แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบรู ณาการ ตามรปู แบบ ONIE Model หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 หัวเร่ือง พัฒนาความรู้ สู่อนาคต หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรยี นที่ ……….. ปีการศกึ ษา ……………. สานกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั จังหวดั กาญจนบุรี สานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั สานักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธกิ าร
คานา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอเมืองกาญจนบุรีได้ดาเนินการ จัดทาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 หัวเรื่อง พัฒนาความรู้ สู่อนาคต เพ่ือให้ครูผู้สอนใช้เป็นคู่มือในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพตาม หลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาค เรยี นที่ ......... ปีการศึกษา .................... เอกสารประกอบการจัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หน่วยการ เรียนร้ทู ี่ 6 หัวเรอ่ื ง พฒั นาความรู้ สู่อนาคต ประกอบดว้ ยแผนผังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ กศน. แบบ ONIE Mode แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กศน.แบบบูรณาการ ใบความรู้ แบบประเมินการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ แนวตอบ และแบบบันทึกหลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ การดาเนินการจัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียน ท่ี .......... ปีการศึกษา ............. ในครั้งนี้ ประสบความสาเร็จได้ด้วยดี ต้องขอขอบพระคุณ นายศักด์ิชัย นาคเอีย่ ม ผู้อานวยการ กศน.อาเภอเมืองกาญจนบุรี นางสาวชมพู จันทนะ ครูชานาญการเป็นอย่างสูงที่เป็น ผใู้ ห้คาปรกึ ษา ในการดาเนนิ การจดั ทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการหน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 หัวเรื่อง พัฒนาความรู้ สู่อนาคต หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียน ท่ี ………… ปีการศึกษา ………………… มาโดยตลอดทาให้การดาเนินการ จดั ทาแผนการเรียนรูแ้ บบบรู ณาการบรรลุตามวตั ถุประสงค์ จดั ทาโดย กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี
สารบญั เรอ่ื ง หนา้ คานา สารบัญ แผนผังการจัดหนว่ ยการเรียนรู้ กศน.แบบบรู ณาการ แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบรู ณาการตามรูปแบบ ONIE MODEL ใบความร้ทู ี่ 1 เรื่องหลกั การและแนวคดิ ของโครงงานเพ่อื พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ ใบความรู้ที่ 2 เร่อื งการเตรียมทาโครงงานเพอื่ พัฒนาทกั ษะการเรียนรู้ ใบความร้ทู ่ี 3 เรอ่ื งการดาเนนิ งานในการทาโครงงาน เช่น การพฒั นาแหล่งเรยี นรู้ การทา ไดอาร่ี ออนไลน์ แบบประเมนิ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ แนวตอบแบบประเมินการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ บนั ทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ บรรณานุกรม คณะทางาน
แผนผังหน่วยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ กศน. แบบบรู ณาก หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั กา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ภาคเร รายวชิ า รายวิชา โครงงานเพอ่ื พัฒนาทักษะ รายวิชา โครงงานเพอื่ พ การเรียนรู้ (ทร02006) หัวเรื่อง การดาเนินงานใ หวั เรอื่ ง การเตรียมทาโครงงานเพื่อพัฒนาทกั ษะ การเรียนรู้ เรียนรู้ การทาไดอาร่ี ออน เนื้อหา เนื้อหา - ข้ันตอนการทาโครงงาน - การพิจารณาเลือกโครงงาน - การตดั สินใจทาโครงงาน กษะในการขยายอาชีพ การสะท้อนความคิดเหน็ ต - การเตรียมนาเสนอโครง รายวิชา โครงงานเพ่ือพฒั นาทักษะการ หัวเรอื่ ง พัฒนาความรู้ ส เรียนรู้ (ทร02006) สภาพปญั หา หัวเรอ่ื ง หลักการและแนวคดิ ของโครงงาน 1. ความมวี นิ ยั และความม เพอื่ พัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ 2. ความรู้ความเข้าใจในบ เนอื้ หา 3. การเป็นจิตอาสาทาคว 4. ลูกเสอื ในภาวะการเปล - หลกั การของโครงงาน 5. ภาวะผนู้ าผู้ตามในสถา - แนวคิดของโครงงาน
การ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 6 หวั เรอ่ื ง พัฒนาความรู้ สู่อนาคต ารศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 รียนที่ .......... ปกี ารศกึ ษา ............ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ (ทร02006) กรต. ศาสนาและหน้าทพ่ี ลเมือง ในการทาโครงงาน เชน่ การพฒั นาแหล่ง นไลน์ (สค31002) น หวั เรื่อง 1 ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี ตอ่ โครงงาน งงาน เนื้อหา 1. ค่านิยมทพ่ี ึงประสงคข์ องประเทศตา่ ง ๆ ในโลก - การตรงตอ่ เวลา - ความมรี ะเบยี บ ฯลฯ หน่วยท่ี 6 รายวชิ า ภาษาอังกฤษ (พต31001) สู่อนาคต หัวเรือ่ ง สนุกกบั ศัพท์ภาษาอังกฤษ มรี ะเบียบในชวี ิตประจาวัน บทบาทของการเปน็ พลเมืองดี เน้ือหา วามดีดว้ ยหัวใจ ลี่ยนแปลงเหตุการณโ์ ลกปัจจุบัน คาศัพท์ านการณ์ ความขดั แยง้ ทางการเมือง - Recycle = แปรรปู แลว้ นากลับมา ใช้ใหม่ - Material = วสั ดุ - Economy = เศรษฐกิจ - World scout =ลูกเสือโลก - Religion = ศาสนา
ประเด็น/ปัญหา/ส่ิงจาเปน็ ทต่ี อ้ งเรยี นรู้ ก 1. ผู้เรยี นขาดความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับวนิ ยั ต่อตนเอง ชมุ ชนสังคม 1 2. ผ้เู รยี นขาดความรู้เกย่ี วกบั บทบาทหนา้ ที่ ของตนเองท่ีส่งผลต่อชมุ ชน แ สังคม 2 3. ผ้เู รียนขาดความรเู้ กี่ยวกับการมจี ิตสาธารณะในการอยู่ร่วมกันในสังคมใน พ การเปน็ มิตรกับสง่ิ แวดลอ้ ม แ 4. ผเู้ รยี นขาดความร้เู ก่ียวกบั การนากระบวนการลูกเสือมาใชใ้ นการ 3 ดารงชีวติ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์โลกปัจจุบัน ก 5. ผู้เรยี นขาดความรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกับบทบาทของตนในฐานะผู้นาหรอื ผู้ แ ตามในสถานการณเ์ หตุการณ์ทางการเมือง 4 ห ก 5 ไ ใ
การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. ให้ผเู้ รียนศกึ ษาเร่อื งของการมวี นิ ัยจากผูน้ าในชมุ ชนภมู ิปญั ญา แล้วนามาสรุปเปน็ รายงาน และนามาอภิปรายแลกเปลย่ี นเรยี นรใู้ นวนั พบกล่มุ ที่ กศน.ตาบล 2. ใหผ้ ูเ้ รียนศึกษาความรู้เกย่ี วกับกฎหมายเบอื้ งตน้ เพือ่ ให้รูถ้ งึ หนา้ ทสี่ ทิ ธหิ น้าท่ีเป็นการ พลเมอื งทด่ี ี จากห้องสมุดประชาชน สอ่ื ออนไลน์ ภมู ปิ ญั ญา และให้ผู้เรียนยกตัวอย่างสรปุ แผนผังความคิด minemap และอภิปรายในวนั พบกล่มุ ท่ี กศน.ตาบล 3. ใหผ้ ู้เรยี นมีส่วนร่วมกจิ กรรมจติ อาสาในชมุ ชน ในกิจกรรมอาสาทาความดดี ้วยหัวใจ หรือ กจิ กรรมสาธารณประโยชน์ เพือ่ สรุปและรายงานผลประสบการณ์ที่ไดเ้ ข้ารว่ มและ แลกเปลยี่ นเรียนรู้หน้าชน้ั เรยี นกบั เพื่อนในวันพบกลุ่มท่ี กศน.ตาบล 4. ใหผ้ เู้ รยี นศึกษาคน้ คว้ากฎและหน้าทีข่ องลูกเสือ ศึกษากระบวนการเรยี นรู้ลกู เสือจาก หอ้ งสมดุ ประชาชนแหลง่ เรยี นรู้ ส่ือออนไลน์ ฯลฯ สรุปและนาเสนอหน้าช้นั เรียนโดยไมซ่ ้า กจิ กรรมกันหนา้ ช้นั เรยี น ในวนั พบกล่มุ ท่ี กศน.ตาบล 5. ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาคน้ คว้าเหตุการณ์ทางการเมอื งทีส่ าคญั ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของประเทศ ไทยและเหตกุ ารณ์สาคัญในปัจจุบนั จาก ห้องสมดุ ประชาชน สือ่ ออนไลน์ ฯลฯ เพื่อสรปุ ผล ใจความสาคญั และแลกเปลีย่ นเรียนรกู้ นั
แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ก หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 หัวเรื่อ หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับกา ระดับมัธยมศึก ภาคเรยี นที่ .......... ปีกา ครง้ั ท่ี วนั /เดอื น/ ปี ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการ หวั เร่ือ เรยี นรู้ 4. มีทกั ษะในการ ปฏบิ ตั ิตน รายวชิ า โครงงาน หน่วยท่ี 6 เพือ่ พัฒนาทกั ษะ พัฒนาความรู้ ส การเรียนรู้ ทร สภาพปัญหา 02006 1. ความมีวนิ ยั แ ความมรี ะเบยี บ หวั เรอื่ ง ชวี ิตประจาวัน การเตรียมทา 2. ความรู้ความ โครงงานเพ่อื พัฒนาทกั ษะการ ในบทบาทของก เรียนรู้ พลเมอื งดี - ข้ันตอนการทา 3. การเป็นจติ อ โครงงาน - การพิจารณา ความดดี ้วยหวั ใ เลอื กโครงงาน 4. ลกู เสือในภา ทักษะและ กระบวนการท่ี เปล่ียนแปลงเห โลกปจั จุบัน 5. ภาวะผนู้ าผูต้
กศน. ตามรูปแบบ ONIE Model อง พฒั นาความรู้ สู่อนาคต ารศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กษาตอนปลาย ารศึกษา ..................... อง ประเด็น/ปญั หา/ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายเหตุ สง่ิ จาเปน็ ท่ตี ้องเรียนรู้ 1. ผูเ้ รยี นขาดความรู้ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ สูอ่ นาคต ความเขา้ ใจเกี่ยวกับ 1. ให้ผ้เู รียนศึกษาเรือ่ งของ วนิ ัยตอ่ ตนเอง ชุมชน การมวี นิ ัยจากผนู้ าในชมุ ชน และ สังคม ภูมิปัญญา แล้วนามาสรปุ บใน 2. ผ้เู รียนขาดความรู้ เก่ยี วกบั บทบาทหนา้ ที่ เปน็ รายงานและนามา อภปิ รายแลกเปลย่ี นเรยี นรใู้ น มเข้าใจ ของตนเองทส่ี ง่ ผลตอ่ วันพบกลุ่มท่ี กศน.ตาบล การเปน็ 2. ใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาความรู้ ชมุ ชนสังคม อาสาทา 3. ผูเ้ รยี นขาดความรู้ เก่ยี วกบั กฎหมายเบอ้ื งต้น ใจ เกี่ยวกบั การมีจติ เพ่อื ใหร้ ถู้ งึ หน้าที่สทิ ธิหน้าที่ าวะการ เปน็ การพลเมืองที่ดี จาก หตกุ ารณ์ สาธารณะในการอยู่ รว่ มกันในสงั คมในการ หอ้ งสมุดประชาชน ส่ือ ตามใน เป็นมิตรกบั ส่ิงแวดล้อม ออนไลน์ ภมู ิปัญญา และให้ 4. ผู้เรยี นขาดความรู้ ผูเ้ รยี นยกตวั อย่างสรุป เกย่ี วกับการนา แผนผังความคิด minemap
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ ปี ตัวช้วี ัด เนื้อหาสาระการ หัวเร่ือ เรยี นรู้ จาเป็นในการ สถานการณ์ คว ทางานโครงงาน ขัดแยง้ ทางกา เพ่อื พฒั นาทกั ษะ การเรยี นรู้ (การหา ข้อมูล การเลือกใช้ ขอ้ มูล การนาเสนอ ข้อมูล การตอ่ ยอด พฒั นาความร)ู้ - ขั้นตอนการทา โครงงาน - การวางแผนก่อน ทาการทดลอง
อง ประเด็น/ปญั หา/ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายเหตุ สง่ิ จาเปน็ ทีต่ ้องเรียนรู้ วาม ารเมือง กระบวนการลกู เสือมา และอภปิ รายในวนั พบกลุม่ ที่ ใช้ในการดารงชวี ิต กศน.ตาบล 3. ใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วม ทา่ มกลางความ เปลี่ยนแปลงเหตกุ ารณ์ กิจกรรมจิตอาสาในชมุ ชน ใน กิจกรรมอาสาทาความดีดว้ ย โลกปจั จุบัน หัวใจ หรือกจิ กรรม 5. ผู้เรียนขาดความรู้ สาธารณประโยชน์ เพือ่ สรปุ ความเข้าใจเกีย่ วกบั และรายงานผลประสบการณ์ บทบาทของตนใน ฐานะผู้นาหรอื ผูต้ ามใน ที่ไดเ้ ขา้ ร่วมและแลกเปล่ยี น สถานการณ์เหตุการณ์ เรยี นรหู้ นา้ ชัน้ เรียนกับเพ่ือน ทางการเมือง ในวันพบกล่มุ ท่ี กศน.ตาบล 4. ใหผ้ ู้เรยี นศึกษาค้นควา้ กฎ 1. ผเู้ รียนขาดความรู้ และหนา้ ท่ีของลูกเสอื ศึกษา เร่ืองอาหารและ กระบวนการเรยี นรูล้ กู เสือ โภชนาการ จาก ห้องสมุดประชาชน 2. ผเู้ รยี นขาดหลกั การ แหลง่ เรยี นรู้ ส่ือออนไลน์ ความปลอดภยั จากการ ฯลฯ สรุปและนาเสนอหน้า ใชย้ า ช้ันเรียนโดยไม่ซ้ากิจกรรมกนั หน้าชัน้ เรยี น ในวนั พบกลมุ่ ที่ 3. ผู้เรยี นปญั หา กศน.ตาบล เพศศกึ ษา 4. ผเู้ รยี นขาดการ 5. ให้ผ้เู รียนศกึ ษาค้นคว้า เสยี สละการเสรมิ สร้าง เหตกุ ารณ์ทางการเมอื งท่ี
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ ปี ตัวช้วี ัด เน้อื หาสาระการ หัวเร่ือ เรยี นรู้
อง ประเดน็ /ปญั หา/ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ หมายเหตุ สงิ่ จาเป็นที่ตอ้ งเรียนรู้ สขุ ภาพ สาคญั ท่เี คยเกดิ ขึ้นในอดีต ของประเทศไทยและ เหตกุ ารณ์สาคญั ในปัจจุบนั จาก หอ้ งสมดุ ประชาชน สือ่ ออนไลน์ ฯลฯ เพ่อื สรุปผล ใจความสาคัญและ แลกเปล่ียนเรียนรกู้ ัน
โครงงานเพ่อื พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ ความหมายของการเรียนรูแ้ บบโครงงาน การเรยี นรแู้ บบโครงงาน คือ การจดั ใหน้ กั ศกึ ษารวมกลมุ่ กนั ทากจิ กรรมรว่ มกนั โดยมีจุดมุ่งหมายในการศกึ ษา หาความรู้ หรือทากจิ กรรมใดกจิ กรรมหนงึ่ ตามความสนใจของนกั ศกึ ษา การเรยี นรแู้ บบโครงงานน้ี จึงมุ่ง ตอบสนองความสนใจ ความกระตือรือร้น และความใฝ่เรยี นรู้ของผ้เู รยี นเอง ในการแสวงหาขอ้ มลู ความรตู้ ่างๆ เพอ่ื ทาโครงงานร่วมกนั ใหป้ ระสบความสาเร็จตามจุดม่งุ หมายของโครงงาน การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นศูนยก์ ลางการเรยี นรู้(Project Centered Learning) ซง่ึ หมายถึง การกระทา กิจกรรมร่วมกนั ชว่ ยเหลอื กันในการแก้ปญั หาที่เกดิ ข้นึ ภายในกลมุ่ ดว้ ยวธิ ีการปฏิบตั ิจรงิ เพอื่ การเรยี นรู้วธิ ีการ แก้ปญั หา อันนาไปสู่ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ แสวงหาขอ้ มลู และแนวทางในการแกป้ ญั หาเหล่านัน้ การเรยี นรู้แบบโครงงาน อาจมชี อื่ เรียกอนื่ ท่ีมคี วามหมายเดียวกัน ได้แก่ การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงาน การเรียนรู้ แบบโครงการ การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นศนู ยก์ ลางการเรยี นรู้ การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ศูนย์กลางการเรยี นรู้ ในเร่ืองความหมาย ไดม้ ผี ูก้ ล่าวถงึ ไวห้ ลายคน เช่น จากซิ และโรบิน (Jaques, 1984; Robbins, 1997) ไดใ้ ห้ความหมายของวิธีการเรยี นรู้แบบโครงงาน (Group Project) วา่ หมายถงึ การรวมกลุ่มกันของบคุ คลมากกว่า 2 คนขนึ้ ไปมี ปฏิสัมพนั ธ์กนั รว่ มกนั กระทากิจกรรม อนั นาไปส่จู ุดม่งุ หมายบางประการ นอกจากนั้นแล้วโครงงานเป็นการจดั สถานการณท์ ี่ชว่ ยให้ผเู้ รยี นไดเ้ รียนรู้ ทางานร่วมกนั แลกเปลีย่ นขอ้ มลู ซึ่งกันและกันและสนับสนนุ กนั ในการเรยี นรู้ (Fascilitate Learning) สุชาติ วงศ์สุวรรณ (2542) กลา่ วถึงความหมายของ การเรียนร้โู ดยใช้โครงงานว่าหมายถึง การจัดการเรยี นรู้อกี รูปแบบหนง่ึ ท่ีเป็นการให้ผู้เรยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ัติจริงในลักษณะของการศกึ ษา สารวจ ค้นควา้ ทดลอง ประดิษฐ์ คดิ คน้ โดยมีครูเปน็ ผ้กู ระตุ้น แนะนา และใหค้ าปรกึ ษาอย่างใกลช้ ิด • สรปุ ไดว้ ่า การเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพการเรียนรู้ของแตล่ ะคนใหไ้ ด้รบั การพัฒนาได้ เต็มขดี ความสามารถท่มี อี ยอู่ ย่างแท้จริง ทาให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้เรยี นวิธกี ารเรยี นรู้ สามารถ สรา้ งองค์ความรไู้ ด้ด้วยตนเอง รวมท้ังปลกู ฝังนิสยั รักการเรียนรู้ อันจะนาไปส่กู ารเปน็ บคุ คลแห่งการเรียนรไู้ ด้ ในทส่ี ดุ การเรยี นรู้แบบโครงงาน โครงงาน ( project ) จึงเปน็ เสมือนสะพานเช่อื มระหว่างผ้เู รียน กบั หอ้ งเรยี น และโลกภายนอก ซึง่ ผู้เรียน สามารถจะนาความรู้ที่ได้รบั มาปรับใช้ได้ในชีวิตจริงของผูเ้ รยี น ทั้งนีเ้ พราะวา่ ผู้เรยี นตอ้ งนาเอาความรู้ท่ีได้จาก ชัน้ เรยี นมาบรู ณาการเข้ากับกิจกรรมทจ่ี ะกระทา เพ่ือนาไปสู่ความรใู้ หม่ ๆ ดว้ ยการสรา้ งความหมาย การ แก้ปญั หา และการคน้ พบด้วยตนเอง ผู้เรยี นตอ้ งสร้างและกาหนดความรู้ จากความคิดและแนวคิดที่มีอยู่กับความคดิ และแนวคดิ ที่เกดิ ขึ้นใหม่ ทาให้ เกดิ การปรบั เปลย่ี นความรู้ใหเ้ ปน็ เคร่อื งมอื ในการเรียนรูส้ ่งิ ใหม่ ความสาคญั ของการเรยี นรแู้ บบโครงงานw การที่ผเู้ รียนได้เรียนรผู้ ่านโครงงาน ทาให้มองเห็นความสมั พันธ์ ระหวา่ งความคดิ กบั ข้อเท็จจริง ซงึ่ จะถกู เชอ่ื มโยงเข้าเป็นเร่ืองเดยี วกัน ในลกั ษณะของความสมั พนั ธ์ และการ เชือ่ มโยง อนั จะสามารถนาไปใช้ในสถานการณอ์ ่นื ได้อยา่ งหลากหลาย สามารถบรู ณาการความรมู้ าช่วยกนั ทา โครงงาน เรยี นรจู้ กั การทางานรว่ มกบั ผู้อนื่ ร้จู ักการหาข้อมูล ความรตู้ ่างๆด้วยตนเอง ฝึกทกั ษะการส่ือสาร รจู้ ักการ การคดิ แก้ไขปัญหา
ในส่วนของผเู้ รยี น การเรียนรจู้ ากโครงงาน ถอื ได้วา่ เป็นการเรียนรู้ร่วมกนั ภายในกลมุ่ เพราะทุกคนได้เขา้ มามี ส่วนรว่ มในการคน้ หาคาตอบ หาความหมาย ตลอดจนแนวทางแกไ้ ขปัญหา ร่วมคิด รว่ มทางาน สง่ ผลให้เกดิ กระบวนการคน้ พบกระบวนการเรียนรู้สิง่ ตา่ งๆไดด้ ้วยตนเองสามารถนาความรูท้ ไี่ ด้รับมาแลกเปลย่ี น ประสบการณ์ และแลกเปล่ยี นพน้ื ฐานความรู้ระหวา่ งผู้เรียนดว้ ยกนั เป็นลักษณะของการเรยี นรู้รว่ มกัน ( Collaboration learning) ความรแู้ ละสามารถด้านตา่ ง ๆ ทีม่ อี ยใู่ นตัวของผเู้ รียน จะถกู กระต้นุ ให้ได้แสดงออกมาอยา่ งเต็มท่ี ขณะท่ี ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม เช่นเดียวกบั ทักษะต่าง ๆ ที่จาเป็นสาหรับชีวิต เช่น ทักษะการทางาน ทักษะการอยูร่ ่วมกนั ทกั ษะการจดั การ ฯลฯ กจ็ ะถูกนาเอามาใช้อย่างเต็มตามศกั ยภาพ ในขณะท่รี ่วมกันแก้ปญั หาท่เี กิดขนึ้ ระหว่าง การทาโครงงาน การเรียนร้แู บบโครงงานยังช่วยสง่ เสรมิ คณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มทัง้ หลายก็จะถูกปลกู ฝัง และส่ังสมใน ตวั ผเู้ รียนในขณะทที่ ุกคนร่วมกันทางาน รวมทั้งเป็นการปลูกฝงั ความเป็นประชาธิปไตย ฝึกหดั การรู้จกั รบั ฟงั ความคิดเห็นของผอู้ ่นื เน่ืองจากวา่ แนวคิดหลกั ของการเรียนรแู้ บบโครงงาน จะใช้หลกั การเรียนรู้รว่ มกนั (Team learning) อันจะนาไปสกู่ ารเรียนรู้ด้วยการนาตนเอง ซงึ่ มีผลโดยตรงต่อการเพ่ิมโอกาสในการ เจรญิ กา้ วหนา้ ของบุคคลในการเรียนรู้และพฒั นาความรู้ ความสามารถของตนเอง ความสามารถในการมปี ฏสิ มั พนั ธแ์ ละทางานร่วมกับผู้อื่นไดด้ ีและมีประสทิ ธิภาพ ไม่ใช่สิง่ ที่เกดิ ขึ้นเองได้ หากแตเ่ ป็นสง่ิ ท่ีตอ้ งเกดิ จากการเรียนรู้ เพ่อื จะทาให้ทกั ษะดังกล่าวเกดิ ขนึ้ ในตวั ของบคุ คล การเรียนร้เู พือ่ ให้ เกดิ ความสามารถและทักษะดังกลา่ ว สามารถทาให้เกดิ ไดโ้ ดยใช้ นาหลกั การเรียนรู้โดยให้ผ้เู รยี นรวมกลุ่มกนั มี โอกาสร่วมกันในการเรยี นรแู้ ละทางานร่วมกนั โดยใช้วธิ ี “group assignments in their courses” ซึ่งมคี รู เป็นผู้อานวยความสะดวกให้แก่ผ้เู รียน และชว่ ยให้ผเู้ รียนสามารถเรยี นรู้ทกั ษะดงั กลา่ วจากประสบการณ์ในการ การทาโครงงานรว่ นกนั ดงั นั้นในการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงานจงึ ตอ้ งเนน้ และให้ความสาคัญท่ีตัวผเู้ รียน โดยมุ่งใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ฒั นา ขดี ความสามารถของตนเองอยา่ งเต็มตามศกั ยภาพ มีความสมดุลทง้ั ดา้ นจิตใจ ร่างกาย ปญั ญา และสังคม เป็น ผู้ร้จู กั คดิ วิเคราะห์ รกั การเรียนรู้ เรยี นรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง มีเจตคติทีด่ ี มวี นิ ัย มคี วามรบั ผดิ ชอบ และมที กั ษะที่ จาเป็นสาหรบั การดารงชวี ติ รวมท้งั ทักษะทางอาชีพ สามารถพ่งึ ตนเอง และรว่ มมอื กบั ผอู้ ่นื อยา่ งสรา้ งสรรค์ การเรียนร้แู บบโคงงานต้องม่งุ พัฒนาความสามารถทางอารมณ์ ได้แก่ ความสามารถในการมสี ตริ ู้ตวั และ ความสามารถในการปรบั ตวั เขา้ กบั สงั คม ซง่ึ ถอื ว่าเปน็ ปจั จัยสาคญั ท่ี จะทาให้คนเราประสบความสาเรจ็ ในชวี ติ เชน่ เดียวกบั ความสามารถทางปญั ญา ความสามารถหรือความฉลาด ทางอารมณ์ทจี่ ะต้องปลกู ฝงั ให้ผู้เรียน ได้แก่ การรู้จักตนเอง การเขา้ ใจตนเอง ความสามารถในการควบคมุ ตนเอง ความเขา้ ใจและเหน็ อกเห็นใจผูอ้ ่ืน มีความเช่อื มัน่ และเหน็ คุณคา่ ในตวั เอง ความสามารถในการแก้ไขขอ้ ขัดแย้งทางอารมณ์
ใบงาน ครงั้ ท่ี 1 ชอื่ -สกุล..............................................รหสั นกั ศกึ ษา......................................รหัสกลมุ่ เรยี น ............ 1. ให้นกั ศึกษาอธิบายความหมายของ คาว่า “โครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรยี นรู้” มาโดย ละเอยี ด 2. ให้นกั ศกึ ษาอธิบายความสาคญั ของ “โครงงานเพื่อพัฒนาทกั ษะการเรียนรู้” 3. โครงงานมกี ่ปี ระเภท อะไรบา้ งจงอธบิ ายโดยละเอียด 4. ถา้ ครูมอบหมายให้นกั ศกึ ษาทาโครงงานมาสง่ จานวน 1 โครงงาน นกั ศกึ ษาจะมกี ระบวนการใน การท าโครงงานช้ินนี้อย่างไรบา้ ง 5. นกั ศกึ ษาสามารถศึกษาคน้ ควา้ การจดั ทาโครงงานท่มี ีความคดิ สรา้ งสรรคจ์ ากแหล่งใด ไดบ้ ้าง ให้ยกตัวอย่างมา อย่างนอ้ ย 3 แหลง่ เรยี นรู้ พรอ้ มอธบิ ายถงึ ความสาคัญของแหลง่ เรยี นรู้นนั้ 6. นกั ศกึ ษาคดิ ว่าการท าโครงงานมคี ุณค่าต่อชวี ิตของนักศึกษาด้านใดบา้ งจงอธิบาย
ขนั้ ตอนการทาโครงงาน การวางแผนทาโครงงาน การทาโครงงานมขี ้นั ตอนกระบวนการ ดงั น้ี 1) การคดิ และการเลอื กหัวเรื่อง ผเู รยี นจะตองคดิ และเลือกหวั เรอื่ งของโครงงานดวยตนเองวา อยากจะศกึ ษาอะไร ทาไมจึงอยาก ศึกษา หัวเรื่องของโครงงานมกั จะไดมาจากปญหา คาถามหรือความ อยาก รอู ยากเหน็ เกี่ยวกับเรื่องตาง ๆ ของผูเรยี นเอง หวั เรือ่ งของ โครงงานควรเฉพาะเจาะจงและชดั เจน เม่ือใครไดอ านชือ่ เรือ่ งแลว ควรเขาใจและรูเรอ่ื งวาโครงงานนที้ าจากอะไร และควรคานึงถงึ ประเด็นความเหมาะสมของ ระดับความรู ความสามารถของผูเรยี น วสั ดุ อุปกรณท่ีใช งบประมาณ ระยะเวลา ความปลอดภยั และแหลงค วามรู เปนตน 2) การวางแผนการทาโครงงาน จะรวมถงึ การเขียนเคาโครง ของโครงงาน ซง่ึ ตองมีแนวคดิ ท่กี าหนดไว ลวงหนาและเพ่อื ใหการ ดาเนินการเปนไปอยางรดั กุมและรอบคอบ ไมสบั สน แลวนาเสนอตอ ครูประจากลุ มหรือครทู ป่ี รึกษาเพือ่ ขอความเห็นชอบกอนดาเนินการ ขั้นตอไป การเขียนเคาโครงของโครงงาน โดยทัว่ ไป เขยี นเพอ่ื แสดงแนวคดิ แผนงาน และข้ันตอนการทาโครงงาน ซ่งึ ควรประกอบดวยหวั ขอตอไปนี้ 2.1) ช่อื โครงงาน : เปนช่อื เร่ืองทผ่ี ูเรียนจะทาการศกึ ษา คนควาเพื่อหาคาตอบหรือหาแนวทาง ในการแกปญหา การตั้งชอื่ เรอ่ื งควรสอื่ ความหมายใหไดวาเปนโครงงานทจ่ี ะทาอะไร เพื่อใคร /อะไร ควรเปนข อความทก่ี ะทดั รดั ชดั เจน สือ่ ความหมายไดตรง 2.2) ชอื่ ผูทาโครงงาน : เปนการระบุชอ่ื ของผูทาโครงงาน ถา เปนโครงงานกลุมใหระบุชื่อผูทา โครงงานทุกคน พรอมเขียน รายละเอยี ดงานหรอื หนาทคี่ วามรบั ผิดชอบในการทาโครงงานของแต ละคนให ชดั เจน 2.3) ชอ่ื ทปี่ รึกษาโครงงาน : เปนการระบชุ อ่ื ผูท่ใี หคาปรึกษา ใหคาแนะนาในการทาโครงงาน ของผูเรยี น 2.4) หลกั การและเหตผุ ลของโครงงาน : เปนการอธิบายวา เหตใุ ดจึงเลือกทาโครงงานเร่ืองนี้ มี ความสาคญั อยางไร มีหลักการหรือทฤษฎีอะไรทเ่ี กย่ี วของ เรอ่ื งท่ที าเปนเรอ่ื งใหมหรือมผี ูอื่นไดศกึ ษา คนควา เร่ืองนี้ไวบางแลว ถามีไดผลอยางไร เร่อื งที่ทาไดขยายเพิม่ เตมิ ปรับปรุงจากเรื่องทีผ่ ูอื่นทาไวอยางไร หรือเป นการทาซ้าเพือ่ ตรวจสอบผล 2.5) จดุ มุงหมายหรือวัตถุประสงค : ควรมีความเฉพาะเจาะจง และสามารถวดั ได เปนการบอก ขอบเขตของงานท่ีจะทาใหชัดเจนขนึ้ ซง่ึ จุดมุงหมาย หรอื วตั ถปุ ระสงคมักเขียนวาเพื่อ ศกึ ษา. . . . . . . . . เพ่ือเปรยี บเทยี บ. . . . เพอ่ื ผลิต. . . . . . . . . เพือ่ ทดลอง. . .. . . . หรือเพอ่ื สารวจ. . . . .. . . . . ซึง่ จุดประสงค
ของโครงงานที่จะบงบอกวาเปนโครงงานประเภทใด (ตามเนอ้ื หาบทท่ี 2) และจุดมุงหมาย ของโครงงานจะเป นทิศทางในการกาหนดวิธกี ารดาเนินโครงการ 2.6) สมมติฐานในการทาโครงงาน (ถาม)ี : สมมติฐานเปน คาตอบหรอื คาอธิบายท่คี าดไวลวง หนา ซ่ึงอาจจะถูกหรือไมก็ได การ เขียนสมมตฐิ านควรมเี หตมุ ผี ลมีทฤษฎหี รอื หลักการรองรบั และที่ สาคัญ คือ เปนขอความท่มี องเห็นแนวทางในการดาเนนิ การทดสอบ ได โครงงานวิจยั ท่ีกาหนดสมมตุ ิฐานควรเป นโครงงานประเภททดลอง ซ่งึ มักจะตองกาหนดตัวแปรในกระบวนการทดลอง นอกจากน้คี วรมี ความสมั พนั ธ ระหวางตัวแปรอสิ ระ (ตน) และตวั แปรตาม ตัวแปรแทรก ซอน ซ่ึงตัวแปรที่เกีย่ วของ : ตวั แปรอิสระ (ตน) ส่ิงที่ เปนเหตุของ ปญหา ตัวแปรตาม คอื สง่ิ ท่ี เปนผล ตัวแปรแทรกซอน คือสง่ิ ท่ีอาจมีผล ตอตัวแปรตาม โดยผู วิจัยไมตองการใหเกดิ เหตกุ ารณนนั้ ขน้ึ 2.7) วธิ ดี าเนินงานและขั้นตอนการดาเนนิ งาน : เปนการ เขียนใหเหน็ ขนั้ ตอนของการทา โครงงานตงั้ แตเริ่มตนจนสน้ิ สดุ การทางาน โดยเขียนใหชัดเจนวา จะตองทาอะไร ทาเมื่อไหร ทีไ่ หน ให ละเอยี ดทุกขน้ั ตอนและกจิ กรรม 2.8) แผนปฏบิ ตั ิงาน : เปนการนาข้ันตอนการทาโครงงานมา เขียนในรูปของปฏิทินตาราง กาหนดการทางานในแตละขน้ั ตอน 2.9) ผลทีค่ าดวาจะไดรบั : เปนการเขยี นใหเห็นถึงประโยชน และผลท่คี าดวาจะไดรบั จากการ ทาโครงงาน โดยใหระบุวาจะเกิด หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู รายวิชาเลอื กโครงงานเพอ่ื พฒั นา ทักษะ การเรียนรู (ทร 02006) 42 ประโยชนแกใคร เกิดข้นึ อยางไร ทงั้ โดยทางตรงหรอื ทางออมและผล ทค่ี าดว าจะไดรบั จะตองสอดคลองกบั จุดมุงหมายหรือวตั ถุประสงค 2.10) เอกสารอางองิ : รายช่อื เอกสารท่ีนามาอางอิงเพอ่ื ประกอบการทาโครงงาน ตลอดจน การเขยี นรายงานการทาโครงงานควรเขยี นตามหลกั การท่นี ยิ มกัน
3) การดาเนินงาน เม่ือทป่ี รกึ ษาโครงงานใหความเหน็ ชอบเคา โครงของโครงงานแลว ตอไปก็ เปนขน้ั ลงมอื ปฏิบัตงิ านตามข้นั ตอนที่ ระบุไว ผเู รียนตองพยายามทาตามแผนงานท่ีวางไว เตรียมวสั ดุ อุปกรณและ สถานท่ใี หพรอมปฏิบัตงิ านดวยความละเอยี ดรอบคอบ คานงึ ถงึ ความประหยัดและความปลอดภัยในการ ทางาน ตลอดจนการ บนั ทึกขอมลู ตาง ๆ วาไดทาอะไรไปบาง ไดผลอยางไร มีปญหาและ ขอคดิ เหน็ อยางไร พยายามบนั ทึกใหเปนระเบียบและครบถวน 4) การเขยี นรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เปนวิธีสอื่ ความหมายวธิ ี หนึ่งที่จะใหผูอน่ื ไดเขาใจถงึ แนวคดิ วิธีการดาเนินงาน ผลท่ีไดตลอดจนขอสรปุ และขอเสนอแนะตาง ๆ จากการศึกษาคนควาตง้ั แต ตนจนจบ การเขยี นรายงานโครงงานอาจไมระบุตายตวั เหมอื นกนั ทกุ โครงงาน สวนประกอบของหัวขอในรายงานตอง เหมาะสมกับประเภท ของโครงงานและระดบั ชน้ั ของผูเรยี น องคประกอบของการเขียน รายงานโครงงาน แบ งกวาง ๆ เปน 3 สวน ดังน้ี 4.1) สวนปกและสวนตน ประกอบดวย (1) ชอื่ โครงงาน หนังสอื เรยี นสาระทกั ษะการเรยี นรู รายวชิ าเลือกโครงงานเพอ่ื พัฒนา ทกั ษะ การเรียนรู (ทร 02006) (2)ชือ่ ผูทาโครงงาน ระดับ สถานศกึ ษา และวนั เดอื นปท่ี จดั ทา (3) ชื่อครปู ระจากลุม อาจารยท่ีปรึกษา (4) คานา (5) สารบญั (6) สารบัญตาราง หรอื ภาพประกอบ (ถาม)ี (7) บทคดั ยอสัน้ ๆ ท่บี อกเคาโครงอยางยอ ๆ ซ่งึ ประกอบดวย เรอ่ื ง วัตถปุ ระสงค วิธี การศกึ ษา ระยะเวลา และสรุปผล (8) กติ ติกรรมประกาศ เพ่ือแสดงความขอบคุณบุคคล หรอื หนวยงานท่ใี หความชวยเหลือหรือ มสี วนเก่ยี วของ 4.2) สวนเนื้อเร่ือง ประกอบดวย (1) บทนา บอกความเปนมา ความสาคัญของโครงงาน บอก เหตผุ ล หรอื เหตุจงู ใจในการเลือก หัวขอโครงงาน (2) วตั ถปุ ระสงคของโครงงาน
(3) สมมติฐานของการศกึ ษาคนควา (4) การดาเนินงาน อาจเขยี นเปนตาราง แผนผังโครงงาน เพ่ือใหการดาเนินงานเปนไปตาม หัวขอเรื่อง ตรงตามวตั ถุประสงคของ โครงงาน และพิสูจนคาตอบ (สมมติฐาน) (5) สรปุ ผลการศึกษา เปนการอธิบายคาตอบทไ่ี ดจาก การศกึ ษาคนควา ตามหัวขอยอยทตี่ อง การทราบ วาเปนไปตาม สมมติฐานหรือไม หนังสอื เรียนสาระทกั ษะการเรยี นรู รายวชิ าเลอื กโครงงานเพือ่ พัฒนา ทกั ษะการเรียนรู (ทร 02006) (6) อภิปรายผล บอกประโยชน หรอื คณุ คาของผลงานทีไ่ ด และบอกขอจากดั หรอื ปญหา อุปสรรค (ถามี) พรอมท้ังบอก ขอเสนอแนะในการศกึ ษาคนควา โครงงานลักษณะใกลเคยี งกนั 4.3) สวนทาย ประกอบดวย (1) บรรณานกุ รม หรือ เอกสารอางอิง หรอื เอกสารท่ีใช คนควา ซ่งึ มีหลายประเภท เชน หนังสอื ตารา บทความ หรือคอลัมน ซ่งึ จะมีวิธีการเขยี นบรรณานกุ รมตางกนั เชน หนงั สอื ช่อื นามสกลุ . ช่อื หนังสือ. สถานทพ่ี มิ พ : สานกั พิมพ, ปที่พมิ พ บทความในวารสารช่อื ผูเขยี น \"ช่อื บทความ,\" ชือ่ วารสาร. ปที่ หรอื เลมที่ : หนา ;วัน เดือน ป. คอลัมนจากหนงั สือพมิ พ ชื่อผูเขยี น \"ช่อื คอลัมน : ช่ือเร่อื งใน คอลมั น\" ชือ่ หนังสอื พมิ พ. วนั เดอื น ป. หนา. (2) ภาคผนวก เชน โครงรางโครงงาน ภาพกิจกรรม แบบสอบถาม บทสัมภาษณ 5) การนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงาน เปนข้นั ตอนสดุ ทาย ของการทาโครงงานและเขาใจถงึ ผลงานนน้ั การนาเสนอผลงานอาจ ทาไดหลายรปู แบบ ขน้ึ อยูกบั ความเหมาะสมตอประเภทของ โครงงาน เน้อื หา เวลา ระดบั ของผูเรียน เชน การแสดงบทบาทสมมติ การเลา
แบบทดสอบ 1.ความหมายของโครงงานเน้นส่วนท่ีสาคญั คอื เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนได้จัดทาเป็นไปตามการเรียนการสอนปกติ เป็นกิจกรรมที่ครูออกแบบให้ เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนปฏิบัตไิ ด้ด้วยตนเอง เป็นกิจกรรมท่ีครูคิดหัวข้อให้ 2.การได้หัวขอ้ โครงงานอาจจะไดม้ าจากการทากจิ กรรมใด ถูกทุกข้อ การศึกษาจากภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ การศึกษาดูงาน การศึกษาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต 3.ข้อใดไม่ใช่ความสาคญั ของโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการท่ีสามารถสร้างองค์ความรไู้ ด้ด้วยตนเอง เป็นการพฒั นาเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการีท่ผู้เรยี นดูโทรทัศน์แล้วอยากทา เป็นการพฒั นากระบวนการ 4.ข้อใดคอื จุดม่งุ หมายของการทาโครงงาน เพ่ือให้ผู้เรียนร้รู ักสามัคคี เพื่อให้ผู้เรียนได้ผลประโยชน์จากกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนรู้ถงึ ความเป็นไทย เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกซ่งึ ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 5.จุดเนน้ ของการปฏิรูปการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานคอื ข้อใด ยึดทักษะกระบวนการ ยึดกระบวนการคิด ยึดผู้เรียนเปน็ สาคัญ ยึดเหตุผล
ทกั ษะท่ีจาเป็นในการทาโครงงานเพือ่ พัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ 1.1.ทกั ษะดา้ นการจดั การขอ้ มลู สารสนเทศ การจัดทาขอมูลใหเปนสารสนเทศ (www. krutong.) การจัดทาขอมลู ใหเปนสารสน เทศ ท่จี ะเปนประโยชนตอการใชงาน จาเปนตองอาศัยเทคโนโลยี เขามาชวยในการ ดาเนินการ เร่ิมตงั้ แตการรวบรวม และตรวจสอบขอมูล การดาเนินการประมวลผลขอมลู ใหกลายเปนสา รสนเทศ และการดแู ลรักษาสารสนเทศเพอื่ การใชงาน ดังตอไปน้ี ก. การรวบรวมและตรวจสอบขอมูล 1) การเก็บรวบรวมขอมูล เปนเร่ืองของการเก็บรวบรวมขอมูลซ่งึ มีจานวนมาก และตองเก็บ ใหไดอยางทนั เวลา เชน ขอมูลการลงทะเบียนเรยี น ขอมูลประวัตบิ คุ ลากร ปจจุบันมีเทคโนโลยีชวยในการ จดั เก็บอยู เปนจานวนมาก เชน การปอนขอมูลเขาเครอื่ งคอมพิวเตอร การอานขอมลู จากรหัสแท ง การตรวจใบลงทะเบยี นทมี่ ีการฝนดินสอดาในตาแหนงตาง ๆ เปนวธิ กี ารเก็บรวบรวมขอมูลเชนกนั 2) การตรวจสอบขอมลู เมือ่ มกี ารเกบ็ รวบรวมขอมลู แลวจาเปนตองมีการตรวจสอบขอมูล เพอ่ื ความถกู ตอง ขอมูลทเี่ ก็บเขาในระบบตองมคี วามเช่ือถอื ได หากพบท่ี ผิดพลาดตองแกไข การ ตรวจสอบ ขอมลู มีหลายวธิ ี เชน การใชผูปอนขอมูลสองคนปอนขอมลู ชุดเดียวกนั เขาคอมพวิ เตอรแลวเปรียบ เทียบกัน ข. การประมวลผลขอมูล แบงออกเปน 3 ประเภท คอื 1) การประมวลผลดวยมือวิธีน้เี หมาะกบั ขอมลู จานวนไมมากและไมซับซอน อปุ กรณในการ คานวณไดแก เครือ่ งคิดเลข ลูกคิด 2) การประมวลผลดวยเครื่องจกั ร วธิ นี ี้เหมาะกับขอมลู จานวนปานกลาง และไมจาเปน ต องใชผลในการคานวณทันทีทันใดเพราะตองอาศยั เครอื่ งจักร และแรงงานคน 3) การประมวลผลดวยคอมพวิ เตอร วิธีนีเ้ หมาะกับงานท่มี จี านวนมาก ไมสามารถ ใช แรงงานคนได และงานมีการคานวณท่ยี ุงยาก ซบั ซอน การคานวณดวยเครอ่ื งคอมพิวเตอร จะใหผลลพั ธท่ี ถูกตอง แมนยา และรวดเรว็ 4) การส่อื สาร ขอมูลตองกระจายหรอื สงตอไปยงั ผูใชงานท่ีหางไกลไดงาย การส่ือสารขอมูล จงึ เปนเร่อื งสาคัญและมีบทบาทที่สาคัญยง่ิ ทีจ่ ะทาใหการสงขาวสารไปยงั ผูใชทาไดรวดเรว็ และทนั เวลา 1.2.ทกั ษะการคิดอย่างเปน็ ระบบ ทักษะการคิดเปนศกั ยภาพที่สาํ คญั สาํ หรบั ผูเรียนทีจ่ ะตองใชในการวางแผนดาํ เนนิ งาน และนํา ผลการจัดทําโครงงานไปใช อยางไรกต็ ามขอเสนอแนะวา ทกั ษะการคิดท้ังหลายผูเรียนควรใหความ สนใจพัฒนาฝกฝนทกั ษะการคิด เพราะเปนเคร่อื งมือสาํ คัญที่จะติดตวั และนาํ ไปใชไดตลอดกาล อยาง ไมมีขดี จาํ กัด และเปนพิเศษสําหรบั ทักษะการคิดแบบอยางเปนระบบ (System Thinking) เปน ลกั ษณะการคิดที่ตองมีสวนประกอบสองสวนท้ังการคิดเชิงวิเคราะห (Analytical Thinking)และการคิด เชิงตรรกะ (Logical Thinking) ซึง่ ตองเปนกระบวนการคิดทีม่ ปี ฏิสัมพนั ธกนั โดยกอใหเกิดพลังอยา งใดอยางหนึง่ หรือหลายอยาง สาํ หรับการคิดเชิงวิเคราะห (Analytical Thinking)มีเทคนคิ ในการพฒั นา ตนเอง ดวยการ ฝกแยกแยะประเด็น ฝกเทคนคิ การคิดในการนําแนวคิดทฤษฎี ที่ไดเรียนรูมา
ประยุกตใชกับโครงงาน ที่ จะทาํ และใชเทคนิค STAS Model มาชวยในการคิดวิเคราะห ไดแก Situation Theory Analysis Suggestion สวนเทคนคิ การคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking) เปนการฝกทกั ษะการ คิดแบบความสมั พนั ธเชิงเหตผุ ล ทั้งความสัมพันธในแนวดิ่ง และความสัมพันธในแนวนอน 1.3.ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การทาโครงงานผูเรยี นจาเปนตองมีทกั ษะ ซ่งึ อาจแบงออกได เปน 2 กลมุ ไดแก 1. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขั้นพนื้ ฐาน มี 8 ทักษะ ไดแก การสงั เกต การลงความเห็น จากขอมลู การจาแนกประเภท การวดั การใชตวั เลข การพยากรณ การหาความสมั พันธระหวางสเปสกบั สเปส และสเปสกบั เวลา การจดั กระทาและสื่อความหมายขอมูล 2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรขั้นสูง มี 5 ทกั ษะ ไดแก การกาหนดและควบคมุ ตัวแปร การ ต้ังสมมตุ ิฐาน การกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ การทดลอง การตคี วามหมายขอมูลและการลงข อสรปุ ทกั ษะท้ัง 5 นี้เปนเรอื่ งใหม และมคี วามสาคญั ในการทาวิจัย ผูเรยี นจาเปนตองทาความเขาใจให ชดั เจนกอน ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขน้ั พื้นฐาน มี 8 ทักษะ ไดแก 1. การสงั เกตเปนการใชประสาทสมั ผสั ทง้ั 5 คอื ตา หู จมูก ผวิ กาย และล้นิ หรอื อยางใดอยางหนง่ึ ในการสารวจวัตถุ หรอื ปรากฏการณตาง ๆ หรือจากการ ทดลอง เพ่ือคนหา รายละเอียด ตาง ๆ ของขอมลู ขอมูลจากการสงั เกตแบงเปน 2 ประเภท คือ - ขอมูลเชงิ คุณภาพ เปนขอมูลจากการสงั เกตคุณลกั ษณะของส่งิ ตาง ๆ เชน สี รูปราง รส กล่ิน ลักษณะ สถานะ เปนตน - ขอมลู เชิงปรมิ าณ เปนขอมลู ที่ไดจากการสงั เกต ขนาด ความยาว ความสงู นา้ หนกั ปริมาตร อุณหภูมิ ของสิ่งตาง ๆ เปนการอธบิ ายเพ่ิมเติมเกีย่ วกับ 2. การลงความเหน็ จากขอมลู 3. การจาแนกประเภท เปนการแบงพวก จัดจาแนกเรียงลาดบั วตั ถุ หรอื ปรากฏการณตาง ๆ ทีต่ องการศกึ ษาออกเปนหมวดหมู เปนระบบ ทาใหสะดวก รวดเร็ว และงายตอการศกึ ษาคนควา โดย
การหาลกั ษณะหรือคุณสมบัตริ วมบางประการ หรอื หาเกณฑความเหมอื น ความตาง ความสมั พันธ อยางใด อยางหน่งึ เปนเกณฑในการแบง 4. การวัด เปนความสามารถในการเลือกใชเครอ่ื งมือไดอยางถูกตองในการวัดสง่ิ ตาง ๆ ที่ตอง การศึกษา เชน ความกวาง ความสูง ความหนา นา้ หนกั ปริมาตร เวลา และอุณหภูมิ โดยวัดออกมาเปน ตวั เลขไดถกู ตอง รวดเร็ว มีหนวยกากับ และสามารถอานคาที่ใชวัดไดถกู ตองใกลเคยี งความเปนจรงิ มากทีส่ ุด 5. การใชตวั เลข การใชตัวเลขหรือการคานวณ เปนการนบั จานวนของวัตถุ และนาคาตวั เลขที่ ไดจากการวดั และการนบั มาจัดกระทาใหเกิดคาใหม โดยการนามา บวก ลบ คูณ หาร เชน การ หาพนื้ ที่ การหาปริมาตร เปนตน 6. การพยากรณ เปนความสามารถในการทานาย คาดคะเนคาตอบโดยใชขอมูลท่ีไดจากการสงั เกต ประสบการณทเ่ี กดิ ซา้ บอย ๆ หลกั การ ทฤษฎี หรอื กฎเกณฑตาง ๆ มาชวยสรุปหาคาตอบเร่ือง นั้น การพยากรณจะแมนยามากนอยเพียงใดขึ้นอยูกับผลทไ่ี ดจากการสงั เกตทร่ี อบคอบ การวัดที่แม นยา การบนั ทึกที่เปนจริง และการจัดกระทาขอมูลที่เหมาะสมผลหรือขอมูลทไี่ ดจากการสังเกตอยางมี เหตุผล โดยใชความรูหรือประสบการณมาอธบิ ายดวยความเห็นสวนตวั ตอขอมูลนน้ั ๆ 7. การหาความสัมพนั ธระหวางสเปสกบั สเปส และ สเปสกับเวลา สเปส (Space)หมายถึง ท่ีวางในรูปทรงของวัตถุ มี 3 มิติ คือ ความกวาง ความยาว และความสงู (หนา ลึก) ความสัมพนั ธระหวางสเปสกบั สเปสของวัตถุ หมายถึงความสมั พนั ธระหวางวตั ถุ 2 มิติ กับ วตั ถุ 3 มติ ิ และ ความสัมพันธระหวางตาแหนงท่ีอยูของวัตถหุ นึ่งกบั อกี วตั ถหุ นึง่ คือการบงช้รี ปู 2 มิติ รูป 3 มิติ ได หรอื สามารถวาดภาพ 3 มิติ จากวตั ถุหรอื ภาพ 3 มิติได เปนตน ความสัมพันธระหวางสเปสกบั เวลา หมายถึง ความสัมพันธระหวางสเปสของวัตถุทีเ่ ปลีย่ นไปกบั เวลา หรอื การเปลีย่ นตาแหนงท่ีอยขู องวัตถุกบั เวลา น่ันคือการบอกทิศทางหรือตาแหนงของวัตถเุ ม่ือเทยี บกับ ตวั เองหรือสงิ่ อื่น ๆ 8. การจดั กระทาและส่อื ความหมายขอมูล การจดั กระทาคอื การนาขอมลู ดิบมาจดั ลาดบั จดั จาพวก หาความถ่ี หาความสัมพันธ หรอื คานวณ ใหม
การสื่อความหมายขอมลู เปนการใชวิธีตาง ๆ เพือ่ แสดงขอมูลใหผอู ื่นเขาใจ เชน การบรรยาย ใช แผนภมู ิ แผนภาพ : วงจร กราฟ ตาราง สมการ ไดอะแกรม เปนตน ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข้นั สงู มี 5 ทักษะไดแก 1. การกาหนดและควบคมุ ตัวแปร ตัวแปร หมายถงึ ส่งิ ทแ่ี ตกตาง หรอื เปล่ียนแปลงไปจาก เดิมเมือ่ อยูในสถานการณตาง ๆ กัน ตัวแปรทเ่ี กี่ยวของกบั การทดลองทางวิทยาศาสตรมอี ยู 3 ประเภท ไดแก 1) ตวั แปรตน (ตัวแปรอิสระ ตวั แปรเหตุ) เปนตวั แปรเหตุที่ ทาใหเกดิ ผลตาง ๆ หรือ ตวั แปร ท่ี เราตองการศึกษา หรอื ทดลองดวู าเปนสาเหตุที่ทาใหเกดิ ผลตามทเี่ ราสังเกตใชหรือไม 2) ตัวแปรตาม (ตวั แปรไมอสิ ระ ตวั แปรผล) เปนตัวแปรท่ี เกิดมาจากตวั แปรเหตุ เม่อื ตวั แปรเหตุ เปล่ียนแปลงอาจมีผลทาใหตัวแปร ตามเปล่ียนแปลงไปได ตวั แปรตามจาเปนตองควบคุมใหเหมือน ๆ กัน เสยี กอน 3) ตวั แปรแทรกซอน(Extraneous Variables) เปนตวั แปรอน่ื ๆ ท่อี าจมีผลตอ ตัวแปรตาม โดยผวู ิจยั ไมตองการใหเกิดเหตกุ ารณนั้นขนึ้ 2. การต้ังสมมติฐาน เปนการคาดคะเนคาตอบของปญหาอยางมีเหตุผล หรือการบงบอกความสมั พนั ธ ของตวั แปรอยางนอย 2 ตวั กอนทีจ่ ะทาการทดลองจรงิ โดยอาศัยทกั ษะสงั เกต ประสบการณ ความรูเดมิ เป
นพืน้ ฐาน 3. การกาหนดนยิ ามเชิงปฏิบัตกิ าร นิยามเชงิ ปฏิบัติการหมายถงึ ความหมายของคาหรือขอความที่ ใชในการทดลองท่สี ามารถสังเกต ตรวจสอบ หรอื ทาการวดั ได ซ่งึ จาเปนตองกาหนดเพ่ือความเขาใจที่ ตรงกันเสยี กอนทาการทดลอง นิยามเชิงปฏิบตั กิ าร จะแตกตางจากคานยิ ามทว่ั ๆ ไป คือ “ตองสามารถวดั หรือ ตรวจสอบได” ซึ่งมักจะเปนคานิยามของตวั แปรนนั่ เอง 4. การทดลอง เปนกระบวนการปฏบิ ตั ิการเพ่อื หาคาตอบจากสมมุติฐานท่ีตง้ั ไวในการ ทดลอง ประกอบดวยขัน้ ตอนตาง ๆ 3 ขนั้ ตอน ดังน้ี 1) การออกแบบการทดลอง คอื การวางแผนการทดลองก อนลงมือปฏบิ ัติ จริง โดยกาหนดวาจะใชวสั ดอุ ปุ กรณอะไรบาง จะทาอยางไร ทาเม่ือไร มขี ้ันตอนอะไร 2) การปฏิบัติการทดลอง คอื การลงมือปฏิบตั ิตามทอ่ี อกแบบไว 3) การบนั ทึกผลการทดลอง คือ การจดบนั ทึกขอมลู ตาง ๆ ทไ่ี ดจากการทดลอง ซงึ่ ใชทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตรขั้นพื้นฐาน 8 ทกั ษะทกี่ ลาวไปแลว
5. การตคี วามหมายขอมลู และการลงขอสรปุ การตคี วามหมายขอมูล คอื การแปลความหมาย หรือ การบรรยายผลของการศึกษาเพื่อใหคนอนื่ เขาใจว าผลการศึกษาเปนอยางไร เปนไปตามสมมติฐานทต่ี งั้ ไวหรอื ไม่ การลงขอสรุป เปนการสรุปความสัมพันธของขอมูลทั้งหมด เชน การอธบิ ายความสมั พนั ธระหวางตัว แปรบนกราฟ การอธิบายความสมั พันธของขอมูลท่ีเปนผลของการศึกษา การฝกทกั ษะท่ีจาเปนของการทาโครงงานทกุ ข้ันตอนอยางเปนระบบจะทาใหผเู รียนไดโครงงานและได ผลสาเรจ็ ของโครงงานท่ี มปี ระสทิ ธภิ าพและเช่อื ถือได 1.4.ทกั ษะการนาเสนอ ทักษะการนาเสนอ (www. panyathai.or.th) “การนาเสนอ” หมายถงึ การส่อื สารเพอื่ เสนอขอมลู ความรู ความคดิ เห็น หรอื ความตองการไปสูผูรับสาร โดยใชเทคนคิ หรอื วธิ กี ารตาง ๆ ความสาคญั ของการนาเสนอ ในปจจุบันนก้ี ารนาเสนอเขามามบี ทบาทสาคญั ในองคกรทาง ธุรกิจ ทางการเมอื ง ทางการศกึ ษา หรือแมแตหนวยงานของรฐั ทุกแหงกต็ องอาศยั วธิ ีการนาเสนอเพื่อ สื่อสารขอมูล เสนอความเหน็ เสนอขออนมุ ัติ หรือเสนอขอสรุปผลการดาเนินงานตาง ๆ กลาวโดยสรุปการ นาเสนอมีความสาคญั ตอการปฏบิ ตั งิ านทกุ ประเภท เพราะ ชวยในการตดั สินใจในการดาเนินงาน ตลอดจน เผยแพร ความกาวหนาของงานตอผูบังคบั บัญชาและบคุ คลผูทสี่ นใจ จดุ มุงหมายในการนาเสนอ 1. เพื่อใหผรู ับสารรับทราบความคดิ เห็นหรือความตองการ 2. เพอื่ ใหผรู ับสารพิจารณาเร่อื งใดเร่อื งหน่ึง 3. เพอ่ื ใหผูรบั สารไดรับความรูจากขอมูลทีน่ าเสนอ 4. เพ่ือใหผูรับสารเกิดความเขาใจที่ถกู ตอง ประเภทของการนาเสนอ การนาเสนอแบงออกไดเปน 2 รปู แบบ ดังนี้ 1. การนาเสนอเฉพาะกลุม 2. การนาเสนอทวั่ ไปในท่สี าธารณะ
ลกั ษณะของขอมลู ทนี่ าเสนอ ขอมลู ที่จะนาเสนอแบงออกตามลกั ษณะของขอมูล ไดแก 1. ขอเท็จจรงิ หมายถึง ขอความที่เก่ียวของกบั เหตกุ ารณ เรอ่ื งราวทเี่ ปนมาหรอื เปนอยูตามความจริง 2. ขอคดิ เห็น เปนความเห็นอันเกดิ จากประเดน็ หรือเร่อื งราวทชี่ วนใหคิด ขอคิดเหน็ มีลกั ษณะตาง ๆ กนั การนาเสนอ เปนการนาขอมลู ท่รี วบรวมขอมูลทไี่ ดจากการศกึ ษามานาเสนอ หรือทาการเผยแพรใหผูที่สนใจได รบั ทราบ หรือนาไปวิเคราะหเพอื่ ไปใชประโยชน แบงออกได 2 ลกั ษณะ คอื 1. การนาเสนออยางไมเปนแบบแผน 1. 1 การนาเสนอในรูปของบทความ 1. 2. การนาเสนอขอมลู ในรปู ของขอความกง่ึ ตาราง 2. การนาเสนอขอมลู อยางเปนแบบแผน 2. 1. การนาเสนอขอมูลโดยใชตาราง 2. 2. การนาเสนอขอมลู โดยใชแผนภูมิแทง 2. 3 การนาเสนอขอมลู โดยใชแผนภูมิวงกลม 2. 4 การนาเสนอขอมูลโดยใชแผนภมู ิรปู ภาพ 2. 5 การนาเสนอขอมูลโดยใชแผนทส่ี ถิติ 2. 6 การนาเสนอขอมลู โดยใชแผนภูมแิ ทงเปรียบเทียบ 2. 7 การนาเสนอขอมลู โดยใชกราฟเสน ในการนาเสนอขอมูลแบบใดนนั้ ข้นึ อยูกบั ความ เหมาะสมของขอมูล เชน ตองการแสดงอณุ หภมู ิของภาคตาง ๆ ควรแสดงดวยกราฟเสน ตองการแสดงการ เปรยี บเทียบจานวนนกั เรยี นแตละระดับการศกึ ษา ควรใชแผนภูมิแทง เปนตน 1.5.ทักษะการพฒั นาต่อยอดความรู้ (gotoknow. Org. และth.wikipedia.org/wiki/การจัดการความรู ) การตอยอดความรู มคี นจดั ประเภทความรูไว สองลกั ษณะ ไดแก ความรูฝงลึก (tacit knowledge) กบั ความรูประจกั ษ หรือชัดแจง (explicit knowledge) โดยความรูแบบฝงลกึ (Tacit Knowledge) เปนความรูท่ี ไม สามารถอธิบาย โดย ใชคาพดู ได มรี ากฐานมาจากการกระทาและประสบการณ มีลกั ษณะเปนความเช่ือ ทกั ษะ และเป นอัตวสิ ัย (Subjective) ตองการการฝกฝนเพือ่ ใหเกิดความชานาญ มลี กั ษณะเปนเรอ่ื งสวนบคุ คล มีบริบท เฉพาะ (Contextspecific) ทาใหเปนทางการและสื่อสารยาก เชน วิจารณญาณความลับทางการคา วฒั นธรรม องคกร ทักษะ ความเชยี่ วชาญในเรือ่ งตางๆ การเรยี นรขู ององคกร ความสามารถในการชิมรส ไวน หรอื กระทั่งทักษะในการสงั เกตเปลวควนั จากปลองโรงงานวามปี ญหาในกระบวนการผลิตหรอื ไม เปนค วามรูที่ ใชกันมากในชีวิตประจาวนั และมกั เปนการใชโดยไม รตู วั และความรูประจกั ษ หรอื ชดั แจง (explicit knowledge) เปนความรูท่รี วบรวมไดงาย จดั ระบบและถายโอนโดยใชวิธกี ารดจิ ิทลั มีลักษณะเปนวตั ถุดิบ (Objective) เปนทฤษฏี สามารถแปลงเปนรหัสในการถายทอดโดยวิธีการท่ี เปนทางการ ไม จาเปนตอง อาศัยการปฏสิ มั พนั ธกบั ผูอื่ นเพื่ อถ ายทอดความรู เช น นโยบายขององคกร กระบวนการทางาน ซอฟตแวร เอกสาร และกลยุทธ เปาหมายและความสามารถขององคกร
แบบทดสอบ 1 การประมวลข้อมูลแบ่งออกเปน็ กีป่ ระเภท * 4 ประเภท 5 ประเภท 2 ประเภท 3 ประเภท 2.การทาของใช้จากกระป๋องโค๊กเป็นโครงงานประเภทใด * โครงงานประเภททดลอง โครงงานประเภทสารวจและรวบรวมข้อมูล โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์ 3.กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขัน้ ตอนใดทจ่ี ะนาไปสู่การสรปุ ผลการศกึ ษาตอ่ * การสังเกต การตั้งสมมติฐานและการออกแบบการทดลอง การหาความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริง การรวบรวมข้อมูล 4.การตอ่ ยอดความรู้มีก่ีลกั ษณะ 2 1 3 4 5.ขอ้ ใดเป็นโครงงานประเภทสารวจ * ดอกกุหลาบจากธนาบตั ร ดอกกไม้จากผ้าใยบัว การศึกษาคาควบกล้าในหน้าหนังสือพิมพ์ การศึกษาผลของนา้ เสียต่อการตายของปลา
บนั ทกึ หลงั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครง้ั ที่ ……… วันท่ี …………. เดอื น …………………………………..……….. พ.ศ. …………….. ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ จานวนนกั ศกึ ษา ทง้ั หมด....................คน ชาย................คน หญิง..................คน จานวนนกั ศึกษาท่ีเขา้ เรียน ทัง้ หมด....................คน ชาย................คน หญิง..................คน จานวนนกั ศกึ ษาทข่ี าดเรียน ทง้ั หมด....................คน ชาย................คน หญิง..................คน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................... สภาพการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ปัญหาทีพ่ บและการแกไ้ ขปญั หา ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ การดาเนินการแกไ้ ข/พัฒนา ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ข้อเสนอแนะ/ความคิดเหน็ ผ้นู ิเทศ ……………………………………………………………………………………………………………………………….……….………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… (ลงชือ่ ) ................................................... (ลงชอ่ื ) ................................................... ผ้นู ิเทศ (........................................) (........................................) ………….. /….……… /…….…… ………….. /….……… /…….…… (ลงชอ่ื ) ………………………………..…………............. ผอ.กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี (นายศักดชิ์ ัย นาคเอีย่ ม) ………….. /….……… /…….……
บรรณานกุ รม เรื่อง แผนพฒั นาแห่งชาติ ฉบับที่ 12 https://www.ratchakitcha.soc.go.th/PATA/PDF/2554/E/152/1.PDF วนั ทสี่ บื ค้นวันท่ี 6 มถิ ุนายน 2561 เรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกจิ https://knowladge.eduzones.com/knowledge-2-10-28149.html วันที่สืบค้นวนั ที่ 6 มิถนุ ายน 2561 เรื่อง กศน.กบั การทางานรว่ มกบั เครือข่าย https://www.gotoknow.org/posts/510925 วันทส่ี ืบคน้ วนั ท่ี 6 มิถุนายน 2561 เรื่อง ความรับผดิ ชอบ/วนิ ยั /ไม่ตรงต่อเวลา https://www.sites.google.com วนั ทีส่ บื คน้ วันที่ 6 มถิ นุ ายน 2561 เรื่อง ความสาคญั ของการศึกษาไทย https://sites.google.com/site/mungreiynpheiyrfiru/khwam-sakhay-khxng-kar-suksa วันท่ีสืบคน้ วนั ท่ี 6 มถิ ุนายน 2561 เรอ่ื ง สาเหตุทท่ี าให้การศกึ ษาไทยไม่พฒั นา https://aitenso.org/เหตุผลทก่ี ารศึกษาไทยยังไม่พัฒนา วนั ท่สี บื คน้ วนั ท่ี 6 มิถุนายน 2561 เรือ่ ง การมจี ิตสาธารณะ https://www.e-leanning.e-tech.ac.th วนั ที่สืบคน้ วนั ที่ 6 มถิ นุ ายน 2561
คณะผู้จดั ทา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบูรณาการ ตามรูปแบบ ONIE MODEL หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ภาคเรียนท่ี .......... ปกี ารศึกษา ................... ที่ปรึกษา ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี นายศักด์ชิ ัย นาคเอย่ี ม ครพู เ่ี ลีย้ ง จนั ทนะ ครชู านาญการ นางสาวชมพู คณะผจู้ ัดทา 1. ครูอาสาสมัครการศกึ ษานอกโรงเรียน กศน.อาเภอเมืองกาญจนบุรี 2. ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี 3. ครู ศรช. กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: