- 49 - ** พระสารีบุตร กลา วถึงศีล วา ถงึ ที่สุด ( ศลี ขาด ) มี ๕ อยาง ** ศีลในวสิ ทุ ธิมรรคกลาวไว ๔ ขอ (กลาวไวใ นวสิ ทุ ธมิ รรค) ๑) ศีลถงึ ทส่ี ุด เพราะ ลาภ ๑) ปาฏิโมกขสงั วรศีล ปด กนั ทาง กาย + วาจา = สมถะ ๒) ศลี ถงึ ท่สี ดุ เพราะ ยศ ๒) อินทรยิ สังวรศลี ๓) ศีลถงึ ท่สี ุด เพราะ ญาติ ผูป ฏบิ ัติใดหวังในลาภ ยศ ญาติ อวยั วะ ชวี ิตแลว ขณะน้ัน ๓) อาชวี ปาริสทุ ธิศีล - อาศัยวิรยิ ะเปนบาท ปด กันทาง ใจ = วิปสสนา ๔) ศีลถงึ ทส่ี ุด เพราะ อวยั วะ ไมไดถ อื เอาศีลเปน ใหญ เปน เหตทุ าํ ใหศ ลี ขาดลงได ๔) ปจ จยสันนิสสิตศีล - อาศัยปญ ญา ๕) ศลี ถงึ ที่สุด เพราะ ชวี ิต ( การรักษาศีลในวสิ ุทธิ มงุ หมายเปน บาทใหถ งึ มรรค ผล ยกตัวอยา งเชน ทานพระตสิ สะเถระ ) ** อรรถกถาจารย กลาวไว ๑) ศีลถึงท่ีสุด ตามสิกขาบทนน้ั เชน คฤหัสถ มศี ีล ๕ / ๘ เปนท่สี ุด ๒) ศีลถงึ ท่ีสุด เพราะกาล เชน คฤหสั ถ สมาทานศลี ๘ เปนเวลา ๓ วนั ** ขยายความหลักในการเจรญิ สลี านุสสติ ขอท่ี ๕) ตอ งประกอบดว ยความรูวา ศีลน้นั เปน เหตทุ าํ ให อปุ จารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ มรรคสมาธิ และผลสมาธิ เกดิ ข้นึ ได การเจริญสลี านุสสติ - อานสิ งส ๑. มคี วามเคารพในพระรัตนตรัย ในทกุ ภพทุกชาติ ๓. มศี รัทธาปสาทในทุกภพทุกชาติ ๒. มคี วามปตปิ ราโมทย อยา งไพบลู ย ๔. มอี ายยุ ืน, สมบตั ิมาก, ปญญามาก สมถะ วปิ ส สนา - ตองมีความบรสิ ทุ ธิ์ในศลี ท้ัง ๔ กองแหงศีล กองแหงสมาธิ กองแหงปญญา [ ไมข าด ไมท ะลุ ไมด าง ไมพ รอ ย ] ส.วายา. สต.ิ สมาธิ ส.ทฏิ ฐิ. สังกปั ป. - เจริญใหมๆ อาศยั บัญญัติที่เกี่ยวของดวย ส.วาจา. กัมมันตะ. อาชวี ะ ปญ ญา - รูในนามรปู และ บุคคล วตั ถุ เวลา อธิจิต อธิปญญา รเู หตุของนามรูป ขอบเขตเบอ้ื งตน ได \" บริกรรมภาวนา \" (สติ > ม.ก.ุ ๘) อธศิ ลี ๒. จติ ตวสิ ทุ ธิ ๓. ทิฏฐิวสิ ทุ ธิ - โลกยี ะ - คน หา \" สภาวะแหงศีลจิตตุปบาท \" ได ๔. กังขาวติ รณวสิ ุทธิ ปญญา - ในไตรลักษณ - โลกุตตร เขา ถงึ \" อปุ จารภาวนา \" (สติ > ม.ก.ุ ส.ํ ๔) ๑. ศีลวิสทุ ธิ ๕. มัคคามคั คญาณ. ปญ ญา - พระนพิ พาน ๖. ปฏปิ ทาญาณ. สมถยานกิ ะ ( = ปาฏิโมกขเทาน้ัน - ปาฏโิ มกขสังวร ๗. ญาณทัสสนวิสุทธิ หา มทางกาย วาจา ) - อินทริยสงั วร - อาชวี ปาริสทุ ธิ - ปจ จยสันนสิ สิต
- 50 - 5 จาคานุสสติ ( น.๕, ๑๒๓ - ๑๒๙ ) หมายความวา การระลึกถึงการบรจิ าคทานของตน ที่เปนไปโดยบรสิ ุทธ์ิ ไมมีการโออ วด หรือการเอาหนา เอาชอื่ เสียงแมแ ตประการใด อยเู นืองๆ ดงั วจนัตถะวา \" จาคา อนสุ สฺ ติ = จาคานุสฺสติ \" การระลกึ ถงึ การบรจิ าคทานของตนท่ีเปนไปโดยบรสิ ุทธิ์อยูเนืองๆ ช่ือวา จาคานสุ สติ องคธรรมไดแ ก สติเจตสกิ ทใี่ น มหากศุ ลจติ ท่มี บี รจิ าคเจตนาเปน อารมณ ๑) เหตเุ บอื้ งตน ผเู จริญตอ งมีการบริจาคทานทถี่ ึงพรอ มดวยคุณความดี ๓ ประการ ** คําบริกรรมภาวนา ยฺวาหํ จาเค สทา รโต ๑. ธมั มิยลัทธวัตถุ วัตถสุ งิ่ ของที่เปนเทยยธรรมนั้น ไดม าบรสิ ทุ ธิโ์ ดยชอบธรรม มนุสฺสตฺตํ สุลทฺธํ เม ปชาย วคิ โต ตโต ฯ ๒. บริบรู ณด ว ยเจตนาทง้ั ๓ คอื ปุพพเจตนา มุญจเจตนา อปรเจตนา มจฺเฉรปริยฏุ าย ๓. มตุ ตจาคี คอื การบรจิ าคท่ีสละละพน ไปจากความตระหน่ี และตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ในบรรดาชนท้งั หลาย ทีม่ มี ัจฉริยะกอ กวนกาํ เริบดวยการหวงแหนอยูน้นั แตเ รานน้ั มคี วามยนิ ดีปลม้ื ใจ ๒) การเปรียบเทยี บการบรจิ าคของบุคคลอนื่ กับตัวเรา อยแู ตในการบริจาคทาน โดยความปราศจากมจั ฉริยะลงได การท่เี ราไดเกิดมาเปน มนุษยน ดี้ จี รงิ หนอ ๑. การบริจาคของตนปราศจาก ตณั หา มานะ ทิฏฐิ ๒. มีการขม ศัตรูภายใน อันไดแ ก ความตระหนี่ ๓. ตองรอู านสิ งสวา การบริจาคทานเปนเหตใุ หอ ายุ วรรณ สขุ พละ ** ขอบเขตของการภาวนา ๑) อาศัยบัญญตั ทิ ี่เก่ียวของดวย บุคคล วตั ถุ ส่ิงของ เวลา อาศัยบัญญตั ิ เมอื่ วาน ตองมคี ุณความดี ๓ อยาง - ธัมมยิ ลทั ธวตั ถุ สติระลกึ รู เปน ม.กุ.๘ แตว นั นี้ระลกึ โดยปุคคลาธิษฐาน เปน \" บรกิ รรมภาวนา \" - พรอมเจตนา ๓ - มุตตจาคี ๒) คน หาสภาวะในขณะทใี่ หท าน กัมมชรูป --> จติ ตชรูป --> เจตนาทาน --> ม.กุ.๘, ๓๗(เจต) (กาย+วจีสจุ ริต) (เปนประธาน) [ ตางกันท่ี ปคุ คลาธิษฐาน แตเหมือนกันที่ ธัมมาธิษฐาน ] ๓. สภาวะ จะเปน บาทใหกับการระลกึ รใู นกาลหลงั ๆ --> เปน \" อุปจารภาวนา \" ** อปุ สรรคในเจรญิ จาคานุสสติ ๑) ตองพรอ มดว ย คณุ ความดี ๓ ประการ แลว ตอ งคนหาสภาวะของทานกุศลจิตตุปบาทใหเ จอ เพ่ือเปนบาทใหกบั สตใิ นกาลหลงั ถาคน หาสภาวะได กเ็ ขาถงึ ขอบเขตของอปุ จารภาวนา หากอยูกับบัญญตั ิ ก็ไดเพียงบรกิ รรมภาวนา ๒) หากมีการปฏบิ ัติสารณยี ธรรม ก็จะทาํ ใหก ารเจริญจาคานุสสติ มกี ําลงั มากขึน้
- 51 - ** การปฏบิ ัตสิ ารณยี ธรรม หรือ สารณียวัตร ( น.๑๒๕ ) มุงหมายในภิกษุ + สามเณร - ภพน้ี - ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม (ชาตินี้ ) - ภพหนา - อปุ ช ชเวทนยี กรรม (ชาตทิ ี่ ๒ ) ท้ังโภคสมบัติ และภวสมบตั ิ ๑) ไมล ําบากในการบริโภค - อปรเวทนยี กรรม (ชาตทิ ี่ ๓ เปนตน ไป ) ๒) แมจ ะใหอาหารแกภ ิกษเุ ทา ไรกไ็ มหมด ๓) หากมีการจับสลากภตั ยอ มไดของสิง่ ท่ีดียิ่ง ๔) รกุ ขเทวดา + ภมุ มฏั ฐเทวดา เอาใจใสใ นการใสบาตร ** ขั้นตอนการตระเตรยี ม ๑) ตอ งเปน สถานทมี่ ีพระภิกษุ และสามเณรไมม าก ๒) พระภกิ ษุและสามเณรเหลานนั้ ตอ งมี สลี วันตะ ( ศลี บรสิ ทุ ธิ์ ) และมีสิกขากมั มะ คอื ศกึ ษาอยู ๒ หมวด คอื คนั ถธุระ และวปิ ส สนาธรุ ะ ๓) ตองตง้ั จิตอธิษฐานในการปฏบิ ัตสิ ารณียธรรม เปน เวลา ๑๒ ป ๔) ตอ งแจงใหภ กิ ษแุ ละสามเณรในทน่ี ั้นทราบ ** วธิ ีการปฏบิ ตั ิ ๑) ภิกษุผูป ฏิบตั ิ เม่อื ไดอ าหารท่บี ิณฑบาตมาแลว จะแจกอาหารตามความพอใจไมไ ด ตองใหพ ระภกิ ษุผูมพี รรษามากเรยี งตามลําดับ ยกเวน ๑. พระภกิ ษสุ ามเณร ผอู าพาธ ๒. พระภิกษุสามเณร ผูพยาบาล ๓. พระภิกษสุ ามเณร ทเ่ี ปนอาคันตุกะ ๔. พระภิกษุสามเณร ผเู ปนคมั มกิ ะ คอื จะรบี ไปธุระ ๕. พระภกิ ษสุ ามเณร ทีเ่ ปน นวกะ ( ผูบวชใหม ) คือ ยงั ครองจีวรและอมุ บาตรไมเปน ในขณะท่ีทาํ การถวายนนั้ ผูป ฏิบตั ิจะจดั แบง ถวายไมได ตองสงใหท้ังบาตร แลว แตผ ูรับจะรับหรือไมร ับ และหยิบตกั เอาตามความพอใจ ที่เหลือจึงนาํ มาบริโภคได ๒) หากอาหารท่บี ณิ ฑบาตมาไมเพยี งพอตองออกไปบิณฑบาตใหมท กุ ครง้ั ในระหวางเวลาทีย่ งั ไมถึงเทย่ี ง หากจะกลับไปรับใหมแ ตห มดเวลาผูปฏิบตั ิตองยอมอด ๓) สาระสําคญั ของการปฏิบตั ิ คอื ตอ งไมถอื โทษเปน อนั ขาดตอ งระงับความโกรธ หากมีความโกรธเกดิ ข้นึ ความอุตสาหพยายามที่ปฏบิ ัติมาก็สูญส้นิ ตอ งเร่ิมปฏิบัตใิ หม ( แตไ มไ ดส ญู สน้ิ ในอานิสงส ) ๔) หากผปู ฏิบตั ิ สารณยี ธรรมมีการเจรญิ ใน จาคานสุ สติดว ย ก็จะระงบั ความโกรธไดด ี
- 52 - 5 เทวตานุสสติ ( น.๕, ๑๒๙ - ๑๓๐ ) หมายความวา การระลกึ ถงึ กศุ ลกรรมของตน มีศรทั ธา เปนตน โดยเปรยี บเทยี บกับเทวดา พรหมท้ังหลายท่บี รบิ ูรณดวยสัปปุริสรตั นะ ๗ อยาง และสัปปุรสิ ธรรม ๗ ประการอยเู นอื งๆ องคธ รรม ไดแ ก สติเจตสกิ ทใี่ น มหากศุ ลจติ ทีม่ ีศรัทธาเปนตน เปน อารมณ - สัปปุริสรัตนะ ๗ ไดแก ศรทั ธา ศีล สุตะ จาคะ ปญญา หิริ โอตตัปปะ ** ขอบเขตการระลึก - สัปปุริสธรรม ๗ ไดแก ศรทั ธา สติ หริ ิ โอตตัปปะ พาหสุ ัจจะ วิรยิ ะ ปญ ญา รวมเปน ๙ ( สุตะ ถา ฟงมากๆ บอยๆก็เปน พาหสุ จั จะ ) ระลึกในคณุ ธรรมท้งั ๒ หมวด อารมณภ ายใน ระลึกในคณุ ธรรมของเทวดา พรหม ใน * คณุ ธรรมในการเจรญิ เทวตานสุ สติทั้งหมด มี ๙ ( สปั ปุรสิ รัตนะ ๗, สปั ปุรสิ ธรรม ๗) ธรรมทัง้ หมด = อารมณภ ายนอก * คณุ ธรรมในการเจริญเทวตานสุ สติ เหมือนกนั ทั้ง ๒ มี ๕ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ ปญญา เปรยี บเทยี บคณุ ธรรมท้งั ๒ * คณุ ธรรมทีเ่ ปน สปั ปุรสิ รัตนะอยางเดยี วมี ๒ คอื ศลี จาคะ ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ น ท ม ช ..... ช ภ ...ภ * คณุ ธรรมทเ่ี ปนสัปปุรสิ ธรรมอยา งเดียวมี ๒ คือ สติ วิรยิ ะ ** อปุ สรรคในการเจริญเทวตานสุ สติ สติ ระลกึ --> ม.ก.ุ ๘ สติ ระลกึ --> ม.ก.ุ ๘ สติ ระลึก --> ม.กุ.ส.ํ ๔ \" บริกรรมภาวนา \" \" บรกิ รรมภาวนา \" \" อปุ จารภาวนา \" ๑) ผูระลกึ ตองมคี ณุ ธรรมทั้ง ๒ หมวด หากขาดธรรมใดธรรมหนง่ึ การระลกึ ถอื วาไมสาํ เรจ็ * ยกเทวดาเปน พยาน ระลกึ วา ๒) หากมคี ณุ ธรรมครบท้ัง ๒ หมวด ตอ งคนหาสภาวะของคุณธรรมเหลาน้ัน - เทวดาชั้น จาตุมหาราชกิ า มีอยจู ริง - เทวดาชนั้ ดุสติ มีอยจู รงิ หากคน หาสภาวะเจอจึงจะได \" อุปจารภาวนา \" ถาไมเ จอกไ็ ดเ พียง \" บรกิ รรมภาวนา \" - เทวดาชัน้ ดาวดงึ ส มอี ยูจริง - เทวดาชน้ั นิมมานรตี มอี ยจู ริง ๓) ถา เปน ผูเจริญสลี านสุ สติ และจาคานสุ สตมิ ากอน การระลึกในเทวตานสุ สติคอ นขางสะดวก - เทวดาชนั้ ยามา มอี ยจู ริง - เทวดาชั้น ปรนมิ มติ วสวตั ตี มีอยูจริง ๔) เหมาะสาํ หรบั พระอรยิ ะท่จี ะระลึกเทา น้นั โดยยกเทวดาไวเปนพยาน ** อานิสงส ๑. เปน ทรี่ ักใครข องเทวดา ๔. มศี รทั ธาในทกุ ภพทกุ ชาติ ๒. มคี วามไพบูลยใ น ศรัทธา ศลี สตุ ะ จาคะ ปญ ญา เปนตน ๕. มกี ามสุคติภมู ิเปน ทห่ี วัง * พุทธคุณ, ธมั มคณุ , สังฆคุณ ใชอารมณภ ายนอก ๓. มีปตปิ ราโมทย * สีลานสุ สติ ใชอ ารมณภ ายใน ** ๓ อยางในชีวติ * จาคานุสสติ ใชอารมณภายใน ๑) ๓ อยา งในชวี ติ ที่ ไมห วนกลบั คือ เวลา, โอกาส, คําพดู * เทวตานุสสติ ใชอ ารมณภ ายใน และภายนอก ๒) ๓ อยางในชวี ติ ท่ี ขาดไมได คอื ความสงบแหงจติ ใจ, ความซอ่ื สัตย, ความหวัง คอื คุณธรรมท้งั ๒ หมวดของเทวดา ๓) ๓ อยา งในชวี ติ ท่ี มคี ณุ คา คือ ความมั่นใจในตนเอง, ความรกั , กัลยาณมติ ร ๔) ๓ อยางในชวี ิตท่ี ไมแ นนอน คอื โชคชะตา, ความฝน, ความสําเรจ็ ๕) ๓ อยา งในชีวิตท่ี สูความพนิ าศ คือ ความเยอหย่งิ , ความโกรธ, ความประมาท
- 53 - 5 อปุ สมานสุ สติ ( น.๕, ๑๓๐ - ๑๓๕ ) หมายความวา การระลกึ ถงึ คุณของ \" พระนพิ พาน \" ทมี่ ีสภาพสันติสขุ สงบจากกิเลส ขันธ ๕ อยูเนอื งๆ องคธรรม ไดแก สติเจตสิก ที่ใน มหากุศลจติ ทม่ี คี ณุ ของพระนิพพาน เปนอารมณ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม.๔ ผ.๔ ผ ฯ ... ปจ จเวกขณะ ระลกึ ถึง ม.ผ.นิพพาน กเิ ลสท่ลี ะ กเิ ลสทเี่ หลอื ม.กุ.ส.ํ ๔ โลกตุ .๘ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ม.กิ.ส.ํ ๔ รบั อารมณพ ระนพิ พาน สติเจ. --> ม.กุ.๘ / ม.ก.ิ ๘ --> ม.ผ. แนน อน ม.ก.ุ ส.ํ ๔ / ม.ก.ิ ส.ํ ๔ --> นิพพาน - วา โดยบุคคล เกิดกับพระอรยิ ะเทานั้น ม + ม.ก.ุ ส.ํ ๔ + ม.ก.ิ สํ.๔ + อภิญญาจติ ๒ รบั พระนพิ พาน ไมแ นนอน ถาเปนบุคคลท่วั ๆ ไป ตอ งมสี ตุ มยปญญาอยา งดี จึงจะพออนุมานในสภาพรปู นาม ใหเหน็ โดยความเปนทกุ ขโ ทษภัย เมอื่ น้นั คณุ ของพระนิพพาน กม็ ีโอกาสพอจะระลกึ ได **พระนิพพานจัดเปน \"ขันธวิมตุ \" เพราะ ๓) พระนพิ พาน มี ๓ คอื ๑) พระนพิ พาน ไมม ปี จจบุ ัน อดีต อนาคต ดังนั้น พระนิพพานจงึ เปน \" กาลวิมุต \" ๑. สุญญตนิพพาน - ความเปน อยูของพระนพิ พานทสี่ ญู สน้ิ จากกเิ ลสและขันธ ๕ ๒) พระนพิ พาน ไมใชอ ชั ฌัตต แตพ ระนิพพานเปน \" พหทิ ธ \" มปี ญญนิ ทรยี แกก ลา เห็นอนตั ตธรรม ๓) พระนิพพาน ไมใ ชโอฬารกิ แตพระนพิ พานเปน \" สขุ มุ \" ๒. อนิมิตตนพิ พาน - ความเปนอยขู องพระนิพพานทไี่ มม นี มิ ติ เครือ่ งหมาย รปู รา งสณั ฐาน ๔) พระนพิ พาน ไมใ ช หนี แตพ ระนพิ พานเปน \" ปณตี \" มีสทั ธินทรียแ กก ลา เห็นอนิจจธรรม ๕) พระนพิ พาน ไมใ ช สนั ติกะ (ใกล ) แตพระนพิ พานเปน \" ทรู ะ \" (ไกล / ของยาก ) ๓. อัปปณิหิตนพิ พาน - ความเปนอยขู องพระนพิ พานทไ่ี มเปน ที่ตั้งแหงตณั หา \" ตณั หา เกิดกับภายในของบคุ คล เรียกวา ปณิหติ \" ** ประเภทของพระนพิ พาน \" พระนพิ พาน เกดิ กบั ภายนอก เรยี กวา อัปปณิหิต \" ๑) พระนิพพาน มี ๑ คือ สันติลักษณะ มีความสงบจากกิเลสและขันธ ๕ มีสมาธินทรยี แกกลา เห็นทกุ ขธรรม ๒) พระนพิ พาน มี ๒ คอื ๑. สอปุ าทิเสสนิพพาน - มคี วามสงบจากิเลสแตย ังมขี ันธ ๕ อยู ๔) พระนิพพาน มี ๔ วา โดยบคุ คล คือ โสดาบนั บคุ คล --> อรหันตบคุ คล หรอื เรียกวา \" ทิฏฐธัมมนพิ พาน \" หรือนิพพานของพระอรยิ ตา่ํ ๓ที่ยังมกี เิ ลสเหลอื อยู ๕) พระนพิ พาน มี ๖ อยา งวา โดย ธรรมคุณ ๖ บท มี ๒. อนปุ าทิเสสนิพพาน - มีความสงบจากกเิ ลสและขนั ธ ๕ หรือเรยี กวา \" สมั ปรายกิ นิพพาน \" หรือนพิ พานของพระอรหันต ท่หี มดกิเลสแลว ๑. สวากฺขาโต ๔.เอหิปสฺสโิ ก ๒. สนฺทิฏ โก ๕.โอปเนยยฺ ิโก ๓. อกาลิโก ๖.ปจจฺ ตฺตํ เว ทติ พโฺ พ วิ ฺ ูหิ
- 54 - ** พระนิพพานจดั เปน \" วิภาวตณั หา \" บุคคลที่ไมม กี ารศึกษาในสตุ มยปญญาอยา งดี เขาใจผิดวา \" พระนิพพาน \" เปน \" เวทยิตสุข \" หรือเปน ดินแดนทพี่ ระอรยิ ะ ทง้ั หลายเมือ่ ปรินพิ พานแลว ไปรวมกนั อยู แลว มีความปรารถนาอยากทจ่ี ะไปในพระนิพพานนน้ั ** พระนิพพานทีแ่ สดงในสมถะ และในวปิ สสนา สมถะ - ไดถ งึ อปุ จารภาวนา วิปสสนา - ไดถึงอปั ปนาภาวนา ๑) อาศัยการมสี ุตมยปญญาอยางดี เหน็ สภาพรูปนามโดยทุกขโ ทษภยั ๑) เกิดจากการปฏิบตั ิในวสิ ุทธิ ๗ ในโสฬสญาณ ( ญาณ ๑๖ ) แลว อนมุ านเขา ถึงคุณธรรมของพระนิพพาน ไดข อบเขตเพียง \" บริกรรมภาวนา \" ๒) มปี จ จเวกขณะญาณมาระลึกคณุ ของพระนิพพาน เปน อุปสมานสุ สติ แท ๒) การระลึกในอุปสมานสุ สติ เปน วสิ ยั ของพระอรยิ ะเทานั้น ที่จะเขา ถึง \" อุปจารภาวนา \" ได ** วธิ ีการระลึกในคุณพระนพิ พาน (พิจารณาฝา ยสมถะ ) พิจารณาในโทษของรูปนาม ระลกึ คณุ ของพระนพิ พาน ระลึกคุณของพระนพิ พาน ๒๙ ขอ (น.๑๓๐) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... สตเิ จ. --> ม.ก.๘ --> บริกรรมภาวนา บริกรรม \" ยาวตา ภิกขฺ เว ธมมฺ า สงฺขาตา วา อสงฺขาตา วา วิราโค เตสํ ธมมฺ านํ อคฺคมกขฺ ายติ, ยททิ ํ มทนิมฺมทฺทโน, ปป าสวนิ โย, อาลยสมคุ ฺฆาโต วฏฏ ป จเฺ ฉโท ตณฺหกขฺ โย, วิราโค, นโิ รโธ, นิพพฺ านํ ฯ ( น. ๑๓๒ )
- 55 - 5 มรณานสุ สติ ( น.๕, ๑๓๖ - ๑๔๒ ) หมายความวา การระลกึ ถึงความตายทต่ี นจะตอ งไดป ระสบ แลวเกดิ ความสังเวชสลดใจอยูเนืองๆ ชอื่ วา มรณานสุ สติ องคธรรม ไดแก สตเิ จตสิก ที่ใน มาหากุศลจิต ทีม่ ชี ีวติ ินทรยิ ุปจเฉทมรณะเปน อารมณ * มรณะมี ๔ อยา ง คอื ตายละ ขณะหนึ่ง พึงสมมตุ ิ หยดุ ชวี ติ ๑. สมุจเฉทมรณะ ๒. ขณกิ มรณะ ๓. สมมตุ ิมรณะ ๔. ชวี ิตนิ ทรยิ ุปจ เฉทมรณะ - การเขา ปรินพิ พานของพระอรหันต - ความดบั ของสังขาร - ความตายทโี่ ลกสมมุติ - ไดแก รูปชวี ติ นามชวี ติ ของสตั วทัง้ หลาย ที่ตัดเสยี ซ่งึ วัฏฏทกุ ขทัง้ ปวงได รูป นาม ทเ่ี ปน อยทู ุกๆ ภังคกั ขณะ เรียกกนั วา ตน ไมตาย ทองแดงตาย ดับสน้ิ ลงไปในภพหนึ่งๆ โดยสิ้นเชงิ ของจติ เจ. รูป ปรอทตาย เหลก็ ตาย - ไมไดเก่ยี วกบั บคุ คลท่ัวไป - เปนมรณะชนดิ ละเอยี ดมาก - ไมทําใหความสังเวชเกดิ ขึ้นได - เปน มรณะท่เี กี่ยวขอ งกับบคุ คลทว่ั ไป มี ๒ บคุ คลทัว่ ไปไมส ามารถพจิ ารณาเหน็ ได ๑.กาลมรณะ การตายดว ยสิน้ บญุ / ส้นิ อายุ หรอื ทัง้ สอง ๒.อกาลมรณะ การตายดวยอุปจ เฉทกกรรม (อปุ ท วเหตตุ า งๆ ) ไมเกดิ ความสงั เวช ไมไดอยใู นวิสยั ของบุคคลทัว่ ไปท่จี ะพิจารณาได - อยใู นวสิ ยั ของบคุ คลท่วั ไปใชพ ิจารณาระลึกได - มรณานุสสตมิ ุงหมาย มรณะประเภทนี้ * ลักษณะของ \" อารมณก ับจติ \" ในการเจรญิ มรณานสุ สติ * ชีวิตนิ ทริยุปจ เฉทมรณะ - มุงหมายรูปชวี ติ นามชีวติ ( ธาตุ ๔ ดับ - หทยรปู ดบั (อุปาทายรปู ดบั ) --> นามดับ ) - บคุ คลที่ไมไดเจริญมรณานสุ สติ ภพกอน ภพน้ี อารมณเกดิ สงั เวช + จติ ระลกึ ---> โทมนัส สภาคะกัน ๑๗ จตุ ิ ปฏิ ปจฉาชาตปจจยั รปู ชวี ิต นาม ๑๖ ดวง - บุคคลทีเ่ จริญมรณานุสสติ นามชวี ติ ปฏิสนธิ + เจ. ๑๗ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ภ จตุ ิ อารมณเ กดิ สงั เวช + จิตระลกึ ---> มหากศุ ล. ๘ กาย ภาว วตั ถุ วิสภาคะกัน รูปชวี ิต + ชวี ติ ินทรีย (นาม) หทยํ นามชีวิต เปนเรือ่ งยากเพราะอารมณส ังเวช แตจ ติ มีปญ ญาเปนมหากศุ ล ทยอยเกดิ ดบั ตามอายุของรปู รปู ชีวิต ตอ งเปนวิสภาคะกนั วัตถุปุเรชาตปจจัย
- 56 - * ข้นั ตอนในการเจริญมรณานุสสติ ( น. ๑๓๖ ) ๑. พจิ ารณาอสุภทีอ่ ยูเบ้ืองหนา การเจรญิ มรณานุสสติ ใชอารมณ ๓ อยา ง -----> ๒. พิจารณาบคุ คลท่ีตายไปแลว ๓. คาํ บรกิ รรม \" มรณํ เม ภวิสฺสติ, ชวี ิตนิ ทฺ ฺรยิ ํ อุปจฺฉชิ ฺชสิ สฺ ติ \" = เราจะตองตาย รปู ชีวติ นามชวี ติ จะตอ งขาดจากกัน = ความตายเปนของแน ความมีชีวติ อยูเปนของไมแน หรอื \" มรณํ เม ธวุ ,ํ ชวี ิตํ เม อธวุ ํ \" อโยนิโส โยนโิ ส ปญญาทรี่ ะลกึ ความสงั เวชไมมี มแี ตการเกดิ โทษ ( สภาคะ ) ปญ ญาเกดิ จากการระลกึ ความสงั เวชได ( วสิ ภาคะ ) - ความเศราโศกเกิดเมอ่ื นกึ ถึงคนที่รักตายไป - สตริ ะลกึ ความตายของทกุ ๆ คนเปน เรื่องธรรมดา - ความปราโมทยเกดิ เมอ่ื นึกถงึ คนตายที่เปน ศัตรู ไมเกี่ยวของดว ยความรกั , ชัง, ศตั รู - ความสังเวชไมเกดิ เมือ่ นึกถงึ คนท่ีไมร ูจกั - เมื่อสติดีแลวเปน เหตใุ หเ กดิ - ความกลัวจะเกดิ ข้นึ เมื่อนกึ ถึงตัวเอง ก. สังเวค = สตริ ะลึกอยูเนอื งๆ ประโยชนของสังเวค (สังเวควัตถุ) ( ท้งั ๔ ขอ ไมเกิดปญญา มีแตโทษ ) ๑) เปน ผตู ง้ั อยูในความไมประมาทตน่ื ตัวอยูใ นธรรมอยเู สมอ ๒) เปนการยกจิตใหสงู ข้ึนทําใหเ กดิ ความราเรงิ ข. ญาณ = ปญญารใู นสภาวธรรม * สงิ่ ที่ไดจ ากการเจริญ \" มรณานสุ สติ \" * การเจรญิ มรณานสุ สติ - สามารถละนิวรณไ ดชัว่ ขณะหนึง่ - สติ ทใี่ น มหากุศลจติ ๘ คือ ระลกึ ความสงั เวชไมใชเ ปนไปดว ยโทษ วาโดย อารมณ เปน \" ปรมตั ถ \" วาโดย ภาวนา ได ๒ ภาวนา คอื บรกิ รรมภาวนา และอุปจารภาวนา วา โดย ภูมิ ได ๒๒ ภูมิ คือ มนษุ ย, เทวดา ๖, รูปภูมิ ๑๕ ( เวน อบาย ๔, อรปู ภมู ิ ๔, อสัญญ.) วาโดย จริต เหมาะกบั \" พุทธจิ ริต \"
- 57 - * วิถีจิตขณะระลึกความตาย ระลกึ ความตาย อสุภ ชีวติ ินทริยุปจเฉทมรณะ บคุ คลทไ่ี ดตายไปแลว รูปชีวติ + นามชวี ติ ( ใหมๆ อาศยั บญั ญัติ กศุ ลกเ็ กิดได ) ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท สติ ทใ่ี น มหากุ.๘ * การเปรียบเทียบความตาย ๘ อยา ง แสดงไวใ นอนสุ สติกัมมัฏฐานนทิ เทส สติ ทีใ่ น มหาก.ุ สํ.๔ ไปรูสภาพธรรม ๑) ความตายเหมือนเพชรฆาต อุปจารภาวนา บรกิ รรม ๒) ความตายเปน วบิ ตั แิ หง สมบตั ิ ๓) ความตายโดยการเปรียบเทียบ \" มรณํ เม ภวิสสฺ ต,ิ ๔) ชีวติ +รา งกายเปน ของสาธารณะ ชวี ิตนิ ทฺ รฺ ิยํ อปุ จฉฺ ชิ ฺชสิ สฺ ติ \" ๕) อายุเปนของออนแอ เราจะตองตาย รูปชีวติ นามชวี ิต ๖) ชวี ติ ไมป รากฏนมิ ติ จะตองขาดจากกนั ๗) ชวี ติ กําหนดดวยกาล หรือ \" มรณํ เม ธวุ ,ํ ชีวิตํ เม อธวุ ํ \" ๘) ชวี ิตเพยี งแตจติ ขณะเดียว ความตายเปนของแน ความมีชีวิตอยูเปนของไมแ น * มรณสัญญาทีต่ องประสงคในการเจรญิ มรณานุสสติ * อานิสงส ๑) มีความไมป ระมาท แมจะไมไดถ งึ อัปปนา แตกม็ ีขัน้ แหงการสาํ เร็จในการเจริญได ขน้ั แหงการสําเร็จนัน้ ไดแ ก ความรสู ึกเกย่ี วกับความตาย ท่ีเรียกวา มรณสัญญา ๘ ประการ คอื ๒) อนภิรตสิ ญั ญา - ความไมย ินดใี นภพชาติ ๓) มีหริ ิโอตตัปปะ ๑) ความรสู ึกท่ีเกย่ี วกับความตายไดเกดิ ข้นึ วา ชวี ิตของเรานจ้ี ะมอี ยูต อ ไป ไดอ ีกประมาณแค วนั หนึ่ง กับคืนหนึ่ง คอื ๒๔ ชัว่ โมงเทา น้ันเอง ๔) มีความชาํ นาญในอนจิ จสญั ญา ๒) \" \"\" \" ไดอีกประมาณแค วนั หนงึ่ คอื ๑๒ ชวั่ โมงเทา นั้น * ๕) ไมห ลงตาย ๓) \" \"\" \" ไดอ กี ประมาณเพียง คร่ึงวัน คือ ๖ ช่ัวโมงเทา น้นั ๔) \" \"\" \" ไดอีกช่ัวเวลาเพยี ง กนิ ขาวอิม่ หน่ึงเทา นน้ั ๕) \" \"\" \" ไดอ ีกชั่วครง่ึ เวลากินขาวอม่ิ หน่ึงเทา นัน้ ๖) \" \"\" \" ไดอ กี ชว่ั เวลากินขา วไดเ พียง ๔ หรือ ๕ คาํ เทา น้นั ๗) \" \"\" \" ไดอ กี ชั่วเวลาเค้ยี วขา วคําหนงึ่ เทานนั้ ถกู ตอ งตามพทุ ธประสงค ๘) \" \"\" \" ไดอกี ชั่วระยะเวลาหายใจเขา ออกเทา นน้ั
- 58 - 5 กายคตาสติ ( น.๕, ๑๔๒ - ๑๖๕ ) หมายความวา การระลกึ ถงึ ๓๒ โกฏฐาส มี เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เปนตน อยูเ นืองๆ ช่อื วา กายคตาสติ องคธรรม ไดแก สตเิ จตสกิ ท่ีใน มหากุศลจติ ๘ ทีม่ ี โกฏฐาส เปน อารมณ กายคตาสติกรรมฐานนี้ เรยี กวา ทวตั ติงสกายกรรมฐาน หรอื โกฏฐาสกรรมฐาน กไ็ ด เพราะคําวา กายะ และ โกฏฐาส มีความหมายอยางเดยี วกนั - กายะ แปลวา กอง ไดแ ก กองสว นตา งๆ มี ๓๒ กอง - โกฏฐาส แปลวา หมวด ไดแก สวนตางๆ มี ๓๒ หมวด * อารมณ เปน \" บัญญตั ิ \" * ควบเก่ยี วกับวปิ ส สนา คอื กายานปุ สสนาสตปิ ฏ ฐาน พิจารณากายในกาย แสดง ๑๔ บรรพะ * ได ๓ ภาวนา ๓ นมิ ติ โดยตรง * ภมู ิ ได มนุษยเทา นน้ั - อานาปานัสสติ = ๑ บรรพะ * จริต เหมาะกบั ราคจรติ - อริ ิยาบถ ๔ = ๑ บรรพะ - สมั ปชญั ญะ ( อริ ยิ าบถยอ ย ) = ๑ บรรพะ รวมเรยี กวา กายคตาสติ ระลกึ ในกาย แตอารมณตางกนั - โกฏฐาสะ ๓๒ = ๑ บรรพะ แตในกายคตาสติ ใน อนสุ สติ ๑๐ นัน้ มุงหมายเอาเฉพาะ ๓๒ โกฏฐาสะ เทา นั้น - ธาตุ ๔ = ๑ บรรพะ - อสภุ = ๙ บรรพะ * โกฏฐาส ๓๒ เปนมาไดอ ยา งไร ต้ังแตแรกเกิด * การแบง รางกาย ปฏิ สป.๑ สป.๒-๓ สป.๔-๕ สป.๑๑ สป.๑๒ สป.๔๒ ครบบริบรู ณ อุปริมกาย = กาย, ภาวะ (ตา หู จมกู ลิน้ ) เตโช น้ําใส --> นํ้าลา งเนอ้ื --> ชิ้นเนอ้ื เหลวสีแดง --> ปญ จสาขา รูปที่เกิดจากกรรม โครงกาย กาย (กองแหง มัชฌิมกาย = กาย,ภาวะ,วัตถุ(หทย) ตอมาเรม่ิ ปรากฏ ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง... โกฏฐาส ๓๒) เหฏฐิมกาย = กาย, ภาวะ ชีวติ นวกกลาป อาหารชรปู มี ตา หู จมูก.... = โกฏฐาส ๓๒ เปน อตุ ุที่เกดิ จาก ๔ สมุฏฐาน กาย, ภาว, วัตถุ กาย, ภาว, วัตถุ (มหาภูตรูป ๔) เตโช
- 59 - * การเจริญ กายคตาสติกรรมฐาน (โกฏฐาส ๓๒ ) ทา นแสดงไว ๖ หมวด คือ หมวด ๑ ช่อื วา ตจปญจกะ มีโกฏฐาส ๕ ไดแ ก เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ขน เลบ็ ฟน หนงั ผม นหารุ อฏ อฏ ม ิ ชฺ ํ วกกฺ ํ เอ็น กระดกู เยอ่ื ในกระดกู ไต หมวด ๒ ชอื่ วา วกั กปญจกะ มโี กฏฐาส ๕ ไดแ ก มสํ ํ ยกนํ กิโลมกํ ปหกํ ปปผฺ าสํ ตบั พงั ผดื มา ม ปอด เนอื้ อนฺตคณุ ํ อทุ ริยํ กรสี ํ มตฺถลุงคํ ไสน อ ย อาหารใหม อาหารเกา สมอง หมวด ๓ ชอื่ วา ปป ผาสปญ จกะ มีโกฏฐาส ๕ ไดแ ก หทยํ เสมหฺ ํ ปพุ ฺโพ โลหิตํ เสโท เสมหะ นาํ้ เหลือง เลอื ด เหงอื่ หวั ใจ วสา เขโฬ สงิ ฆฺ านิกา ลสกิ า นํา้ มนั เหลว นาํ้ ลาย นา้ํ มูก นา้ํ ไขขอ หมวด ๔ ชอ่ื วา มัตถลุงคปญ จกะ มโี กฏฐาส ๕ ไดแ ก อนตฺ ํ ไสใ หญ หมวด ๕ ชอื่ วา เมทฉักกะ มโี กฏฐาส ๖ ไดแ ก ปต ตฺ ํ เมโท น้ํามันขน น้ําดี มุตตฺ ํ น้าํ มูตร หมวด ๖ ช่ือวา มุตตฉักกะ มีโกฏฐาส ๖ ไดแก อสฺสุ นํ้าตา * การพิจารณากายคตาสติ มอี ารมณอ ะไรบาง กายคตาสติ เปนกรรมฐานเดียวในกรรมฐาน ๔๐ ทีใ่ หไ ดน ิมติ ๓ อยาง โดยไมต อ งเปล่ยี นอารมณก รรมฐานเลย อารมณ นิมิตท่ปี รากฏ จดั เปนกรรมฐาน ผลทีไ่ ดรับ โดยตรง / ออ ม โดยตรง ๑. โกฏฐาส ๓๒ ( บัญญัติ ) ปฏกิ ลู นิมิต - สมถะ กายคตาสติ ปฐมฌาน โดยออ ม ( พิจารณาโกฏฐาส ๒. โกฏฐาส ๓๒ ( บญั ญตั ิ ) วณั ณนิมติ - สมถะ วัณณกสิน ปญจมฌาน แตม วี ณั ณกสินปรากฏ ) โดยออ ม ๓. โกฏฐาส ๓๒ ( บญั ญัติ ) ธาตุนิมติ - สมถะ จตธุ าตวุ วัตถาน อุปจาร * กายคตาสติ ทใ่ี หไดน ิมิต ๓ จดั ไดเ ปน ๒ นัย วปิ ส สนา ๑. พระโยคบี ุคคลไดใ น \" ธาตนุ มิ ติ \" ( โดยออ ม ) สมถะ ๑. พระโยคบี ุคคลท่ีไดใ น \" ปฏกิ ูลนิมติ \" จดั เปนฝายสมถะ( โดยตรง ) ๒. มกี ารกลาวไวใ นกายานปุ ส สนาสติปฏฐาน ( ขอ ธาตุ ๔ = ๑ บรรพะ ) ๓. ไดเ ขา ถงึ อปุ จารภาวนา หากประสงคเจรญิ วิปส สนาตอ เขาถงึ นามรปู ปรจิ เฉท --> วิปสสนาญาณ --> มรรคผล ๒. พระโยคีบุคคลทีไ่ ดใ น \" วณั ณนมิ ติ \" จดั เปน ฝา ยสมถะ ( โดยออ ม ) ๔. อาศยั เปนผมู บี ญุ บารมใี นการวิปสสนามาในกาลกอน จดั เปน ฝายสมถะเพราะ ถือการได ฌาน
- 60 - * อารมณ และขอจาํ กัดในอนุสสติ ๑๐ อารมณ ขอ จํากัด อนุสสติ ๑๐ - ภายนอก - ตอ งรคู วามหมายของธรรม พุทธคณุ ๙ ธัมมคุณ ๖ สงั ฆคุณ ๙ บท - ภายใน - ตอ งมคี วามบรสิ ุทธิข์ องศลี ๔ ประการ คือ ไมข าด ไมทะลุ ไมดา ง ไมพ รอย ๑. พทุ ธคุณ ๒. ธัมมคุณ ๓. สงั ฆคณุ - ภายใน - ตอ งพรอ มดว ยคณุ ๓ ประการ คือ ธมั มิยลทั ธวัตถุ, เจตนาทงั้ ๓, มุตตจาคี ๔. สลี านสุ สติ - ภายในและภายนอก - ตอ งพรอมดวยธรรม ๒ หมวด คอื สปั ปรุ สิ รัตนะ ๗ สัปปุริสธรรม ๗ โดยยกคุณของเทวดาไวในฐานเปน พยาน ๕. จาคานุสสติ - ภายนอก - ตองเหน็ สภาพรูปนามปรากฏโดย ทุกข โทษ ภยั ---> อยากหนี อยากพน ไปจากรปู นาม ---> เขา ถงึ สันตบิ ถ คอื พระนิพพาน ๖. เทวตานุสสติ - ภายในและภายนอก - ตองคน หาสภาวะแหงชีวิตนิ ทรยิ ุปจเฉทมรณะ อันไดแ ก รปู ชีวติ และนามชีวติ ๗. อุปสมานุสสติ - ภายในและภายนอก - ตองมีการศึกษาธรรม ๒ หมวด คอื อคุ คหโกสัลละ ๗ มนสกิ ารโกสลั ละ ๑๐ ๘. มรณานุสสติ - ภายใน - ลมหายใจยิ่งละเอยี ด การกําหนดย่งิ ยาก เพราะหาจุดกระทบของลมไมเจอ ๙. กายคตาสติ ๑๐. อานาปานัสสติ * ธรรม ๒ หมวดในกายคตาสติ ๒) มนสิการโกสัลละ ๑๐ - ความฉลาดในการพิจารณา ( ปฏิบัติ ) ๑) อคุ คหโกสลั ละ ๗ - ความฉลาดในการศึกษา ( ปริยัติ ) ๑. อนุปุพฺพโต - การพิจารณาไปตามลาํ ดับ (ไมกระโดดขา มหมวด ) - ธรรมท่เี ปน หลักสําคัญ ๑. วจสา - การพิจารณาโดยใชวาจา ๒. นาติสีฆโต - การพิจารณา โดยไมร ีบรอ นนัก ๓. นาติสณกิ โต - การพจิ ารณา โดยไมเฉ่อื ยชา นัก ๒. มนสา - การพิจารณาดวยใจ - ธรรมท่ีเปน สว นประกอบของมนสา ๔. วกิ ฺเขปปฺปฏิพาหนโต - การพิจารณา โดยบงั คบั จติ ไมใหไปที่อื่น ๓. วณฺณโต - การพิจารณาโดยความเปน วรรณะ (สีดํา ขาวหรือแดง) ๔. สณฺานโต - การพิจารณาโดยความเปนรูปรา งสณั ฐาน ๕. ปณณฺ ตฺตสิ มตกิ กฺ มโต ๖. อนุปพุ ฺพมุ จฺ นโต - การพจิ ารณา โดยทิง้ โกฏฐาส ๕. ทิสาโต - การพจิ ารณาโดยที่เกดิ (เกิดอยูสวนบน สวนลางของรางกาย) - การพจิ ารณา โดยกาวลวงบัญญัติ ที่ไมป รากฏโดยสี สัณฐาน ที่เกดิ ท่ตี ั้ง ขอบเขตตามลาํ ดับ ๖. โอกาสโต - การพิจารณาโดยที่ตั้ง (คอื ตัง้ อยใู นรา งกายสวนใด) ๗. ปรจิ เฺ ฉทโต - การพิจารณาโดยกาํ หนดขอบเขต ๗. อปปฺ นาโต - การพิจารณา ในโกฏฐาสอยางใดอยางหนึ่งใหเขา ถึงอปั ปนา ( เชนเสน ผม กาํ หนดเขต โดยผมนนั้ หยั่งลงในศีรษะประมาณเม็ดขา วเปลอื ก และในรูทเ่ี สน ผมหย่ังลงนน้ั ไมมีผม ๒ เสนอยูดว ยกนั กาํ หนดเขตปลายผมน้นั ตโย จ สุตตฺ นฺตา - การพิจารณาในพระสูตร ๓ อยา ง ( กรณยี งั ไมไ ดอปั ปนา ) สุดความยาวของเสนผม ) ๘. อธิจิตตสตู ร ๙. สีติภาวสตู ร ๑๐. โพชฌังคโกสัลลสตู ร
- 61 - * ขนั้ ตอนในการปฏิบตั ิกายคตาสติ A อคุ คหโกสลั ละ ๗ บคุ คล ๓ จาํ พวก ติกขบุคคล > ใชเ วลานอยกวา ๕ เดอื น ๑๕ วัน - ใชเวลาในการพจิ ารณา ๕ เดือน ๑๕ วนั ----> B มัชฌมิ บุคคล > ใชเวลา ๕ เดอื น ๑๕ วัน มนั ทบุคคล > ใชเวลามากกวา ๕ เดือน ๑๕ วัน ๑. วจสา ---> ๒. มนสา วิธีในการพิจารณา วจสา + มนสา มี ๓ ประการ C พระโยคบี ุคคล (ตกิ ข.+มชั ฌมิ .) --> ปรากฏนมิ ิตอยา งใดอยางหนง่ึ ใน ๓ อยา ง ปฏกิ ลู นมิ ิต วัณณนมิ ติ D วธิ ีปฏิบตั ิหลังจากนิมิตปรากฏแลว เครื่องประกอบของมนสา ธาตุนิมติ ๓.วณฺณโต ๔.สณฺ านโต E พระโยคีบุคคล ( มนั ทบคุ คล ) --> ไมมนี ิมติ อยางใดอยางหนงึ่ ปรากฏ - พจิ ารณาเพม่ิ เตมิ ๕.ทสิ าโต ๖.โอกาสโต วณณฺ โต -> ปรจิ ฺเฉทโต สาํ เร็จฌานลาภีบุคคล F ๗.ปรจิ เฺ ฉทโต ไมส ําเร็จ ตอ งไปเจรญิ มนสกิ ารโกสัลละ G อานสิ งส และคาํ ยกยอง A การสาธยายใน วจสา และมนสา ทกุ ๆ บคุ คลไมว า จะเปน ผูทรงพระไตรปฏ ก หรือ พระอรยิ ะ ก็ตอ งสาธยายในวจสา และมนสา ดว ยกนั ท้งั ส้ิน หมวดที่ ๑ ชอ่ื วา ตจปญจกะ = เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ หมวด ๑ = อนโุ ลม ๕ วัน ปฏโิ ลม ๕ วนั อนโุ ลม+ปฏโิ ลม ๕ วนั = ๑๕ วนั หมวดท่ี ๒ ช่ือวา วกั กปญ จกะ = มํสํ นหารุ อฏ อฏ มิ ฺชํ วกฺกํ หมวด ๒ = ๑๕ วัน + หมวด ๑ + ๒ = ๑๕ วัน หมวดที่ ๓ ช่อื วา ปป ผาสปญจกะ = หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปห กํ ปปฺผาสํ หมวด ๓ = ๑๕ วนั + หมวด ๑ + ๒ + ๓ = ๑๕ วนั รวมเปน ๕ เดอื น ๑๕ วนั หมวดที่ ๔ ชื่อวา มตั ถลงุ คปญ จกะ = อนฺตํ อนตฺ คณุ ํ อทุ ริยํ กรีสํ มตถฺ ลงุ คํ หมวด ๔ = ๑๕ วัน + หมวด ๑ + ๒ + ๓ + ๔ = ๑๕ วัน หมวดท่ี ๕ ชื่อวา เมทฉักกะ = ปตตฺ ํ เสมฺหํ ปพุ ฺโพ โลหติ ํ เสโท เมโท หมวด ๕ = ๑๕ วนั + หมวด ๑ + ๒ + ๓ + ๔ + ๕ = ๑๕ วัน หมวดท่ี ๖ ชอื่ วา มตุ ตฉักกะ =อสสฺ ุ วสา เขโฬ สงิ ฆฺ านิกา ลสกิ า มุตตฺ ํ หมวด ๖ = ๑๕ วัน + หมวด ๑ + ๒ + ๓ + ๔ + ๕ + ๖ = ๑๕ วนั B วิธีในการเจรญิ วจสา + มนสา ๑) ใหสาธยายดว ย วาจา + ใจ เพียง ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เปนตน ตน ปลาย (ครบ ๕ เดือน ๑๕ วนั ) ๒) โดยไมต องพิจารณาลงลกึ ใน สี สณั ฐาน ทิศ ท่ตี ้งั ขอบเขต ปฏิกูลนมิ ติ ---> วัณณนิมิต ๓) เพือ่ ปอ งกนั นิมติ ที่ปรากฏในภายหลังกับตอนตน ๆ ไมต รงกนั ( เพ่อื ปองกนั การเขา ใจผิดในตอนเร่มิ และตอนปลายอาจไมต รงกนั ) วณั ณนมิ ิต ---> ปฏกิ ูลนิมติ
- 62 - C บุคคลที่ ๑ พระโยคีบุคคล (ติกข.+มัชฌมิ .) มี ปฏกิ ลู นมิ ิต (โดยตรง) ปรากฏ ( เจรญิ โกฏฐาส ซงึ่ เปนบัญญัติ ปรากฏเปนบญั ญตั ิ ) ( กายคตาสติ เปนการทํางานทางใจอยางเดียว ) (๒) บรกิ รรมนิมติ (๑) อคุ คหนิมติ (เกดิ ทนี่ ี่กอน) ปฏกิ ลู ปฏภิ าคนมิ ิต ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ สติ ทใ่ี น มหากุ.๘ บรกิ รรมภาวนา อปุ จารภาวนา อัปปนาภาวนา (ปฐมฌาน) สูงสดุ ของกายคตาสติ บคุ คลท่ี ๒ พระโยคบี คุ คล (ติกข.+มัชฌมิ .) มี วณั ณนมิ ิต (โดยออ ม) ปรากฏ ( เจริญโกฏฐาส ซึ่งเปนบญั ญัติ ปรากฏเปน บญั ญัติ ) (๒) บริกรรมนิมิต (๑) อุคคหนมิ ติ (เกิดท่ีนก่ี อ น) วัณณปฏิภาคนิมติ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ฌ ฌ สติ ที่ใน มหากุ.๘ บรกิ รรมภาวนา อปุ จารภาวนา * การท่ีมวี ัณณนิมติ ปรากฏ เพราะในโกฏฐาส ๓๒ มสี ตี า งๆ ปรากฏอยดู ว ย และอาศยั บุญบารมใี นกาลกอนท่ีเคยเจรญิ วณั ณกสิน บุคคลท่ี ๓ พระโยคีบคุ คล (ตกิ ข.+มัชฌมิ .) มี ธาตนุ ิมิต (โดยออ ม) ปรากฏ ( เจรญิ โกฏฐาส เริ่มตนเปนบญั ญัติ แตปรากฏเปน ปรมัตถในภายหลงั ) * การเกิดของบัญญัติ ขณะอยใู นขอบเขตของวจสา+มนสา \"เกสา\" = บญั ญตั ิ ไมป รากฏในปฏิกูล/วณั ณนมิ ิต มีแตส ัททบัญญตั +ิ อตั ถบัญญัติ \"เกสา\" ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ขณะน้ันมีอัตวาทปุ าทาน \"ยดึ วา เปน เสน ผม\" นมิ ติ จงึ ยงั ไมปรากฏ มแี ตบัญญตั ิ เกสา ผานมาชวงหนึง่ ปรมตั ถปรากฏ บัญญตั ิหาย ( สาํ หรบั ผทู ่ีมบี ารมี ในการพจิ ารณา ธาตุ ๔ ในกาลกอน ) โกฏฐาส ๓๒ ปรากฏโดยความเปน \"ปถวธี าตุ \" = ธาตนุ ิมติ (อาโป, เตโช, วาโย ) = ธาตุ ๔ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... สติ + ปญญา เกดิ ญาณหยั่งรูในธาตุนมิ ติ (นมิ ติ ที่ถกู สรา งโดยปญ ญา เปนนมิ ติ แท ) เหน็ เสนผมแตกออกเปนผงละเอียด เหมือนปถวธี าตุ (ปรมัตถ) ขณะน้นั สทั ทบัญญตั ิ อัตถบญั ญตั ิ หายไปหมด
D วิธปี ฏิบัติ หลงั นิมิตปรากฏ --> ปฐมฌาน ใหเ พกิ ปฏิกูลนิมิตออกแลว พิจารณาในวัณณนมิ ติ เพ่อื ใหไ ดฌานสงู ข้นึ - 63 - บคุ คลท่ี ๑ ปฏิกลู นมิ ติ ปรากฏ เรียกบคุ คลนว้ี า \" วิปสสนายานิกะ \" บคุ คลท่ี ๒ วณั ณนิมติ ปรากฏ ยกปฐมฌานเปนบาท --> ในการเจรญิ วปิ ส สนา --> มัคค., ผล. เรียก ๒ บุคคลนว้ี า \" สมถยานกิ ะ \" บุคคลที่ ๓ ธาตนุ มิ ิต ปรากฏ --> ปญจมฌาน ใหย กปญ จมฌานเปน บาท --> ในการเจริญวปิ สสนา --> มัคค., ผล. --> อปุ จารภาวนา ( จิตตวสิ ุทธิ ) --> พิจารณาในทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคค.+ ปฏิปทาญาณ ญาณทัสสนวิสุทธิ = มคั ค. - ผล. นามรูปปรจิ เฉทญาณ ปจ จยปริคคหญาณ (วิปส สนาญาณ ๑๐) E พระโยคีบคุ คล ( มนั ทะบคุ คล ) พิจารณาในอคุ คหโกสลั ละ ๕ ขอท่เี หลือ ( น.๑๕๗-๑๕๘) บคุ คลท่ปี ฏบิ ัติ ๕ เดือน ๑๕ วนั แลว ยงั ไมไดจ งึ ตองพิจารณาใน วัณณโต, สัณฐานโต, ทิสาโต, โอกาสโต, ปรจิ เฉทโต ผูสาํ เร็จ ไดเ ปน \" ฌานลาภีบุคคล \" ถาไมสาํ เรจ็ ตองทาํ ขนั้ ตอไป คอื มนสกิ ารโกสัลละ ( F ) F แนะวธิ ีปฏบิ ตั ิในเมอื่ นิมิตทั้ง ๓ อยา งใดอยา งหนง่ึ ไมปรากฏ ใหป ฏิบัติในมนสกิ ารโกสัลละ ๑๐ ขอ ( น. ๑๕๙ - ๑๖๓ ) ๑. อนปุ ุพฺพโต - การพิจารณาไปตามลําดบั (ไมต องทอ งบน ดว ยวาจาแตตองพจิ ารณาโกฏฐาสดว ยใจ โดยสี สณั ฐาน ทีต่ ง้ั ท่ีเกดิ ขอบเขต ใหถูกตรงตามหลกั ) ๒.นาตสิ ฆี โต - ไมเ รง รบี อาจทาํ ใหขาดรายละเอยี ด ๓.นาตสิ ณิกโต - ไมช า ไป ทําใหเ กิดชอ งวา งของเวลา ฟุงซา นได ๔.วิกเฺ ขปปป ฏิภาหนโต - ละความฟงุ ซา นของจิต ๕.ปณณฺ ตฺติสมติกกฺ มโต - พิจารณาโดยกา วลวงบญั ญตั ิ (ทง้ิ บัญญตั ิ / ท้งิ วจสา ) ๖.อนปุ พุ ฺพมฺุจนโต - ทิง้ โกฏฐาสท่ไี มช ดั ในใจ ( มนสา ) ขัน้ สดุ ทา ยตองถอื เอาแตเ พยี งโกฏฐาสเดียว ๗.อปป นาโต - เหลอื โกฏฐาสท่ีปรากฏชดั เพยี งอยา งเดียว ตโย จ สุตตฺ นตฺ า - การพิจารณาในพระสูตร ๓ อยา ง ( กรณยี ังไมไ ดอ ัปปนา ) ๘. อธจิ ิตตสูตร ๙. สตี ภิ าวสตู ร - การนอมจิตใหเ ขา ถงึ พระนิพพาน ๑๐. โพชฌงั คโกสัลลสตู ร สมาธินมิ ติ ปค คหนมิ ิต อเุ บกขานิมติ (จติ ใจสงบ) (ความพยายาม) (ความวางเฉย) ๑. ขมจติ ใจ ในสมัยท่ีควรขม ๔. พกั ผอ นจติ ในสมัยทค่ี วรพักผอ น (พจิ ารณาใหม ีสติ ทง้ั ปลอบ+ปราบ) ควรทําใหเสมอกัน ๒. ประคองจิตในสมัยท่คี วรประคอง ๕. มจี ิตใจ นอ มไปในมรรค ผล งวง, ทอ, ไมม คี วามเพยี ร เพยี รมากจนฟงุ ซาน ( สมาธิ มาก โกสัชชะ, ปคคห มาก ฟงุ ซาน, อุเบกขา มาก ขาดวิรยิ ะ ) ๓. ปลอบจติ ในสมัยทีค่ วรปลอบ ๖. มคี วามยินดีในพระนิพพาน - อบรมธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค - อบรมปส สัทธิสมั โพชฌงค - วิริยสัมโพชฌงค - สมาธสิ มั โพชฌงค - ปตสิ มั โพชฌงค - อเุ บกขาสัมโพชฌงค
- 64 - * อานสิ งส และการสรรเสรญิ ในการเจริญกายคตาสติ ( น. ๑๖๔ - ๑๖๕ ) ๑) ภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า ที่ไดสําเร็จเปน พระอรหนั ต โดยอาศยั การเจริญกายคตาสติกรรมฐานน้ี มีมากมาย ๒) บคุ คลใด เทวดา มนุษยก ต็ าม เม่อื ไดป ฏิบัติกายคตาสติกรรมฐาน บุคคลน้ันไดชอ่ื วา ภิกษุ ๓) พระพทุ ธองคทรงสรรเสรญิ วา * ดกู รภกิ ษทุ ้ังหลาย ธรรมอยา งหนง่ึ เม่ือภิกษไุ ดเจรญิ แลว และเจริญติดตอกนั ใหเพ่มิ พนู ทวีมากยงิ่ ขึน้ อยเู ร่อื ยๆ ไปแลว - ยอมเปน ไปเพอื่ ความสังเวชสลดใจอยางใหญหลวงในกาย - ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนใหญใ นปจ จุบันภพนี้ - ยอ มเปนไปเพือ่ ความโปรงใจอยา งใหญหลวงจากโยคะ - ยอ มเปนไปเพื่อมสี ติสมั ปชัญญะอยา งแรงกลา - ยอ มเปนไปเพอื่ ความเห็นในกายเปน อนจิ จะ ทุกขะ อนัตตะ อสภุ ะ - ยอ มเปนไปเพ่อื ความอยูเยน็ เปนสขุ ในภพน้ีทันตาเหน็ - ยอ มเปน ไปเพ่ือทาํ ใหแจงซ่งึ วชิ ชา ๓ พระนพิ พาน และผลสมาบัติ ธรรมอยางหนึง่ คอื อะไร คอื กายคตาสตนิ เ้ี อง * ดกู รภิกษทุ งั้ หลาย บคุ คลเหลาใดประพฤติปฏิบัติกายคตาสติ บคุ คลเหลา น้นั ยอ มไดเ สวยอมตรส คอื พระนิพพาน บคุ คลเหลาใดมไิ ดประพฤติปฏบิ ัติกายคตาสติ บุคคลเหลานน้ั ยอ มไมไดเ สวยอมตรส คอื พระนพิ พาน * ดูกรภิกษุทั้งหลาย บคุ คลเหลา ใดพยายามปฏบิ ัติกายคตาสติจนสําเรจ็ บุคคลเหลาน้ัน ยอ มไดเ สวยอมตรส คอื พระนิพพาน ไมเ สือ่ มจากพระนพิ พาน ไมผดิ ทางพระนิพพาน บคุ คลเหลา ใดไมพยายามปฏิบัติกายคตาสตใิ หส ําเร็จ บคุ คลเหลา น้ันยอ มไมไ ดเ สวยอมตรส คอื พระนพิ พาน เสอ่ื มจากพระนพิ พาน ผิดทางพระนพิ พาน ดงั นี้ * กายคตาสติ นี้ พระพทุ ธองค และทานอรรถกถาจารย ยกยอ งมิไดมงุ หมายเพียง โกฏฐาส ๓๒ แมอสุภ ๑๐ อานาปานัสสติ การกาํ หนดอริ ยิ าบถใหญน อ ยก็ดี พจิ ารณาธาตทุ ั้ง ๔ ก็ดี ลว นจดั เขา เปนกายคตาสติทั้งส้นิ แต กายคตาสติในอนุสสติ ๑๐ น้ี มงุ หมายเฉพาะแต โกฏฐาส ๓๒ เทาน้ัน
- 65 - 5 อานาปานสั สติ ( น.๕, ๑๖๕ - ๑๗๘ ) หมายความวา การระลกึ อยใู นลมหายใจเขาออก ชอื่ วา อานาปานัสสติ องคธ รรม ไดแก สตเิ จตสิก ทใ่ี นมหากุศลจิต ๘ ทมี่ ลี มหายใจเขา ออกเปน อารมณ * อานาปานัสสติ เปนอนุสสตสิ ดุ ทา ยใน อนุสสติ ๑๐ อนสุ สติ ๑-๘ -> ปรมัตถ -> อปุ จาร (สภาวะ) ธรรมกวา งขวาง สติ (สมาธิ ) + ปญ ญา ธรรมสขุ มุ ลุม ลกึ -> ตองใชอารมณเฉพาะภายในบางภายนอกบาง - พทุ ธานุสสติ ใชอ ารมณภ ายนอก - สีลานสุ สติ ใชอ ารมณคือ ศลี โดยเฉพาะของตน - มรณานุสสติ ตอ งเขาถงึ รปู ชีวิต นามชวี ติ อนุสสติ ๙ -> กายคตาสติ เปนกรรมฐานเดยี วใน ๔๐ ทเี่ ขาถึง ๓ นิมติ ปฏกิ ูลนิมติ - จัดโดยความเปนไปใน สมถะนยั วณั ณนมิ ิต - จดั โดยความเปนไปใน วิปส สนานัย ธาตนุ ิมติ -> กายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน (กายในกาย) มี ๑๔ บรรพะ - อานาปานสั สติ = ๑ บรรพะ - โกฏฐาส ๓๒ = ๑ บรรพะ <-- ขอ จํากัดคอื ตอ งศึกษารวม ๒ หมวด คือ ๑. อคุ คหโกสัลละ - อิรยิ าบถ ๔ = ๑ บรรพะ - ธาตุ ๔ = ๑ บรรพะ ๒. มนสิการโกสัลละ - สัมปชญั ญะ (อริ ยิ าบถยอ ย) = ๑ บรรพะ - อสภุ ะ = ๙ บรรพะ * อานาปานัสสติ วาโดยนยั แหง สมถะ (มุงหมายใหเ ขาถงึ ฌาน ) * อานาปานัสสติ วาโดยนัยแหง วปิ ส สนา (มงุ หมายในสติปฏ ฐาน ๔ ) ๑) เขา ถึงปญจมฌานได ๒) อารมณเ ปน \" บัญญติ \" --> มีนมิ ติ ปรากฏ ๑) พจิ ารณาลมหายใจเขาออก --> กายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๑๔ บรรพะ ๓) มี ๓ ภาวนา คอื บริกรรมภาวนา, อปุ จารภาวนา, อัปปนาภาวนา ๔) มี ๓ นิมิต คอื บรกิ รรมนมิ ิต, อุคคหนิมิต, ปฏิภาคนิมิต ( กายสังขาร มลี มหายใจเปน ผปู รงุ แตง ) ๕) เหมาะกับโมหจริต + วิตกจริต เพือ่ ความสุขในปจ จบุ นั เทา น้ัน ๖) เมือ่ วาโดยภมู ิ ปฏิบตั ไิ ดใ น มนุษย + เทวดา เทานน้ั (มไิ ดมงุ หมายการเขา ถึง ฌาน ) ๒) เกิดปติ + สขุ เวทนา --> เวทนานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๙ บรรพะ ๓) เกิดโลภะ + โทสะ + ใมหะ --> จติ ตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๑๖ บรรพะ ๔) เมือ่ พิจารณาการเขา ถึง รูป + นาม --> ธัมมานปุ ส สนาสติปฏฐาน มี ๕ บรรพะ * ในอนสุ สตนิ ี้ อานาปานัสสติ มงุ หมายในขอ ๑ คือ พิจารณาลมหายใจเขา ออก
- 66 - * อานาปานสั สติ มวี จนตั ถะดังนี้ อาน + ปาน ( ลมเขา + ลมออก ) อานาปานัสสติ มีการแสดง ๒ สวน \"อานจฺ ปานจฺ = อานาปานํ \" ลมเขา ขางในและลมออกขา งนอก ช่อื วา อานาปานะ พระสูตร พระวินยั และพระอภิธรรม - ถอื การเกดิ ขนึ้ ตามลาํ ดบั ของลมหายใจเขาออก - ถือการเกดิ ขึ้นตามลาํ ดับของลมหายใจเขา ออก \"อานาปาเน ปวตตฺ า สติ = อานาปานสสฺ ติ \" ของบคุ คลทว่ั ไป คอื มีลมหายใจเขากอ น ในขณะแรกเกดิ ของทารก คอื มลี มหายใจออกกอ น ฉะนน้ั อาน = ลมเขา, ปาน = ลมออก แลว จึงหายใจเขา ฉะนน้ั อาน = ลมออก, ปาน = ลมเขา สติท่ีเกิดขึน้ โดยมกี ารระลกึ อยูในลมหายใจเขา ออก ชื่อวา อานาปานสั สติ * วิธีการเจรญิ อานาปานัสสติ มีพระบาลี ๕ ขอ และนัยท้ัง ๔ ช้ีแนวทางสาํ หรบั การเจริญอานาปานัสสติ ( น. ๑๖๗ ) ๑) โส สโต ว อสฺสสติ สโต ว ปสฺสสติ ผูป ฏิบตั ินง่ั คูบลั ลังก ต้ังกายตรง ดํารงสตเิ ฉพาะหนาอารมณกรรมฐาน ถือเปนหลักสาํ คญั ณ สถานที่เงียบสงดั ยอ มตั้งสติ ทําความรูส ึกตวั แลวจึงหายใจเขา และหายใจออก ในการปฏบิ ัติ ๒) ทฆี ํ วา อสฺสสนโฺ ต ทฆี ํ อสฺสสามตี ิ ปชานาต,ิ เม่อื หายใจเขา ยาว และหายใจออกยาว กร็ วู าหายใจเขายาว และหายใจออกยาว ทีฆํ วา ปสสฺ สนฺโต ทีฆํ ปสฺสสามตี ิ ปชานาติ ๓) รสสฺ ํ วา อสฺสสนโฺ ต รสฺสํ อสสฺ สามตี ิ ปชานาต,ิ เม่ือหายใจเขาสั้น และหายใจออกส้ัน ก็รูว า หายใจเขาสนั้ และหายใจออกสน้ั ตองเปนไปตามนัยท้งั ๔ ( น.๑๖๘) รสสฺ ํ วา ปสฺสสนโฺ ต รสสฺ ํ ปสสฺ สามีติ ปชานาติ ๑) คณนานยั (การนับ) ๓) ผุสนานยั ๒) อนพุ ันธนานัย (ตามรู) (รกู ารกระทบ) ๔) สพฺพกาย ปฏิสเํ วที อสสฺ สิสสฺ ามตี ิ สกิ ฺขต,ิ ยอมสาํ เนยี กวา เราจะหายใจเขา และหายใจออก ก็ตอ งรูโดยแจง ชดั เพ่มิ เติมเพอื่ ใหการปฏิบตั ิ สพฺพกาย ปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกขฺ ติ ตน ลม กลางลม ปลายลม มสี มาธแิ กก ลา ๔) ฐปนานัย (ตง้ั มัน่ ) ๕) ปสฺสมฺภยํ กายสงขฺ ารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขต,ิ ยอ มสาํ เนยี กวา เราจะทาํ ลมเขาและลมออก ทห่ี ยาบใหละเอียด ปสสฺ มฺภยํ กายสงขฺ ารํ ปสสฺ สสิ ฺสามีติ สิกขฺ ติ แลว จงึ หายใจเขา และหายใจออก
- 67 - * พระบาลีท่ี ๑ ผูป ฏบิ ตั ินงั่ คบู ัลลงั ก ต้ังกายตรง ดํารงสตเิ ฉพาะหนาอารมณก รรมฐาน * พระบาลที ี่ ๒ เมื่อหายใจเขายาว และหายใจออกยาว ก็รูว า หายใจเขายาว และหายใจออกยาว ณ สถานทเี่ งียบสงดั ยอมต้ังสติ ทาํ ความรูส ึกตวั แลวจงึ หายใจเขา และหายใจออก * พระบาลีที่ ๓ เมื่อหายใจเขา ส้ัน และหายใจออกส้ัน ก็รูว าหายใจเขาสัน้ และหายใจออกส้ัน - รูตรงจุดกระทบลมหายใจเขานาน = ยาว, ถา ไมน าน = สั้น ( ไมใชบงั คับใหยาวใหส ั้น ) ๑) ผปู ฏบิ ตั ินงั่ คบู ลั ลังก - นงั่ ในอาการสบาย แตทา ท่ใี หผ ลดที สี่ ุดคอื นง่ั ขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซาย มือขวาทับมอื ซาย วางอยูหนาทอ ง ( ไมใชว างอยูบนขา ) * พระบาลีท่ี ๔ ยอ มสาํ เนยี กวา เราจะหายใจเขา และหายใจออก ก็ตอ งรโู ดยแจง ชดั ตนลม กลางลม ปลายลม - สิกขติ --> \" สําเหนยี ก \" = \"ขอ สังเกต\" ( มีการแสดงไวในวิปส สนากรรมฐาน ) ๒) ตงั้ กายตรง - กระดูกสันหลงั ตัง้ ตรงทง้ั ๑๘ ขอ - เพอ่ื ไมใ หต กไปจาก \" ปจจบุ นั อารมณ \" ๑. ตอ งเปน อารมณท ่ปี รากฏเฉพาะหนา ในทีน่ ้ี คือ ลมหายใจเขา ออก ๓) ดาํ รงสติเฉพาะหนาอารมณก รรมฐาน - อารมณกรรมฐาน คอื ลมหายใจเขา ออก ทเ่ี ปนอารมณข องสติ ๒. ตองเปนอารมณป กติ หรือเปนไปตามธรรมชาติ ไมใชก ระทําใหเกิดขึน้ มีสตริ ูจ ดุ กระทบของลมหายใจวา อยบู ริเวณไหน ๓. ตอ งทาํ ลายอภิชฌาและโทมนัส ประโยชนท ่ีไดร ับ คอื ๑. อารมณต งั้ ม่นั ดี ๔. ตองเปนไปตามสติปฏ ฐาน ๔ * ถา สกิ ขติ หาย --> อารมณปจ จุบันกห็ ายไปดว ย ๒. สติระลกึ ในอารมณท ต่ี ั้งม่นั กจ็ ะดีดว ย ๔) ณ สถานท่เี งยี บสงัด - อยูปา โคนไมห รือเรือนวาง * พระบาลีท่ี ๕ ยอมสาํ เนยี กวา เราจะทาํ ลมเขา และลมออก ทีห่ ยาบใหละเอียด แลว จงึ หายใจเขา และหายใจออก - เสพสัปปายะ ๗ อยาง - ลมหายใจละเอียด ตองมี สติ + ปญญา + อาตาป - เสยี งเปนขาศึกแหง ฌาน ( สมถะใช ๓ ทวาร ตา+กาย+ใจ ) สมถะ วปิ ส สนา - ผูปฏบิ ัตใิ หมตองใชสถานทเ่ี งยี บสงัดเปน ปจ จยั - ผป ฏิบตั บิ างทา น > ไดล มหายใจละเอยี ด แต สติ + ปญ ญา + อาตาป หาย > จึงทําใหเกดิ ความรูส กึ ตวั ใหม ดว ยการหายใจแรงๆ เพือ่ ใหเกดิ สติ ๕) ยอมตงั้ สติ ทําความรสู ึกตวั - ยอ มตง้ั สตทิ าํ ความรสู กึ ตัว > สมถะ = สติ + สมาธิ เพื่อใหไ ดนมิ ติ อยางนถี้ ือวาปฏิบัติผิด เพราะ ความรสู กึ ตัวเกดิ ข้ึนจากการกระทําไมธรรมชาติ > วิปสสนา = สติ + สมั ปชัญญะ (ปญญา) รวมเรียกวา - วธิ ีปฏบิ ัติทีถ่ ูกตอ ง > ใหเ อาสติต้งั มน่ั ทีจ่ ุดกระทบใหม ลมจะหยาบข้นึ แตม ีสติ อาตาป (ตอ งมีความเพยี ร) \"โยคาวจร\" ลมจะละเอียดขน้ึ เม่อื สติตั้งม่ันอยทู ี่จดุ กระทบ --> นมิ ิตจะเกิดจากตรงจดุ กระทบ เพื่อใหเ ห็นสันตติขาด ในกองลมหายใจ * อยา กลัน้ ลมหายใจเพ่ือใหละเอยี ด เพราะจะไดล มละเอยี ดแตส ตหิ าย * อยา ลมหายใจแรงๆ เพอื่ ใหเ กดิ สติ เพราะจะไดลมหยาย แตมีสติ
* นัยทั้ง ๔ ( น. ๑๖๙ ) - 68 - ๑) คณนานัย ( พระบาลี ขอ ๒ + ๓ ) การนบั ลมหายใจเขาออกเปนหมวดๆ มี ๖ หมวด ต้ังแต ปญ จกะ จนถงึ ทสกะ ๓) ผุสนานัย ( พระบาลี ขอ ๔ ) เปน อบุ ายตรงึ จิตใหแ นบแนน มี ๒ นัย อยใู นข้ันตอนของการกระทบเทานั้น โดยมสี ตติ ง้ั ม่นั อยา งดี ๑. ธฺ มามกคณนานยั (นับชา) มี ๖ หมวด ถา นับตาํ่ กวา ๕ จิตจะอดึ อดั เมื่อนั้น อุคคหนิมติ ปรากฏ ณ จดุ กระทบ ภาพจะแกวง ตามลมเขา ออก ( มีนมิ ติ ไดทง้ั ๓ อยาง ) ถานับมากกวา ๑๐ จติ จะฟงุ ซาน ๒. โคปาลกคณนานัย (นับเรว็ ๆ) เกิดจากการนบั ( ธฺ มามกคณนานยั ) ทมี่ สี ติต้ังมั่นดี พระบาลี ขอ ๕ > ลมหายใจตอ งละเอยี ด และสตติ อ งตั้งมัน่ ไมผดิ หมวดและตัวเลข จึงทาํ ใหก ารนบั เรว็ ขึ้น ๔) ฐปนานยั ** ตวั อยางการนบั ลมหายใจเขา ออกในใจ ( ตรวจสอบ โดยตัวเลข และหมวด ) หมวด ๖ เมือ่ อคุ คหนิมิต ปรากฏ ผูปฏิบัติตองรักษาสติใหตง้ั มัน่ โดยทงิ้ จุดกระทบ หมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ ไปอยูกบั ปฏภิ าคนิมติ ( อยใู นขั้น อุปจารภาวนา ) เพ่อื ใหฌ านเกดิ โดยการ เขา ออก เสพสัปปายะ ๗ และเจรญิ อปั ปนาโกศล ๑๐ เขา ออก เขา ออก เขา ออก เขา ออก เขา ออก ๑ ๑๒ ๑ ๑๑๒๑๒ ๓๔๒๓๒๓๓๔๓๔ ๒๓ ๕ ๔๕๔๕๕๖๕๖ ๔๕ ๖๗ ๖ ๖๗๗๘๗๘ ๘๙ ๙ ๑๐ ๒) อนพุ ันธนานัย ( พระบาลี ขอ ๔ ) การกําหนดรูลมทุกๆ ขณะไมพ ล้งั เผลอในทกุ ๆ ระยะท่ีหายใจเขา ออก เกดิ จากการนับทีถ่ กู ตอ ง และมสี ติตงั้ มน่ั ดี เมอื่ นนั้ ทงิ้ การนับมสี ตอิ ยูทีก่ ารกระทบ
- 69 - * การเจริญอานาปานัสสติ ตามแนวสมถะ ๑) พระบาลขี อ ๑ ผูปฏบิ ัตนิ ่ังคูบ ลั ลงั ก ต้ังกายตรง ดํารงสติเฉพาะหนา อารมณกรรมฐาน ณ สถานท่เี งยี บสงัด ยอ มตั้งสติ ทําความรูส ึกตัว แลวจึงหายใจเขา และหายใจออก ๒) พระบาลขี อ ๒, ๓, ๔ ตอ งดาํ เนนิ ตามนัยทง้ั ๓ คอื คณนานยั + อนุพันธนานัย + ผสุ นานยั - เบ้ืองตนยงั ไมมีภาพใดๆ อาศยั การนบั ทั้ง ๖ หมวด ไปอยางชา ๆ เปน ธฺ มามกคณนานัย ตรวจสอบดวยตัวเลข ตรวจสอบดว ยหมวด - การนับจะเรว็ ขึน้ เนอ่ื งจากมขี อผิดพลาดนอยลง เขาถึง โคปาลกคณนานยั - เมอ่ื นบั เรว็ ขึ้นและมีสติตัง้ ม่ันดีแลว --> ใหท ิ้งการนบั --> ไปอยทู กี่ ารกระทบเพียงอยา งเดยี ว - เมอื่ นั้นอคุ คหนิมติ ปรากฏ เปน ภาพแกวง ตามลมหายใจเขาออก ภาพที่ปรากฏมีลักษณะตา งๆ เชน ไอนาํ้ , เมฆหมอก, ไมค้ํา, ใยแมงมุม ภาพท่ปี รากฏของแตละบุคคล ไมเหมอื นกันเพราะ เกดิ จากสัญญาแตละบุคคลไมเหมอื นกัน ๓) ตามพระบาลีขอ ๔ ทีอ่ ยใู นข้ันตอนของ อนุพันธนานยั + ผสุ นานัย --> เพื่อใหเขา ถึงพระบาลีขอ ๕ คอื ในข้ันตอนของ ฐปนานัย เมอ่ื ปรากฏเปนอุคคหนมิ ติ แลว พระโยคีบคุ คลพงึ กระทาํ ลมทห่ี ยาบใหล ะเอยี ด พรอ มทง้ั มสี ติตัง้ มน่ั ที่ \" จุดกระทบ \" --> จนกระท่ังปรากฏเปนภาพใส เหมือนกบั พระอาทิตย หรอื พระจันทร หรือแกว มกุ ดา เขา ขอบเขตแหง ปฏิภาคนิมิต ขอหา ม ๑. หามทําลมหายใจทห่ี ยาบใหละเอียด โดยการกลั้นลม ๒. หามทําความรสู ึกตวั ( เรยี กสติ ) ดว ยการหายใจแรงๆ - เกดิ จากการกระทําของผปู ฏบิ ัติ ( ไมใชเปน ไปโดยธรรมชาติ ) ขอปฏิบัติ - ใหต ้งั สตไิ วท่ีจุดกระทบ ณ โครงจมูก หรอื ที่ริมฝป าก เม่อื นน้ั ความรสู กึ (สติ) จะกลบั มา - ถาฌานยงั ไมเ กิด ก็ใหท ําขัน้ ตอน เสพสัปปายะ ๗ และเจริญอปั ปนาโกศล ๑๐ เชนเดียวกบั การทํากสณิ * ประโยชนท่ไี ดร ับจากทงั้ ๔ นยั ระงับความฟงุ ซาน (ทาํ ใหอยกู ับปจจบุ ันอารมณไ ดดี) ระงับวิจกิ ิจฉา ระงบั วติ ก ทําใหการเจริญอานาปา.ตง้ั อยไู ดนาน เหตใุ หเ กดิ ความตั้งมั่น ๔) ฐปนานัย < -- เปนจุดเลอื กวาจะไปสมถะ หรอื วปิ ส สนา ๑) คณนานยั ธฺ มามกคณนานยั (นับชา ๆ ) ๒) อนุพันธนานัย ----------> ๓) ผุสนานัย ----------> โคปาลกคณนานัย (นบั เรว็ ๆ ) ---------> มีการนบั ตวั เลข ๖ หมวด ตามรลู มทกุ ๆ คร้งั กําหนดรูก ารกระทบ ใหเ กดิ ปต ิ และสขุ ไมพล้ังเผลอ ท้งิ การนับไดแ ลว สญั ญาต้งั มน่ั ดี
- 70 - * ขณะทพ่ี ึงปฏบิ ัติใหมๆ นมิ ิตเกดิ ตรงไหน (พระบาลี ๒ - ๔) ผสุ นานัย พระบาลี ๕ ๑.สมถะ = ม.กุ.๘ คณนานยั + อนุพนั ธนานยั + ผุสนานัย ภาพไหวดวยใจ * ฐปนานัย -> เปน จดุ เลือกวา จะไปแนวไหน ๒. วปิ ส สนา = ม.ก.ุ สํ..๔ เหน็ สภาพรูปนาม ตงั้ นิ่งเปนภาพใส มีการกระทบดว ยกาย (ฌานยังไมเกิด) (ยังไมมีภาพใดๆ ) บรกิ รรมนิมิต ----> อคุ คหนิมติ ----> ปฏิภาคนมิ ิต ----> ฌานเกดิ ** พระโยคีบุคคล จะพจิ ารณาวปิ ส สนาไดน นั้ ตองยก ปฐมฌานกศุ ล เปนบาทในการเจริญวปิ สสนา บริกรรมภาวนา ( อธ. สติ --> ม.กุ.๘) อุปจารภาวนา ( อธ. สติ --> ม.กุ.๘) อัปปนาภาวนา ยกปฏิภาคนมิ ติ เปนบาทไมไดเ พราะ ปฏิภาคนิมติ เปน บัญญัตไิ มใ ชป รมัตถ ( สติ -> ปฐมฌานกุศล) จะยกจิตตวิสทุ ธเิ ปน บาทก็ไมไ ดเ พราะท้งั อุปจาร.+อัปปนา.นนั้ มีสมาธิแรง จิตตวิสทุ ธิ ปญ ญาจะไมเกดิ * การยกฌานเปนบาทในการเจรญิ วปิ ส สนา ( น. ๑๖๙ ) (๔) ปฏิปสสฺ นา การเกิดขนึ้ แหงปจ จเวกขณญาณ คอื พจิ ารณามรรค ผล นพิ พาน กเิ ลส <--- ปจจเวกขณญาณ การพนทุกข หลังสาํ เรจ็ เปนอริยบุคคลแลว อริยมรรค มีองค ๘ สมถะยานกิ ะ (๓) ปารสิ ทุ ธิ การเกิดข้นึ แหง ผลจติ สาํ เร็จเปนผลบคุ คล <--- ผลญาณ โพชฌงค ๗ (๒) วิวฏฏนา การเกิดขึ้นแหง มรรคจิตเนือ่ งจากสัลลกั ขณา + ประหาณกิเลส <--- มคั คญาณ พละ ๕ สําเร็จเปน มรรคบุคคล โคตรภูญาณ อินทรีย ๕ (๑) สลลฺ กฺขณา มีการพิจารณารูปนาม โดยความเปนอนจิ จัง ทกุ ขัง อนัตตา <--- วิปส สนาญาณ ๑๐ อทิ ธบิ าท ๔ วปิ สสนาภูมิ ๖ ปจ จยปริคคหญาณ สมั มปั ปธาน ๔ โพธิปกขยิ ธรรม ๗ อาศยั <---- ทิฏฐวิ ิสุทธิ <--------------------------------------------- นามรูปปรจิ เฉทญาณ ---------------> ตอ งมสี ตปิ ฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ (ไดจติ ตวิสทุ ธมิ ากอน ขมนวิ รณไ ดตัง้ แตต น) ยก \" ปฐมฌานกศุ ล \" เปนบาท ( กาย. เวทนา. จิต. ธรรม. ) โดยอาศัยการขมนิวรณไ ด พิจารณาใน กาย. เวทนา. จติ . ธรรม ไดห ลงั จากไดฌานแลว และยกฌานเปนบาท ไดตั้งแต ฐปนานยั
* การยกอานาปานัสสติ ในการเจรญิ \" วปิ สสนา \" - 71 - พระโยคีบุคคลเมื่อไดใน ฐปนานยั --> อุปจารภาวนา --> ปฏภิ าคนิมิตเกดิ แลว * เบือ้ งแรก พึงทราบวธิ ปี ฏิบตั ติ ามแนวพุทธพจน ๑๖ ขอ ( ยกตามพระวนิ ยั และพระอภธิ รรม ) หากดํารทิ จ่ี ะมนสิการ อานาปานัสสตโิ ดยวิปสสนา พงึ รใู นกองลมหายใจเขา ออก โดยรปู +นาม \" ภกิ ษทุ ้ังหลาย อานาปานสติ เจริญอยา งไร ทําใหมากอยา งไร จึงจะมผี ลมาก มอี านสิ งสมาก ? * ลมหายใจเกดิ จาก * ลมหายใจ --> จิตตชรูป --> จติ ตชวาโยธาตุ สุทธัฏฐกกลาป ๑) ภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ กองรูป + กองนาม เกิดจาก สทั ทนวกกลาป ก. ไปสปู า กด็ ี ไปสโู คนไมก็ดี ไปสเู รือนวา งก็ดี ข. น่งั คบู ัลลังก ตั้งกายตรง ดํารงสตไิ วเ ฉพาะหนา (= เอาสติมุงตอกรรมฐาน คือ ลมหายใจ ) ค. เธอมีสติหายใจออก มีสตหิ ายใจเขา กามจติ ๔๔ (เวน ทว.ิ ๑๐) = มโนธาตุ + มโนวิญญาณธาตุ ๒) หมวดส่ที ี่ ๑ ใชบ ําเพ็ญ \" กายานุปสสนาสติปฏฐาน \" ได ( เกดิ จาก หทยวัตถุ ) ๑. เมอ่ื หายใจออกยาว กร็ ชู ดั วาหายใจออกยาว เมอื่ หายใจเขา ยาว ก็รชู ดั วาหายใจเขา ยาว ๒. เมอ่ื หายใจออกสัน้ กร็ ชู ัดวา หายใจออกสัน้ เม่อื หายใจเขาส้นั ก็รชู ดั วาหายใจเขา ส้ัน กายปสาท --> รบั การกระทบของลมหายใจ ๓. สาํ เหนียกวา จักเปนผรู ูตลอดกายทัง้ หมด หายใจออก สาํ เหนียกวา จักเปนผรู ูตลอดกายทง้ั หมด หายใจเขา ( กายวญิ ญาณธาตุ ) ๔. \" จักเปนผรู ะงับกายสงั ขาร \" \" จักเปน ผรู ะงบั กายสงั ขาร \" หมวดส่ีที่ ๒ ใชบ าํ เพ็ญ \" เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน \" ได * หายใจเขาออก เกดิ จากปจจัย * กายปสาท เกดิ จาก อวิชชา + สงั ขาร + กัมม ๕. สําเหนยี กวา จกั เปน ผรู ชู ัดปติ หายใจออก สําเหนยี กวา จกั เปนผูรชู ดั ปต ิ หายใจเขา * หทยวตั ถุ * กายวิญญาณธาตุ \"\" \" ๖. \" จักเปนผรู ูชัดซ่ึงสขุ \" \" จักเปนผูรูชดั ซง่ึ สขุ \" * มโนธาตุ + มโนวญิ ญาณธาตุ เกิดจาก กายปสาท ๗. \" จกั เปนผูร ูชดั ซงึ่ จติ ตสงั ขาร \" \" จกั เปนผูรูชัดซง่ึ จิตตสังขาร \" เกดิ จาก หทยวัตถุ ๘. \" จักเปนผูร ะงับจิตตสงั ขาร \" \" จักเปนระงับจติ ตสงั ขาร \" หมวดสที่ ่ี ๓ ใชบ ําเพ็ญ \" จิตตานปุ ส สนาสติปฏฐาน \" ได สตริ ะลกึ รใู นกองลมเขา ออก ๙. สําเหนียกวา จักเปนผรู ชู ัดซึ่งจิต หายใจออก สําเหนียกวา จกั เปน ผูรชู ัดซึ่งจติ หายใจเขา ๑๐. \" จกั ยังจติ ใหบ นั เทิง \" \" จักยงั จิตใหบนั เทงิ \" * อานาปานสั สติ ครบกระบวนการในการพจิ ารณา เรียกไดวา \" โสฬสวตั ถกุ ะ \" ๑๑. \" จักตั้งจิตมั่น \" \" จกั ตั้งจติ ม่ัน \" จตกุ ๔ หมวด ๑) กายานปุ สสนา > เปน หมวดแรกแหง การปฏิบตั ิ ๑๒. \" จักเปลือ้ งจติ \" \" จักเปล้ืองจติ \" ฝา ยสมถะ + วปิ ส สนา ๒) เวทนานปุ ส สนา หมวดส่ีท่ี ๔ ใชบ าํ เพ็ญ \" ธมั มานปุ ส สนาสติปฏฐาน \" ได ๓) จติ ตานปุ ส สนา ปฏิบัติหลงั จากไดฌ านแลว ๑๓. สาํ เหนียกวา จักพจิ ารณาเหน็ วาไมเ ที่ยง หายใจออก สําเหนยี กวา จักพิจารณาเหน็ วา ไมเที่ยง หายใจเขา ฝายวปิ สสนาเทาน้นั ๔) ธมั มานปุ ส สนา ๑๔. \" จกั พิจารณาเห็นความคลายออกได \" \" จกั พิจารณาเหน็ ความคลายออกได \" ๑๕. \" จกั พิจารณาเห็นความดบั ไป \" \" จกั พิจารณาเห็นความดับไป \" ๑๖. \" จกั พิจารณาเห็นความสลัดเสยี ได \" \" จกั พจิ ารณาเห็นความสลดั เสยี ได \"
- 72 - * ขยายความเฉพาะ หมวดสีท่ ่ี ๑ ใชบําเพญ็ \" กายานุปส สนาสติปฏ ฐาน \" ได ขอ ๑ + ๒ ลมกระทบนาน = ยาว คณนานยั + อนพุ ันธนานยั + ผุสนานยั ขอ ๔ เปน ผรู ใู นการระงบั กายสงั ขาร ( = ฐปนานัย ) ลมกระทบไมน าน = ส้ัน ลมหายใจ (เปน ผูป รุงแตง ) --> กายสงั ขาร ขอ ๓ รแู จงชดั ในกายสังขาร ( กายท้งั หมด ) แลว หายใจ ลมหยาบ --> จติ ทหี่ ยาบ --> กายสังขารหยาบ ๑. รไู มห ลงลืม ( = สมถะ ) ข้ันตอนของ อนพุ ันธนานัย (ละวติ ก) + ผุสนานัย (ละฟงุ ) ลมก็ละเอยี ดข้ึน <-- เมอ่ื จติ ละเอียดขน้ึ --> กายสังขารกส็ งบระงับดว ย + ฐปนานยั (ตง้ั มัน่ ไมหลงลมื ) เพื่อกาํ หนดรูอ ยู ณ จุดกระทบพรอ มทง้ั ปติ + สุข เกดิ ข้นึ ๒.รูโ ดยความเปนอารมณ ( = วปิ ส สนา ) พจิ ารณากองรปู กองนาม (วา โดยอภิธรรม - อวชิ ชา เปน ผูป รงุ แตง สังขาร วา โดยพระสูตร - ลมหายใจ เปน ผปู รุงแตงกายสงั ขาร ) (๑) ลมหายใจ เปน จิตตชรูป --> รูปทีเ่ กดิ จากจติ (๒) มีการกระทบดว ยกายปสาท --> โดยมีกายวญิ ญาณ เปนผูรับรกู ารกระทบ * ๑๒ ขอหลังเปนการดําเนินงานของผูไดฌาน เม่ือเราไมไ ด ฌาน จะเปน เร่อื งยากมาก จงึ ไมแสดง (๓) มีมโนธาตุ + มโนวิญญาณธาตุ รูกองลมที่เปนรปู นาม โดยมสี ติ ณ จดุ กระทบ * สรปุ โครงสรา ง อานาปานัสสติ อานาปานสั สติ ๒ นยั ( จตุกก ๔ ท่ี ๑ กายา. --> เปนพ้นื ฐาน สวนจตุกก ๔ ท่ี ๒ - ๔ เวทนา จิตต ธมั ม. ตองยก ฌานเปนบาท ) สมถนยั (จตกุ ก๔ ท่ี ๑ - ๓ ) วปิ สสนานยั ( จตุกก ๔ ท้ัง ๔ หมวด ) - อาศยั พระบาลี ขอ ๑ - ๕ สมถยานกิ ะ วปิ ส สนายานกิ ะ - ดําเนินตามนยั ทั้ง ๔ เรียกชอื่ วา ปฏปิ สสฺ นา <-- ปจจเวกขณญาณ เรยี กชื่อวา ปารสิ ทุ ธิ <-- ผลญาณ พระบาลี ๕ ขอ + เรยี กช่อื วา ววิ ฏฏ นา <-- มคั คญาณ > คณนานยั ผสุ นานัย > อคุ คหนิมิต โคตรภูญาณ > อนพุ ันธนานัย วปิ สสนาญาณ ๑๐ ปฏิภาคนิมติ < ฐปนานัย เรยี กชอ่ื วา สลฺลกฺขณา ปจ จยปรคิ คหญาณ - สมถะ --> อัปปนา. --> ยกฌานเปนบาท ---------------------------------------------------------------> นามรปู ปริจเฉทญาณ - วิปสสนา --> วปิ สสนายานิกะ * อานิสงสของการเจรญิ อานาปานสั สติ * ลมหายใจมที สี่ นิ้ สุด ๓ อยา ง ( น.๑๗๖ ) * ผทู ไี่ มม ลี มหายใจ มี ๘ จําพวก (น.๑๗๓) ๑. สามารถกําหนดการปลงอายสุ งั ขาร ๑) ลมหายใจภวจรมิ กะ กามบคุ คลเมือ่ ไดไปเกดิ ในรปู ภพ อรูปภพ ลมหายใจกเ็ ปนทส่ี ดุ คือ ไมมกี ารหายใจ ๑.ทารกทอ่ี ยใู นครรภ ๒. คนดาํ นาํ้ ๒. สามารถรูก าลปรินพิ พาน ๒) ลมหายใจฌานจรมิ กะ กามบคุ คลเมอ่ื ไดฌาน เมอื่ เขา รูปปญ จมฌาน หรอื อรูปฌาน ลมหายใจกเ็ ปนท่ีสุด คือ ไมมกี ารหายใจ ๓.คนสลบ ๔.คนตาย ๕.ผูเขา ปญ จมฌาน ๓.สมถะ ไดถงึ ปญ จมฌาน ๑) ลมหายใจจตุ จิ ริมกะ ลมหายใจทีเ่ กิดขึ้นพรอ มกันกับอปุ ปาทักขณะของจติ ดวงที่ ๑๗ ท่นี บั ถอยหลังจากจุติจิตข้ึนไปนั้น ๖.รูปาวจรพรหม ๗. อรูปาวจรพรหม ๔. ใหม คี วามสุขในปจจบุ นั ๕. มีภพภูมิท่ดี ี ดบั ลงพรอมกบั จตุ จิ ติ ลมหายใจนี้ก็เปนท่สี ดุ คอื ไมมีการหายใจ ๘. ผูทเ่ี ขานโิ รธสมาบัติ
5 อัปปมัญญา ( น.๕, ๑๗๘ - ๒๐๖ ) มคี วามยากเพราะ * อัปปมญั ญา ๔ เขาถงึ ฌานท้งั ๔ โสมนสั สเวทนา - 73 - ๑. สว นใหญอยูในขอบเขตของการแผเมตตา, กรณุ า, มุทติ า เทานนั้ มสี ขุ ทั้ง ๔ ฌาน ทไ่ี มส ามารถทําลายใหเ ขา ถงึ สีมสมั เภท จึงยงั ไมเรยี กวา \" แผอ ปั ปมญั ญา \" เมตตา, กรุณา, มุทิตา มีอเุ บกขาเวทนา ๒. ทีว่ าแผอยูในขอบเขตของเมตตา, กรณุ า, มุทิตา, อเุ บกขา ซึ่งมโี สมนัสสเวทนา ท่มี ีสภาพละเอยี ดปราณตี สวนใหญเปน แบบเทียม คือเจอื ดว ยอกศุ ล เชน โลภะ เปนสภาพหยาบ ยอมใหผ ลไพบูลย ๓. กรรมฐานทเี่ ปน บัญญัติ สว นใหญมนี มิ ิต แตอัปปมญั ญา เปน บัญญตั ทิ ่ีไมม ีนมิ ิตใดๆ ใกลตอ ความเกลยี ดชงั * เหตุท่ีอัปปมญั ญา มีเพยี ง ๔ (น. ๒๐๕) อปั ปมญั ญา สภาพ องคธ รรม เวทนา ธ. ตรงขาม สภาพ เวทนา ๑. เมตตา มีความรักใคร อโทสเจตสกิ โสมนสั สเว. พยาบาท ปองราย โทมนัสส. ๑) เพราะเหตุทท่ี าํ ใหสตั วทง้ั หลายเขา ถึงความบริสุทธิ์มี ๔ ๒. กรุณา ปรารถนาดี มคี วามสงสาร กรุณาเจตสิก ๑.พยาบาท - ทําความพยาบาทใหหมดไป เขา ถงึ ความบรสิ ุทธ์ไิ ด คอื เมตตา ๓. มทุ ติ า ๒.วิหิงสา - ปราบวิหิงสาใหหมดไป เขาถงึ ความบรสิ ุทธไิ์ ด คอื กรุณา ๔. อุเบกขา โสมนัสสเว. วิหงิ สา เบยี ดเบยี น โทมนัสส. ๓.อรติ (อนภิรต)ิ - ปราบความไมยนิ ดีในขณะทส่ี ตั วม คี วามสุข เขา ถึงความบรสิ ุทธิ์ได คอื มุทิตา (ผูอ ่นื มีทุกขแ ต ๔.ราคะ - ปราบราคะใหส งบ เขา ถงึ ความบริสุทธไิ์ ด คือ อเุ บกขา ผูมกี รณุ ากลบั มีโสมนสั .) ๒) เพราะเหตุทท่ี าํ ใหสัตวทั้งหลายใฝใ จตอ กนั มี ๔ มคี วามยนิ ดี มทุ ติ าเจตสิก โสมนสั สเว. อรติ(อนภิรต)ิ ไมย นิ ดที ่ี โทมนัสส. ๑.นําประโยชนใ หสัตวท ้ังหลายรกั ใครกัน ซึ่งเปนตัวเมตตา ในความสขุ ของผูอ่นื ตตั ตรมัชฌตั สตั วอ่ืนมี เชน บตุ รคนเล็ก วางเฉยใน ตตาเจตสกิ ๒.บําบดั ทุกขข องสตั วท ้ังหลาย ซึง่ เปน ตวั กรุณา อาการ ๓ ความสขุ อยา งขา งตน เชน บุตรคนท่ี ๒ ไมส บาย อเุ บกขาเวทนา ๓.ความยนิ ดี เมอื่ สตั วท ้งั หลายมีความสุข ซง่ึ เปน ตัวมทุ ิตา ๑) เกิดจากการวางเฉยในเมตตา, กรุณา, มทุ ติ า เชน บตุ รคนที่ ๓ กําลงั เติบโต ๔.การวางเฉยในเรือ่ งจะนําประโยชน บาํ บัดทุกข ยนิ ดใี นความสขุ ของสัตวทงั้ หลาย ซงึ่ เปน ตัวอเุ บกขา ๒) เหน็ จตุตถฌานที่มีโสมนสั สเวทนา เปน พรหม เชน บตุ รคนท่ี ๔ (คนโต) ทํางานไดท ่พี ง่ึ แลว ๓) เห็นปญจมฌานที่มอี เุ บกขาเวทนา เปน ของละเอยี ด
- 74 - * อัปปมัญญา ๔ ( น. ๑๗๘ ) มว. ธรรมที่เปนไปในสัตวท ้งั หลาย หาประมาณมิได ไมมจี าํ กัด ชอื่ วา \" อัปปมญั ญา \" * มุงหมาย ขอ ความนีม้ ุงหมายการเขาถงึ \" ฌาน \" ๑) ทาํ ลายเมตตา, กรุณา, มุทิตา ไมมขี อบเขตท้งั บุคคล (เสมอกนั ) และสถานท่ี (ทิศทั้ง ๑๐) จึงจะเรียกวา \" อัปปมญั ญา \" เปนเหตุใหเขา ถงึ \" ฌาน \" ๒) ถา ยงั มคี วามจาํ กัด ดว ยบุคคล + สถานท่แี ลว การแผน ้นั ไมเรียกวา อปั ปมญั ญา และไมเหน็ เหตุใหเ ขาถงึ ฌาน ๓) มุงหมายความเปนอยูอยา งพรหม เรียกวา \" พรหมวิหาร ๔ \" ( แยกคํา พรหม = ผปู ระเสรฐิ , วหิ าร = ความเปนอยูของผปู ระเสริฐ ) * การแสดงอัปปมัญญาอยา งแท และอยา งเทยี ม อปั ปมัญญา อยา งแท อยางเทียม - ตณั หาเปมะ = โลภเจ. --> โลภ.๘ ๑.เมตตา - มี อโทสเจ.ที่มี ปย มนาปสัตวบญั ญัติ เปนอารมณ มสี ภาพไมยดึ มั่นในบคุ คล มีสภาพยึดมั่นในบุคคล - ขดั ตอ สติสัมปชญั ญะ + สมาธิ และขัดตอมรรค ผล เปนปกตูปนสิ สยปจจยั ใหเกิด เมตตาแทได ปยมนาปสัตวบญั ญัติ มี ๒ อยาง ๑. พวกธรรมดา - โทสจติ ตุปบาท = มคี วามเสียใจตามผทู ีก่ าํ ลงั ไดร ับทกุ ขไ ปดว ย ๒. พวกทีเ่ ปนไปดว ยอาํ นาจสมาธิ - โลภมลู โสมนสั จิตตปุ บาท ( จิต + เจ ) มคี วามละเอียดกวา ตณั หาเปมะ มีสภาพการยึดในบุคคลทร่ี ัก เมอ่ื ไดลาภ ยศ ฯลฯ ๒.กรณุ า - มี กรุณาเจ.ทม่ี ที ุกขิตสัตวบัญญัติ เปน อารมณ ทุกขติ สัตวบญั ญตั ิ มี ๒ อยาง - อญาณอเุ บกขา = โมหเจ. ๑ พวกท่ีกําลงั ไดรับความลาํ บากดว ยพยสนะ๕ เฉยเมยในการรบั รู ไมไดวางเฉยทร่ี ใู นเมตตา, กรณุ าและมุทติ า มากอ น ๒ พวกท่กี าํ ลังสขุ แตอ นาคตตอ งไดรับความลาํ บาก * ทาํ ไดยาก เพราะ อารมณก บั จติ จะขดั กนั คอื ผูช วยเหลือ ---> ผูมที กุ ข ผูช วยเหลือ จติ ตวั เองเปนสุข แตเมอ่ื มองผูมีทกุ ข จติ กอ็ าจเกดิ ความทกุ ขต ามไปดวย ๓.มุทติ า - มี มุทิตาเจ.ที่มีสขุ ิตสตั วบญั ญตั ิ เปน อารมณ สุขติ สัตวบญั ญตั ิ มี ๒ อยา ง ๑ พวกทก่ี าํ ลงั ไดร ับความสขุ หรอื จะไดร บั ในภายหนา ๒ พวกทีก่ ําลงั ทุกข แตอดีตเคยมคี วามสขุ ๔.อเุ บกขา - มี ตัตตรมชั ฌัตตตาเจ.ทมี่ มี ัชฌตั ตสตั วบญั ญัติ เปนอารมณ มชั ฌตั ตสัตวบญั ญตั ิ มี ๒ อยาง ๑ พวกธรรมดา ( มีการวางเฉย เพราะไมร ู ) ๒ พวกทีเ่ ปน ไปดว ยอาํ นาจสมาธิ ( เกิดจากการรูใน เมตตา กรณุ าและมทุ ิตามากอน ) * อุเบกขา มขี อจํากดั ดว ยบุคคล+อารมณ คอื ตองเปนฌานลาภีบคุ คล และตองมสี ตั วบัญญัติ เปนอารมณเทา นน้ั
- 75 - * อปั ปมญั ญา มคี วามตา งกนั เมอ่ื เปรยี บเทยี บองคธรรม อปั ปมญั ญา อารมณ ลําดบั บุคคล ในการแผอ ปั ปมญั ญา สัตวบัญญัติ ลําดับที่ ๒ ลําดับที่ ๓ ลาํ ดบั ที่ ๔ ๑) เมตตา มี ๒ - คราวใดเกิดข้นึ เก่ียวของดวยสัตวบญั ญัติ ลาํ ดับที่ ๑ ลาํ ดับท่ี ๔ คราวน้นั อโทสเจตสิก เรยี กวา \" เมตตา \" ๑) เมตตา ปยมนาป. ตนเอง ๑ ปยบคุ คล ๒ อตปิ ยบคุ . ๓ มัชฌัตตบคุ . ๔ เวรบี คุ คล - คราวใดเกดิ ขน้ึ ไมเ กย่ี วของ ดวยสัตวบญั ญตั ิ เชน ขณะสวดมนต ฯลฯ ๒) กรุณา ทกุ ขติ . ตนเอง ๓ มชั ฌตั ตบุค. ๑ ปย บคุ คล ๒ 2 ๔ เวรบี คุ คล คราวนน้ั เรียกวา \" อโทสเจตสิก \" ๓) มุทติ า สุขิต. ตนเอง ๒ อตปิ ย บคุ . ๑ ปย บุคคล ๓ มชั ฌตั ตบุค. ๔ เวรีบุคคล ๔) อุเบกขา มัชฌัตต. ตนเอง ๓ มชั ฌัตตบุค. ๑ ปย บคุ คล ๒ อตปิ ย บคุ . ๔ เวรบี คุ คล ๒) กรุณาและมทุ ติ า - เกดิ ขน้ึ คราวใดตองเกยี่ วขอ งดว ยสัตวบัญญตั เิ สมอ ดังนนั้ * ในกรณุ า ๒ 2 ไมแผใหอ ตปิ ยบุคคล เพราะผทู ่ีเรารักมากมที ุกข ใจเรากม็ ักจะทุกขไปดวย ทาํ ใหแผไ มขึน้ จึงถกู เรียกวา \" กรุณาและมุทิตา \" ๓) อุเบกขา มี ๒ - คราวใดเกิดขึ้น เกีย่ วขอ ง ดว ยบคุ คล * แผใหตนเอง - เพอื่ เปน สักขีพยานวา เรารักสุขเกลยี ดทุกขอยางไร บคุ คลอ่ืนก็เชนเดยี วกนั คราวนน้ั ตองเปน มัชฌัตตตาสัตวบัญญัติ ถกู เรียกวา \" อุเบกขา \" ฉะนัน้ ในการแผอัปปมญั ญา จงึ ตองแผใ หตนเองกอน - คราวใดเกิดขึ้นไมเ ก่ียวขอ ง ดวยบุคคล คราวนน้ั เรยี กวา \" ตัตตรมัชฌตั ตตาเจตสิก \" * เวรบี คุ คล - ตอ งแผเ ปน ลําดบั สดุ ทา ย เพราะ ถา แผกอนจะเปนอปุ สรรคตั้งแตแ รก มีโทสเกิด และตอ งการทําลายขอบเขตใหเ สมอกันเพอื่ ใหเขา ถงึ สบี สมั เภท -> อัปปมัญญา ( ฌาน ) * เปรียบเทยี บองคธรรม โลภเจตสิก ใน เมตตาเทียมและมุทติ าเทยี ม * วิธีการแผอ ัปปมญั ญา โลภเจ.-->โลภ.๘ ชอ่ื วา \"ตัณหาเปมะ\" โลภมูลโสมนัส ๔ เจ. ๒๒ > เมตตา - ตนเอง เรยี กวา แผแ บบเมตตา = บรกิ รรมภาวนา = เมตตาเทียม = มุทิตาเทยี ม ( มี เมตตาเทียม ซอนอยดู วยเพราะ - บคุ คลอ่ืน ๑ คน ** เปรยี บเทยี บการแผเมตตา เจ.๒๒ นน้ั กม็ ีโลภเจ. อยดู วย ) อดตี เคยมคี วามสขุ - บุคคลอน่ื > ๑ คน เรียกวา แผแ บบอัปปมัญญา -> บุคคล ๑๒ = อุปจารภาวนา มุทติ า สตั วท ่ีกาํ ลังไดรับความทกุ ขลําบาก กรณุ า (เขา ถึง สมี สมั เภท คือ การทําลาย -> ทิศ ๑๐ = อัปปนาภาวนา สัตวทเี่ คยไดรับความสุขในอดีต อนาคตตอ งไดรบั ความลาํ บากในพยสนะ๕ ขอบเขตบคุ คล ๑๒ และทศิ ๑๐ ) > กรุณา, มทุ ติ า, อเุ บกขา กใ็ นทํานองเดยี วกนั * บาลี = ทิศ + บคุ คล + คาํ แผ ( บคุ คล ๑๒ ใหยก อโนทสิ บุคคล ๕ ขน้ึ กอ น โอทสิ บคุ คล ๗ ) * แปล = บคุ คล + ทิศ + คาํ แผ
- 76 - * คําบรกิ รรมในแผ \" เมตตา \" ( = บรกิ รรมภาวนา ) * คาํ บริกรรมในการแผ \" กรณุ า \" ๑) ตนเอง ๑) ตนเอง อหํ ทกุ ฺขา มุจจฺ ามิ ขอขา พเจา ขอทา น ๑. อหํ อเวโร โหมิ ขอขาพเจา จงเปนผูไมม ี ศตั รภู ายในและภายนอก ๒) บคุ คลอ่ืน ๑ คน ทุกขฺ า มจุ จฺ ตุ ขอทานทงั้ หลาย จงพน จากความทุกขก าย ทกุ ขใ จ ๒. อหํ อพฺยาปชฺโช โหมิ ขอขา พเจา จงเปน ผไู มมี ความวิตกกงั วล เศรา โศก พยาบาท ๓) บุคคลอ่ืน > ๑ คน ทกุ ขฺ า มุจฺจนฺตุ ๓. อหํ อนีโฆ โหมิ ขอขา พเจา จงเปน ผไู มมี ความลาํ บากกาย ใจ พนจากอปุ ทวภัย ๔. อหํ สขุ ี อตฺตานํ ปรหิ รามิ ขอขาพเจา จงเปน ผูนาํ อัตภาพทเ่ี ปน อยูดวยความสุขกาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน * คาํ บริกรรมในการแผ \" มทุ ิตา \" ๒) บุคคลอน่ื ๑ คน มคี าํ แผเ ปน เอกพจน ดังนี้ ๑) ตนเอง อหํ ยถาลทฺธสมฺปตตฺ โิ ต มา วิคจฉฺ ามิ ขอขาพเจา อยาไดสญู สิน้ จาก ขอทา น ความสุขความเจริญ ๑. อเวโร โหตุ ขอจงไร ศัตรูภายในและภายนอก ๒) บคุ คลอื่น ๑ คน ยถาลทฺธสมฺปตฺติโต มา วคิ จฉฺ ตุ ขอทา นทง้ั หลาย ที่มอี ยู ๒. อพยฺ าปชโฺ ช โหตุ ขอจงไร ความวิตกกังวล เศราโศก พยาบาท ๓) บคุ คลอืน่ > ๑ คน ยถาลทธฺ สมฺปตตฺ ิโต มา วิคจฺฉนตฺ ุ ๓. อนโี ฆ โหตุ ขอจงไร ความลําบากกาย ใจ พน จากอุปทวภยั ๔. สขุ ี อตฺตานํ ปริหรตุ ขอจงนํา อตั ภาพท่เี ปน อยดู ว ยความสขุ กาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน ๓) บคุ คลอน่ื > ๑ คนไปจนประมาณไมได มคี ําแผเ ปน พหูพจน ดงั นี้ * คําบรกิ รรมในแผ \" อเุ บกขา \" ๑. อเวรา โหนฺตุ ขอจงไมมี ศตั รภู ายในและภายนอก โดยทั่วกนั ๑) ตนเอง อหํ กมฺมสสฺ โก เรา มกี รรมเปน ของของเรา บุคคลน้ี มกี รรมเปน ของของตน ๒. อพยฺ าปชฺชา โหนฺตุ ขอจงไมม ี ความวิตกกงั วล เศรา โศก พยาบาท โดยทั่วกัน ๒) บุคคลอน่ื ๑ คน กมฺมสสฺ โก สตั วท งั้ หลาย มีกรรมเปน ของของตน ๓. อนฆี า โหนตฺ ุ ขอจงไมมี ความลาํ บากกาย ใจ พนจากอุปทวภยั โดยท่ัวกัน ๓) บคุ คลอ่ืน > ๑ คน กมฺมสฺสกา ๔. สุขี อตฺตานํ ปรหิ รนฺตุ ขอจงนาํ อตั ภาพทเ่ี ปนอยูดวยความสุขกาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน โดยท่ัวกนั * คาํ แผในบคุ คล ๑๒ ( = อุปจารภาวนา ) * คําแผในทศิ ทงั้ ๑๐ เรียกวา เขา ถึงอัปปมญั ญา ( = อัปปนาภาวนา ) ๑) อโนทิสบุคคล ๕ ๒) โอทิสบุคคล ๗ ๑. ปุรตถฺ มิ าย ทสิ าย ทศิ ตะวนั ออก ๕. ปรุ ตฺถิมาย อนทุ สิ าย ทิศตะวนั ออกเฉยี งใต ทิศตะวันตกเฉียงเหนอื ๑.สพฺเพ สตฺตา สัตวท ้ังหลาย ๑.สพฺพา อติ ถฺ โิ ย หญิงทง้ั หลาย ๒. ปจฺฉิมาย ทสิ าย ทิศตะวนั ตก ๖. ปจฉฺ มิ าย อนุทสิ าย ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทิศตะวนั ตกเฉียงใต ๒.สพฺเพ ปาณา สัตวที่มีชวี ิตทง้ั หลาย ๒.สพฺเพ ปุริสา ชายทัง้ หลาย ๓. อตุ ตฺ ราย ทสิ าย ทศิ เหนอื ๗. อตุ ตฺ ราย อนุทสิ าย ๓.สพฺเพ ภูตา สัตวทปี่ รากฏชดั ทัง้ หลาย ๓.สพเฺ พ อริยา พระอริยบุคคลทงั้ หลาย ๔. ทกฺขิณาย ทิสาย ทศิ ใต ๘. ทกฺขณิ าย อนุทสิ าย ๔.สพเฺ พ ปุคคลา บุคคลทงั้ หลาย ๔.สพเฺ พ อนริยา ปุถุชนทง้ั หลาย ๕.สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนนฺ า ๕.สพเฺ พ เทวา เทวดาทัง้ หลาย ๙. เหฏม าย ทิสาย ทศิ เบ้ืองลา ง ๑๐. อุปรมิ าย ทิสาย ทศิ เบอ้ื งบน สตั วท ่ีมีอัตภาพท้ังหลาย ๖.สพฺเพ มนสุ ฺสา มนุษยทั้งหลาย ๗.สพฺเพ วนิ ิปาติกา พวกวินิปาติกอสรุ าท้งั หลาย
- 77 - 5 คําแผเมตตา กรณุ า มุทติ า อเุ บกขา (๑) (๓) อหํ อเวโร โหมิ ขอขา พเจา จงเปน ผไู มมศี ัตรูภายในและภายนอก ปุรตถฺ ิมาย ทิสาย ท่ีอยทู างทศิ ตะวนั ออก อหํ อพยฺ าปชฺโช โหมิ ขอขาพเจาจงเปน ผูไมมคี วามวติ ก กังวล เศรา โศก พยาบาท ปจฺฉิมาย ทสิ าย \" ตะวนั ตก อหํ อนโี ฆ โหมิ ขอขา พเจาจงเปนผไู มม คี วามลาํ บากกายใจ พน จากอุปท วภัย อตุ ตฺ ราย ทิสาย \" เหนอื อหํ สุขี อตตฺ านํ ปรหิ รามิ ขอขา พเจาจงเปนผนู ําอตั ภาพท่ีเปน อยูดวยความสุขกาย สขุ ใจ ตลอดกาลนาน ทกขฺ ณิ าย ทสิ าย \" ใต อหํ ทุกขฺ า มุจจฺ ามิ ขอขาพเจาพนจากความทุกขก าย ทกุ ขใ จ ปรุ ตถฺ ิมาย อนทุ ิสาย \" ตะวันออกเฉยี งใต อหํ ยถาลทฺธสมปฺ ตฺติโต มา วคิ จฉฺ ามิ ปจฉฺ ิมาย อนุทสิ าย \" ตะวนั ตกเฉียงเหนือ ขอขา พเจา อยาไดส ญู สน้ิ จากความสุข ความเจรญิ ท่ีมีอยู อตุ ฺตราย อนุทิสาย \" ตะวันออกเฉยี งเหนือ อหํ กมมฺ สสฺ โก เรามกี รรมเปน ของของเรา ทกขฺ ณิ าย อนทุ ิสาย \" ตะวนั ตกเฉยี งใต เหฏ มาย ทิสาย \" เบอื้ งลาง (๒) อุปรมิ าย ทิสาย \" เบอื้ งบน สพเฺ พ สตตฺ า สตั วทง้ั หลาย สพพฺ า อิตถฺ โิ ย หญิงทง้ั หลาย (๔) สพฺเพ ปาณา สตั วที่มชี วี ติ ทง้ั หลาย สพเฺ พ ปรุ สิ า ชายท้ังหลาย อเวรา โหนตฺ ุ จงไมม ศี ัตรภู ายใน และภายนอก ท่ัวกนั สพเฺ พ ภตู า สัตวทป่ี รากฏชัดท้งั หลาย สพเฺ พ อรยิ า พระอรยิ บุคคลทงั้ หลาย อพฺยาปชชฺ า โหนฺตุ จงไมม คี วามวิตกกังวล เศราโศก พยาบาท ท่วั กนั สพเฺ พ ปคุ ฺคลา บุคคลท้ังหลาย สพเฺ พ อนรยิ า ปถุ ุชนท้ังหลาย อนีฆา โหนฺตุ จงไมมคี วามลาํ บากกายใจพน จากอปุ ท วภัยทว่ั กนั สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนนฺ าสตั วท ม่ี ีอตั ภาพทั้งหลาย สพฺเพ เทวา เทวดาทงั้ หลาย สุขี อตฺตานํ ปรหิ รนฺตุ จงนําอัตภาพท่เี ปน อยูดวยความสขุ กาย สขุ ใจ สพฺเพ มนุสสฺ า มนษุ ยท้ังหลาย ตลอดกาลนานท่ัวกนั สพฺเพ วินปิ าติกา พวกวนิ ปิ าตกิ อสุราทัง้ หลาย ทกุ ฺขา มุจจฺ นตฺ ุ จงพนจากความทุกขก าย ทกุ ขใจ ยถาลทฺธสมฺปตฺตโิ ต มา วคิ จฉฺ นฺตุ อยาไดส ญู ส้ินจากความสุข ความเจริญที่มอี ยู กมฺมสสฺ กา มีกรรมเปน ของของตน
* เมตตา มว.การปรารถนาดีรกั ใครต อ สัตวทงั้ หลาย อธ. ไดแก อโทสเจ.ทมี่ ี ปยมนาปสตั วบัญญัติ - 78 - เปนอารมณ ดังวจนตั ถะ มิชชฺ ติ สนิ ยิ ฺหตตี ิ = เมตตฺ า ขัน้ ตอนที่ ๒ \" สมี สัมเภท \" ๒) ทศิ ๑๐ \" เปน กําลงั ใหถ งึ อัปปนาภาวนา \" ๑) บคุ คล ๑๒ \" อปุ จารภาวนา \" ธรรมชาติใดยอ มรกั ใครช ่นื ชมตอสัตวท ้งั หลาย ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ นั้ ช่อื วาเมตตา * ขน้ั ตอนในการแผเมตตา อโนทสิ บคุ คล ๕ โอทสิ บุคคล ๗ ๑ ปรุ ตถฺ มิ าย ทสิ าย ขนั้ ตอนที่ ๑ \" บริกรรมภาวนา \" ๑ สพฺเพ สตฺตา ๑ สพพฺ า อติ ฺถโิ ย ๒ ปจฉฺ มิ าย ทิสาย ๑) บุคคลกบั การแผ ๒ สพเฺ พ ปาณา ๒ สพเฺ พ ปุรสิ า ๓ อตุ ฺตราย ทิสาย * บุคคลท่ีควรแผเ ปนลําดบั ตน - ปยมนาปบุคคล (บคุ คลอันเปนที่รัก ) มี ๒ พวก ๓ สพฺเพ ภตู า ๓ สพฺเพ อรยิ า ๔ ทกฺขณิ าย ทิสาย ๑) พวกธรรมดา ๒) พวกท่เี ปนไปดวยอาํ นาจสมาธิ ๔ สพฺเพ ปุคฺคลา ๔ สพเฺ พ อนริยา ๕ ปุรตฺถมิ าย อนุทสิ าย * บุคคลทแี่ ผก อ นไมได ๑. อปั ปยบคุ คล ( แผเ มตตาไมไ ด ) ๓. มัชฌัตตบุคคล ๕ สพฺเพ อตฺตภาว ๕ สพเฺ พ เทวา ๖ ปจฉฺ มิ าย อนุทสิ าย ๒. อติปยบุคคล ( ตณั หาเปมะ ) ๔. เวรบี ุคคล ปริยาปนนฺ า ๖ สพฺเพ มนสุ สฺ า ๗ อตุ ตฺ ราย อนทุ ิสาย * บคุ คลที่แผแ บบเจาะจงไมได - ลิงควิสภาคบคุ คล (เพศตรงกันขา ม ) ๗ สพเฺ พ วนิ ิปาติกา ๘ ทกฺขณิ าย อนทุ ิสาย * บุคคลที่แผไมไ ดเ ลย - กาลังคตบุคคล (บคุ คลทีต่ ายไปแลว = อทุ ิศสว นกุศล ) ๙ เหฏมาย ทสิ าย ขัน้ อปุ จาร.น้ีไมแ ยกบุคคล ดว ยอารมณ ๑๐ อุปริมาย ทสิ าย ๒) แผตามลาํ ดับบคุ คล ๓) คําบรกิ รรม ( คําแผ ) ปย มนาปสัตวบญั ญัติ เหมอื นกันทกุ คน ๑ ตนเอง บทที่ ๑ อหํ อเวโร โหมิ ฯลฯ มีจาํ นวนการแผ มีจํานวนการแผ - เพ่อื เปนสักขพี ยาน - เปน เหตใุ หสมาธแิ กก ลา ๑๐ ทศิ x ๔๘ = ๔๘๐ คําแผ - เพอื่ หวังจะไดฌ าน เพอ่ื เปน บาทใหเ ขา ถึงคําแผบทที่ ๓ ๕ คน x ๔ คําแผ = ๒๐ ๗ คน x ๔ คาํ แผ = ๒๘ ( ถาไมห วังขามไป ๒ - ๕ ) ๒ ปยบุคคล ๑ คน บทที่ ๒ อเวโร โหตุ ฯลฯ = ๔๘ คาํ แผ ๓ อติปย บุคคล > ๑ คน บทที่ ๓ อเวรา โหนตฺ ุ ฯลฯ - มคี วามแกก ลาของอินทรียมากอ น ๔ มชั ฌัตตบุคคล - เขาถึงสีมสัมเภท ( ขั้นตอนท่ี ๒ ) รวมเปน ๕๒๘ คําแผ = \" อปั ปนาภาวนา \" ๕ เวรีบคุ คล บารมี ๑๐ ชาตสิ ดุ ทา ย เวรบี คุ คล * พระองคทรงแสดง เมตตา เปน อนั ดับแรกในอปั ปมญั ญา ๔ เพราะ เต. เนกขัม ภู ศลี อกุศลกรรม อกศุ ลวปิ าก = โทสมูลจติ ตุปบาท ( อารมณเฉพาะหนา ) สหชาตกัมม. นานกั ขณกิ กัมม. ๑. เมตตา เปน ธรรมทม่ี ีประโยชนอ ยา งมหาศาล ๓. เมตตา ชวยใหก ารสรางบารมีตา งๆ ไดส าํ เรจ็ ช. วิริยะ จ. ขันติ ( บางคร้งั เวรไี มป รากฏโดยบคุ คล แตเ กดิ โดยอาการ เชน เดินสะดุดหิน ) ส.ุ เมตตา นา. อุเบกขา ๒. เมตตา เปนตวั ชว ยให กรุ.ม.ุ อุ. เกิดข้ึนไดง า ย ๔. สัพพญั ู อาศยั สรา งบารมี ๑๐ อยา ง เน. อธษิ ฐา วิ. สจั จะ นานถึง ๔ อสงไขย กําไรแสนกลั ป ม. ปญ ญา เว. ทาน
* แสดงคําแผ โดยวถิ ี บริกรรมนมิ ติ โดยปรยิ าย = อุคคหนมิ ิตโดยปรยิ าย อนโุ ลมสงเคราะห = ปฏภิ าคนิมิต - 79 - ๑.ตนเอง ข้ันตอนที่ ๑ \" คําบริกรรม \" ข้ันตอนที่ ๒ \" สีมสัมเภท \" เมอ่ื พจิ ารณาปจจเวกขณะ ๒.ปย บคุ . แผใ หมๆ อารมณเ ปน ทาํ ลายขอบเขตแตละกลมุ บคุ คลเขา ถึง ตดั กระแสภวงั คข าดมี ฌ = โสมนัสสเวทนา ปย มนาปสตั วบญั ญัติ ปยมนาปสตั วบัญญตั ิ ๓.อตปิ ยบคุ . ปย มนาปสัตวบญั ญตั ิ ที่เกิดข้ึนดวยอาํ นาจสมาธิ เปนอารมณ ( ปฐม. --> จต.ุ ) ๔.มัชฌตั ตบุค. พวกธรรมดา คาํ แผร วม ๕๒๘ บท = อัปปมัญญาเกดิ ( ๔๘ + ๔๘๐ ) ๕.เวรบี ุค. ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค 22 22 \" คําบรกิ รรม \" 22 2222 อหํ อเวโร โหมิ …ฯลฯ <-- บรกิ รรมถาหวังในฌาน บคุ คล ๑๒ ทศิ ๑๐ อเวโร โหตุ ...ฯลฯ ระลึกไปทีละคน สพฺเพ สตตฺ า... ฯลฯ ปุรตถฺ ิมาย ทสิ าย...ฯลฯ อเวรา โหนฺตุ ...ฯลฯ ในแตล ะกลุม เชน เพราะมีอารมณกบั ทกุ คน เร่ิมแผท ศิ ท้ัง ๑๐ เพือ่ ให ปย.๗ อต.ิ ๕ มชั .๘ เวร.ี ๒ เสมอกันหมดเปน มีกาํ ลังเขา ถงึ อัปปนาภาวนา จํานวนบุคคลมากนอยแลว แต ปย มนาปสัตวบญั ญัติ ผบู รกิ รรม คําแผจงึ ไมเ ทากัน คําแผร วม ๔๘ บท คาํ แผร วม ๔๘๐ บท (๕x๔)+(๗x๔) ( ๑๐ x ๔๘ ) คาํ แผ เทากันในทกุ บุคคล บรกิ รรมภาวนา อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา [ แผเมตตา ] [ แผสีมสมั เภท ] * ขอเสนอแนะในการแผเ มตตา ๑. ตอ งมีความรูค วามเขาใจในคําบรกิ รรม การแผไ ปในบคุ คล * เมตตา เกิดไดกับทกุ ๆ คน * อปั ปมัญญา เกิดกบั บคุ คลทใ่ี กลตอการได ฌาน ตามลาํ ดับทีเ่ ปน ไปในบคุ คล ๑๒ และทศิ ทัง้ ๑๐ - เมตตาเทยี ม ทมี่ สี ภาพการยดึ ในบคุ คล - เมตตาแท ทาํ ลายขอบเขตของบุคคลเขาถึง สมี สมั เภท ๒. ตอ งทอ งคาํ บริกรรมทง้ั บาลี + คําแปลใหไ ด - เมตตาแท อาศัยเมตตาเทียมไปกอ น * เมตตามีประโยชนอ ยางมหาศาล ๓. ตองแผจนเกดิ ความชํานาญ ถงึ เปนเมตตาแทก ต็ าม แตย ังไมทําลายขอบเขตในแตละบุคคล ๑. เมตตาธรรม ชว ยอุดหนุนกรณุ า มทุ ิตา อเุ บกขา ๔. อยาใหคาํ พูดแรงกวา ความรูส กึ ๒. ชว ยใหก ารสรา งบารมีอ่นื ๆ สําเรจ็ ๓. เหตนุ ้พี ระองคจงึ ทรงแสดงเมตตาไวเ ปนอนั ดบั แรก
- 80 - * กรณุ า มว.เมื่อเหน็ สตั วท้งั หลายไดร บั ความลําบาก จติ ใจของสปั บรุ ณุ กเ็ กิดความหวนั่ ไหวนง่ิ ดอู ยูไมไ ด หรืออีกนัย มว. ยอ มชว ยผูท ่ีไดร บั ความลาํ บากนั้นใหไ ดร บั ความสขุ ดงั วจนัตถะ ข้ันตอนที่ ๒ \" สีมสัมเภท \" ๒) ทศิ ๑๐ \" เปน กําลงั ใหถ ึง อัปปนาภาวนา \" ปรทกุ ฺเข สติ สาธนู ํ หทยกมปฺ นํ กโรตีติ = กรุณา ๑) บคุ คล ๑๒ \" อุปจารภาวนา \" ธรรมชาตใิ ด ยอ มทาํ ใหจติ ใจของสปั บรุ ุษทั้งหลายหว่ันไหวนง่ิ อยูไมไ ด เม่อื ผอู ืน่ ไดรับความ อโนทิสบุคคล ๕ โอทิสบุคคล ๗ ๑ ปุรตถฺ ิมาย ทสิ าย ลาํ บาก ฉะน้นั ธรรมชาตนิ ้นั ชือ่ วา กรุณา ๒ ปจฉฺ ิมาย ทสิ าย อธ. > กรุณาแท - กรณุ าเจ ทใ่ี น ม.กุ.๘ ที่มี ทกุ ขิตสตั วบัญญัติ เปน อารมณ ๑ สพฺเพ สตตฺ า ๑ สพพฺ า อิตถฺ โิ ย ๓ อตุ ฺตราย ทิสาย ๔ ทกฺขณิ าย ทิสาย > กรุณาเทยี ม - โทสมลู จิตตุปบาท ๒ สพเฺ พ ปาณา ๒ สพฺเพ ปุรสิ า ๕ ปรุ ตฺถิมาย อนทุ สิ าย ๑) พวกทีก่ ําลงั ลาํ บากดวยความทุกข ๖ ปจฺฉิมาย อนุทสิ าย ๒) พวกทกี่ ําลงั สขุ แตอนาคตตอ งทุกข ๓ สพฺเพ ภูตา ๓ สพเฺ พ อริยา ๗ อตุ ฺตราย อนทุ ิสาย ทีเ่ กดิ จากพยสนะ ๕ ๘ ทกขฺ ณิ าย อนทุ ิสาย ๔ สพเฺ พ ปคุ คฺ ลา ๔ สพฺเพ อนริยา ๙ เหฏ ม าย ทิสาย ๑๐ อุปริมาย ทิสาย ๕ สพเฺ พ อตฺตภาวปริยาปนนฺ า ๕ สพฺเพ เทวา มีจาํ นวนการแผ ๖ สพฺเพ มนุสฺสา ๑๐ ทิศ x ๑๒ = ๑๒๐ คาํ แผ * ข้นั ตอนในการแผก รุณา ๗ สพฺเพ วนิ ิปาตกิ า ขน้ั ตอนที่ ๑ \" บรกิ รรมภาวนา \" ๑) บคุ คล ขน้ั อุปจาร.น้ไี มแ ยกบุคคล มจี ํานวนการแผ - พวกที่กาํ ลงั ทกุ ข - พวกทก่ี าํ ลังสขุ แตอ นาคตตอ งเจอกบั ทกุ ข ๒) แผตามลําดับบคุ คล ๓) คําบรกิ รรม ( คําแผ ) ๕ คน x ๑ คําแผ = ๕ ๗ คน x ๑ คําแผ = ๗ ๑ ตนเอง บทท่ี ๑ อหํ ทุกขา มุจฺจามิ ( ตดั อติปยบุค.เพราะคนที่รกั - เปน เหตใุ หส มาธแิ กก ลา = ๑๒ คาํ แผ เพ่ือเปน บาทใหเ ขา ถึงคาํ แผบ ทที่ ๓ มที กุ ข ใจคนแผก็ทุกขดว ย ) - มคี วามแกกลา ของอนิ ทรยี มากอน ๒ มชั ฌัตตบคุ คล ๑ คน บทท่ี ๒ ทุกขา มุจจฺ ตุ - เขาถึงสีมสัมเภท ( ข้ันตอนท่ี ๒ ) ๓ ปยบุคคล > ๑ คน บทที่ ๓ ทุกขา มุจฺจนตฺ ุ รวมเปน ๑๓๒ คาํ แผ = \" อัปปนาภาวนา \" ๔ เวรีบคุ คล
- 81 - * มุทติ า มว.ความรน่ื เริงบันเทิงใจในความสขุ ความสมบรู ณข องผูอ่ืน ดงั วจนตั ถะ ตํ-สมงฺคโิ น โทนฺติ เอตายาติ = มทุ ติ า ขั้นตอนท่ี ๒ \" สมี สัมเภท \" ๒) ทิศ ๑๐ \" เปน กาํ ลังใหถ งึ อัปปนาภาวนา \" ๑) บุคคล ๑๒ \" อุปจารภาวนา \" สัปบุรษุ ผมู ีใจถึงพรอ มดว ยมทุ ิตาทงั้ หลาย ยอ มร่ืนเริงในความสขุ ความสมบรู ณของผูอน่ื ดวยธรรมชาตนิ ้ัน ฉะน้นั ธรรมชาตทิ เี่ ปนเหตแุ หง การรื่นเรงิ ชือ่ วา มุทติ า อโนทสิ บุคคล ๕ โอทิสบคุ คล ๗ ๑ ปรุ ตฺถมิ าย ทิสาย อธ. ไดแ ก มทุ ิตาเจ. ทมี่ สี ขุ ิตสตั วบญั ญัตเิ ปนอารมณ ๒ ปจฺฉมิ าย ทสิ าย ๓ อุตตฺ ราย ทสิ าย ๑ สพฺเพ สตฺตา ๑ สพฺพา อิตฺถิโย ๔ ทกฺขิณาย ทิสาย ๕ ปรุ ตฺถิมาย อนุทสิ าย * ข้นั ตอนในการแผมทุ ิตา ๒ สพเฺ พ ปาณา ๒ สพเฺ พ ปุริสา ๖ ปจฉฺ มิ าย อนทุ ิสาย ๗ อตุ ตฺ ราย อนทุ สิ าย ขน้ั ตอนที่ ๑ \" บริกรรมภาวนา \" ๓ สพฺเพ ภูตา ๓ สพฺเพ อรยิ า ๘ ทกขฺ ิณาย อนทุ สิ าย ๙ เหฏม าย ทสิ าย ๑) บุคคล ๔ สพเฺ พ ปคุ คฺ ลา ๔ สพฺเพ อนริยา ๑๐ อุปริมาย ทสิ าย - พวกที่กําลังสขุ ๕ สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา ๕ สพเฺ พ เทวา มจี าํ นวนการแผ ๑๐ ทศิ x ๑๒ = ๑๒๐ คาํ แผ - พวกทกี่ ําลังทกุ ข แตอ ดีตเคยมีความสุข ๖ สพเฺ พ มนสุ ฺสา ๒) แผตามลาํ ดับบุคคล ๓) คําบริกรรม ( คําแผ ) ๗ สพเฺ พ วนิ ิปาติกา ๑ ตนเอง บทที่ ๑ อหํ ยถาลทธฺ สมฺปตฺตโิ ต มา วคิ จฉฺ ามิ - เปนบาทใหเขาถึง คาํ แผบทที่ ๓ ๒ อตปิ ย บุคคล ๑ คน บทที่ ๒ ยถาลทฺธสมฺปตตฺ ิโต มา วิคจฺฉตุ - มีความแกก ลาของ ขั้นอุปจาร.น้ีไมแ ยกบุคคล อินทรยี ม ากอ น มีจาํ นวนการแผ ๓ ปย บคุ คล > ๑ คน บทท่ี ๓ ยถาลทธฺ สมฺปตตฺ ิโต มา วคิ จฺฉนฺตุ - เขาถงึ สีมสมั เภท ( ขนั้ ตอนท่ี ๒ ) ๔ มัชฌัตตบุคคล ๕ เวรบี ุคคล ๕ คน x ๑ คาํ แผ = ๕ ๗ คน x ๑ คาํ แผ = ๗ = ๑๒ คําแผ รวมเปน ๑๓๒ คําแผ = \" อปั ปนาภาวนา \"
* อุเบกขา มว.ความวางเฉยตอสัตวท ้งั หลายโดยมจี ติ ใจทป่ี ราศจากอาการทัง้ ๓ กลา วคือ - 82 - ๑) ไมน อมไปในความปรารถนาดี ในการทจี่ ะบาํ บดั ทุกข * ความตา งกันของ อุเบกขาพรหมวิหาร และอุเบกขาบารมี อเุ บกขาบารมี อุเบกขาพรหมวหิ าร ๑) ไมต อ งเจรญิ เมตตา กรุณา มทุ ิตา มากอน ๒) \" \" ในการช่ืนชมยินดี ๒) เกดิ กับพระโพธสิ ตั วท จ่ี ะสาํ เร็จเปน ๑) ตอ งเกดิ จากการแผเมตตา กรณุ า มุทติ า ๓) \" \" ในความสขุ ของสัตว แลว สาํ เร็จในจตุตถฌานมากอ น พระสมั มาสมั พุทธเจา ๓) เปนบารมีหน่งึ ในบารมที ัง้ ๑๐ แตอยางใดทง้ั ส้ิน ดงั วจนตั ถะ ๒) เมอื่ สําเร็จในจตตุ ถฌานแลว ตอ งละความวนุ วายใน โสมนสั สเวทนาเขา ถงึ อุเบกขาเวทนา อเวรา โหนตฺ ุ อาทพิ ยาปารปฺปหาเนน มชฺฌตตฺ ภาวปู คมเนน จ อุเปกฺขตตี ิ = อุเปกขฺ า ๓) เกิดกบั พระโยคีบุคคลทเ่ี จริญสมถะสําเร็จเปน ธรรมชาตใิ ด พิจารณาในสัตวท งั้ หลายพอประมาณดว ยการทีไ่ มรักไมช งั คอื สละความวนุ วาย ฌานลาภบี คุ คล ทเ่ี น่อื งดวย เมตตา กรณุ า มุทิตา มีอเวรา โหนฺตุ เปน ตน และมีสภาพเขาถึงความเปนกลาง ๔) จาํ กดั บคุ คลและอารมณ (บคุ คล คือ จตตุ ถฌาน และอารมณ คอื ตอ งเปนสตั วบญั ญตั ิ ) ฉะนั้น ธรรมชาตนิ น้ั ชอ่ื วา อเุ บกขา อธ. ไดแ ก ตตั ตรมชั ฌตั ตตาเจ. ทีม่ ีมัชฌตั ตสตั วบัญญัติเปนอารมณ * อเุ บกขา แท = ตัตตรมัชฌัตตตา ทมี่ ี มัชฌัตตสัตวบัญญตั ิ เปนอารมณ * กจิ เบ้ืองตนในการเจรญิ อเุ บกขา > คราวใดเกีย่ วขอ ง กับบุคคล เรียกวา อเุ บกขา ๑. เห็นความเบ่ือหนาย ความหยาบของจตุตถฌาน > คราวใดไมเกี่ยวขอ ง กับบคุ คล เรียกวา ตัตตรมัชฌัตตตา เหน็ วา หยาบ เหน็ วา ละเอียด และเหน็ ความปราณีตของปญจมฌาน เทยี ม = \" อญาณอเุ บกขา \" วางเฉยดว ยความเฉยเมย ไมรบั รู อ.ธ.ไดแก โมหเจ. ๒. ตองเปนผมู ีบญุ บารมแี ละอนิ ทรีย ๕ แกก ลา แตถาวางเฉยดวยปญ ญา = ญาณอเุ บกขาสหคต. ๓. ตอ งฝก จตตุ ถฌานกุศลชวนะ ๑-๗ วนั เพ่ือเปนบาทใหกับวสี ๕ อ.ธ. ไดแ ก ปญ ญาเจ. ฝก วสี ๕ เพอ่ื เปนบาทใหก บั ปญจมฌาน * จตตุ ถฌานลาภบี คุ คลทีส่ ําเร็จจากการเจริญ โสม.เว. วางเฉยเขา ถงึ อุเบกขา -เมตตา --> ปย มนาปสตั วบญั ญตั ิ ไดปญจมฌาน --> มชั ฌตั ตสัตวบญั ญัติ บรกิ รรม \" อหํ อเวโร โหมิ ฯลฯ \" บริกรรม \"อหํ กมมฺ สฺสโก \" -กรุณา --> ทุกขติ สัตวบัญญตั ิ บรกิ รรม \" อหํ ทุกขา มจุ ฺจามิ \" -มุทติ า --> สุขิตสัตวบญั ญตั ิ บริกรรม \" อหํ ยถาลทฺธสมปฺ ตตฺ ิโต มา วิคจฉฺ ามิ \"
- 83 - * ขนั้ ตอนในการแผอเุ บกขา ขัน้ ตอนที่ ๑ \" บริกรรมภาวนา \" ข้ันตอนท่ี ๒ \" สีมสมั เภท \" ๑) บคุ คล ๑๒ \" อุปจารภาวนา \" ๑) บุคคล ๒) ทิศ ๑๐ \" เปน กําลงั ใหถ ึง อปั ปนาภาวนา \" - พวกธรรมดา 22 22 - พวกท่ีเกิดจากอํานาจสมาธิ อโนทิสบุคคล ๕ โอทสิ บคุ คล ๗ ๑ ปุรตฺถมิ าย ทิสาย ๒) แผต ามลาํ ดับบคุ คล ๓) คําบรกิ รรม ( คาํ แผ ) ๑ สพเฺ พ สตฺตา ๑ สพพฺ า อติ ถฺ ิโย ๒ ปจฉฺ มิ าย ทิสาย ๑ ตนเอง บทที่ ๑ อหํ กมฺมสฺสโก - เปน เหตใุ หส มาธิแกก ลา ๒ สพฺเพ ปาณา ๒ สพฺเพ ปรุ สิ า ๓ อตุ ตฺ ราย ทิสาย เพ่อื เปนบาทใหเ ขาถึงคาํ แผบ ทที่ ๓ ๒ มัชฌัตตบคุ คล ๑ คน บทที่ ๒ กมฺมสฺสโก - มีความแกก ลา ของอนิ ทรียม ากอ น ๓ สพเฺ พ ภูตา ๓ สพฺเพ อรยิ า ๔ ทกฺขิณาย ทสิ าย - เขาถึงสีมสมั เภท ( ขน้ั ตอนที่ ๒ ) ๓ ปยบคุ คล > ๑ คน บทท่ี ๓ กมมฺ สฺสกา ๔ สพฺเพ ปคุ คฺ ลา ๔ สพฺเพ อนริยา ๕ ปรุ ตฺถมิ าย อนทุ สิ าย ๔ อตปิ ยบุคคล ๕ สพฺเพ อตตฺ ภาวปริยาปนนฺ า ๕ สพเฺ พ เทวา ๖ ปจฉฺ ิมาย อนทุ ิสาย ๕ เวรีบุคคล ๖ สพฺเพ มนสุ ฺสา ๗ อุตตฺ ราย อนทุ ิสาย ๗ สพฺเพ วนิ ิปาตกิ า ๘ ทกฺขิณาย อนุทสิ าย * ที่มาของ \"กมฺมสฺสกา \" ๙ เหฏม าย ทิสาย สตุ มย. ๑. รูเหตุผลวา ความเปน อยูของสัตวท ัง้ หลายมีกรรมเปนกรรมสทิ ธิ์ ขั้นอุปจาร.นี้ไมแยกบคุ คล ๑๐ อุปริมาย ทิสาย ปญญา จนิ ตา. ๒. รูเหตผุ ลวา กรรมเปน กรรมสทิ ธ์ิของสตั ว มีจาํ นวนการแผ (ฝายเหตุ) ภาวนา. - สมถ. กมมฺ สฺสกตาญาณ มาจาก กมฺมสฺสกตา มาจาก \" กมมฺ สสฺ กา \" ๕ คน x ๑ คาํ แผ = ๕ ๗ คน x ๑ คาํ แผ = ๗ มจี ํานวนการแผ -วปิ ส สนา ๑๐ ทศิ x ๑๒ = ๑๒๐ คําแผ (ปญ ญาฝา ยผล) กรรมเปนกรรมสทิ ธ์ิ กรรมเปนกรรมสิทธิ์ = ๑๒ คาํ แผ ในความเปน อยูของสัตวท งั้ หลาย ของสตั วท ้งั หลาย คาํ ทั้ง ๓ นม้ี ที ่มี าในคัมภีร \"ทสกวตั ถสุ ัมมาทิฏฐิ ๑๐ \" รวมเปน ๑๓๒ คาํ แผ = \" อปั ปนาภาวนา \" สรุป - การทาํ ดที ําชวั่ ยอมใหผ ลทางตรงและทางออ มแกส ตั วท้ังหลาย 22 22 22
- 84 - 5 อาหาเรปฏิกูลสัญญา ( น.๖, ๒๐๖ ) หมายความวา การพิจารณาจนเกดิ ความรสู ึกยึดโดยความเปนของนา เกลียดในอาหารน้ัน ชอื่ วา อาหาเรปฏิกลู สญั ญา องคธ รรม ไดแก สญั ญาเจตสิก ทใี่ น มหากศุ ล มหากริ ยิ า - วาโดยจริต เหมาะกับพทุ ธิจรติ เพราะ ตอ งใชปญ ญาในการคน หาสภาวะ ขณะท่ีโอชารปู กําลงั ซึมซาบหลอ เลย้ี ง - วาโดยภูมิ เจริญไดในมนษุ ยภมู ิ เทานั้น > เทวภูมิ อาหารไมเ ปนปฏิกลู จึงพิจารณาไมไ ด > รูปภูม,ิ อรปู ภูมิ, อสัญญสัตตภมู ิ ไมม ีกพฬีการาหารหลอเลย้ี ง > อบาย ๔ อาหารเปน ปฏิกูลได แตไ มอ ยูในวสิ ยั ท่ีจะพจิ ารณาได * อาหาเร. เปนสวนหนึ่งใน \" อาหาร ๔ อยา ง \" > นาํ \" รปู ขนั ธ \" ใหเกิดขนึ้ รูป ๑ - กพฬีการาหาร นามธรรม ๓ - มโนสัญเจตนาหาร > นํา \" วิญญาณขนั ธ \" ใหเ กดิ ขึน้ อาหารท้ัง ๔ อยาง นํา \" ขันธ ๕ \" ใหเกิดข้ึน - ผัสสาหาร - วญิ ญาณาหาร > นาํ \" เวทนาขันธ \" ใหเ กดิ ขึ้น ( ผสั สปจ จยาเวทนา ) > นํา \" นามธรรม รปู ธรรม \" ใหเกิดข้ึน ( วิญญาณปจจยานามรปู ) * อินทกสูตร อินทกยกั ษ ถามถงึ พัฒนาการชวี ิตในครรภ * อาหารทัง้ ๔ อยา งเปน ปจ จยั ไดอ ยา งไร พระพทุ ธองค ทรงตรัสวา ภพกอ น ภพนี้ ปมํ กลลํ โหติ - เบื้องแรกเกิดมี \" กลละ \" กอน 2 ๑) กพฬีการาหาร กลลา โหติ อพพฺ ุทํ - จากน้นั เปน \"อัพพทุ ะ \" 3 ๒) มโนสัญเจตนาหาร ปฏิ อพพฺ ุทา ชายเต เปสิ - จากน้นั เปน \"เปสิ \" ( อวิชชาปจจยาสังขารา ) จิตตชรปู ( สฬายตนปจจยาผัสโส ) ( ผสั สปจจยาเวทนา ) เปสิ นิพพฺ ตตฺ ี ฆโน - จากนั้นเปน \"ฆนะ\" 2 ๓) ผสั สาหาร อุตุชรปู 2 ๔) วิญญาณาหาร ผสั สเจตสกิ ทําหนา ที่ ๓) ผัสสาหาร เวทนาขนั ธ ฆนา ปสาขา ชายนตฺ ิ - จากนนั้ เปน \"ปมุ หาปุม \" กมั มชรูป มี ๔ สมฏุ ฐานครบ ( กํ.จิต.อุต.ุ อา.) เกสา โลมา นขาปจ - จากนน้ั เปน \"ผม ขน เล็บ\" = รปู ขันธ (รา งกาย) ๔) วิญญาณาหาร นามรูป ( นามรูปปจ จยาสฬายตนํ ) สปั ดาหที่ ๒ - ๓ > ยฺจสฺส ภุชฺ ติ มาตา อนนฺ ํ ปานจฺ โภชนํ มี อาหาร ๔ อยา งครบ วญิ ญาณขันธ ขนั ธ ๕ ในปฏสิ นธิกาล ๑) กพฬกี าราหาร - มารดากิน ดมื่ อะไร ( สังขารปจ จยาวญิ ญาณัง ) ( วิญญาณปจจยานามรปู ) จากมารดาสทู ารก เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตกุ ุจฉฺ โิ ต นโร เปน อาหารชรปู - สตั วใ นครรภยงั ชีพดว ยสิ่งนน้ั
- 85 - * วสิ ุทธมิ รรค กลา วถงึ รา งกายเราอยา งไร กพฬีการาหาร อดุ หนนุ ใหรางกายเกิดข้ึนและตั้งอยูไ ด และรางกายนี้นบั เนอ่ื งดวยปจจัย ดงั นี้ ลมหายใจเขา ออก อริ ยิ าบถ ๔ อิรยิ าบถยอ ย กายคตาสติ ธาตุ ๔ เมื่อตายลงนับเนื่องดว ย ความเปน ไปในอสภุ ะ มงุ หมายสัตวท ง้ั หลายทมี่ ีชวี ิตอยู และพระองคท รงเรียกทัง้ หมดนวี้ า \" การพจิ ารณา กายในกาย = กายานปุ สสนา \" * อาหาเรปฏิกูลสญั ญา วาโดยความหมาย การพิจารณาจนเกดิ ความรูส กึ ยดึ โดยความเปนของนาเกลียดในอาหารนนั้ ชอ่ื วา อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ** อารมณก รรมฐาน [ ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔ (ไมมีภาพ) ] อ.ธ. สญั ญาเจตสกิ ทใ่ี น มหากศุ ล มหากิริยา ๑) ภาวนา ๓ นมิ ิต ๓ โดยตรง ( 3 ภาพ ) ยกเปน ประธาน จัดเปน \"อารัมมณิกกรรมฐาน\" (ผูรอู ารมณ) --> บรกิ รรมภาวนา --> อปุ จารภาวนา --> \"บริกรรมนมิ ิต\" * ปฐม. บรกิ รรมภาวนา บรกิ รรมนมิ ติ อปุ จารภาวนา อคุ คหนมิ ติ ไดแก อุตุ ๓ ข้นั ตอน คือ ๑.อุตุภายนอกกาย --> ๒. อุตุภายในกาย อัปปนาภาวนา ปฏิภาคนิมติ - ไมย อ ย ๓. อตุ ภุ ายนอกกาย (อจุ จาระ / ปส สวะ) * ทุตยิ . เปน ตน ไป = ๓ ภาวนา ปฏภิ าคนมิ ิต - ยอ ย ๒) ภาวนา ๓ นมิ ติ ๓ โดยปรยิ าย ( 2 ภาพ ) ขณะยอยมกี ารนําโอชารปู ไปใชง าน \" กลาปหนึง่ ๆ ของโอชารูป \" บริกรรมภาวนา บริกรรมนมิ ิต * คาถาวธิ พี จิ ารณาปฏกิ ลู สญั ญาเกิดในการบริโภคอาหาร ๑๐ ประการ มหาภตู ๔ อปุ จารภาวนา อคุ คหนมิ ิต \" คมนา เอสนา โภคา อาสยา จ นิธานโต สี กโลอชิน่.. ารส อัปปนาภาวนา อปกกฺ า จ ปกกฺ า ผลา นสิ สฺ นฺทโต จ มกขฺ นา * อาหาร = ขอ ๗, ๘ ปฏิกลู = ๑๐ ขอ เวน ขอ ๗, ๘ เอวํ ทสหากาเรหิ อกิ ฺเขยฺย ปฏกิ ูลตา ฯ \" โอชาตัวนค้ี อื \"อาหาร\" ทถ่ี ูกซมึ ซาบ แปล ผเู จริญพงึ พจิ ารณาเหน็ เปน ของนาเกลียดในการบรโิ ภค โดยอาการทั้ง ๑๐ มีดังน้ี นบั ตง้ั แตส ัปดาหท่ี ๒ - ๓ สืบเนอื่ งตอกันจนถงึ วันตาย การซมึ ซาบนีถ้ ือเปน \" สภาวะของอาหาร \" ๑. โดยการไปสูสถานทท่ี ่ีมีอาหาร ๒. โดยการแสวงหา ๓. โดยการบรโิ ภค ๔. โดยทีอ่ ยู มีนาํ้ ดี เสมหะ หนอง เลอื ด ๕. โดยกระเพาะซง่ึ เปนที่หมกั หมมรวมกันแหงอาหารใหม ๖. โดยยังไมยอ ย ๗. โดยยอ ยแลว ๘.โดยผลท่ีสาํ เรจ็ ๙. โดยการหล่งั ไหล ๑๐.โดยเปอ น
- 86 - * วธิ พี จิ ารณาปฏกิ ลู สญั ญาเกิดในการบรโิ ภคอาหาร ๑๐ ประการ ( น. ๒๐๖ - ๒๑๑) ๑) คมนา พจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู โดยการไปสสู ถานที่ที่มีอาหาร ๑) คมนา + ๒) เอสนา --> อุตุ ๓ ข้ันตอนและโอชารูปขณะซมึ ซาบ ๒) เอสนา \" \" โดยการแสวงหา ๓) โภคา \" \" โดยการบริโภค อตุ ุภายนอก อุตภุ ายใน อตุ ภุ ายนอก ๓) โภคา (กพฬีการาหาร) ๔) อาสยา (นาํ้ ดี, เสมหะ, หนอง, เลือด) ๙) นสิ สฺ นทฺ โต (หลัง่ ไหล ๙ ชอง) ๔) อาสยา \" \" โดยทอี่ ยู ๕) นธิ านโต (กระเพาะอาหาร) ๑๐) มกฺขนา (ความแปดเปอน) ๕) นิธานโต \" \" โดยกระเพาะซึ่งเปน ทห่ี มกั หมมรวมกนั แหงอาหารใหม ๖) อปกกฺ า \" \" โดยยังไมย อย ๖) อปกกฺ า (ไมยอ ย) ๗) ปกฺกา (ยอ ย) = อทุ รยิ ํ = กรีส,ํ มตุ ฺตํ ๗) ปกฺกา \" \" โดยยอ ยแลว สทุ ธฏั ฐกกลาป ๘ สัททนวกกลาป ๙ ๘) ผลา ๘) ผลา \" \" โดยผลทส่ี ําเรจ็ ( มีเสยี ง อุตุไมย อย ) = ผม, ขน, เลบ็ + สว นท่เี หลือ ๙) นิสสฺ นฺทโต \" \" โดยการหลั่งไหล ๑๐) มกฺขนา \" \" โดยความแปดเปอน * พระโยคีบางทา นพิจารณาอาหาเร.ในขอ ๔, ๕, ๖, ๘, ๙ เขาถงึ กายคตาสติ โดยออ ม แบบปรมัตถ (ไมพ ิจารณาไปถึงการซมึ ซาบ ) ปกตกิ ารเจรญิ กายคตาสติ เปนการเขา ถงึ โกฏฐาสนมิ ติ (โดยตรง แบบบญั ญัติ ) / เขาถงึ วัณณนมิ ติ (โดยออม แบบบญั ญัติ ) / เขาถงึ ธาตุนิมติ (โดยออม แบบปรมตั ถ ) * การเจริญ กายคตาสติ ไมไดใ น อาหาเรปฏิกลู สญั ญา เพราะ ไมไ ดพจิ ารณาลกึ ไปถึงอาหารทีซ่ ึมซาบ (ไมพ ิจารณาในขอ ๗ ) * กระบวนการยอ ยอาหาร การนําสารอาหารทอี่ ยูในสภาพของ โมเลกลุ เดย่ี ว เชน กรดไขมัน ฯลฯ นาํ สูรา งกาย การยอ ยอาหาร มี ๒ อยา ง การยอยอาหารเชงิ กล การยอ ยอาหารทางปฏกิ ริ ยิ าเคมี - การทําอาหารทีห่ ยาบใหละเอียดโดยการเคี้ยว - การนําเอนไซม ทเ่ี ปนประเภทอนิ ทรยี ของโปรตีน ทเ่ี กดิ จากสิ่งที่มีชวี ติ เทา น้ันผลติ ขึ้นมา - การบบี รดั ของอวัยวะทางเดินอาหาร - การกระทําโมเลกุลท่ใี หญใหเ ลก็ โดยอาศยั นํา้ ยอ ยในการชว ย เรียกวา \" ไฮโดรไลซสี \"
- 87 - อวยั วะทชี่ ว ยในการยอ ย อวัยวะทเี่ ปน ทางเดนิ อาหาร อวยั วะทผ่ี ลติ นาํ้ ยอ ยในการยอยอาหาร ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะ.อาหาร ลาํ ไสเ ลก็ ลําใสใ.หญ ทวารหนัก ตอมนํา้ ลาย ตบั +น้ําดี ตบั ออ น .. กระบวนการยอ .ย ขอ ๗ - ๘ . ซึมซาบ ซมึ ซาบอาหาร ซึมซาบ - นา้ํ , แรธาต,ุ น้ําตาลโมเลกลุ เดย่ี ว ๙๐% - วติ ามิน + เกลือแรจ ากกากอาหารโดย แบคทีเรีย - แอลกอฮอล (ซมึ ซาบดีในกระเพาะ) มีน้ําเมอื กยอยแทนนํ้ายอ ย * กระบวนการยอ ยอาหาร ยอยเชิงกล ฟน = ฟน ตัด, ฟน ฉีก, ฟน บด กพฬีการาหาร --> ปาก. ล้นิ = รสหวาน (ปลายล้นิ ) / รสเคม็ (ปลาย + ขา งลิน้ ) / รสเปร้ยี ว (ขา งลนิ้ ) / รสขม (โคนลนิ้ ) . ยอยทางเคมี --> ตอมนา้ํ ลาย - คูที่ ๑ ใตล้นิ หล..คออดหอ...อาหยาร มี Reflex ๔ อยาง - คทู ี่ ๒ ใตข ากรรไกร ผลิตนา้ํ ตาลโมเลกุลเดีย่ ว \"กรดอะไมเลส \" ทาํ งานเฉพาะท่ีปากกับหลอดอาหาร ๑.เพดานออ น (ยกตัวปดชองจมูก) ๒.เสน เสยี ง (บีบปดหลอดลม) . - คทู ี่ ๓ ใตกกหู ในกระเพาะอาหารมี \"กรดไฮโดรคลอลิก\" ทาํ งานตอในกระเพาะอาหาร ๓.กลอ งเสยี ง (ถกู ดนั ขน้ึ -> ชองคอขยาย) ๔.กลา มเน้อื (หดตัวใหอาหารลงสะดวก) กระเพาะ.อาหาร สว นที่ ๑ ตอ หลอดอาหาร ( อยูใกลห ัวใจ ) สวนที่ ๒ กะพงุ อาหาร คือ ทางเดินอาหารท่ใี หญที่สดุ ยาว ๑๐ นว้ิ กวา ง ๕ นว้ิ บรรจุอาหารได ๑ - ๒ พนั ลบ.ซ.ม. มกี ลามเนื้อแข็งแรงทีส่ ุด . มตี อมนํา้ ยอ ยประมาณ ๓๕ ลา นตอ ม เรียกวา \" Gastric Juice \" หรือ \" ปาจกเตโช \" เกิดจากการสัง่ งานของสมองคูที่ ๑๐ อาหารจะอยใู นกะพงุ อาหารประมาณ ๓๐ นาที ถึง ๓ ชว่ั โมง ในวิสุทธิมรรคเรียกการยอยในชวงนวี้ า \"การหุง\" สว นท่ี ๓ ตอลําไสเ ล็ก มกี ารผลิตน้ํายอยมากท่สี ดุ (อยูใกลตบั ) ตับ + ตบั ออ น จะสงนาํ้ ดี เขาไปตรงจุดน้ีเพอื่ ชวยยอ ย ขอ ๙ - ๑๐ <-- ทวารหนัก ดึงเกลล..อื าํ แไรสวใติหาญมินและผล..ลติ ําไสเล็ก (ยาว ๗-๘ เมตร) ตรงสวนตอ จากกระเพาะอาหาร เมอื่ รับกากอาหาร+สารอาหารจากกระเพาะแลว จะเริม่ กระบวนการ \" ซมึ ซาบ \" คอื ขอ ๗ - ๘ ขณะลําไสบ ีบตวั ๑ ครั้ง สารอาหารก็ซึมซาบผานเสนเลือดฝอยท่ีผนงั ลาํ ไสเล็ก ขณะซึมซาบ ๑ หน โอชารปู นนั้ แหละกาํ ลงั เกดิ เปนอาหารชรปู ๑ ครง้ั น้าํ เมอื กทําใหกากอาหารออ นนมุ
- 88 - * อาหารที่พระพทุ ธองคทรงแสดงเกยี่ วกบั ๔ สมฏุ ฐาน ( ก.ํ จิต. อตุ .ุ อาหาร ) อตุ ภุ า.ยนอก อตุ ภุ ายใน -> กระบวนการตัง้ แตเ ขาปาก ถึงปลายกระเพาะอาหาร กมั มชโอชา ชวย กมั มชกลาป (-โอชา.) เรียกวา \"ชนกสตั ติ\" ชวย จิตตชกกลาป, อุตุชกลาป,อาหารชกลาป โดยความเปน . \"อุปถัมภกสัตติ \" กพฬ.กี าราหาร . อาหารชรปู -> ชว งซึมซาบทลี่ ําไสเล็ก, ใหญ (ขอ ๗,๘) หลอเล้ียงสมฏุ ฐาน --> จิตตชโอชา ชวย จติ ตชกลาป (-โอชา.) เรียกวา \"ชนกสตั ติ\" . ชวย กัมมชกลาป, อตุ ชุ กลาป,อาหารชกลาป โดยความเปน . (อชั ฌตั ตโอชา) - เปนอปุ จารภาวนา แตถ าไมพบสภาวะ กย็ ังคงเปน บริกรรมภาวนา \"อุปถัมภกสตั ติ \" อุตุชร.ูป ( ๒ กลาป ) สทุ ธัฏฐกกลาป ๘ ( ยอ ยอาหารดี / ไมดี เพราะมกี รรมเปนปจจยั ) อุตุชโอชา เหมือนกนั .. ฯลฯ .. . สัททนวกกลาป ๙ อุตภุ ายนอก -> อุจจาระ อาหารชโอชา เหมือนกนั .. ฯลฯ .. พาหทิ ธโอชา รูป ---------..---> นามธรรม * วาโดยปฏฐาน ได อาหารชาติ ได ๓ ปจ จยั คือ อาหารปจจัย, อาหารัตถปิ จจยั , อาหารอวคิ ตปจจัย วัตถปุ ุเรชาต. ปจ ฉาชาต. * เปรียบเทียบอาหาเรปฏิกูลสัญญา กับ ปรญิ ญา ๓ ( น. ๒๑๒ ) ทิฏฐิวสิ ทุ ธิ --> นามรูปปรจิ เฉทญาณ ญาตปริญญา - ปญ ญารูในสภาพของรปู กลาป ขณะซึมซาบ อนั เปนปจ จบุ นั กงั ขาวิตรณวสิ ุทธิ --> ปจ จยปริคคหญาณ ตรี ณปริญญา - เหตุปจ จยั ใหรูปกลาปเกดิ มคั คามัคคญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ --> สัมมสนญาณ - ปญ ญารถู งึ สภาพ การเกดิ ดับ ของโอชารูป ขณะท่กี าํ ลงั ซมึ ซาบ --> ตรุณอุทยัพพยญาณ ปหานปรญิ ญา ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ --> พลวอุทยพั พยญาณ ( เหน็ การดับไปอยา งเดยี ว ) - โลกยี ะ > ปหานอารมั มณานุสัย ท่เี ปน ปยรปู สาตรูป ฯลฯ = ตทังคปหาน --> ภังคญาณ - โลกุตตร > ปหาน สันตานานสุ ัย = สมจุ เฉทปหาน ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ --> ภย, อาท,ี นพิ พทิ า. --> มุญจิ, ปฏิ, สังขาร. --> อนโุ ลมญาณ --> โคตรภญู าณ --> มคั คญาณ --> ผลญาณ, ปจ จเวกขณญาณ
- 89 - 5 จตธุ าตวุ วัตถาน ( น.๖, ๒๑๔ - ๒๒๔ ) หมายความวา การพิจารณาธาตุทงั้ ๔ ทป่ี รากฏในรา งกายจนกระทง่ั เห็นเปนแตเ พยี งกองแหงธาตุ โดยปราศจากความจาํ วา เปน หญงิ ชาย เรา เขา สัตว บคุ คลเสียได เรยี กวา จตุธาตุววตั ถาน อ.ธ. ปญญาเจตสิก ท่ใี น มหากุ.สํ.๔, มหาก.ิ ส.ํ ๔ - วาโดยจรติ > พทุ ธจิ ริต คน หาสภาวะของธาตุ ๔ - วาโดยภมู ิ > เจริญไดใน ๒๒ ภูมิ ( มนษุ ย, เทวดา ๖, รูปภูมิ ๑๕ เวนอสญั ญสัตตภูมิ ) - วา โดยภาวนา > บรกิ รรมภาวนา --> อปุ จารภาวนา --> ไดบริกรรมนิมิต เพยี งอยา งเดยี ว คือ ธาตุ ๔ ทีม่ อี ยใู นกายตนนนั้ เอง สาํ หรบั อปั ปนาภาวนา อันเปน ตัวฌาน เกิดขึ้นไมไ ด เพราะ ธาตทุ ้ัง ๔ นีเ้ ปนสภาวะลวนๆ ผเู จริญตอ งใชปญ ญาอยา งแรงกลา จึงจะรเู หน็ ในสภาวะเหลา นี้ได เหตนุ ้ี สมาธิของผเู จรญิ จงึ ไมม กี าํ ลงั พอที่จะเขาถึงฌาน * วาโดยยอ แสดงธาตุ ๔ ทเ่ี กิดจาก ๔ สมฏุ ฐาน มีธาตุ ๔ เหมือนกนั ตางกันท่สี มุฏฐาน ( ก,ํ จิต, อุต,ุ อา. ) * บางครง้ั พระโยคีบคุ คลเจริญในกายคตาสติ ก็สําเร็จเขาถึง ธาตุ ๔๒ ดว ย ดังนัน้ ผูทเี่ จรญิ ใน ธาตุ ๔๒ กส็ ามารถเขา ถงึ เหมาะกับตกิ ขบคุ คล ท่พี ิจารณาอยา งยอๆ กส็ ามารถสาํ เรจ็ มรรค ผลไดเลย \"กายคตาสติ\" ไดด วย * วาโดยพสิ ดาร แสดงธาตุทง้ั หมด ๔๒ ( ไดใ นอนตั ตสัญญา ) การเจรญิ กายคตาสติ ไดโดยตรง > โกฏฐาสนิมิต เหมาะกับมนั ทบุคคล พิจารณาคลา ย กายคตาสติ โดยพิจารณาเร่อื งของสี, ฐาน, ทศิ , ทต่ี ัง้ , เขต ไดโ ดยออ ม > วัณณนมิ ิต ถา ไมส ําเรจ็ ใหพ จิ ารณาใน ธาตุ ๔ ถาไมสําเรจ็ อกี ใหพ ิจารณาใน อาการ ๑๓ ขอ ไดโ ดยออ ม > ธาตุนิมติ < เปน ตวั ทําใหเขาถึง ธาตุ ๔๒ ได ธาตุ ๔๒ พจิ ารณาใน ไมไ ดใ น อาหาเรปฏิกลู สัญญา เพราะ ไมไดพ ิจารณาลงลึกในขณะ \"ซมึ ซาบ\" แตการเจรญิ อาหาเรปฏิกูลสญั ญา สามารถเขา ถงึ กายคตสติ ได ปถวธี าตุ ๒๐ อาโปธาตุ ๑๒ เตโชธาตุ ๔ วาโยธาตุ ๖ โดยไดแบบปรมัตถ ซ่งึ ดกี วา การเจรญิ กายคตาสติ โดยตรงที่ไดแ บบบญั ญตั ิ เกสา --> มตถฺ ลงุ คํ ปต ตฺ ํ --> มตุ ตฺ ํ เกิดประจาํ รางกาย ๑. อทุ ฺธงฺคมวาโย (ลมพัดสเู บอื้ งบน) และการเจรญิ อาหาเร. นก้ี ไ็ ดใน อสภุ สญั ญา อกี ดวยเพราะพิจารณาเหน็ ถึง > อสุ มาเตโช ๒. อโธคมวาโย (ลมพัดสูเบ้อื งลาง) ความไมสวยไมงามในอาหารเกาอาหารใหม - สนั ตปั ปนเตโช ๓. กุฏฉิฏวาโย (ลมในชอ งทอง) แตการเจริญ ในธาตุ ๔๒ นน้ั ไดอานิสงสใ น อนัตตสญั ญา - ทหนเตโช ๔. โกฏ าสยวาโย (ลมในลาํ ไส) - ชริ ณเตโช (ทาํ ใหแ ก) ๕. องคฺ มงฺคานุสารีวาโย (ลมท่ัวรา งกาย) > ปาจกเตโช ๖. อสฺสาสปสสฺ าสวาโย ชว ยในการยอ ยอาหาร (ลมหายใจเขา ออก)
- 90 - * การพจิ ารณา ธาตุ ๔๒ โดยอาการ ๑๓ ( น. ๒๑๗ ) ทานยกธาตบุ างอยางในกาย โดยความเปนกลาป ดงั น้ี ( น. ๒๑๘ ) ผูทเ่ี จรญิ ธาตุ ๔๒ โดยเฉพาะๆ ไปตามลาํ ดบั แลว แตธ าตนุ มิ ิต ก็ไมปรากฏ ตองทําการพิจารณาตอไป ๑. หทยวัตถุ มีรูป รวมอยู ๑๒ รูป โดยอาการ ๑๓ ดังน้ี มัชฌิมกาย > กาย ภาวะ หทย ชวี ิต ๑) พิจารณาโดย วจนตฺถโต พจิ ารณาโดยความหมายแหง ศัพท พิจารณาโดยความเปน บญั ญตั ิ อวนิ พิ โภครูป > ๘ ๘ ๘ ๘ อวินพิ โภค.๘ + ๔ = ๑๒ รปู ชวี ติ > ๑ ๑ ๑ - > ปถวีธาตุ มีลักษณะแข็ง > เตโชธาตุ มีไอเยน็ / อุน สหี เตโช + อณุ หเตโช ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๙ > อาโปธาตุ มคี วามไหลหรอื เกาะกมุ > วาโยธาตุ มคี วามเครงตงึ พัดไหว ธาตุเหลา นม้ี ีการทรงไวซ่งึ สภาพของตนๆ แลวแสดงสภาพน้ันๆ ใหปรากฏข้นึ ฉะนนั้ ในกายของตนน้ี ๒. เน้อื เอน็ หนงั ตบั ปอด สมอง เหลา นีม้ ีรปู รวมอยู ๑๑ รปู รา งกาย > กาย ภาวะ ชีวิต - สวนท่แี ข็ง > เปน ปถวี - สว นทีไ่ หลซมึ > เปน อาโป อวินิพโภค.๘ + ๓ = ๑๑ รูป อวนิ ิพโภครปู > ๘ ๘ ๘ - ไออนุ > เปน เตโช - สว นท่เี ครง ตึง > เปน วาโย ชีวติ > ๑ ๑ - ๑๐ ๑๐ ๙ ๒) พิจารณาโดย กลาปโต พิจารณาโดยความเปน หมวดหมทู ่ีโตประมาณเทา กับปรมาณูเมด็ หนง่ึ เบือ้ งตน \"กาย\" น้ันแบงเปน ๓ สว น คือ สป. ๓. ปาจกเตโช มรี ูปรวมอยู ๙ รูป (ชวี ิตนวกกลาป) เริ่มเกิดข้ึนในสป.๑ และทําหนาทยี่ อยใน สป.๒-๓ ๑๑ สป.๑ ปฏิ ....... สป.๑ ....... ปจกเตโช นจ้ี ะเกิดอยใู น ชีวิตนวกกลาปอยา งเดยี ว ไมเ กย่ี วกับ กาย, ภาว, วัตถุ เลย ๑. อปุ ริมกาย = กาย, ภาว, ชีวติ ., ตา หู จมกู ลนิ้ , ..... ๒.มชั ฌมิ กาย = กาย, ภาว, วัตถุ (หทย), ชีวติ อตุ -ุ อุสมาเตโช ปถวี ๓.เหฏฐมิ กาย = กาย, ภาว, ชีวติ กาย,ภาว,วตั ถุ ชวี ติ นวกกลาป = อวินพิ โภ. > ๘ มีมหาภ.ู ๔ = อาโป ปฏิ ....... สป.๑ ....... สป.๑๑ ....... สป.๑๒ ชีวติ > ๑ เตโช = ปาจกเตโช ๙ วาโย อุต-ุ อุสมาเตโช ผม ขน เล็บ ฟน ๔. ผม ขน เล็บ และธาตนุ ํ้าบางอยาง มเี ลอื ด หนอง เปน ตน ธาตุไฟที่เหลือจากปจกเตโช กับธาตุลม ๖ เปน อตุ ุทไ่ี มไดเกดิ จากกรรม แตอาศยั ท้ัง เหลาน้มี ีรูปรวม ๘ รูปซึ่งเกดิ จาก ๔ สมุฏฐาน คือ อวินิพโภครูป ๘ หรือ สุทธฏั ฐกลาป ๘ กาย,ภาว,วตั ถุ ชีวิตนวกกลาป ตา หู จมกู ลิ้น ๔ สมฏุ ฐานเกดิ \"อุสมาเตโช\" เปนธาตไุ ฟ ** ดงั นนั้ ท่ีกลาวกนั วา เปนสัตตะ ชีวะ เรา เขา หญงิ ชาย เหลา นี้ จงึ ไมควรกลา วถึง ทเ่ี กดิ จากกรรม พรอ มกับกาย เปน เหตุใหอ วัยวะตางๆ เกดิ ขึ้น ในโครงกายไดใ นสปั ดาหหลังๆ
- 91 - ๓) พจิ ารณาโดย จณุ ฺณโต พิจารณารางกายมขี นาดเปน ผงละเอียดเลก็ เทาปรมณู ๕) พิจารณาโดย สมฏุ านโต พจิ ารณาโดยสมุฏฐานท้ัง ๔ ในธาตุ ๔๒ เม่อื ตวงดแู ลวไดป ระมาณ ๒๐ - ๓๐ ลติ รเทานนั้ ท่ีปรากฏเปนรูปรางสณั ฐานได เพราะ ๑. อาหารใหม อาหารเกา หนอง ปสสาวะ ๔ อยา งน้ี เกดิ จากอุตุ เปน สมุฏฐาน เพราะ มีอาโปธาตุ - เชือ่ มเกาะกมุ ยดึ อยู มีวาโยธาตุ - คอยค้าํ จุนใหต ง้ั ม่ัน มเี ตโชธาตุ - เปนผเู ลี้ยงรักษา \" ยงั ไมยอย ยังไมซึมซาบ \" และบางสว นยอยแลว \"ผานการซมึ ซาบ\" ไปแลว ไมเ ปนอาหารชรปู ปถวธี าตุ ๒๐ คุณประโยชนของการพจิ าณาขอนคี้ ือ ๒. นํา้ ตา เหงือ่ นํ้ามกู นา้ํ ลาย ๔ อยางน้ี บางทกี เ็ กิดจาก อตุ ุ บางทีก็เกจิ ากจิต เปน สมุฏฐาน อาโปธาตุ ๑๒ สามารถทีจ่ ะละ อัตตตวั ตน เตโชธาตุ ๔ เกิด อนัตตสัญญาได น้าํ ตา เกดิ จากความเศรา โศก เพราะโทมนสั เวทนา คราวนั้น น้ําตามี จติ เปนสมุฏฐาน วาโยธาตุ ๖ ** นอกจากธาตุ ๔ นีก้ ห็ ามีอะไรอนื่ ไม เกดิ จากควัน ผงฝนุ ในอากาศ เปนตน คราวน้นั นํา้ ตามี อุตุ เปน สมุฏฐาน เหง่อื เกิดจากเรงรบี เพราะความกลวั มีโทมนัสเวทนา คราวนั้น เหง่อื มี จติ เปนสมุฏฐาน เกิดจากในท่รี อ นอบอา ว คราวนนั้ เหงื่อมี อุตุ เปน สมฏุ ฐาน ๔) พจิ ารณาโดย ลกฺขณาทิโต พิจารณาโดยลักษณะ รส(กจิ ) ปจ จปุ ฏฐาน (อาการปรากฏ) นาํ้ มกู เกิดจากมปี ริเทวะมากๆ คราวน้ัน นํ้ามกู มี จติ เปนสมุฏฐาน เกดิ จากอาการภมู แิ พอ ากาศหนาวเย็น คราวนั้น น้าํ มกู มี อตุ ุ เปน สมฏุ ฐาน ธาตุ ๔ ลักษณะ รส (กิจ) ปจ จุปฏฐาน ( อาการปรากฏ ) นํา้ ลาย เกดิ เมื่อเหน็ อาหารรสเปรี้ยว ก็เกดิ มโนสมั ผัสสะ คราวนั้น นา้ํ ลายมี จติ เปน สมฏุ ฐาน ปถวี มคี วามแขง็ เปน ที่ตั้งใหร ูปอ่นื ๆ เปนอาการทีร่ องรับใหรปู อ่ืนๆ ปรากฏขน้ึ เกิดเมอ่ื ลิน้ แตะอาหารรสเปรยี้ ว เกิดชวิ หาสมั ผสั สะคราวน้นั นํ้าลายมี อุตุ เปน สมุฏฐาน อาโป ไหล, เกาะกุม เปน โครงสรางใหร ูปอ่ืน ทาํ ใหร ปู อนื่ ๆ เจริญข้นึ ทาํ ใหร ูปอนื่ ๆ รวมกนั เปน กลมุ เปนกอ น ๓. ปาจกเตโช เกดิ จากกรรม เปน สมฏุ ฐาน ( เกิดใน ชวี ติ นวกกลาป เทาน้นั ) เตโช มีไออนุ มกี ารรักษาให ใหร ูปอนื่ ๆ มคี วามสกุ แกแ ละออนนมุ ๔. ลมหายใจเขา ออก เกดิ จากจิต เปนสมุฏฐาน ( จิต ๗๕ เวนทวิ.๑๐ อรปู .๔ อาศยั หทยวตั ถุ เกิด) รปู อน่ื ๆ อยูไ ด - หทยวตั ถุ เปนเหตใุ หลมหายใจเกิด วาโย มคี วามเครง ตึง มีการอดุ หนุนและชักนํา มกี ารใหรูปอน่ื ๆ เคล่อื นไหวได - กายปสาท เปน ตัวรับการกระทบ มงุ หมายใน กามภูมิ ใหร ปู อน่ื ๆ ตง้ั อยู - กายวิญญาณจติ เปน ตัวเขา ไปรับรูการกระทบ ๕. ธาตทุ ีเ่ หลอื ๓๒ เกิดจาก ๔ สมฏุ ฐาน ( กรรม จติ อตุ ุ อาหาร ) พระโยคบี คุ คล ถาพจิ ารณาขอนี้ เขา ถงึ นามรูปปริจเฉทญาณ ได ปฏิ ....... สป.๑ สป.๒ ....... สป.๑๑ ....... สป.๑๒ ** นอกจากธาตุ ๔ นี้กห็ ามีอะไรอนื่ ไม อตุ -ุ อุสมาเตโช ปาจกเตโช ปาจกเตโช กาย,ภาว,วัตถุ ชวี ิตนวกกลาป มีกพฬีการาหาร ตา หู จมกู ลิน้ ผม ขน เล็บ ฟน กรรมเปนสมุฏ. จิตเปนสมุฏ. อาหารเปน สมฏุ . มี ธาตุทีเ่ หลือเปน สมุฏฐาน
- 92 - ๖) พิจารณาโดย นานตตฺ เอกตตฺ โต พิจารณาโดยความตา งกันและเหมือนกนั ๗) พจิ ารณาโดย วนิ พิ โฺ ภคาวินพิ โภคโต พจิ ารณาธาตุ ๔ โดยความแยกจากกนั ได ( วินพิ โภค ) เพราะ ลักษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน เทานั้น สาํ หรบั ธาตุ นั้นแยกจากกันไมไ ด ( อวินิพโภค ) กลาปหนึ่งๆ ปถวี วนิ พิ โภค + อวนิ พิ โภค อาโป ตางกนั ภายใน ตา งกนั ภายนอก เตโช ดว ย \" ลกขฺ ณาทิโต\" ดว ย \" สมุฏานโต \" เม่อื พจิ ารณาธาตุทัง้ ๔ พรอ มกัน ไมสามารถแยกสภาวะได เพราะ ธาตุ ๔ เปน ปจจยั อุปการะแกก ันและกนั วาโย เม่อื พจิ ารณาทีละธาตุ มีความตา งดวย ลักขณาทโิ ต และสมุฏฐานโต สามารถแยกจากกันได เปน นานตฺต = นานตฺต (ตางกนั ) แตกระนน้ั กค็ งเปนมหาภูตรูป เปน ธาตุ มีความเกิดดับเหมอื นกนั เปน สามญั ลกั ษณะ เรยี กวา \" เอกตฺตโต \" หรือ ๘) พจิ ารณาโดย สภาควิสภาคโต พิจารณาธาตุ ๔ โดยความเขา กนั ไดแ ละไมได - ปถวธี าตุ กบั อาโปธาตุ เปน สภาคะกัน เพราะเปน ครกุ ธาตุ ธาตุหนกั ดวยกัน ปฏิ สป.๑ ๒-๓ - เตโชธาตุ กับวาโยธาตุ เปนสภาคะกนั เพราะเปน ลหุธาตุ ธาตุเบาดวยกนั รูปเกดิ จากอาหาร รปุ ปนลกขฺ ณํ ปถวี สภาคะกัน (ครกุ ธาต)ุ เตโช สภาคะกนั (ลหุธาตุ) รูปเกิดจากจติ ทกุ ๆ รปู มอี ายเุ ทากัน ๑๗ ดวง อาโป วาโย รูปเกิดจากอุตุ ( ๕๑ ขณะเลก็ ) รปู เกิดจากกรรม วิสภาคะกัน เพราะธาตุตา งกนั = นานตตฺ (ตา ง) = เอกตตฺ (เหมอื น) * ความเปนไตรลกั ษณในนาม คอื อนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตา * ขณะทกี่ าํ ลงั ยก ยาง ยาย > ลหธุ าตุ มีประมาณมาก > ครุกธาตุ มปี ระมาณต่ํา * ความเปนไตรลกั ษณใ นรปู คือลกั ษณะ ๔ อยาง มี อปุ จย สันตติ ชรตา อนจิ จตา * ขณะท่กี าํ ลัง ลง เหยยี บ กด > ครกุ ธาตุ มปี ระมาณมาก > ลหธุ าตุ มปี ระมาณตํ่า
- 93 - ๙) พจิ ารณาโดย อชฺฌตตฺ ิกพาหริ วเิ สสโต พิจารณาธาตุ ๔ โดยความเปน ภายในภายนอกที่แปลกกัน ๑๐) พิจารณาโดย สงคฺ โห พิจารณาโดยความสงเคราะห ๑. ธาตุ ๔ ทเ่ี กดิ อยูในรา งกายสัตวท ้งั หลายน้ี เปนท่ีอาศัยเกดิ ของ ปสาทรูป ๕ หทย ภาว ๒ ชีวิต อวนิ ิพโภครูป ๘ เกดิ จาก (ธาตุ ๔ ทอ่ี ยใู นกรรม ) สตั วท ้งั หลาย กรรม จติ อุตุ อาหาร จกั ขุ โสต ฆาน ชวิ หา กาย ภาว วัตถุ ชวี ติ มหาภตู รูป ๔ มหาภูตรูป ๔ มหาภตู รปู ๔ มหาภูตรูป ๔ อาศยั มหาภูต. ๔ (ธาต๔ุ ) ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ อวนิ พิ โภครูป อปุ าทายรูป อุปาทายรปู อุปาทายรปู อปุ าทายรปู เกดิ ดว ยอาํ นาจปจ จยั ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - ชวี ิตรปู ส. นิ. ถิ. อ. ๑. ธาตุ ๔ สงเคราะห ซึ่งกนั และกนั ในสมฏุ ฐานเดยี วกนั ๒. ธาตุ ๔ สงเคราะห อุปาทายรปู ที่ในสมฏุ ฐานเดียวกัน ๒.ธาตุ ๔ เปนที่อาศยั ของ วิญญตั ิรปู ๒ ประกอบไปดว ย อิริยาบถ ๔ เกดิ จากสมฏุ ฐาน ๔ ครบบรบิ รู ณ (ธาตุ ๔ ท่ีอยใู นจิต ) ** ธาตุ ๔ ใน กัมมชรูป ไมส งเคราะห ธาตุ ๔ ใน จติ อตุ ุ อาหาร เพราะเปน คนละสมฏุ ฐาน จติ ที่ทําใหอ ิริยาบถ ๔ เคล่อื นไหวไดม ี จิต ๓๒ ( กามชวนะ ๒๙ มโน.๑ อภญิ .๒ ) เปนปจ จัยให - ปถวีธาตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ที่เกิดจาก กรรมดว ยกัน รปู กลาปเกิด ในรปู กลาปมธี าตุ ๔ เปน ปจ จัยให วญิ ญตั ิรูป ๒ เคลอื่ นไหว - ปถวีธาตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ทเ่ี กิดจาก จติ ดวยกัน (อ.ธ.ขอ ที่ ๕ ในปจ จัย ส.นิ.ถิ.อ. ) - ปถวธี าตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ท่ีเกิดจาก อุตุดวยกัน - ปถวธี าตุ สงเคราะห อาโป เตโช วาโย ท่ีเกิดจาก อาหารดวยกนั ๓. ธาตุ ๔ ทีเ่ กิดนอกคน นอกสัตว มีสมฏุ ฐานเดียวคือ อุตุ ความตางกันของอัชฌตั ตและพาหทิ ธ อัชฌัตต พาหทิ ธ ๑. ธาตุ ๔ เปนปจจยั ชวยซ่งึ กันและกนั และชวยรปู อน่ื ๆ ๑. เหมอื นกัน ๒. ธาตุ ๔ เกดิ จาก ๔ สมฏุ ฐาน ๒. ธาตุ ๔ เกิดจาก อุตุ เปนสมุฏฐาน ๓. ในกัมมชรปู มีชวี ติ รูปรกั ษา ในจิต อุตุ อาหาร มี ๓. ไมมีชวี ติ รูป และวกิ ารรูป ๓ วกิ ารรูป ๓ รักษา
๑๑) พิจารณาโดย ปจจฺ ยโต - 94 - ๑๒) พจิ ารณาโดย อสมนฺนาหารโต พิจารณาโดยความอุปถมั ภ ซ่งึ กันและกัน เชน ปถวธี าตุ นี้เปน ทตี่ ้งั และชวยอุดหนุน มหาภตู ทเ่ี หลอื ๓ ดว ยอาํ นาจปจ จัย สหชาตะ นสิ สยะ อัญญมญั ญะ เปนตน พิจารณาโดยความไมร อู ารมณ เชน ปถวี มไิ ดรวู า ตนเปนธาตุดนิ และมิไดร วู า ตนกาํ ลงั ชวยอดุ หนุนแกธาตทุ ีเ่ หลอื ๓ โดยความเปน ทีต่ ้งั ธาตทุ ่ีเหลือ ๓ กไ็ มร วู าปถว.ี เปน ทีต่ ง้ั / ชวยอุดหนนุ ธาตุทเ่ี หลือ ๓ กช็ วยอุดหนนุ ตามกิจของตนแตก ไ็ มรูในทาํ นองเดียวกัน คงเปน ไปตามสภาพของตนๆ มิใชส ตั ว บุคคลแตอยางใดเลย ๑.ปถวีธาตุ ชว ย อาโปธาตุ - มกี ารไหล / เกาะกุมไมใ หกระจาย ๒.อาโป. มหาภูตรปู ๔ มลี กั ษณะแขง็ เปนทต่ี ง้ั / เตโชธาตุ - มีการรกั ษาธาตุอนื่ ๆ ไว ๓.เตโช. (ธาตุ ๔) ชวยอดุ หนุนธาตุ ๓ ที่เหลือ วาโยธาตุ - มกี ารประคองคํา้ จนุ ไดอาํ นาจปจจัย ๕ ปจ จัย สหชาตะ ๔ ( ส. น.ิ ถ.ิ อ. ) ชวยซึง่ กันและกนั อัญญมญั ญะ ๑ ๔.วาโย. เมื่อรวมธาตุ ๔ วงเขาดว ยกนั ๑๓) พจิ ารณาโดย ปจจฺ ยวภิ าคโต พจิ ารณาโดยการจําแนกปจ จัยธรรมของธาตนุ ้ันๆ - บางอยา งมี กํ เปนประธานใหเกดิ มี ๑๘ รปู และมี จติ อุตุ อาหาร อดุ หนนุ - บางอยา งมี อุตุ / อาหาร เปน ประธานใหเ กิดมี ๑๓, ๑๒ รปู และมี กํ จติ อุดหนุน - บางอยา งมี จิต เปนประธานใหเ กิดมี ๑๕ รปู และมี กํ อตุ ุ อาหาร อุดหนุน * อานิสงส ๘ อยา งท่ไี ดร บั จากการเจรญิ ธาตุ ๔ ( น. ๒๒๓ -๒๒๔ ) ๖) มหาปฺโ โหติ เปนผูมปี ญ ญากวา งขวางมาก ๗) อมตปริโยสาโน โหติ มพี ระนพิ พานเปนที่สดุ ในภพนี้ ๑) สฺุตํ อวคาหติ อนตั ตลักขณะปรากฏทางใจ ๘) สคุ ติปรายโน โหติ ถายงั ไมเ ขา สพู ระนพิ พานในภพนี้ กม็ ีสุคติภมู ิ เปนที่ไปในภพหนา ๒) สตฺตสฺ สมคุ ฺฆาเฏติ ละความเหน็ วาเปนสัตว บุคคล ชาย หญิง เสียได ๓) ภยเภรวสโห โหติ ไมมีการหวาดกลัวตอภัยใหญน อ ยที่เนอ่ื งมาจากสัตวร ายตางๆ มีจิตใจคลายจะเปน พระอรหนั ต 5 อารุปป ๔ มอี ากาสานญั จายตนฌาน เปน ตน หาใชเปนอารมณกรรมฐาน เหมือน กสิณ ๑๐ อสภุ ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ แตอยางใดไม เพียงแตเปน อารัมมณิกกรรมฐาน คอื ตวั ฌานจติ ทีเ่ กิดข้ึนโดยอาศยั ๔) อรตริ ตสิ โห โหติ สามารถละความไมย นิ ดีในการงานทีเ่ ปน คันถธรุ ะ วิปส สนาธรุ ะ อารมณกรรมฐานทัง้ ๔ มี กสณิ คุ ฆาฏมิ ากาสบัญญตั ิ อากาสานญั จายตนฌาน นัตถภิ าวบัญญตั ิ อากญิ จญั ญายตนฌาน เหมือนอาหาเรปฏิกลู สัญญา และจตุธาตุววัตถาน ทเ่ี กดิ ขึ้นโดยอาศยั อาหารตา งๆ ทั้งสามารถละความยินดีในกามคุณอารมณเ สียได และธาตุ ๔ สําหรบั เน้ือความพรอ มแนวปฏิบตั ไิ ดแสดงไวแลว ในลําดบั แหง การไดรูปปญจมฌาน ๕) อิฏ านฏิ เสุ อุคฺฆาฏนคิ ฆฺ าฏํ น ปาปณุ าติ ไมม ีการร่นึ เริงสนุกสนานจนลืมตวั ในอารมณท นี่ า รกั และไมมกี ารอึดอัด ขนุ หมองใจในอารมณท่ไี มน า รัก
- 95 - 5 สมถกรรมฐาน ๔๐ กสณิ ๑๐ ัวณณกสิณ ๔ มหาภูตกสิณ ๔ อสภุ ะ ๑๐ ๑) พุทธานุสสติ อนสุ สติ ๑๐ ๒) ธัมมานุสสติ ๑) ปถวกี สิณ กสิณ ดนิ ๑) อุทธุมาตกอสุภะ ซากศพท่ีพองอดื ๓) สงั ฆานสุ สติ ระลึกถึงคุณของพระพทุ ธเจา เปนอารมณ ๒) อาโปกสิณ กสิณ นาํ้ ๒) วนิ ีลกอสภุ ะ ซากศพท่มี สี เี ขียวคลา้ํ คละดว ยสีตางๆ ๔) สลี านุสสติ ระลกึ ถึงคุณของพระธรรมเปนอารมณ ๓) เตโชกสิณ กสณิ ไฟ ๓) วิปุพพกอสุภะ ซากศพทมี่ ีน้ําเหลอื ง หนองไหลออกตามรอยปริ ๕) จาคานุสสติ ระลกึ ถงึ คณุ ของพระสงฆเ ปนอารมณ ๔) วาโยกสณิ กสิณ ลม ๔) วจิ ฉิททกอสภุ ะ ซากศพท่ขี าดจากกันเปน ๒ ทอน ๖) เทวตานุสสติ ระลึกถงึ ศีลท่ีตนรักษาเปนอารมณ ๕) นิลกสณิ กสณิ สเี ขยี ว ๕) วกิ ขายติ กอสุภะ ซากศพที่ถกู สัตวมแี รง เปนตน กัดกนิ ๗) อุปสมานสุ สติ ระลกึ ถงึ ทานทตี่ นบรจิ าคเปนอารมณ ๖) ปตกสณิ กสิณ สเี หลอื ง ๖) วกิ ขิตตกอสภุ ะ ซากศพทกี่ ระจยุ กระจายเรี่ยรายไปตางๆ ๘) มรณานุสสติ ระลกึ ถงึ คุณธรรมของเทวดาเปน อารมณ ๗) โลหติ กสิณ กสณิ สีแดง ๗) หตวกิ ขติ ตกอสุภะ ซากศพท่ีมีรว้ิ รอยการถูกฟน แทงทอ่ี วยั วะตา งๆ ๙) กายคตาสติ ระลกึ ถงึ คุณของพระนพิ พานเปนอารมณ ๘) โอทาตกสิณ กสิณ สขี าว ๘) โลหิตกอสุภะ ซากศพท่ีมโี ลหิตไหลอาบ เปอ นโลหติ ๑๐) อานาปานสั สติ ระลกึ ถงึ ความตายเปน อารมณ ๙) อาโลกกสณิ กสณิ แสงสวาง ๙) ปุฬุวกอสุภะ ซากศพทม่ี หี นอน ชอนไช ระลึกถงึ ลักษณะอาการของรางกายสว นตา งๆ (โกฏฐาส ๓๒) เปนอารมณ ๑๐) อากาสกสณิ กสณิ ที่วา งหรืออากาศ ๑๐) อฏั ฐิกอสภุ ะ ซากศพทีเ่ หลือแตร า งกระดูก ระลึกถึงลมหายใจเขาออกเปน อารมณ หรอื ปรจิ ฉนิ นากาสกสิณ อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑ จตธุ าตุววัตถาน ๑ อปั ปมัญญา ๔ อารปุ ปกรรมฐาน ๔ พจิ ารณาอาหารเปนส่งิ ปฏกิ ลู เนน กพฬกี าราหาร พจิ ารณาธาตุ ๔ ที่อยูภายในตน ๑) เมตตา - ปยมนาปสัตวบญั ญตั ิ ๑) อากาสานัญจายตนะ กาํ หนดชองวา งหรอื อากาศหาทสี่ ุดไมไ ด เปนอารมณ อาหารมี ๔ อยา ง มีอยู ๔๒ ธาตุ คอื ๒) กรณุ า - ทุกขติ สตั วบัญญัติ ๑) กพฬีการาหาร - นํามาซง่ึ รปู ที่เกิดจากโอชา ๑) ปถวีธาตุ ๒๐ ๓) มุทิตา - สุขติ สตั วบัญญัติ โดยเพิกกสิณ คอื เลิกสนใจไมเ อารปู อันมปี ฏิภาคนิมิตของกสิณน้ัน เปนอารมณ ๒) ผัสสาหาร - นาํ มาซง่ึ เวทนา ๒) อาโปธาตุ ๑๒ ๔) อเุ บกขา - มชั ฌตั ตสตั วบญั ญัติ ๓) มโนสัญเจตนาหาร - นาํ มาซึ่งวปิ าก ๓) เตโชธาตุ ๔ แลวเพง อากาศท่วี า งจากกสณิ น้ันเรียกวามี กสณิ ุคฆาฏมิ ากาสบญั ญัติ เปน อารมณ ๔) วญิ ญาณาหาร - นาํ มาซง่ึ เจตสกิ และกมั มชรูป ๔) วาโยธาตุ ๖ ๒) วิญญาณญั จายตนะ กําหนดรูจติ ท่ีพิจารณาวิญญาณไมม ที ส่ี ิ้นสุด เปนอารมณ ๓) อากิญจญั ญายตนะ เพง นัตถิภาวบัญญตั ิ คือ ภาวะไมม อี ะไรเลย เปนอารมณ ๔) เนวสัญญานาสญั ญายตนะ เพงอากิญ.ฌานจติ เปน อารมณ จนเขา ถึงภาวะทีม่ ีสัญญากไ็ มใช ไมม สี ัญญาก็ไมใช
Search