Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติชนชาติพันธ์ชาวไทใหญ่

ประวัติชนชาติพันธ์ชาวไทใหญ่

Published by Pringprao Supamas, 2021-06-24 07:30:24

Description: ประวัติชนชาติพันธ์ชาวไทใหญ่

Search

Read the Text Version

นางสาวศภุ มาศ บุญทวี รหสั นักศกึ ษา 3015611001 ประวัติชนชาติพนั ธช์ าวไทใหญ่ ชาวไทใหญ่ หรือ ฉาน หรือ ฌาน เป็นกลุ่มชาวไทใหญ่กลุ่มหนึ่งที่อยู่ในเขตพม่า ตอนใต้ของจีน และ ภาคเหนือของประเทศไทย บางท่านวา่ คำว่า ฉาน คอื ที่มาของคำวา่ สยาม ในพมา่ มรี ฐั ใหญข่ องชาวไทใหญ่ ชื่อ รัฐ ฉาน( SHAN STATE) ชาวไทใหญ่ในพม่า บางกลุ่มต้องการอสิ ระจากการปกครองของรัฐบาลพม่า จึงจับอาวุธขึน้ ต่อสู้ ด้วยความไมส่ งบในพม่าทำให้ชาวไทใหญอ่ พยพเขา้ มาส่ปู ระเทศไทย โดยเฉพาะในระยะหลงั เข้ามาทางอำเภอ ปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน และอำเภอฝางจังหวัดเชยี งใหม่ แต่รัฐยังไม่มีนโยบายท่ีชัดเจนกับประชากรเหล่าน้ี คอื ไม่มกี ารกำหนดใหไ้ ทใหญก่ ลมุ่ น้ีเปน็ ชนกลมุ่ น้อยกลมุ่ หนงึ่ ในประเทศไทย และไม่ยอมรบั ใหค้ นกลุม่ น้ีเป็นชาวไท ใหญ่ รวมทั้งไม่ยอมรับว่า กลุ่มไทใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยจากรัฐไทใหญ่ที่ต้องช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม เพื่อรอการ ส่งกลับประเทศเมือ่ ในประเทศมคี วามปลอดภัย เมื่อรัฐไม่จดั พืน้ ทีพ่ ักพิงชัว่ คราวไว้รองรับทีช่ ายแดน ทำให้ชาวไท ใหญจ่ ำนวนมากทะลักเข้าสู่ตวั เมอื งด้านใน คำว่า “ ไทใหญ่ “ เป็นชอื่ ท่ีชาวไทใหญ่คุ้นเคยมานาน ควบคกู่ ับคำที่ชาวไทใหญม่ ักขนานนามตนเองว่า “ ไทใหญ่น้อย ” แต่นอกเหนอื จากชาวไทใหญ่ในประเทศไทยแล้วไมม่ ีคน รจู้ กั คำว่า ไทใหญ่ ชาวไทใหญ่เรียกตนเอง วา่ “ ไทใหญ่ ” ( ออกเสยี งว่า ชาวไทใหญ่ ) เช่นเดียว กับชาวไทใหญ่เราเรียกตนเองวา่ “ ไทใหญ่ ” ไทใหญท่ ่เี รียก ตนเองว่า “ ไทใหญ่ “ หรอื “ ชาวไทใหญ่ ” น้นั มมี าก และจะจำแนกกลมุ่ ดว้ ยการเพิม่ คำขยายเช่น ไทใหญด่ ำ ไท ใหญ่แดง ไทใหญ่ขาว ไทใหญ่ใต้ ไทใหญ่เหนือ เป็นต้น ชาวไทใหญ่เรียกตนเองว่า “ ไทใหญ่ “ แต่ชนชาติอื่นจะ เรยี กชอื่ เราว่า เสยี ม เซียมหรอื สยาม เป็นต้น และเรยี กประเทศเราว่าสยาม ชาวไทใหญ่กเ็ ชน่ เดยี วกนั มีชื่อทช่ี นชาติ อื่นเรียกแตกต่างกันไป เช่น พม่าเรียกว่า “ ชาน ” หรือ “ ฉาน “ ซึ่งเป็นต้นเค้าใหช้ าวตะวันตกเรยี กชาวไทใหญ่ ในขณะที่ชาวคะฉิ่น หรือจิ่งโพเรียกว่า “ อะซาม ” ชาวอาชาง ชาวปะหล่อง และชาวว้าเรียกว่า “ เซียม ” คำ ท้ังหมดนม้ี าจากรากเหง้าของคำเดมิ คอื “ สยาม ” สาม หรอื “ ซาม ” ทงั้ สิ้น สว่ นชาวจนี ฮั่นมวี ิธีเรยี กชาวไทใหญ่ ที่แตกต่างออกไป คือ ใช้คำที่แสดงลักษณะของชนชาติ มาขนานนาม เช่น เรียกว่า พวกเสื้อขาว (ป๋ายยี) พวกฟัน ทอง( จินฉอ่ื ) พวกฟันเงนิ (หยินฉ่อื ) พวกฟันดำ (เฮยฉือ่ ) และยงั มี ช่ืออนื่ ๆ เชน่ เหลยี ว หลาว หมางหมาน พวก เยวร่ ้อยเผา่ และหยี เป็นตน้ จนี จะมีการเรยี กชื่อชาวไทใหญเ่ ปลีย่ น แปลงไปตามระยะเวลาทางประวัติศาสตร์ ในกลุ่มของไทใหญก่ ม็ ีชอื่ เรยี กออก เป็นกลุ่มย่อยๆ ไดอ้ ีกหลายกลมุ่ ตามถน่ิ ทอี่ ยู่ เชน่ ชาว ไทใหญ่ที่อาศัย อยู่ในพมา่ มักเรียกชาวไทใหญ่ทีอ่ ยู่ในเขตประเทศจนี ว่าเป็นไทใหญ่แข่หรือไทใหญ่จีน เพราะพวกเขาสามารถพูด ภาษาจีนได้และรับเอาอิทธิพลวัฒนธรรมจีนหลายอย่าง ตั้งแต่ภาษา วิธีการกินอาหารด้วยตะเกียบ การต้ัง

บ้านเรอื นแบบตดิ พ้ืนและขนบธรรมเนียมประเพณี เปน็ ตน้ ในขณะที่ ชาวไทใหญใ่ นจนี มักจะเรียกตนเองว่าเป็นไท ใหญ่เหนือด้วยถือว่าตน อยู่ทางเหนือของแม่น้ำคง (สาขาของแม่น้ำสาละวิน) และจะเรียกชาวไทใหญ่ในพม่า ว่า เป็นไทใหญใ่ ต้ ความแตกต่างระหว่างไทใหญ่เหนอื -ไทใหญใ่ ต้ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างไทใหญ่เหนอื กับไทใหญ่ ใต้นอกจากภาษาและวัฒนธรรมหลายอย่างที่ ได้รับอิทธิพลจากจีนคือเคร่ืองแต่งกาย ของผู้หญิงที่มี ลักษณะแตกต่างในแง่ของสีสัน รูปทรง และความหนาบาง ของเนือ้ ผ้า ชาวไทใหญ่ใตไ้ มน่ ิยมโพกผ้านัก ในขณะทช่ี าวไทใหญ่เหนือโพกผ้าด้วยสีขาวหรือสีดำหรือใช้หมวกทรง กระบอกสดี ำ สงู ราว 4- 6 นว้ิ หากเป็นหญงิ สาวไม่แต่งงานชาวไทใหญเ่ หนือมกั นงุ่ กางเกงสีดำ และถกั ผมคาดรอบ ศีรษะ ประดับด้วยดอกไม้ แต่สาวชาวไทใหญ่มาว หรือไทใหญ่ใต้นุ่งซิ่นไม่คาดผม นอกจากนี้ยังมีวิธีเรียกช่ือ ออกเป็นกลุ่มตามชื่อเมือง เช่น ชาวไทใหญ่เมืองมาวจะถูกเรียกว่าเป็นชาวไทใหญ่มาว หากเป็นเมืองอื่นๆ จะ เรยี กวา่ เปน็ ไทใหญเ่ มอื งวนั ไทใหญ่เมอื งขอน ไทใหญ่เมอื งหล้า เป็นต้น แต่บางเมืองท่ีไม่ใชช่ าวไทใหญ่ แต่กไ็ ด้รบั เรยี กชอื่ วา่ เปน็ ชาวไทใหญด่ ้วยเชน่ เดียวกนั เพราะไดต้ ดิ ต่อกบั ชาว ไทใหญ่มานานจนพูดภาษาไทใหญ่ได้และรบั อิทธิพลพุทธศาสนาเช่นเดียวกับชาวไทใหญ่ เช่น ไทใหญ่เมืองสา ซ่ึง เป็นชาวอาชาง ชาวไทใหญ่จะเรยี กว่า ไทใหญส่ าหรือไทใหญ่ดอย หมายถึง ชาวตะอางหรือเต๋ออา๋ ง เป็นตน้ ชาวจีน ฮ่ันมกั เรยี กชาวไทใหญเ่ หนอื วา่ เปน็ ไทใหญ่นา หรอื ไทใหญบ่ ก ซึง่ จะตรงขา้ มกับไทใหญน่ ้ำ (สุยไต่ ) ซ่ึงหมายถึงชาว ไทใหญใ่ นพม่า ( บางครั้งก็หมายถงึ ชาวไทใหญล่ ื้อด้วย ) และเรียกชาวไทใหญ่เขต หลนิ ซาง ก๋งึ ม้า เมอื งติ่ง ว่าเป็น พวกไทใหญ่ปอ่ ง ในภาคเหนือของพมา่ ยงั มีชาวไทใหญ่คำต่ี ทย่ี งั คงใช้ช้างไถนา สว่ นในรัฐอสั สมั มีชาวไทใหญ่อาหม ไทใหญ่พ่าเก ไทใหญ่คำยงั ไทใหญโ่ นรา ไทใหญ่อายตอน ไทใหญต่ รุ งุ เป็นต้น ชาวไทใหญเ่ หล่าน้ีสามารถจัดอยู่ใน กลุ่มชาวไทใหญ่ ด้วยภาษาและวัฒนธรรม ใกล้เคียงกันมาก ชาวไทใหญ่ส่วนมากทั้งในประเทศพม่า อินเดีย จีน และไทใหญ่นับถือพุทธศาสนามีอักษรเพื่อบันทึกเรื่องราวทางพุทธศาสนาไม่ว่าจะ เป็นคัมภีร์พุทธศาสนาชาดก นิทาน ฯลฯ เรามักเรียกอักษรเหลา่ น้ีวา่ อกั ษรไทใหญ่ แตช่ าวไทใหญม่ ีชอื่ เรียกอกั ษรของเขาเองแตกต่างออกไป คือ หากเป็นอกั ษรไทใหญท่ ่ีใช้ในเขตจังหวดั ใต้คง เป่าซาน หลินซาง และซือเหมา จะเรียกว่า ตัวถวั่ งอก หรือลก่ิ ถัว่ งอก ด้วยรูปร่างของตัวอักษรท่เี ขียนด้วยก้านผักกูดหรอื พกู่ ันจีนมลี ักษณะยาว สูง ในขณะทห่ี ากเปน็ อักษรไทใหญ่ที่ใช้ใน พมา่ จะเรียกว่า ตวั มน หรือ ตัวไทใหญ่ปอ่ ง ดว้ ยมรี ปู รา่ งกลมเช่นอักษรพมา่ อกั ษรไทใหญใ่ หญจ่ ะมีรปู รา่ งต่างกนั ไป อีก กลายเป็น อักษรอาหม อักษรไทใหญ่พ่าเกและอักษรไทใหญ่คำคี่ เป็นต้น แต่ลักษณะพื้นฐานส่วนใหญ่จะ

เหมือนกันคือ มีจำนวนพยัญชนะ และสระใกล้เคียงกัน และไม่มีเครื่องหมายวรรณยุกต์มาแต่เดิม หากมีแต่การ เพม่ิ เตมิ รูปพยัญชนะและวรรณยกุ ต์ภายหลัง พยญั ชนะสว่ นใหญ่มีเพียง 16 – 19 รูป และรปู วรรณยกุ ต์ 4 -5 รูป ถิ่นทอี่ ยู่ปัจจบุ นั ของชาวไทใหญ่ ปจั จบุ นั ชาวไทใหญม่ ีถ่นิ ฐานอยู่ในประเทศต่างๆ หลายประเทศ ไดแ้ ก่ ประเทศพม่า ชาวไทใหญ่อาศัยอยู่ ในเขตรฐั ไทใหญ่ (รฐั ฉานหรือรฐั ชาน) ในภาคเหนือของประเทศพม่า มเี มืองตา่ งๆ ท่ีเป็นเมอื งของชาวไทใหญ่มาแต่ โบราณอนั ไดแ้ ก่ เมอื งแสนหวี สีปอ้ นำ้ คำ หมูเ่ จ เมืองนาย เมอื งปั่น เมืองยองห้วย เมอื งตอ่ งจี เมอื งกาเล เมอื งยาง เมืองมีด และเมืองอื่นๆ อีกมากมาย ในประเทศจีนมีชาว ไทใหญ่จำนวนมากอาศัยอยู่ในเขตภาคตะวันตกเฉยี งใต้ ของมณฑลยนู านอันมีเมืองมาว เมืองวัน เมืองหลา้ เมืองตี เมอื งขอน เจฝาง เมอื งแลง เมอื งฮมึ เมืองยาง เมืองก๋ึง มา้ เมอื งติ่ง เมืองแขง็ หรอื เมอื งแสง เมืองบ่อ หรือ เมอื งเชยี ง หรือเมืองเชยี งกู่ เมืองเมอื ง เป็นต้น ประเทศไทยมีชาวไทใหญ่อพยพเข้ามาทำมาหากินในจังหวัด แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ส่วน ใหญ่เพิง่ อพยพเขา้ มาตง้ั ถ่ินฐานได้ไมม่ ากนกั ประเทศอนิ เดยี ในรฐั อัสสมั มชี าวไทใหญท่ ่ีอพยพจากประเทศพม่าเข้า ไปต้งั รกรากทำมาหากนิ เป็นระยะเวลามากกวา่ 600 ปีขึ้นไป และประเทศลาว ในภาคเหนอื ก็มีชาวไทใหญ่ที่เรียก ตนเองว่าไทใหญ่เหนืออาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง ด้วยเช่นเดียวกนั จะเห็นไดว้ ่าปัจจบุ นั ชาวไทใหญ่มีถน่ิ ท่ีอยูอ่ าศยั กระจาย เปน็ อาณาบริเวณกว้างขวางต้งั แตบ่ รเิ วณรัฐอัสสัมของอินเดียทางตอนเหนือของ พม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ทางเหนือของไทใหญ่และลาว เขตนี้อาจถือได้ว่าเป็นเขตตะเข็บชายแดนของอำนาจรฐั หรืออาณาจักรใหญ่มาแต่ เดิมไมว่ า่ จะเป็น อาณาจักรปยู อาณาจักรจีน อาณาจกั รเวียดนาม อาณาจักรมอญ และแม้ในปจั จบุ นั ก็ยังถือได้ว่า เป็นเมืองชายขอบชายแดนของอินเดีย พม่า จีน และ ลาว ด้วยเหตุที่ว่าเขตนีเ้ ป็นพื้นที่เขตป่าใหญ่เขาสูง ทุ่งราบ แคบและไม่มีทางออกทะเล ชาวไทใหญ่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ตามหุบเขา แต่ละหุบเขามักจะตั้ง ชื่อเป็นชุมชนระดับ หม่บู ้าน หากเปน็ ที่ราบในหุบเขาท่กี วา้ งใหญ่กอ็ าจมีชุมชน ขนาดใหญ่ท่ีกอ่ ตง้ั เปน็ เมอื ง หมู่บ้าน หรือที่ชาวไทใหญ่ เรียกว่า มา่ น หรือ ว่าน ( บ้าน ) มขี นาดตัง้ แต่ 20 หลังคาเรือน และมีขนาดใหญ่จนถงึ ขนาด 700 – 1000 หลังคา เรอื น เมอื งมกั จะตงั้ อยู่ในบรเิ วณท่มี หี มูบ่ า้ นหลายๆหมู่บา้ นอยู่ใกล้ เคยี งกันและด้านหลงั ของเมืองมักจะเป็นเชิงเขา หันหน้าเข้าสู่ทุง่ นา ชีวิตของไทใหญ่ ใหญ่ผูกพันอยู่กับทุ่งนา ปลูกข้าว ปลูกผัก ถั่ว ใบยาสูบ แตงโมและพืชล้มลุก อื่นๆ ชีวิตถูกกำหนดด้วยฤดูกาล ที่จะเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตการทำงาน การประกอบ พิธีกรรม และประเพณีทาง ศาสนาต่างๆ ตลอดปี เมืองไทใหญ่ใหญ่แต่ละเมอื งเดิมมา นั้นมักจะมีต้นเสื้อเมือง อันเป็นต้นไม้ใหญป่ ระจำเมือง อาจอยู่หา่ งเมืองออกไป แตไ่ ม่ไกลนกั ทุกปจี ะมกี ารไหว้เสอื้ เมืองโดยมีเจา้ ฟ้าขุนนางอำมาตย์ตา่ งๆ และ ปูก่ ัง้ ปู่เหง

ปู่สึ่ง และปู่กาบ ของทุกเขตทุกกั้งและทุกหมู่บ้านมาร่วมพิธีหมู่บา้ น ทุกแห่งจะมีเสื้อบ้านและหอเสื้อบา้ นเพ่ือให้ ชาวบา้ นทุกคนมาประกอบพิธีกรรม เพื่อ ความเปน็ สิรมิ งคลของหมู่บา้ น และเพื่อความอยู่ดีกนิ ดี พชื พันธเ์ุ จรญิ งอก งาม ววั ควาย สตั ว์เล้ียงท้ังหลายเตบิ โต ปราศจากโรคภัย จากสภาพทางภูมิศาสตร์ ถิ่นท่ีอยู่ และความเชื่อประเพณี พิธีกรรมที่ได้รับอทิ ธิพลทางพุทธศาสนา และ ความเชื่อเรอื่ งผีสางนางฟา้ ทำให้ชีวติ ของชาวไทใหญ่ดูไมแ่ ตกต่างจากชาว ไทใหญล่ ้ือ ไทใหญ่วนลาว ไทใหญ่ดำ ไท ใหญ่ขาว และไทใหญ่กลุ่มอื่นๆ มากนัก ภูเขาสูง แม่น้ำกว้างใหญ่ เช่น แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขง อัน เป็นแม่น้ำใหญ่สามสายในเขต ชุมชนชาวไทใหญ่ไม่ได้เป็นเครื่องกีดขวางการติดต่อไปมาหาสู่กันระหว่างชาวไท ใหญ่ใหญ่และชาวไทใหญ่กลุ่มอื่น ขณะเดียวกันชาวไทใหญ่ก็ติดต่อกับกลุม่ ชาตพิ นั ธก์ ลุ่ม อื่นๆ ในบริเวณเดียวกนั และในดินแดนทห่ี ่างออกไปดว้ ย ในเขตภูเขาสงู มักมชี นเผ่า คะฉน่ิ ทช่ี าวไทใหญ่เรยี กวา่ ขาง อาศัยอยู่ ในระดับสูงที่ ไม่สูงมากนักมีพวก อาซาง เต๋ออ๋างและปะหลอ่ ง ที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า ไทใหญ่สา และ ไทใหญ่ดอย( ออกเสียงวา่ ชาวไทใหญ่ลอย หรอื ชาวไทใหญ่หลอย ) นอกจากน้ยี ังมีชาวจีนฮน่ั หรอื ชาวจีนที่อพยพมาอยู่ตามเชิงเขาทำไร่ทำนา ภเู ขา ชาวฮั่นกลุม่ น้ีไมก่ ล้าอาศัยอยู่บนพ้ืนทร่ี าบลุ่มหรอื ในทุง่ นาเหมือนชาวไท ใหญไ่ ทใหญ่ใหญ่สำหรับคนฮ่ันแล้ว ถือวา่ เปน็ เขตไขป้ า่ มาลาเรยี ท่รี ุนแรง มากแมก้ ารเดินผ่านทงุ่ นากลางวัน ก็ยังนบั วา่ เป็นอนั ตรายอยา่ งใหญห่ ลวง ถึง ชวี ิตเลยทีเดยี วฉะนั้นในเขตน้ี ชาวฮ่นั ส่วนมากจงึ อาศัยอยู่แตใ่ นเขตภูเขาเท่านนั้ หลังการปฏวิ ัติในประเทศจีน เรม่ิ มี ชาวคะฉ่นิ อพยพลงมาอยูใ่ นทรี่ าบและทำนากนั มากขึ้น ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ชาวไทใหญ่มีการติดต่อสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากมาย ทำให้เกิด การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในเชิงของการเปน็ ผู้ให้ และในขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้รับด้วย วัฒนธรรมไทใหญ่แมจ้ ะดู เหมือนวา่ เป็นวฒั นธรรมของคนใน หบุ เขาหา่ งไกล ดเู หมอื นว่าอยู่กันโดดเด่ียว แตแ่ ทจ้ ริงแล้ว ได้ติดต่อสัมพันธ์กับ ชนตา่ งกล่มุ มาโดยตลอด ไมว่ ่าจะเป็นชนกลุ่มใหญ่กล่มุ นอ้ ยท่ีมอี ำนาจรัฐ กอ่ ร่างสรา้ งเปน็ อาณาจกั ร เช่น ปยู ( ผิ่ว หรือ เผี่ยว ) พม่า (ไทใหญ่ใหญเ่ รียกพม่าว่า ม่าน )ป่าย หยี ฮั่น ( ชาวไทใหญ่เรียกชาวจีนฮัน่ ว่า เข่หรือแข่ ) และ การรับเอาวฒั นธรรมอนิ เดยี และจนี ผ่านอาณาจกั รใหญ่ ตลอดจนการตดิ ต่อสัมพนั ธ์กับชนกลุ่มน้อยอืน่ ๆ ในรูปของ การติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าเครื่องใช้จำเปน็ อาหารการ กินและอื่นๆ เป็นต้นกลุ่มไทใหญ่นับเป็นกลุ่มชาตพิ ันธ์ทุ ีม่ ี จำนวนมากเป็นที่สองรอง จากชาวพม่าเขตบริเวณที่อยู่อาศัยได้แก่ทีร่ าบสูงฉาน ( Shan Plateau) จากหลักฐาน ต่างๆ ที่นักประวัติศาสตร์ได้พบค้นพบ เชื่อว่าชาวไทใหญ่อพยพมาจากบริเวณ ตอนใต้ของประเทศจีนในปัจจบุ นั เมื่อประมาณศตวรรณที่ 7 โดยบางกลุ่มก็อาศัย อยู่ในบริเวณที่ราบร่วมกับชาวพม่าและ ชาวมอญ ในขณะที่บาง พวกแยกตัวขึ้นไป อยู่ในบริเวณที่ราบสูงและได้แบ่งแยกดินแดนออกเป็น 33 แคว้น แต่ละแคว้นมี เจ้าฟ้า ( Sawbwa ) ปกครองโดยการสืบสนั ตตวิ งศ์ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐฉานกับราชสำนกั พม่าเป็นไปอย่างหลวมๆบาง ยคุ สมยั อาณาจกั รไทใหญ่กจ็ ะแยก ตัวเปน็ อิสระ แต่ในบางยคุ เมือ่ พมา่ มีความเขม้ แขง็ ก็จะผนวกรัฐฉานเขา้ มาอยู่ใน อำนาจ แต่ราชสำนักก็จะปล่อยให้บรรดาเจ้าฟ้าปกครองแว่นแคว้นของตนเอง และจะส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มา

ประจำราชสำนักของรัฐฉาน เพื่อทำหน้าที่ท่ีปรึกษา พร้อมกับการส่งนายพล ซึ่งควบคุมกองทัพทหารพม่าจำนวน หนึ่งมาประจำการที่เมืองนาย ( Mongnai) เพื่อทำหน้าที่ดูแลควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อย และคอย ปราบปรามเจ้าฟ้าทย่ี ัง ทา้ ทายอำนาจ ชาวไทใหญใ่ นจังหวดั แม่ฮ่องสอน (คณะอนกุ รรมการวัฒนธรรมจงั หวัดแมฮ่ ่องสอน มปป. : 19-20) นับเป็นเวลานานถึง 150 ปมี าแล้วที่ “ ชาวไทใหญ่ ” ได้เขา้ มาอาศยั อยู่ในทอ้ งถ่ินจังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน จาก หลักฐานการบอกเล่าของ “ จเร ” คือ ผู้เรียนรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่ ชาวไทใหญ่จากประวัติแม่ฮ่องสอนและจาก การศกึ ษาประวัตคิ วามเป็นมาของเมือง แมฮ่ ่องสอนได้บง่ บอกใหท้ ราบวา่ “ ชาวไทใหญ่ ” ทเี่ ข้ามาอาศัยอยใู่ นเมอื ง แมฮ่ ่องสอนน้ันเป็นชาวไทใหญท่ อ่ี พยพมาจากดินแดน ทางทศิ ตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศพมา่ ท่เี รยี กกันวา่ “ รฐั ฉาน ” แถบเมืองหมอกใหม่ เมอื งนาย เมอื งลานเคอ และเมืองอื่นๆ แถบลุม่ แมน่ ้ำสาละวนิ เข้ามาอาศยั ในจังหวัด แม่ฮ่องสอนเมื่อราว พ.ศ. 2374 ซึ่งตรงกับสมัยรชั กาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยของพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจา้ อย่หู วั ชาวไทใหญ่ได้เข้ามาอาศัยทำไร่ปลูกพืชตามฤดูกาล เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วก็เดินทางกลับเข้าไปใน ดินแดนรฐั ฉานดงั เดิม ทำเชน่ น้จี วบจนราว พ.ศ. 2493 จึงอพยพมาปกั หลกั ต้งั ถ่ินฐาน ทบ่ี ้านปางหมู ตำบลปางหมู อำเภอเมอื ง จงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน ประกอบอาชพี ด้วยการปลกู พชื ทำไร่ ทำนา และใน พ.ศ.2393 เมืองเชียงใหม่ ส่ง เจา้ แก้วเมอื งมาให้มาจบั ช้างป่าฝึกสอนไปเพ่อื ใชง้ าน เจ้าแกว้ เมืองมาไดร้ วบรวมชาวไทใหญ่ทยี่ งั อยู่กระจัดกระจาย ใหม้ าอาศัยอย่รู วม กนั ในบริเวณทีต่ ั้งเป็นเมืองแม่ฮอ่ งสอนปัจจุบัน เม่อื ราวปี พ.ศ. 2417 เจ้าเมืองเชียงใหม่เห็นว่า บ้านแม่ฮ่องสอนและบ้านปางหมูมีคนอาศัยอยู่มากมาย แล้ว สมควรยกฐานะขึ้นเป็นเมืองจึงตั้งเป็นเมือง แม่ฮ่องสอนและตั้งให้ชาวไทใหญ่ นามว่า “ ชานกะเล ” ให้เป็นเจ้าเมืองคนแรกมีบรรดาศักดิ์เป็นพญาสิงหนาท ราชา และมีเจา้ เมอื งต่อมาอกี 3 คน จนเปลย่ี นเป็นระบบการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ มาเปน็ จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน จากระยะเวลาอันนานร้อยกว่าปีท่ีผ่านมา ชาวไทใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็ยังดำรงชีวิตอยู่ โดยยึดเอา วัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนความเชื่อและวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่าง “ ไทใหญ่ ” ตลอดมาและขณะเดียวกันก็ ยังคงมีความผูกพันฉันพี่น้องกับชาวไทใหญ่ที่อาศัย อยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่ามีการติดต่อค้าขาย ไปมาหาสู่ เยี่ยมเยียนกันตลอดมาแมว้ ่าในบางคร้ังจะเกดิ เหตกุ ารณ์ไมส่ งบบ้าง ทางการเมือง ก็ยังคงมกี ารติดต่อกันอยูเ่ สมอ เดิมชาวไทใหญ่ได้อาศัยในรัฐฉานประเทศพม่าและบางส่วนได้อพยพอาศัยอยู่ใน จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากการ ประชมุ สัมมนาที่บา้ นปางหมูเรอ่ื ง “ ชาวไทใหญแ่ ละวฒั นธรรมไทใหญ่ ” จเรคอื ผู้เรียนรูห้ ลายท่านท่ีได้รับเชิญจาก หม่บู า้ นตา่ งๆ ทั้งในจังหวัดแม่ฮอ่ งสอนจากเมอื งไทใหญ่ชายแดนประเทศพม่า และจากเมอื งไทใหญใ่ นรัฐฉานต่างก็

ใหค้ ำยืนยนั วา่ ชาวไทใหญ่นัน้ ใชอ่ ืน่ ไกล หากแตเ่ ปน็ คนไทยเช่นเดียวกับคนไทยท่ีอาศยั อย่ทู างภาคกลางของประเทศ ไทยส่วน อีกกลุ่มหนึ่งลงไปตามน้ำ “ คง ” หรือแม่น้ำสาละวินตั้งหลักแหล่งอยู่ 2 ฝั่งแม่น้ำอยู่ทางทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศพม่า แถบรัฐฉานสร้างวัฒนธรรมของตนเองขึ้นมาใหม่มีความเหมือนหรือ คล้ายคลึงกับศิลป วัฒนธรรมพม่า และก็แตกต่างไปจากวัฒนธรรมอื่นๆ ในภาคเหนือที่มีศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณแี บบลา้ นนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook