การบรหิ ารจัดการหลกั สตู รและสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ทเี่ นน้ ผูเ้ รยี นเปน็ สาคัญ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ชูชาติ พ่วงสมจิตร์ แขนงวิชาบรหิ ารการศึกษา สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช
กรอบการนาเสนอ การจัดการเรยี นรู้ทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั การบริหารจัดการหลักสตู ร 1. ความหมายของการจัดการเรียนรทู้ เ่ี น้นผู้เรยี น เปน็ สาคัญ 1. ความหมายของการบรหิ ารหลกั สตู ร 2. หลกั ในการบริหารหลกั สตู ร 2. ตวั บ่งชีก้ ระบวนการเรียนร้ขู องผู้เรียน 3. กระบวนการบรหิ ารหลักสตู ร 3. ตัวบง่ ชกี้ ระบวนการสอนของครู 4. เทคนคิ การจดั การเรยี นรู้ทีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ 3.1 การวางแผนหลักสูตร 5. ประเภทของการจดั การเรยี นการสอนที่เนน้ ผเู้ รยี น 3.2 การนาหลักสูตรไปใช้ 3.3 การประเมนิ หลักสูตร เป็นสาคญั 4. บทบาทของผบู้ ริหารในการบรหิ าร 6. การวดั และประเมินผลผ้เู รยี นตามสภาพจริง หลักสตู ร 7. บทบาทของผ้บู รหิ ารในการส่งเสริมการจัดการ เรยี นรทู้ ่เี นน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคญั
1. การบริหารหลักสตู ร 1.1 ความหมายของการบริหารหลกั สูตร การบริหารหลักสตู ร หมายถงึ กระบวนการจดั กจิ กรรมต่างๆ ทน่ี าหลกั สูตรไปใชใ้ หเ้กดิ ประโยชนส์ ูงสุดแก่ผูเ้รยี น โดยการบรหิ ารหลกั สูตรประกอบดว้ ย การวางแผนหลกั สูตร การนา หลกั สูตรไปใช้ และการประเมนิ ผลหลกั สูตร 1.2 หลกั ในการบรหิ ารหลักสตู ร 1) หลักแหง่ ประสิทธิภาพ (efficiency) หมายถึง 2) หลักแห่งประสิทธผิ ล (effectiveness)
1.3 กระบวนบริหารหลกั สตู ร ใช้หลัก PIE (Planning, Implementing, Evaluation) การวางแผน หลักสตู ร (Curriculum planning) การประเมิน การนาหลักสูตรไป หลกั สูตร ใช(้ Curriculum (Curriculum implementation) evaluation)
1.3.1. การวางแผนหลักสูตร (Curriculum planning) 1.1 การตรวจสอบความเหมาะสมของหลักสตู ร (ความเหมาะสมกบั สงั คม สิ่งแวดลอ้ ม นโยบาย ฯ) 1.2 การประชาสมั พันธ์หลักสูตร 1.3 การเตรียมงบประมาณ 1.4 การเตรียมความพรอ้ มของบุคลากรท่เี กีย่ วขอ้ งกับการใช้หลักสตู ร(ใชห้ ลกั KASJT: Knowledge, Attitude, Skills, Judgement, Teamwork) 1.5 การเตรียมวัสดุหลกั สูตร (ค่มู อื ครู เอกสารหลกั สตู ร แผนการสอน แบบเรียน สอื่ การสอน ฯลฯ) 1.6 การเตรยี มอาคารสถานท่ี (ห้องเรยี น หอ้ งกจิ กรรม สนามกีฬา สง่ิ แวดล้อมอื่นๆ) 1.7 การเตรียมระบบบรหิ ารของสถานศกึ ษา 1.8 การฝึกอบรมเชิงปฏิบตั ิการให้กับผสู้ อน 1.9 การประเมนิ ความพร้อมกอ่ นนาหลกั สตู รไปใช้
1.3.2. การนาหลกั สูตรไปใช้ (Curriculum Implementation) การนาหลกั สูตรไปใช้เป็นกระบวนการนาหลักสูตรใดหลักสตู รหน่ึงทส่ี ร้างเสร็จเรยี บร้อยแลว้ ไปใช้ในสถานศกึ ษา โดยมขี น้ั ตอนสาคัญ ดงั น้ี 1. การศกึ ษาทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสตู รให้กระจา่ ง 2. การเตรยี มความพรอ้ มของบคุ ลากร (โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คอื ครูผสู้ อน) 3. การจัดครเู ข้าสอน (ตรงกับความรคู้ วามสามารถ ความสนใจ ความถนัดและประสบการณ)์ 4. การใหบ้ ริการและสนบั สนนุ การสอนของครู (จัดหาเอกสารหลกั สตู ร เอกสารประกอบ หลักสูตร งบประมาณ วัสดอุ ปุ กรณ์ สือ่ การเรียนการสอน การจดั สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศที่เอื้อต่อ การเรียนการสอน) 5. การนเิ ทศติดตามและประเมินผลการใช้หลกั สูตรอย่างสมา่ เสมอ (ใชเ้ ทคนิควิธีและเครือ่ งมอื ที่ เหมาะสมเพื่อปรบั ปรงุ การเรียนการสอน) 6. ใหข้ วัญและกาลงั ใจแก่ครแู ละบคุ ลากร
ปจั จยั ท่สี ง่ เสรมิ การนาหลกั สูตรไปใช้ 1. การเตรียมความพร้อมของผสู้ อน 2. การเตรยี มความพร้อมของบุคลากรและผ้ทู เี่ ก่ยี วข้องกับการใชห้ ลกั สตู ร (บคุ ลากรอ่ืนในสถานศึกษา ชุมชน ท้องถ่นิ ผู้ปกครอง องค์กรในชุมขน ฯ) 3. การแปลงหลกั สตู รสกู่ ารเรยี นการสอน (วิเคราะหห์ ลักสูตร, พัฒนาวัสดุ หลักสูตร, ตรวจสอบความพรอ้ มของทรัพยากร, จดั ตารางสอนและเตรยี มความ พรอ้ มสิ่งตา่ งๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การสอน) 4. การทาแผนการสอน 5. การส่งเสริมสภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนรู้
ปจั จยั ท่ที าใหก้ ารนาหลกั สูตรไปใชป้ ระสบความสาเรจ็ 1) ปจั จยั ดา้ นผูเ้รยี น (สตปิ ญั ญา, พฒั นาการทางสมอง, ทศั นคต,ิ ภมู หิ ลงั ทางการเรยี น, ภูมหิ ลงั ทางเศรษฐกจิ , ความถนดั , ความสนใจฯ) 2) ปจั จยั ดา้ นผูบ้ รหิ าร (เป็นผูน้ าดา้ นวชิ าการ ใหค้ วามสาคญั กบั การบรหิ ารหลกั สูตร อานวยความ สะดวก นเิ ทศตดิ ตาม ใหข้ วญั กาลงั ใจฯ) 3) ปจั จยั ดา้ นผูส้ อน (ความรู้ ประสบการณ์ ทกั ษะ เจตคติ การทางานร่วมกบั ผูอ้ ่นื ฯ) 4) ปจั จยั ดา้ นเน้อื หาวชิ า (ความยาก ความซบั ซอ้ น ความใกลเ้คยี งกบั เน้อื หาเดมิ เวลาทใ่ี ชใ้ นการ จดั การเรยี นการสอนเหมาะสมกบั เน้อื หา รวมถงึ ความสะดวกในการจดั กจิ กรรมและการมสี อ่ื การสอนท่ี เหมาะสม เพยี งพอ) 5) ปจั จยั ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม (บรรยากาศของโรงเรยี น, การไวว้ างใจกนั , การไดร้ บั การสนบั สนุนจาก ชมุ ชน, วฒั นธรรมการทางาน เป็นตน้ )
1.3.3 การประเมินหลักสูตร (Curriculum evaluation) การประเมนิ หลกั สูตร เป็นการ การหาคาตอบวา่ หลกั สตู รสัมฤทธิ์ผลตามทก่ี าหนดไวใ้ นจดุ ประสงค์ ของหลกั สูตรมากน้อยเพยี งใด โดยมขี อบเขตของ การประเมนิ คอื การวิเคราะหต์ ัวหลักสูตร การวเิ คราะห์ กระบวนการของการนาหลักสตู รไปใช้ การวิเคราะห์สมั ฤทธิ์ผลในการเรยี นของผเู้ รียน และการวิเคราะห์ โครงการประเมินหลักสตู ร (สมุ ิตร คุณากร, 2523, น.198) การประเมินหลักสตู ร 3 ระยะ ระยะที่ 1 การประเมินหลกั สตู รกอ่ นนาหลักสูตรไปใช้ (Project Analysis) - การประเมินตรวจสอบคณุ ภาพของหลกั สูตรฉบับรา่ ง และองค์ประกอบตา่ งๆ ของ หลกั สูตร ประเมินโดยผเู้ ชีย่ วชาญทางดา้ นพฒั นาหลักสูตร ดา้ นเนอื้ หาวิชาชีพครู - การประเมินหลักสูตรในขั้นการทดลองใช้ เพือ่ ปรับปรุงสว่ นทีข่ าดตกบกพร่องและเป็น ปญั หา ใหม้ ีความสมบูรณ์เพื่อประสิทธิภาพในการนาไปใชต้ อ่ ไป
ระยะที่ 2 คอื การประเมินหลกั สตู รระหวา่ งการดาเนินการใชห้ ลักสตู ร (Formative Evaluation) เพื่อตรวจสอบประเมินวา่ หลักสูตรสามารถนาไปใช้ไดด้ เี พยี งใด หรือบกพร่องในจุดไหน เพ่ือจะได้แก้ไข ปรับปรุงให้เหมาะสม ส่ิงท่ีควรประเมิน คอื - กระบวนการใชห้ ลกั สูตร - การบรหิ ารจดั การหลกั สตู ร - การจดั การเรยี นการสอน - การนเิ ทศกากับดแู ล ระยะที่ 3 การประเมินหลกั สตู รหลงั การใช้หลกั สตู ร (Summative Evaluation) เปน็ การประเมนิ หลกั สูตรท้งั ระบบ ซ่งึ ไดแ้ ก่ - เอกสารหลกั สตู ร - วสั ดหุ ลักสตู ร - บุคลากรที่เกีย่ วกบั การใชห้ ลักสูตร - การบริหารหลักสตู ร - การนิเทศกากับตดิ ตาม - การจดั กระบวนการเรยี นการสอน เปา้ หมาย เพ่ือสรปุ ผลตัดสนิ วา่ หลกั สตู รทจ่ี ดั ทาขึ้นนัน้ ควรดาเนนิ การใช้ต่อไป หรือควรปรับปรุงใหด้ ีขึน้ หรือควรจะยกเลกิ
2.4 บทบาทของผบู้ รหิ ารในการบริหารหลักสตู ร 1. ศึกษาขอ้ มลู รายละเอียดเก่ียวกับหลักสูตร 2. แปลงหลกั การและจดุ หมายของหลักสตู รออกเป็นแนวปฏบิ ตั ิ 3. สร้างความเขา้ ใจกบั ครเู ก่ียวกบั หลักสตู ร 4. สนับสนุนการใช้หลกั สตู ร 5. กากับการใชห้ ลักสตู ร 6. ประเมินการใช้หลกั สตู ร
2. การจัดการเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั 2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้ทเ่ี น้นผู้เรียนเป็นสาคญั การจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ ผ้เู รียนเปน็ สาคัญ คือแนวการจัดการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ให้ ผ้เู รียนสรา้ งความรู้ใหม่และส่งิ ประดิษฐ์ใหม่โดยการใช้กระบวนการทางปญั ญา(กระบวนการ คดิ ) กระบวนการทางสงั คม (กระบวนการกลุ่ม) และใหผ้ ูเ้ รียนมปี ฏิสมั พนั ธ์และมีสว่ นรว่ มใน การเรียนสามารถนาความรไู้ ปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ โดยผสู้ อนมีบทบาทเปน็ ผูอ้ านวยความสะดวกจัด ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ใหผ้ ู้เรยี น การจดั การเรียนการสอนท่เี นน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญต้องจดั ให้ สอดคลอ้ งกบั ความสนใจ ความสามารถและความถนดั เน้นการบูรณาการความร้ใู นศาสตร์ สาขาต่างๆ ใช้หลากหลายวธิ ีการสอน หลากหลายแหลง่ ความรู้ สามารถพัฒนาปญั ญาอยา่ ง หลากหลายคือ พหปุ ัญญา รวมทงั้ เนน้ การวัดผลอยา่ งหลากหลายวิธี (พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต,์ 2550)
สรา้ งความรู้ หลากหลายวชิ าการ (บูรณาการ) กระบวนการ หลากหลายปญั ญา (พหปุ ญั ญา) นาความรู ้ การจดั การเรยี นรูท้ ่ี ทางปญั ญา หลากหลายวธิ สี อน (กระบวน หลากหลายวธิ วี ดั และประเมนิ ผล ไปใช้ เนน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคญั การคิด) หลากหลายแหลง่ ความรู้ หลากหลายความสนใจ ( Child - centered ความสามารถ / ความถนดั instruction ) กระบวนการ มปี ฏสิ มั พนั ธ์ ทางสงั คม ( กระบวน มีสว่ นร่วม การกลมุ่ ) ในการเรยี น แผนภาพ การจดั การเรยี นการสอนท่เี นน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคญั 17 (ปรบั จาก พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต,์ 2553) ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์
ปิระมดิ แห่งการเรยี นรู้ (Learning Pyramid)
2.2 ตัวบ่งช้ีกระบวนการเรยี นรูข้ องผเู้ รียน 1. นักเรียนมีประสบการณต์ รงสัมพันธก์ บั ธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ มและ เทคโนโลยี 2. นกั เรยี นฝกึ ปฏิบตั ิและทากจิ กรรมหลากหลายจนคน้ พบความถนัด และวธิ กี ารของตนเอง 3. นกั เรยี นเห็นแบบอย่างทด่ี ี และ ฝกึ เผชิญสถานการณจ์ นเกดิ จติ สานกึ และคณุ ธรรม 4. นักเรียนฝึกคิดหลายวธิ ี สรา้ งสรรค์จนิ ตนาการและแสดงออกได้อย่าง ชัดเจนมเี หตผุ ล
2.2 ตัวบ่งชกี้ ระบวนการเรียนร้ขู องผู้เรยี น (ต่อ) 5. นกั เรียนได้รบั การเสริมแรงใหท้ ดลองวิธีการแกป้ ัญหาทงั้ ด้วยตนเอง และแลกเปล่ยี นเรียนรู้จากกลมุ่ 6. นกั เรยี นได้ฝึกค้นคว้ารวบรวมขอ้ มูลและสรา้ งสรรคค์ วามรจู้ ากแหล่ง วทิ ยาการในโรงเรยี นและชมุ ชน 7. นกั เรยี นสนใจใฝ่รมู้ ีสว่ นรว่ มในการเรียนอยา่ งมีความสขุ
2.2 ตวั บ่งชก้ี ระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รียน (ตอ่ ) 8. นักเรียนฝึกระเบียบวินัยและรบั ผิดชอบในการทางานจนสาเรจ็ 9. นักเรยี นฝึกประเมินผลงาน ฝึกประเมนิ และปรบั ปรุงตนเองและ ยอมรบั ผู้อนื่
2.3 ตวั บ่งชกี้ ระบวนการสอนของครู 1. ครเู ตรยี มการสอนท้ังเน้ือหาและวิธีการทีผ่ สมผสานภมู ปิ ัญญาไทยและ ความรสู้ ากล 2. ครจู ดั สิง่ แวดล้อมและบรรยากาศทปี่ ลกุ เรา้ จูงใจและเสริมแรงให้นักเรียน เกิดการเรียนรูเ้ ตม็ ตามศักยภาพ 3. ครเู ขา้ ใจและเอาใจใส่นกั เรยี นเปน็ รายบคุ คลและแสดงความเมตตาต่อ นกั เรียนอย่างทว่ั ถงึ
2.3 ตัวบง่ ชกี้ ระบวนการสอนของครู (ตอ่ ) 4. ครจู ัดกจิ กรรมและสถานการณ์ใหน้ กั เรียนไดแ้ สดงออกอย่างสรา้ งสรรค์ 5. ครสู ง่ เสริมใหน้ ักเรียนฝึกคดิ ฝกึ ทา และฝกึ ปรบั ปรงุ ตนเอง 6. ครสู ง่ เสรมิ กจิ กรรมแลกเปล่ียนเรียนรจู้ ากกลุม่ พร้อมทั้งสังเกตสว่ นดีและ ปรับปรงุ สว่ นด้อยของนักเรียน 7. ครใู ช้สอ่ื การสอนเพือ่ ฝกึ การคิด การแก้ปัญหา และค้นพบความรู้
2.3 ตัวบ่งชกี้ ระบวนการสอนของครู (ตอ่ ) 8. ครูใชแ้ หลง่ เรยี นรูท้ ห่ี ลากหลายและเชอ่ื มโยงประสบการณก์ บั ชวี ติ โดยร่วมมอื กบั ชมุ ชน 9. ครูปลูกฝงั ระเบยี บวนิ ยั ค่านิยมและคุณธรรมตามวถิ วี ฒั นธรรมไทย 10. ครูประเมนิ ตนเองอยู่เสมอตลอดจนสงั เกตและประเมนิ พฒั นาการของนกั เรียน อย่างต่อเน่อื ง
ตารางการเปรยี บเทยี บการเรยี นการสอนท่เี นน้ ครูเป็นศูนยก์ ลาง และการเรยี นการสอนท่เี นน้ ผูเ้ รยี นเป็ นศูนยก์ ลาง รายการ การเรียนการสอนทเี่ น้นครู การเรียนการสอนทเี่ น้นผู้เรียน เป็ นศูนย์กลาง เป็ นศูนย์กลาง ผเู้ รียน (child-centered) ผสู้ อน (teacher-centered) เน้ือเรื่อง ไม่ตื่นตวั เป็นผฟู้ ัง ตื่นตวั เป็นผสู้ ร้างความรู้ การวดั และ ผสู้ อน (teacher) ผอู้ านวยความสะดวก (facilitator) การประเมิน เนน้ เรื่องหาความรู้ เนน้ ความรู้คู่กบั กระบวนการเรียนรู้ วดั กระบวนการ วดั พฤติกรรมหรือ วดั ความรู้ ความจาส่วนมาก การปฏิบตั ิและวดั ผลงานซ่ึงเป็นการใช้ ใชแ้ บบทดสอบ การประเมินตามสภาพจริง ทม่ี า: พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต,์ 2553 3ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์
2.4 เทคนคิ การจดั การเรียนรู้ทเี่ นน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคัญ การจัดกิจกรรมท่สี ง่ เสรมิ การจัดกจิ กรรมท่ีส่งเสรมิ ให้ผ้เู รียนทางานร่วมกบั ใหผ้ เู้ รยี นสร้างความร้ดู ้วย คนอ่ืน ตนเอง เทคนิคการจัดการ เรยี นรทู้ ี่เน้นผู้เรยี น เป็นสาคญั การจดั กจิ กรรมทสี่ ง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นนาความรู้ไป ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ัติ ประจาวนั
2.5 ประเภทของการเรยี นการสอนท่ีเน้นผู้เรยี นเป็นสาคญั 2.5.1 การสอนแบบเนน้ กจิ กรรมการเรยี นการสอนเป็นหลกั 1) การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก(PBL: Problem Base Learning) 2) การสอนใหส้ ร้างความรู้ดว้ ยตนเอง (Constructivism) 3) การสอนให้เกดิ ความคิดรวบยอด (Concept Attainment) 4) การเรียนแบบร่วมมอื สอนด้วยการใหท้ างานร่วมกนั (Cooperative Learning) 5) การสอนให้เกดิ การเรยี นรจู้ ากกระบวนการคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) 2.5.2 กาเรียนการสอนแบบเนน้ สื่อ เชน่ บทเรยี นสาเร็จรปู ศูนย์การเรยี น CAI และ e-Learning เป็นตน้
2.6 การวดั และประเมนิ ผลท่เี นน้ ผูเ้ รยี นเป็ นสาคญั ใช้ “การวดั และประเมนิ ผล ตามสภาพจรงิ ” เป็นวธิ กี ารหลกั เทคนิควธิ กี ารประเมินตามสภาพจรงิ ไดแ้ ก่ 1) การสงั เกต ใชเ้ ก็บขอ้ มูลพฤติกรรมดา้ นการใชค้ วามคิด การปฏิบตั ิงาน และ โดยเฉพาะด้านอารมณ์ ความร้สู กึ และลักษณะนิสัยสามารถทาไดท้ ุกเวลา ทกุ สถานที่ทั้ง ในหอ้ งเรียน นอกหอ้ งเรียน หรอื ในสถานการณ์อ่นื นอกโรงเรียน 2) การสัมภาษณ์ ใช้เกบ็ ขอ้ มูลหรอื พฤตกิ รรมด้านความคิด (สติปญั ญา) ความรสู้ กึ กระบวนการขั้นตอนในการทางาน วิธแี ก้ปัญหา ฯลฯ อาจใชป้ ระกอบการสงั เกตเพ่อื ให้ได้ ข้อมูลทมี่ นั่ ใจมากย่ิงขึ้น .
เทคนิควธิ กี ารประเมนิ ตามสภาพจรงิ (ต่อ) 3) การตรวจงาน เป็นการวัดและประเมนิ ผลท่ีเน้นการนาผลการประเมินไปใช้ทนั ทีใน 2 ลกั ษณะ คอื เพ่อื การชว่ ยเหลือนกั เรยี นและเพอ่ื ปรับปรุงการสอนของครู 4) การรายงานตนเอง เป็นการใหน้ ักเรยี นเขยี นบรรยายหรือตอบคาถามสน้ั ๆ หรอื ตอบแบบสอบถามท่คี รูสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนถึงการเรยี นรขู้ องนักเรยี นทั้งความรู้ ความเขา้ ใจ วิธีคดิ วธิ ที างานความพอใจในผลงาน ความตอ้ งการพัฒนาตนเองให้ดียง่ิ ข้นึ
2.7 บทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมการจัดการเรยี นรู้ท่เี น้นผ้เู รียนเปน็ สาคัญ 1) บทบาทด้านการพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษา 2) บทบาทดา้ นการพฒั นากระบวนจัดการเรยี นรู 3) บทบาทด้านการจัดหาแหล่งเรียนรู 4) บทบาทด้านการสง่ เสรมิ การวิจยั ในชนเรยี น 5) บทบาทดา้ นการจดั หาสอื่ การเรียนการสอน 6) บทบาทดา้ นการพฒั นาบคุ ลากร 7) บทบาทด้านการสร้างขวัญกาลังใจ 8) บทบาทด้านการนิเทศ ติดตาม และประเมินผล
สสววสััสดดี ี
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: