แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กศน. แบบบูรณาการ ตามรูปแบบ ONIE Model หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หัวเร่ือง เพิม่ ทักษะส่งเสรมิ การเรียนรู้ หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนท่ี ……….. ปกี ารศึกษา ……………. สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั จังหวดั กาญจนบรุ ี สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธิการ
คานา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอเมืองกาญจนบุรีได้ดาเนินการ จัดทาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หัวเพ่ิมทักษะส่งเสริมการเรียนรู้ เพ่ือให้ครูผู้สอนใช้เป็นคู่มือในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพตาม หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ั พื้นฐานพุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาค เรียนที่ ......... ปีการศึกษา .................... เอกสารประกอบการจัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หน่วยการ เรยี นรู้ท่ี 1 หวั เรอ่ื ง เพิม่ ทกั ษะส่งเสรมิ การเรยี นรู้ ประกอบด้วยแผนผังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน. แบบ ONIE Mode แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ ใบความรู้ แบบประเมินการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ แนวตอบ และแบบบนั ทึกหลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ การดาเนินการจัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียน ที่ .......... ปีการศึกษา ............. ในคร้ังน้ี ประสบความสาเร็จได้ด้วยดี ต้องขอขอบพระคุณ นายศักดิ์ชัย นาคเอย่ี ม ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอเมืองกาญจนบุรี นางสาวชมพู จันทนะ ครูชานาญการเป็นอย่างสูงท่ีเป็น ผใู้ หค้ าปรกึ ษา ในการดาเนินการจดั ทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หัวเรื่อง เพ่ิมทักษะส่งเสริมการเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียน ท่ี ………… ปีการศึกษา ………………… มาโดยตลอดทาให้การ ดาเนินการจัดทาแผนการเรยี นรแู้ บบบูรณาการบรรลตุ ามวัตถุประสงค์ จดั ทาโดย กศน.อาเภอเมืองกาญจนบรุ ี
สารบญั เรอื่ ง หน้า คานา สารบญั แผนผังการจดั หน่วยการเรยี นรู้ กศน.แบบบรู ณาการ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ กศน.แบบบรู ณาการตามรูปแบบ ONIE MODEL ใบความรู้ที่ 1 เรือ่ งการใช้ภาษาในการสือ่ สารความหมายในชวี ติ ประจาวนั ใบความรู้ท่ี 2 เรื่องคณุ รสู้ กึ อยา่ งไร (How do you feel?) ใบความรทู้ ี่ 3 เรอ่ื งคุณคิดอยา่ งไร (What do you think?) ใบความร้ทู ี่ 4 เร่ืองรปู แบบประโยคในภาษาองั กฤษ (Types of English Sentence) แบบประเมินการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ แนวตอบแบบประเมนิ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ บรรณานุกรม คณะทางาน
แผนผังหนว่ ยการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบรู ณาการ หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดบั กา ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ภาคเร รายวชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร31001) รายวชิ า ทกั ษะการเรยี น หัวเรอื่ ง การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง หวั เร่อื ง การใชแ้ หลง่ เรีย เน้อื หา เน้อื หา - ความหมาย ความสาคญั และกระบวนการของ - ความหมาย ความสาค การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง - แหลง่ เรยี นร้ปู ระเภทหอ้ - ทักษะพน้ื ฐานทางการศกึ ษาหาความรู้ ทกั ษะ - ทักษะการเขา้ ถงึ สารสน - การใช้แหล่งเรียนรูส้ าคัญ การแก้ปญั หา และเทคนคิ ในการ - การใช้แหล่งเรยี นรู้ผา่ น รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ (ทร31001) หวั เรอ่ื ง เพม่ิ ทักษะส่งเส หัวเร่อื ง เรียนร้ดู ้วยตนเอง สภาพปัญหา เนือ้ หา 1. การไม่มีความรู้ทกั ษะท 2. การอา่ นไมอ่ อกเขยี นไ - การทาแผนผงั ความคิด 3. การฟังจับใจความไม่ได - ปัจจยั ทีท่ าใหก้ ารเรยี นรู้ด้วยตนเอง 4. การไม่มคี วามสามารถ ประสบความสาเรจ็
ร หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 1 หัวเร่ือง เพมิ่ ทักษะสง่ เสรมิ การเรียนรู้ ารศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 รยี นท่ี .......... ปีการศกึ ษา ............ นรู้ (ทร31001) กรต. ศาสนาและหนา้ ที่พลเมอื ง ยนรู้ (สค31002) คญั ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ องสมดุ หัวเรือ่ ง 1 ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี นเทศของหอ้ งสมุด ญ ๆ ในประเทศ เน้ือหา นเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ 1. คา่ นยิ มทพ่ี ึงประสงคข์ องประเทศต่าง ๆ ในโลก - การตรงตอ่ เวลา - ความมรี ะเบยี บ ฯลฯ หนว่ ยท่ี 1 รายวชิ า ภาษาองั กฤษ (พต31001) สริมการเรยี นรู้ หัวเรอื่ ง สนุกกบั ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ที่ควรรู้ ไมไ่ ด้ เนอ้ื หา ด้ ถในการคน้ ควา้ หากระบวนการเรียนรู้ คาศัพท์ - Recycle = แปรรูปแล้วนากลับมา ใชใ้ หม่ - Material = วัสดุ - Economy = เศรษฐกิจ - World scout =ลกู เสือโลก - Religion = ศาสนา
ประเดน็ /ปัญหา/ส่งิ จาเปน็ ทีต่ อ้ งเรยี นรู้ ก 1. ผเู้ รียนขาดความรแู้ ละทักษะทีค่ วรรู้ 1 2. ผ้เู รยี นขาดความรู้และทกั ษะในการอ่าน การสะกดคา และการเขยี น แ 3. ผเู้ รียนขาดทกั ษะในการจับใจความประโยคต่างๆ ค 4. ผู้เรียนขาดทกั ษะในการสนทนาและคน้ ควา้ หากระบวนการเรยี นรู้ 2 เ ว 3 เ ก 4 แ ณ
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูกาหนดให้ผู้เรียนไปศกึ ษาค้นคว้าคาศพั ท์เก่ยี วกบั กิจวตั รประจาวัน เชน่ อาบน้า กินข้าว แปรงฟัน ทางาน ขับรถ เป็นต้น เขยี นลงในใบงานท่ี 2 พร้อมมานาเสนอหน้าช้ันเรียน โดยมี ครแู ละเพ่ือนสรุปรว่ มกัน ในวันพบกล่มุ ณ กศน.ตาบล 2. ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาเรื่องคาปฏญิ าณของลกู เสือ จากสอื่ ออนไลน์ ห้องสมดุ หนังสอื เรียน พร้อม เขียนเปน็ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ลงในใบงานท่ี 3 ครูความคิดเห็นพร้อมให้กาลังใจใน วนั พบกล่มุ ณ กศน.ตาบล 3. ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน เล่านทิ านพรอ้ มแสดงบทบาทสมมุติเก่ียวกับการรีไซเคิล เป็นประโยคบอกเล่าหน้าชั้นเรียน โดยมีครูและเพ่ือนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและให้ กาลังใจ ในวนั พบกลุ่ม ณ กศน.ตาบล 4. ให้ผเู้ รียนจบั ค่กู ับเพ่ือน แล้วเดินทางไปค้นคว้าหากระบวนการเรียนรู้ท่ีสะพานข้ามแม่น้า แคว พร้อมถา่ ยคลปิ วิดิโอสั้น ๆ ไม่เกิน 1 นาที พร้อมมานาเสนอหน้าชั้นเรียนในวันพบกลุ่ม ณ กศน.ตาบล
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ก หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 หัวเร่ือง หลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั กา ระดับมธั ยมศึก ภาคเรยี นที่ .......... ปกี า ครั้งท่ี วนั /เดือน/ ปี ตวั ชวี้ ัด เนื้อหาสาระการ หวั เรื่อ 4. มีทักษะในการ เรียนรู้ หนว่ ยท่ี 1 ปฏบิ ตั ติ น รายวชิ า ทักษะ เพิ่มทักษะส่งเส เรยี นรู้ การเรยี นรู้ ทร สภาพปญั หา 31001 1. การไม่มีควา ทกั ษะท่คี วรรู้ หวั เร่ือง 2. การอ่านไม่อ ไม่ได้ การเรียนรูด้ ้วย 3. การฟงั จบั ใจ ตนเอง ไม่ได้ - ความหมาย 4. การไมม่ ี ความสาคัญ และ ความสามารถใ กระบวนการของ ค้นคว้าหากระบ การเรยี นรูด้ ้วย เรียนรู้ ตนเอง - ทักษะพ้นื ฐาน ทางการศึกษาหา ความรู้ ทกั ษะการ แก้ปญั หา และ
กศน. ตามรูปแบบ ONIE Model เพ่มิ ทกั ษะสง่ เสริมการเรียนรู้ ารศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กษาตอนปลาย ารศกึ ษา ..................... อง ประเดน็ /ปญั หา/ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ หมายเหตุ สง่ิ จาเป็นทต่ี อ้ งเรียนรู้ 1. ผ้เู รยี นขาดความรู้ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ สรมิ การ และทักษะท่ีควรรู้ 1. ครูกาหนดให้ผู้เรียนไป 2. ผเู้ รียนขาดความรู้ และทักษะในการอ่าน ศึกษาคน้ คว้าคาศัพท์เก่ียวกับ การสะกดคา และการ กิ จ วั ต ร ป ร ะ จ า วั น เ ช่ น ามรู้ เขยี น อาบน้า กินข้าว แปรงฟัน 3. ผู้เรียนขาดทักษะใน ทางาน ขับรถ เป็นต้น เขียน ออกเขียน การจบั ใจความ ลงในใบงานท่ี 2 พร้อมมา ประโยคตา่ งๆ นาเสนอหน้าชั้นเรียน โดยมี จความ 4. ผเู้ รยี นขาดทกั ษะใน ครูและเพ่ือนสรุปร่วมกัน ใน การสนทนาและ วนั พบกล่มุ ณ กศน.ตาบล คน้ คว้าหากระบวนการ ในการ เรียนรู้ บวนการ 2. ให้ผู้เรียนศึกษาเร่ืองคา ปฏิญาณของลูกเสือ จากส่ือ ออนไลน์ ห้องสมุด หนังสือ เ รี ย น พ ร้ อ ม เ ขี ย น เ ป็ น
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ ปี ตัวช้วี ัด เนือ้ หาสาระการ หวั เร่ือ เรยี นรู้ เทคนิคในการ เรียนรดู้ ้วยตนเอง - การทาแผนผัง ความคิด - ปัจจยั ทีท่ าใหก้ าร เรยี นรดู้ ้วยตนเอง ประสบความสาเร็จ การจดั การความรู้ - ความหมาย ความสาคญั หลักการ - กระบวนการ จัดการเรียนรู้ การ รวมกลมุ่ เพ่ือต่อ ยอดความรู้ และ การจัดทา สารสนเทศเพือ่ เผยแพรค่ วามรู้ - ทกั ษะ กระบวนการ จัดการความรู้
อง ประเด็น/ปญั หา/ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ หมายเหตุ สง่ิ จาเปน็ ทตี่ ้องเรียนรู้ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ลงในใบงานท่ี 3 ครูความ คิดเห็นพร้อมใหก้ าลังใจในวัน พบกลมุ่ ณ กศน.ตาบล 3. ใหผ้ ู้เรยี นแบ่งกล่มุ กลุ่มละ 5 คน เล่านิทานพร้อมแสดง บทบาทสมมุติเก่ียวกับการรี ไซเคิลเป็นประโยคบอกเล่า หน้าชั้นเรียน โดยมีครูและ เ พื่ อ น ร่ ว ม กั น แ ส ด ง ค ว า ม คิดเห็นและให้กาลังใจ ในวัน พบกลมุ่ ณ กศน.ตาบล 4. ให้ผู้เรียนจับคู่กับเพื่อน แ ล้ ว เ ดิ น ท า ง ไ ป ค้ น ค ว้ า ห า กระบวนการเรียนรู้ที่สะพาน ข้ามแม่น้าแคว พร้อมถ่าย คลิปวิดิโอสั้น ๆ ไม่เกิน 1 นาที พร้อมมานาเสนอหน้า ชั้นเรียนในวันพบกลุ่ม ณ กศน.ตาบล
ใบงานท่ี 1 วชิ า ทักษะการเรียนร(ู้ ทร 31001) ระดับ ม.ปลาย คาสั่ง ให้นกั ศึกษาตอบคาถามให้มีความหมายทส่ี มบรู ณ์ 1. การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง หมายถึงอะไร และมีความสาคญั และกระบวนการอย่างไร ......................................................................................................................... 2. จงอธิบายปัจจัยที่ทาใหก้ ารเรียนรูด้ ว้ ยตนเองประสบความสาเร็จ ..............................................................................................................
ใบความรู้ เร่ือง หอ้ งสมดุ และแหลง่ เรยี นรอู้ ่ืนๆ หอ้ งสมดุ ถือเป็นหวั ใจของการเรยี นรู้ท่ีสาคญั ในสังคมแห่งภมู ปิ ัญญา และสังคม แห่งการ เรียนรู้ ผู้เรยี นในสถานศกึ ษาจะตอ้ งศกึ ษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง หอ้ งสมุดจึงเป็น แหลง่ เรยี นรู้ทม่ี ีสว่ นสาคัญในการจดั ประสบการณ์ให้แก่ผูเ้ รียนตามหลกั สูตร เปรยี บเสมอื นคลงั ความรูท้ ีช่ ่วย พัฒนาผเู้ รยี นในทุก ๆ ดา้ นใหเ้ ป็นผู้รักการเรียน และสนใจเรียนรู้ ตลอดชีวติ เพ่ือพัฒนาคนและสงั คมให้ สมบรู ณ์แบบ จดุ ประสงคใ์ นการเรยี นรู้ 1. อธิบายความหมายของหอ้ งสมดุ ได้ 2. บอกความสาคัญของหอ้ งสมุดได้ 3. บอกประโยชน์ของห้องสมดุ ได้ 4. บอกองค์ประกอบของหอ้ งสมดุ ได้ถูกตอ้ ง 5. บอกวตั ถปุ ระสงค์ของหอ้ งสมุดได้ 6. จาแนกประเภทของหอ้ งสมุดได้ 7. อธิบายถงึ ลักษณะของห้องสมุดที่ดไี ด้ 8. สามารถใช้บริการของหอ้ งสมดุ ได้ตรงตามความตอ้ งการ 9. บอกประวัติความเป็นมาของหอ้ งสมดุ ในประเทศไทยได้ 10. บอกประวตั คิ วามเป็นมาของห้องสมุดในตา่ งประเทศได้ 11. ปฏบิ ัติตนไดถ้ กู ต้องเม่อื เข้าใช้หอ้ งสมุด 12. ใชแ้ หล่งเรยี นรู้อืน่ ๆ ในการคน้ ควา้ หาขอ้ มูลได้ 1. ความหมายของหอ้ งสมดุ คาว่า “หอ้ งสมุด” มีคาใช้อยูห่ ลายคา ในประเทศไทยสมยั กอ่ นเรยี กวา่ “หอหนังสือ” หอ้ งสมุด ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Library มาจากศัพทภ์ าษาละตินวา่ Libraria แปลว่าท่เี ก็บหนังสอื ห้องสมุด คือ สถานที่รวบรวมสรรพวิทยาการตา่ งๆ ซึ่งไดบ้ นั ทึกไวใ้ นรปู ของ หนงั สือ วารสาร ตน้ ฉบับตัวเขียน ส่งิ ตีพิมพ์อนื่ ๆ หรอื โสตทัศนวัสดุ และมกี ารจดั อยา่ งมรี ะเบียบเพือ่ บรกิ ารแกผ่ ูใ้ ช้ ในอนั ทจี่ ะส่งเสรมิ การเรยี นรู้และความจรรโลงใจตามความสนใจ และความตอ้ งการของ แต่ละ บุคคล โดยมีบรรณารักษเ์ ป็นผจู้ ัดหา และจดั เตรียมให้บรกิ ารแก่ผู้ใชห้ อ้ งสมุด 2. ความสาคญั ของห้องสมดุ ความสาคัญของห้องสมุด การศึกษาไทยตามแนวทางการปฏริ ูปการศกึ ษามงุ่ พัฒนาเยาวชนไทย ให้ เกง่ ดี มคี วามสขุ จากสังคมแห่งการเรยี นรู้ ซงึ่ เป็นสงั คมคุณภาพท่ีสรา้ งคนให้ตระหนกั ถงึ ความสาคัญ ของการเรียนรู้ การสรา้ งนิสยั รักการอ่าน และการแสวงหาแหลง่ เรยี นรู้ เพื่อนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ซง่ึ ปัจจุบันนี้เปน็ ยุคแหง่ ขอ้ มูลขา่ วสาร (Information Age) ผ้ทู ่ีสนใจจะศกึ ษาคน้ ควา้ ใหเ้ ป็นผู้รอบรใู้ น วิทยาการ เชีย่ วชาญในงานวิชาชีพ และทนั สมยั ต่อเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ นนั้ จาเปน็ ต้องพ่ึงพาหอ้ งสมดุ เปน็ อย่างยง่ิ ห้องสมุดเปน็ ปัจจัยสาคญั สง่ิ หน่ึงที่จะบง่ ช้ถี ึงความมมี าตรฐาน ด้านการศกึ ษาของ สถาบนั การศกึ ษาแห่งนั้น ๆ ความสาคญั ของห้องสมุดในแต่ละสถาบนั การศึกษาน้ัน อาจสรปุ ได้ดังนี้
2.1 หอ้ งสมดุ เปน็ แหลง่ รวมทรพั ยากรสารสนเทศต่าง ๆ เปน็ ศูนย์กลางการเรียนรู้ของ สถาบันการศึกษาที่ผู้ใช้สามารถศึกษาค้นคว้าข้อมูลท่ตี ้องการได้ทุกสาขาวชิ าที่มกี ารเรียนการสอน ใน สถานศึกษา เพื่อใหค้ รอู าจารย์ผู้สอน และนักเรียนนักศึกษาเขา้ ค้นควา้ หาความรู้ เป็นสอ่ื กลาง ใน กระบวนการเรยี นการสอน
ใบงานท่ี 2 วชิ า ทกั ษะการเรียนรู(้ ทร 31001) ระดบั ม.ปลาย คาส่ัง ใหน้ ักศกึ ษาตอบคาถามใหม้ คี วามหมายท่สี มบูรณ์ 1. แหล่งเรียนรู้ หมายถึง ............................................................................................................. ........................................................................................................................................................ 2. มีความสาคญั อยา่ งไร .............................................................................................................. .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ............ 3. แหล่งเรียนรู้ มกี .่ี ............ประเภท อะไรบา้ ง .............. .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .............................. 4. ให้นักศกึ ษาอธิบายขอ้ ดี ข้อเสียของแหลง่ เรยี นรู้ อย่างน้อย 5ขอ้
ใบความรู้ ที่ 3 ความหมายของการจดั การความรู้ การจัดการ (Management) หมายถึง กระบวนการในการเขา้ ถงึ ความรู้และการ ถา่ ยทอดความรทู้ ่ี ต้องดาเนินการร่วมกนั กับผูป้ ฏิบตั ิงาน ซ่งึ อาจเริม่ ต้นจากการบ่งช้คี วามรู้ที่ ตอ้ งการใช้ การสร้างและแสวงหา ความรู้ การประมวลเพือ่ กล่นั กรองความรู้ การจัดการ ความร้ใู หเ้ ปน็ ระบบ การสรา้ งช่องทางเพอื่ การสือ่ สารกบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง การแลกเปลีย่ นความรู้ การจัดการสมัยใหม่ใชก้ ระบวนการทางปญั ญาเปน็ ส่ิงสาคญั ในการคิด ตดั สินใจ และสง่ ผล ใหเ้ กิดการกระทา การจัดการจงึ เน้นไปท่กี ารปฏบิ ตั ิ ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความรูท้ ่ีควบค่กู ับการปฏิบัติ ซึง่ ในการปฏิบตั ิจาเป็น ต้องใช้ ความรูท้ ี่หลากหลายสาขาวิชามาเชอ่ื มโยงบูรณาการเพอ่ื การคิดและตัดสินใจ และ ลงมือปฏบิ ัติ จุดกาเนิดของ ความรู้คือสมองของคน เป็นความร้ทู ่ีฝังลึกอยใู่ นสมอง ช้ีแจงออก มาเป็นถอ้ ยคาหรอื ตวั อักษรได้ยาก ความรู้ นั้นเมือ่ นาไปใชจ้ ะไม่หมดไป แตจ่ ะยงิ่ เกิดความรู้ เพมิ่ พนู มากขึ้นอยใู่ นสมองของผปู้ ฏบิ ตั ิ ในยุคแรก ๆ มองว่า ความรู้ หรอื ทุนทางปัญญา มาจากการจดั ระบบและการ ตคี วามสารสนเทศ ซงึ่ สารสนเทศก็มาจากการ ประมวลข้อมลู ข้ันของการเรยี นรู้ เปรยี บดัง ปริ ะมิดตามรูปแบบนี้ ความรแู้ บ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ 1. ความรเู้ ดน่ ชัด (Explicit Knowledge) เปน็ ความรู้ท่ีเปน็ เอกสาร ตารา คมู่ อื ปฏบิ ัติงาน สือ่ ตา่ ง ๆ กฎเกณฑ์ กติกา ขอ้ ตกลง ตารางการทางาน บนั ทึกจากการทางาน ความร้เู ด่นชัดจงึ มชี อื่ เรยี กอกี อยา่ งหน่ึงวา่ “ความรู้ใน กระดาษ” 2. ความรูซ้ อ่ นเร้น /ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) เปน็ ความร้ทู ีแ่ ฝงอยูใ่ นตวั คน พัฒนาเป็นภมู ิปญั ญา ฝงั อยใู่ นความคิด ความเชือ่ ค่านยิ ม ที่คนได้มาจากประสบ การณ์สัง่ สมมานาน หรอื เป็นพรสวรรคอ์ นั เปน็ ความสามารถพเิ ศษเฉพาะตัวทีม่ มี าแตก่ าเนดิ หรือเรยี กอีกอยา่ งหนึ่งวา่ “ความรู้ในคน” แลกเปล่ยี นความรูก้ ัน ไดย้ าก ไม่สามารถแลก เปลี่ยนมาเปน็ ความรู้ทเี่ ปิดเผยได้ทัง้ หมด ต้องเกดิ จากการเรยี นรู้รว่ มกัน ผา่ นการเปน็ ชมุ ชน เชน่ การสังเกต การแลกเปลยี่ นเรยี นร้รู ะหวา่ งการทางาน หากเปรียบความรู้เหมอื นภเู ขานา้ แข็ง จะมลี กั ษณะดังน้ี ส่วนของน้าแข็งทล่ี อยพ้นนา้ เปรยี บเหมือนความรทู้ เี่ ดน่ ชัด คือความรู้ที่อยูใ่ น เอกสาร ตารา ซีดี วดี ีโอ หรือสื่อ อ่นื ๆ ทีจ่ ับต้องได้ ความรนู้ ้มี เี พยี ง 20 เปอรเ์ ซ็นต์ สว่ นของน้าแขง็ ทจ่ี มอยู่ใต้นา้ เปรียบเหมือนความรู้ท่ียังฝงั ลึกอย่ใู นสมองคน มี ความรูจ้ ากสิง่ ทตี่ นเองได้ปฏบิ ัติ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตวั หนังสือให้คนอนื่ ได้รับรู้ได้ ความรทู้ ี่ฝงั ลกึ ในตัวคนน้มี ีประมาณ 80 เปอร์เซน็ ต์ ความรู้ 2 ยคุ ความรูย้ คุ ที่ 1 เนน้ ความร้ใู นกระดาษ เน้นความรขู้ องคนสว่ นนอ้ ย ความรู้ทีส่ ร้าง ขึ้นโดยนกั วชิ าการทมี่ คี วาม ชานาญเชีย่ วชาญเฉพาะดา้ น เรามักเรียกคนเหลา่ นนั้ ว่า “ผูม้ ปี ัญญา” ซึง่ เช่อื ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ ไม่มี ปญั ญา ไมส่ นใจทีจ่ ะใช้ความรูข้ องคนเหล่าน้ัน โลกทัศนใ์ นยคุ ที่ 1 เปน็ โลกทศั น์ที่คับแคบ ความรยู้ ุคที่ 2 เป็นความรใู้ นคน หรอื อย่ใู นความสัมพนั ธร์ ะหว่างคน เปน็ การค้น พบ “ภูมิปญั ญา” ท่ีอยู่ในตวั คน ทุกคนมคี วามรู้เพราะทกุ คนทางาน ทกุ คนมีสัมพนั ธก์ ับ ผู้อ่ืน จงึ ย่อมมคี วามรู้ท่ฝี งั ลึกในตวั คนทเี่ กิดจากการ ทางาน และการมีความสัมพันธ์กนั นัน้ เรียกวา่ “ความรอู้ นั เกิดจากประสบการณ์” ซึง่ ความรู้ยคุ ที่ 2 นี้ มี คณุ ประโยชน์ 2 ประการ คอื ประการแรก ทาให้เราเคารพซึง่ กนั และกนั ว่าตา่ งก็มีความรู้ ประการท่ี 2 ทาให้
หน่วยงาน หรอื องคก์ รท่ีมีความเช่อื เช่นน้ี สามารถใช้ศกั ยภาพแฝงของทกุ คนในองคก์ รมาสร้างผลงาน สร้าง นวตั กรรมใหก้ ับองค์กร ทาให้องค์กรมีการพฒั นามากขึน้ การจัดการความรู้ การจดั การความรู้ (Knowledge Management) หมายถงึ การจัดการกับความรู้ และ ประสบการณท์ ่มี อี ยู่ในตวั คน และความรู้เด่นชัด นามาแบง่ ปนั ใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ ตนเอง และองค์กร ด้วยการ ผสมผสานความสามารถของคนเขา้ ด้วยกันอย่างเหมาะสม มีเป้าหมาย เพอื่ การพัฒนางาน พัฒนาคน และ พฒั นาองค์กรให้เปน็ องคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ ในปจั จุบันและในอนาคต โลกจะปรับตัวเข้าสกู่ ารเป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ซึ่งความ รู้กลายเปน็ ปจั จัยสาคญั ในการพัฒนาคน ทาให้คนจาเปน็ ตอ้ งสามารถแสวงหาความรู้ พัฒนา และสร้างองคค์ วามรู้อยา่ ง ตอ่ เนอ่ื ง เพอ่ื นาพาตนเองสูค่ วามสาเร็จ และนาพาประเทศชาติไป สูก่ ารพัฒนา มีความเจริญกา้ วหนา้ และ สามารถแขง่ ขันกับตา่ งประเทศได้ คนทกุ คนมีการจดั การความรูใ้ นตนเอง แต่ยงั ไมเ่ ปน็ ระบบ การจัดการความรเู้ กิด ขน้ึ ไดใ้ น ครอบครัวทม่ี ีการเรียนรตู้ ามอัธยาศัย พอ่ แม่สอนลูก ปู่ย่า ตายาย ถ่ายทอดความรู้ และภมู ปิ ัญญาให้แก่ ลูกหลานในครอบครัว ทากันมาหลายชวั่ อายุคน โดยใชว้ ิธธี รรมชาติ เชน่ พูดคุย ส่งั สอน จดจา ไมม่ ี กระบวนการทีเ่ ปน็ ระบบแตอ่ ย่างใด วิธีการดังกลา่ วถือเปน็ การจัดการความรรู้ ูปแบบหนง่ึ แตอ่ ย่างไรก็ตาม โลกในยคุ ปัจจบุ ันมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ ง รวดเรว็ ในดา้ นตา่ ง ๆ การใช้วิธีการจัดการความรู้แบบธรรมชาติ อาจ กา้ วตามโลกไมท่ ัน จงึ จาเปน็ ต้องมีกระบวนการทเ่ี ปน็ ระบบ เพื่อช่วยใหอ้ งค์กรสามารถทาให้บุคคลไดใ้ ช้ความรู้ ตาม ที่ต้องการไดท้ นั เวลา ซึ่งเปน็ กระบวนการพฒั นาคนใหม้ ีศกั ยภาพ โดยการสรา้ งและใช้ความรู้ ในการ ปฏิบตั งิ านให้เกิดผลสมั ฤทธด์ิ ขี ้นึ กวา่ เดมิ การจดั การความรู้หากไมป่ ฏิบัตจิ ะไม่เขา้ ใจ เรื่องการจัดการความรู้ นัน่ คือ “ไมท่ า ไม่รู้” การจดั การความรู้จงึ เป็นกิจกรรมของนักปฏิบัติ กระบวนการจดั การความรจู้ ึงมลี กั ษณะ เปน็ วงจรเรยี นรทู้ ี่ตอ่ เนื่องสมา่ เสมอ เปา้ หมายคือ การพฒั นางานและพฒั นาคน การจัดการความรทู้ ี่แทจ้ ริง เป็นการจดั การความรโู้ ดยกลุ่มผู้ ปฏิบตั งิ าน เป็นการดาเนินกิจกรรมรว่ มกันในกลมุ่ ผู้ทางาน เพือ่ ช่วยกนั ดงึ “ความรู้ในคน” และคว้าความรภู้ ายนอกมาใชใ้ นการทางาน ทาให้ไดร้ ับความรมู้ ากขึน้ ซึง่ ถือเปน็ การยก ระดบั ความรู้ และนาความร้ทู ไ่ี ดร้ ับการยกระดับไปใช้ในการทางานเปน็ วงจรต่อเนือ่ งไม่จบสนิ้ การจัดการความรู้จงึ ตอ้ งร่วมมือกนั ทาหลายคน ความคิดเหน็ ทีแ่ ตกต่างในแต่ละบคุ คล จะกอ่ ให้เกดิ การสร้างสรรค์ด้วยการใชก้ ระบวนการแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ มีปณิธานมงุ่ มั่นทจ่ี ะทางาน ให้ประสบ ผลสาเร็จดีขนึ้ กวา่ เดิม เมอื่ ดาเนินการจัดการความรู้แล้วจะเกดิ นวตั กรรมในการ ทางาน น่นั คือเกดิ การตอ่ ยอด ความรู้ และมีองคค์ วามรเู้ ฉพาะเพ่ือใช้ในการปฏิบัตงิ านของ ตนเอง การจดั การความรู้มิใชก่ ารเอาความรูท้ ่มี ีอยู่ ในตาราหรอื จากผู้เชย่ี วชาญมากองรวมกัน และจัดหมวดหมู่ เผยแพร่ แต่เปน็ การดงึ เอาความรู้เฉพาะส่วนท่ใี ช้ ในงานมาจัดการใหเ้ กดิ ประโยชนก์ บั ตนเอง กลมุ่ หรือชมุ ชน การจดั การความรู้เปน็ การเรยี นร้จู ากการปฏิบตั ิ นาผลจากการปฏิบัตมิ าแลก เปลย่ี นเรียนรู้กัน เสริมพลังของ การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ด้วยการชนื่ ชม ทาใหเ้ ปน็ กระบวน การแหง่ ความสุข ความภูมิใจ และการเคารพเห็น คณุ ค่าซึ่งกันและกนั ทกั ษะเหล่านี้ นาไปสกู่ ารสร้างนิสยั คดิ บวกทาบวก มองโลกในแงด่ ี และสรา้ งวฒั นธรรมใน องค์กรท่ี ผคู้ นสัมพันธ์กันด้วยเรือ่ งราวดี ๆ ดว้ ยการแบง่ ปันความรู้ และแลกเปลี่ยนความรูจ้ าก ประสบการณ์ ซ่ึงกนั และกนั โดยท่กี จิ กรรมเหล่านีส้ อดคลอ้ งแทรกอยู่ในการทางาน ประจาทุกเรื่อง ทุกเวลา...
ความสาคญั ของการจัดการความรู้ หวั ใจของการจัดการความร้คู ือ การจัดการความรทู้ มี่ ีอยู่ในตัวบุคคล โดยเฉพาะ บุคคลที่มี ประสบการณใ์ นการปฏิบัตงิ านจนงานประสบผลสาเร็จ กระบวนการแลกเปลย่ี น เรยี นรรู้ ะหว่างคนกบั คน หรอื กลุ่มกับกลุ่ม จะก่อให้เกดิ การยกระดบั ความรู้ท่ีสง่ ผลตอ่ เปา้ หมายของการทางาน นั่นคือเกดิ การพัฒนา ประสทิ ธิภาพของงาน คนเกิดการพฒั นา และ สง่ ผลต่อเนอ่ื งไปถึงองค์กร เป็นองค์กรแห่งการเรยี นรู้ ผลท่เี กิด ขนึ้ กบั การจัดการความรู้ จึง ถอื วา่ มีความสาคัญต่อการพัฒนาบคุ ลากรในองคก์ ร ซึง่ ประโยชน์ทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ตอ่ บคุ คล กลุ่ม หรอื องค์กร มีอยา่ งน้อย 3 ประการ คอื 1. ผลสมั ฤทธิข์ องงาน หากมีการจัดการความรู้ในตนเอง หรือในหน่วยงาน องคก์ ร จะเกดิ ผลสาเรจ็ ทรี่ วดเร็ว ยง่ิ ข้ึน เนอ่ื งจากความรู้เพือ่ ใชใ้ นการพัฒนางานนนั้ เป็นความรูท้ ไี่ ด้ จากผู้ที่ผ่านการปฏิบัตโิ ดยตรง จึงสามารถ นามาใช้ในการพัฒนางานไดท้ ันที และเกิด นวตั กรรมใหม่ในการทางาน ทง้ั ผลงานท่เี กิดข้ึนใหม่ และวฒั นธรรม การทางานร่วมกนั ของ คนในองคก์ รที่มคี วามเอ้ืออาทรต่อกนั 2. บคุ ลากร การจัดการความรใู้ นตนเองจะส่งผลให้คนในองค์กรเกดิ การพฒั นา ตนเอง และสง่ ผลรวมถึงองค์กร กระบวนการเรียนรจู้ ากการแลกเปลีย่ นความร้รู ว่ มกัน จะทาใหบ้ ุคลากรเกิดความม่นั ใจในตนเอง เกดิ ความเปน็ ชุมชนในหมู่เพ่ือนรว่ มงาน บุคลากร เปน็ บคุ คลเรียนรูแ้ ละส่งผลใหอ้ งคก์ รเป็นองคก์ รแหง่ การเรยี นรอู้ ีกดว้ ย 3. ยกระดับความร้ขู องบคุ ลากรและองค์กร การแลกเปล่ียนเรียนรู้ จะทาให้ บุคลากรมีความรู้เพมิ่ ขึ้นจากเดมิ เห็นแนวทางในการพัฒนางานท่ีชัดเจนมากข้นึ และเม่ือ นาไปปฏบิ ัติจะทาให้บุคคลและองคก์ รมีองค์ความรู้ เพอ่ื ใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านในเรอื่ งทส่ี ามารถ นาไปปฏิบัติได้ มีองค์ความรู้ที่จาเป็นตอ่ การใชง้ าน และจัดระบบให้ อยูใ่ นสภาพพรอ้ มใช้ การท่เี รามีการจดั การความรูใ้ นตวั เอง จะพบว่าความรใู้ นตัวเราท่ีคิดว่าเรามี เยอะแล้วน้นั จรงิ ๆ แลว้ ยงั น้อยมากเม่อื เทยี บกับบุคคลอน่ื และหากเรามกี ารแบ่งปัน แลกเปล่ยี นความรู้กับบคุ คลอืน่ จะพบว่ามี ความรู้บางอย่างเกดิ ข้ึนโดยท่เี ราคาดไม่ถึง และหากเราเหน็ แนวทางมีความรแู้ ลว้ ไมน่ าไปปฏบิ ตั ิ ความรนู้ ั้นก็จะ ไม่มีคณุ คา่ อะไร เลย หากนาความร้นู นั้ ไปแลกเปลี่ยน และนาไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิที่เปน็ วงจรต่อเนื่องไมร่ จู้ บ จะเกดิ ความรูเ้ พ่ิมข้ึนอยา่ งมาก หรือทเี่ รียกวา่ “ยิ่งให้ ย่งิ ได้รบั ” หลกั การของการจดั การความรู้ การจัดการความรู้ ไมม่ สี ตู รสาเรจ็ ในวธิ กี ารของการจัดการเพ่ือใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย ในเรอื่ งใดเร่ือง หนึ่ง แตข่ ึน้ อย่กู บั ปณิธานความมุ่งมัน่ ท่ีจะทางานของตน หรือกจิ กรรมของกลุม่ ตนให้ดีขึน้ กวา่ เดมิ แลว้ ใช้ วิธกี ารจดั การความรูเ้ ปน็ เครื่องมอื หน่ึงในการพัฒนางานหรอื สรา้ งนวัตกรรมในงาน มีหลักการสาคัญ 4 ประการ ดังนี้ 1. ให้คนหลากหลายทศั นะ หลากหลายวิถชี ีวิต ทางานรว่ มกนั อย่างสรา้ งสรรค์ การจัดการความร้ทู ่ีมีพลงั ต้อง ทาโดยคนทีม่ พี ้นื ฐานแตกตา่ งกัน มคี วามเชอื่ หรือวธิ ีคดิ แตกต่างกัน (แตม่ ีจุดรวมพลัง คือ มีเป้าหมายอย่ทู ่ีงาน ด้วยกนั ) ถ้ากลมุ่ ที่ดาเนนิ การจัดการความรู้ประกอบด้วยคนท่คี ดิ เหมอื น ๆ กัน การจดั การความร้จู ะไมม่ พี ลงั ใน การจัดการความรู้ ความแตกตา่ งหลากหลาย มีคุณคา่ มากกว่าความเหมอื น 2. ร่วมกนั พัฒนาวธิ ีการทางานในรูปแบบใหม่ ๆ เพอ่ื บรรลุประสทิ ธิภาพและ ประสทิ ธผลท่ีกาหนดไว้ ประสทิ ธิผลประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ประการ คอื 2.1 การตอบสนองความต้องการ ซง่ึ อาจเปน็ ความตอ้ งการของตนเอง ผรู้ ับบริการ ความต้องการของสังคม หรือความตอ้ งการท่กี าหนดโดยผ้นู า องค์กร 2.2 นวัตกรรม ซ่งึ อาจเปโ็ นนวตั กรรมด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือวธิ กี ารใหม่ ๆ กไ็ ด้ 2.3 ขดี ความสามารถของบุคคล และขององคก์ ร
2.4 ประสทิ ธภาพในการทางาน 3. ทดลองและการเรยี นรู้ เนอื่ งจากกิจกรรมการจดั การความรู้ เป็นกิจกรรมที่ สรา้ งสรรค์ จึงต้องทดลองทา เพียงนอ้ ย ๆ ซ่ึงถา้ ล้มเหลวก็ก่อผลเสยี หายไมม่ ากนัก ถ้าได้ผล ไมด่ กี ย็ กเลิกความคิดน้นั ถา้ ได้ผลดีจึงขยายการ ทดลองคอื ปฏิบตั ิมากขน้ึ จนในท่ีสุดขยาย เป็นวิธีทางานแบบใหม่ หรือที่เรยี กวา่ ได้วธิ กี ารปฏิบตั ทิ ่ีสง่ ผลเปน็ เลิศ (best practice) ใหม่ นนั่ เอง 4. นาเข้าความร้จู ากภายนอกอยา่ งเหมาะสม โดยต้องถอื วา่ ความรู้จากภายนอก ยงั เป็นความรทู้ ี่ “ดิบ” อยู่ ตอ้ งเอามาทาให้ “สุก” ใหพ้ รอ้ มใชต้ ามสภาพของเรา โดยการ เตมิ ความรู้ที่มตี ามสภาพของเราลงไป จึงจะเกดิ ความรู้ที่เหมาะสมกับทเ่ี ราต้องการใช้ หลักการของการจดั การความรู้ จึงมุง่ เนน้ ไปทกี่ ารจัดการที่มปี ระสิทธิภาพ เพราะ การจดั การความรู้เปน็ เครือ่ งมอื ระดมความรใู้ นคน และความรู้ในกระดาษทงั้ ท่ีเปน็ ความรู้ จากภายนอก และความรู้ของกล่มุ ผู้รว่ มงาน เอามาใช้และยกระดบั ความรู้ของบคุ คล ของ ผู้ร่วมงานและขององคก์ ร ทาให้งานมคี ณุ ภาพสูงขนึ้ คนเปน็ บุคคลเรยี นรู้และองค์กรเปน็ องค์กรแหง่ การเรียนรู้ การจดั การความรจู้ งึ เป็นทักษะสิบสว่ น เปน็ ความรู้ เชงิ ทฤษฎีเพยี ง ส่วนเดียว การจัดการความรู้จงึ อยู่ในลักษณะ “ไม่ทา-ไมร่ ”ู้ กระบวนการในการจัดการความรู้ การจัดการความร้นู ้นั มหี ลายรปู แบบ หรอื ทเี่ รยี กกันว่า “โมเดล” มหี ลากหลาย โมเดล หัวใจของ การจัดการความร้คู ือ การจดั การความรู้ที่อยู่ในตัวคน ในฐานะผู้ปฏบิ ัติ และเป็นผูม้ ีความรู้ การจัดการความร้ทู ี่ ทาให้คนเคารพในศักดิ์ศรีของคนอนื่ การจัดการ ความรู้นอกจากการจัดการความรใู้ นตนเองเพอื่ ใหเ้ กดิ การ พฒั นางานและพฒั นาตนเองแลว้ ยังมองรวมถึงการจดั การความร้ใู นกลมุ่ หรือองค์กรดว้ ยรปู แบบ การจดั การ ความรจู้ ึงอยู่บน พ้ืนฐานของความเชอื่ ท่ีวา่ ทกุ คนมคี วามรู้ ปฏบิ ตั ิในระดับความชานาญท่ตี ่างกนั เคารพ ความรู้ท่อี ยูใ่ นตวั คน ดร.ประพนธ์ ผาสกุ ยดึ ไดค้ ิดคน้ รปู แบบการจัดการความรไู้ ว้ 2 แบบ คือ รปู แบบ ปลาทูหรือท่ีเรียกวา่ “โมเดลปลาทู” และรปู แบบปลาตะเพยี น หรือทีเ่ รยี กวา่ “โมเดลปลา ตะเพียน” แสดงใหเ้ ห็นถึงรปู แบบการ จดั การความรู้ในภาพรวมของการจัดการ ท่ีครอบคลุม ทง้ั ความร้ทู ชี่ ดั แจง้ และความรทู้ ี่ฝังลกึ ดังนี้ โมเดลปลาทู เพอื่ ใหก้ ารจัดการความรู้ หรอื KM เปน็ เร่ืองทเ่ี ขา้ ใจง่าย จงึ กาหนดใหก้ ารจัดการ ความรเู้ ปรียบ เหมือนกับปลาทูตวั หน่งึ มสี ง่ิ ที่ต้องดาเนินการจดั การความรอู้ ยู่ 3 สว่ น โดย กาหนดวา่ ส่วนหัว คอื การกาหนด เป้าหมายของการจดั การความรู้ทช่ี ัดเจน ส่วนตวั ปลา คอื การแลกเปลี่ยนความรซู้ ่ึงกันและกัน และส่วนหาง ปลา คอื ความรู้ทไี่ ด้รบั จากการแลกเปล่ยี น เรียนรู้ รปู แบบการจดั การความรตู้ าม “โมเดลปลาทู สว่ นที่ 1 “หวั ปลา” หมายถงึ “Knowledge Vision” หรอื KV คือเปา้ หมายของ การจัดการความรู้ ผใู้ ช้ต้องรู้ ว่าจะจัดการความรเู้ พือ่ บรรลุเปา้ หมายอะไร เกีย่ วข้องหรอื สอด คล้องกับวิสัยทัศน์ พนั ธกิจและยทุ ธศาสตรข์ อง องค์กรอย่างไร เชน่ จดั การความรู้เพ่อื เพิ่ม ประสทิ ธิภาพของงาน จัดการความร้เู พอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ ดา้ นยา เสพตดิ จัดการความรู้เพอ่ื พฒั นาทักษะชวี ิตด้านสิ่งแวดล้อม จัดการความรเู้ พอ่ื พฒั นาทักษะชวี ติ ดา้ นชีวิตและ ทรพั ยส์ นิ จัดการความรเู้ พือ่ ฟ้ืนฟูขนบธรรมเนียมประเพณดี งั้ เดิมของคนในชุมชน เป็นตน้ สว่ นท่ี 2 “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรือ KS เปน็ การแลก เปลย่ี นเรียนรหู้ รอื การแบง่ ปัน ความรู้ท่ฝี ังลกึ ในตวั คนผ้ปู ฏบิ ัติ เป็นการแลกเปลี่ยนวธิ กี าร ทางานท่ปี ระสบผลสาเรจ็ ไมเ่ นน้ ที่ปัญหา เครือ่ งมอื
ในการแลกเปลย่ี นเรยี นรมู้ หี ลากหลาย แบบ อาทิ การเลา่ เรื่อง การสนทนาเชิงลึก การช่นื ชมหรือการสนทนา ในเชงิ บวก เพือ่ นชว่ ย เพอื่ น การทบทวนการปฏิบัตงิ าน การถอดบทเรียน การถอดองค์ความรู้ ส่วนที่ 3 “หางปลา” หมายถงึ “Knowledge Assets” หรอื KA เป็นขมุ ความรู้ ทไ่ี ดจ้ ากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีเครื่องมอื ในการจัดเกบ็ ความรูท้ ่มี ีชีวิตไม่หยุดนิ่ง คือ นอก จากจัดเกบ็ ความร้แู ลว้ ยงั ง่ายในการนาความรู้ ออกมาใชจ้ ริง ง่ายในการนาความรอู้ อกมาตอ่ ยอด และงา่ ยในการปรับขอ้ มูลไม่ให้ลา้ สมยั ส่วนนจ้ี งึ ไม่ใช่สว่ นท่ี มีหน้าท่เี กบ็ ข้อมลู ไว้เฉย ๆ ไม่ใช่หอ้ งสมดุ สาหรบั เก็บสะสมขอ้ มูลทน่ี าไปใช้จริงได้ยาก ดังนน้ั เทคโนโลยกี าร สอ่ื สารและ สารสนเทศ จงึ เปน็ เคร่ืองมอื จัดเกบ็ ความรอู้ ันทรงพลงั ยงิ่ ในกระบวนการจัดการความรู้ ตัวอยา่ งการจดั การความรเู้ รื่อง “พัฒนากลมุ่ วิสาหกิจชมุ ชน” ในรปู แบบปลาทู โมเดลปลาตะเพยี น กระบวนการจัดการความรู้ กระบวนการจดั การความรู้ เป็นกระบวนการแบบหน่งึ ที่จะชว่ ยใหอ้ งคก์ รเขา้ ถึง ขัน้ ตอน ที่ทาใหเ้ กิด การจัดการความรู้ หรือพัฒนาการของความรูท้ ีจ่ ะเกิดข้นึ ภายในองค์กร มีข้ันตอน 7 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การบง่ ชีค้ วามรู้ เปน็ การพิจารณาวา่ เปา้ หมายการทางานของเราคอื อะไร และ เพือ่ ใหบ้ รรลุเปา้ หมายเรา จาตอ้ งร้อู ะไร ขณะน้เี รามีความร้อู ะไร อยใู่ นรูปแบบใด อยกู่ ับใคร 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เปน็ การจัดบรรยากาศและวฒั นธรรมการทางาน ของคนในองคก์ รเพอ่ื เอื้อให้ คนมคี วามกระตือรอื รน้ ในการแลกเปล่ยี นความรู้ซง่ึ กนั และกนั ซงึ่ จะก่อใหเ้ กดิ การสร้างความร้ใู หม่ เพ่ือ นาไปใชใ้ นการพฒั นาอย่ตู ลอดเวลา 3. การจัดการความรูใ้ ห้เปน็ ระบบ เปน็ การจดั ทาสารบัญและจัดเก็บความรูป้ ระเภท ตา่ ง ๆ เพ่อื ใหก้ ารเกบ็ รวบรวมและการคน้ หาความรู้ นามาใชไ้ ดง้ ่ายและรวดเรว็ 4. การประมวลและกล่ันกรองความรู้ เปน็ การประมวลความรูใ้ หอ้ ยใู่ นรูปเอกสาร หรือรปู แบบอ่ืน ๆ ที่มี มาตรฐาน ปรบั ปรงุ เนือ้ หาให้สมบรู ณ์ ใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่าย และใชไ้ ด้ ง่าย 5. การเขา้ ถึงความรู้ เปน็ การเผยแพร่ความรู้เพือ่ ใหผ้ อู้ น่ื ได้ใชป้ ระโยชน์ เข้าถงึ ความรไู้ ด้ง่ายและสะดวก เชน่ ใช้เทคโนโลยี เว็บบอร์ด หรือบอร์ดประชาสัมพันธ์ เปน็ ตน้ 6. การแบง่ ปันแลกเปลยี่ นความรู้ ทาได้หลายวธิ ีการ หากเป็นความรเู้ ดน่ ชดั อาจ จัดทาเป็นเอกสาร ฐานความรู้ทีใ่ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หากเปน็ ความรู้ทฝ่ี ังลึกท่ีอยู่ในตวั คน อาจจัดทาเป็นระบบแลกเปลยี่ น ความรเู้ ป็นทมี ข้ามสายงาน ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ พ่ีเลี้ยง สอนงาน การสับเปล่ียนงาน การยืมตวั เวที แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ เป็นต้น 7. การเรยี นรู้ การเรียนรูข้ องบุคคลจะทาให้เกดิ ความรใู้ หม่ ๆ ข้ึนมากมาย ซ่งึ จะ ไปเพิ่มพนู องคค์ วามรู้ของ องค์กรท่มี อี ยู่แล้วให้มากขึน้ เรื่อย ๆ ความรู้เหล่านี้จะถกู นาไปใช้ เพื่อสร้างความรูใ้ หม่ ๆ เปน็ วงจรทไี่ ม่ส้ินสดุ เรียกว่าเปน็ “วงจรแหง่ การเรียนร”ู้ เครอ่ื งมอื ท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั การจดั การความรู้ การจัดการความรู้ หัวใจสาคญั คือการจดั การความรู้ท่อี ยู่ในตัวคน เครอื่ งมอื ที่ เก่ียวข้องกบั การจดั การ ความรเู้ พือ่ การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ จึงมีหลากหลายรูปแบบ ดงั น้ี 1. การประชุม (สมั มนา ปฏิบัติการ) ทั้งทีเ่ ป็นทางการและไม่เป็นทางการ เปน็ การแลกเปลีย่ นเรยี นร้รู ว่ มกัน หน่วยงานองค์กรต่าง ๆ มีการใช้เครอ่ื งมือการจัดการความรู้ ในรูปแบบน้กี ันมาก โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ 2. การไปศึกษาดงู าน นั่นคอื แลกเปล่ียนเรยี นรู้จากการไปศกึ ษาดงู าน มีการ ซักถาม หรือจัดทาเวทีแสดงความ คิดเหน็ ในระหว่างไปศึกษาดูงาน กถ็ ือเป็นการแลกเปลี่ยน ความรู้ร่วมกนั คือ ความรู้ยา้ ยจากคนไปสู่คน
3. การเล่าเรือ่ ง (storytelling) เป็นการรวมกลุ่มกันของผปู้ กิบตั งิ านท่ีมลี ักษณะ คล้ายกนั ประมาณ 8-10 คน แลกเปล่ยี นเรียนร้โู ดยการเล่าเรอื่ งสูก่ นั ฟัง การเล่าเรอื่ งผู้ฟัง จะตอ้ งนง่ั ฟงั อย่างมีสมาธิ หรอื ฟังอย่างลึกซ้งึ จะ ทาใหเ้ ข้าใจในบริบทหรือสภาพความเป็นไป ของเรื่องทเี่ ล่า เมอื่ แต่ละคนเล่าจบ จะมกี ารสกัดความรู้ทเี่ ปน็ เทคนิค วิธีการที่ทาให้งาน ประสบผลสาเร็จออกมา งานที่ทาจนประสบผลสาเร็จเรยี กว่า best practice หรือ การปฏบิ ตั ิ งานท่ีเลิศซึ่งแต่ละคนอาจมีวธิ กี ารทีแ่ ตกตา่ งกนั ความร้ทู ไ่ี ดถ้ อื เป็นการยกระดับความรู้ให้กบั คนท่ี ยังไมเ่ คยปฏบิ ตั ิ และสามารถนาความรู้ที่ไดร้ ับประยกุ ตใ์ ช้เพอ่ื พฒั นางานของตนเองได้ 4. ชมุ ชนนกั ปฏบิ ัติ (Community of Practice : CoPs) เปน็ การรวมตวั กันของ คนที่สนใจเร่ืองเดียวกัน รวมตัวกันเพือ่ แลกเปลี่ยนท้ังเป็นทางการ ผ่านการส่อื สารหลาย ๆ ช่อง ทาง อาจรวมตัวกนั ในลกั ษณะของการ ประชมุ สัมมนา และแลกเปล่ยี นความรู้กัน หรือการ รวมตวั ในรปู แบบอืน่ เช่น การตง้ั เปน็ ชมรม หรือใช้ เทคโนโลยใี นการแลกเปล่ยี นความรกู้ นั ในลักษณะของเว็บบล็อก ซึง่ สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไดท้ ุกที่ ทกุ เวลา และประหยดั ค่าใช้จ่ายอกี ด้วย การแลกเปล่ียนเรียนรู้จะทาให้เกดิ การพฒั นาความรู้ และตอ่ ยอดความรู้ 5. การสอนงาน หมายถึง การถา่ ยทอดความร้หู รือบอกวิธีการทางาน การชว่ ย เหลอื ให้คาแนะนา ใหก้ าลังใจ แกเ่ พอื่ นรว่ มงาน รวมทง้ั การสรา้ งบรรยากาศเพ่ือถา่ ยทอดและ แลกเปล่ยี นความรูจ้ ากคนทร่ี มู้ าก ไปสู่คนท่รี ู้ นอ้ ยในเรือ่ งนนั้ ๆ 6. เพื่อนชว่ ยเพอื่ น (Peer Assist) หมายถึง การเชิญทมี อืน่ มาแบง่ ปนั ประสบ การณ์ดี ๆ ทเ่ี รียกวา่ best practice ใหเ้ รา มาแนะนา มาสอน มาบอกตอ่ หรอื มาเลา่ ให้ เราฟัง เพ่อื เราจะได้นาไปประยกุ ต์ใช้ในองคก์ ร ของเราได้ และเปรียบเทยี บเป็นระยะ เพอ่ื ยก ระดบั ความรูแ้ ละพฒั นางานให้ดียิ่งข้นึ ต่อไป 7. การทบทวนกอ่ นการปฏิบตั งิ าน (Before Aciton Review : BAR) เปน็ การ ทบทวนการทางานก่อนการ ปฏบิ ตั ิงาน เพือ่ ดูความพรอ้ มก่อนเรม่ิ การอบรม ใหค้ วามรู้ หรือ ทากิจกรรมอื่น ๆ โดยการเชญิ คณะทางานมา ประชมุ เพือ่ ตรวจสอบความพร้อม แตล่ ะฝ่าย นาเสนอถงึ ความพรอ้ มของตนเองตามบทบาทหน้าท่ีที่ไดร้ ับ การ ทบทวนกอ่ นการปฏบิ ัติงาน จึงเปน็ การปอ้ งกนั ความผดิ พลาดท่ีจะเกดิ ขน้ึ กอ่ นการทางานนนั่ เอง 8. การทบทวนขณะปฏิบัติงาน (During Action Review : DAR) เป็นการทบทวน ในระหวา่ งท่ที างาน หรอื จัด อบรม โดยการสังเกตและนาผลจากการสังเกตมาปรกึ ษาหารอื และแก้ปญั หาในขณะทางานรว่ มกนั ทาให้ลด ปัญหา หรืออปุ สรรคในระหว่างการทางานได้ 9. การทบทวนหลังการปฏิบัตงิ าน (After Action Review : AAR) เปน็ การติดตาม ผลหรือทบทวนการทางาน ของผ้เู ข้ารว่ มกจิ กรรม หรอื คณะทางานหลังเลิกกิจกรรมแล้ว โดย การน่ังทบทวนสิ่งทไี่ ด้ปฏบิ ัตไิ ปร่วมกนั ผา่ น การเขยี นและการพดู ด้วยการตอบคาถามงา่ ย ๆ ว่า คาดหวังอะไรจากการทากิจกรรมน้ี ไดต้ ามทีค่ าดหวงั หรอื ไม่ ได้เพราะอะไร ไมไ่ ดเ้ พราะ อะไร และจะทาอย่างไรตอ่ ไป 10. การจัดทาดชั นีผู้รู้ คือการรวบรวมผทู้ ี่ เชี่ยวชาญ เกง่ เฉพาะเร่อื ง หรอื ภมู ิปญั ญา มารวบรวมจดั เก็บไวอ้ ย่าง เปน็ ระบบ ทั้งรูปแบบท่ีเป็นเอกสาร ส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ เพอื่ ให้คน ไดเ้ ข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้งา่ ย และนาไปสู่ กจิ กรรมการแลกเปล่ียนรตู้ ่อไป เครื่องมอื ในการแลกเปลีย่ นเรียนรนู้ ี้เปน็ เพียงส่วนหนงึ่ ของเคร่ืองมอื อกี หลายชนิดท่ี นาไปใชใ้ น การจดั การความรู้ เคร่ืองมือที่มีผนู้ ามาใช้มากในการแลกเปลี่ยนเรยี นรใู้ นระดับ ตนเองและระดับกลุ่ม คือ การ แลกเปลย่ี นเรยี นรูโ้ ดยเทคนคิ การเล่าเร่อื ง การเลา่ เรอื่ งเป็น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากวธิ ีการทางานของคนอื่น ทปี่ ระสบผลสาเร็จ หรอื ที่เรยี กวา่ Best practice เปน็ การเรยี นร้ทู างลัด น่ันคอื เอาเทคนคิ วธิ กี ารทางานที่คน อน่ื ทาแลว้ ประสบผล สาเร็จมาเป็นบทเรียน และนาวธิ กี ารน้ันมาประยกุ ต์ใช้กับตนเอง เกดิ วิธีการปฏบิ ตั ิใหมท่ ี่ ดี ขนึ้ กวา่ เดิม เป็นวงจรเร่ือยไปไมส่ น้ิ สุด การแลกเปลยี่ นเรียนรู้จากการเลา่ เร่ือง มลี ักษณะ
ใบงานท่ี 3 วชิ า ทกั ษะการเรียนรู้(ทร 31001) ระดับ ม.ปลาย คาสั่ง ให้นักศึกษาตอบคาถามใหม้ ีความหมายท่สี มบูรณ์ 1. การจัดการความรู้ หมายถึง อะไร .................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 2. จงอธบิ ายการจดั การความรดู้ ้วยตนเอง มีอย่างไรบ้าง ......................................................................................................................................................... 3. อธบิ ายการรมกล่มุ ตอ่ ยอดความรู้ มปี ระโยชน์อยา่ งไร ..........................................................................................................................................................
การวิจยั เบื้องตน้ ใบงานที่ 4 ใบงานที่ 1ความร้เู บอ้ื งตน้ เกี่ยวกับการวิจยั 1. จงอธบิ ายความหมายของการวิจัย 2 . จงอธิบายลกั ษณะเฉพาะของงานวจิ ัยมาเปน็ ข้อ ๆ 3. จงอธบิ ายจดุ มุง่ หมายของการวิจยั มาให้ละเอยี ด 4.งานวจิ ยั มีประโยชนต์ ่อนักวิจยั และมปี ระโยชนต์ ่อสังคมอย่างไร 5. จงยกตัวอย่างการแสวงหาความรู้อย่างไม่มีระบบแบบแผนในแต่ละวธิ ีดงั ต่อไปนี้ 5.1 การได้รบั ความรโู้ ดยบังเอญิ 5.2 การไดร้ ับความรู้โดยการลองผิดลองถูก 5.3 การไดร้ ับความรจู้ ากผู้รู้ 5.4 การได้รบั ความรจู้ ากผู้เชี่ยวชาญหรือนักปราชญ์ 5.5 การไดร้ ับความรจู้ ากประเพณีและวฒั นธรรม 5.6 การไดร้ บั ความร้จู ากประสบการณข์ องตนเอง 6. จงยกตัวอยา่ งการแสวงหาความรดู้ ้วยระบบเหตผุ ลในแตล่ ะวิธดี ังต่อไปน้ี 6.1 วีธีอนมุ าน 6.2 วิธีอุปมาณ 6.3 วิธอี นุมาน – อุปมาณ 7.จงอธิบายกระบวนการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ท้ัง 5 ข้นั ตอนมา โดยละเอยี ด 8. นักวิจยั ที่ดีควรมีคณุ สมบตั ิอยา่ งไรจงอธบิ ายใหล้ ะเอียด 9.จงอธบิ ายความหมายประเภทของการวิจัยที่จาแนกประเภทตามระเบียบวิธีวจิ ัย
ดงั ตอ่ ไปนี้ 9.1 การวจิ ยั เชงิ ประวัตศิ าสตร์ 9.2 การวิจัยเชงิ บรรยายหรือเชงิ พรรณนา 9.3 การวิจยั เชิงทดลอง 10. จงอธบิ ายขั้นตอนของกระบวนการวิจัยมาใหล้ ะเอยี ด
บันทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ คร้งั ที่ ……… วนั ที่ …………. เดือน …………………………………..……….. พ.ศ. …………….. ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ จานวนนักศกึ ษา ทง้ั หมด....................คน ชาย................คน หญิง..................คน จานวนนกั ศกึ ษาท่ีเขา้ เรยี น ทง้ั หมด....................คน ชาย................คน หญงิ ..................คน จานวนนักศึกษาทีข่ าดเรยี น ทั้งหมด....................คน ชาย................คน หญงิ ..................คน ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................... สภาพการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ปญั หาทีพ่ บและการแกไ้ ขปญั หา ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ การดาเนินการแกไ้ ข/พัฒนา ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ขอ้ เสนอแนะ/ความคิดเหน็ ผนู้ เิ ทศ ……………………………………………………………………………………………………………………………….……….………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… (ลงช่ือ) ................................................... (ลงชื่อ) ................................................... ผนู้ ิเทศ (........................................) (........................................) ………….. /….……… /…….…… ………….. /….……… /…….…… (ลงชือ่ ) ………………………………..…………............. ผอ.กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี (นายศักดช์ิ ัย นาคเอยี่ ม) ………….. /….……… /…….……
บรรณานุกรม เร่อื งศาสนาและหนา้ ทพ่ี ลเมอื ง เร่ืองเศรษฐกิจโลก http://www.simphan.co.th วนั ที่สบื ค้น 14 มิถุนายน 2562 เรื่อง บทสนทนาภาษาอังกฤษเบื้องต้น-ฉบับงา่ ยๆใช้ได้ในชวี ติ ประจาวนั https://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com วันท่สี ืบคน้ 14 มิถุนายน 2562 เรื่อง คาศพั ท์ทีไ่ ด้ใช้ในชีวิตประจาวนั 3500-คา https://www.shorteng.com/ วันที่สบื คน้ 14 มถิ นุ ายน 2562 เร่ืองประวัตลิ กุ เสือโลก http://www.moe.go.th/scout/knowlage_scout.htm วันท่สี บื ค้น 14 มิถุนายน 2562
คณะผู้จดั ทา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบูรณาการ ตามรูปแบบ ONIE MODEL หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ภาคเรียนท่ี .......... ปกี ารศึกษา ................... ที่ปรึกษา ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี นายศักด์ชิ ัย นาคเอย่ี ม ครพู เ่ี ลีย้ ง จนั ทนะ ครชู านาญการ นางสาวชมพู คณะผจู้ ัดทา 1. ครูอาสาสมัครการศกึ ษานอกโรงเรียน กศน.อาเภอเมืองกาญจนบุรี 2. ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี 3. ครู ศรช. กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: