = ๒๐ ๗ คน x ๔ คาํ แผ = ๒๘ ( ถาไมห วังขามไป ๒ - ๕ ) ๒ ปยบุคคล ๑ คน บทที่ ๒ อเวโร โหตุ ฯลฯ = ๔๘ คาํ แผ ๓ อติปย บุคคล > ๑ คน บทที่ ๓ อเวรา โหนตฺ ุ ฯลฯ - มคี วามแกก ลาของอินทรียมากอ น ๔ มชั ฌัตตบุคคล - เขาถึงสีมสัมเภท ( ขั้นตอนท่ี ๒ ) รวมเปน ๕๒๘ คําแผ = \" อปั ปนาภาวนา \" ๕ เวรีบคุ คล บารมี ๑๐ ชาตสิ ดุ ทา ย เวรบี คุ คล * พระองคทรงแสดง เมตตา เปน อนั ดับแรกในอปั ปมญั ญา ๔ เพราะ เต. เนกขัม ภู ศลี อกุศลกรรม อกศุ ลวปิ าก = โทสมูลจติ ตุปบาท ( อารมณเฉพาะหนา ) สหชาตกัมม. นานกั ขณกิ กัมม. ๑. เมตตา เปน ธรรมทม่ี ีประโยชนอ ยา งมหาศาล ๓. เมตตา ชวยใหก ารสรางบารมีตา งๆ ไดส าํ เรจ็ ช. วิริยะ จ. ขันติ ( บางคร้งั เวรไี มป รากฏโดยบคุ คล แตเ กดิ โดยอาการ เชน เดินสะดุดหิน ) ส.ุ เมตตา นา. อุเบกขา ๒. เมตตา เปนตวั ชว ยให กรุ.ม.ุ อุ. เกิดข้ึนไดง า ย ๔. สัพพญั ู อาศยั สรา งบารมี ๑๐ อยา ง เน. อธษิ ฐา วิ. สจั จะ นานถึง ๔ อสงไขย กําไรแสนกลั ป ม. ปญ ญา เว. ทาน

* แสดงคําแผ โดยวถิ ี บริกรรมนมิ ติ โดยปรยิ าย = อุคคหนมิ ิตโดยปรยิ าย อนโุ ลมสงเคราะห = ปฏภิ าคนิมิต - 79 - ๑.ตนเอง ข้ันตอนที่ ๑ \" คําบริกรรม \" ข้ันตอนที่ ๒ \" สีมสัมเภท \" เมอ่ื พจิ ารณาปจจเวกขณะ ๒.ปย บคุ . แผใ หมๆ อารมณเ ปน ทาํ ลายขอบเขตแตละกลมุ บคุ คลเขา ถึง ตดั กระแสภวงั คข าดมี ฌ = โสมนัสสเวทนา ปย มนาปสตั วบญั ญัติ ปยมนาปสตั วบัญญตั ิ ๓.อตปิ ยบคุ . ปย มนาปสัตวบญั ญตั ิ ที่เกิดข้ึนดวยอาํ นาจสมาธิ เปนอารมณ ( ปฐม. --> จต.ุ ) ๔.มัชฌตั ตบุค. พวกธรรมดา คาํ แผร วม ๕๒๘ บท = อัปปมัญญาเกดิ ( ๔๘ + ๔๘๐ ) ๕.เวรบี ุค. ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค 22 22 \" คําบรกิ รรม \" 22 2222 อหํ อเวโร โหมิ …ฯลฯ <-- บรกิ รรมถาหวังในฌาน บคุ คล ๑๒ ทศิ ๑๐ อเวโร โหตุ ...ฯลฯ ระลึกไปทีละคน สพฺเพ สตตฺ า... ฯลฯ ปุรตถฺ ิมาย ทสิ าย...ฯลฯ อเวรา โหนฺตุ ...ฯลฯ ในแตล ะกลุม เชน เพราะมีอารมณกบั ทกุ คน เร่ิมแผท ศิ ท้ัง ๑๐ เพือ่ ให ปย.๗ อต.ิ ๕ มชั .๘ เวร.ี ๒ เสมอกันหมดเปน มีกาํ ลังเขา ถงึ อัปปนาภาวนา จํานวนบุคคลมากนอยแลว แต ปย มนาปสัตวบญั ญัติ ผบู รกิ รรม คําแผจงึ ไมเ ทากัน คําแผร วม ๔๘ บท คาํ แผร วม ๔๘๐ บท (๕x๔)+(๗x๔) ( ๑๐ x ๔๘ ) คาํ แผ เทากันในทกุ บุคคล บรกิ รรมภาวนา อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา [ แผเมตตา ] [ แผสีมสมั เภท ] * ขอเสนอแนะในการแผเ มตตา ๑. ตอ งมีความรูค วามเขาใจในคําบรกิ รรม การแผไ ปในบคุ คล * เมตตา เกิดไดกับทกุ ๆ คน * อปั ปมัญญา เกิดกบั บคุ คลทใ่ี กลตอการได ฌาน ตามลาํ ดับทีเ่ ปน ไปในบคุ คล ๑๒ และทศิ ทัง้ ๑๐ - เมตตาเทยี ม ทมี่ สี ภาพการยดึ ในบคุ คล - เมตตาแท ทาํ ลายขอบเขตของบุคคลเขาถึง สมี สมั เภท ๒. ตอ งทอ งคาํ บริกรรมทง้ั บาลี + คําแปลใหไ ด - เมตตาแท อาศัยเมตตาเทียมไปกอ น * เมตตามีประโยชนอ ยางมหาศาล ๓. ตองแผจนเกดิ ความชํานาญ ถงึ เปนเมตตาแทก ต็ าม แตย ังไมทําลายขอบเขตในแตละบุคคล ๑. เมตตาธรรม ชว ยอุดหนุนกรณุ า มทุ ิตา อเุ บกขา ๔. อยาใหคาํ พูดแรงกวา ความรูส กึ ๒. ชว ยใหก ารสรา งบารมีอ่นื ๆ สําเรจ็ ๓. เหตนุ ้พี ระองคจงึ ทรงแสดงเมตตาไวเ ปนอนั ดบั แรก

- 80 - * กรณุ า มว.เมื่อเหน็ สตั วท้งั หลายไดร บั ความลําบาก จติ ใจของสปั บรุ ณุ กเ็ กิดความหวนั่ ไหวนง่ิ ดอู ยูไมไ ด หรืออีกนัย มว. ยอ มชว ยผูท ่ีไดร บั ความลาํ บากนั้นใหไ ดร บั ความสขุ ดงั วจนัตถะ ข้ันตอนที่ ๒ \" สีมสัมเภท \" ๒) ทศิ ๑๐ \" เปน กําลงั ใหถ ึง อัปปนาภาวนา \" ปรทกุ ฺเข สติ สาธนู ํ หทยกมปฺ นํ กโรตีติ = กรุณา ๑) บคุ คล ๑๒ \" อุปจารภาวนา \" ธรรมชาตใิ ด ยอ มทาํ ใหจติ ใจของสปั บรุ ุษทั้งหลายหว่ันไหวนง่ิ อยูไมไ ด เม่อื ผอู ืน่ ไดรับความ อโนทิสบุคคล ๕ โอทิสบุคคล ๗ ๑ ปุรตถฺ ิมาย ทสิ าย ลาํ บาก ฉะน้นั ธรรมชาตนิ ้นั ชือ่ วา กรุณา ๒ ปจฉฺ ิมาย ทสิ าย อธ. > กรุณาแท - กรณุ าเจ ทใ่ี น ม.กุ.๘ ที่มี ทกุ ขิตสตั วบัญญัติ เปน อารมณ ๑ สพฺเพ สตตฺ า ๑ สพพฺ า อิตถฺ โิ ย ๓ อตุ ฺตราย ทิสาย ๔ ทกฺขณิ าย ทิสาย > กรุณาเทยี ม - โทสมลู จิตตุปบาท ๒ สพเฺ พ ปาณา ๒ สพฺเพ ปุรสิ า ๕ ปรุ ตฺถิมาย อนทุ สิ าย ๑) พวกทีก่ ําลงั ลาํ บากดวยความทุกข ๖ ปจฺฉิมาย อนุทสิ าย ๒) พวกทกี่ ําลงั สขุ แตอนาคตตอ งทุกข ๓ สพฺเพ ภูตา ๓ สพเฺ พ อริยา ๗ อตุ ฺตราย อนทุ ิสาย ทีเ่ กดิ จากพยสนะ ๕ ๘ ทกขฺ ณิ าย อนทุ ิสาย ๔ สพเฺ พ ปคุ คฺ ลา ๔ สพฺเพ อนริยา ๙ เหฏ ม าย ทิสาย ๑๐ อุปริมาย ทิสาย ๕ สพเฺ พ อตฺตภาวปริยาปนนฺ า ๕ สพฺเพ เทวา มีจาํ นวนการแผ ๖ สพฺเพ มนุสฺสา ๑๐ ทิศ x ๑๒ = ๑๒๐ คาํ แผ * ข้นั ตอนในการแผก รุณา ๗ สพฺเพ วนิ ิปาตกิ า ขน้ั ตอนที่ ๑ \" บรกิ รรมภาวนา \" ๑) บคุ คล ขน้ั อุปจาร.น้ไี มแ ยกบุคคล มจี ํานวนการแผ - พวกที่กาํ ลงั ทกุ ข - พวกทก่ี าํ ลังสขุ แตอ นาคตตอ งเจอกบั ทกุ ข ๒) แผตามลําดับบคุ คล ๓) คําบรกิ รรม ( คําแผ ) ๕ คน x ๑ คําแผ = ๕ ๗ คน x ๑ คําแผ = ๗ ๑ ตนเอง บทท่ี ๑ อหํ ทุกขา มุจฺจามิ ( ตดั อติปยบุค.เพราะคนที่รกั - เปน เหตใุ หส มาธแิ กก ลา = ๑๒ คาํ แผ เพ่ือเปน บาทใหเ ขา ถึงคาํ แผบ ทที่ ๓ มที กุ ข ใจคนแผก็ทุกขดว ย ) - มคี วามแกกลา ของอนิ ทรยี มากอน ๒ มชั ฌัตตบคุ คล ๑ คน บทท่ี ๒ ทุกขา มุจจฺ ตุ - เขาถึงสีมสัมเภท ( ข้ันตอนท่ี ๒ ) ๓ ปยบุคคล > ๑ คน บทที่ ๓ ทุกขา มุจฺจนตฺ ุ รวมเปน ๑๓๒ คาํ แผ = \" อัปปนาภาวนา \" ๔ เวรีบคุ คล

- 81 - * มุทติ า มว.ความรน่ื เริงบันเทิงใจในความสขุ ความสมบรู ณข องผูอ่ืน ดงั วจนตั ถะ ตํ-สมงฺคโิ น โทนฺติ เอตายาติ = มทุ ติ า ขั้นตอนท่ี ๒ \" สมี สัมเภท \" ๒) ทิศ ๑๐ \" เปน กาํ ลังใหถ งึ อัปปนาภาวนา \" ๑) บุคคล ๑๒ \" อุปจารภาวนา \" สัปบุรษุ ผมู ีใจถึงพรอ มดว ยมทุ ิตาทงั้ หลาย ยอ มร่ืนเริงในความสขุ ความสมบรู ณของผูอน่ื ดวยธรรมชาตนิ ้ัน ฉะน้นั ธรรมชาตทิ เี่ ปนเหตแุ หง การรื่นเรงิ ชือ่ วา มุทติ า อโนทสิ บุคคล ๕ โอทิสบคุ คล ๗ ๑ ปรุ ตฺถมิ าย ทิสาย อธ. ไดแ ก มทุ ิตาเจ. ทมี่ สี ขุ ิตสตั วบญั ญัตเิ ปนอารมณ ๒ ปจฺฉมิ าย ทสิ าย ๓ อุตตฺ ราย ทสิ าย ๑ สพฺเพ สตฺตา ๑ สพฺพา อิตฺถิโย ๔ ทกฺขิณาย ทิสาย ๕ ปรุ ตฺถิมาย อนุทสิ าย * ข้นั ตอนในการแผมทุ ิตา ๒ สพเฺ พ ปาณา ๒ สพเฺ พ ปุริสา ๖ ปจฉฺ มิ าย อนทุ ิสาย ๗ อตุ ตฺ ราย อนทุ สิ าย ขน้ั ตอนที่ ๑ \" บริกรรมภาวนา \" ๓ สพฺเพ ภูตา ๓ สพฺเพ อรยิ า ๘ ทกขฺ ิณาย อนทุ สิ าย ๙ เหฏม าย ทสิ าย ๑) บุคคล ๔ สพเฺ พ ปคุ คฺ ลา ๔ สพฺเพ อนริยา ๑๐ อุปริมาย ทสิ าย - พวกที่กําลังสขุ ๕ สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา ๕ สพเฺ พ เทวา มจี าํ นวนการแผ ๑๐ ทศิ x ๑๒ = ๑๒๐ คาํ แผ - พวกทกี่ ําลังทกุ ข แตอ ดีตเคยมีความสุข ๖ สพเฺ พ มนสุ ฺสา ๒) แผตามลาํ ดับบุคคล ๓) คําบริกรรม ( คําแผ ) ๗ สพเฺ พ วนิ ิปาติกา ๑ ตนเอง บทที่ ๑ อหํ ยถาลทธฺ สมฺปตฺตโิ ต มา วคิ จฉฺ ามิ - เปนบาทใหเขาถึง คาํ แผบทที่ ๓ ๒ อตปิ ย บุคคล ๑ คน บทที่ ๒ ยถาลทฺธสมฺปตตฺ ิโต มา วิคจฺฉตุ - มีความแกก ลาของ ขั้นอุปจาร.น้ีไมแ ยกบุคคล อินทรยี ม ากอ น มีจาํ นวนการแผ ๓ ปย บคุ คล > ๑ คน บทท่ี ๓ ยถาลทธฺ สมฺปตตฺ ิโต มา วคิ จฺฉนฺตุ - เขาถงึ สีมสมั เภท ( ขนั้ ตอนท่ี ๒ ) ๔ มัชฌัตตบุคคล ๕ เวรบี ุคคล ๕ คน x ๑ คาํ แผ = ๕ ๗ คน x ๑ คาํ แผ = ๗ = ๑๒ คําแผ รวมเปน ๑๓๒ คําแผ = \" อปั ปนาภาวนา \"

* อุเบกขา มว.ความวางเฉยตอสัตวท ้งั หลายโดยมจี ติ ใจทป่ี ราศจากอาการทัง้ ๓ กลา วคือ - 82 - ๑) ไมน อมไปในความปรารถนาดี ในการทจี่ ะบาํ บดั ทุกข * ความตา งกันของ อุเบกขาพรหมวิหาร และอุเบกขาบารมี อเุ บกขาบารมี อุเบกขาพรหมวหิ าร ๑) ไมต อ งเจรญิ เมตตา กรุณา มทุ ิตา มากอน ๒) \" \" ในการช่ืนชมยินดี ๒) เกดิ กับพระโพธสิ ตั วท จ่ี ะสาํ เร็จเปน ๑) ตอ งเกดิ จากการแผเมตตา กรณุ า มุทติ า ๓) \" \" ในความสขุ ของสัตว แลว สาํ เร็จในจตุตถฌานมากอ น พระสมั มาสมั พุทธเจา ๓) เปนบารมีหน่งึ ในบารมที ัง้ ๑๐ แตอยางใดทง้ั ส้ิน ดงั วจนตั ถะ ๒) เมอื่ สําเร็จในจตตุ ถฌานแลว ตอ งละความวนุ วายใน โสมนสั สเวทนาเขา ถงึ อุเบกขาเวทนา อเวรา โหนตฺ ุ อาทพิ ยาปารปฺปหาเนน มชฺฌตตฺ ภาวปู คมเนน จ อุเปกฺขตตี ิ = อุเปกขฺ า ๓) เกิดกบั พระโยคีบุคคลทเ่ี จริญสมถะสําเร็จเปน ธรรมชาตใิ ด พิจารณาในสัตวท งั้ หลายพอประมาณดว ยการทีไ่ มรักไมช งั คอื สละความวนุ วาย ฌานลาภบี คุ คล ทเ่ี น่อื งดวย เมตตา กรณุ า มุทิตา มีอเวรา โหนฺตุ เปน ตน และมีสภาพเขาถึงความเปนกลาง ๔) จาํ กดั บคุ คลและอารมณ (บคุ คล คือ จตตุ ถฌาน และอารมณ คอื ตอ งเปนสตั วบญั ญตั ิ ) ฉะนั้น ธรรมชาตนิ น้ั ชอ่ื วา อเุ บกขา อธ. ไดแ ก ตตั ตรมชั ฌตั ตตาเจ. ทีม่ ีมัชฌตั ตสตั วบัญญัติเปนอารมณ * อเุ บกขา แท = ตัตตรมัชฌัตตตา ทมี่ ี มัชฌัตตสัตวบัญญตั ิ เปนอารมณ * กจิ เบ้ืองตนในการเจรญิ อเุ บกขา > คราวใดเกีย่ วขอ ง กับบุคคล เรียกวา อเุ บกขา ๑. เห็นความเบ่ือหนาย ความหยาบของจตุตถฌาน > คราวใดไมเกี่ยวขอ ง กับบคุ คล เรียกวา ตัตตรมัชฌัตตตา เหน็ วา หยาบ เหน็ วา ละเอียด และเหน็ ความปราณีตของปญจมฌาน เทยี ม = \" อญาณอเุ บกขา \" วางเฉยดว ยความเฉยเมย ไมรบั รู อ.ธ.ไดแก โมหเจ. ๒. ตองเปนผมู ีบญุ บารมแี ละอนิ ทรีย ๕ แกก ลา แตถาวางเฉยดวยปญ ญา = ญาณอเุ บกขาสหคต. ๓. ตอ งฝก จตตุ ถฌานกุศลชวนะ ๑-๗ วนั เพ่ือเปนบาทใหกับวสี ๕ อ.ธ. ไดแ ก ปญ ญาเจ. ฝก วสี ๕ เพอ่ื เปนบาทใหก บั ปญจมฌาน * จตตุ ถฌานลาภบี คุ คลทีส่ ําเร็จจากการเจริญ โสม.เว. วางเฉยเขา ถงึ อุเบกขา -เมตตา --> ปย มนาปสตั วบญั ญตั ิ ไดปญจมฌาน --> มชั ฌตั ตสัตวบญั ญัติ บรกิ รรม \" อหํ อเวโร โหมิ ฯลฯ \" บริกรรม \"อหํ กมมฺ สฺสโก \" -กรุณา --> ทุกขติ สัตวบัญญตั ิ บรกิ รรม \" อหํ ทุกขา มจุ ฺจามิ \" -มุทติ า --> สุขิตสัตวบญั ญตั ิ บริกรรม \" อหํ ยถาลทฺธสมปฺ ตตฺ ิโต มา วิคจฉฺ ามิ \"

- 83 - * ขนั้ ตอนในการแผอเุ บกขา ขัน้ ตอนที่ ๑ \" บริกรรมภาวนา \" ข้ันตอนท่ี ๒ \" สีมสมั เภท \" ๑) บคุ คล ๑๒ \" อุปจารภาวนา \" ๑) บุคคล ๒) ทิศ ๑๐ \" เปน กําลงั ใหถ ึง อปั ปนาภาวนา \" - พวกธรรมดา 22 22 - พวกท่ีเกิดจากอํานาจสมาธิ อโนทิสบุคคล ๕ โอทสิ บคุ คล ๗ ๑ ปุรตฺถมิ าย ทิสาย ๒) แผต ามลาํ ดับบคุ คล ๓) คําบรกิ รรม ( คาํ แผ ) ๑ สพเฺ พ สตฺตา ๑ สพพฺ า อติ ถฺ ิโย ๒ ปจฉฺ มิ าย ทิสาย ๑ ตนเอง บทที่ ๑ อหํ กมฺมสฺสโก - เปน เหตใุ หส มาธิแกก ลา ๒ สพฺเพ ปาณา ๒ สพฺเพ ปรุ สิ า ๓ อตุ ตฺ ราย ทิสาย เพ่อื เปนบาทใหเ ขาถึงคาํ แผบ ทที่ ๓ ๒ มัชฌัตตบคุ คล ๑ คน บทที่ ๒ กมฺมสฺสโก - มีความแกก ลา ของอนิ ทรียม ากอ น ๓ สพเฺ พ ภูตา ๓ สพฺเพ อรยิ า ๔ ทกฺขิณาย ทสิ าย - เขาถึงสีมสมั เภท ( ขน้ั ตอนที่ ๒ ) ๓ ปยบคุ คล > ๑ คน บทท่ี ๓ กมมฺ สฺสกา ๔ สพฺเพ ปคุ คฺ ลา ๔ สพฺเพ อนริยา ๕ ปรุ ตฺถมิ าย อนทุ สิ าย ๔ อตปิ ยบุคคล ๕ สพฺเพ อตตฺ ภาวปริยาปนนฺ า ๕ สพเฺ พ เทวา ๖ ปจฉฺ ิมาย อนทุ ิสาย ๕ เวรีบุคคล ๖ สพฺเพ มนสุ ฺสา ๗ อุตตฺ ราย อนทุ ิสาย ๗ สพฺเพ วนิ ิปาตกิ า ๘ ทกฺขิณาย อนุทสิ าย * ที่มาของ \"กมฺมสฺสกา \" ๙ เหฏม าย ทิสาย สตุ มย. ๑. รูเหตุผลวา ความเปน อยูของสัตวท ัง้ หลายมีกรรมเปนกรรมสทิ ธิ์ ขั้นอุปจาร.นี้ไมแยกบคุ คล ๑๐ อุปริมาย ทิสาย ปญญา จนิ ตา. ๒. รูเหตผุ ลวา กรรมเปน กรรมสทิ ธ์ิของสตั ว มีจาํ นวนการแผ (ฝายเหตุ) ภาวนา. - สมถ. กมมฺ สฺสกตาญาณ มาจาก กมฺมสฺสกตา มาจาก \" กมมฺ สสฺ กา \" ๕ คน x ๑ คาํ แผ = ๕ ๗ คน x ๑ คาํ แผ = ๗ มจี ํานวนการแผ -วปิ ส สนา ๑๐ ทศิ x ๑๒ = ๑๒๐ คําแผ (ปญ ญาฝา ยผล) กรรมเปนกรรมสทิ ธ์ิ กรรมเปนกรรมสิทธิ์ = ๑๒ คาํ แผ ในความเปน อยูของสัตวท งั้ หลาย ของสตั วท ้งั หลาย คาํ ทั้ง ๓ นม้ี ที ่มี าในคัมภีร \"ทสกวตั ถสุ ัมมาทิฏฐิ ๑๐ \" รวมเปน ๑๓๒ คาํ แผ = \" อปั ปนาภาวนา \" สรุป - การทาํ ดที ําชวั่ ยอมใหผ ลทางตรงและทางออ มแกส ตั วท้ังหลาย 22 22 22

- 84 - 5 อาหาเรปฏิกูลสัญญา ( น.๖, ๒๐๖ ) หมายความวา การพิจารณาจนเกดิ ความรสู ึกยึดโดยความเปนของนา เกลียดในอาหารน้ัน ชอื่ วา อาหาเรปฏิกลู สญั ญา องคธ รรม ไดแก สญั ญาเจตสิก ทใี่ น มหากศุ ล มหากริ ยิ า - วาโดยจริต เหมาะกับพทุ ธิจรติ เพราะ ตอ งใชปญ ญาในการคน หาสภาวะ ขณะท่ีโอชารปู กําลงั ซึมซาบหลอ เลย้ี ง - วาโดยภูมิ เจริญไดในมนษุ ยภมู ิ เทานั้น > เทวภูมิ อาหารไมเ ปนปฏิกลู จึงพิจารณาไมไ ด > รูปภูม,ิ อรปู ภูมิ, อสัญญสัตตภมู ิ ไมม ีกพฬีการาหารหลอเลย้ี ง > อบาย ๔ อาหารเปน ปฏิกูลได แตไ มอ ยูในวสิ ยั ท่ีจะพจิ ารณาได * อาหาเร. เปนสวนหนึ่งใน \" อาหาร ๔ อยา ง \" > นาํ \" รปู ขนั ธ \" ใหเกิดขนึ้ รูป ๑ - กพฬีการาหาร นามธรรม ๓ - มโนสัญเจตนาหาร > นํา \" วิญญาณขนั ธ \" ใหเ กดิ ขึน้ อาหารท้ัง ๔ อยาง นํา \" ขันธ ๕ \" ใหเกิดข้ึน - ผัสสาหาร - วญิ ญาณาหาร > นาํ \" เวทนาขันธ \" ใหเ กดิ ขึ้น ( ผสั สปจ จยาเวทนา ) > นํา \" นามธรรม รปู ธรรม \" ใหเกิดข้ึน ( วิญญาณปจจยานามรปู ) * อินทกสูตร อินทกยกั ษ ถามถงึ พัฒนาการชวี ิตในครรภ * อาหารทัง้ ๔ อยา งเปน ปจ จยั ไดอ ยา งไร พระพทุ ธองค ทรงตรัสวา ภพกอ น ภพนี้ ปมํ กลลํ โหติ - เบื้องแรกเกิดมี \" กลละ \" กอน 2 ๑) กพฬีการาหาร กลลา โหติ อพพฺ ุทํ - จากน้นั เปน \"อัพพทุ ะ \" 3 ๒) มโนสัญเจตนาหาร ปฏิ อพพฺ ุทา ชายเต เปสิ - จากน้นั เปน \"เปสิ \" ( อวิชชาปจจยาสังขารา ) จิตตชรปู ( สฬายตนปจจยาผัสโส ) ( ผสั สปจจยาเวทนา ) เปสิ นิพพฺ ตตฺ ี ฆโน - จากนั้นเปน \"ฆนะ\" 2 ๓) ผสั สาหาร อุตุชรปู 2 ๔) วิญญาณาหาร ผสั สเจตสกิ ทําหนา ที่ ๓) ผัสสาหาร เวทนาขนั ธ ฆนา ปสาขา ชายนตฺ ิ - จากนนั้ เปน \"ปมุ หาปุม \" กมั มชรูป มี ๔ สมฏุ ฐานครบ ( กํ.จิต.อุต.ุ อา.) เกสา โลมา นขาปจ - จากนน้ั เปน \"ผม ขน เล็บ\" = รปู ขันธ (รา งกาย) ๔) วิญญาณาหาร นามรูป ( นามรูปปจ จยาสฬายตนํ ) สปั ดาหที่ ๒ - ๓ > ยฺจสฺส ภุชฺ ติ มาตา อนนฺ ํ ปานจฺ โภชนํ มี อาหาร ๔ อยา งครบ วญิ ญาณขันธ ขนั ธ ๕ ในปฏสิ นธิกาล ๑) กพฬกี าราหาร - มารดากิน ดมื่ อะไร ( สังขารปจ จยาวญิ ญาณัง ) ( วิญญาณปจจยานามรปู  ) จากมารดาสทู ารก เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตกุ ุจฉฺ โิ ต นโร เปน อาหารชรปู - สตั วใ นครรภยงั ชีพดว ยสิ่งนน้ั

- 85 - * วสิ ุทธมิ รรค กลา วถงึ รา งกายเราอยา งไร กพฬีการาหาร อดุ หนนุ ใหรางกายเกิดข้ึนและตั้งอยูไ ด และรางกายนี้นบั เนอ่ื งดวยปจจัย ดงั นี้ ลมหายใจเขา ออก อริ ยิ าบถ ๔ อิรยิ าบถยอ ย กายคตาสติ ธาตุ ๔ เมื่อตายลงนับเนื่องดว ย ความเปน ไปในอสภุ ะ มงุ หมายสัตวท ง้ั หลายทมี่ ีชวี ิตอยู และพระองคท รงเรียกทัง้ หมดนวี้ า \" การพจิ ารณา กายในกาย = กายานปุ สสนา \" * อาหาเรปฏิกูลสญั ญา วาโดยความหมาย การพิจารณาจนเกดิ ความรูส กึ ยดึ โดยความเปนของนาเกลียดในอาหารนนั้ ชอ่ื วา อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ** อารมณก รรมฐาน [ ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔ (ไมมีภาพ) ] อ.ธ. สญั ญาเจตสกิ ทใ่ี น มหากศุ ล มหากิริยา ๑) ภาวนา ๓ นมิ ิต ๓ โดยตรง ( 3 ภาพ ) ยกเปน ประธาน จัดเปน \"อารัมมณิกกรรมฐาน\" (ผูรอู ารมณ) --> บรกิ รรมภาวนา --> อปุ จารภาวนา --> \"บริกรรมนมิ ิต\" * ปฐม. บรกิ รรมภาวนา บรกิ รรมนมิ ติ อปุ จารภาวนา อคุ คหนมิ ติ ไดแก อุตุ ๓ ข้นั ตอน คือ ๑.อุตุภายนอกกาย --> ๒. อุตุภายในกาย อัปปนาภาวนา ปฏิภาคนิมติ - ไมย อ ย ๓. อตุ ภุ ายนอกกาย (อจุ จาระ / ปส สวะ) * ทุตยิ . เปน ตน ไป = ๓ ภาวนา ปฏภิ าคนมิ ิต - ยอ ย ๒) ภาวนา ๓ นมิ ติ ๓ โดยปรยิ าย ( 2 ภาพ ) ขณะยอยมกี ารนําโอชารปู ไปใชง าน \" กลาปหนึง่ ๆ ของโอชารูป \" บริกรรมภาวนา บริกรรมนมิ ิต * คาถาวธิ พี จิ ารณาปฏกิ ลู สญั ญาเกิดในการบริโภคอาหาร ๑๐ ประการ มหาภตู ๔ อปุ จารภาวนา อคุ คหนมิ ิต \" คมนา เอสนา โภคา อาสยา จ นิธานโต สี กโลอชิน่.. ารส อัปปนาภาวนา อปกกฺ า จ ปกกฺ า ผลา นสิ สฺ นฺทโต จ มกขฺ นา * อาหาร = ขอ ๗, ๘ ปฏิกลู = ๑๐ ขอ เวน ขอ ๗, ๘ เอวํ ทสหากาเรหิ อกิ ฺเขยฺย ปฏกิ ูลตา ฯ \" โอชาตัวนค้ี อื \"อาหาร\" ทถ่ี ูกซมึ ซาบ แปล ผเู จริญพงึ พจิ ารณาเหน็ เปน ของนาเกลียดในการบรโิ ภค โดยอาการทั้ง ๑๐ มีดังน้ี นบั ตง้ั แตส ัปดาหท่ี ๒ - ๓ สืบเนอื่ งตอกันจนถงึ วันตาย การซมึ ซาบนีถ้ ือเปน \" สภาวะของอาหาร \" ๑. โดยการไปสูสถานทท่ี ่ีมีอาหาร ๒. โดยการแสวงหา ๓. โดยการบรโิ ภค ๔. โดยทีอ่ ยู มีนาํ้ ดี เสมหะ หนอง เลอื ด ๕. โดยกระเพาะซง่ึ เปนที่หมกั หมมรวมกันแหงอาหารใหม ๖. โดยยังไมยอ ย ๗. โดยยอ ยแลว ๘.โดยผลท่ีสาํ เรจ็ ๙. โดยการหล่งั ไหล ๑๐.โดยเปอ น

- 86 - * วธิ พี จิ ารณาปฏกิ ลู สญั ญาเกิดในการบรโิ ภคอาหาร ๑๐ ประการ ( น. ๒๐๖ - ๒๑๑) ๑) คมนา พจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู โดยการไปสสู ถานที่ที่มีอาหาร ๑) คมนา + ๒) เอสนา --> อุตุ ๓ ข้ันตอนและโอชารูปขณะซมึ ซาบ ๒) เอสนา \" \" โดยการแสวงหา ๓) โภคา \" \" โดยการบริโภค อตุ ุภายนอก อุตภุ ายใน อตุ ภุ ายนอก ๓) โภคา (กพฬีการาหาร) ๔) อาสยา (นาํ้ ดี, เสมหะ, หนอง, เลือด) ๙) นสิ สฺ นทฺ โต (หลัง่ ไหล ๙ ชอง) ๔) อาสยา \" \" โดยทอี่ ยู ๕) นธิ านโต (กระเพาะอาหาร) ๑๐) มกฺขนา (ความแปดเปอน) ๕) นิธานโต \" \" โดยกระเพาะซึ่งเปน ทห่ี มกั หมมรวมกนั แหงอาหารใหม ๖) อปกกฺ า \" \" โดยยังไมย อย ๖) อปกกฺ า (ไมยอ ย) ๗) ปกฺกา (ยอ ย) = อทุ รยิ ํ = กรีส,ํ มตุ ฺตํ ๗) ปกฺกา \" \" โดยยอ ยแลว สทุ ธฏั ฐกกลาป ๘ สัททนวกกลาป ๙ ๘) ผลา ๘) ผลา \" \" โดยผลทส่ี ําเรจ็ ( มีเสยี ง อุตุไมย อย ) = ผม, ขน, เลบ็ + สว นท่เี หลือ ๙) นิสสฺ นฺทโต \" \" โดยการหลั่งไหล ๑๐) มกฺขนา \" \" โดยความแปดเปอน * พระโยคีบางทา นพิจารณาอาหาเร.ในขอ ๔, ๕, ๖, ๘, ๙ เขาถงึ กายคตาสติ โดยออ ม แบบปรมัตถ (ไมพ ิจารณาไปถึงการซมึ ซาบ ) ปกตกิ ารเจรญิ กายคตาสติ เปนการเขา ถงึ โกฏฐาสนมิ ติ (โดยตรง แบบบญั ญัติ ) / เขาถงึ วัณณนมิ ติ (โดยออม แบบบญั ญัติ ) / เขาถงึ ธาตุนิมติ (โดยออม แบบปรมตั ถ ) * การเจริญ กายคตาสติ ไมไดใ น อาหาเรปฏิกลู สญั ญา เพราะ ไมไ ดพจิ ารณาลกึ ไปถึงอาหารทีซ่ ึมซาบ (ไมพ ิจารณาในขอ ๗ ) * กระบวนการยอ ยอาหาร การนําสารอาหารทอี่ ยูในสภาพของ โมเลกลุ เดย่ี ว เชน กรดไขมัน ฯลฯ นาํ สูรา งกาย การยอ ยอาหาร มี ๒ อยา ง การยอยอาหารเชงิ กล การยอ ยอาหารทางปฏกิ ริ ยิ าเคมี - การทําอาหารทีห่ ยาบใหละเอียดโดยการเคี้ยว - การนําเอนไซม ทเ่ี ปนประเภทอนิ ทรยี ของโปรตีน ทเ่ี กดิ จากสิ่งที่มีชวี ติ เทา น้ันผลติ ขึ้นมา - การบบี รดั ของอวัยวะทางเดินอาหาร - การกระทําโมเลกุลท่ใี หญใหเ ลก็ โดยอาศยั นํา้ ยอ ยในการชว ย เรียกวา \" ไฮโดรไลซสี \"

- 87 - อวยั วะทชี่ ว ยในการยอ ย อวัยวะทเี่ ปน ทางเดนิ อาหาร อวยั วะทผ่ี ลติ นาํ้ ยอ ยในการยอยอาหาร ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะ.อาหาร ลาํ ไสเ ลก็ ลําใสใ.หญ ทวารหนัก ตอมนํา้ ลาย ตบั +น้ําดี ตบั ออ น .. กระบวนการยอ .ย ขอ ๗ - ๘ . ซึมซาบ ซมึ ซาบอาหาร ซึมซาบ - นา้ํ , แรธาต,ุ น้ําตาลโมเลกลุ เดย่ี ว ๙๐% - วติ ามิน + เกลือแรจ ากกากอาหารโดย แบคทีเรีย - แอลกอฮอล (ซมึ ซาบดีในกระเพาะ) มีน้ําเมอื กยอยแทนนํ้ายอ ย * กระบวนการยอ ยอาหาร ยอยเชิงกล ฟน = ฟน ตัด, ฟน ฉีก, ฟน บด กพฬีการาหาร --> ปาก. ล้นิ = รสหวาน (ปลายล้นิ ) / รสเคม็ (ปลาย + ขา งลิน้ ) / รสเปร้ยี ว (ขา งลนิ้ ) / รสขม (โคนลนิ้ ) . ยอยทางเคมี --> ตอมนา้ํ ลาย - คูที่ ๑ ใตล้นิ หล..คออดหอ...อาหยาร มี Reflex ๔ อยาง - คทู ี่ ๒ ใตข ากรรไกร ผลิตนา้ํ ตาลโมเลกุลเดีย่ ว \"กรดอะไมเลส \" ทาํ งานเฉพาะท่ีปากกับหลอดอาหาร ๑.เพดานออ น (ยกตัวปดชองจมูก) ๒.เสน เสยี ง (บีบปดหลอดลม) . - คทู ี่ ๓ ใตกกหู ในกระเพาะอาหารมี \"กรดไฮโดรคลอลิก\" ทาํ งานตอในกระเพาะอาหาร ๓.กลอ งเสยี ง (ถกู ดนั ขน้ึ -> ชองคอขยาย) ๔.กลา มเน้อื (หดตัวใหอาหารลงสะดวก) กระเพาะ.อาหาร สว นที่ ๑ ตอ หลอดอาหาร ( อยูใกลห ัวใจ ) สวนที่ ๒ กะพงุ อาหาร คือ ทางเดินอาหารท่ใี หญที่สดุ ยาว ๑๐ นว้ิ กวา ง ๕ นว้ิ บรรจุอาหารได ๑ - ๒ พนั ลบ.ซ.ม. มกี ลามเนื้อแข็งแรงทีส่ ุด . มตี อมนํา้ ยอ ยประมาณ ๓๕ ลา นตอ ม เรียกวา \" Gastric Juice \" หรือ \" ปาจกเตโช \" เกิดจากการสัง่ งานของสมองคูที่ ๑๐ อาหารจะอยใู นกะพงุ อาหารประมาณ ๓๐ นาที ถึง ๓ ชว่ั โมง ในวิสุทธิมรรคเรียกการยอยในชวงนวี้ า \"การหุง\" สว นท่ี ๓ ตอลําไสเ ล็ก มกี ารผลิตน้ํายอยมากท่สี ดุ (อยูใกลตบั ) ตับ + ตบั ออ น จะสงนาํ้ ดี เขาไปตรงจุดน้ีเพอื่ ชวยยอ ย ขอ ๙ - ๑๐ <-- ทวารหนัก ดึงเกลล..อื าํ แไรสวใติหาญมินและผล..ลติ ําไสเล็ก (ยาว ๗-๘ เมตร) ตรงสวนตอ จากกระเพาะอาหาร เมอื่ รับกากอาหาร+สารอาหารจากกระเพาะแลว จะเริม่ กระบวนการ \" ซมึ ซาบ \" คอื ขอ ๗ - ๘ ขณะลําไสบ ีบตวั ๑ ครั้ง สารอาหารก็ซึมซาบผานเสนเลือดฝอยท่ีผนงั ลาํ ไสเล็ก ขณะซึมซาบ ๑ หน โอชารปู นนั้ แหละกาํ ลงั เกดิ เปนอาหารชรปู ๑ ครง้ั น้าํ เมอื กทําใหกากอาหารออ นนมุ

- 88 - * อาหารที่พระพทุ ธองคทรงแสดงเกยี่ วกบั ๔ สมฏุ ฐาน ( ก.ํ จิต. อตุ .ุ อาหาร ) อตุ ภุ า.ยนอก อตุ ภุ ายใน -> กระบวนการตัง้ แตเ ขาปาก ถึงปลายกระเพาะอาหาร กมั มชโอชา ชวย กมั มชกลาป (-โอชา.) เรียกวา \"ชนกสตั ติ\" ชวย จิตตชกกลาป, อุตุชกลาป,อาหารชกลาป โดยความเปน . \"อุปถัมภกสัตติ \" กพฬ.กี าราหาร . อาหารชรปู -> ชว งซึมซาบทลี่ ําไสเล็ก, ใหญ (ขอ ๗,๘) หลอเล้ียงสมฏุ ฐาน --> จิตตชโอชา ชวย จติ ตชกลาป (-โอชา.) เรียกวา \"ชนกสตั ติ\" . ชวย กัมมชกลาป, อตุ ชุ กลาป,อาหารชกลาป โดยความเปน . (อชั ฌตั ตโอชา) - เปนอปุ จารภาวนา แตถ าไมพบสภาวะ กย็ ังคงเปน บริกรรมภาวนา \"อุปถัมภกสตั ติ \" อุตุชร.ูป ( ๒ กลาป ) สทุ ธัฏฐกกลาป ๘ ( ยอ ยอาหารดี / ไมดี เพราะมกี รรมเปนปจจยั ) อุตุชโอชา เหมือนกนั .. ฯลฯ .. . สัททนวกกลาป ๙ อุตภุ ายนอก -> อุจจาระ อาหารชโอชา เหมือนกนั .. ฯลฯ .. พาหทิ ธโอชา รูป ---------..---> นามธรรม * วาโดยปฏฐาน ได อาหารชาติ ได ๓ ปจ จยั คือ อาหารปจจัย, อาหารัตถปิ จจยั , อาหารอวคิ ตปจจัย วัตถปุ ุเรชาต. ปจ ฉาชาต. * เปรียบเทียบอาหาเรปฏิกูลสัญญา กับ ปรญิ ญา ๓ ( น. ๒๑๒ ) ทิฏฐิวสิ ทุ ธิ --> นามรูปปรจิ เฉทญาณ ญาตปริญญา - ปญ ญารูในสภาพของรปู กลาป ขณะซึมซาบ อนั เปนปจ จบุ นั กงั ขาวิตรณวสิ ุทธิ --> ปจ จยปริคคหญาณ ตรี ณปริญญา - เหตุปจ จยั ใหรูปกลาปเกดิ มคั คามัคคญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ --> สัมมสนญาณ - ปญ ญารถู งึ สภาพ การเกดิ ดับ ของโอชารูป ขณะท่กี าํ ลงั ซมึ ซาบ --> ตรุณอุทยัพพยญาณ ปหานปรญิ ญา ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ --> พลวอุทยพั พยญาณ ( เหน็ การดับไปอยา งเดยี ว ) - โลกยี ะ > ปหานอารมั มณานุสัย ท่เี ปน ปยรปู สาตรูป ฯลฯ = ตทังคปหาน --> ภังคญาณ - โลกุตตร > ปหาน สันตานานสุ ัย = สมจุ เฉทปหาน ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ --> ภย, อาท,ี นพิ พทิ า. --> มุญจิ, ปฏิ, สังขาร. --> อนโุ ลมญาณ --> โคตรภญู าณ --> มคั คญาณ --> ผลญาณ, ปจ จเวกขณญาณ

- 89 - 5 จตธุ าตวุ วัตถาน ( น.๖, ๒๑๔ - ๒๒๔ ) หมายความวา การพิจารณาธาตุทงั้ ๔ ทป่ี รากฏในรา งกายจนกระทง่ั เห็นเปนแตเ พยี งกองแหงธาตุ โดยปราศจากความจาํ วา เปน หญงิ ชาย เรา เขา สัตว บคุ คลเสียได เรยี กวา จตุธาตุววตั ถาน อ.ธ. ปญญาเจตสิก ท่ใี น มหากุ.สํ.๔, มหาก.ิ ส.ํ ๔ - วาโดยจรติ > พทุ ธจิ ริต คน หาสภาวะของธาตุ ๔ - วาโดยภมู ิ > เจริญไดใน ๒๒ ภูมิ ( มนษุ ย, เทวดา ๖, รูปภูมิ ๑๕ เวนอสญั ญสัตตภูมิ ) - วา โดยภาวนา > บรกิ รรมภาวนา --> อปุ จารภาวนา --> ไดบริกรรมนิมิต เพยี งอยา งเดยี ว คือ ธาตุ ๔ ทีม่ อี ยใู นกายตนนนั้ เอง สาํ หรบั อปั ปนาภาวนา อันเปน ตัวฌาน เกิดขึ้นไมไ ด เพราะ ธาตทุ ้ัง ๔ นีเ้ ปนสภาวะลวนๆ ผเู จริญตอ งใชปญ ญาอยา งแรงกลา จึงจะรเู หน็ ในสภาวะเหลา นี้ได เหตนุ ้ี สมาธิของผเู จรญิ จงึ ไมม กี าํ ลงั พอที่จะเขาถึงฌาน * วาโดยยอ แสดงธาตุ ๔ ทเ่ี กิดจาก ๔ สมฏุ ฐาน มีธาตุ ๔ เหมือนกนั ตางกันท่สี มุฏฐาน ( ก,ํ จิต, อุต,ุ อา. ) * บางครง้ั พระโยคีบคุ คลเจริญในกายคตาสติ ก็สําเร็จเขาถึง ธาตุ ๔๒ ดว ย ดังนัน้ ผูทเี่ จรญิ ใน ธาตุ ๔๒ กส็ ามารถเขา ถงึ เหมาะกับตกิ ขบคุ คล ท่พี ิจารณาอยา งยอๆ กส็ ามารถสาํ เรจ็ มรรค ผลไดเลย \"กายคตาสติ\" ไดด วย * วาโดยพสิ ดาร แสดงธาตุทง้ั หมด ๔๒ ( ไดใ นอนตั ตสัญญา ) การเจรญิ กายคตาสติ ไดโดยตรง > โกฏฐาสนิมิต เหมาะกับมนั ทบุคคล พิจารณาคลา ย กายคตาสติ โดยพิจารณาเร่อื งของสี, ฐาน, ทศิ , ทต่ี ัง้ , เขต ไดโ ดยออ ม > วัณณนมิ ิต ถา ไมส ําเรจ็ ใหพ จิ ารณาใน ธาตุ ๔ ถาไมสําเรจ็ อกี ใหพ ิจารณาใน อาการ ๑๓ ขอ ไดโ ดยออ ม > ธาตุนิมติ < เปน ตวั ทําใหเขาถึง ธาตุ ๔๒ ได ธาตุ ๔๒ พจิ ารณาใน ไมไ ดใ น อาหาเรปฏิกลู สัญญา เพราะ ไมไดพ ิจารณาลงลึกในขณะ \"ซมึ ซาบ\" แตการเจรญิ อาหาเรปฏิกูลสญั ญา สามารถเขา ถงึ กายคตสติ ได ปถวธี าตุ ๒๐ อาโปธาตุ ๑๒ เตโชธาตุ ๔ วาโยธาตุ ๖ โดยไดแบบปรมัตถ ซ่งึ ดกี วา การเจรญิ กายคตาสติ โดยตรงที่ไดแ บบบญั ญตั ิ เกสา --> มตถฺ ลงุ คํ ปต ตฺ ํ --> มตุ ตฺ ํ เกิดประจาํ รางกาย ๑. อทุ ฺธงฺคมวาโย (ลมพัดสเู บอื้ งบน) และการเจรญิ อาหาเร. นก้ี ไ็ ดใน อสภุ สญั ญา อกี ดวยเพราะพิจารณาเหน็ ถึง > อสุ มาเตโช ๒. อโธคมวาโย (ลมพัดสูเบ้อื งลาง) ความไมสวยไมงามในอาหารเกาอาหารใหม - สนั ตปั ปนเตโช ๓. กุฏฉิฏวาโย (ลมในชอ งทอง) แตการเจริญ ในธาตุ ๔๒ นน้ั ไดอานิสงสใ น อนัตตสญั ญา - ทหนเตโช ๔. โกฏ าสยวาโย (ลมในลาํ ไส) - ชริ ณเตโช (ทาํ ใหแ ก) ๕. องคฺ มงฺคานุสารีวาโย (ลมท่ัวรา งกาย) > ปาจกเตโช ๖. อสฺสาสปสสฺ าสวาโย ชว ยในการยอ ยอาหาร (ลมหายใจเขา ออก)

- 90 - * การพจิ ารณา ธาตุ ๔๒ โดยอาการ ๑๓ ( น. ๒๑๗ ) ทานยกธาตบุ างอยางในกาย โดยความเปนกลาป ดงั น้ี ( น. ๒๑๘ ) ผูทเ่ี จรญิ ธาตุ ๔๒ โดยเฉพาะๆ ไปตามลาํ ดบั แลว แตธ าตนุ มิ ิต ก็ไมปรากฏ ตองทําการพิจารณาตอไป ๑. หทยวัตถุ มีรูป รวมอยู ๑๒ รูป โดยอาการ ๑๓ ดังน้ี มัชฌิมกาย > กาย ภาวะ หทย ชวี ิต ๑) พิจารณาโดย วจนตฺถโต พจิ ารณาโดยความหมายแหง ศัพท พิจารณาโดยความเปน บญั ญตั ิ อวนิ พิ โภครูป > ๘ ๘ ๘ ๘ อวินพิ โภค.๘ + ๔ = ๑๒ รปู ชวี ติ > ๑ ๑ ๑ - > ปถวีธาตุ มีลักษณะแข็ง > เตโชธาตุ มีไอเยน็ / อุน สหี เตโช + อณุ หเตโช ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๙ > อาโปธาตุ มคี วามไหลหรอื เกาะกมุ > วาโยธาตุ มคี วามเครงตงึ พัดไหว ธาตุเหลา นม้ี ีการทรงไวซ่งึ สภาพของตนๆ แลวแสดงสภาพน้ันๆ ใหปรากฏข้นึ ฉะนนั้ ในกายของตนน้ี ๒. เน้อื เอน็ หนงั ตบั ปอด สมอง เหลา นีม้ ีรปู รวมอยู ๑๑ รปู รา งกาย > กาย ภาวะ ชีวิต - สวนท่แี ข็ง > เปน ปถวี - สว นทีไ่ หลซมึ > เปน อาโป อวินิพโภค.๘ + ๓ = ๑๑ รูป อวนิ ิพโภครปู > ๘ ๘ ๘ - ไออนุ > เปน เตโช - สว นท่เี ครง ตึง > เปน วาโย ชีวติ > ๑ ๑ - ๑๐ ๑๐ ๙ ๒) พิจารณาโดย กลาปโต พิจารณาโดยความเปน หมวดหมทู ่ีโตประมาณเทา กับปรมาณูเมด็ หนง่ึ เบือ้ งตน \"กาย\" น้ันแบงเปน ๓ สว น คือ สป. ๓. ปาจกเตโช มรี ูปรวมอยู ๙ รูป (ชวี ิตนวกกลาป) เริ่มเกิดข้ึนในสป.๑ และทําหนาทยี่ อยใน สป.๒-๓ ๑๑ สป.๑ ปฏิ ....... สป.๑ ....... ปจกเตโช นจ้ี ะเกิดอยใู น ชีวิตนวกกลาปอยา งเดยี ว ไมเ กย่ี วกับ กาย, ภาว, วัตถุ เลย ๑. อปุ ริมกาย = กาย, ภาว, ชีวติ ., ตา หู จมกู ลนิ้ , ..... ๒.มชั ฌมิ กาย = กาย, ภาว, วัตถุ (หทย), ชีวติ อตุ -ุ อุสมาเตโช ปถวี ๓.เหฏฐมิ กาย = กาย, ภาว, ชีวติ กาย,ภาว,วตั ถุ ชวี ติ นวกกลาป = อวินพิ โภ. > ๘ มีมหาภ.ู ๔ = อาโป ปฏิ ....... สป.๑ ....... สป.๑๑ ....... สป.๑๒ ชีวติ > ๑ เตโช = ปาจกเตโช ๙ วาโย อุต-ุ อุสมาเตโช ผม ขน เล็บ ฟน ๔. ผม ขน เล็บ และธาตนุ ํ้าบางอยาง มเี ลอื ด หนอง เปน ตน ธาตุไฟที่เหลือจากปจกเตโช กับธาตุลม ๖ เปน อตุ ุทไ่ี มไดเกดิ จากกรรม แตอาศยั ท้ัง เหลาน้มี ีรูปรวม ๘ รูปซึ่งเกดิ จาก ๔ สมุฏฐาน คือ อวินิพโภครูป ๘ หรือ สุทธฏั ฐกลาป ๘ กาย,ภาว,วตั ถุ ชีวิตนวกกลาป ตา หู จมกู ลิ้น ๔ สมฏุ ฐานเกดิ \"อุสมาเตโช\" เปนธาตไุ ฟ ** ดงั นนั้ ท่ีกลาวกนั วา เปนสัตตะ ชีวะ เรา เขา หญงิ ชาย เหลา นี้ จงึ ไมควรกลา วถึง ทเ่ี กดิ จากกรรม พรอ มกับกาย เปน เหตุใหอ วัยวะตางๆ เกดิ ขึ้น ในโครงกายไดใ นสปั ดาหหลังๆ

- 91 - ๓) พจิ ารณาโดย จณุ ฺณโต พิจารณารางกายมขี นาดเปน ผงละเอียดเลก็ เทาปรมณู ๕) พิจารณาโดย สมฏุ  านโต พจิ ารณาโดยสมุฏฐานท้ัง ๔ ในธาตุ ๔๒ เม่อื ตวงดแู ลวไดป ระมาณ ๒๐ - ๓๐ ลติ รเทานนั้ ท่ีปรากฏเปนรูปรางสณั ฐานได เพราะ ๑. อาหารใหม อาหารเกา หนอง ปสสาวะ ๔ อยา งน้ี เกดิ จากอุตุ เปน สมุฏฐาน เพราะ มีอาโปธาตุ - เชือ่ มเกาะกมุ ยดึ อยู มีวาโยธาตุ - คอยค้าํ จุนใหต ง้ั ม่ัน มเี ตโชธาตุ - เปนผเู ลี้ยงรักษา \" ยงั ไมยอย ยังไมซึมซาบ \" และบางสว นยอยแลว \"ผานการซมึ ซาบ\" ไปแลว ไมเ ปนอาหารชรปู ปถวธี าตุ ๒๐ คุณประโยชนของการพจิ าณาขอนคี้ ือ ๒. นํา้ ตา เหงือ่ นํ้ามกู นา้ํ ลาย ๔ อยางน้ี บางทกี เ็ กิดจาก อตุ ุ บางทีก็เกจิ ากจิต เปน สมุฏฐาน อาโปธาตุ ๑๒ สามารถทีจ่ ะละ อัตตตวั ตน เตโชธาตุ ๔ เกิด อนัตตสัญญาได น้าํ ตา เกดิ จากความเศรา โศก เพราะโทมนสั เวทนา คราวนั้น น้ําตามี จติ เปนสมุฏฐาน วาโยธาตุ ๖ ** นอกจากธาตุ ๔ นีก้ ห็ ามีอะไรอนื่ ไม เกดิ จากควัน ผงฝนุ ในอากาศ เปนตน คราวน้นั นํา้ ตามี อุตุ เปน สมุฏฐาน เหง่อื เกิดจากเรงรบี เพราะความกลวั มีโทมนัสเวทนา คราวนั้น เหง่อื มี จติ เปนสมุฏฐาน เกิดจากในท่รี อ นอบอา ว คราวนนั้ เหงื่อมี อุตุ เปน สมฏุ ฐาน ๔) พจิ ารณาโดย ลกฺขณาทิโต พิจารณาโดยลักษณะ รส(กจิ ) ปจ จปุ ฏฐาน (อาการปรากฏ) นาํ้ มกู เกิดจากมปี ริเทวะมากๆ คราวน้ัน นํ้ามกู มี จติ เปนสมุฏฐาน เกดิ จากอาการภมู แิ พอ ากาศหนาวเย็น คราวนั้น น้าํ มกู มี อตุ ุ เปน สมฏุ ฐาน ธาตุ ๔ ลักษณะ รส (กิจ) ปจ จุปฏฐาน ( อาการปรากฏ ) นํา้ ลาย เกดิ เมื่อเหน็ อาหารรสเปรี้ยว ก็เกดิ มโนสมั ผัสสะ คราวนั้น นา้ํ ลายมี จติ เปน สมฏุ ฐาน ปถวี มคี วามแขง็ เปน ที่ตั้งใหร ูปอ่นื ๆ เปนอาการทีร่ องรับใหรปู อ่ืนๆ ปรากฏขน้ึ เกิดเมอ่ื ลิน้ แตะอาหารรสเปรยี้ ว เกิดชวิ หาสมั ผสั สะคราวน้นั นํ้าลายมี อุตุ เปน สมุฏฐาน อาโป ไหล, เกาะกุม เปน โครงสรางใหร ูปอ่ืน ทาํ ใหร ปู อนื่ ๆ เจริญข้นึ ทาํ ใหร ูปอนื่ ๆ รวมกนั เปน กลมุ เปนกอ น ๓. ปาจกเตโช เกดิ จากกรรม เปน สมฏุ ฐาน ( เกิดใน ชวี ติ นวกกลาป เทาน้นั ) เตโช มีไออนุ มกี ารรักษาให ใหร ูปอนื่ ๆ มคี วามสกุ แกแ ละออนนมุ ๔. ลมหายใจเขา ออก เกดิ จากจิต เปนสมุฏฐาน ( จิต ๗๕ เวนทวิ.๑๐ อรปู .๔ อาศยั หทยวตั ถุ เกิด) รปู อน่ื ๆ อยูไ ด - หทยวตั ถุ เปนเหตใุ หลมหายใจเกิด วาโย มคี วามเครง ตึง มีการอดุ หนุนและชักนํา มกี ารใหรูปอน่ื ๆ เคล่อื นไหวได - กายปสาท เปน ตัวรับการกระทบ มงุ หมายใน กามภูมิ ใหร ปู อน่ื ๆ ตง้ั อยู - กายวิญญาณจติ เปน ตัวเขา ไปรับรูการกระทบ ๕. ธาตทุ ีเ่ หลอื ๓๒ เกิดจาก ๔ สมฏุ ฐาน ( กรรม จติ อตุ ุ อาหาร ) พระโยคบี คุ คล ถาพจิ ารณาขอนี้ เขา ถงึ นามรูปปริจเฉทญาณ ได ปฏิ ....... สป.๑ สป.๒ ....... สป.๑๑ ....... สป.๑๒ ** นอกจากธาตุ ๔ นี้กห็ ามีอะไรอนื่ ไม อตุ -ุ อุสมาเตโช ปาจกเตโช ปาจกเตโช กาย,ภาว,วัตถุ ชวี ิตนวกกลาป มีกพฬีการาหาร ตา หู จมกู ลิน้ ผม ขน เล็บ ฟน กรรมเปนสมุฏ. จิตเปนสมุฏ. อาหารเปน สมฏุ . มี ธาตุทีเ่ หลือเปน สมุฏฐาน

- 92 - ๖) พิจารณาโดย นานตตฺ เอกตตฺ โต พิจารณาโดยความตา งกันและเหมือนกนั ๗) พจิ ารณาโดย วนิ พิ โฺ ภคาวินพิ โภคโต พจิ ารณาธาตุ ๔ โดยความแยกจากกนั ได ( วินพิ โภค ) เพราะ ลักษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน เทานั้น สาํ หรบั ธาตุ นั้นแยกจากกันไมไ ด ( อวินิพโภค ) กลาปหนึ่งๆ ปถวี วนิ พิ โภค + อวนิ พิ โภค อาโป ตางกนั ภายใน ตา งกนั ภายนอก เตโช ดว ย \" ลกขฺ ณาทิโต\" ดว ย \" สมุฏานโต \" เม่อื พจิ ารณาธาตุทัง้ ๔ พรอ มกัน ไมสามารถแยกสภาวะได เพราะ ธาตุ ๔ เปน ปจจยั อุปการะแกก ันและกนั วาโย เม่อื พจิ ารณาทีละธาตุ มีความตา งดวย ลักขณาทโิ ต และสมุฏฐานโต สามารถแยกจากกันได เปน นานตฺต = นานตฺต (ตางกนั ) แตกระนน้ั กค็ งเปนมหาภูตรูป เปน ธาตุ มีความเกิดดับเหมอื นกนั เปน สามญั ลกั ษณะ เรยี กวา \" เอกตฺตโต \" หรือ ๘) พจิ ารณาโดย สภาควิสภาคโต พิจารณาธาตุ ๔ โดยความเขา กนั ไดแ ละไมได - ปถวธี าตุ กบั อาโปธาตุ เปน สภาคะกัน เพราะเปน ครกุ ธาตุ ธาตุหนกั ดวยกัน ปฏิ สป.๑ ๒-๓ - เตโชธาตุ กับวาโยธาตุ เปนสภาคะกนั เพราะเปน ลหุธาตุ ธาตุเบาดวยกนั รูปเกดิ จากอาหาร รปุ ปนลกขฺ ณํ ปถวี สภาคะกัน (ครกุ ธาต)ุ เตโช สภาคะกนั (ลหุธาตุ) รูปเกิดจากจติ ทกุ ๆ รปู มอี ายเุ ทากัน ๑๗ ดวง อาโป วาโย รูปเกิดจากอุตุ ( ๕๑ ขณะเลก็ ) รปู เกิดจากกรรม วิสภาคะกัน เพราะธาตุตา งกนั = นานตตฺ (ตา ง) = เอกตตฺ (เหมอื น) * ความเปนไตรลกั ษณในนาม คอื อนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตา * ขณะทกี่ าํ ลงั ยก ยาง ยาย > ลหธุ าตุ มีประมาณมาก > ครุกธาตุ มปี ระมาณต่ํา * ความเปนไตรลกั ษณใ นรปู คือลกั ษณะ ๔ อยาง มี อปุ จย สันตติ ชรตา อนจิ จตา * ขณะท่กี าํ ลัง ลง เหยยี บ กด > ครกุ ธาตุ มปี ระมาณมาก > ลหธุ าตุ มปี ระมาณตํ่า

- 93 - ๙) พจิ ารณาโดย อชฺฌตตฺ ิกพาหริ วเิ สสโต พิจารณาธาตุ ๔ โดยความเปน ภายในภายนอกที่แปลกกัน ๑๐) พิจารณาโดย สงคฺ โห พิจารณาโดยความสงเคราะห ๑. ธาตุ ๔ ทเ่ี กดิ อยูในรา งกายสัตวท ้งั หลายน้ี เปนท่ีอาศัยเกดิ ของ ปสาทรูป ๕ หทย ภาว ๒ ชีวิต อวนิ ิพโภครูป ๘ เกดิ จาก (ธาตุ ๔ ทอ่ี ยใู นกรรม ) สตั วท ้งั หลาย กรรม จติ อุตุ อาหาร จกั ขุ โสต ฆาน ชวิ หา กาย ภาว วัตถุ ชวี ติ มหาภตู รูป ๔ มหาภูตรูป ๔ มหาภตู รปู ๔ มหาภูตรูป ๔ อาศยั มหาภูต. ๔ (ธาต๔ุ ) ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ อวนิ พิ โภครูป อปุ าทายรูป อุปาทายรปู อุปาทายรปู อปุ าทายรปู เกดิ ดว ยอาํ นาจปจ จยั ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - ชวี ิตรปู ส. นิ. ถิ. อ. ๑. ธาตุ ๔ สงเคราะห ซึ่งกนั และกนั ในสมฏุ ฐานเดยี วกนั ๒. ธาตุ ๔ สงเคราะห อุปาทายรปู ที่ในสมฏุ ฐานเดียวกัน ๒.ธาตุ ๔ เปนที่อาศยั ของ วิญญตั ิรปู ๒ ประกอบไปดว ย อิริยาบถ ๔ เกดิ จากสมฏุ ฐาน ๔ ครบบรบิ รู ณ (ธาตุ ๔ ท่ีอยใู นจิต ) ** ธาตุ ๔ ใน กัมมชรูป ไมส งเคราะห ธาตุ ๔ ใน จติ อตุ ุ อาหาร เพราะเปน คนละสมฏุ ฐาน จติ ที่ทําใหอ ิริยาบถ ๔ เคล่อื นไหวไดม ี จิต ๓๒ ( กามชวนะ ๒๙ มโน.๑ อภญิ .๒ ) เปนปจ จัยให - ปถวีธาตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ที่เกิดจาก กรรมดว ยกัน รปู กลาปเกิด ในรปู กลาปมธี าตุ ๔ เปน ปจ จัยให วญิ ญตั ิรูป ๒ เคลอื่ นไหว - ปถวีธาตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ทเ่ี กิดจาก จติ ดวยกัน (อ.ธ.ขอ ที่ ๕ ในปจ จัย ส.นิ.ถิ.อ. ) - ปถวธี าตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ท่ีเกิดจาก อุตุดวยกัน - ปถวธี าตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ท่ีเกิดจาก อาหารดวยกนั ๓. ธาตุ ๔ ทีเ่ กิดนอกคน นอกสัตว มีสมฏุ ฐานเดียวคือ อุตุ ความตางกันของอัชฌตั ตและพาหทิ ธ อัชฌัตต พาหทิ ธ ๑. ธาตุ ๔ เปนปจจยั ชวยซ่งึ กันและกนั และชวยรปู อน่ื ๆ ๑. เหมอื นกัน ๒. ธาตุ ๔ เกดิ จาก ๔ สมฏุ ฐาน ๒. ธาตุ ๔ เกิดจาก อุตุ เปนสมุฏฐาน ๓. ในกัมมชรปู มีชวี ติ รูปรกั ษา ในจิต อุตุ อาหาร มี ๓. ไมมีชวี ติ รูป และวกิ ารรูป ๓ วกิ ารรูป ๓ รักษา

๑๑) พิจารณาโดย ปจจฺ ยโต - 94 - ๑๒) พจิ ารณาโดย อสมนฺนาหารโต พิจารณาโดยความอุปถมั ภ ซ่งึ กันและกัน เชน ปถวธี าตุ นี้เปน ทตี่ ้งั และชวยอุดหนุน มหาภตู ทเ่ี หลอื ๓ ดว ยอาํ นาจปจ จัย สหชาตะ นสิ สยะ อัญญมญั ญะ เปนตน พิจารณาโดยความไมร อู ารมณ เชน ปถวี มไิ ดรวู า ตนเปนธาตุดนิ และมิไดร วู า ตนกาํ ลงั ชวยอดุ หนุนแกธาตทุ ีเ่ หลอื ๓ โดยความเปน ทีต่ ้งั ธาตทุ ่ีเหลือ ๓ กไ็ มร วู าปถว.ี เปน ทีต่ ง้ั / ชวยอุดหนนุ ธาตุทเ่ี หลือ ๓ กช็ วยอุดหนนุ ตามกิจของตนแตก ไ็ มรูในทาํ นองเดียวกัน คงเปน ไปตามสภาพของตนๆ มิใชส ตั ว บุคคลแตอยางใดเลย ๑.ปถวีธาตุ ชว ย อาโปธาตุ - มกี ารไหล / เกาะกุมไมใ หกระจาย ๒.อาโป. มหาภูตรปู ๔ มลี กั ษณะแขง็ เปนทต่ี ง้ั / เตโชธาตุ - มีการรกั ษาธาตุอนื่ ๆ ไว ๓.เตโช. (ธาตุ ๔) ชวยอดุ หนุนธาตุ ๓ ที่เหลือ วาโยธาตุ - มกี ารประคองคํา้ จนุ ไดอาํ นาจปจจัย ๕ ปจ จัย สหชาตะ ๔ ( ส. น.ิ ถ.ิ อ. ) ชวยซึง่ กันและกนั อัญญมญั ญะ ๑ ๔.วาโย. เมื่อรวมธาตุ ๔ วงเขาดว ยกนั ๑๓) พจิ ารณาโดย ปจจฺ ยวภิ าคโต พจิ ารณาโดยการจําแนกปจ จัยธรรมของธาตนุ ้ันๆ - บางอยา งมี กํ เปนประธานใหเกดิ มี ๑๘ รปู และมี จติ อุตุ อาหาร อดุ หนนุ - บางอยา งมี อุตุ / อาหาร เปน ประธานใหเ กิดมี ๑๓, ๑๒ รปู และมี กํ จติ อุดหนุน - บางอยา งมี จิต เปนประธานใหเ กิดมี ๑๕ รปู และมี กํ อตุ ุ อาหาร อุดหนุน * อานิสงส ๘ อยา งท่ไี ดร บั จากการเจรญิ ธาตุ ๔ ( น. ๒๒๓ -๒๒๔ ) ๖) มหาปฺโ โหติ เปนผูมปี ญ ญากวา งขวางมาก ๗) อมตปริโยสาโน โหติ มพี ระนพิ พานเปนที่สดุ ในภพนี้ ๑) สุฺตํ อวคาหติ อนตั ตลักขณะปรากฏทางใจ ๘) สคุ ติปรายโน โหติ ถายงั ไมเ ขา สพู ระนพิ พานในภพนี้ กม็ ีสุคติภมู ิ เปนที่ไปในภพหนา ๒) สตฺตสฺ สมคุ ฺฆาเฏติ ละความเหน็ วาเปนสัตว บุคคล ชาย หญิง เสียได ๓) ภยเภรวสโห โหติ ไมมีการหวาดกลัวตอภัยใหญน อ ยที่เนอ่ื งมาจากสัตวร ายตางๆ มีจิตใจคลายจะเปน พระอรหนั ต 5 อารุปป ๔ มอี ากาสานญั จายตนฌาน เปน ตน หาใชเปนอารมณกรรมฐาน เหมือน กสิณ ๑๐ อสภุ ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ แตอยางใดไม เพียงแตเปน อารัมมณิกกรรมฐาน คอื ตวั ฌานจติ ทีเ่ กิดข้ึนโดยอาศยั ๔) อรตริ ตสิ โห โหติ สามารถละความไมย นิ ดีในการงานทีเ่ ปน คันถธรุ ะ วิปส สนาธรุ ะ อารมณกรรมฐานทัง้ ๔ มี กสณิ คุ ฆาฏมิ ากาสบัญญตั ิ อากาสานญั จายตนฌาน นัตถภิ าวบัญญตั ิ อากญิ จญั ญายตนฌาน เหมือนอาหาเรปฏิกลู สัญญา และจตุธาตุววัตถาน ทเ่ี กดิ ขึ้นโดยอาศยั อาหารตา งๆ ทั้งสามารถละความยินดีในกามคุณอารมณเ สียได และธาตุ ๔ สําหรบั เน้ือความพรอ มแนวปฏิบตั ไิ ดแสดงไวแลว ในลําดบั แหง การไดรูปปญจมฌาน ๕) อิฏ านฏิ เสุ อุคฺฆาฏนคิ ฆฺ าฏํ น ปาปณุ าติ ไมม ีการร่นึ เริงสนุกสนานจนลืมตวั ในอารมณท นี่ า รกั และไมมกี ารอึดอัด ขนุ หมองใจในอารมณท่ไี มน า รัก

- 95 - 5 สมถกรรมฐาน ๔๐ กสณิ ๑๐ ัวณณกสิณ ๔ มหาภูตกสิณ ๔ อสภุ ะ ๑๐ ๑) พุทธานุสสติ อนสุ สติ ๑๐ ๒) ธัมมานุสสติ ๑) ปถวกี สิณ กสิณ ดนิ ๑) อุทธุมาตกอสุภะ ซากศพท่ีพองอดื ๓) สงั ฆานสุ สติ ระลึกถึงคุณของพระพทุ ธเจา เปนอารมณ ๒) อาโปกสิณ กสิณ นาํ้ ๒) วนิ ีลกอสภุ ะ ซากศพท่มี สี เี ขียวคลา้ํ คละดว ยสีตางๆ ๔) สลี านุสสติ ระลกึ ถึงคุณของพระธรรมเปนอารมณ ๓) เตโชกสิณ กสณิ ไฟ ๓) วิปุพพกอสุภะ ซากศพทมี่ ีน้ําเหลอื ง หนองไหลออกตามรอยปริ ๕) จาคานุสสติ ระลกึ ถงึ คณุ ของพระสงฆเ ปนอารมณ ๔) วาโยกสณิ กสิณ ลม ๔) วจิ ฉิททกอสภุ ะ ซากศพท่ขี าดจากกันเปน ๒ ทอน ๖) เทวตานุสสติ ระลึกถงึ ศีลท่ีตนรักษาเปนอารมณ ๕) นิลกสณิ กสณิ สเี ขยี ว ๕) วกิ ขายติ กอสุภะ ซากศพที่ถกู สัตวมแี รง เปนตน กัดกนิ ๗) อุปสมานสุ สติ ระลกึ ถงึ ทานทตี่ นบรจิ าคเปนอารมณ ๖) ปตกสณิ กสิณ สเี หลอื ง ๖) วกิ ขิตตกอสภุ ะ ซากศพทกี่ ระจยุ กระจายเรี่ยรายไปตางๆ ๘) มรณานุสสติ ระลกึ ถงึ คุณธรรมของเทวดาเปน อารมณ ๗) โลหติ กสิณ กสณิ สีแดง ๗) หตวกิ ขติ ตกอสุภะ ซากศพท่ีมีรว้ิ รอยการถูกฟน แทงทอ่ี วยั วะตา งๆ ๙) กายคตาสติ ระลกึ ถงึ คุณของพระนพิ พานเปนอารมณ ๘) โอทาตกสิณ กสิณ สขี าว ๘) โลหิตกอสุภะ ซากศพท่ีมโี ลหิตไหลอาบ เปอ นโลหติ ๑๐) อานาปานสั สติ ระลกึ ถงึ ความตายเปน อารมณ ๙) อาโลกกสณิ กสณิ แสงสวาง ๙) ปุฬุวกอสุภะ ซากศพทม่ี หี นอน ชอนไช ระลึกถงึ ลักษณะอาการของรางกายสว นตา งๆ (โกฏฐาส ๓๒) เปนอารมณ ๑๐) อากาสกสณิ กสณิ ที่วา งหรืออากาศ ๑๐) อฏั ฐิกอสภุ ะ ซากศพทีเ่ หลือแตร า งกระดูก ระลึกถึงลมหายใจเขาออกเปน อารมณ หรอื ปรจิ ฉนิ นากาสกสิณ อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑ จตธุ าตุววัตถาน ๑ อปั ปมัญญา ๔ อารปุ ปกรรมฐาน ๔ พจิ ารณาอาหารเปนส่งิ ปฏกิ ลู เนน กพฬกี าราหาร พจิ ารณาธาตุ ๔ ที่อยูภายในตน ๑) เมตตา - ปยมนาปสัตวบญั ญตั ิ ๑) อากาสานัญจายตนะ กาํ หนดชองวา งหรอื อากาศหาทสี่ ุดไมไ ด เปนอารมณ อาหารมี ๔ อยา ง มีอยู ๔๒ ธาตุ คอื ๒) กรณุ า - ทุกขติ สตั วบัญญัติ ๑) กพฬีการาหาร - นํามาซง่ึ รปู ที่เกิดจากโอชา ๑) ปถวีธาตุ ๒๐ ๓) มุทิตา - สุขติ สตั วบัญญัติ โดยเพิกกสิณ คอื เลิกสนใจไมเ อารปู อันมปี ฏิภาคนิมิตของกสิณน้ัน เปนอารมณ ๒) ผัสสาหาร - นาํ มาซง่ึ เวทนา ๒) อาโปธาตุ ๑๒ ๔) อเุ บกขา - มชั ฌตั ตสตั วบญั ญัติ ๓) มโนสัญเจตนาหาร - นาํ มาซึ่งวปิ าก ๓) เตโชธาตุ ๔ แลวเพง อากาศท่วี า งจากกสณิ น้ันเรียกวามี กสณิ ุคฆาฏมิ ากาสบญั ญัติ เปน อารมณ ๔) วญิ ญาณาหาร - นาํ มาซง่ึ เจตสกิ และกมั มชรูป ๔) วาโยธาตุ ๖ ๒) วิญญาณญั จายตนะ กําหนดรูจติ ท่ีพิจารณาวิญญาณไมม ที ส่ี ิ้นสุด เปนอารมณ ๓) อากิญจญั ญายตนะ เพง นัตถิภาวบัญญตั ิ คือ ภาวะไมม อี ะไรเลย เปนอารมณ ๔) เนวสัญญานาสญั ญายตนะ เพงอากิญ.ฌานจติ เปน อารมณ จนเขา ถึงภาวะทีม่ ีสัญญากไ็ มใช ไมม สี ัญญาก็ไมใช


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook