วารสารภูมิปญญาท้องถิน ประวัติศาสตร์ ป 2564
สารบญั หนา้ 2 เรอื่ ง 1. ภูมิปญั ญาปลาร้า 7 17 ผู้จัดทา ณัฐธยาน์ ระดมสทุ ธศิ าล, น้าเพชร พรหมเดชไพบูลย์, ปยิ ภทั ร ขนั ทลุ า, พงพิศชนก ทองเดช, หทัยชนก นพเกา้ ห้อง ม.3/3 27 2. พฒั นาการของไดโนเสารภ์ ูเวียง อาเภอภูเวียง จงั หวัดขอนแก่น ผู้จดั ทา ธัญธรณ์ จิรชัยศรี, ธีทัต ลิมปกรณ,์ นนทกร แนววลิ ยั , พงศธร เหลา่ สนิ ชัย, วรรณวีร์ โทรกั ษา, อฎวิ ิศว์ เชอื โพนทอง หอ้ ง ม. 3/3 3. ภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ เฉลวล้านนา ผู้จดั ทา ชชั ชญา สอนเต็ม, ทชิ า ปญั ญาสิทธ์ิ, ทิพย์นาฏ ตรีศิรเิ นตร, ธณญั พรรษ จอดพมิ าย, นนทพฒั น์ เศรษฐ์สมบูรณ์ , ปรานต์ มงิ่ ขวญั , ภูมพิ ฒั น์ วชิ ญชวี นิ ทร์ หอ้ ง ม. 3/3 4. พฒั นาการความเปน็ มาศลิ าจารกึ หลักท่ี 1 ผู้จัดทา จฑุ ารตั น์ ภศู รโี สม, โชติกา ปิติคณุ ชตุ พิ ร, เบญญาภา บตุ รศรภี ูม,ิ ปทดิ า พทุ ธรักษ์, เพชรดา เพิดภูเขยี ว, รริศณ์ศรา บญุ กาญจนารัตน์, รินรดา สิรวิ ัฒนชยกร, สภุ าพร เจนวิถีสขุ หอ้ ง ม. 3/3 รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวตั ิศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขนึ้ เพือ่ การศึกษา 1
ภูมปิ ญั ญาปลาร้า ผจู้ ัดทำ ณัฐธยำน์ ระดมสทุ ธิศำล, นำเพชร พรหมเดชไพบูลย์, ปยิ ภทั ร ขนั ทลุ ำ, พงพศิ ชนก ทองเดช, หทยั ชนก นพเก้ำ ห้อง ม.3/3 1. ประวตั ิความเป็นมา นครรำชสีมำ หรือรู้จักในช่ือ โครำช เป็นจังหวัดท่ีมีพืนที่มำกที่สุดในประเทศไทยและมีประชำกรมำก เปน็ อนั ดบั 2 ของประเทศ อยูใ่ นภำคตะวันออกเฉียงเหนอื โดยมแี หล่งโบรำณคดีบำ้ นโนนวัด คือแหล่งโบรำณท่ี มีหลุมขุดค้นทำงโบรำณคดีท่ีใหญ่ที่สุด (แหล่งโบรำณคดีบ้ำนโนนวัด, 2561: ออนไลน์) เคยเป็นท่ีตังชุมชน เกษตรกรรมโบรำณ อำยุรำว 2,100-1,250 ปี ก่อนประวัติศำสตร์ซ่ึงครอบคลุมตังแต่ยุคสัมฤทธ์ิ ยุคเหล็ก จนถึงยคุ ประวัติศำสตร์ตอนต้น ซง่ึ มปี ระวตั ศิ ำสตรย์ ำวนำนอำยุใกลเ้ คียงกับแหลง่ โบรำณคดีบ้ำนเชียงทีจ่ ังหวัด อุดรธำนี คือประมำณ 4,500 ปี แต่สิ่งท่ีขุดค้นได้จำกแหล่งประวัติศำสตร์บ้ำนโนนวดั มีมำกมำย เช่น หลุมศพ กระดูกมนุษย์ เครื่องประดับ ไหโบรำณ และมีศพมนุษย์โบรำณในหม้อดิน ปัจจุบันมีกำรขุดค้นโครงกระดูก มนุษย์โบรำณมำกกว่ำ 500 โครง และมีกำรค้นพบอย่ำงต่อเนื่องเร่ือย ๆ(สำรสนเทศท้องถ่ินนครรำชสีมำ มหำวทิ ยำลยั เทคโนโลยีสรุ นำรี, 2556: ออนไลน์) โดยพบวสั ดทุ คี่ ลำ้ ยกบั ไหหมักปลำร้ำและซำกปลำรำ้ ที่กลำยเป็นหินฟอสซิลหลงเหลืออยู่ เรำกนิ ปลำร้ำ กันมำแต่โบรำณ ในประเทศไทยอย่ำงช้ำที่สุด ก็ในสมัยสมเด็จพระนำรำยณ์มหำรำชแห่งกรุงศรีอยุธยำ ดัง ปรำกฎในจดหมำยเหตุของลำลูแบร์ (Du Royaume de Siam) มีตอนหนึ่งได้กล่ำวถึงกำรทำปลำร้ำในสยำม แสดงให้เห็นว่ำวัฒนธรรมปลำร้ำัน้นมีมำนำนแล้ว (เทคโนโลยีชำวบ้ำน, 2564: ออนไลน์) จำกหลักฐำนทำง โบรำณคดพี บว่ำกำรทำไหปลำร้ำในพนื ที่ประเทศไทยนันมมี ำแต่ในอดีต (ฐำนข้อมูลเคร่ืองมือเคร่ืองใช้พืนบ้ำน, 2559: ออนไลน์) โดยมีกำรค้นพบหลักฐำนอ้ำงอิงทำงโบรำณคดีคือพบไหปลำร้ำฝังรวมอยู่กับหลุมศพท่ีบ้ำน โนนวัด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครรำชสีมำ โดยมีอำยุกว่ำ 3,000 ปี แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญำในกำรถนอม อำหำรโดยกำรหมักดองในสมัยอดีต (ไหปลำร้ำ, 2564: ออนไลน์) เป็นอำหำรที่แพร่หลำยในเอเชียอำคเนยม์ ี กินกันทุกแห่งในดินแดนที่วัฒนธรรมมอญ-เขมร ได้เคยผ่ำนเข้ำไป เม่ือ 2,000 ปี หรือ 3,000 ปีมำแล้ว โดย พบวสั ดุทคี่ ล้ำยกบั ไหหมักปลำร้ำ และ ยงั มีเศษซำกปล้ำร้ำทกี่ ลำยเป็น หนิ ฟอสซสิ หลงเหลอื อยู่(ประวตั ิของปลำ รำ้ , 2563: ออนไลน์) จำกหลกั ฐำนทำงโบรำณคดีพบวำ่ ปลำร้ำ เปน็ อำหำรของวฒั นธรรมอีสำนที่สืบทอดตอ่ กันมำยำวนำน โดยภำษำอีสำนจะเรยี กว่ำ “ปลำแดก” ซ่ึงถือเป็นเคร่ืองปรงุ รสสำคัญในวัฒนธรรมกำรรับประทำนอำหำรของ ภำคอีสำน โดยเป็นภูมิปัญญำกำรถนอมอำหำรท่ีมีมำตังแต่โบรำณ โดยจะนำปลำสดที่ก็บได้จำกแหล่งนำ ธรรมชำติมำหมักตำมสูตรแบบด่ังเดิม ซ่ึงปลำร้ำท่ีมีคุณภำพต้องไม่มีกล่ินเหม็นเหมือนปลำเน่ำ โดยเมนูอำหำร อีสำนท่ีเป็นสูตรต้นตำหรับ มักมีปลำร้ำเป็นส่วนผสมหลัก อำทิ ส้มตำ แกงค่ัว อ่อม ลำบ รวมถึงเมนูอำหำร อีสำนอื่นๆ อีกมำกมำยกำรถนอมอำหำรรูปแบบนีเรมิ่ ต้นขึนเม่ือไหร่ในดินแดนอุษำคเนย์ โดยเฉพำะในประเท ไทยนันไมม่ ใี ครรูไ้ ด้ เนือ่ งจำกไม่มีหลกั ฐำนทำงโบรำณคดที ่ีไดจ้ ำกกำรขุดคน้ บง่ บอกถงึ ร่องรอยกำรหมกั ดองปลำ หรอื กำรทำปลำรำ้ อย่ำงชัดเจน หลักฐำนท่นี ำ่ จะเก่ียวขอ้ งกับกำรหมักปลำรำ้ ทส่ี ุด อยู่ในสมัยกอ่ นประวัติศำสตร์ 2 ผลงานนักเรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
คือ ร่องรอยของกระดูกปลำช่อน และปลำดุก ที่มักพบว่ำถูกบรรจุอยู่ในภำชนะดินเผำก้นกลมลำยเชือกทำบ หลำยใบ จำกแหลง่ โบรำณคดีโนนวัด อำเภอโนนสูง จงั หวัดนครรำชสีมำชนั วฒั นธรรมที่พบหลกั ฐำนเหล่ำนีอยู่ ในยุคเหล็ก มีอำยุรำว 2,100 – 2,500 ปีมำแล้ว ซ่ึงยุคเหล็กในภำคอีสำนนีมีพัฒนำกำรทำงวัฒนธรรมเชิง วัตถุท่ีสำคัญหลำยอย่ำง คือ มีกำรทำเหล็ก ป้ันภำชนะดินเผำ และต้มเกลือสินเธำวใ์ ช้กันอย่ำงกว้ำงขวำง จำก ข้อมูลแวดล้อมด้ำนวัฒนธรรมนเี อง ท่ีทำใหน้ กั วชิ ำกำรอย่ำง สุจิตต์ วงษเ์ ทศ หรอื ศรศี กั ร วัลลโิ ภดม กเ็ ชื่อว่ำมี กำรหมกั ปลำรำ้ ในภำคอสี ำนตงั แตส่ มัยก่อนประวัติศำสตร์แนน่ อน ข้อเสนอของนักวชิ ำกำรสองท่ำนถกู นำเสนอ อยำ่ งกวำ้ งขวำง และเปน็ ท่ียอมรบั กนั ทว่ั ไปในวงวิชำกำรโบรำณคดี แมจ้ ะไมม่ ีหลักฐำนทำงโบรำณคดที ี่บ่งบอก ถึงร่องรอยกำรหมักปลำร้ำมำยืนยันอยำ่ งชัดเจนก็ตำมนักวชิ ำกำรอำวุโสทังสองท่ำนใช้ตรรกะเหตุผลหลักกำร ของวิชำชำติพันธุ์วรรณนำทำงโบรำณคดี (Ethnoarchaeology) มำสร้ำงข้อสมมติฐำนเรื่องกำรหมักปลำร้ำใน สมัยกอ่ นประวัติศำสตร์ (ควำมจำเปน็ ทีก่ ลำยเป็นรสแห่งวฒั นธรรม, 2556: ออนไลน์) ภาพท่ี 1 ไหปลำร้ำ ท่ีมา: ประวัติชำติพนั ธุ์ปลำร้ำรำ้ (2564) [Online] จำกท่ีกล่ำวมำข้ำงต้น ผู้ศึกษำจึงสนใจศึกษำ ปลำร้ำภำคอีสำน เพรำะเป็นเรื่องที่น่ำสนใจ ใกล้ตัวเรำ พบเห็นไดใ้ นชีวติ ประจำวนั เคยรบั ประทำนบ่อยๆจึงตอ้ งกำรทรำบท่ีมำของปลำรำ้ กระบวนกำรทำปรำรำ้ ในแต่ ละแบบ ขอ้ มูลเพิม่ เตมิ เกี่ยวกบั ปลำรำ้ ทำงผูศ้ กึ ษำคิดวำ่ ในกำรศกึ ษำครงั นีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ทส่ี งสัยหรือผู้ท่ี กำลงั ศกึ ษำเรื่องนอี ยู่ 2.วเิ คราะห์ผล ปลำร้ำเปน็ ภมู ิปัญญำทำงอำหำรที่สืบทอดกนั มำหลำยช่ัวอำยุของคนอีสำน (ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทย) และขยำยเปน็ วฒั นธรรมรว่ มกับชำวลำว ชำวเขมร และชำวเวียต วฒั นธรรมปลำร้ำสะท้อนถึงวิถีชีวิต ของคนอสี ำน หรือเรยี กไดว้ ่ำปลำรำ้ คอื เอกลกั ษณ์อำหำรของชำวอีสำน ปลำรำ้ หรอื ปลำแดกในวัฒนธรรมอีสำน เป็นอำหำรหลกั และเครอื่ งปรงุ รสท่สี ำคัญท่ีสดุ ชวี ิตชำวอสี ำนเมอื่ กอ่ น ครอบครวั ชำวนำทกุ ครอบครัวจะทำปลำ ร้ำกินเอง โดยหมักปลำร้ำไว้มำกบ้ำง น้อยบ้ำง ขึนอยู่กับปริมำณนำฝนและควำมอุดมสมบูรณ์ของปลำปลำร้ำ เปน็ กำรถนอมปลำไวเ้ ป็นอำหำรนอกฤดูกำล ข้อมูลทีพ่ บมี ดงั นี (ประวตั ขิ องปลำรำ้ , 2563: ออนไลน์) 1. ปลาร้าหอม 2. ปลาร้านัว ภาพที่ 2 ปลำร้ำหอม ภาพที่ 3 ปลำรำ้ นวั ทมี่ า :ประเภทปลำรำ้ . (2564) [Online] ทีม่ า :ประเภทปลำรำ้ . (2564) [Online] รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จดั ทาขึน้ เพือ่ การศึกษา 3
3. ปลาร้าโหน่ง 4. ปลาร้าข้าวควั่ ภาพท่ี 4 ปลำรำ้ โหน่ง ภาพที่ 5 ปลำรำ้ ข้ำวค่วั ทมี่ า : ประเภทปลำร้ำ. (2564) [Online] ท่ีมา :ประเภทปลำรำ้ . (2564) [Online] 5. ปลารา้ ราข้าว ภาพที่ 6 ปลำร้ำรำข้ำว ทม่ี า : ประเภทปลำร้ำ. (2564) [Online] จำกกำรศึกษำชนิดของปลำร้ำ สรุปได้ว่ำประเภทของปลำร้ำแบ่งตำมรสชำติของชำวอีสำนและแบ่ง ตำมขำ้ วที่ใส่ คือ(ปลำรำ้ มีกแ่ี บบ, 2564: ออนไลน์) 1 ) ประเภทของปลาร้าตามรสของชาวอีสาน แบ่งได้ดงั น้ี 1.1. ปลารา้ หอม หรือ ปลาแดกหอม : ปลำร้ำท่มี กี ลิน่ หอม นำปลำรำ้ มีสนี ำตำล เนือปลำอำจ เปน็ สีเหลืองหรอื สีแดงตำมชนิดปลำ ขนำดปลำที่ใชม้ กั เป็นปลำขนำดกลำง สว่ นผสม ไดแ้ ก่ ปลำ : เกลอื : ข้ำว คว่ั หรือรำ ในอตั รำส่วน 4 : 2 : 1 หมักนำนประมำณ 6-10 เดือน 1.2. ปลาร้านัว, ปลาแดกนัว หรือ ปลาแดกต่วง : นำปลำร้ำมีสีนำตำล เนือปลำมีสีแดง เนือ ให้รสมันนัว มักใช้ปลำขนำดเล็กถึงกลำง ได้แก่ ปลำ : เกลือ : ข้ำวค่ัวหรือรำ ในอัตรำส่วน 4 : 1/2 : 1 หมัก นำนประมำณ 4-6 เดอื น 1.3. ปลาร้าโหน่ง หรือ ปลาแดกโหน่ง : ปลำร้ำท่ีมีกล่ินฉุนมำก อนั เกิดจำกระยะเวลำหมักที่ นำน มักใช้ปลำขนำดเล็กหมัก เช่น ปลำซิว ปลำหมอ เนือปลำมักเปื่อยยุ่ย เนือมีสีแดงคลำ หมักนำนมำกกวำ่ 10 เดอื น ถงึ 1 ปี 2) ประเภทของปลาร้าตามขา้ วที่ใส่ 2.1. ปลาร้าข้าวค่ัว : เป็นประเภทปลำร้ำท่ีทำมำกในภำคกลำง ได้แก่ นครสวรรค์ อยุธยำ ลพบุรี และสิงบุรี เปน็ ตน้ ปลำร้ำในภำคกลำงนิยมใช้ข้ำวค่วั ใชว้ ตั ถดุ บิ หลกั คือ ข้ำวค่วั ทีน่ ำมำตำบดให้เป็นก้อน เล็กๆหรือบดให้ละเอียด ปลำร้ำท่ีได้มักมีสีเหลืองนวลหรือเหลืองเข้ม เนือปลำอ่อนนุ่ม นิยมใช้ทำปลำร้ำหลน หรอื ปลำร้ำทรงเครอื่ ง 4 ผลงานนกั เรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
2.2. ปลาร้าร้าข้าว : เป็นปลำร้ำท่ีทำกันมำกในภำคอีสำนทุกจังหวัด ใช้วัตถุดิบหลัก คือ รำ ขำ้ วทหี่ ำได้จำกโรงสีขำ้ วในชมุ ชน ปลำรำ้ ทีไ่ ด้มักมีสนี ำตำลหรือแดงอมนำตำล เนอื ปลำอ่อนนมุ่ นิยมนำนำปลำ รำ้ มำใสส่ ้มตำ เนอื ปลำทำปลำรำ้ บองหรอื แจ่วบอง สรุป ประเภทปลำร้ำ ภาพท่ี 6 สรปุ ประเภทปลาร้า จำกกำรศึกษำภูมปิ ญั ญำปลำรำ้ พบว่ำ ลักษณะปลำร้ำ ท่คี น้ พบแบ่งออกเปน็ 2 ชว่ ง ดงั นี - เม่อื ปี 2016 นกั วิจัยในสวเี ดนเผยแพร่กำรค้นพบในแหลง่ ชมุ ชนซง่ึ มกี ำรกักเก็บปลำร้ำทเี่ ก่ำแก่ที่สุด กว่ำ 9,200 ยังไม่มีภำชนะเลยหมักปลำด้วยเปลือกไม้สนและไขมันแมวนำจำกนันจึงห่อหุ้มด้วยหนังแมวนำ หรือหนังหมีแล้วนำไปฝังดิน แล้วกลบด้วยดินโคลน ซ่ึงกำรหมักเช่นนีทำได้เฉพำะในสภำพอำกำศที่หนำวเยน็ เท่ำนัน (กำรค้นพบซำก “ปลำร้ำ” เฉียดหมื่นปีนับหม่ืนตัวในสวีเดน บ่งชีวิถียุคก่อนประวัติศำสตร์, 2564: ออนไลน์) - ยุคเหล็ก มีอำยุรำว 2,100 – 2,500 ปีมำแล้วมีไหปลำร้ำ บริเวณรอบปำกไหจะทำเป็นขอบซ้อน กันสองชัน มีประโยชน์คือใช้สำหรับใส่ขีเถ้ำเพื่อป้องกันแมลงวันตอม และปิดปำกไหโดยกำรใช้ผ้ำหนำ ๆ ห่อ ขเี ถำ้ เพอื่ ป้องกันแมลงวันลงไปวำงไขเ่ ชน่ กัน(ฐำนข้อมูลเครือ่ งมอื เครอื่ งใช้พืนบ้ำน, 2559: ออนไลน์) รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จดั ทาขึน้ เพือ่ การศึกษา 5
3. สรปุ ผล นครรำชสีมำ หรือรู้จักในชื่อ โครำช เป็นจังหวัดท่ีมีพืนที่มำกที่สุดในประเทศไทยและมีประชำกรมำก เป็นอันดับ 2 ของประเทศ อยู่ในภำคตะวันออกเฉียงเหนอื โดยมีแหลง่ โบรำณคดีบ้ำนโนนวัด คือแหลง่ โบรำณที่ มีหลุมขุดค้นทำงโบรำณคดีที่ใหญ่ท่ีสุดแหล่งโบรำณคดีบ้ำนโนนวดั เคยเป็นท่ีตังชุมชนเกษตรกรรมโบรำณ อำยุ รำว 2,100-1,250 ปี ก่อนประวัติศำสตร์ซึ่งครอบคลุมตังแต่ยุคสัมฤทธิ์ ยุคเหล็ก จนถึงยุคประวัติศำสตร์ ตอนต้น ซึ่งมีประวัติศำสตร์ยำวนำนอำยใุ กล้เคียงกับแหล่งโบรำณคดีบ้ำนเชียงท่ีจังหวัดอุดรธำนี คือประมำณ 4,500 ปี แต่สิ่งท่ีขุดค้นได้จำกแหล่งประวัติศำสตร์บ้ำนโนนวัดมีมำกมำย เช่น หลุมศพ กระดูกมนุษย์ เครื่องประดับ ไหโบรำณ และมีศพมนุษย์โบรำณในหม้อดิน ปัจจุบันมีกำรขุดค้นโครงกระดูกมนุษย์โบรำณ มำกกวำ่ 500 โครง และมีกำรค้นพบอย่ำงต่อเนอื่ งเร่ือย ๆ เมือ่ ปี 2016 นักวิจยั ในสวีเดนเผยแพร่กำรค้นพบ ในแหล่งชุมชนซึ่งมีกำรกักเก็บปลำร้ำท่ีเก่ำแก่ที่สุดกว่ำ 9,200 ยังไม่มีภำชนะเลยหมักปลำด้วยเปลือกไม้สน และไขมันแมวนำจำกนันจึงห่อหุ้มด้วยหนังแมวนำหรือหนังหมีแล้วนำไปฝังดิน แล้วกลบด้วยดินโคลน ซึ่งกำร หมกั เช่นนที ำไดเ้ ฉพำะในสภำพอำกำศท่ีหนำวเยน็ เท่ำนัน ยุคเหล็ก มีอำยรุ ำว 2,100 – 2,500 ปมี ำแล้วมีไห ปลำร้ำ บริเวณรอบปำกไหจะทำเป็นขอบซอ้ นกนั สองชัน มีประโยชน์คือใช้สำหรับใส่ขีเถำ้ เพือ่ ป้องกันแมลงวัน ตอม และปิดปำกไหโดยกำรใชผ้ ำ้ หนำ ๆ ห่อขีเถ้ำเพอ่ื ป้องกนั แมลงวนั ลงไปวำงไขเ่ ชน่ กัน 4. อา้ งองิ การค้นพบซาก “ปลาร้า” เฉยี ดหมื่นปนี บั หมนื่ ตัวในสวเี ดน บ่งชีว้ ถิ ยี ุคกอ่ นประวตั ิศาสตร์. (2564). สบื ค้น จำก. https://www.silpa-mag.com/news/article_1889. สืบคน้ เมือ่ วันที่ 23 กรกฎำคม 2564. ปลาร้า-ตานาน ประวตั ิ. (2557). สืบคน้ จำก. shorturl.asia/Vs2gL. สบื คน้ เม่อื วันที่ 23 กรกฎำคม 2564. ปลารา้ มาจากไหน. (2564). สบื ค้นจำก. https://www.technologychaoban.com/thai-local- wisdom/article_3793. สบื ค้นเม่ือวันที่ 07 สิงหำคม 2564. เปิดประวัติ \"ปลารา้ \" วตั ถุดบิ หลักของอาหารอสี าน. (2561). สบื คน้ จำก https://1th.me/FkU21. สบื คน้ เมอ่ื วนั ที่ 23 กรกฎำคม 2564. ไหปลารา้ . (2559). สืบคน้ จำก. https://www.sac.or.th/databases/traditionalobjects/th/equipment- ‘ detail.php?ob_id=38. สืบค้นเมื่อวนั ที่ 23 กรกฎำคม 2564. แหล่งโบราณคดบี า้ นโนนวัด. (2556). สืบคน้ จำกhttp://nm.sut.ac.th/koratdata/ ?m=detail&data_ id=33. สบื ค้นเมื่อวนั ที่ 07 สงิ หำคม 2564. แหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัด. (2561). สืบคน้ จำก. https://1th.me/EPW2C. สบื ค้นเมือ่ วันท่ี 23 กรกฎำคม 2564. 6 ผลงานนกั เรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
พัฒนาการของไดโนเสารภ์ ูเวียง อาเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ผ้จู ัดทำ 1ธัญธรณ์ จิรชัยศร,ี 2 ธที ัต ลิมปกรณ์, 3นนทกร แนววิลยั , 4พงศธร เหลำ่ สนิ ชยั , 5วรรณวรี ์ โทรกั ษำ, 6อฎวิ ิศว์ เชอื โพนทอง หอ้ ง ม. 3/3 1. ประวตั ิความเปน็ มา ขอนแก่น เปน็ จงั หวดั ทมี่ ขี นำดพืนทใ่ี หญเ่ ป็นอนั ดับท่ี 6 ของภำคตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย มีกำรแบ่งอำเภอออกเป็น 26 แห่ง (“พิพิธภัณฑ์ไดโนเสำภูเวียง” วิกิพีเดีย สำรำนุกรมเสรี,2563: ออนไลน์) ภูเวียงเป็นอีกหนงึ่ อำเภอ ท่ีควำมสำคัญด้ำนธรณีวิทยำ ธรรมชำติวิทยำและซำกดึกดำบรรพ์ คือ มีพิพิธภัณฑ์ ไดโนเสำร์ภูเวียง ซึ่งตังอยู่ในพืนที่ของอุทยำนแห่งชำติภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น พิพิธภัณฑ์ ไดโนเสำร์ ภเู วียง จดั ตงั ขึนจำกควำมร่วมมือของกรมทรัพยำกรธรณี กำรท่องเทีย่ วแห่งประเทศไทยและจังหวัด ขอนแก่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้ำนธรณีวิทยำ ธรรมชำติวิทยำและซำกดึกดำบรรพ์ เป็นศูนย์ศึกษำวิจัยท่ีให้ ควำมรู้แก่เยำวชนและผู้ที่สนใจท่ีสำคัญยังเป็นแหล่งท่องเท่ียวของจังหวัดขอนแก่นอีกด้วย (มิวเซียมสยำม “พพิ ธิ ภณั ฑ์กำรเรยี นรู้”, 2558: ออนไลน์) เทอื กเขำภเู วียงหรอื ที่เรำรู้จักกันดีในช่ือ “เทอื กเขำไดโนเสำรภ์ ูเวียง” มีวิวัฒนำกำรมำพร้อมๆ กับกำร เกิดขึนของ “ที่รำบสูงโครำช” เริ่มมำตังแต่ยุคคำร์บอนิเฟอรัส (360 ล้ำนปีก่อน) ถึงยุคทะเลเพอร์เมียน (286-245 ลำ้ นปีก่อน) จำกนันเกิดเหตุกำรณ์ Indosinian Orogeny (250 ล้ำนปกี อ่ น) ซงึ่ เป็นกำรเคลื่อนตัว เข้ำชนกันของแผ่นอนุทวีปฉำนไทย และแผนอนุทวีปอินโดไชน่ำ ส่งผลให้แผ่นดินบริเวณนียกตัวสูงขึน ครัน ต่อมำแผ่นดินท่ีถูกยกขึนเกิดกำรคลำยตัวลดระดับลงกลำยเป็นแอ่งสะสมตะกอน ที่เรำทรำบกันดีในชื่อ “แอ่ง โครำช” เหตุกำรณ์นีเกิดขึนต่อเน่ืองตลอดช่วยปลำยยุคไทรแอสซิก (200 ล้ำนปีก่อน) จนสินสุดไปพร้อมกบั กำรสูญพันธุ์ของสัตว์โลกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์เม่ือปลำยยุคครีเทเชียส แล้วช่วงสุดท้ำยของวิวัฒนำกำร (64- 65 ล้ำนปีก่อน) ชันหินตะกอนในแอ่งโครำชก็ถูกแรงกระทำอีกครังหน่ึง ที่เรียกว่ำ Himalayan Orogeny ซ่ึง เกิดจำกกำรเข้ำชนกันของแผ่นทวีปอินเดียและแผ่นทวีปยูเรเชีย ก่อกำเนิดแนวเทือกเขำหิมำลัยไปพร้อมกับ กำรยกตัวสูงขึนของที่รำบสูงโครำช และเป็นกำรเร่ิมต้นมหำยุคใหม่ของสัตว์เลียงลูกด้วยนมจนถึงยุคปัจจบุ นั (“เรอื่ งเล่ำเทือกเขำไดโนเสำร์ภเู วียง” สนง. ทรพั ยำกรธรณี เขต 2, 2560: ออนไลน)์ ซำกดึกดำบรรพ์ หรือ ฟอสซิล (fossil) คือ ซำกหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในสมัยดึกดำบรรพท์ ี่ถูกเก็บ รกั ษำไว้โดยธรรมชำติในชันหินในเปลือกโลก หรือหลุดออกมำจำกชันเปลือกโลกซำกดกึ ดำบรรพ์ ชว่ ยให้เข้ำใจ ถึงวิวัฒนำกำรของสิ่งมีชีวติ ตังแต่อดตี จนถึงปัจจบุ ัน กำรเปล่ียนแปลงของโลก ช่วยบ่งบอกอำยุของชันหิน จำก ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนี (Index Fossil) ท่ีสำมำรถบ่งบอกอำยุของชันหินท่ีแนน่ อนได้ บ่งบอกถึงสภำพแวดล้อม หรือสภำพภูมิอำกำศของโลกในแต่ละยุคสมัยและบ่งบอกถึงลักษณะทำงภูมศิ ำสตร์ ตลอดจนกำรเปลี่ยนแปลง ทำงภูมิศำสตร์ หรือธรณีแปรสัณฐำนตังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและยังช่วยในกำรสำรวจ ค้นหำ แหล่งแร่ แหล่ง ถำ่ นหิน หรอื แหล่งปโิ ตรเลียมได้ ฟอสซิลไดโนเสำร์ท่ีพบในประเทศไทยจนถึงปัจจุบันมีอำยุอยู่ระหว่ำง 100-200 ล้ำนปีมำแล้ว แบ่งเป็นยุคตำ่ งๆดงั นี รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขนึ้ เพื่อการศึกษา 7
ยุค Triassic ตอนปลำย ในปีพ.ศ.2535 กรมทรัพยำกรธรณีสำรวจพบกระดูกสะโพกส่วนหน้ำของ ไดโนเสำร์โปรซอโรพอด ในชันหินทรำยสีแดงของหมวดหิน นำพอง ในเขตอำเภอนำหนำว จังหวัดเพชรบูรณ์ มี อำยุประมำณ 200ล้ำนปี นับเป็นกระดูกไดโนเสำร์ที่เก่ำแก่ที่สุดที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นกำร พบฟอสซิลของพวก โปรซอโรพอดเปน็ ครงั แรกในภูมภิ ำคนี เม่ือเปรียบเทียบกับฟอสซลิ ชนิดนีจำกแหล่งตำ่ งๆ ทั่วโลก พบว่ำโปรซอโรพอดของไทยมีขนำดใหญ่ แข็งแรง อำจยำวถึง 8 เมตร โปรซอโรพอด เป็นไดโนเสำร์ท่ี กนิ พืช ฟนั มรี อยหยกั แบบเลื่อยอยำ่ งหยำบ มีคดยำว เทำ้ หน้ำมขี นำดค่อนข้ำงเล็กกวำ่ เท้ำหลัง มีเล็บแหลมคม ยุค Jurassic ในปีพ.ศ.2539 คณะสำรวจไทย-ฝร่ังเศสได้พบแหล่งฟอสซิลฟันไดโนเสำร์ ท่ีอำเภอคำ ม่วง จังหวัดกำฬสินธุ์ในชันหนิ หมวด ภูกระดงึ อำยุ 150-190 ล้ำนปี เปน็ ฟันของไดโนเสำร์ เทอโรพอดซึ่งกิน เนอื มีลักษณะหยกั แบบฟันเลือ่ ย ฟนั ของซอโรพอดและฟันของสเตโกซอร์ซง่ึ พบเป็นครงั แรกในประเทศไทย ยุคCretaceous ยังไม่พบฟอสซิลกระดูกไดโนเสำร์เลยพบเพียงแต่รอยเท้ำไดโนเสำร์ ทำให้ทรำบถึง รูปร่ำงลักษณะ ขนำด ชนิดและลักษณะกำรเดิน ชันหินท่ีพบได้แก่หมวดหินพระวิหำรอำยุประมำณ 140 ลำ้ นปี บริเวณที่พบมี 4 แห่ง ไดแ้ ก่ลำนหนิ ป่ำชำด ภูเวยี ง จังหวัดขอนแกน่ พบรอยเท้ำไดโนเสำรซ์ ึ่งทำให้ทรำบ วำ่ เปน็ ไดโนเสำร์กนิ เนือ เดินดว้ ยขำหลัง เคล่อื นไหวว่องไว มีขนำดเลก็ นอกจำกนี ยังพบรอยเทำ้ ไดโนเสำร์พวก คำร์โนซอรท์ มี่ ขี นำดใหญ่ ฟอสซิลไดโนเสำร์ในชันหินหมวดเสำขัว อำยุ 130ล้ำนปี พบฟอสซิลไดโนเสำร์ท่ีบริเวณประตูตีหมำ ภูเวียง และบริเวณใกล้เคียงหลำยชนิดคือกระดูกที่มีลักษณะใกล้เคียงกับซอโร พอดจำกอเมริกำเหนือซึ่งเป็น ไดโนเสำร์ขนำดใหญ่ มีควำมยำวถึง 15 เมตร คอยำวหำงยำว เดิน 4 เท้ำ กินพืชเป็นอำหำร ต่อมำพบกระดูก ไดโนเสำรช์ นดิ นที ี่มสี ภำพดีทำให้ทรำบว่ำเปน็ ฟอสซิลของไดโนเสำร์ซอโรพอดสกุลใหม่ ซง่ึ ได้รบั พระรำชทำน พระรำชำนญุ ำตอนั เชิญพระนำมำภไิ ธยของสมเด็จพระเทพรตั นรำชสดุ ำฯสยำมบรมรำชกุมำรเี ปน็ ช่ือไดโนเสำร์ นีคอื ภเู วียงโกซอรัส สิรนิ ธรเน (Phuwiangosaurus sirindhornae)ฟันของไดโนเสำรส์ กุลใหม่และชนิดใหม่ชื่อ สยำมโมซอรัส สุธีธรนี(Siamosaurus suteethorni)กระดูกขำหลังท่อนล่ำงและขำหน้ำท่อนบนของไดโนเสำร์ ซีลูโรซอร์(Coelurosaur) ซึ่งเป็นไดโนเสำร์ขนำดเล็กมำกชนิดหนึ่งเดินด้วย2ขำหลังและกินเนือเป็นอำหำร (“พิพธิ ภณั ฑ์ไดโนเสำภูเวยี ง”กรมทรพั ยำกรธรณีวิทยำ, 2559: ออนไลน์) ฟอสซิลไดโนเสำร์ชินแรกของไทยพบท่ีอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในปี 2519 โดยนำยสุธรรม แย้มนิยม อดีตนักธรณีวิทยำของกรมทรัพยำกรธรณี ขณะสำรวจแร่ยูเรเนียม ในหมวดหินเสำขัว ท่ีอุทยำน แห่งชำติภูเวียง บริเวณห้วยประตูตีหมำ กระดูกชินนีมีควำมกว้ำงยำวประมำณ 1 ฟุต จำกกำรเปรียบเทียบ พบวำ่ มลี กั ษณะใกล้เคียงกบั ไดโนเสำร์ซอโรพอด ซ่งึ มีขนำดใหญย่ ำวประมำณ 15 เมตร และจำกกำรตรวจสอบ พบว่ำเป็นส่วนปลำยล่ำงสุดของกระดูกต้นขำของไดโนเสำร์จำพวกกินพืช กำรสำรวจไดโนเสำร์ ท่ีภูเวียงได้ เริม่ ตน้ อยำ่ งจรงิ จังในปี 2524 โดยนำยเชิงชำย ไกรคง นกั ธรณวี ทิ ยำจำกกรมทรพั ยำกรธรณีได้พำคณะสำรวจ โบรำณชีววิทยำไทย และฝร่ังเศสขึนไปสำรวจกระดูกไดโนเสำรบ์ ริเวณยอดห้วยประตูตหี มำ อำเภอ ภเู วียงคณะ สำรวจพบกระดกู ไดโนเสำร์ชนิดกินพชื ขนำดใหญ่ รวมทงั ฟนั จระเข้ กระดองเตำ่ ฟันและเกลด็ ปลำโบรำณ และ จำกกำรสำรวจในเวลำต่อมำได้พบกระดูกไดโนเสำร์อกี หลำยชนดิ (“พิพิธภัณฑ์ไดโนเสำภเู วียง”กรมทรพั ยำกร ธรณีวิทยำ, 2559: ออนไลน์) ภำยหลังจำกกำรคน้ พบซำกฟอสซิลไดโนเสำร์ชินแรกของไทย ท่อี ำเภอภเู วียง จงั หวัดขอนแก่น ในปี 2519 แลว้ ตอ่ มำได้มกี ำรขดุ คน้ พบซำกฟอสซลิ รวมถงึ รอยเท้ำไดโนเสำร์ รวม 9 หลุม ดังนี หลมุ ที่ 1 (ประตูตี หมำ) พบกระดูกไดโนเสำร์ขนำดใหญ่จำนวนมำกเรียงรำยอยู่ในชันหิน หลุมท่ี 2 (ถำเจีย) พบกระดูกส่วนคอ ของไดโนเสำร์ซอโรพอด เรียงต่อกัน จำนวน 6 ชิน หลุมท่ี 3 (ห้วยประตูตีหมำ) พบกระดูกสันหลัง กระดูก ซี่โครงหลำยชิน ของไดโนเสำร์กินพืชขนำดใหญ่ หลุมท่ี 4 (โนนสำวเอ้) พบฟอสซิลกระจำยเป็นบริเวณกว้ำง 8 ผลงานนักเรียนระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
กว่ำ 10 ตำรำงเมตร ประกอบด้วยกระดูกไดโนเสำรซ์ อโรพอดขนำดใหญ่ และท่ีอยู่ในวัยเยำว์ นอกจำกนันยัง พบเกล็ดปลำเลปิโดเทสและกระดองเต่ำ หลุมท่ี 5 (ซำหญ้ำคำ) หลุมที่ 6 (ดงเค็ง) และหลุมท่ี 7 (ภูน้อย) พบ ไดโนเสำร์ทังขนำดใหญ่และที่ยังเยำว์และยังพบฟอสซิลของจระเข้ขนำดเล็กอีกด้วย หลุมท่ี 8 (หินลำดป่ำ ชำด) พบรอยเทำ้ ไดโนเสำร์ มำกกวำ่ 60 รอยใน 10 แนวทำงเดิน เป็นของไดโนเสำรพ์ วกกินเนือขนำดเล็ก ซง่ึ เดินด้วย 2 ขำหลงั หลมุ ที่ 9 (หินลำดยำว) พบกระดูกสันหลังหลำยชนิ โผล่มำจำกชนั หินทรำยสีแดงของหมวด หนิ เสำขัวและยงั พบสว่ นของสะโพกดำ้ นซ้ำยและกระดกู ส่วนหำงกว่ำ 10 ชิน ของพวกไดโนเสำร์กินเนือขนำด ใหญ่ยำวประมำณ 6.5 เมตร (“เร่ืองเล่ำเทือกเขำไดโนเสำร์ภูเวียง” สนง.ทรัพยำกรธรณี เขต2, 2560: ออนไลน์) ในอดีตนับร้อยล้ำนปมี ำแลว้ เคยมีไดโนเสำรห์ ลำยชนิดอยอู่ ำศัยและหำกินบนผืนแผ่นดิน ทเี่ ป็นประเทศ ไทย เมื่อพวกมันล้มตำยลงร่ำงจึงถูกกลบฝังและค่อยๆ กลำยสภำพเป็นฟอสซิลอยู่ใต้ชันดินจำกท่ีกล่ำวมำ ข้ำงต้น ผู้ศึกษำจึงสนใจศึกษำซำกฟอสซิลไดโนเสำร์ ท่ีพบในอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เพ่ือให้เข้ำใจถึง ววิ ฒั นำกำรของสิ่งมีชีวติ และกำรเปลย่ี นแปลงของโลก ตังแต่อดตี จนถงึ ปัจจุบนั และศกึ ษำว่ำไดโนเสำร์ ทีพ่ บใน อำเภอภูเวยี ง จงั หวดั ขอนแกน่ มชี นิดใดบ้ำง 2. วเิ คราะห์ผล ภำยหลงั จำกกำรค้นพบซำกฟอสซลิ ไดโนเสำรช์ ินแรกของไทย ทอี่ ำเภอภเู วียง จงั หวัดขอนแกน่ ในปี 2519 แลว้ ตอ่ มำได้มีกำรขุดคน้ พบซำกฟอสซลิ รวมถึงรอยเทำ้ ไดโนเสำร์ รวม 9 หลมุ พบหลักฐำนดงั นี (\"พิพิธภณั ฑไ์ ดโนเสำรภ์ ูเวยี ง\" วิกิพีเดีย สำรำนุกรมเสรี, 2563: ออนไลน)์ 1. ฟอสซิลไดโนเสาร์ ภาพท่ี 1 สว่ นปลำยของกระดกู ต้นขำหลังดำ้ นซำ้ ยของไดโนเสำรซ์ อโรพอด ถือเป็นหลักฐำนไดโนเสำร์ ชนิ แรกของไทย ทม่ี า: พพิ ธิ ภณั ฑไ์ ดโนเสำรภ์ เู วยี ง, (2563) (Online) รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จดั ทาขนึ้ เพือ่ การศึกษา 9
ภาพที่ 2 กระดกู ไดโนเสำร์ขนำดใหญ่จำนวนมำกเรยี งรำยอยู่ในชนั หนิ ที่มา: พิพธิ ภณั ฑไ์ ดโนเสำรภ์ ูเวยี ง, (2563) (Online) ภาพท่ี 3 กระดูกสนั หลัง กระดกู ซี่โครงของไดโนเสำรก์ นิ พืชขนำดใหญ่ ที่มา: พิพธิ ภัณฑ์ไดโนเสำรภ์ ูเวยี ง, (2563) (Online) ภาพที่ 4 กระดกู ส่วนคอของไดโนเสำร์ซอโรพอดเรียงตอ่ กันจำนวน 6 ชนิ ที่มา: พิพธิ ภณั ฑไ์ ดโนเสำร์ภูเวยี ง, (2563) (Online) 10 ผลงานนักเรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
ภาพที่ 5 กระดกู สันหลังหลำยชนิ โผล่มำจำกชันหินทรำยสแี ดงของหมวดหินเสำขวั ท่มี า: พิพิธภัณฑ์ไดโนเสำรภ์ ูเวียง, (2563) (Online) ภาพท่ี 6 ซำกโครงกระดกู เกอื บทังตัวของไดโนเสำร์กินพชื ภเู วียงเป็นซำกท่สี มบรู ณ์ท่ีสุดของประเทศ ที่มา: พิพธิ ภณั ฑไ์ ดโนเสำรภ์ เู วยี ง, (2563) (Online) จำกกำรศึกษำฟอสซลิ ไดโนเสำร์ในชันหนิ หมวดเสำขัว อำยุ 130 ล้ำนปีพบฟอสซลิ รวมถึงรอยเท้ำ ไดโนเสำร์ รวม 9 หลุม จัดหมวดหมไู่ ด้ดงั นี (“พิพธิ ภณั ฑ์ไดโนเสำภูเวยี ง”กรมทรพั ยำกรธรณวี ทิ ยำ, 2559: ออนไลน์) 1. ภูเวียงโกซอรสั สิรินธรเน (Phuwiangosaurus Sirindhornae) เปน็ ไดโนเสำร์ชอโรพอต กินพืช คอยำว หำงยำว เดินส่ีขำ ควำมยำวประมำณ 15-20 เมตร ชื่อสกุล ภูเวียงโกซอรัส ตังขึนตำมสถำนที่ คน้ พบคอื ภูเวยี ง ส่วนชนิด สิรนิ ธรเน ไดร้ บั พระรำชำนญุ ำตใหอ้ ญั เชิญพระนำมำภิไธยของสมเด็จพระกนิษฐำธิ รำชเจ้ำ กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนรำชสุดำฯ เปน็ ชือ่ ชนิด อำยุ 130 ลำ้ นปี ภาพที่ 7 ภูเวียงโกซอรัส สิรนิ ธรเน (Phuwiangosaurus Sirindhornae) 11 ท่มี า: พิพธิ ภัณฑไ์ ดโนเสำร์ภูเวยี ง, (2563) (Online) รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขนึ้ เพื่อการศึกษา
2. สยามโมซอรัส สุธธี รนิ (Siamosaurus Suteethorni) เป็นไดโนเสำรเ์ ทอโรพอต กินเนือ เดนิ ด้วยสองขำหลัง พบฟัน 9 ซี่ มีลักษณะเป็นรูปกรวยคล้ำยฟนั จระเข้ โดยบนพืนผวิ ของฟนั มลี ำยเส้นนนู เล็กๆ ยำวจำกส่วนโคนไปถึงปลำยแหลม มีแผงสนั กระโดงกลำงหลัง อำยุ 130 ล้ำนปี ภาพที่ 8 สยำมโมซอรสั สุธีธรนิ (Siamosaurus Suteethorn) ที่มา: พพิ ิธภณั ฑไ์ ดโนเสำร์ภูเวยี ง, (2563) (Online) 3. สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus Isanensis) เป็นไดโนเสำรเ์ ทอโรพอต กนิ เนอื เดนิ ด้วยสองขำหลัง ขำหนำ้ มีขนำดเลก็ อำยุ 130 ลำ้ นปี ภาพท่ี 9 สยำมโมไทรันนัส อิสำนเอนซิส (Siamotyrannus Isanensis) ท่มี า: พพิ ธิ ภัณฑไ์ ดโนเสำร์ภเู วียง, (2563) (Online) 4. กนิ นรมี มิ สั ขอนแกน่ เอนซสิ (Kinnareemimus Khonkaenensis) เป็นไดโนเสำร์ กินทังพืช และเนือ ลกั ษณะคลำ้ ยนกกระจอกเทศ เดินและวิ่งดว้ ยขำหลัง 2 ข้ำง ปรำดเปรยี ว คอเรียวเล็ก ปำกยำวเป็น จงอย ไรฟ้ ัน อำยุ 130 ลำ้ นปี 12 ผลงานนกั เรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
ภาพที่ 10 กนิ นรมี ิมัส ขอนแกน่ เอนซสิ (Kinnareemimus Khonkaenensis) ทีม่ า: พิพธิ ภัณฑ์ไดโนเสำร์ภูเวยี ง, (2563) (Online) 5. ภูเวยี งเวเนเตอร์ แย้มนยิ มมิ (Phuwiangvenetor Yaemniyomi) เปน็ ไดโนเสำรเ์ ทอโรพอต ขนำดกลำง กินเนอื มลี ำตวั ยำว 6 เมตร อยู่ในกลุ่มเมกะแรพเตอรำ่ อำยุ 130 ลำ้ นปี ภาพท่ี 11 ภเู วียงเวเนเตอร์ แยม้ นยิ มมิ (Phuwiangvenetor Yaemniyomi) ทีม่ า: พพิ ธิ ภณั ฑไ์ ดโนเสำรภ์ เู วียง, (2563) (Online) รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวตั ิศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขึน้ เพือ่ การศึกษา 13
สรปุ ไดโนเสารท์ พี่ บในอาเภอภเู วียง ฟอสซลิ ไดโนเสำรใ์ นชันหินหมวดเสำขัว อำยุ 130ลำ้ นปี . กนิ พืช 1.ภเู วยี งโกซอรัส สริ นิ ธรเน คอยำว หำงยำว (Phuwiangosaurus Sirindhornae) เดนิ สขี่ ำ ควำมยำวประมำณ 15-20 เมตร 2.สยำมโมซอรสั สุธีธรนิ กนิ เนอื้ (Siamosaurus Suteethorn) เดินดว้ ยสองขำหลงั พบฟัน 9 ซี่ มีลักษณะเปน็ รูปกรวยคล้ำยฟันจระเข้ 3.สยำมโมไทรนั นัส อสิ ำนเอนซิส กนิ เนอื้ (Siamotyrannus Isanensis) เดินดว้ ยสองขำหลงั ขำหน้ำมขี นำดเล็ก กนิ ทงั้ พืชและเน้ือ 4. กินนรมี มิ สั ขอนแกน่ เอนซิส ลกั ษณะคล้ำยนกกระจอกเทศ (Kinnareemimus Khonkaenensis คอเรียวเล็ก ปำกยำวเปน็ จงอย ไรฟ้ นั . กินเนือ้ 5. ภูเวยี งเวเนเตอร์ แยม้ นิยมมิ ลำตวั ยำว 6 เมตร (Phuwiangvenetor Yaemniyomi) อยใู่ นกลุ่มเมกะแรพเตอร่ำ ภาพที่ 12 ไดโนเสำร์ที่พบในอำเภอภูเวยี ง 14 ผลงานนกั เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
จำกำรศึกษำ ไดโนเสำรท์ ีพ่ บในแหลง่ ขุดค้นภเู วยี ง มี 5 สำยพนั ธุ์ ไดโนเสำรส์ กลุ ใหม่ของโลกท่คี ้นพบ บริเวณเทือกเขำภูเวียง คือ 1. ภูเวยี งโกซอรัส สริ นิ ธรเน (Phuwiangosaurus Sirindhornae) เปน็ ไดโนเสำร์ชอโรพอต กนิ พืช คอ ยำว หำงยำว เดนิ ส่ีขำ ควำมยำวประมำณ 15-20 เมตร ช่อื สกลุ ภูเวยี งโกซอรัส ตังขนึ ตำมสถำนท่คี น้ พบคอื ภู เวียง ส่วนชนดิ สริ ินธรเน ได้รบั พระรำชำนญุ ำตให้อญั เชญิ พระนำมำภไิ ธยของ สมเดจ็ พระกนิษฐำ- ธริ ำชเจ้ำ กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนรำชสุดำฯ เปน็ ชอ่ื ชนดิ อำยุ 130 ลำ้ นปี 2. สยำมโมซอรัส สุธีธรนิ (Siamosaurus Suteethorni) เป็นไดโนเสำร์เทอโรพอต กินเนือ เดินด้วย สองขำหลัง พบฟัน 9 ซี่ มีลักษณะเป็นรูปกรวยคล้ำยฟันจระเข้ โดยบนพืนผิวของฟันมีลำยเส้นนูนเล็กๆ ยำว จำกสว่ นโคนไปถึงปลำยแหลม มแี ผงสันกระโดงกลำงหลงั อำยุ 130 ลำ้ นปี 3. สยำมโมไทรันนัส อิสำนเอนซิส (Siamotyrannus Isanensis) เป็นไดโนเสำร์เทอโรพอต กินเนือ เดินดว้ ยสองขำหลัง ขำหน้ำมีขนำดเล็ก อำยุ 130 ลำ้ นปี 4. กินนรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส (Kinnareemimus Khonkaenensis) เป็นไดโนเสำร์ กินทังพืชและ เนอื ลกั ษณะคลำ้ ยนกกระจอกเทศ เดนิ และว่ิงดว้ ยขำหลัง 2 ขำ้ ง ปรำดเปรียว คอเรยี วเล็ก ปำกยำวเปน็ จงอย ไรฟ้ ัน อำยุ 130 ล้ำนปี 5. ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ (Phuwiangvenetor Yaemniyomi) เป็นไดโนเสำร์เทอโรพอต ขนำดกลำง กินเนือ มีลำตวั ยำว 6 เมตร อยูใ่ นกลุม่ เมกะแรพเตอร่ำ อำยุ 130 ลำ้ นปี 3. สรุปผล จำกกำรศึกษำพิพิธภัณฑ์ไดโนเสำร์ภูเวียง พบว่ำจังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดท่ีมีขนำดพืนท่ีใหญ่เป็น อนั ดับท่ี 6 ของภำคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มกี ำรแบง่ อำเภอออกเปน็ 26 แห่ง ภูเวียงเปน็ อีก หน่ึงอำเภอที่ควำมสำคัญ คือมีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสำร์ภูเวียง ซึ่งตังอยู่ในพืนที่ของอทุ ยำนแห่งชำติภูเวียง อำเภอ ภูเวียง จังหวัดขอนแกน่ เป็นแหล่งเรยี นรูด้ ้ำนธรณีวิทยำ ธรรมชำติวทิ ยำและซำกดึกดำบรรพ์ เปน็ ศนู ย์ศึกษำวิจัย ท่ีให้ควำมร้แู ก่เยำวชนและผทู้ ส่ี นใจ ฟอสซิลไดโนเสำร์ชินแรกของไทยพบที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในปี 2519 โดยนำยสุธรรม แย้มนิยม อดีตนักธรณีวิทยำของกรมทรัพยำกรธรณี ขณะสำรวจแร่ยูเรเนียม ในหมวดหินเสำขัว ท่ีอุทยำน แห่งชำติภูเวียง บริเวณห้วยประตูตีหมำ กระดูกชินนีมีควำมกว้ำงยำวประมำณ 1 ฟุต จำกกำรเปรียบเทียบ พบว่ำมีลักษณะใกลเ้ คียงกับไดโนเสำรซ์ อโรพอด ซ่ึงมีขนำดใหญ่ยำวประมำณ 15 เมตร และจำกกำรตรวจสอบ พบว่ำเป็นส่วนปลำยล่ำงสุดของกระดูกต้นขำของไดโนเสำร์จำพวกกินพืช กำรสำรวจไดโนเสำร์ ท่ีภูเวียงได้ เรมิ่ ต้นอยำ่ งจริงจงั ในปี 2524 โดยนำยเชงิ ชำย ไกรคง นกั ธรณวี ิทยำจำกกรมทรัพยำกรธรณไี ด้พำคณะสำรวจ โบรำณชวี วทิ ยำไทย และฝรง่ั เศสขนึ ไปสำรวจกระดูกไดโนเสำร์บริเวณยอดหว้ ยประตูตีหมำ อำเภอภูเวียงคณะ สำรวจพบกระดกู ไดโนเสำร์ชนิดกนิ พชื ขนำดใหญ่ รวมทงั ฟนั จระเข้ กระดองเตำ่ ฟนั และเกล็ดปลำโบรำณ และ จำกกำรสำรวจในเวลำตอ่ มำไดพ้ บกระดูกไดโนเสำร์อีกหลำยชนิด ไดโนเสำร์ท่ีพบในแหล่งขุดค้นภูเวียง มี 5 สำยพันธ์ุ ไดโนเสำร์สกุลใหม่ของโลกที่ค้นพบบริเวณ เทอื กเขำภูเวยี ง คอื 1. ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน (Phuwiangosaurus Sirindhornae) เป็นไดโนเสำร์ชอโรพอต กิน พืช คอยำว หำงยำว เดินส่ีขำ ควำมยำวประมำณ 15-20 เมตร ชื่อสกุล ภูเวียงโกซอรัส ตังขึนตำมสถำนที่ ค้นพบคือ ภเู วยี ง ส่วนชนดิ สริ นิ ธรเน ไดร้ บั พระรำชำนุญำตให้อญั เชญิ พระนำมำภไิ ธยของ สมเดจ็ พระกนิษฐำ- ธิรำชเจำ้ กรมสมเด็จพระเทพรตั นรำชสุดำฯ เป็นช่อื ชนิด อำยุ 130 ลำ้ นปี รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวตั ิศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขึน้ เพือ่ การศึกษา 15
2. สยำมโมซอรัส สุธธี รนิ (Siamosaurus Suteethorni) เป็นไดโนเสำรเ์ ทอโรพอต กินเนอื เดนิ ด้วย สองขำหลัง พบฟัน 9 ซี่ มีลักษณะเป็นรูปกรวยคล้ำยฟันจระเข้ โดยบนพืนผิวของฟันมีลำยเส้นนูนเล็กๆ ยำว จำกส่วนโคนไปถงึ ปลำยแหลม มแี ผงสนั กระโดงกลำงหลงั อำยุ 130 ล้ำนปี 3. สยำมโมไทรันนัส อิสำนเอนซิส (Siamotyrannus Isanensis) เป็นไดโนเสำร์เทอโรพอต กินเนือ เดนิ ด้วยสองขำหลงั ขำหน้ำมขี นำดเล็ก อำยุ 130 ล้ำนปี 4. กนิ นรีมมิ ัส ขอนแก่นเอนซสิ (Kinnareemimus Khonkaenensis) เปน็ ไดโนเสำร์ กินทงั พชื และ เนือ ลกั ษณะคลำ้ ยนกกระจอกเทศ เดนิ และว่ิงด้วยขำหลัง 2 ข้ำง ปรำดเปรยี ว คอเรยี วเลก็ ปำกยำวเปน็ จงอย ไรฟ้ ัน อำยุ 130 ลำ้ นปี 5. ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ (Phuwiangvenetor Yaemniyomi) เป็นไดโนเสำร์เทอโรพอต ขนำดกลำง กินเนอื มีลำตัวยำว 6 เมตร อย่ใู นกลมุ่ เมกะแรพเตอรำ่ อำยุ 130 ลำ้ นปี 4. อ้างองิ \"พิพิธภัณฑไ์ ดโนเสำร์ภูเวยี ง\" กรมทรพั ยำกรธรณวี ทิ ยำ. (2559). สืบค้นจำก http://www.dmr.go.th/ewt_news.php. สบื ค้นเมอ่ื วนั ท่ี 2 สิงหำคม 2564 \"พพิ ิธภัณฑไ์ ดโนเสำรภ์ เู วยี ง\" วกิ พิ ีเดียสำรำนุกรมเสร.ี (2563). สืบคน้ จำก https://th.wikipedia.org/wiki. สืบค้นเมือ่ วันท่ี 2 สงิ หำคม 2564. มวิ เซียมสยำม ‘พพิ ธิ ภัณฑก์ ำรเรียนรู้”. (2558). สืบคน้ จำก https://www.museumsiam.org/mdn-detail.php. สบื ค้นเมือ่ วนั ท่ี 2 สิงหำคม 2564. “เรอ่ื งเลำ่ เทือกเขำไดโนเสำรภ์ เู วียง” สนง.ทรพั ยำกรธรณี เขต 2.(2560). สบื ค้นจำก http://www.dmr.go.th/download/article/article_20180827120431.pdf. สืบค้นเมอื่ วนั ท่ี 2 สงิ หำคม 2564. 16 ผลงานนกั เรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
ภมู ิปญั ญาท้องถิ่นเฉลวลา้ นนา ผูจ้ ดั ทำ ชัชชญำ สอนเต็ม , ทชิ ำ ปัญญำสทิ ธ์ิ, ทพิ ย์นำฏ ตรีศริ ิเนตร , ธณัญพรรษ จอดพิมำย , นนทพัฒน์ เศรษฐ์สมบูรณ์ , ปรำนต์ มง่ิ ขวญั , ภมู ิพัฒน์ วชิ ญชีวนิ ทร์ ห้อง ม.3/3 1. ประวตั คิ วามเป็นมา ล้ำนนำ หมำยถงึ ดนิ แดนทม่ี นี ำนับล้ำน หรือมที น่ี ำเป็นจำนวนมำก คกู่ ับล้ำนชำ้ ง คอื ดนิ แดนทีม่ ชี ำ้ ง นับลำ้ นตวั เมื่อ ปี พ.ศ. 2530 คำว่ำ \"ล้ำนนำ\" กับ \"ลำนนำ\" เป็นหัวข้อโต้เถียงกัน ซึ่งคณะกรรมกำร ชำระประวัติศำสตร์ไทย ซึ่งมี ดร. ประเสริฐ ณ นคร เปน็ ประธำน ไดใ้ ห้ข้อยุติว่ำ \"ล้ำนนำ\" เป็นคำที่ ถกู ต้อง และเป็นคำที่ใช้กันในวงวิชำกำร (อำณำจักรลำ้ นนำ – วกิ พิ ีเดีย : ออนไลน์ ) โดยลำ้ นนำ คอื ำชอำณำจกั รของชำวยวนในอดตี ตังอยบู่ ริเวณภำคเหนอื ตอนบนของประเทศไทย ตลอดจนสิบสอง ปนั นำ เชน่ เมอื งเชียงรุง่ (จิ่งหง) มณฑลยูนนำน ภำคตะวันออกของพม่ำ ฝ่ังตะวนั ออกของแมน่ ำสำละวนิ ซึ่งมีเมืองเชยี งตงุ เป็น เมืองเอก ฝ่ังตะวันตกแม่นำสำละวิน มีเมืองนำยเป็นเมืองเอก และครอบคลุมแปดจังหวัดในปัจจุบัน ได้แก่ จังหวัด เชียงใหม่ ลำพูน ลำปำงเชียงรำย พะเยำ แพร่ น่ำน และแม่ฮ่องสอน โดยมีเมืองเชียงใหม่ เป็นรำชธำนี มีภำษำ ตัวหนังสือ วัฒนธรรม และประเพณีเป็นของตนเอง ต่อมำถูกปกครองในฐำนะรัฐบรรณำกำรหรือรัฐส่วยของอำณำจักรตองอู อำณำจักร อยุธยำ อำณำจักรล้ำนช้ำง และอำณำจักรอังวะ จนสินฐำนะอำณำจักร กลำยเป็นเมืองส่วนหนึ่งของอำณำจักรอังวะใน รำชวงศน์ ยองยำน ไปในทีส่ ดุ (ควำมเป็นมำของอำณำจักรล้ำนนำ - LannaStyle - Google Sites : ออนไลน์ ) โดยที่มำของกำรทำเฉลว มำจำกตำนำนลำ้ นนำ...กษัตริย์หิรัญนครเงินยำง พระองค์หน่งึ นำมวำ่ ขนุ เตงิ ชอบเข้ำป่ำ ล่ำสัตว์ วนั หนง่ึ ไปปัสสำวะลงในบ่อหนิ ในเวลำไลเ่ ลย่ี กัน ธดิ ำพระยำนำคแปลงกำยเปน็ ลิงมำเท่ียวเล่น และกนิ นำในบ่อนัน แลว้ ก็เกิดตงั ครรภ์ ธดิ ำพระยำนำค ใชฤ้ ทธส์ิ อดส่องกท็ รำบว่ำ เจ้ำของนำทีท่ ำให้ นำงตงั ครรภ์ คือขนุ เติง จึงหลงรักขนุ เติง แปลงกำย จำกนำงลิงเปน็ หญงิ งำม แตก่ ำรเป็นหญงิ รักผชู้ ำย จะเดนิ เข้ำไปหำชำยนันดจู ะไมค่ วร ธดิ ำพระยำนำคเนรมิตกวำงทอง ไปล่อ ขุนเติงให้ไล่ตำม และก็ได้พบกันรักกัน ครองคู่กันอยู่ในวิมำนเนรมิตของธิดำพระยำนำค ได้สำมีแล้ว แต่ธิดำพระยำนำคก็ยัง อยำกเล่นซน จึงแปลงร่ำงเป็นลิง วิงเล่นบนต้นไม้ เนรมิตม่ำนบังระหว่ำงวิมำนกับต้นไม้ไว้ แต่ลิงก็เล่นกันเพลินจนเกินไป ส่ง เสยี งดงั จนขนุ เติงรำคำญ จงึ กรีดมำ่ นดูพบควำมจรงิ ก็เสยี ใจ เอ่ยปำกบอกลำนำงลิง กลบั เมอื ง นำงลงิ เข้ำใจไม่ห้ำม รดี ลูกในท้อง ออก เอำใบตองตึงห่อ รดี นม ใส่กระบอกไม้ ส่งั ขุนเติงว่ำ เม่ือไปถึงเมอื งให้เอำเดก็ ออกให้นม และใหต้ ังช่ือลกู วำ่ ขุนตงึ ( ๓ ของ วิเศษของขุนตึง – ไทยรัฐออนไลน์: ออนไลน์ ) ขุนตึงเจริญวัย อำยุได้ 16 ปี ก็ออกเที่ยวป่ำ เจอนำงลิงแปลงผ้เู ป็นมำรดำโดย บงั เอิญ ธิดำพระยำนำคพำลกู ชำยไปหำพระยำนำคผู้เปน็ ตำ ตอนลำกลับ พระยำนำคทำขวญั หลำน ด้วยกำรให้ของวิเศษสองส่ิง สงิ่ แรก : หมอ้ แกงตองบจ่ ำ่ ย สง่ิ ท่ีสอง : ขอขวกั ไขวแ่ ปลงเมอื ง หมอ้ แกงตองบจ่ ำ่ ย แค่นำไปตังบนเตำ กจ็ ะมอี ำหำรเลยี งคนนับ หมื่นนับแสน ขอขวักไขว่แปลงเมือง หำกนำไปแขวน แล้วกวัดแกว่งจะบงั เกิดเปน็ บ้ำนเมือง ระหว่ำงขนุ ตงึ เดนิ ทำงกลับเมอื ง ก็ ใช้ตะขอวเิ ศษเนรมิตเมือง แลว้ ใช้หม้อวเิ ศษเลยี งคนทงั เมือง เมอื งขุนตึงเจริญใหญ่โต สัตวป์ ำ่ บรวิ ำรนำงลิงก็ตำมมำอำศยั นบั วัน กม็ ำกเข้ำๆ แย่งกนั กดั กนิ พืชไร่ของชำวเมอื ง ขุนตงึ แกป้ ญั หำดว้ ยกำรไปตำมพระยำแหลว (เหย่ยี ว) มำดแู ล พวกสตั วก์ ลวั พระยำ แหลว ก็ถอยไป แต่พอพระยำเหย่ียวไม่อยู่ก็กลับมำ ขุนตึงปรึกษำมำรดำ ได้รับคำแนะนำให้สำนตอกให้เป็นรูปดวงตำแหลว (ตำเหยยี่ ว) ปักไว้ สตั ว์เข้ำใจว่ำพระยำแหลวยังอยู่ ก็ไมก่ ลำ้ รบกวนอีก (\"ของวิเศษของขุนตึง\" รวมข่ำวเกี่ยวกับ \"ของวิเศษของ ขนุ ตึง\" เรอื่ งรำว ... : ออนไลน์ ) รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขนึ้ เพือ่ การศึกษา 17
ภาพท่ี 1 ภำพเฉลว ทม่ี ำ : เพจ เจำะเวลำหำอดีต [Online] เฉลว หรือ ฉลิว ภำษำถ่ินพำยัพว่ำ ตำเหลว หรือ ตำแหลว และภำษำถ่ินใต้ว่ำ กะหลิว เป็นเคร่ืองหมำยทำด้วยเสน้ ตอกไม้ไผห่ รอื หวำยเส้น หกั ขัดกนั เป็นมุม ตงั แต่สำมมุมขนึ ไป โบรำณใชเ้ ฉลวในงำนต่ำง ๆ ดงั นี ใช้แสดงบอกสญั ลกั ษณ์ว่ำเป็น ร้ำนขำยของ ใชแ้ สดงบอกสญั ลักษณว์ ่ำเปน็ ท่ตี ังดำ่ นเกบ็ ภำษี ใช้บอกอำณำเขตกำรจับจองที่นำโดยกำรปักเฉลวไวท้ ่สี ม่ี มุ ของท่ีท่ี ตนเป็นเจ้ำของ ปักไว้ท่ีท่ีแสดงว่ำเป็นบริเวณท่ีหวงห้ำมต่ำง ๆ หรือบอกเตือนใหร้ ะวังอันตรำย ใช้ในกำรแพทย์แผนโบรำณ ว่ำ กันว่ำหม้อท่ีบรรจยุ ำถ้ำไม่ลงคำถำมีเฉลวปกั กันไว้ เมื่อผ่ำนบ้ำนหมออ่ืนหรอื คนหรอื ส่งิ ใดที่ถือ อำจทำให้เครื่องยำท่ีมอี ยู่ในนัน เส่ือมคณุ ภำพหำยควำมศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ หรือกนั ไม่ใหใ้ ครเติมอะไรลงไปหรือกันอะไรท่จี ะไปทำลำยยำให้เสียไป ดงั นจี งึ ต้องปักเฉลวไว้ เวลำคลอดลูกอยไู่ ฟโบรำณก็มีกำรปกั เฉลวดว้ ย นอกจำกปกั เฉลวแลว้ ยังมีกำรเสกคำถำอำคมลงยนั ตบ์ นเฉลวที่ใชป้ ักหมอ้ ยำด้วย ซึ่งคำถำจะแตกตำ่ งไปตำมแฉกของเฉลวดังนี เฉลว 3 แฉก ลงอักขระ มะ อะ อุ หมำยถึงขอใหอ้ ำนำจพระผูเ้ ป็นเจำ้ ทงั หลำยจงประสำทพรใหห้ ำยป่วย ซึง่ เดมิ เป็น ควำมเช่ือของศำสนำพรำหมณ์ เฉลว 5 แฉก ลงอักขระพระเจ้ำ 5 พระองค์คือ นะโมพุทธำยะ เฉลว 8 แฉก ลงอัขระ อิติปิ โสแปดทิศ โดยท่ีเฉลวเป็นเครอ่ื งหมำยถึงยันต์หรือสงิ่ ศักด์ิสิทธิ์ ท่ีเกี่ยวข้องกับยำ เภสัชกรรมสมำคมแห่งประเทศไทย ในพระ บรมรำชูปถมั ภ์ จึงได้นำมำใชเ้ ปน็ ส่วนหนงึ่ ในกำรทำสัญลักษณข์ องหน่วยงำนและสญั ญลักษณข์ องวชิ ำชีพเภสัชกรรมอกี ด้วย ในวัฒนธรรมล้ำนนำจะเรยี กเฉลวว่ำ ตำแหลว มำจำก นกแหลว ซ่ึงเป็นนกขนำดใหญ่ชนิดหนง่ึ เปรียบตำแหลวเปน็ ตำของเหย่ยี วคอยจ้องมองส่งิ เลวรำ้ ย มักเอำไวก้ ันภูตผปี ีศำจ ดงั เช่น ชำวลัวะนำตำแหลวไปตดิ ทีป่ ระตูบำ้ น ส่วนชำวอำข่ำจะติด ตำแหลวไวป้ ระตูของหมู่บ้ำนเพ่อื แยกโลกมนุษย์กบั โลกวิญญำณออกจำกกันและในกฎหมำยตรำสำมดวง บทอัยกำรลกั ษณะผัว เมีย กล่ำวโทษหญงิ มชี ู้วำ่ \"สว่ นหญิงอนั ร้ำย ใหเ้ อำเฉลวปะหน้ำ ทดั ดอกชบำแดงทังสองหู รอ้ ยดอกชบำแดงเป็นมำลัยใส่ศีรษะ หรือคอ แล้วให้เอำหญิงนันเข้ำเทียมแอกข้ำงหนึ่ง ชำยชู้เทียมแอกข้ำงหน่ึง ประจำนด้วยไถ 3 วัน ( ๖ เฉลว – วิกิพีเดีย : ออนไลน์ ) ภาพที่ 2 ภำพจำลองหมอ้ วเิ ศษในเร่อื งขุนตึง ที่มำ : เพจ ลำ้ นนำบำ้ นเรำ[Online] 18 ผลงานนักเรียนระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
2. วเิ คราะหผ์ ล จำกนทิ ำนทอ้ งถนิ่ เรือ่ งขุนตงึ สำมำรถวิเครำะห์และนำมำอภปิ รำยไดว้ ำ่ ของวิเศษที่กล่ำวถงึ ในเรื่อง ขุนตงึ มี ทงั หมด 3 อย่ำง คือ 1. \"หมอ้ แกงตองบจ่ า่ ย\" หรอื หมอ้ วิเศษ กลำ่ วคอื ถ้ำต้องกำรจะใช่หมอ้ แกงใหย้ กขึนมำตังบนเตำ บอกว่ำจะปรุงอะไร จะมีเนอื มีปลำปรำกฎในหมอ้ อำหำร อำหำรนันสำมำรถเลอื งคนได้เปน็ หม่ืนเป็นแสนคนไมม่ ีวันหมด แต่ตอนนีเปน็ ควำมเช่ือในอดีตและปจั จบุ ันยงั มีหลักฐำนไมม่ ำก นกั ทีจ่ ะทำกำรศึกษำต่อ ภาพที่ 3 ภำพจำลองหมอ้ วิเศษในเร่อื งขุนตงึ ที่มำ : เพจ เจำะเวลำหำอดตี [Online] 2. \"ตะขอขวักไขว่แปลงเมือง\" หรอื ตะขอวิเศษ กล่ำวคือ ถ้ำต้องกำรจะใช่ให้เอำแขวนไว้ในบริเวณที่จะสร้ำงบ้ำนแปลงเมืองในเวลำกลำงคืนจะเกิด บ้ำนเมืองขนึ ทนั ตำเหน็ แตต่ อนนเี ปน็ ควำมเชือ่ ในอดีตและปัจจุบนั ยงั มหี ลกั ฐำนไม่มำกพอนักทจ่ี ะทำกำรศึกษำตอ่ ภาพท่ี 4 ภำพจำลองตะขอขวักไขวแ่ ปลงเมืองในเร่ืองขุนตึง ท่ีมำ : blogspot[Online] รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวตั ิศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขนึ้ เพือ่ การศึกษา 19
เฉลว มำจำก นกแหลว ซึ่งเป็นนกขนำดใหญ่ชนิดหน่ึง เปรียบตำแหลวเป็นตำของเหยี่ยวคอยจ้องมองส่ิง เลวรำ้ ย มักเอำไว้กนั ภตู ผีปศี ำจ ดงั เชน่ ชำวลัวะนำตำแหลวไปตดิ ทป่ี ระตบู ้ำน ส่วนชำวอำขำ่ จะตดิ ตำแหลวไว้ประตูของหมู่บ้ำน เพอื่ แยกโลกมนษุ ย์กับโลกวญิ ญำณออกจำกกัน ภาพท่ี 5 ภำพเฉลว ทีม่ ำ : wikipedia[Online] (เพจ พุทธศลิ ป์ ล้ำนนำ : ออนไลน์ ) เฉลว พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ.๒๕๒๕ ได้ให้ควำมหมำยไว้ว่ำ เฉลว น.เคร่ืองทำด้วยตอก หัก ขดั กันเปน็ มมุ ๆ ตังแต่ ๕ มุมขนึ ไป สำหรบั ปักหมอ้ ยำ ปกั เป็นเคร่อื งหมำยทีส่ ิง่ ของ ซ่ึงจะขำยหรือปกั บอกเขต พจนำนุกรมศพั ท์ ศิลปกรรมให้ควำมหมำยเฉลว ว่ำ เคร่ืองหมำยอย่ำงหนึ่ง ทำด้วยตอก นำมำหักขัดเป็นมมุ ตังแต่ ๕ มุมขึนไป มีท่ีใช้หลำยอย่ำง แลว้ แต่ลักษณะและประโยชนใ์ ช้สอย ดังเชน่ - เฉลวขนำดเล็ก หักขัดเป็น ๕ มุม ใช้สำหรับปักบนใบตองหรือผ้ำขำวบำงท่ีมัดปิดปำกหม้อยำต้มของ แพทยแ์ ผนไทย ภาพที่ 6 ภำพเฉลวขนำดเลก็ ท่มี ำ : ณัชชำ พระเครอื่ ง[Online] - เฉลวขนำดใหญ่ ใชป้ กั บนพืนดนิ เปน็ เคร่ืองหมำยบอกเขตห้ำมลว่ งลำละเมิดสทิ ธ์ิเหมอื นรัว หรอื ใช้เปน็ เครื่องหมำยบอกขำยทผ่ี ืนนัน เช่นเดียวกบั ทใ่ี ช้ปกั บนสงิ่ ของอนื่ ๆ เชน่ เรอื แพ บำ้ น เปน็ ตน้ เพอ่ื บอกควำมประสงค์ใหร้ ู้ว่ำ ตอ้ งกำรขำยสิ่งนนั ๆ 20 ผลงานนกั เรียนระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
ภาพที่ 7 ภำพเฉลวขนำดใหญ่ ทม่ี ำ : http://9mahawed.blogspot.com/2013/07/blog-post.html[Online] พจนำนุกรมหตั ถกรรมและอุตสำหกรรมพืนบำ้ นให้ควำมหมำยเฉลววำ่ เคร่ืองจกั สำนชนิดหน่ึง ใช้ตอกสำนขดั กันเป็น แฉกๆ อำจมหี ้ำแฉก หกแฉก หรอื มำกกวำ่ นัน เฉลวเปน็ เคร่อื งสำนที่เกย่ี วเนื่องกับควำมเชื่อของไทยมำแต่โบรำณ เช่น มกี ำรปัก เฉลวไว้บนเคร่ืองเซ่นพลีตำมริมทำงหรือทำงแยก เพื่อเป็นเคร่ืองหมำยบอกให้ภูต ผี และวิญญำณมำรับเครื่องเซ่นพลีนัน พจนำนุกรมสถำปตั ยกรรมและศลิ ปะเก่ียวเน่ืองให้ควำมหมำยว่ำ เฉลว ก.เครื่องกันห้ำม ห้ำมแตะต้อง ห้ำมล่วงสทิ ธิ์ ใช้ปักฝำ หม้อยำเพอ่ื ป้องกันผูอ้ น่ื เปิด หำกปกั อยู่ตำมสง่ิ ทเ่ี ปน็ อสงั หำรมิ ทรพั ย์ เช่น บำ้ นเรือน แพ ฯลฯ ก็หมำยถงึ ห้ำมละเมดิ สทิ ธ์ิ ข.ส่ิง ใดท่ปี ระสงคจ์ ะแจ้งขำยกใ็ ช้เฉลวปักหรือแขวนไว้เช่นกนั ค.เคร่อื งป้องกนั รังควำนหรอื เคร่ืองอำถรรพ์’ - “เฉลว” ใช้เปน็ สญั ลักษณท์ ส่ี ่ือถึงควำมหมำยหลำกหลำยรูปแบบ ตวั เฉลวนันโบรำณจะสำนดว้ ยตอกไมไ้ ผห่ รือหวำย สำนหกั ขดั เปน็ มมุ ๆ ทำให้เกิดเป็นตำเหมอื ตำชะลอม มีหลำยรูปแบบ เฉลวนี บำงทกี เ็ รียกว่ำ “ตำแหลว” หรือ “ตำเหลว” ในหนังสือบันทึกเร่ืองควำมรตู้ ่ำงๆ ซึ่งสมเด็จเจ้ำฟ้ำกรมพระยำนริศรำนุวัดติวงศ์ ทรงบันทึกประทำน กล่ำวถึงเรื่อง เฉลวเป็นใจควำมว่ำ เฉลว ก็คือ รัวนั่นเอง ยังเห็นได้อยู่ว่ำเป็นตำคือรัว ซ่ึงชำวอีสำนเรียกว่ำ ตะเหลว แล้วเรียกเพียนกันไป ตำ่ งๆ ตะเหลวมำแต่ ตำแหลว แลว้ มำเปน็ ตำเหลว แล้วเปน็ ตะเหลว เฉลว อะไรตอ่ ไป ภำคพำยัพและภำคอสี ำนตลอดจนชำติไทบำงกลุ่ม เรียก เฉลว วำ่ “ตำแหลว” ถอื ว่ำเป็นสัญลักษณ์หรือเครอ่ื งหมำย ใช้แทนตำของเหลว คำวำ่ “แหลว” หมำยถึง เหยย่ี วซงึ่ เปน็ สตั วท์ ี่มีตำดีมำก สำมำรถมองเห็นสงิ่ ตำ่ งๆ ได้จำกท่ไี กลๆ ภาพที่ 8 ภำพเฉลว ทีม่ ำ : สขุ ใจ.com[Online] ในภาคเหนือ ดินแดนลา้ นนาในอดีต มีกำรใช้เฉลวในพิธีกรรมต่ำงๆ นอกจำกจะใช้เป็นเครือ่ งรำงชองชำวนำแล้วยังใช้เฉลวแบบตำเหยี่ยวกำหนด ขอบเขตท่ีคุ้มครองให้ปลอดจำกผีอีกด้วย โดยมีตำนำนควำมเป็นมำของเฉลวซึ่งเกี่ยวข้องกับกำรเมืองเชียงตุงว่ำ พระเจ้ำเทงิ กษัตริย์แหง่ เมืองเงนิ ยวงโปรดกำรประพำสปำ่ ล่ำสัตวม์ ำก วันหน่ึงเสด็จไปเทีย่ วป่ำลำ่ สัตวน์ นั ได้เสด็จเขำ้ ไปลึกมำกทรงพบนำงไม้ ผหู้ น่ึง พระองค์พอใจในควำมงำมของนำงมำกจงึ ได้อยรู่ ่วมกันในถำแหง่ หน่งึ เป็นเวลำนำน จนในทส่ี ดุ กเ็ ป็นห่วงบ้ำนเมือง จงึ ขอ ลำนำงกลบั และก่อนทีพ่ ระองค์จะเดนิ ทำงกลบั นำงได้สำรอกทำรกซึง่ เปน็ โอรสของพระเจ้ำเทิงมอบให้มำดว้ ย ทำรกผู้นนั ไดช้ ่ือ ว่ำ เจ้ำชำยตุง ซ่ึงเมื่อเติบโตขึน เจ้ำชำยตุงก็ชอบเที่ยวป่ำเช่นเดียวกับพระรำชบิดำของพระองค์ และได้พบพระมำรดำของ พระองค์อกี ดว้ ย เจำ้ ชำยตงุ ไดม้ โี อกำสช่วยถอนคำสำปบรรพบรุ ษุ ของพระองคต์ ำมทมี่ ำรดำแจ้งให้ทรำบ แลว้ ทรงเห็นวำ่ บริเวณ รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จดั ทาขนึ้ เพือ่ การศึกษา 21
ใกล้เคียงกันนีอุดมสมบูรณ์เหมำะที่จะตังเป็นเมืองใหญ่ได้ และเม่ือได้ตังเป็นเมืองขึนแล้วก็ให้ช่ือเมืองตำมชื่อของพระองค์ว่ำ เชยี งตงุ พร้อมทงั ห้ำมประชำชนของเมอื งนลี ำ่ สัตว์ แต่โดยท่ีสตั วท์ ังหลำยไดเ้ ข้ำมำกัดกินพชื ผลท่ปี ลูกไวเ้ สยี หำยเปน็ ท่ีเดือดร้อน พระองค์จึง ให้เหยี่ยวบินตรวจตรำรักษำไร่นำเอำไวไ้ มใ่ ห้เป็นอันตรำยไปมำก พระองค์จึงใหป้ ระชำชนทำรัวปอ้ งกัน โดยเอำไม้ ไผ่มำขัดกนั เปน็ รปู ตำเหยี่ยวทเี่ รยี กวำ่ ตำเหลว หรือเฉลว ทุกวนั นี ภาพท่ี 9 ภำพเฉลว ทีม่ ำ : นิตยสำรศลิ ปำกร ฉบับท่ี ๓ พ.ค.- มิ.ย.๕๙[Online] เฉลวทีใ่ ชใ้ นภาคใต้ เฉลว ภำคใตเ้ รยี กช่ือแตกตำ่ งกันตำมบรบิ ทของทอ้ งถิน่ คือเรียก กะหลวิ ฉะหลวิ เหลว หรือ เหลวเพชร ใช้ สำหรบั ปักไวท้ ่ีหมอ้ ยำสมุนไพร จำกกำรศกึ ษำรูปแบบและบริบทของเฉลวในภำคใตพ้ บว่ำ นยิ มใชเ้ ฉลวลกั ษณะรูปดำวสำนด้วย ตอกหกั ขดั กันเปน็ มุมหรอื เปน็ แฉก มี ๓ แบบคอื ๑. เฉลว แบบ ๓ มุม หรือ ๓ แฉก ๒. เฉลว แบบ ๕ มมุ หรอื ๕ แฉก ๓. เฉลว แบบ ๘ มุม หรือ ๘ แฉก ภาพที่ 10 ภำพเฉลว ที่มำ : Medicowiki[Online] 1. ตาเหลวหลวง เป็นตำเหลวท่ีมีขนำดใหญ่ มีขนำด ๖ แฉก หรือ ๘ แฉก มกั ใช้ในพิธสี บื ชะตำเมือง สืบชะตำหลวง หรือสำหรับให้คน สตั ว์ ลอดผ่ำน เพ่อื ควำมเป็นสิริมงคลแก่ผู้ได้ลอดผ่ำนตำเหลว เชอ่ื กันวำ่ สำมำรถขจดั ส่งิ ท่ีเป็นอัปมงคลต่ำงๆ บำงทอ้ งถ่นิ เรียก ตำเหลวหลวงว่ำ ตำเหลวแรกนำ ซ่ึงจะใช้ในพิธีกำรแรกนำของชำวนำ โดยกำรนำเฉลวไปปักไว้ท่ีนำของตนเองพร้อมทังจัด เครอ่ื งบตั รพลตี ำ่ งๆ เพ่อื บูชำแม่โพสพ 22 ผลงานนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
ภาพท่ี 11 ภำพตำเหลวหลวง ทีม่ ำ : รำยกำรตะลอนขำ่ ว [Online] 2. ตาเหลว 7 ชัน้ ปกติจะใช้ตอกจำนวน 42 เส้น สำนขัดกันเป็นชันๆ จำนวน 7 ชัน เมื่อสำนเสร็จแล้วสำมำรถกำงออกได้ถ้ำสำนผดิ เวลำกำงออกตอกจะหลุดออกจำกกัน ตำเหลวชนิดนีนิยมใช้กันมำกทำงล้ำนนำโดยมคี วำมเชอื่ ว่ำ เมื่อผูกหรือแขวนไว้ท่ีประตู บ้ำนเรือนจะสำมำรถกันภูต ผี ปิศำจ และสิ่งอัปมงคลต่ำงๆ ไม่ให้เข้ำมำในเรอื นหรอื สถำนท่ีนันๆ ได้ บ้ำนที่ไม่มีคนอยู่ถูกทงิ ไว้ นำนๆ เปน็ แรมเดือนแรมปี ก็จะใช้ตำเหลวเจด็ ชนั นีแขวนไว้ทีป่ ระตเู รอื นเพ่อื ป้องกนั ส่ิงอปั มงคลต่ำงๆ เขำ้ บำ้ นเรือนน่นั เอง ภาพที่ 12 ภำพตำเหลวหลวง ที่มำ : Amarin TV [Online] 3. ตาเหลวคาเขียว ลักษณะเป็นตำเหลว ๗ ชัน เพ่ือเพ่ิมให้มีพลังควำมเข้มขลังมำกขึนไปอีก จึงเอำคำเขียวมำพันเข้ำรอบๆ จึงเรียกวำ่ ตำเหลวคำเขียว ใช้ในพิธกี รรมพนื เมือง เชน่ พธิ ีสืบชะตำ หรือผูกรอ้ ยด้วยดำ้ ย ๗ เสน้ แขวนไวต้ รงประตทู ำงเข้ำบ้ำนหรือหน้ำ บ้ำนเพ่ือกัน ภูต ผี และส่ิงที่เปน็ อปั มงคลต่ำงๆ เชอ่ื ว่ำหำกใครไดล้ อดผ่ำนกส็ ำมำรถขจัดปดั เป่ำส่งิ ชว่ั ร้ำยออกจำกตวั ได้ ภาพท่ี 13 ภำพตำเหลวคำเขยี ว 23 ทม่ี ำ : เพจ ตำนำน,เรื่องเลำ่ ,ส่งิ เหนอื ธรรมชำติ [Online] รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จดั ทาขนึ้ เพื่อการศึกษา
4. ตาเหลวแม่มา่ ย ลกั ษณะคลำ้ ยกงจกั ร ใช้ตอก ๖ เส้น สำนหักขัดกนั ให้มลี ักษณะเปน็ ตำหกเหล่ยี มอยูต่ รงกลำง มกั ใชใ้ นพิธกี ำรแรกนำ ทำขวัญขำ้ วหรือกอ่ นปลกู ขำ้ วและก่อนขำ้ วตังรวง แขวนไวเ้ พื่อปอ้ งกัน ภตู ผี มำทำร้ำยแม่โพสกนั หนู แมลง กนั สงิ่ อปั มงคลมำ รบกวนขำ้ ว ภาพที่ 14 ภำพตำเหลวแมม่ ่ำย ทม่ี ำ : เพจ มหำวิทยำลยั แม่โจ้ [Online] 5.ตาเหลวหมาย ปกติใชต้ อกเพียง ๖ เส้น สำนหกั ขดั กนั ให้มลี กั ษณะเปน็ ตำหกเหลยี่ มอย่ตู รงกลำง มกั ใช้ในพธิ ีกำรแรกนำ ทำขวญั ข้ำว หรือก่อนปลูกข้ำวและก่อนข้ำวตังรวง แขวนไว้เพ่ือป้องกัน ภูต ผี มำทำร้ำยแม่โพสพ กันหนู แมลง กันสิ่งอัปมงคลมำรบกวน ข้ำว ภาพท่ี 15 ภำพตำเหลวหมำย ทีม่ ำ : เพจ ลำ้ นนำศำสตร์ [Online] (sookjai.com : ออนไลน์ ) 24 ผลงานนักเรียนระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมัธยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
สรปุ ภูมปิ ญั ญำท้องถิ่น เรื่องเฉลว ในภูมิภำคต่ำงๆ ภาพที่ 16 พฒั นำกำรเฉลวในภูมภิ ำคต่ำงๆ จำกกำรศกึ ษำเรื่อง เฉลว ในภูมิตำ่ งๆของประเทศไทย พบวำ่ ลกั ษณะของเฉลวแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ภมู ภิ ำคต่ำงๆดงั นี ภำคพำยัพและภำคอีสำนตลอดจนชำวไทยบำงกลุ่ม : คำว่ำตำเหลวมำจำก คำว่ำ”แหลว” ในแปลว่ำเหยี่ยวในภำษำเหนือ ภำคเหนือและดินแดนล้ำนนำในอดีต : ใช้เฉลวในพธิ กี รรมต่ำงๆ และตำเหลวยังมีควำมเกย่ี วข้องและประวัติศำสตร์ของภูมิภำค ในอดตี ภำคใต้ : มคี วำมหลำกหลำยมำกท่สี ดุ และแต่ละพืนท่ีจะเรยี กไม่เหมอื นกนั เขน่ ตำเหลวหลวง ตำเหลว3แฉก ตำเหลว7 แฉก เป็นต้น 3. สรปุ ผล เฉลวคือเคร่ืองทำด้วยตอกหกั ขัดกันเป็นมมุ ๆตังแต่ ๕ มุมขึนไปซึ่งมีสองชนิดคือ เฉลวขนำดเล็ก และ เฉลวขนำดใหญ่ มีกำรพบกำรใช้เฉลวในภำคเหนือและภำคใตซ้ ่ึงภำคใตม้ ีกำรใช้เฉลว5แบบโดยเฉล มำจำกตำนำนลำ้ นนำเป็นของทม่ี ำจำกเร่ือง เล่ำของขุนตึงท่ีได้สร้ำงเมอื งอนั ย่ิงใหญ่แต่เนื่องจำกมีสัตว์ป่ำเข้ำมำอำศัยและทำลำยพืชผลท่ีผลิตเป็นจำนวนมำกจึงได้ทำกำร สำนตอกใหเ้ ป็นรูปดวงตำแหลวหรอื เฉลวไว้เพือ่ เป็นตัวแทนของพระยำแหลวในกำรขับไล่พวกสัตว์ป่ำ เฉลวถกู ใชใ้ นงำนต่ำง ๆ และปัจจุบันได้เป็นเครื่องหมำยถึงยันต์ที่เกี่ยวข้องกับยำ แห่งประเทศไทยได้นำมำใช้เป็นส่วนหนึ่งในกำรทำสัญลักษณ์ของ สัญญลักษณ์ของวิชำชีพเภสัชกรรม ในวัฒนธรรมล้ำนนำเฉลวมักเอำไว้กันภูตผีปีศำจ และในกฎหมำยตรำสำมดวงกล่ำวโทษ หญิงมชี ู้ให้เอำเฉลวปะหนำ้ ทำให้เห็นได้วำ่ เฉลวคอ่ นข้ำงมีอิทธิพลและเก่ยี วข้องต่อกำรดำรงชวี ิตของคนกลมุ่ ไทยในสมยั กอ่ น รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จดั ทาขึน้ เพื่อการศึกษา 25
4. อา้ งอิง เฉลว : ควำมเชือ่ กับประเพณีนิยมในท้องถน่ิ . (2564). สืบค้นจำก http://www.sookjai.com/index.php?topic=179678.0 สบื คน้ เมือ่ วนั ที่ 29 กรกฎำคม 2564. เฉลว คอื อะไร . (2564). สืบคน้ จำก http://www.sookjai.com/index.php?topic=179678.0 สบื ค้นเม่อื วันท่ี 29 กรกฎำคม 2564. เฉลว คอื อะไร มีไวท้ ำอะไรกันนะ! . (2560). สบื ค้นจำก https://medicowiki.com/2017/11/22/pentagram-mark / . สบื ค้นเมือ่ วันท่ี 29 กรกฎำคม 2564. เฉลว – วิกพิ เี ดีย . (2563). สบื คน้ จำก https://th.wikipedia.org/wiki/เฉลว สืบค้นเมอื่ วนั ท่ี 29 กรกฎำคม 2564. เฉลว – สญั ลกั ษณศ์ กั ดิ์สทิ ธิ์ของคนตระกูลไต . (2561). สืบค้นจำก https://www.sarakadee.com/2018/04/16/cha-lew/ สืบค้นเม่ือวันท่ี 29 กรกฎำคม 2564. เฉลว : สญั ลักษณ์หมอ้ ยำ - กระทรวงสำธำรณสุข . (2563). สบื ค้นจำก https://www.moph.go.th/index.php/news/read/1435 สืบค้นเม่อื วันท่ี 29 กรกฎำคม 2564 26 ผลงานนกั เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
พฒั นาการความเป็นมาศิลาจารึก หลักที่ 1 ผู้จัดทำ จฑุ ำรตั น์ ภศู รโี สม, โชติกำ ปติ ิคุณชตุ ิพร, เบญญำภำ บตุ รศรภี มู ิ, ปทิดำ พทุ ธรกั ษ์, เพชรดำ เพิดภเู ขยี ว, รรศิ ณ์ศรำ บญุ กำญจนำรัตน์, รนิ รดำ สริ วิ ฒั นชยกร, สภุ ำพร เจนวิถีสุข ห้อง ม.3/3 1.ประวตั ิความเปน็ มา สันนิษฐานว่าศิลาจารึกหลักท่ี1จารึกข้ึนประมาณพ.ศ.1835เป็นปีท่ีพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงสงั่ ให้สรา้ งพระ แท่นมนังศิลาบาตรและจารึกหลกั อื่นๆพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดารงพระอิสริยยศเป็นเจา้ ฟ้ามงกุฎฯ และผนวชอยู่วัดราชาธิวาสในรัชกาลท่ี3ทรงนาศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชจากพระราชวังเก่ากรุงสุโขทัยมา กรุงเทพฯ พร้อมกับพระแท่นมนังศิลาบาตร เมื่อ พ.ศ. 2376 ต่อมาได้มีการทาคาอ่านและแปลเป็นภาษาไทยคร้ังแรก ตามคาอ่านของศาสตราจารย์ยอรช์ เซเดส์และในพ.ศ.2521คณะกรรมการพิจารณาและจัดพมิ พ์เอกสารทางประวตั ิศาสตร์ได้ ต้งั อนกุ รรมการขึ้นมาคณะหนงึ่ เพอ่ื อ่านและตรวจสอบจารึกของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราชและไดจ้ ดั พิมพ์ข้ึนเป็นฉบับภาษาไทย ที่สมบรู ณ์ศลิ าจารึกของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชมคี วามสงู 1เมตร11เซนติเมตรปจั จุบันประดิษฐานอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่ง ชาตพิ ระนครในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่33แหง่ กรุงรัตนโกสินทรส์ มเด็จพระเจา้ น้องยาเธอเจ้าฟ้า มงกุฎฯทรงผนวชเป็นพระภิกษุและได้ออกเสด็จจาริกธุดงค์ไปยังหัวเมืองเหนือในราวปีพ.ศ.2376เมื่อคร้ังเสด็จถึงเมืองเก่า สุโขทัยทรงพบศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงศิลาจารึกวัดปา่ มะม่วงภาษาเขมร(สท.3)หลักท่ี4และพระแท่นมนังศิลาบาตรที่เนนิ ปราสาทเก่าสโุ ขทยั ทอดพระเนตรเห็นว่าโบราณวัตถเุ หลา่ น้เี ป็น“โบราณวตั ถทุ สี่ าคญั ”จึงโปรดฯให้นาลงมาเกบ็ รกั ษาไว้ทว่ี ัดราช าธวิ าส (วัดสมอราย) ( ¹ ศิลาจารึก หลักที่ 1พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช, 2564 : ออนไลน)์ สอื ศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ท่1ี จารึกพอ่ ขุนรามคาแหงฉบบั หอสมุดแห่งชาติจดั สมั มนาพ.ศ.2520ไดก้ ลา่ วถงึ ประวัติศิลา จารึกพ่อขุนรามคาแหงไว้ดังน้ี“ปรากฎในสมุดจดหมายเหตุซ่ึงเดิมเก็บอยู่ณกรมเลขาธิการคณะรฐั มนตรี(ซ่ึงได้มาจากราชเลขา ธกิ ารในพระบรมมหาราชวังก่อนเปล่ียนการปกครอง)และในสมุดไทยซึ่งเดมิ เป็นของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศ วริยาลงกรณ์มีข้อความตรงกันว่า“เมื่อศักราช1195ปีมเสงเบญศก(ตรงกับพ.ศ.2376ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า เจ้าอยู่หัว ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ ณ วัดราชา ธิวาส เดิมเรียกว่าวัดสมอราย) จะเสด็จขึ้นไปประภาสเมืองเหนือมัศการเจตียสฐานต่าง ๆ ... คร้ัน ณ วันขึ้นหกค่ากลับมาลงเรือ เจ็ดค่าเวลาเท่ียงถึงท่าธานี เดินข้ึนไปเมืองศุโขทยั ถึงเวลาเยนอยู่ที่น้ันสองวันเสดจ็ ไปเท่ียวประภาษพบแท่นสีลาแหง่ หนึ่งอยู่รมิ เนินปราสาทก่อไว้เปนแทน่ หักพังลงมาตะแคงอยทู่ เ่ี หล่านั้น ชาวเมอื งเขาเครพย์ (เคารพ) สาคญั เปน็ สานเจา้ เขามีมวยสมโพธทกุ ปี ... รับสัง่ ใหฉ้ ลองลงมา ก่อเปนแท่นข้ึนไว้ใต้ต้นมะขามที่วัดสมอราย กับเสาสิลาที่จารึกเปนหนังสือเขมรฯ ท่ีอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น เอามาคราวเดียวกับแท่นสีลา” “ ในสมุดไทยฉบบั ของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ยังได้กล่าวถงึ “เสาสิลา”อีกเสาหนึ่งว่าเป็นเสาศิลาที่มาแต่เมืองสุโขทัยมีข้อความเกี่ยวกับหนังสือไทยแรกมีข้ึนในเมืองนั้นและพรรณนา ข้อความท่ีปรากฎในศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง ด้านท่ี 4 เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวหิ ารโปรดให้ย้ายศลิ าจารกึ ทงั้ สองหลักไปที่วัดบวรนิเวศวิหารคงจะได้ทรงพากเพียรอ่านคาจารึกอกั ษรไทยในช่วง เวลาน้ีส่วนจารึกภาษาเขมรนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ทรงอ่านและแปลครัน้ เสด็จเสวยราชย์ แล้วโปรดเกล้าฯให้นาศิลาจารึกไปต้ังไว้ที่ศาลารายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามข้างด้านเหนือพระอุโบสถหลังที่สองนับจาก ตะวนั ตกจนถึงพ.ศ.2466พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดเกล้าฯใหย้ า้ ยมารวมกับศิลาจารึกหลักอื่นๆทไี่ ด้พบภาย หลังเกบ็ ไว้ที่ตึกถาวรวตั ถุหนา้ วัดมหาธาตุฯซึง่ เป็นที่ทาการหอพระสมดุ วชริ ญาณสาหรับพระนครครั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวตั ิศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขึน้ เพือ่ การศึกษา 27
เกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั โปรดเกล้าฯให้ย้ายหนังสือตัวเขียนและศิลาจารึกของ หอพระสมุดวชิรญาณสาหรบั พระนครมาเก็บไว้ณพระที่นง่ั ศิวโมกขพิมานในพระราชวงั บวรสถานมงคลให้พระที่นงั่ น้ันเป็นท่ีทา การของหอพระสมุดวชิรญาณสาหรับพระนครต่อปพระราชทานนามตึกถาวรวัตถุใหม่ว่าหอพระสมดุ วชริ าวุธผูซ้ ึ่งอ่านจารกึ ได้ เป็นคนแรกคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวในปพี .ศ.2379สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ทรงเป็นแม่กองควบคมุ คณะนกั ปราชญ์ราชบัณฑิตคัดอักษจากศลิ าจารึกคร้ันเมอื่ ปีพุทธศกั ราช2398เซอรย์ อหน์ โบวริงได้เข้าม าในเมืองไทยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ได้พระราชทานสาเนาคดั อักษรพิมพ์หินพร้อมด้วยแปลเปน็ ภาษาอังกฤษ บางคาเซอร์ยอห์นโบวริงได้นาตัวอย่างลงตีพิมพ์ไว้ในหนังสอื “เดอะคิงส์ดัมแอนดพีพึลอ๊อบวไซแอม”นอกจากน้ีแลว้ พระบาท สมเดจ็ พระจอมเกล้าอยู่หัวยังได้พระราชทานสาเนาคาอา่ นศลิ าจารกึ พ่อขนุ รามคาแหงแกร่ าชฑูตฝรั่งเศสอกี ชุดหนงึ่ ครัน้ ต่อมา ภายหลังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพขณะที่ทรงดารงตาแหน่งสภาน ายกหอพระสมุดวชิรญาณ สาหรับพระนครได้จ้างชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งคือศาสตราจารย์ยอร์ชเซเดส์มารับราชการเป็นบรรณารักษ์ใหญ่มีหน้าที่เป็นผู้ตรวจ ค้นสอบสวนและอา่ นแปลศิลาจารกึ ต่างๆซึ่งหอพระสมุดวชริ ญาณสาหรับพระนครได้ให้พิมพ์ขึ้นเป็นครงั้ แรก เมือ่ ปีพุทธศกั ราช 2467เน่ืองในงานทาบุญฉลองอายุครบ4ครบของพระยาราชนกลู (อวบเปาโรหิตย์)ใหช้ ่ือหนังสือวา่ “ประชมุ จารึกสยามภาคที่1 จารึกกรุงสโุ ขทัย”พมิ พ์ทงั้ ภาษาไทยและภาษาฝรง่ั เศสการพิมพค์ าอ่านคาปัจจุบันและอธิบายคาจารกึ พอ่ ขุนรามคาแหงคราวน้ี ใช้ฉบับที่ได้จากการประชุมสัมมนา ซ่ึงกองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากรจัดทาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2516 เป็นต้นฉบับ (จารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง, 2550 : ออนไลน)์ จารึกได้รับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกความทรงจาแห่งโลกเม่ือปี พ.ศ. 2546 โดยยูเนสโกบรรยายว่า \"[จารึกนี้] นบั เปน็ มรดกเอกสารชน้ิ หลกั ซ่งึ มีความสาคัญระดบั โลกเพราะให้ขอ้ มูลอันทรงค่าว่าด้วยแก่นหลกั หลายประการเก่ียวกับประวัติ ศาสตร์และวัฒนธรรมโลกไม่เพียงแต่บันทึกการประดิษฐ์อักษรไทยซึ่งเป็นรากฐานแห่งอักษรท่ีผู้คนหกสิบล้านคนใช้อยู่ใน ประเทศไทยปัจจุบันการพรรณนาสุโขทัยรัฐไทยสมัยศตวรรษท่1ี 3ไว้โดยละเอียดและหาได้ยากนั้นยังสะท้อนถึงคณุ ค่าสากลท่ี รัฐทั้งหลายในโลกทกุ วนั น้รี ่วมยดึ ถือ\"(จารกึ พอ่ ขุนรามคาแหง, 2550 : ออนไลน์) 2. วิเคราะห์ผล ศิลาจารกึ ของพอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช มีจารึกไว้ทง้ั 4 ด้าน 2.1 ดา้ นที่ 1 ทรงเล่าพระราชประวัตขิ องพระองค์ ภาพที่ 1 ศิลาจารกึ ดา้ นที่ 1 ทม่ี า : ศลิ าจารึก หลกั ที่ 1 พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พ่ีกูช่ือบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้ญีงโสง พ่ีเผ่ือ ผ้อู ้าย ตายจากเผอื เตียมแต่ยังเล็ก” ( ดา้ นที่ 1 บรรทดั ท่ี 1-3 1 ) แปลได้ว่าบดิ าขอพ่อขุนรามคาแหงช่ือศรอี ินทราทิตยม์ ารดาช่อื นางเสืองพี่ชายชื่อบานเมืองพ่อขุนรามคาแหงมีพี่น้อง ท้องเดียวกันท้ังหมดห้าคนเป็นผู้ชายสามคนผู้หญิงสองคนพ่ีชายคนโตของพ่อขุนรามคาแหงได้ตายจากไปต้ังแต่พ่อขุนราม คาแหงยังเปน็ เดก็ อยู่ “เม่อื กขู น้ึ ใหญ่ได้ สิบเกา้ เข้า ขุนสามชนเจา้ เมืองฉอด มา ท่ เมอื งตาก พอ่ กูไปรบขุนสามชนหัวซา้ ยขนุ สามชนขับมา หวั ขวา ขุนสาม ชนเกล่ือนเข้า ไพรฟ่ ้าหนา้ ใสพ่อกูหนีญญ่าย พา่ ยจะแจ้-น กบู ่หนี กขู ี่ช้างเบกพล กูขับเข้ากอ่ นพอ่ กู กตู ่อ 28 ผลงานนกั เรียนระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
ช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวช่ือ มาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงข้ึนช่ือ กู ชื่อพระรามคาแหง เพ่ือกพู ุ่งช้างขนุ สามชน” ( ด้านที่ 1 1บรรทัดที่ 3-10 ) แปลได้วา่ เมอื่ พ่อขุนรามคาแหงอายุไดส้ บิ เกา้ ปีขนุ สามชนเจา้ เมืองฉอดได้ยกทัพมาตเี มืองตากพ่อขุนศรีอนิ ทราทิตย์ไป ออกรบกับขุนสามชนเมื่อทหารปีกซ้ายและปีกขวาของขุนสามชนขี่ ช้างจะขับมาชนช้างของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ไพรพ่ ลต่างวงิ่ หนีกนั ชลมุนเพราะว่ากลัวแพ้แต่พ่อขนุ รามคาแหงไมไ่ ดห้ นกี ลับขนึ้ ข่ีชา้ งแลว้ เขา้ พุง่ ชนกบั ชา้ งมาสเมืองซึง่ เป็นช้าง ของขุนสามชนแทนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จนช้างมาสเมืองแพ้ขุนสามชนก็ได้แพ้แล้วหนีเตลิดไปด้วยเหตุนี้ ทาให้พ่อขุนศรี อนิ ทราทิตยส์ ถาปนาพอ่ ขนุ รามคาแหงเป็น พระรามคาแหง “ชน เมอ่ื ช่วั พอ่ กู กูบาเรอแกพ่ อ่ กู กบู าเรอแกแ่ มก่ ู กไู ดต้ วั เน้อื ตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูไดห้ มากสม้ หมากหวาน อนั ใดกินอร่อยกนิ ดี กูเอามาแก่พอ่ กู กูไปตี หนังวงั ช้าง ได้ กเู อามาแกพ่ ่อกู กูไปทบ่ า้ นท่เมอื ง ไดช้ ้างไดง้ วง ได้ปั่ว ไดน้ าง ได้เงือนได้ทอง กูเอา มาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพ่ีกู กูพร่าบาเรอแก่พ่ี กู ด่ังบาเรอแก่พ่อกู พ่ีกูตาย จ่ึงได้เมืองแก่กูท้ั ง- กลม” ( ดา้ นท่ี 1 บรรทัดท่ี 10-18 ) แปลไดว้ ่าพ่อขุนรามคาแหงคอยปรนนบิ ัตริ บั ใช้พ่อขุนศรีอินทราทิตยแ์ ละนางเสอื งอย่างจงรักภกั ดีเม่ือหาสัตวบ์ กสัตว์ น้าผลไม้ต่างๆหรอื อะไรท่ีอร่อยจะนามาถวายเสมอไปคล้องช้างได้ชา้ งมาก่ีเชือกก็จะนามาถวายแม้ไปตีบ้านตีเมืองอน่ื ได้เชลย ชายหญงิ ได้เงินได้ทองกน็ ามาถวายแด่พ่อขุนศรอี ินทราทติ ย์ตลอดเมื่อพ่อขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย์ส้ินพระชนม์พอ่ ขนุ บานเมอื งครองรา ชยต์ ่อพอ่ ขุนรามคาแหงก็ยังคงปฏบิ ตั ตนเช่นเดิมยังคงคอยปรนนบิ ตั ิรับใชพ้ อ่ ขนุ บานเมืองดง่ั เชน่ เคยทากบั พ่อขนุ ศรีอินทราทติ ย์ “เมื่อช่ัวพ่อขุนรามคาแหง เมืองสุโขทัยน้ีดี ในน้า มีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่าง เพ่ือนจูงวัวไปค้า ข่ีม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างคา้ ใคร จักใคร่ค้าม้าคา้ ใครจักใคร่ค้าเงือนคา้ ทองค้า” ( ด้านท่ี 1 บรรทดั ที่ 18 - 21 ) แป ล ได้ว่า ส มัยพ่อขุนร ามคาแห งเมืองสุโขทัยมีความอุดมสมบูรณ์มาก ในน้ามีปล า ในนามีข้าว และพ่อขุนรามคาแหงไม่ได้เก็บภาษีจากประชาชน ทาให้ใครอยากจะขายอะไรก็ขายกันอย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า เงิน ทอง 2. 2 ด้านท่ี 2 ความตอ่ จากด้านที่ 1 ภาพท่ี 2 ศิลาจารึก ดา้ นที่ 2 ท่ีมา : ศลิ าจารึก หลกั ท่ี 1 พ่อขุนรามคาแหงมหาราช “ไพร่ใน เมืองสุโขทัยน้ีจ่ึงชม สร้างป่า หมากป่าพลู ท่ัวเมือ-งนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองน้ี ป่าลาง ก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองน้ี ใครสร้างได้ไว้แก่มัน กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีนา้ ตระพงั โพยสี ใสกนิ ดี …ดงั่ กินนา้ โขงเม่ือแลง้ รอบเมอื งสโุ ขทยั น้ี ตรี-บรู ไดส้ ามพนั ส่ีร้อยวา” (ดา้ นที่ 2 บรรทัดท่ี 2 - 8 ) แปลได้ว่า ราษฎรเมืองสุโขทัยน้ีนิยมปลูกต้นไม้กันมาก มีการปลูกหมาก ปลูกพลู ต้นมะพร้าว ต้นขนุน ต้นมะม่วง ต้นมะขามมีมากอยู่ในเมอื งสโุ ขทยั ทก่ี ลางของเมืองมีสระนา้ ที่ใสสะอาดสามารถใช้ดื่มกินได้เมืองสโุ ขทัยล้อมรอบไปด้วยกาแพง เมอื งทีม่ ีทัง้ หมดสามชน้ั ความยาว 9.8 กิโลเมตร รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวตั ิศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขึน้ เพื่อการศึกษา 29
“คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคาแหง เจ้าเมืองสุโขทัยน้ี ท้ังชาวแม่ ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งส้ินทั้งหลาย ท้ังผู้ชายผู้ญีง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเม่ือพรร-ษาทกุ คน เมอื่ ออกพรรษากรานกฐิน เดือนณ่งื จ่ึ-งแลว้ เมือ่ กรานกฐนิ มพี นมเบี้ย มีพนมหมาก มี พนมดอกไม้ มหี มอนน่ังหมอนโนน บริพารกฐินโอ-ยทานแลป่ ีแล้ญิบลา้ น ไปสูดญัติกฐิน เถิงอ-ไรญิก พู้น เมื่อจักเจ้ามาเวียง เรียงกันแต่อไร ญิกพู้นเท้าหัวลาน ดบงคกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิ-ณ เสียงเล้ือน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจั-กมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เล้ือน เมืองสุ-โขทัยนี้ มีส่ีปากประตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกันเข้ามาดูท่านเผาเทียน ท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยน้ี มดี งั่ จักแตก” ( ด้านท่ี 2 บรรทดั ท่ี 1 - 23 ) แปลไดว้ ่าคนในเมืองสุโขทยั น้ชี อบทาทานถวายสงั ฆทานท้งั พอ่ ขุนรามคาแหงหญงิ ชาววงั และราษฎรทั้งหญงิ ชายต่างก็ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จะถือศีลกันเมื่อถึงวันเข้าพรรษา และเมื่อออกพรรษาก็จะมีการทอดกฐิน ถวายสังฆทาน มกี ารจัดพานดอกไม้พานเงนิ พานทองหมอนและเงนิ อกี สองล้านเบ้ียเพื่อถวายกฐินและสังฆทานท่ีวัดในป่าตลอดเมืองจะมีการตี กลองมีการละเลน่ ดนตรขี ับร้องเพลงขับทานองเสนาะกันอยา่ งสนกุ สนานผ้คู นต่างเบียดเสียดกันเข้ามาชมการเล่นเผาเทียนและ การเล่น ๆไฟ ทางประตใู หญท่ ั้งสปี่ ระตู “กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร มี พระพุทธรูปทอง มีพระอัฏรารศ มีพระพุทธรูป พระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอัน ราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีปู่ ครูนิสัยมุตก์ มีเถร มีมหาเถร เบื้องตะวันตก เมืองสุโขทัยนี้ มีอไรญิก พ่อขุนรามคาแหงกระทา โอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองน้ีทุกคน ลุกแต่เมืองศรีธ-รรมราชมา ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันหน่ึง มน ใหญ่ สูงงามแก่กม มีอัฏฐารศอันณื่ง ลุกยื -น เบอ้ื งตะวนั โอก เมอื งสโุ ขทัยนี้ มพี หิ าร มปี คู่ รู มีทะเลหลวง มปี า่ หมากปา่ พลู มไี ร่มนี า มถี ่ิน มีบ้านใหญ่บ้านเลก็ มีป่าม่วง มปี ่าขาม ดงู ามดังแกล้-(ง …แต่)ง” ( ด้านท่ี 2 บรรทัดที่ 23 ถึง ดา้ นที่ 3 บรรทัดท่ี 1) แปลได้ว่า กลางเมืองสุโขทัยมีการสร้างวัดเล็ก วัดใหญ่ มีพระพุทธรูปองค์เล็ก องค์ใหญ่ ท่ีแตกต่างกันออกไป มพี ระภิกษทุ ่มี พี รรษาตงั้ แต่หา้ พรรษาจาวัดอยูม่ พี ระเถรพระมหาเถรอยู่ทางทิศตะวันตกพอ่ ขุนรามคาแหงจะทาการถวายสังฆทา นแกพ่ ระมหาเถรสงั ฆราชในปา่ ซง่ึ ที่กลางป่าน้ันมีเจดีย์กลมใหญ่อยู่ซง่ึ มีความสวยงามมากทสี่ ดุ มีพระพทุ ธรปู ปางมารวิชัยยืนหัน พระพักตร์ไปทางด้านตะวันออก ถือว่าองค์น้ีเป็นองค์ท่ีใหญ่ที่สุด ท่ีเมืองสุโขทัยมีวัด มีพร ะ มีป่า มีต้นไม้ต่าง ๆ พันธุ์กัน ราษฎรมีบา้ นเรอื น งดงามด่งั ความตงั้ ใจของพอ่ ขุนรามคาแหง 2.3 ดา้ นที่ 3 กลา่ วถึงการสรา้ งพระแทน่ มนงั ศิลาบาตรในดงตาลสาหรับพระสงฆ์แสดงธรรม ภาพที่ 3 ศลิ าจารกึ ดา้ นท่ี 3 ทม่ี า : ศิลาจารึก หลักท่ี 1 พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช “เบ้ืองตีนนอนเมืองสุโขทัยน้ี มีตลาดป สาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมาก ลาง มีไร่ มีนา มีถิ่นฐาน มีบ้านใหญ่ บ้านเล็ก เบ้ื-องหัวนอนเมืองสุโขทัยน้ี มีกุฎีพิหาร ปู่ครู อยู่ มีสรีดภงส มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วงป่าขาม มีน้าโคก” ( ด้านที่ 3 บรรทัดที่ 1 - 6 ) แปลได้ว่า ทางทิศเหนือมีตลาด มีพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีปราสาท มีป่าไม้ ต้นมะพร้าวต้นหมาก ต้นขนุน มีสวนมีไร่ มีบ้านเรือนของราษฎรตั้งถ่ินฐานกันอยู่ ส่วนทางใต้มีกุฏิอารามของพระ มีทานบสาหรับทาชลประทาน มีป่ามีตน้ ไม้มากมายเช่นกัน มลี าธารทไี่ ดไ้ หลออกมาจากเขาขพุง 30 ผลงานนกั เรียนระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมัธยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
“มีพระขพุง ผีเทพดา ในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผี ในเมืองน้ี ขุนผู้ใดถือเมือง สุโขทัยน้ีแล้ ไหว้ดีพลีถูก เมอื งน้เี ทีย่ ง เมือง นีด้ ี ผไิ หวบ้ ่ดี พลบี ่ถูก ผีในเขาอน้ั บ่คมุ้ บ่ เกรง”( ด้านท่ี 3 บรรทดั ที่ 6 - 10 ) แปลไดว้ า่ ภูเขาขพุงนมี้ คี วามเช่อื กนั วา่ ผที ่สี ิงอยูท่ ี่เขานม้ี อี านาจย่งิ กว่าผีทุกตนในละแวกนน้ั หากเจา้ เมอื งสโุ ขทยั ทาการ เซน่ ไหว้ บชู าอย่างดี ผใี นเขาขพงุ จะดลใหบ้ ้านเมอื งม่ันคง เพราะวา่ ผีคุ้มครอง แตห่ ากเซ่นไหวไ้ ม่ดจี ะทาให้บ้านเมืองเดือดร้อน เพราะว่าผีเขาขพงุ ไมค่ มุ้ ครอง “เมืองนห้ี าย 1214 ศก ปมี ะโรง พอ่ ขนุ รามคา-แหง เจา้ เมืองศรีสชั ชนาลัยสโุ ขทัยนี้ ปลูกไมต้ า-ลนี้ ไดส้ บิ สี่เข้า จ่ึงให้ช่างฟันขดานหิน ต้ังหว่าง กลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วั-นเดือนเต็ม เดือนบ้างแปดวัน ฝูงปู่ครู เถร มหาเถ-ร ขึ้นนั่งเหนือขดานหิน สูดธรรมแก่อุบาสก ฝู-งท่วยจาศีล ผิใช่วันสูดธรรม พ่อขุนรามคาแหง เจา้ เมืองศรสี ชั ชนาลัยสโุ ขทยั ขนึ้ นั่งเหนือขดา-นหนิ ใหฝ้ งู ทว่ ยลกู เจา้ ลูกขุน ฝูงทว่ ยถอื บา้ นถือ เมอื ง คร้ันวนั เดือนดบั เดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผื-อกกระพัดลยาง เท้ียรย่อมทองงา(ซ้าย)ขวา ช่ือรูจาครี พ่อขุนรามคาแหง ข้ึนขี่ไปนบพระ(เถิง)อรัญญิกแล้- วเขา้ มา” ( ดา้ นที่ 3 บรรทดั ท่ี 10 - 22 ) แปลได้ว่า พุทธศักราช 1835 พ่อขุนรามคาแหงครองราชย์สมบัติเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยครบ 14 ปีจึงสั่งให้ช่างทากระดานหินไปวางไว้กลางป่าตาลถ้าเป็นวันพระจะมีพระครูพร ะเถรพระมหาเถรมาน่ังเทศนาธรรมให้กับ ประชาชนแต่หากไม่ใชว่ ันพระพ่อขุนรามคาแหงจะขึ้นนั่งแลว้ ให้ประชาชนหรอื เจ้าเมืองอื่นท่ีเป็นประเทศราชมาปรึกษาหารือ ได้หากมีเรื่องทุกข์ใจหรือข้องใจ เม่ือถึงวันพระพ่อขุนรามคาแหงจะแต่งช้าง ให้สวยงาม งาประดับไปด้วยทอง ช้างพระที่น่งั ของพ่อขุนรามคาแหงชอื่ ว่า จูราครี “จารึกอันณ่ืง มีในเมืองชเลียง สถาบกไว้ ด้วยพระศรีรัตนธาตุ จารึกณ่งื มีในถ้าช่ือถ้า พระราม อยู่ฝ่ังน้าสาพาย จารึกอนั ณงื่ มใี นถ้า รตั นธาร ในกลวงป่าตาลนี้ มีศาลาสองอัน อันณง่ื ชือ่ ศาลาพระมาส อันณืง่ ชือ่ พทุ ธศาลา ขดานหินนี้ ชือ่ ม-นงั ศลิ าบาตร สถาบกไวน้ ้ี จึ่งท้ังหลายเห็น” ( ด้านที่ 3 บรรทดั ที่ 22 - 27 ) แปลได้วา่ จารกึ อนั หนึง่ มใี นเมืองเชลยี งซงึ่ ถือว่าเป็นเมืองสาคัญขณะนัน้ ทีส่ ร้างไว้ด้วยพระศรรี ัตนธาตจุ ารกึ อีกอันหนึ่ง มีอยู่ท่ีถ้าพระราม และจารึกอีกอันหนึ่งมีอยู่ในถ้ารัตนธารท่ีกลางป่าตาลซึ่งมีศาลาอยู่สองหลังหลังหน่ึงชื่อศาลาพระมาส อกี ศาลาชือ่ พทุ ธศาลา กระดานหินทใ่ี ช้สาหรบั แสดงธรรมช่อื วา่ มนงั ศิลาบาตร 2.4.ด้านท4ี่ กล่าวถงึ การกอ่ ตง้ั พระเจดียบ์ รรจุพระบรมสารีริกธาตุการประดษิ ฐ์อักษรไทยและอาณาเขตอาณาจัก รสุโขทยั ภาพที่ 4 ศิลาจารึก ด้านท่ี 4 ทีม่ า : ศิลาจารึก หลกั ท่ี 1 พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช “พ่อขุนรามคาแหง ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็ -นขุนในเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ทั้งมา กาว ลาว แลไทยเมอื งใต้หล้าฟา้ ฏ (ตอ่ ) … ไทยชาวอู ชาวของ มาออ-ก” ( ดา้ นที่ 4 บรรทดั ท่ี 1 - 4 ) แปลได้ว่าพ่อขุนรามคาแหงเป็นบุตรของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซ่ึงเป็นเจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยซ่ึงปกครองพวก มากาว ลาว ไทยชาวอู ชาวของ รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวัติศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขึน้ เพื่อการศึกษา 31
“1207 ศกปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออกท้ังหลาย เห็น กระทาบูชาบาเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึ่-งเอาลงฝงั ในกลางเมอื งศรีสัชชนาลัย ก่อพระเจ ดีย์เหนือ หกเข้าจ่ึงแล้ว ตั้งเวียงผา ล้อมพระม-หาธาตุ สามเข้าจึงแลว้ เมอ่ื ก่อนลายสอื ไทยน้บี ่ มี” ( ดา้ นที่ 4 บรรทดั ท่ี 4 - 9 ) แปลไดว้ ่าพทุ ธศกั ราช1828พอ่ ขุนรามคาแหงให้ขุดเอาพระธาตทุ ี่มกี ารฝงั ไว้ออกมาให้หมดแล้วทาพิธีบูชาใหมอ่ กี คร้ัง แลว้ จงึ นาไปฝังลงทีก่ ลางเมืองศรสี ัชชนาลัย แล้วก่อเจดีย์เหนือบริเวณที่ฝงั พระธาตุ แล้วสร้างกาแพงหินลอ้ มรอบพระมหาธาตุ “1205 ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคาแหงหาใคร่ใจ ในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยน้ีจ่ึงมีเพ่ือขุนผู้น้ันใส่ไว้ พ่อขุนรามคาแหงน้ันหา เป็นท้าว เป็นพระยาแก่ไทยทั้งหลาย หาเป็น ครูอาจารย์สั่งสอนไทยทั้งหลายให้รู้ บุญรู้ธรรมแท้ แตค่ นอนั มใี นเมอื งไทยดว้ ย รูด้ ว้ ยหลวก ด้วยแกลว้ ดว้ ยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรง หาคนจักเสมอมไิ ด้” ( ด้านท่ี 4 บรรทัดที่ 9 - 16 ) แปลไดว้ ่าเม่อื กอ่ นไม่มีอกั ษรไทยจนกระท่ังพุทธศกั ราช1821พ่อขุนรามคาแหงคิดใครค่ รวญอยใู่ นใจแล้วประดิษฐ์อัก ษรไทยข้ึนมาใช้ พ่อขนุ รามคาแหงนัน้ เปน็ ทา้ ว เปน็ เจา้ เมืองแก่ชาวไทยทง้ั หลายไม่ไดเ้ ปน็ อาจารย์ทีส่ ง่ั สอนคนทั่วไปใหร้ บู้ ุญรู้บาป แต่คนในเมืองไทยมีความรมู้ าก ความกลา้ หาญหาใครจะเทียบไมไ่ ด้ “อาจปราบฝูงข้า เสิก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบ้ืองตะวันออก รอดสรลวง สองแคว ลุมบาจาย สคา เทา้ ฝง่ั ของ เถงิ เวยี งจนั ทนเ์ วียงคา เป็นท่ีแล้ว เบ้อื (อ)งหวั นอน รอดคณฑี พระบาง แพรก สพุ รรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝัง่ ทะเล สมุทรเปน็ ท่แี ลว้ เบอื้ งตะวนั ตก รอดเมืองฉอด เมอื ง…น หงสาวดี สมุทรหาเปน็ แดน o เบอ้ื งตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมื-องม่าน เมืองน…เมืองพลัว พ้นฝ่ังของ เมืองชวา เป็นท่ีแล้ว o ปลูกเลี้ยงฝูงลูกบ้า-นลูกเมืองน้ัน ชอบดว้ ยธรรมทุกคน” ( ดา้ นท่ี 4 บรรทดั ที่ 16 - 27 ) แปลไดว้ า่ อาณาเขตของเมอื งสุโขทัยกวา้ งขวางเพราะสามารถปราบขา้ ศึกได้มากทางด้านตะวนั ออกมีพนื้ ท่ีถึงเมืองสระ หลวง เมืองสองแคว เมืองลุม เมืองจาบาย ทางทิศใต้ที่จังหวัดกาแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ถึงนครศรีธรรมราชและชายฝ่ังทะเล ทางด้านตะวันตกจะอยู่ถึงเมืองหงสาวดี ทิศเหนือจะอยู่ถึงจังหวัดน่าน หลวงพระบาง พ่อขุนรามคาแหงปกครองและดูแลเมืองเหล่านีอ้ ย่างดีด้วยความเป็นธรรมมาโดยตลอด(แปลศิลาจารึกพ่อขนุ รามคาแหงหลักที่ 1, 2558 : ออนไลน์) คุณค่า 1.ด้านภาษาจารกึ ของพ่อขนุ รามคาแหงเป็นหลกั ฐานที่สาคญั ทสี่ ุดทแ่ี สดงให้เห็นถึงกาเนดิ ของวรรณคดีและอักษรไทย เช่น กล่าวถึงหลักฐานการประดษิ ฐ์อักษรไทย ด้านสานวนการใช้ถอ้ ยคาในการเรียบเรียงจะเห็นวา่ - ถ้อยคาส่วนมากเปน้ คาพยางค์เดยี วและเป็นคาไทยแท้ เช่น อ้าง โสง นาง เปน็ ตน้ - มคี าทมี่ าจากภาษาบาลีสนั สกฤตปนอยบู่ ้าง เช่น ศรีอินทราทติ ย์ ตรบี รู อรญั ญกิ ศรทั ธา พรรษา เปน็ ตน้ - ใชป้ ระโยคสั้น ๆ ให้ความหมายกระชับ เชน่ แมก่ ชู ือ่ นางเสอื ง พี่กูชอ่ื บานเมือง - ข้อความบางตอนใชค้ าซ้า เชน่ \"ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมอื งน้ี - นิยมคาคลอ้ งจองในภาษาพูด ทาให้เกิดความไพเราะ เชน่ \"ในนา้ มปี ลา ในนามขี ้าว เจ้าเมอื งบเอาจกอบในไพรล่ ูท่ าง เพ่ือนจูงวัวไปค้า ข่มี า้ ไปขาย\" - ใชภ้ าษาทีเ่ ปน็ ถอ้ ยคาพ้นื ๆ เป็นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขยี น 2.ดา้ นประวัตศิ าสตร์ให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชประวัติพ่อขุนรามคาแหงจารกึ ไว้ทานองเฉลิมพระเกยี รติตลอดจนควา มรู้ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และสภาพสังคมของกรุงสุโขทัย ทาให้ผู้อ่านรู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของกรุงสุโขทัย พระปรชี าสามารถของพ่อขนุ รามคาแหง และสภาพชวี ติ ความเปน็ อย่ขู องชาวสโุ ขทยั 3. ด้านสังคม ให้ความรู้ด้านกฎหมายและการปกครองสมัยกรุงสุโขทัย ว่ามีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษตั รยิ ด์ ูแลทุกข์สุขของราษฎรอยา่ งใกลช้ ดิ 4. ดา้ นวัฒนธรรม ประเพณี ใหค้ วามรู้เกีย่ วกับวัฒนธรรม ประเพณอี ันดีงามของชาวสุโขทัยทีป่ ฏสิ บื มาจนถึงปัจจุบัน เช่น การเคารพบูชาและเลย้ี งดูบิดามารดา นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงประเพณีทางศาสนา เช่น การทอดกฐินเมื่อออกพรรษา ประเพณกี ารเล่นร่ืนเริงมีการจุดเทียนเล่นไฟ พอ่ ขุนรามคาแหงโปรดใหร้ าษฎรทาบุญและฟังเทศน์ในวันพระ (ศลิ าจารึกหลักท่ี 1 : ออนไลน)์ 32 ผลงานนกั เรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมัธยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
สรปุ Timeline ศิลาจารกึ หลกั ที่ 1 พ.ศ. 1835 เป็นปที ีพ่ อ่ ขุนรามคาแหงมหาราช ทรงสง่ั สร้างพระแทง่ มนงั คสลิ าบาตร และจารึกหลกั อนื่ ๆและเป็นปที ่ี ศิลาจารึกหลักท่ี 1 ถกู จารึกขึน้ พ.ศ.2376 พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ขณะทรงดารงพระอิสริยยศเปน็ เจ้าฟ้ามงกฎุ ฯ และ ผนวชอยู่วดั ราชาธิวาสในรชั กาลที่ 3 ทรงนาศลิ าจารกึ ของพอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช จาก พระราชวังเก่ากรงุ สุโขทยั มากรงุ เทพฯ พร้อมกบั พระแทน่ มนัง ศิลาบาตร คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์ พ.ศ.2521 เอกสารทางประวตั ศิ าสตร์ไดต้ ้งั อนกุ รรมการขึ้นมาคณะหนงึ่ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช และได้จัดพมิ พ์ขนึ้ เป็นฉบับ ภาษาไทยท่ีสมบูรณ์ พ.ศ.2546 จารึกไดร้ บั การขนึ้ ทะเบียนเปน็ มรดกความ ทรงจาแหง่ โลก โดยยเู นสโกบรรยายวา่ นับ เปน็ มรดกช้นิ หลักซง่ึ มีความสาคญั ระดบั โลกเพราะให้ข้อมลู อนั ทรงคา่ ดว้ ยแก่นหลัก หลายประการเกยี่ วกบั ประวัติศาสตร์และ วฒั นธรรม 3. สรปุ สันนษิ ฐานวา่ ศลิ าจารึกหลักที่1จารกึ ขึน้ ประมาณพ.ศ.1835เป็นปีท่ีพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงสง่ั ใหส้ รา้ งพระแท่ นมนังศิลาบาตรและจารึกหลักอ่ืน โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ค้นพบ เน้ือหาตอนท่ี 1 ต้ังแต่ด้านท่ี 1 บรรทัดท1่ี 18เปน็ พระราชประวตั ิพอ่ ขุนรามคาแหงตั้งแต่ประสตู จิ นถึงเสด็จขึ้นครองราชย์เนื้อเรอื่ งกลา่ วถึงพระจริยวตั รท่ีพระอ รายงานกลุ่มรายวิชา ส 23103 ประวตั ิศาสตร์ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จัดทาขนึ้ เพื่อการศึกษา 33
งค์ทรงปฏิบตั ิต่อพระราชบิดา พระราชมารดา และพระเชษฐา เน้ือหาตอนท่ี 2 ตั้งแต่ด้านท่ี 1 บรรทัดท่ี 18 จนถึงด้านท่ี 4 บรรทัดที่ 11 กล่าวถึงสภาพบ้านเมือง เหตุการณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ พระศาสนา การปกครอง ศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งการประดิษฐ์อักษรไทยข้ึนใน พ.ศ. 1826 เน้ือหาตอนท่ี 3 ต้ังแต่ด้านที่ 4 บรรทัดท่ี 12 จนถงึ บรรทดั ที่ 27 (บรรทดั สดุ ท้าย) เป็นการยอพระเกียรติพ่อขนุ รามคาแหง และกล่าวถึงอาณาเขตของกรุงสโุ ขทยั 4. อา้ งอิง ข้อสงสัยการตรวจพสิ จู น์ศิลาจารึกหลักท่ี 1 ด้วยวธิ ีวทิ ยาศาสตร.์ (2564). สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/ สบื คน้ เมอ่ื วันที่ 4 กันยายน 2564 จารกึ . (2562). สบื คน้ จาก https://db.sac.or.th/ สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี 4 กนั ยายน 2564 จารึกพ่อขนุ รามคาแหง. (2564). สืบคน้ จาก https://th.m.wikipedia.org/ สืบคน้ เมอื่ วันท่ี 4 กันยายน 2564 จารึกสโุ ขทัยหลักที่ 1 : ของจริงหรอื ของปลอม. (2558). สบื คน้ มาจาก https://www.bloggang.com/ สืบคน้ เมอื่ วันท่ี 4 กันยายน 2564 แปลศิลาจารกึ พ่อขุนรามคาแหงหลักท่ี ๑. (2558). สืบค้นมาจาก http://tantibet.blogspot.com/ สบื ค้นเมอื่ วันท่ี 4 กนั ยายน 2564 ศิลาจารึก. สบื คน้ มาจาก http://www.sukhothai.go.th/ สืบคน้ เมื่อวันที่ 4 กนั ยายน 2564 ศลิ าจารกึ พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช. (2548). สบื คน้ มาจาก https://www.lib.ru.ac.th/ สบื คน้ เมื่อวันที่ 4 กนั ยายน 2564 ศิลาจารึกหลักที่ 1. สบื ค้นมาจาก https://sites.google.com/ สบื ค้นเมือ่ วนั ท่ี 4 กันยายน 2564 ศลิ าจารกึ หลกั ที่ 1 (พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช). (2564). สืบค้นมาจาก https://www.tewfree.com/ สืบคน้ เม่อื วันท่ี 4 กันยายน 2564 34 ผลงานนกั เรียนระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมธั ยศึกษา (ศึกษาศาสตร์)
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: