แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบรู ณาการ ตามรปู แบบ ONIE Model หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 5 หวั เร่ือง พลังงานจะมคี ่า เริ่มต้นดว้ ยทเี่ รา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรยี นที่ ……….. ปีการศกึ ษา ……………. สานักงานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยจงั หวัดกาญจนบรุ ี สานักงานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธกิ าร
คานา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอเมืองกาญจนบุรีได้ดาเนินการ จดั ทาแผนกิจกรรมการเรยี นรู้ กศน.แบบบรู ณาการ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 5 หัวเร่ือง พลังงานจะมีค่า เร่ิมต้นด้วย ทเี่ รา เพ่ือให้ครูผ้สู อนใชเ้ ป็นคมู่ ือในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ใหก้ บั ผเู้ รยี นไดเ้ กดิ การเรยี นรู้อย่างมีคุณภาพตาม หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาค เรยี นที่ ......... ปีการศึกษา .................... เอกสารประกอบการจัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หน่วยการ เรียนรู้ที่ 5 หัวเร่ือง พลังงานจะมีค่า เร่ิมต้นด้วยท่ีเรา ประกอบด้วยแผนผังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน. แบบ ONIE Mode แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ ใบความรู้ แบบประเมินการจัด กจิ กรรมการเรยี นรู้ แนวตอบ และแบบบันทกึ หลงั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การดาเนินการจัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการ หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียน ท่ี .......... ปีการศึกษา ............. ในครั้งน้ี ประสบความสาเร็จได้ด้วยดี ต้องขอขอบพระคุณ นายศักด์ิชัย นาคเอี่ยม ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอเมืองกาญจนบุรี นางสาวชมพู จันทนะ ครูชานาญการเป็นอย่างสูงที่เป็น ผ้ใู หค้ าปรึกษา ในการดาเนนิ การจัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาการหน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 หวั เรอื่ ง พลังงานจะมคี า่ เรมิ่ ตน้ ด้วยท่ีเรา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียน ที่ ………… ปีการศึกษา ………………… มาโดยตลอดทาให้การ ดาเนนิ การจดั ทาแผนการเรยี นรู้แบบบรู ณาการบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ จดั ทาโดย กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี
สารบญั หน้า เรอื่ ง คานา สารบญั แผนผังการจัดหน่วยการเรยี นรู้ กศน.แบบบูรณาการ แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กศน.แบบบูรณาการตามรูปแบบ ONIE MODEL ใบความรทู้ ี่ 1 เร่อื งพลงั งานไฟฟ้า ใบความรู้ท่ี 2 เรื่องการผลติ ไฟฟา้ ใบความรู้ที่ 3 เรอ่ื งอุปกรณไ์ ฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แบบประเมินการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ แนวตอบแบบประเมนิ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ บนั ทกึ หลงั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ บรรณานุกรม คณะทางาน
แผนผังหนว่ ยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบรู ณาการ หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับกา ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ภาคเร รายวิชา การใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ ในชีวิตประจาวนั 3 รายวิชา การใชพ้ ลงั งาน ( พว32023) หวั เรือ่ ง การใชแ้ ละการป หัวเรือ่ ง พลงั งานไฟฟ้า เนอื้ หา เนอ้ื หา - กลยทุ ธ์การประหยดั พล - การเลือกซื้อ การใช้ แล - การกาเนดิ ของไฟฟา้ บา้ น - สถานการณพ์ ลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทย - การวางแผนและการคา ประเทศในอาเซียน และโลก - หนว่ ยงานทีเ่ กยี่ วขอ้ งดา้ นพลังงานไฟฟา้ ใน ประเทศไทย รายวชิ า การใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าใน หวั เรือ่ ง พลังงานจะมีคา่ ชีวิตประจาวัน 3( พว32023) สภาพปญั หา หวั เรอ่ื ง การผลิตไฟฟา้ 1. สิง่ แวดลอ้ มเป็นพิษ 2. การทาลายทรัพยากรธ เนือ้ หา 3. การนาวสั ดทุ ใี่ ช้แลว้ นา 4. การนาความร้ทู างเทค - เช้ือเพลิงและพลงั งานท่ใี ชใ้ นการผลิต กาจัดวัสดุ ไฟฟ้า 5. ความรเู้ รือ่ งวสั ดุอนั ตร - โรงไฟฟา้ กบั การจดั การดา้ นสง่ิ แวดล้อม 6. การสง่ เสรมิ การประดษิ
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 5 หัวเรือ่ ง พลังงานจะมคี า่ เร่ิมตน้ ดว้ ยที่เรา ารศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 รยี นท่ี .......... ปีการศกึ ษา ............ นไฟฟา้ ในชวี ิตประจาวัน 3( พว32023) กรต. ศาสนาและหนา้ ท่ีพลเมอื ง ประหยดั พลังงานไฟฟ้า (สค31002) ลงั งานไฟฟ้า 3 อ. ละการดแู ลรกั ษาเคร่ืองใช้ไฟฟ้าภายใน หวั เรอ่ื ง 1 ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี านวณคา่ ไฟฟ้าในครวั เรือน เน้ือหา 1. คา่ นิยมท่พี ึงประสงคข์ องประเทศต่าง ๆ ในโลก - การตรงต่อเวลา - ความมีระเบยี บ ฯลฯ หน่วยท่ี 5 รายวชิ า ภาษาองั กฤษ (พต31001) า เร่ิมตน้ ดว้ ยที่เรา หัวเร่อื ง สนุกกบั ศพั ท์ภาษาอังกฤษ ธรรมชาติ ากลับมาใช้ใหม่ เน้ือหา คโนโลยมี าใช้ในการ คาศพั ท์ ราย - Recycle = แปรรปู แล้วนากลับมา ษฐ์วัสดุ ใช้ใหม่ - Material = วัสดุ - Economy = เศรษฐกิจ - World scout =ลูกเสือโลก - Religion = ศาสนา
ประเดน็ /ปัญหา/สิ่งจาเป็นทตี่ อ้ งเรยี นรู้ ก 1. ผเู้ รยี นขาดความรู้เร่อื งสง่ิ แวดล้อมเปน็ พษิ 1 2. ผู้เรยี นขาดความรกู้ ารใช้และอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เ 3. ผูเ้ รียนขาดความร้เู กีย่ วการนาวัสดุทใ่ี ชแ้ ลว้ นากลับมาใชใ้ หม่ เ 4. ผเู้ รียนขาดความรเู้ ก่ียวการนาความรู้ทางเทคโนโลยมี าใชใ้ นการกาจัด 2 วัสดุ แ 5. ผู้เรียนขาดความรู้เรอื่ งวสั ดุอันตราย แ 6. ผเู้ รียนขาดความรูใ้ นการประดิษฐว์ ัสดุ ก 3 ห แ 4 ส ร 5 ท ร 6 อ ร
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ใหผ้ เู้ รียนศึกษาค้นควา้ การคัดแยกวสั ดุท่เี ป็นพิษต่อสิง่ แวดล้อม จากแหลง่ เรียนรใู้ นชุมชน เชน่ หอ้ งสมดุ สื่อออนไลน์ และสรุปเป็นรายงานแล้วนามาอภิปรายรว่ มกับครผู ู้สอนและ เพ่ือนในวนั พบกล่มุ ท่ี กศน.ตาบล 2. ใหผ้ ูเ้ รยี นศึกษาค้นคว้าวสั ดุอันตราย จากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน เช่น ห้องสมุด ส่อื ออนไลน์ และผูร้ ู้ แลว้ นามาทาเป็นบัตรคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เกี่ยวกับวสั ดอุ ันตราย อยา่ งนอ้ ย 5 คา แล้วนามาแสดงใหเ้ พ่อื นดู แลว้ นามาอภิปรายรว่ มกบั ครูผู้สอนและเพอ่ื นในวนั พบกลุ่มที่ กศน.ตาบล 3. ใหผ้ เู้ รยี นศึกษาค้นคว้าวสั ดุท่ีสามารถนากลับมาใชไ้ ดจ้ ากแหล่งเรยี นรู้ในชุมชน เช่น ห้องสมดุ สื่อออนไลน์ และสรปุ เปน็ แผนผงั ความคิด อภิปรายแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ ให้เพ่อื นฟงั แลว้ นามาอภปิ รายรว่ มกบั ครูผู้สอนและเพือ่ นในวันพบกลมุ่ ที่ กศน.ตาบล 4. ให้ผูเ้ รียนศกึ ษาคน้ คว้าเร่อื งการใชเ้ ทคโนโลยีในการเผาวัสดุ ท่ีช่วยแกป้ ัญหาการทาลาย ส่งิ แวดลอ้ ม แลว้ นามาจดั นิทรรศการ และอธิบายเพมิ่ เติมให้เพอ่ื นฟงั แลว้ นามาอภิปราย รว่ มกับครูผสู้ อนและเพอ่ื นในวนั พบกลุ่มท่ี กศน.ตาบล 5. ให้ผ้เู รียนเดินรณรงค์ประชาสัมพันธก์ ารแยกขยะรไี ซเคิลและการลดขยะในชมุ ชนพร้อมท้ัง ทาแผ่นพับจากโปรแกรม Microsoft แลว้ เดนิ แจกประชาชนในชมุ ชน แลว้ นามาอภิปราย รว่ มกับครผู ้สู อนและเพ่อื นในวันพบกลุ่มท่ี กศน.ตาบล 6. ใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ การทาโครงงาน จากแหลง่ เรียนร้ใู นชมุ ชน เชน่ ห้องสมุด สือ่ ออนไลน์ แล้วนามาทาโครงงานประดิษฐว์ ัสดุ พรอ้ มทัง้ รูปเล่มโครงงาน แล้วนามาอภิปราย ร่วมกับครูผสู้ อนและเพือ่ นในวนั พบกลมุ่ ท่ี กศน.ตาบล
แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ก หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 5 หวั เร่อื ง พ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั กา ระดับมธั ยมศกึ ภาคเรยี นที่ .......... ปีกา ครั้งท่ี วัน /เดอื น/ ปี ตวั ชี้วัด เน้ือหาสาระการ หัวเรื่อ 4. มีทกั ษะในการ เรียนรู้ หนว่ ยท่ี 5 ปฏบิ ตั ิตน รายวชิ า การใช้ พลงั งานจะมคี า่ ด้วยทเี่ รา พลังงานไฟฟา้ ใน สภาพปัญหา ชีวติ ประจาวนั 3 1. ส่ิงแวดลอ้ มเ 2. การทาลาย พว32023 ทรพั ยากรธรรม 3. การนาวัสดุท หวั เรอื่ ง นากลับมาใชใ้ ห 4. การนาความ การทางานของ เทคโนโลยมี าใช ระบบในร่างกาย กาจดั วสั ดุ - การทางานของ 5. ความรู้เร่อื งว ระบบย่อยอาหาร อนั ตราย - การทางานของ 6. การสง่ เสริมก ระบบขับถา่ ย - การทางานของ ระบบประสาท - การทางานของ ระบบสืบพันธุ์
กศน. ตามรปู แบบ ONIE Model พลังงานจะมีคา่ เริ่มตน้ ด้วยทเี่ รา ารศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กษาตอนปลาย ารศึกษา ..................... อง ประเดน็ /ปัญหา/ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ หมายเหตุ า เรมิ่ ตน้ สิ่งจาเป็นทตี่ อ้ งเรยี นรู้ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เปน็ พิษ 1. ผู้เรียนขาดความรู้ 1. ให้ผ้เู รยี นศกึ ษาคน้ ควา้ การ มชาติ เรื่องส่ิงแวดลอ้ มเปน็ คัดแยกวัสดุท่เี ป็นพษิ ต่อ ทใ่ี ชแ้ ล้ว พษิ สิ่งแวดล้อม จากแหล่งเรียนรู้ หม่ 2. ผเู้ รียนขาดความรู้ ในชมุ ชน เชน่ ห้องสมุด ส่ือ มรูท้ าง การใชแ้ ละอนรุ ักษ์ ออนไลน์ และสรปุ เป็น ชใ้ นการ ทรพั ยากรธรรมชาติ รายงานแล้วนามาอภปิ ราย วสั ดุ 3. ผู้เรียนขาดความรู้ ร่วมกับครผู ู้สอนและเพื่อนใน การ เกี่ยวการนาวสั ดุทใี่ ช้ วนั พบกลุ่มที่ กศน.ตาบล แลว้ นากลับมาใชใ้ หม่ 2. ใหผ้ เู้ รียนศึกษาค้นควา้ 4. ผเู้ รยี นขาดความรู้ วสั ดุอนั ตราย จากแหลง่ เกี่ยวการนาความรู้ทาง เรียนรู้ในชุมชน เช่น เทคโนโลยีมาใชใ้ นการ หอ้ งสมดุ สื่อออนไลน์ และผู้รู้ กาจัดวสั ดุ แลว้ นามาทาเป็นบตั รคาศพั ท์ 5. ผ้เู รยี นขาดความรู้ ภาษาองั กฤษ เกย่ี วกับวัสดุ เรอ่ื งวัสดอุ นั ตราย 6. ผเู้ รียนขาดความรู้ใน
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ ปี ตัวช้วี ัด เน้ือหาสาระการ หัวเรื่อ ประดษิ ฐว์ สั ดุ เรียนรู้ - การทางานของ ระบบตอ่ มไรท้ อ่ - การดูแลรักษา ระบบของรา่ งกาย ทส่ี าคญั ปัญหาเพศศกึ ษา - ทักษะการจัดการ ปัญหาทางเพศ - ปัญหาทางเพศใน เดก็ และวยั รุ่น - การจดั การกบั อารมณ์ และความ ตอ้ งการทางเพศ - ความเช่ือที่ผิดๆ ทางเพศ - กฎหมายท่ี เกย่ี วขอ้ งกับการ ละเมดิ ทางเพศ อาหารและ โภชนาการ - โรคขาด สารอาหาร
อง ประเด็น/ปัญหา/ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ หมายเหตุ สิง่ จาเป็นทีต่ ้องเรียนรู้ การประดษิ ฐ์วสั ดุ อนั ตราย อยา่ งน้อย 5 คา แล้วนามาแสดงใหเ้ พ่อื นดู แลว้ นามาอภปิ รายรว่ มกับ ครูผ้สู อนและเพือ่ นในวนั พบ กล่มุ ที่ กศน.ตาบล 3. ให้ผเู้ รยี นศึกษาค้นควา้ วัสดุทส่ี ามารถนากลบั มา ใชไ้ ด้จากแหล่งเรยี นรูใ้ น ชุมชน เช่น ห้องสมุด ส่อื ออนไลน์ และสรุปเป็น แผนผงั ความคิด อภปิ ราย แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ ให้เพือ่ น ฟังแลว้ นามาอภปิ รายรว่ มกบั ครผู ู้สอนและเพื่อนในวันพบ กลุ่มท่ี กศน.ตาบล 4. ใหผ้ ู้เรียนศึกษาคน้ ควา้ เรื่องการใชเ้ ทคโนโลยีในการ เผาวสั ดุ ที่ช่วยแก้ปญั หาการ ทาลายสง่ิ แวดลอ้ ม แล้วนามา จัดนิทรรศการ และอธบิ าย เพ่มิ เติมใหเ้ พื่อนฟัง แลว้ นามาอภปิ รายร่วมกับ
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ ปี ตัวช้วี ัด เน้ือหาสาระการ หวั เร่ือ เรียนรู้ - การสุขาภิบาล อาหาร - การจดั โปรแกรม อาหารใหเ้ หมาะสม กับบุคคลใน ครอบครัว การเสรมิ สร้าง สขุ ภาพ - การรวมกลุ่มเพ่อื เสริมสร้างสขุ ภาพ ในชมุ ชน - การออกกาลงั กายเพ่ือสุขภาพ
อง ประเด็น/ปญั หา/ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ หมายเหตุ สง่ิ จาเปน็ ทตี่ ้องเรียนรู้ ครูผ้สู อนและเพือ่ นในวนั พบ กลุ่มที่ กศน.ตาบล 5. ให้ผู้เรียนเดินรณรงค์ ประชาสัมพันธก์ ารแยกขยะรี ไซเคลิ และการลดขยะใน ชมุ ชนพร้อมทง้ั ทาแผ่นพับ จากโปรแกรม Microsoft แล้วเดินแจกประชาชนใน ชมุ ชน แลว้ นามาอภิปราย รว่ มกบั ครผู สู้ อนและเพื่อนใน วันพบกลุ่มที่ กศน.ตาบล 6. ให้ผู้เรยี นศึกษาค้นควา้ การ ทาโครงงาน จากแหล่งเรยี นรู้ ในชุมชน เช่น หอ้ งสมุด สอ่ื ออนไลน์ แล้วนามาทา โครงงานประดิษฐว์ สั ดุ พร้อม ท้ังรูปเลม่ โครงงาน แลว้ นามา อภปิ รายรว่ มกับครผู สู้ อนและ เพื่อนในวนั พบกล่มุ ท่ี กศน. ตาบล
ความสาคญั และประโยชน์ของพลงั งาน สมยั อดีตมนุษยใ์ ชพ้ ลงั งานที่หาไดง้ ่ายๆ ตามธรรมชาติ เช่น แสงแดด ลม น้า พลงั งานจาก สัตว์ เล้ียง เป็ นส่วนใหญ่ จะเห็นวา่ พลงั งานที่นามาใชน้ ้ีจะเป็นพวกที่ไมม่ ีวนั หมดส้ินไปจากโลก มีการทดแทนอยตู่ ลอดเวลา ต่อมา เม่ือมนษุ ยเ์ ริ่มใชพ้ ลงั งานประเภทอื่น เช่น น้ามนั ถ่านหิน มนุษยก์ ม็ ีเวลาวา่ งมากข้ึนเพราะไม่ตอ้ งใชแ้ รงงานของตนมาก นกั ทาใหม้ ีเวลาในการพฒั นาเรื่องตา่ งๆ มีการคิดคน้ ทางวทิ ยาศาสตร์ ศิลปกรรม และเร่ืองอื่นๆ ทมี่ ีประโยชนม์ ากข้นึ ทาให้ มนุษยม์ ีอารยธรรมความเจริญรุ่งเรือง สะดวกสบายมากข้นึ โดยใชพ้ ลงั งานเป็ นหลกั สาคญั ในการดาเนินกิจกรรมตา่ งๆ ดงั น้นั อาจสรุปไดว้ ่า พลงั งานเป็ นปัจจยั สาคญั ในการสร้างเสริมความสุขสวสั ดิภาพแก่ประชาชน บางประเทศ พลงั งานมีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั ความมน่ั คงทางเศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรมของชาติ ประเทศไทยกม็ ีพลงั งานที่มีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจ หลายแหล่ง เช่น แหล่งกา๊ ซธรรมชาติ ถ่านหิน พลงั น้า พลงั งาน แสงอาทิตย์ พลงั งานลม พลงั งานชีวมวล กา๊ ซชีวภาพ ซ่ึง พลงั งานเหล่าน้ีจะนาไปสู่การยกระดบั ความเป็ นอยขู่ องประชาชนในประเทศไดอ้ ีกดว้ ย แหล่งพลงั งานทส่ี าคญั แหล่งพลงั งานทสี่ าคญั ทใ่ี ช้ในปจั จุบนั แบ่งเป็ น 3 แหล่งใหญ่ๆ ได้แก่ 1. พลงั งานจากแร่เชื้อเพลงิ ธรรมชาติ ได้แก่ 1.1 นา้ มันปิ โตรเลยี ม (petroleum) มีกาเนิดจากซากส่ิงมีชีวิต (organic matter) ซ่ึงสะสมอยู่ ร่วมกบั ตะกอนของดินและเศษหิน และถกู ทบั ถมอยใู่ ตผ้ วิ โลก เป็ นเวลานานหลายลา้ นปี ดว้ ยความร้อน ความกดดนั และการ กระทาของแบคทีเรีย ทาใหซ้ ากสิ่งมชี ีวิตเกิดการสลายตวั และใหป้ ิ โตรเลียม 1.2 ถ่านหนิ (coal) คอื แร่เช้ือเพลิงธรรมชาติชนิดหน่ึง มีสีน้าตาลอ่อน จนถึงสีดา เกิดข้นึ จากการท่ี พืชถกู ทบั ถมในหนองน้าใตด้ ิน และโคลนในสภาพท่ีไม่เน่าเป่ื อย แต่เกิดการเปล่ียนแปลงแบบไม่ใชอ้ อกซิเจนอยา่ งชา้ ๆ คุณภาพของถ่านหินข้นึ อยกู่ บั อตั ราการเปลี่ยนแปลงของถ่านหิน ถ่านหินสามารถแบ่งชนิดตามคุณภาพ ได้ 4 ชนิด คอื ลิกไนต์ ซบั บิทมู ินสั บิทมู ินสั และแอนทราไซต์ ถ่านหินพบทว่ั ไปในประเทศไทย แตแ่ หล่งที่พบส่วนใหญ่อยทู่ างตอนเหนือของประเทศไทย โดยบริเวณท่มี กั พบถ่านหิน คอื ลาปาง เชียงใหม่ พะเยา ตาก กระบ่ี เพชรบุรี และเลย ถ่านหินที่พบในประเทศไทยมีทุกชนิด แต่ ส่วนใหญ่คือ ลิกไนต์ ซ่ึงแหล่งผลิตลกิ ไนตท์ ี่ขดุ มาใชแ้ ลว้ มี 3 แหล่ง คือ จงั หวดั ลาปาง ลาพนู และกระบี่ ส่วนแหล่ง
ถ่านหินในต่างประเทศมมี ากท่ีสุดในทวปี เอเชีย รองลงมาคอื อเมริกาเหนือ ยโุ รปตะวนั ตก แอฟริกา ออสเตรเลีย และ ในอเมริกากลางและใต้ 1.3 ก๊าซธรรมชาติ (natural gas) เป็ นทรัพยากรประเภทหน่ึงเกิดจากซากพชื และซากสัตวท์ ่ีทบั ถมกนั มานาน หลายลา้ นปี แลว้ เกิดการยอ่ ยสลายกลายเป็ นสารประกอบที่อุดมดว้ ยไฮโดรเจนและคาร์บอน นานวนั ตะกอนที่ทบั ถมกนั จะคอ่ ยๆ จมลึกลงไปในช้นั ดิน แรงกดดนั จากการทบั ถมและคาร์บอนจากใตด้ ิน ทาใหส้ ารไฮโดรคาร์บอนท่ีเกิดจากการยอ่ ยสลายของ ซากพชื ซากสัตวด์ งั กล่าว กลายเป็ นน้ามนั และกา๊ ซธรรมชาติ สามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 2. พลงั งานจากแหล่งธรรมชาติ หรืออาจเรียกว่าเป็ นพลงั งานหมุนเวียน เนื่องจากเป็ นแหล่งพลงั งานที่สามารถผลิตข้ึน ทดแทนไดแ้ ละระยะเวลาในการผลิตไม่นานนกั หรือเป็ นแหล่งท่ีมีปริมาณมากจนอาจกล่าวไดว้ า่ ใชแ้ ลว้ ไม่หมดไป ง่ายๆ แหล่งพลงั งานน้ี ไดแ้ ก่ น้า ดวงอาทิตย์ ลม ความรอ้ นใตพ้ ภิ พ ชีวมวล 2.1 พลงั งานนา้ (water energy) เกิดจากพลงั งานแสงอาทิตยแ์ ละพลงั งานศกั ย์ เน่ืองจากแรงดึงดูดของโลก เป็ นพลงั งานที่สะอาด ไม่มีผลเสีย ต่อสิ่งแวดลอ้ มมากนกั มีการทดแทนตอ่ เนื่องตลอดเวลา ทาใหใ้ ชป้ ระโยชนไ์ ดไ้ มม่ ที ่ีสิ้นสุด แตเ่ ป็ นพลงั งานท่ีตอ้ งลงทุน สูง ค่าใชจ้ ่ายในการบารุงรักษาสูง การจะนามาใช้ ตอ้ งพจิ ารณาใหร้ อบคอบ เพ่อื สามารถใชไ้ ดผ้ ลอยา่ งคมุ้ ค่าจริงๆ ในปัจจุบนั ประเทศไทยมีการนาพลงั งานน้ามาใชเ้ พื่อ การผลิตกระแสไฟฟ้ ามากข้ึน การผลิตไฟฟ้ าขนาดใหญด่ ว้ ยพลงั น้าจะตอ้ งมีบริเวณ กกั เก็บน้าขนาดใหญ่ ซ่ึงโดย ทว่ั ไปจะตอ้ งสร้างเขื่อนควบคกู่ นั ไปเพ่ือใหม้ ีระดบั น้าสูง เมื่อปล่อยใหน้ ้าจากระดบั สูง ไปขบั กงั หนั น้าหมุนเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ าจะทาใหเ้ กิดพลงั งานไฟฟ้ าข้ึน นอกจากพลงั น้านาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการผลิตไฟฟ้ าแลว้ ยงั ใช้ ประโยชนด์ า้ นอื่นๆ อกี เช่น การเกษตร การประมงในอ่างเก็บน้า เป็ นตน้ 2.2 พลงั งานแสงอาทติ ย์ (solar energy)
ประกอบดว้ ยรังสีทุกรูปแบบ เช่น รังสีอุลตราไวโอเลต รงั สีอินฟาเรต รังสีแกมมา รงั สีเอกซ์ คล่ืนวิทยุ ความร้อน แสงสว่าง การนาพลงั งานแสงอาทิตยม์ าใชป้ ระโยชนใ์ นการผลติ กระแสไฟฟ้ า การเปลี่ยนรูปพลงั งานแสงอาทิตยเ์ ป็ นพลงั งานไฟฟ้ าทาได้ 2 วิธี คอื 1. การเปล่ียนโดยตรงโดยใชเ้ ซลลแ์ สงอาทิตย์ 2. การเปล่ียนโดยกระบวนการความร้อน โดยนาพลงั งานแสงอาทิตย์ มาเปลี่ยนรูปเป็ น พลงั งานความร้อน เพอื่ ตม้ น้ากลายเป็ นไอไปหมุนกงั หนั ไอน้า และกงั หนั ไอน้าผลิตพลงั งานกลหมุนเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ าตอ่ ไป 2.3 พลงั งานลม (wind energy) เป็ นพลงั งานธรรมชาติท่ีมีความสะอาดบริสุทธ์ิ และสะสมอยใู่ นแหล่งตา่ งๆ ของโลก สามารถพฒั นา นามาใชเ้ ป็ นประโยชน์ โดยอาศยั เครื่องมอื ท่ีเรียกว่า กงั หนั ลม เป็ นตวั สกดั ก้นั พลงั งานจลนข์ องกระแสลมแลว้ เปลี่ยนเป็ นพลงั งาน กล ผ่านเขา้ เครื่องกาเนิดไฟฟ้ า (generator) แปรสภาพเป็ นพลงั งานไฟฟ้ านามาใชป้ ระโยชนไ์ ดต้ ่อไป การพฒั นาการใชพ้ ลงั งานลมในประเทศไทย ยงั มีอยนู่ อ้ ย เนื่องจากพ้ืนที่ส่วนใหญ่ในประเทศ ไทย ขอ้ มูลลมไม่เหมาะสมที่จะสามารถผลิตพลงั งานขนาดใหญไ่ ด้ คือมีอตั ราเร็วลมเฉล่ียต่า อีกท้งั อาจมีพายแุ รง ซ่ึงอาจทา ใหก้ งั หนั ลมเสียหายได้ แตก่ ม็ ีผพู้ ยายามออกแบบและศึกษากงั หนั เพอ่ื ใหส้ ามารถใชง้ านไดห้ ลายแบบ 2.4 พลงั งานความร้อนใต้พภิ พ (geothermal energy)
เป็ นพลงั งานธรรมชาติที่เกิดจากความรอ้ นที่ถกู กกั เกบ็ อยภู่ ายใตผ้ ิวโลก โดยปกตอิ ุณหภมู ิภายใตผ้ วิ โลกจะ เริ่มข้นึ ตามความลึก นน่ั คือ ยงิ่ ลึกลงไปอุณหภมู ิจะยงิ่ สูงข้ึนและในบริเวณส่วนล่างของช้นั เปลอื ก โลก (continental crust) หรือท่ีความลึกประมาณ 25-30 กิโลเมตร อุณหภมู ิจะมีคา่ อยใู่ นเกณฑเ์ ฉล่ีย ประมาณ 250-1,000°C ในขณะที่ตรงจุดศูนยก์ ลางของโลกอุณหภมู ิอาจสูงถึง 3,500 – 4,500°C พลงั งานความรอ้ น ใตพ้ ิภพมกั เกิดในบริเวณที่เรียกวา่ hot spots คือบริเวณที่มกี ารไหลหรือแผ่กระจายของความรอ้ นจากภายใตผ้ วิ โลกข้นึ มาสู่ ผวิ ดินมากกวา่ ปกติ และมีคา่ การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิตามความลึก (geothermal gradient) มากกว่าปกติ ประมาณ 1.5 – 5 เท่า เพราะบริเวณดงั กล่าว ลกั ษณะธรณีวทิ ยาของเปลือกโลกมีการเคลอื่ นที่ ทาใหเ้ กิดแนวรอยแตกและ รอยเลื่อนของช้นั หิน ซ่ึงปกตขิ นาดของแนวรอยเล่ือนที่ผวิ ดินจะใหญ่และคอ่ ยๆ เล็กลง เม่ือลึกลงไปใตผ้ ิวดิน เม่ือฝนตกใน บริเวณน้ีจะมีน้าบางส่วนไหลซึมไปภายใตผ้ วิ โลกตามแนวรอยแตกน้นั น้าจะไปสะสมตวั และรบั ความรอ้ นจากช้นั หินที่มีความ รอ้ น จนกระทง่ั น้ากลายเป็ นน้าร้อน และไอน้าแลว้ พยายามแทรกตวั ตามแนวรอยเล่ือน รอยแตกของช้นั หินข้ึนมาบนผวิ ดิน และจะปรากฏใหเ้ ห็นในรูปของบ่อน้ารอ้ น น้าพุรอ้ น ไอน้ารอ้ น โคลนเดือดและก๊าซ 3. พลงั งานจากแหล่งพลังงานอ่นื หรือพลังงานชีวมวล พลงั งานชีวมวล หมายถึง พลงั งานท่ีไดจ้ ากพชื และสัตว์ ชีวมวลเป็ นสารอินทรียท์ ี่เป็ น ผลผลิตจาก สิ่งมีชีวติ โดยอาศยั แสงอาทิตย์ และคาร์บอนไดออกไซดจ์ ากอากาศ สารอินทรียบ์ างชนิดสามารถใชเ้ ป็ นเช้ือเพลิงทาใหเ้ กิด พลงั งาน บางชนิดช่วยในการผลิตพลงั งานโดยเปลี่ยนสารอินทรียใ์ หอ้ ยใู่ นรูปเช้ือเพลิง ซ่ึงอาจเป็ นเช้ือเพลิงแขง็ เหลว หรือ กา๊ ซ แหล่งชีวมวลที่สามารถนามาใชเ้ ป็ นพลงั งาน ไดแ้ ก่ 1. วสั ดุเหลือในการเกษตร ไดแ้ ก่ แกลบ ข้ีเล่ือย ฟางขา้ ว ชานออ้ ย ซงั ขา้ วโพด วสั ดุเหล่าน้ีอาจนามาใช้ เป็ นเช้ือเพลิงไดห้ ลายวิธี เช่น - อดั เป็ นแท่งเพอ่ื ใชเ้ ป็ นเช้ือเพลิง - ใชเ้ ป็ นเช้ือเพลิงในการผลิตความร้อนไอน้า หรือไฟฟ้ า - ใชผ้ ลิตก๊าซเพอื่ ใชข้ บั เคลือ่ นเครื่องยนต์ 2. ฟื นและถ่านไม้ ใชผ้ ลิตกระแสไฟฟ้ าโดยตรง ผลิตก๊าซจากไม้ เรียกว่า กา๊ ซโปรดิวเซอร์
3. ขยะ สามารถนามาใชเ้ ป็ นพลงั งานได้ มีคุณค่าทางพลงั งาน โดยใหค้ วามรอ้ นถึง 1,200 กิโลแคลอรีตอ่ กิโลกรมั 4. แอลกอฮอล์ พืชท่ีสามารถใชเ้ ป็ นวตั ถุดิบสาหรบั ผลิตแอลกอฮอล์ ไดแ้ ก่ มนั สาปะหลงั และออ้ ย 5. พชื น้ามนั เป็ นพชื ที่สามารถนามาสกดั เอาน้ามนั ซ่ึงใชเ้ ป็ นเช้ือเพลิงตน้ กาลงั แก่เคร่ืองยนตด์ ีเซลได้ พืช น้ามนั แบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ ประเภทท่ใี ชเ้ ป็ นอาหารได้ ไดแ้ ก่ ถว่ั เหลือง ถวั่ ลิสง ละหุ่ง ขา้ วโพด และประเภทท่ีไม่ใช้ เป็ นอาหาร ไดแ้ ก่ พญาไรใ้ บหรือสบ่ดู า การจะนาพืชน้ามนั มาใชป้ ระโยชนจ์ ะตอ้ งคานึงว่าการใชพ้ ืชในการผลิตพลงั งานไม่ควร ขดั กบั การใชเ้ ป็ นอาหาร มีความเหมาะสมในทางเศรษฐกิจ ไม่มีความยงุ่ ยากในการสกดั และไมก่ ่อใหเ้ กิดปัญหากบั สภาวะ แวดลอ้ ม 6. กา๊ ซชีวภาพ เป็ นก๊าซท่ีไดจ้ ากมลู สตั ว์ พชื และวสั ดทุ ี่เหลอื จากอุตสาหกรรมการเกษตร นามาหมกั โดยใชจ้ ุลินทรียย์ อ่ ยสลายจะใหค้ าร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ และไฮโดรเจน การใช้พลงั งานไฟฟ้ าอย่างประหยดั และปลอดภยั การใชไ้ ฟฟ้ าใหป้ ลอดภยั และคมุ้ คา่ ตอ้ งรู้จกั เลอื กใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟ้ าและเครื่องใชไ้ ฟฟ้ าท่ีมีคุณภาพ รู้จกั วิธีใชท้ ี่ถกู ตอ้ ง และ วธิ ีป้ องกนั อนั ตรายจากไฟฟ้ าลดั วงจร และไฟฟ้ าร่ัว การผลิตพลงั งานไฟฟ้ า ตอ้ งอาศยั พลงั งานจากแหล่งตา่ ง ๆ เช่น พลงั งานจากน้า น้ามนั และแกส๊ ธรรมชาติ จึงมีความจาเป็ น อยา่ งยงิ่ ท่ีจะตอ้ งช่วยกนั ประหยดั พลงั งานและทรพั ยากรธรรมชาติเหล่าน้ีไวใ้ หใ้ ชไ้ ดน้ าน ๆ โดยเลือกใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้ าให้ เหมาะสมกบั สภาพความเป็ นอยู่ ความจาเป็ นที่จะตอ้ งใชแ้ ละจานวนสมาชิกภายในบา้ น เพอื่ จะไดใ้ ชเ้ คร่ืองใชไ้ ฟฟ้ า ใหเ้ กิด ประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ ริงใชห้ ลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนตแ์ ทนหลอดไฟฟ้ า ปิ ดสวติ ซห์ รือถอดเตา้ เสียบทุก คร้ังเม่ือเลิกใชเ้ คร่ืองใชไ้ ฟฟ้ า พร้อมท้งั ตรวจสอบเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้ าทมี่ ีอยใู่ หอ้ ยใู่ นสภาพดอี ยเู่ สมอ วธิ ีใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ าอย่างปลอดภยั และประหยดั พลงั งานไฟฟ้ า เคร่ืองรับโทรทศั น์ เคร่ืองรับวทิ ยุ • ปิ ดเคร่ืองทุกคร้ังเม่ือไม่มีคนดู • ควรถอดเตา้ เสียบใหเ้ รียบร้อยเมื่อเลิกใชง้ าน ไม่ควรปิ ดดว้ ยรีโมทคอนโทรล เพราะการปิ ด เครื่อง ดว้ ยรีโมทน้นั กระแสไฟฟ้ ายงั คงไหลผา่ นอยตู่ ลอดเวลา
โคมไฟ • ควรถอดเตา้ เสียบ เมื่อไม่ใชเ้ ป็นเวลานาน • ควรเลือกใชโ้ คมไฟแบบสะทอ้ นแสง เพราะจะทาใหค้ วามสวา่ ง มากข้ึน • ควรใชห้ ลอดฟลูออเรสเซนตป์ ระหยดั พลงั งาน (หลอดผอม) หรือหลอดคอมแพคฟลูออเรส เซนต์ แทนหลอดไฟฟ้ า เตารีดไฟฟ้ า • ตงั้ ป่ มุ ปรับความร้อนให้เหมาะสมกบั ชนดิ ของผ้า • อย่าพรมนา้ จนเปี ยกแฉะ • ดึงเต้าเสยี บออกก่อนจะรีดเสร็จประมาณ 2 – 3 นาที แล้วรีดต่อไปจนเสร็จ • ควรรีดผ้าคราวละมาก ๆ ติดต่อกนั จนเสร็จ • ควรเร่ิมรีดผ้าบาง ๆ ก่อน • ถอดเต้าเสียบ ออกทกุ ครงั้ เม่ือเลกิ ใช้งาน
พดั ลม • เปิดระดบั ความเร็วของพดั ลมพอสมควร • ขณะเปิดพดั ลม ควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถา่ ยเทได้ดี ต้เู ยน็ ต้แู ช่ • เลอื กขนาดให้พอเหมาะกบั ความต้องการของครอบครวั • ควรวางต้เู ย็นในบริเวณท่ีอากาศถา่ ยเทได้ดี และไมเ่ กดิ ความร้อน • ตงั้ สวติ ซ์ควบคมุ อณุ หภมู ใิ ห้เหมาะกบั จานวนสงิ่ ของท่ีบรรจุ • อยา่ เปิดต้เู ย็นทงิ ้ ไว้นาน ๆ และไม่ควรนาอาหารร้อนมาแช่ • หมน่ั ละลายนา้ แข็งเมื่อเห็นวา่ นา้ แขง็ เกาะหนามาก เคร่ืองปรับอากาศ • ปิดเคร่ืองทกุ ครงั้ เมื่อไมไ่ ด้ใช้งาน
• ปิดประตหู น้าตา่ งให้สนทิ และติดตงั้ ผ้ามา่ นเพื่อกนั ความร้อนจากภายนอก • อณุ หภมู ทิ ่ีเหมาะสม และไม่สนิ ้ เปลืองพลงั งานไฟฟ้ า ควรอยทู่ ี่ประมาณ 25 0 C • ควรเลือกขนาดของเครื่องปรบั อากาศให้เหมาะสมกบั ขนาดของห้องที่จะติดตงั้ • ควรตดิ ตงั้ เครื่องให้อย่ใู นระดบั ท่ีสงู พอเหมาะ และให้อากาศร้อนระบายออกด้านหลงั เคร่ืองได้สะดวก • ควรบารุงรักษาเคร่ืองให้มีสภาพดีตลอดเวลา • ควรหมน่ั ทาความสะอาดแผน่ กรองอากาศ และแผงระบายความร้อน ข้อควรปฏบิ ตั ิในการใช้พลงั งานไฟฟ้ า 1. ใชอ้ ปุ กรณ์ไฟฟ้ าอยา่ งถูกวธิ ี 2. อุปกรณ์ไฟฟ้ าชารุดใหร้ ีบแกไ้ ขโดยช่างทม่ี ีความรู้ 3. ไม่ควรใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้ าหลายเครื่องจากเตา้ รับอนั เดียว 4. ไม่ควรติดต้งั อุปกรณ์ไฟฟ้ าต่าเกินไป 5. ไม่ควรซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้ าโดยไม่มีความรู้ 6. สายไฟเปื่ อยหรือชารุด ใหร้ ีบแกไ้ ขโดยช่างทมี่ ีความรู้ 7. การใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้ าประเภทใหค้ วามร้อน ตอ้ งใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั อยา่ งมาก 8. สายไฟขาดอยา่ เขา้ ใกล้ 9. อยา่ ก่อสร้างใกลแ้ นวสายไฟแรงสูง ถา้ จาเป็นตอ้ งสร้างใกลแ้ นวสายไฟแรงสูง ตอ้ งเอา ฉนวนครอบสายไฟแรงสูงไวก้ ่อนชวั่ คราว
10. ก่ิงไมใ้ กลแ้ นวสายไฟเป็นอนั ตราย ไม่ควรตดั เองควรแจง้ ใหก้ ารไฟฟ้ าทราบ 11. ควรหลีกเลี่ยงการติดต้งั เสาเครื่องรับวทิ ยแุ ละเครื่องรับโทรทศั น์ใกลแ้ นวสายไฟฟ้ าแรงสูง
ใบงานท่ี 1 สาระความรพู้ ้ืนฐาน วิชาการใช้พลงั งานไฟฟ้าในชวี ติ ประจาวัน (พว32023) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ********************************************************************************** ช่ือ-สกลุ ...............................................................รหสั นกั ศึกษา......................................................... คาชแ้ี จง ให้ผู้เรยี นทาเครือ่ งหมาย หน้าขอ้ ความท่ีถูกตอ้ ง และเคร่อื งหมาย หน้าขอ้ ความท่ผี ดิ (ขอ้ ละ 2 คะแนน) .......... 1. จากข้อมูลปี พ.ศ. 2553 แหล่งพลังงานที่ใช้ผลิตไฟฟ้าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และ นิวเคลยี ร์ .......... 2. ปัจจุบันมีการใช้ถ่านหินมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟา้ มากท่สี ุดในโลก เน่ืองจากเป็นเช้ือเพลอง ราคาถูก .......... 3. ทั่วโลกมีการกระตุ้นให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดมาผลิตไฟฟ้ามากขนึ้ ส่งผลให้มีการใช้เชื้อเพลิง หมนุ เวยี น มากข้นึ นอกจากน้ยี งั มีแนวโนม้ ว่าจะมกี ารนาเอาพลังงานนิวเคลียรม์ าใช้มากขึน้ ดว้ ย ………. 4. แนวทางการจัดการดา้ นพลังงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เน้นการสรา้ งความม่ันคงทางดา้ น พลังงาน การเสรมิ สร้างความมน่ั คงของระบบไฟฟา้ โดยการเลือกใช้เชอ้ื เพลงิ เพียงอย่างเดยี วในการผลิตไฟฟา้ .......... 5. กล่มุ ประเทศอาเซยี นมกี ารใชก้ ๊าซธรรมชาตมิ าเป็นการผลิตเชอื้ เพลงิ ในการผลติ ไฟฟ้ามากท่สี ุด .......... 6. มีการสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสารองน้ามันภายในประเทศของตน เพื่อความมั่นคง ทางด้านพลงั งานของแตล่ ะประเทศ .......... 7. ปัจจุบันกลุ่มประเทศอาเซียนได้มีการดาเนินโครงการผลิตและใช้พลังงานรว่ มกันอยู่ 2 โครงการ คือ โครงการเชอ่ื มโยงระบบส่งไฟฟ้าอาเซียน และโครงการเช่อื มโยงท่อส่งกา๊ ซอาเซียน .......... 8. พลังงานนิวเคลียร์ เป็นพลังงานทางเลือกที่หลายประเทศในอาเซียนบรรจุไว้ในแผนพลังงานตนเอง เพื่อ เตรียมรองรับความต้องการไฟฟา้ ท่มี ากขึ้น .......... 9. จากข้อมูลปี พ.ศ. 2555 ประเทศไทยมีการใช้ถ่านหินมาผลิตไฟฟ้าสูงที่สุด ..........10. การผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยมาจากหน่วยงานของรัฐหน่วยงานเดียวเท่านั้น คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย
ก๊าซธรรมชาติ 1. ก๊าซธรรมชาติคืออะไร กา๊ ซธรรมชาติ คือ ส่วนผสมของก๊าซไฮโดรคารบ์ อน และสงิ่ เจือปนต่างๆในสภาวะก๊าซ สารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนทพ่ี บในธรรมชาติ ไดแ้ ก่ มเี ทน อเี ทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน เป็นต้น ส่งิ เจือปนอืน่ ๆท่ีพบใน กา๊ ซธรรมชาติ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนไดซัลไฟด์ เปน็ ต้น กา๊ ซธรรมชาติเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทม่ี ีสารสาคัญ 2 ชนิด คือ ไฮโดรเจน (H) กบั คาร์บอน (C) รวมตวั กันในสดั สว่ นของอะตอม ทีต่ ่างๆกนั โดยเริ่มตั้งแต่สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนอนั ดบั แรกทม่ี ีคารบ์ อน เพยี ง 1 อะตอม กบั ไฮโดรเจน 4 อะตอม มีชือ่ เรียกโดยเฉพาะว่า \"ก๊าซมีเทน\" จนกระทัง่ มีคารบ์ อนเพิ่มมากขึน้ ถึง 8 อะตอม กับไฮโดรเจน 18 อะตอม มชี ือ่ เรยี กวา่ \"อ๊อกเทน\" 2. การเกดิ กา๊ ซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเกดิ จาก การสะสมและทบั ถมกันของซากพืชซากสตั ว์ สะสมเป็นเวลานาน จนเกิดการ รวมตัวกนั เป็นก๊าซธรรมชาติ ซ่ึงประกอบ ดว้ ย สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนต่างๆ ไดแ้ ก่ มีเทน อเี ทน โพรเพน เพนเทน เฮกเซน เฮปเซน และสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน อนื่ ๆ อีก นอกจากน้ีมีส่ิงเจือปนอน่ื ๆอกี เช่น กา๊ ซ คารบ์ อนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ฮเี ลยี ม ไนโตรเจนและไอน้า เปน็ ต้น ก๊าซธรรมชาตทิ ีไ่ ด้จากแหลง่ อาจประกอบด้วยกา๊ ซมีเทนล้วนๆ หรืออาจจะมีก๊าซไฮโดรคารบ์ อนชนดิ อน่ื ๆ ปนอยบู่ ้าง ท้ังนี้ขน้ึ อยูก่ ับ สภาพแวดล้อมของแหล่งธรรมชาตแิ ตล่ ะแห่งเป็นสาคญั แตโ่ ดยทัว่ ไปแล้ว ก๊าซ ธรรมชาตจิ ะประกอบด้วยก๊าซมเี ทนตงั้ แต่ 70 เปอร์เซนต์ขน้ึ ไป และมกี า๊ ซไฮโดรคารบ์ อนชนดิ อื่นปนอยู่บ้าง กา๊ ซธรรมชาตทิ ีป่ ระกอบด้วยมีเทนเกอื บทง้ั หมด เรียกว่า \" ก๊าซแหง้ (dry gas)\" แตถ่ ้ากา๊ ซธรรมชาติใดมพี วกโพ รเพน บวิ เทน และพวกไฮโดรคารบ์ อนเหลวหรือก๊าซโซลีนธรรมชาติ เช่น เพนเทน เฮกเทน ฯลฯ ปนอยูใ่ น อัตราทีค่ ่อนขา้ งสงู เรยี กกา๊ ซธรรมชาตินวี้ ่า \"กา๊ ซช้ืน (wet gas)\" ก๊าซธรรมชาติทปี่ ระกอบด้วยมีเทนหรอื อีเทนหรอื ท่ีเรยี กวา่ กา๊ ซแหง้ นั้นจะมสี ถานะเป็นกา๊ ซที่อุณหภมู ิและ ความดันบรรยากาศ ดังน้ัน การขนส่งจงึ จาเป็นต้องวางท่อสง่ กา๊ ซ ส่วนกา๊ ซชื้นท่ีมโี พรเพนและบวิ เทน ซึ่งทว่ั ไป มปี นอยปู่ ระมาณ 4 – 8 เปอร์เซ็นต์ จะมีสถานะเป็นกา๊ ซ ท่ีอุณหภูมแิ ละความดนั บรรยากาศเช่นกนั เรา สามารถแยกโพรเพนและบิวเทนออกจากก๊าซธรรมชาตไิ ด้แล้วบรรจุลงในถงั กา๊ ซ เรียกก๊าซนว้ี า่ กา๊ ซปโิ ตรเลียม เหลวหรือ LPG(Liquefied Petroleum Gas) ส่วนกา๊ ซธรรมชาติเหลวหรอื ก๊าซโซลนี ธรรมชาติ ซึ่งเรียกกันว่า \"คอนเดนเซท\" (Condensate) คือ พวกไฮโดรคาร์บอนเหลว ไดแ้ ก่ เพนเทน เฮกเซน เฮปเทน และอ๊อกเทน ซ่ึงมสี ภาพเปน็ ของเหลว เม่อื ผลิตขน้ึ มาถึงปากบอ่ บนแท่นผลติ สามารถแยกออกจากก๊าซธรรมชาตไิ ด้บนแทน่ ผลิต การขนส่งอาจลาเลยี งทางเรอื หรือสง่ ไปตามทอ่ ได้ 3. พฒั นาการของกา๊ ซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติ ซึง่ คร้ังหนง่ึ เป็นสิง่ ทไ่ี ม่ตอ้ งการ เนื่องจากมกี ารใชพ้ ลังงานน้อย และมีนา้ มันดิบอยเู่ หลอื เฟอื เกนิ ความต้องการ แต่ในปัจจุบนั น้ี กา๊ ซธรรมชาตถิ ูกนามาใช้ทดแทนน้ามนั มากข้ึน ทง้ั น้เี นื่องจากน้ามันเหลือ น้อยลงน่ันเอง และราคานา้ มันของโลกกส็ ูงขึน้ ประกอบกบั ก๊าซธรรมชาติจดั เป็นเช้ือเพลงิ ที่สะอาด ดงั นนั้ ดว้ ย เหตุน้ีจึงไดม้ ีการพฒั นาในการนากา๊ ซธรรมชาตมิ าใช้เปน็ พลงั งานทดแทน มากข้นึ ในขณะนป้ี ระเทศไทยไดใ้ ช้ กา๊ ซธรรมชาตเิ ป็นเชอ้ื เพลิงแลว้ โดยได้ทดลองใช้กับรถประจาทางของขนส่งมวลชนและรถแท๊กซ่ี จานวนหนงึ่ ซึ่งตอ่ ไปจะพฒั นาระบบและอานวยความสะดวกเกี่ยวกบั สถานีบริการท่ีรองรับสาหรับผู้ใช้กา๊ ซธรรมชาติ และ ทางภาคอตุ สาหกรรม ไดน้ ากา๊ ซธรรมชาตไิ ปใช้ทดแทนน้ามันและกา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลวแลว้ ซึ่งในอนาคตกา๊ ซ ธรรมชาติจะมีบทบาทมากขึน้ เมอื่ เปรยี บเทียบกับน้ามัน และก๊าซปโิ ตรเลียมเหลว ทัง้ น้ีเน่อื งจากราคาของ
น้ามันและก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลวจะสูงขึ้นเรอื่ ยๆเม่อื เทียบกับราคาก๊าซธรรมชาติ จงึ นับวา่ ก๊าซธรรมชาตเิ ป็น ทรัพยากรทส่ี าคญั ยิง่ และควรจะสนบั สนนุ และอกี ประการหนึง่ เพื่อลดการนาเขา้ น้ามนั ได้อกี ดว้ ย (ทีม่ า : 1. เอกสารวิชาการ กองควบคุมนา้ มนั เชื้อเพลงิ และก๊าซ กรมโยธาธิการ 2. เอกสารประกอบการสอน วชิ าวศิ วกรรมแกส๊ ธรรมชาติ โดย ดร. ธารงรตั น์ ม่งุ เจรญิ ภาควชิ าวิศวกรรมเคมี คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์) เรียบเรียงโดย : สานกั ความปลอดภัยธุรกิจกา๊ ซธรรมชาติ กรมธรุ กจิ พลงั งาน กระทรวงพลังงาน การสารวจหาแหล่งกา๊ ซธรรมชาตแิ ละการขุดเจาะ ก๊าซธรรมชาติ มักมีการค้นพบในแหลง่ เดียวกนั กับนา้ มนั ดิบและจะถูกนาขนึ้ มาพรอ้ มๆกัน กา๊ ซจะถกู แยก ออกจากนา้ มนั การสารวจเริม่ จากการ ศึกษาสภาพภูมปิ ระเทศและสภาพทางธรณวี ิทยา อยา่ งไรกต็ าม การ สารวจภาคพนื้ ดินจะไดข้ อ้ มูลคร่าวๆ ซึ่งจะนามาใช้ในการคาดคะเนวา่ มีนา้ มนั ดบิ หรือ กา๊ ซธรรมชาติสะสมตัว อยหู่ รือไม่ แตจ่ ะไมท่ ราบแนช่ ดั จะต้องทาการขุดเจาะสารวจ เสียก่อน การศกึ ษาสภาพภมู ิประเทศได้จาก การศกึ ษาแผนที่ทางธรณวี ิทยา ตัวอย่างหิน ภาพถ่ายจากดาวเทยี ม การสารวจโครงสร้าง ทางธรณวี ิทยาของ ชน้ั หนิ ใต้พ้ืนดิน ใช้วิธกี ารทางธรณีฟสิ กิ ส์ เชน่ การวัดค่าสนามแม่เหล็ก การวดั แรงดงึ ดูดของโลก การวดั ความ ไหวสะเทือนของช้นั หนิ ซงึ่ แตล่ ะชนั้ หินจะให้ค่าออกมาตา่ งกนั ในการสารวจสภาพทางธรณีวิทยา การสารวจความไหวสะเทอื นโดยระบบ Seismic มคี วามสาคัญมาก ผลความไหวสะเทอื น ท่ไี ด้ออกมา จะทาให้ทราบลักษณะโครงสรา้ งของช้ันหิน ซึ่งจากขอ้ มูลเกา่ ๆทางด้าน ธรณวี ทิ ยาจะแสดงให้เหน็ วา่ บรเิ วณนัน้ ๆ จะเป็นแหลง่ สะสมของน้ามนั หรอื ไม่ จากการทา Seismic หลายๆจุด จะทาให้สามารถวาดภาพลกั ษณะโครงสรา้ งทางธรณวี ิทยาได้ การศกึ ษาสภาพภูมิประเทศและโครงสรา้ งทาง ธรณีวิทยาจะทาให้ ้ทราบเพียงวา่ อาจจะมีนา้ มันดบิ หรือก๊าซธรรมชาตอิ ยเู่ ท่านั้น ถา้ ให้แน่ชัดตอ้ งทาการเจาะ สารวจอกี ครั้ง ซึง่ ในการเจาะสารวจจะมกี ารศึกษาเพิ่มเติมจากตัวอย่าง หินและเครอื่ งมือท่ตี ดิ ไปกบั แท่นขดุ เจาะ การขดุ เจาะเพ่อื สารวจใหแ้ นช่ ดั ว่ามีน้ามันดิบหรือก๊าซธรรมชาติสะสมตวั หรอื ไมน่ บั เปน็ ขน้ั ตอนทส่ี าคญั มาก เครื่องมือขดุ เจาะมลี ักษณะเป็นแบบสว่าน หมนุ ส่วนประกอบทีส่ าคัญประกอบด้วย หวั เจาะ ท่อเจาะ แท่นยึด และเครื่องยนต์ ซ่งึ ทาหน้าที่หมุนและดันหวั เจาะลงไปใต้พื้นดนิ เน่อื งจากทอ่ เจาะแตล่ ะทอ่ นยาวประมาณ 10 เมตร ดงั นัน้ การขุดเจาะจะตอ้ งหยดุ เพอ่ื ทาการต่อท่อทกุ ระยะ 10 เมตร และหัวเจาะท่ีใช้กอ็ าจทอื่ และ จาเป็นต้องเปล่ียนบอ่ ยๆ การท่จี ะเปลย่ี นหัวเจาะจะตอ้ งถอนท่อเจาะ ทีเ่ จาะไปแลว้ ทง้ั หมดออกมา แลว้ เร่ิมขดุ เจาะใหม่ ซงึ่ ระหวา่ งการขดุ เจาะก็อาจมีปัญหาเกิดขนึ้ มากมาย ไดแ้ ก่ ดินถล่ม หินพังทลาย ในระหว่างการถอน ท่อเจาะออกเพ่ือเปล่ียนหัวเจาะ จงึ จาเป็นต้องใส่ปลอกกันบอ่ พังเสยี กอ่ นที่จะทาการถอนท่อและบางครัง้ ทอ่ เจาะ เมือ่ เจาะลงลึกๆ กอ็ าจมีการหักได้ การแกไ้ ขตอ้ งนาทอ่ เจาะขน้ึ มา กอ่ นทาการเจาะตอ่ แหล่งกา๊ ซธรรมชาติ NGVคืออะไร แหล่งกา๊ ซธรรมชาติ ได้มาจากแหล่งตา่ ง ๆ ทั้งในทะเลและบนบก รวมทงั้ การนาเขา้ จากประเทศเมียนมาร์ จากแหล่งยาคานา และแหล่งเยตากนุ ส่วนแหลง่ ในประเทศได้จากแหล่งเอราวณั บงกช ยโู นแคล 2 และ 3 ทานตะวัน ไพลนิ การแยกกา๊ ซธรรมชาติ คือ การแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึง่ ปะปนกนั หลายชนดิ ตามธรรมชาติ ออกจากกา๊ ซธรรมชาติ มาเปน็ กา๊ ซชนดิ ตา่ ง ๆ เพ่ือนาไปใชใ้ ห้เกิดประโยชนต์ ามคุณสมบตั ิ และคุณค่าของกา๊ ซ น้นั ๆ โรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย เกิดขึ้นหลงั จากทม่ี ีการนาก๊าซธรรมชาติซง่ึ คน้ พบในอา่ วไทยมาใช้
ประโยชน์ เพื่อทดแทนการใชน้ า้ มนั ดบิ ทตี่ ้องนาเข้าจากต่างประเทศ กา๊ ซธรรมชาตปิ ระกอบดว้ ยสาร ไฮโดรคารบ์ อนทเ่ี ป็นประโยชน์ สามารถแยกออกมาใชป้ ระโยชนไ์ ดม้ ากกวา่ การนาไปใชเ้ ปน็ เชื้อเพลิง เพียง อยา่ งเดียว ก๊าซธรรมชาติใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ดว้ ยการใช้เปน็ เช้อื เพลิงสาหรบั การผลิตกระแสไฟฟ้า หรอื ใน โรงงานอตุ สาหกรรม เชน่ อุตสาหกรรมการทากระจก อตุ สาหกรรมเซรามคิ อุตสาหกรรมสขุ ภณั ฑ์ ฯลฯ และ เมือ่ นาไปอดั ใส่ถงั ด้วยความดนั สงู กน็ าไปใชเ้ ปน็ เชื้อเพลิงสาหรบั รถยนตไ์ ด้ เรยี กว่ากา๊ ซธรรมชาตสิ าหรบั รถยนต์ (Natural Gas for Vehicles : NGV) ผลติ ภัณฑ์ต่าง ๆ หลังกระบวนการแยกของโรงแยกกา๊ ซ ก๊าซธรรมชาตมิ สี ารประกอบท่ีเป็นประโยชน์ เม่อื ผา่ นกระบวนการแยกที่โรงแยกกา๊ ซแล้ว จะไดผ้ ลิตภัณฑ์ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1.กา๊ ซมเี ทน (C1) : ใช้เป็นเชอื้ เพลงิ สาหรบั ผลติ กระแสไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม และนาไปอัดใส่ถงั ดว้ ยความดนั สงู เรยี กวา่ ก๊าซธรรมชาติอัด สามารถใช้เปน็ เชอ้ื เพลงิ ในรถยนต์ รู้จักกันในชือ่ ว่า “กา๊ ซธรรมชาติ สาหรับยานยนต์” (Natural Gas for Vehicles : NGV) 2.กา๊ ซอีเทน (C2) : ใช้เปน็ วตั ถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมขี นั้ ตน้ สามารถนาไปใช้ผลิตเม็ดพลาสติก เส้น ใยพลาสตกิ ชนดิ ต่าง ๆ เพ่ือนาไปใช้แปรรูปต่อไป 3.ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบวิ เทน (C4) : ก๊าซโพรเพนใช้เป็นวตั ถดุ ิบในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมี ขน้ั ต้นได้ เชน่ เดียวกนั และหากนาเอากา๊ ซโพรเพนกบั ก๊าซบิวเทนมาผสมกนั อัดใสถ่ งั เปน็ กา๊ ซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas : LPG) หรือทีเ่ รยี กว่ากา๊ ซหงุ ตม้ สามารถนาไปใชเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ ในครัวเรอื น เป็น เชือ้ เพลงิ สาหรับยานยนต์ และใช้ในการเช่ือมโลหะไดร้ วมทงั้ ยงั นาไปใชใ้ นโรงงานอตุ สาหกรรมบางประเภทได้ อีกดว้ ย 4.ไฮโดรคารบ์ อนเหลว (Heavier Hydrocarbon) : อยู่ในสถานะท่ีเปน็ ของเหลวทอี่ ุณหภูมแิ ละความดัน บรรยากาศ เม่ือผลิตขึน้ มาถงึ ปากบ่อบนแทน่ ผลติ สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนทีม่ ีสถานะเป็นกา๊ ซบนแท่น ผลติ เรยี กวา่ คอนเดนเสท (Condensate) สามารถลาเลยี งขนสง่ โดยทางเรอื หรอื ทางท่อ นาไปกลั่นเปน็ น้ามัน สาเร็จรปู ต่อไป 5.ก๊าซโซลีนธรรมชาติ : แม้วา่ จะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมือ่ ทาการผลิตขึน้ มาถึงปากบ่อบนแท่นผลิต แล้ว แต่กย็ ังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคารบ์ อนที่มีสถานะเปน็ ก๊าซ เมอ่ื ผา่ นกระบวนการ แยกจากโรงแยกกา๊ ซธรรมชาตแิ ล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวนีก้ ็จะถกู แยกออก เรยี กวา่ กา๊ ซโซลนี ธรรมชาติ หรือ NGL (natural gasoline) และสง่ เขา้ ไปยงั โรงกลั่นนา้ มัน เปน็ สว่ นผสมของผลิตภัณฑ์น้ามนั สาเร็จรูปได้ เช่นเดยี วกับคอนเดนเสท และยงั เป็นตวั ทาละลาย ซงึ่ นาไปใชใ้ นอุตสาหกรรมบางประเภทไดเ้ ชน่ กนั 6.ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ : เมื่อผ่านกระบวนการแยกแล้ว จะถกู นาไปทาใหอ้ ยใู่ นสภาพของแขง็ เรียกวา่ น้าแขง็ แหง้ นาไปใชใ้ นอตุ สาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมนา้ อดั ลมและเบยี ร์ ใช้ในการถนอมอาหาร ระหวา่ งการขนส่ง นาไปเปน็ วัตถุดิบสาคญั ในการทาฝนเทยี ม และนาไปใช้สร้างควนั ในอุตสาหกรรมบันเทงิ อาทิ การแสดงคอนเสริ ์ต หรอื การถ่ายทาภาพยนต์ ก๊าซธรรมชาติ อยใู่ นสภาพสถานะต่าง ๆ ดังนี้ 1.Pipe Natural Gas เป็นการขนสง่ กา๊ ซธรรมชาตทิ างทอ่ ซงึ่ เป็นก๊าซมีเทนเป็นสว่ นใหญ่ การขนส่งดว้ ย ระบบทอ่ จะนาไปเปน็ เชื้อเพลิงในการผลติ กระแสไฟฟา้ และในโรงงานอตุ สาหกรรม 2.NGV หรอื Natural Gas for Vehicles เป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเช้อื เพลิงสาหรบั รถยนต์ ซงึ่ สว่ น
ใหญ่เป็นกา๊ ซมีเทน การขนสง่ กา๊ ซธรรมชาตมิ าทางท่อและขนสง่ ทางรถยนต์ เขา้ สสู่ ถานีบรกิ าร และเขา้ ส่รู ะบบ ขบวนการในการบรรจุลงในถงั เกบ็ ก๊าซของรถยนตต์ อ่ ไป 3.LNG หรือ Liquefied Natural Gas เป็นการขนส่งด้วยเรือท่ีออกแบบไวเ้ ฉพาะ โดยการทาก๊าซ ธรรมชาติใหก้ ลายเปน็ ของเหลว เพอื่ ใหป้ ริมาตรลดลงประมาณ 600 เท่า โดยทวั่ ไปจะมีอุณหภูมิ -160 องศา เซลเซยี ส NGV คืออะไร NGV ยอ่ มาจาก Natural Gas for Vehicles เปน็ กา๊ ซธรรมชาติท่ใี ชเ้ ป็นเช้ือเพลงิ สาหรบั รถยนต์ มี สว่ นประกอบหลกั คือกา๊ ซมเี ทน ซึ่งมคี ณุ สมบัติเบากว่าอากาศ ส่วนใหญจ่ ะใชง้ านอยูใ่ นสภาพเปน็ ก๊าซท่ถี กู อัด จนมีความดนั 3,000 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว บางครั้งเรียกก๊าซนี้ว่า CNG ซึง่ ยอ่ มาจาก Compressed Natural Gas หรือกา๊ ซธรรมชาตอิ ดั สถานบี รกิ าร NGV สถานบี ริการ หมายถึง สถานีบรกิ ารก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเปน็ สถานีท่ีทีม่ ไี วใ้ นครอบครองกา๊ ซธรรมชาตทิ ่ีเป็น จุดเก็บรวมหรอื จุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ เพื่อใหบ้ รกิ ารหรอื จาหนา่ ยกา๊ ซแกย่ านพาหนะ ซึง่ ประกอบด้วยถังเก็บ และจ่ายก๊าซ ระบบทอ่ เครอื่ งสบู อดั กา๊ ซและอุปกรณเ์ คร่ืองมอื ตลอดจนระบบ ความปลอดภัยทีเ่ ก่ียวข้อง รวมถึงอาคารบรกิ าร สิ่งปลูกสรา้ งต่าง ๆ ตลอดจนบรเิ วณสถานที่ดังกล่าว เพอ่ื ใช้ในการน้ี ลักษณะของสถานี บรกิ าร NGV 1. สถานีบริการ NGV แบบทว่ั ไป ต้งั อยตู่ ามแนวทอ่ ส่งกา๊ ซธรรมชาติ และบรรจุก๊าซลงถังสง่ ให้สถานี บริการ NGV ท่ีอยใู่ กล้ชุมชนและห่างไกลแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และสามารถบรรจุจาหน่ายกา๊ ซแก่ ยานพาหนะได้ด้วย 2. สถานีบริการ NGV แบบอยหู่ ่างแนวทอ่ ส่งก๊าซธรรมชาติ ส่วนใหญจ่ ะตง้ั อย่ใู กลช้ มุ ชนบรเิ วณท่ไี ม่มีแนว ท่อก๊าซธรรมชาตผิ ่าน ต้องรับกา๊ ซจากสถานบี ริการ NGV แบบทัว่ ไป โดยการขนสง่ ทางยานพาหนะขนส่งก๊าซ จงึ จะทาการบรรจจุ าหน่ายกา๊ ซแก่ยานพาหนะได้ และทตี่ ง้ั ของสถานีบริการ NGV ลักษณะนสี้ ่วนใหญ่ตง้ั อยู่ ร่วมกับสถานบี รกิ ารน้ามันเชือ้ เพลงิ หรอื สถานีบริการกา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว แนวโน้มการใช้ NGV ภายในประเทศและต่างประเทศ การใชก้ ๊าซ NGV ภายในประเทศ ไดม้ ีการกาหนดเป็นนโยบายดา้ นพลังงานของประเทศท่ตี อ้ งการใหม้ ีการ ขยายการใช้กา๊ ซ NGV ในภาคคมนาคมขนสง่ เพ่ือบรรเทาความเดอื ดรอ้ น เนอื่ งจากปญั หาราคานา้ มันท่สี งู ขึ้น และปัญหาดา้ นมลพิษด้วย และขณะนไ้ี ด้มีรถแท็กซ่ีทตี่ ดิ ตง้ั เคร่อื งยนต์ใช้ NGV แล้วจานวนหนงึ่ ซึ่งในอนาคต ขา้ งหนา้ จะมีการตดิ ตงั้ เพ่มิ ขึน้ อีก เพอื่ รองรับการขยายตวั การเปิดสถานีบรกิ าร NGV โดยปัจจุบนั ปตท. ได้ เปดิ ให้บรกิ ารสถานบี รกิ าร NGV แลว้ จานวน 8 สถานี ได้แก่ 1. สถานีบรกิ าร NGV รังสติ ที่ อู่รถ ขสมก. รังสติ 2. สถานบี ริการ ปตท. หจก. ศรเี จรญิ ภัณฑ์ ถนนวิภาวดรี งั สติ 3. สถานบี รกิ าร ปตท. กิมจนี ถนนพหลโยธนิ 4. สถานบี รกิ าร ปตท. สวัสดกิ ารรถไฟ ถนนกาแพงเพชร 2 5. สถานีควบคมุ ความดันกา๊ ซฯ ปตท. ถนนสขุ มุ วิท จังหวดั สมุทรปราการ 6. สถานีบรกิ าร ปตท. ถนนกรุงเทพ – นนทบุรี 7. สถานบี ริการ ปตท. ถนนพัฒนาการ 8. สถานบี รกิ าร ปตท. ถนนพระรามที่ 3
และจากขอ้ มูลของโครงการกา๊ ซธรรมชาติ สาหรบั ยานยนต์ บรษิ ัท ปตท. จากดั (มหาชน) พบวา่ จะมกี ารเพิ่ม จานวนสถานบี ริการ NGV เปน็ 120 สถานี ภายในปี 2551 เพื่อรองรับการเพ่มิ ข้ึนของจานวนรถยนต์ท่ใี ช้กา๊ ซ NGV ในอนาคต ส่วนการขยายจานวนรถยนต์ใช้กา๊ ซ NGV ปตท. มโี ครงการทจี่ ะทาการดดั แปลงรถแท็กซแี่ ละ รถยนต์ของหน่วยงานราชการ โดยจะเริม่ จากรถโดยสาร ขสมก. และรถเก็บขยะของกทม. ก่อน และจงึ จะ ขยายจานวนไปยังรถ กลุม่ อ่นื ตอ่ ไป
ใบงานที่ 2 สาระความรู้พนื้ ฐาน วชิ าการใช้พลงั งานไฟฟ้าในชวี ิตประจาวัน (พว32023) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ********************************************************************************** ชอ่ื -สกลุ ...................................................รหสั นักศกึ ษา.............................................................................. คาช้ีแจง ให้ผู้เรียนตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ประเทศไทยมกี ารซ้อื ก๊าซธรรมชาติมาผลิตไฟฟ้าจากประเทศใด (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................. 2. การเลอื กใช้เช้อื เพลิงมาผลิตไฟฟา้ ไม่จาเป็นต้องคานงึ ถึงความเหมาะสมด้านใด (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................. 3. โรงไฟฟ้าประเภทใดที่เหมาะสมนามาผลิตไฟฟา้ ตามความตอ้ งการไฟฟ้าพ้ืนฐาน (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................. 4. ในการจัดทาแผนกาลงั ผลติ ไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ต้องพิจารณาสิ่งใดบ้าง (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
10 แหลง่ พลงั งานทดแทน เพ่อื การผลิตไฟฟา้ แหง่ อนาคต เราทราบกันดวี า่ เช้ือเพลิงฟอสซลิ เปน็ ทรพั ยากรท่ีมอี ย่อู ยา่ งจากัด และคาดว่าในไม่ช้า เช้อื เพลงิ ชนิดนีจ้ ะ หมดไป เมอื่ ถงึ ตอนนั้นเราจะใช้เชือ้ เพลิงจากท่ีไหนเพอ่ื เปน็ แหลง่ พลังงาน…. คาตอบก็คือ “พลงั งาน ทดแทน” ซึง่ จะกลายเป็นแหล่งพลงั งานหลกั ตอ่ ไป แต่เมอื่ กล่าวถึง “พลังงานทดแทน” คนส่วนใหญ่ อาจจะนึกไปถงึ พลงั งานอย่าง พลังงานแสงอาทติ ย์ พลงั งานลม และพลงั งานน้า ซึ่งเปน็ พลงั งานทางเลอื ก ทเ่ี ปน็ พลังงานทดแทนที่ใชก้ ันมานานแลว้ แตน่ อกจากพลังงานเหล่าน้ี ยังมีคนอกี จานวนหน่งึ ทพ่ี ยายาม ค้นคว้า วิจยั และศึกษาหาความเปน็ ไปไดท้ จี่ ะนาพลงั งานทางเลือกรปู แบบอนื่ ๆ ท่ีเปน็ พลังงานสะอาด และมีประสทิ ธภิ าพสูงกว่าท่ีมีใชอ้ ยู่ในปัจจบุ ันมาเป็นพลังงานทดแทนของเรา ซึ่ง 10 แหล่งพลังงาน ทดแทน ทค่ี าดว่าในอกี 50 ปขี า้ งหน้า อาจกลายเป็นหนง่ึ ในแหล่งพลงั งานทางเลอื กทม่ี นุษยจ์ ะสามารถ นามาใชไ้ ด้ ประกอบด้วย 1. พลังงานเซลลแ์ สงอาทติ ย์จากหว้ งอวกาศ (Space-Based Solar Power) จากขอ้ เท็จจริงท่ีวา่ พลังงานแสงอาทติ ย์กว่า 55-60% นนั้ ไม่สามารถผา่ นชนั้ บรรยากาศของโลกมาได้ ดงั นั้น การผลติ ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่อยบู่ นพ้นื โลกจึงใช้พลงั งานจากแสงอาทติ ย์ได้ไมเ่ ต็มท่ี นอกจากน้ี การผลติ ไฟฟ้าบนพ้ืนโลกยังมีขอ้ จากัด เพราะผลติ ได้เฉพาะในช่วงกลางวัน พนื้ ทต่ี งั้ กต็ ้องเปน็ พืน้ ท่ีเปิดโล่ง สภาพ ภมู อิ ากาศก็ต้องเหมาะสม ทาให้บางประเทศไมส่ ามารถผลิตพลังงานจากแสงอาทิตยไ์ ด้ ดว้ ยข้อจากัดน้ี จงึ มีผู้ คดิ คน้ ว่าหากสามารถติดตง้ั โซลาร์เซลลน์ อกโลก เชน่ เดียวกบั การตดิ ต้ังเซลลแ์ สงอาทิตย์ของดาวเทียมแลว้ ขอ้ จากดั เหลา่ นี้จะหมดไป อกี ทัง้ ยงั สามารถผลิตไฟฟ้าไดอ้ ย่างมหาศาลอีกดว้ ย ปจั จบุ นั นกั วจิ ัยจงึ มคี วามพยายามท่จี ะทดลอง วิจัยหาความเปน็ ไปได้ ที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ในอวกาศ เพอื่ ผลติ ไฟฟา้ และส่งพลังงานทผี่ ลิตไดก้ ลับมายงั สถานพี ลงั งานบนพ้นื โลกในรูปแบบของคล่ืนไมโครเวฟ โดยให้ แนใ่ จว่าการส่งพลงั งานดงั กล่าวจะไม่เกิดการสญู เสียพลงั งาน และไมส่ ง่ ผลกระทบใด ๆ ตอ่ โลก ซ่งึ ก็มคี วามคบื หน้าเกย่ี วกับการทดลองวจิ ยั ในเรอ่ื งนี้ โดยเม่อื เดอื นมนี าคม ปี 2015 สานักงานสารวจอวกาศ ญปี่ ุ่น (JAXA) เปดิ เผยว่าพวกเขาประสบความสาเร็จในการแปลงกระแสไฟฟ้าขนาด 1.8 กิโลวัตต์ให้เปน็ ไมโครเวฟ หลังจากท่พี วกเขาสง่ พลังงานแบบไร้สายเป็นระยะทาง 50 เมตรได้แลว้ นอกจากนี้ ในปีน้ี (2019) จนี ก็เปน็ อกี หนึง่ ประเทศท่มี คี วามพยายามท่จี ะทาการทดลองผลติ ไฟฟา้ จากโซลาร์ เซลล์จากหว้ งอวกาศ โดยล่าสุดได้เรม่ิ ทดลองตามแนวคดิ นแ้ี ล้วทีเ่ มืองฉงช่งิ ทางตะวนั ตกเฉียงใต้ของประเทศ จนี บนพื้นท่กี วา่ 33 เอเคอร์ ด้วยทุนสนบั สนุนเรม่ิ ตน้ ที่ 15 ลา้ นเหรยี ญฯ เพื่อทาการทดสอบหาวธิ ีการทด่ี ที ่ีสุด ในการส่งพลังงานจากวงโคจรในห้วงอวกาศรอบโลกมายังพนื้ โลก 2. พลังงานจากร่างกายมนษุ ย์ (Human Power) ผเู้ ชียวชาญหลายคนเชอ่ื ว่าวิธีการทง่ี ่ายทส่ี ุดในการสร้างพลงั งานหมนุ เวียน คือ ผา่ นร่างกายของมนุษยเ์ อง โดย แนวคดิ น้มี าจากแนวคดิ ที่วา่ ในปจั จบุ ันอปุ กรณ์ไฟฟ้าตา่ ง ๆ ใช้ไฟฟา้ ที่น้อยกว่าในอดตี มาก ดังนนั้ การผลติ
ไฟฟา้ ขนาดเล็กก็เพียงพอทจี่ ะจา่ ยเป็นพลังงานใหก้ ับอุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนดิ ขนาดเล็กจานวนมากได้ โดยผลิต พลังงานผา่ นการเคลือ่ นไหวของรา่ งกายเราเอง เพยี งแค่ใช้ระบบท่ีจะสามารถรวบรวมและแปลงพลงั งานได้ ซึ่งนกั วจิ ัยจากสหราชอาณาจักรได้พฒั นาอุปกรณพ์ ยุงหวั เขา่ ท่ีสามารถรวบรวมอิเลก็ ตรอนในขณะเดนิ ไว้ โดย ทกุ ครง้ั ทเี่ ดนิ หัวเข่าโค้ง โลหะแบบใบพัดจากอุปกรณจ์ ะมีการส้นั สะเทอื นเหมอื นสายกตี าร์ และเกิดการผลิต กระแสไฟฟา้ ขึ้น สามารถนาไปใช้กับอุปกรณ์ทีใ่ ช้พลังงานไมม่ าก 3. พลังงานคลื่น (Wave Power) ความคิดท่จี ะนาพลังงานคลื่นมาใชน้ ั้นมีแนวคดิ มานานแลว้ ซ่งึ ทางเทคนคิ น้นั คลื่น คือรปู แบบท่เี กิดขึ้นจาก พลังงานลมท่พี ดั ผา่ นทะเล พลงั งานคลน่ื ถกู วดั เป็นกโิ ลวตั ต์ (KW) ตอ่ หน่ึงเมตรของแนวชายฝั่ง โดยชายฝงั ทะเล ของสหรฐั ฯ นน้ั มีศักยภาพพลังงานคลนื่ ประมาณ 252 พนั ลา้ นกโิ ลวัตตช์ ั่วโมงตอ่ ปี ปัจจบุ ันมกี วา่ 5 ประเทศ ท่ีพยายามดาเนนิ การสร้างฟารม์ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานคล่ืน หนึ่งในน้ันทนี่ าไป ปฏบิ ัติ คอื ประเทศโปรตุเกส ทีไ่ ดต้ ้ังฟาร์มผลติ ไฟฟา้ จากพลังงานคลื่นในเชงิ พาณิชย์เป็นแห่งแรกในโลก ตง้ั แต่ ปี 2008 มีกาลังผลิตติดตัง้ รวม 2.25 เมกะวัตต์ 4. พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Power) ไฮโดรเจนเป็นกา๊ ซไมม่ สี ี ไม่มกี ลน่ิ และมีมากถึง 74% จากท้ังหมดในจักรวาล ในขณะท่ีบนโลกพบไดเ้ ฉพาะ เมื่อรวมกบั ออกซเิ จน คาร์บอน และไนโตรเจน โดยหากตอ้ งการใช้ไฮโดรเจนจะตอ้ งแยกออกมาจาก องค์ประกอบอน่ื ๆ ซง่ึ กา๊ ซท่ีได้จะให้พลงั งานสงู แต่เปน็ ก๊าซทไี่ ม่มีมลพิษ ดงั นัน้ จงึ มคี วามพยายามท่ีจะพัฒนาเซลล์เช้อื เพลิงทีแ่ ปลงไฮโดรเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า เพอื่ นามาใช้เปน็ แหล่งงานสาหรับยานยนต์ไฟฟ้า เครือ่ งบนิ ยานพาหนะอ่ืน ๆ รวมถึงเป็นพลงั งานทใ่ี ชใ้ นบา้ นและอาคาร ปัจจุบันนผี้ ้ผู ลิตรถยนตร์ ายใหญ่ คา่ ยญ่ีปนุ่ อย่าง โตโยตา้ ฮอนดา้ และฮุนได ไดม้ กี ารลงทนุ วจิ ัยในเทคโนโลยีที่ ใชไ้ ฮโดรเจนเป็นพลังงานอยา่ งตอ่ เน่ือง 5. พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ิภพ (Magma Power) พลงั งานจากความรอ้ นทอี่ ยลู่ กึ ใต้พ้นื พิภพ สามารถผลติ ไอนา้ เพือ่ ใชห้ มุนกงั หนั และผลติ กระแสไฟฟ้าได้ โดย พลังงานความรอ้ นใต้พิภพ 10,700 เมกะวตั ต์ ถกู สร้างขนึ้ ทว่ั โลกในปี 2010 โดยมไี อซ์แลนด์ ฟิลปิ ปินสแ์ ละ เอลซลั วาดอร์ได้นาแนวคดิ นี้ไปปฏบิ ัติแลว้ แนวคดิ พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ิภพเร่มิ ไดร้ บั ความสนใจในปี 2008 จากการคน้ พบดว้ ยความบังเอิญจาก โครงการขดุ เจาะ IDDP1 ของไอซ์แลนด์ และภายหลงั ได้รับการปรับปรุงเป็นระบบแรกทใ่ี ห้ความร้อนโดยตรง จากแมกมาหลอมเหลว สามารถสร้างพลงั งานไฟฟ้าได้ 36 เมกะวัตต์ 6. พลงั งานจากกากนิวเคลยี ร์ (Nuclear Waste Power) อะตอมยเู รเนยี มเพียงห้าเปอรเ์ ซน็ ต์เท่านัน้ ทถ่ี ูกนาไปใช้ในปฏกิ ิรยิ านวิ เคลยี รฟ์ ิชชัน ส่วนทเี่ หลือจะถูกเก็บเพม่ิ เข้าไปยงั คลงั ขยะนวิ เคลยี ร์ มกี ากของเสียจากกัมมนั ตรังสกี วา่ 77,000 ตัน ทถ่ี กู เกบ็ สะสมจากโรงไฟฟา้ นวิ เคลียรข์ องอเมริกา ในขณะทเี่ ครอื่ งปฏกิ รณ์เรว็ ซ่งึ เป็นเครอื่ งปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขัน้ สงู ที่ไดร้ ับการพัฒนาขึน้
ใหม่ มีประสทิ ธิภาพที่สูงขนึ้ กวา่ เครอ่ื งปฏกิ รณ์แบบเดิม และสามารถแก้ปญั หานไี้ ด้ในอนาคตขา้ งหน้า ซ่งึ จะทา ใหก้ ารใชย้ ูเรเนียมที่มีอยู่เดมิ มปี ระสทิ ธภิ าพมากข้ึน สามารถใช้พลงั งานจากแรย่ เู รเนยี มได้ถึง 95% ของ เชือ้ เพลิงพลังงานนิวเคลยี ร์ท่ีผลิตได้ จากแนวคิดท่ตี อ้ งการนากากนวิ เคลยี ร์ทีม่ ีเก็บไวป้ รมิ าณมหาศาลมาใช้ผลิตพลังงานทางเลือก ทาให้ทาง ฮิตาชิ ได้ออกแบบเครอื่ งปฏกิ รณเ์ รว็ Gen-IV ทีเ่ รียกว่า PRISM ซง่ึ เป็นโมดูลเคร่อื งปฏิกรณ์นวตั กรรมพลงั งานขนาด เล็ก ท่ีสามารถเปลี่ยนกากนวิ เคลียร์ให้กลายเป็นพลังงานได้ และยงั ช่วยทาให้ Half Life ของกัมมันตภาพรงั สี (ระยะเวลาทสี่ ารสลายตวั ไปจนเหลือเพยี งคร่ึงหน่ึงของปรมิ าณเดมิ ) เหลือเพียง 30 ปแี ทนที่จะเปน็ พันปดี ว้ ย 7. พลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดต้ังไดใ้ นทุกพื้นผวิ (Embeddable Solar Power) เทคโนโลยที ่ีสามารถฝงั หรอื เคลอื บเซลล์แสงอาทิตย์ลงบนพ้ืนผิวของวตั ถุต่างๆ ในลักษณะทีโ่ ปรง่ แสงไม่ สามารถมองเหน็ ได้ แต่สามารถรบั แสงอาทิตย์และแปลงเป็นพลงั งานไฟฟ้าได้ แนวคิดน้ี ปัจจบุ นั ถูกพัฒนาอย่าง รวดเร็ว โดยคาดว่าจะสามารถนามาเคลือบบนพ้ืนผวิ ของอุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ เช่น หน้าจอคอมพวิ เตอร์ สมารท์ โฟน หรือพัฒนาเพ่มิ เติมสาหรับการใชง้ านในรูปแบบอืน่ ๆ อาทิ เคลอื บบนหน้าตา่ ง หรือกระจกของ อาคาร เพอ่ื เปน็ แหลง่ ผลิตไฟฟา้ ใหแ้ ก่อาคาร เปน็ ต้น 8. พลงั งานชีวภาพจากสาหรา่ ย (Algae Power) สาหร่ายถอื เป็นแหลง่ พลงั งานที่น่าประหลาดใจมาก เพราะมันอดุ มไปนา้ มัน ท่ีสามารถดดั แปลงพันธกุ รรมเพอื่ ผลติ เป็นเช้ือเพลงิ ชวี ภาพได้โดยตรง แม้น้าเสียจะเปน็ อปุ สรรคต่อการเจริญเติบโตของพืช แตม่ ันกลับมี ประสทิ ธิภาพสงู ในการปลกู พืชชนิดน้ี โดยในพื้นที่ขนาดหนง่ึ เอเคอร์ สามารถให้ผลผลติ ได้สูงถงึ 9,000 แกลลอน ดงั นนั้ เชือ้ เพลิงจากสาหรา่ ยจึงถือเปน็ เชือ้ เพลิงชีวภาพที่สามารถปลูกและสรา้ งข้นึ ได้ Alabama สามารถสรา้ งระบบเชอื้ เพลิงชีวภาพจากสาหร่ายได้เป็นแห่งแรกของโลก โดยใช้เครอ่ื งปฏิกรณ์ ชีวภาพแบบลอยตวั โดยการปลูกสาหร่ายยังชว่ ยบาบดั น้าเสียจากเทศบาล และหลงั จากการเกบ็ เกี่ยวแลว้ นา้ สะอาดท่ีไดจ้ ากการบาบดั จะถูกปลอ่ ยลงสู่แหลง่ นา้ ธรรมชาติตอ่ ไป 9. กงั หันลมแบบลอยบนอากาศ (Flying Wind Power) ฟาร์มกงั หนั ลมตามแนวคดิ นีจ้ ะเปน็ กงั หนั ลมที่ตดิ ตัง้ ลอยตัวอยสู่ ูงในระดบั เดียวกบั ตึกระฟา้ หรอื อยู่สงู เหนือ ระดับพน้ื ดินท่ี 1,000 – 2,000 ฟตุ เพ่อื รบั ความแรงลมท่แี รงกวา่ หา้ ถงึ แปดเท่าของระดับความแรงลมแบบ ติดตงั้ แบบทาวเวอร์ และกงั หนั เหล่าน้ีจะผลิตพลงั งานได้สองเทา่ เม่ือเทียบกบั กังหันลมขนาดใกลเ้ คียงกันท่ตี งั้ แบบทาวเวอร์ โดย Altaeros Energie ไดพ้ ฒั นากงั หนั ลมแบบลอยบนอากาศในเชงิ พาณิชยเ์ ครือ่ งแรก ทเ่ี รียกว่า Buoyant Air Turbine หรือ BAT ซ่งึ เปน็ เซลล์พองลมแบบกลมยาว 35 ฟตุ ที่ทาจากผ้าท่ีมีความแขง็ แรงสูง โดย BAT มี กาลงั การผลติ 30 กิโลวัตต์
10. พลังงานฟิวชั่น (Fusion Power) ฟิวชั่น เปน็ กระบวนการเดยี วกนั กบั การเกิดข้นึ ของดวงอาทิตย์ และมีศักยภาพท่ีสามารถผลิตพลังงานได้แบบ ไม่มีท่ีสิ้นสดุ อกี ทง้ั ไม่ปลอ่ ยมลพิษ หรอื ก๊าซเรอื นกระจก และไม่มีการคุกคามจากการหลอมละลายแบบ นวิ เคลียร์ ซงึ่ แตกตา่ งจากเครอื่ งปฏกิ รณ์นวิ เคลียรฟ์ ชิ ช่ันในปจั จุบัน ฟวิ ชั่นทางานโดยการหลอมรวมไอโซโทป ไฮโดรเจนสองอัน คอื ดิวทเี รียมและทรเิ ทียมซึ่งมีอยู่มากมาย ใบงานท่ี 3 สาระความรู้พืน้ ฐาน วิชาการใช้พลังงานไฟฟา้ ในชวี ติ ประจาวนั (พว32023) ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ********************************************************************************** ชอ่ื -สกลุ ...............................................................รหสั นกั ศกึ ษา.................................................................... คาช้แี จง ให้ผู้เรียนตอบคาถามต่อไปนี้ 1. พลังงานลมจดั เป็นพลงั งานทดแทนประเภทใด (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................. 2. ปัจจบุ นั มีการนาพลังงานลมมาใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. . 3. หลกั การผลติ กระแสไฟฟ้าดว้ ยพลงั งานน้า มหี ลกั การอยา่ งไร (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................... 4. การถนอมอาหารโดยการตากแห้งเปน็ การใช้ประโยชนจ์ ากพลังงานใด (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................. 5. ชีวมวล หมายถึง (2 คะแนน) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
บนั ทึกหลงั การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ คร้ังที่ ……… วันท่ี …………. เดือน …………………………………..……….. พ.ศ. …………….. ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ จานวนนกั ศึกษา ทง้ั หมด....................คน ชาย................คน หญิง..................คน จานวนนกั ศึกษาท่ีเขา้ เรียน ทงั้ หมด....................คน ชาย................คน หญงิ ..................คน จานวนนกั ศึกษาที่ขาดเรยี น ทั้งหมด....................คน ชาย................คน หญงิ ..................คน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................... สภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ปัญหาทีพ่ บและการแกไ้ ขปัญหา ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ การดาเนินการแก้ไข/พฒั นา ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นผูน้ ิเทศ ……………………………………………………………………………………………………………………………….……….………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… (ลงชือ่ ) ................................................... (ลงชอื่ ) ................................................... ผ้นู ิเทศ (........................................) (........................................) ………….. /….……… /…….…… ………….. /….……… /…….…… (ลงชื่อ) ………………………………..…………............. ผอ.กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี (นายศักดชิ์ ัย นาคเอีย่ ม) ………….. /….……… /…….……
บรรณานกุ รม ทม่ี า : มัลลกิ า ปัญญาคะโป.เอกสารประกอบวิชาวทิ ยาศาสตร์สง่ิ แวดลอ้ ม “ของเสยี อันตราย”คณะ วิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.2542. ทม่ี า : ทีมงานทรูปลกู ปญั ญา ที่มา : sites.google.com/site/occupationteacherji2017/bth-thi- 4?tmpl=%2Fsystem%2Fapp%2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1
คณะผู้จดั ทา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบูรณาการ ตามรูปแบบ ONIE MODEL หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนท่ี .......... ปกี ารศึกษา ................... ที่ปรึกษา ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี นายศักด์ชิ ัย นาคเอย่ี ม ครพู เ่ี ลีย้ ง จนั ทนะ ครูชานาญการ นางสาวชมพู คณะผจู้ ัดทา 1. ครูอาสาสมัครการศกึ ษานอกโรงเรียน กศน.อาเภอเมืองกาญจนบุรี 2. ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี 3. ครู ศรช. กศน.อาเภอเมอื งกาญจนบรุ ี
Search
Read the Text Version
- 1 - 37
Pages: