Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การบริหารจิตและการเจริญปัญญา

หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การบริหารจิตและการเจริญปัญญา

Description: หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การบริหารจิตและการเจริญปัญญา

Search

Read the Text Version

หนว่ ยที่ 7 การบริหารจิตและ การเจริญปญั ญา

วตั ถุประสงค์ 1. เพือ่ เข้าใจหลักการบริหารจิต 2. เพือ่ เข้าใจหลกั วิธีการเจริญปญั ญา

1. การบรหิ ารจิต

1.1 ประโยชนข์ องการบริหารจิต 1) ประโยชน์ของการบริหารจิตระดบั ชวี ิตประจาวนั ▪ ทาจิตใจให้สบายหายเครียด ▪ หายจากความวิตกหวาดกลวั ▪ มคี วามเพียรพยายามแนว่ แน่ในจดุ มงุ่ หมาย 2) ประโยชน์ของสมาธิในการพฒั นาบุคลิกภาพ ▪ ทาให้มีบคุ ลิกเขม้ แขง็ ▪ มคี วามสงบเยือกเย็น ▪ มคี วามม่นั คงทางอารมณ์ 3) ประโยชน์ของสมาธิที่เปน็ จดุ หมายของศาสนา ▪ สมาธิแน่วแน่ สมาธิระดบั ฌาน (อปั ปนาสมาธิ) ▪ สามารถระงบั กเิ ลสที่ปิดกั้นจิตมิให้พฒั นาสงู ขนึ้ (นิวรณ)์

1.2 การบริหารจิตตามหลกั สติปฏั ฐาน 1) ความหมายของสติปัฏฐาน คือ การใช้สติกากบั 4 เรือ่ ง 1.1 กายานุปัสสนา คือ การพิจารณากาย ได้แก่ อานาปานสติ กาหนดอิริยาบถ สัมปชัญญะ ปฏิกลู มนสิการ ธาตมุ นสิการ นวสีวถกิ า 1.2 เวทนานุปสั สนา คือ พิจารณาเวทนา ให้รู้ทนั อาการทีเ่ ป็นอยู่นั้น 1.3 จิตตานปุ สั สนา คือ พิจารณาดูจิตของตนในขณะนน้ั ๆ 1.4 ธัมมานุปสั สนา คือ พิจารณาธรรมะต่าง ๆ ได้แก่ 1.4.1 นิวรณ์ เช่น มกี ามฉันทะ พยาบาท 1.4.2 ขนั ธ์ คือ กาหนดรู้ขนั ธ์หา้ แต่ละอย่างคืออะไร 1.4.3 อายตนะ คือ รู้ชัดอายตนะภายใน อายตนะภายนอกแต่ละอย่าง 1.4.4 โพชฌงค์ คือ องคป์ ระกอบแห่งการตรัสรู้ 1.4.5 อริยสจั คือ ความเปน็ จริงของอรยิ สจั สี่แต่ละอย่าง

2) วิธีการบริหารจิตตามหลกั สติปฏั ฐาน วิธีน่งั กาหนด 2 ระยะ 2.1 การนั่งกาหนด คือ การนั่งสมาธิ คากาหนด: พองหนอ-ยุบหนอ 1. นง่ั ขัดสมาธิตามแบบทตี่ นชอบ ต้ังตัวตรง หลงั ตรง วิธีน่งั กาหนด 2 ระยะ ศีรษะตรง 2. หลบั ตา มือขวาทบั มือซ้าย วางซ้อนกันไว้ที่หน้าตกั 3. ส่งสติไปทีห่ นา้ ท้อง ตรงในกลางสะดือ 4. ขณะท้องพองข้นึ สติกาหนดรู้อาการพอง กาหนดว่า พอง เมื่อสิ้นสดุ อาการพองแล้ว กาหนดว่า หนอ โดยกาหนดรู้ อาการเคลือ่ นไหวของท้อง

2.2 การเดินจงกรม คือ การปฏบิ ัติกรรมฐานตามแบบสติปฏั ฐานในหมวดอริ ิยาบถปพั พะ

3) การบริหารจิตเพื่อการเรียนรู้ คุณภาพชีวิต และสังคม 1. ช่วยให้ความจาดี 2. ช่วยให้เรียนหนังสือดี 3. ช่วยให้มคี ุณภาพในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆได้ดี 4. ช่วยให้เป็นคนมคี วามสขุ ง่าย มที กุ ข์ยาก 5. ช่วยให้เปน็ คนมอี ารมณ์มัน่ คง หนกั แน่น 6. สร้างความสวัสดีปลอดภยั ให้กับตนเอง 7. สร้างสรรค์สงั คม มองอะไรชัดเจนขึน้ เกื้อกูลต่อการใช้ปญั ญา

2.การเจริญปัญญาตาม หลักโยนิโสมนสิการ

2.1 คิดแบบรู้เท่าทนั ธรรมดา (คิดแบบสามัญลักษณะ) คดิ แบบรเู้ ท่าทันธรรมดา คือ คดิ แบบไตรลักษณ์ “ไตรลักษณ”์ คือ ลักษณะสามอาการท่เี ปน็ เครื่องกาหนด หมายให้รู้ถงึ ความจรงิ ของสภาวธรรมท้ังหลายทีเ่ ปน็ อย่างน้ัน ๆ 3 ประการ ได้แก่ อนจิ จัง ทกุ ขัง อนัตตา วิธีคิดแบบรู้เทา่ ทันธรรมดา แบ่งออกเป็น 2 ข้ันตอน ดงั นี้ 1. ยอมรบั ความจริง คือ ให้ยอมรับว่าความจริงมนั เป็นเชน่ นี้ 2. แก้ไขไปตามเหตปุ จั จยั คือ รวู้ ่าเปน็ จรงิ อย่างนั้นกป็ ฏิบตั ใิ ห้ สอดคล้องกับการเปลีย่ นแปลง

โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ คือ การคิดอย่างวิเคราะห์วิจารณ์อย่างรอบคอบ ทาให้เกดิ ปญั ญาแตกฉาน มี 10 วิธี ดังนี้ 1. วิธีคดิ แบบสบื สาวเหตุปจั จยั คือ คิดแบบมีเหตุผล เชน่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรโู้ ดยใชว้ ิธกี ารคิดแบบสืบสาวหาเหตุจากปัจจัย พระองค์ตั้งคาถามขึ้นมาเก่ยี วกับ เวทนา ได้แก่ ความรสู้ กึ สุขทุกข์ โดยทรงพิจารณาว่าเวทนาทีเ่ ป็นสุขเป็นทกุ ข์นี้เกดิ ข้นึ โดยมอี ะไรเปน็ ปัจจยั แล้วพระองค์ก็สืบสาวไปก็ทรงค้นพบว่า มีผัสสะ เปน็ ต้น 2. วิธีคดิ แบบแยกแยะ สว่ นประกอบ คือ การคิดจาแนกแยกแยะองค์รวมของสิ่งต่าง ๆ ออกเปน็ องค์ย่อย ๆ ทาให้มองเห็นความและความสมพนั ธ์ของ องค์ประกอบยอ่ ยเหล่าน้ันว่ามคี วามเกี่ยว กับเนื่องกัน เปน็ เหตเุ ป็นผลและพึง่ พาอาศัยกนั อย่างไร จึงประสานสอดคล้องกนั เปน็ องค์รวม วิธีคิดแบบนจี้ ะทาให้เรารู้ และเข้าใจสิง่ ต่าง ๆ ตามสภาพความเปน็ จริง 3. วิธแี บบสามัญลักษณะ คือ คิดแบบไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) คือคิดแบบรเู้ ท่าทนั ธรรมดา ชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้เปน็ อนิจจังไม่เทีย่ งแท้ ทุกขังมี แต่ความทุกข์อนัตตาไม่มตี ัวตนที่แน่นอน 4. วิธีคดิ แบบอรยิ สัจ หรือ วธิ ีคิดแบบแก้ปญั หา คือ การพิจารณาปญั หามีอะไรบ้าง (ทุกข์) สาเหตอุ ยู่ทีใ่ ด (สมทุ ยั ) แนวทางและเป้าหมายของการแก้ปญั หาทีต่ ้ัง ไว้ (นิโรธ) พิจารณาวีการ ดาเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย (มรรค) ซึ่งเราสามารถใชเ้ ปน็ หลกั ยึดในการพิจารณาถึงความเปน็ จริงและนาไปสู่การคิด ตาม กระบวนการนี้

5. วิธีคดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธ์ คิดตามหลกั การและความมงุ่ หมาย เป็นการคิดแบบสตุ บุรุษ หรือสปั ปรุ ิสธรรมอันเป็นคณุ สมบตั ิของคนดี คือ รู้จักเหตุ รู้จกั ผล รู้จกั ตน รู้จักประมาณ รู้จักบุคคล รู้จกั ชุมชน 6. วิธคี ิดแบบเห็นคณุ – โทษและทางออก คือ มองในเชงิ คณุ ค่าวา่ สิ่งน้ัน ๆ มีคณุ ในแงไ่ หน มีโทษในแงไ่ หน มองท้ังคณุ และโทษ แล้วก็หาทางออกที่จะแกไ้ ข 7. คิดแบบคุณค่าแท้- คุณค่าเทียม รู้จกั แยกแยะสิ่งดชี ่ัวไดอ้ ย่างมเี หตุผล 8. วิธีคดิ แบบปลกุ เร้าคณุ ธรรม คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรมหรือชดุ ความดี หมายถึง การบาเพ็ญความดี ซึ่งจะต้องกระทาให้ถงึ ทีส่ ดุ 9. วิธีคดิ แบบเปน็ อยู่ในขณะปัจจุบัน คือ คิดอยใู่ นปัจจุบัน แนวนตี้ ้องบมีวปิ สั สนากรรฐานเปน็ เครื่องมือ 10. วิธีคดิ แบบวภิ ัชชวาท (แบบจาแนก) คือ คิดแบบรอบด้าน แยกแยะ มองสง่ิ ต่าง ๆในหลาย ๆ มมุ อย่างละเอยี ดรอบคอบ

2.2 คิดแบบเป็นอย่ใู นขณะนัน้ 1. เข้าใจหลกั อนัตตา คือ ภาวะที่ไร้ตวั ตน กล่าวคือ เข้าใจ ว่าเมือ่ เกิดดับ ๆ อยู่อย่างนี้ตลอด แล้วจะหาตัวตนได้ที่ไหน 2. คดิ ในขณะทีก่ าลงั เกิดขึน้ คือ มีสตติ ามทนั สิ่งทร่ี บั รู้ เกี่ยวข้อง

อา้ งอิง วิทย์ วิศทเวทย์ และ เสฐยี รพงษ์ วรรณปก. (2553). หนงั สือเรียน รายวิชาพื้นฐาน พระพุทธศาสนา ม. 4 : ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4. พิมพ์คร้ังที่ 7. กรงุ เทพฯ: อกั ษรเจรญิ ทัศน์. อา้ งอิงส่อื ขอบคณุ ข้อมลู ภาพประกอบทุกภาพจากสือ่ อินเทอรเ์ น็ต (ใช้เพื่อจัดกาเรียนการสอน)