คำนำ หนังสือชุดพระวิษณุกรรมเทพ เล่ม 1 ตำนำนพระวิษณุกรรม มหำคุรุเทพแห่งงำนช่ำงและ ควำมสำเร็จท้งั ปวง เป็น 1 ใน 9 เล่มของหนงั สือชุดน้ี หนังสือชุดพระวษิ ณกุ รรมเทพ มีดงั น้ี เล่มที่ 1 ตำนำนพระวษิ ณุกรรม มหำคุรุเทพแห่งงำนช่ำงและควำมสำเร็จท้งั ปวง เล่มที่ 2 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย ประจำสถำนศึกษำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เล่มท่ี 3 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย ประจำสถำนศึกษำในภำคกลำง เล่มท่ี 4 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย ประจำสถำนศึกษำในภำคเหนือ เล่มท่ี 5 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย ประจำสถำนศึกษำในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เล่มท่ี 6 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย ประจำสถำนศึกษำในภำคตะวนั ออก เล่มที่ 7 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย ประจำสถำนศึกษำในภำคใต้ เล่มท่ี 8 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย ในหน่วยงำนและวดั เล่มที่ 9 พระวษิ ณุกรรมอินเดียและพระวษิ ณุกรรมศิลปะขอม-ลพบุรี หนงั สือชุดน้ี เกิดข้ึนจำกควำมสนใจส่วนตวั เพรำะเรียนมำทำงดำ้ นช่ำงกล พวกเรำเคำรพและนบั ถือ พระวิษณุกรรมเป็ นมหำคุรุเทพแห่งงำนช่ำง จึงไดศ้ ึกษำคน้ ควำ้ และนำมำเรียบเรียงใหม่ หำกมีขอ้ มูลใด ผดิ พลำด โปรดช้ีแนะดว้ ยครับเพ่ือควำมถูกตอ้ งและสมบูรณ์ของบทควำมครับ สำหรับประวตั ิกำรจดั สร้ำงพระวิษณุกรรมของแต่ละสถำบนั หำขอ้ มูลไดย้ ำกมำกเพรำะไม่ค่อยมี กำรจดบนั ทึกไว้ หรือบนั ทึกกไ็ ม่ละเอียดวำ่ ใครคือผรู้ ิเริ่ม , อำจำรย/์ ศิลปิ นผูส้ ร้ำง , ปี ที่สร้ำง ถำ้ พี่นอ้ งท่ำนใด มีขอ้ มูลพระวิษณุกรรมของสถำบนั ท่ำน แชร์มำให้ดว้ ยครับ ที่ Email : [email protected] เพ่ือบนั ทึกไว้ เป็นขอ้ มูล สำหรับกำรศึกษำคน้ ควำ้ ในอนำคตครับ ขอขอบคุณล่วงหนำ้ ครับ
ตอ้ งขอขอบคุณขอ้ มูลจำกงำนวิจยั เร่ืองพระวิษณุกรรมในอินเดีย ไทย กมั พูชำ ของศำสตรำจำรย์ Kirin narayan และ ศำสตรำจำรย์ Ken George อำจำรยม์ หำวิทยำลยั แห่งชำติออสเตรเลีย ช่วยเพิ่มขอ้ มูลของ พระวษิ ณุกรรมในบทควำมน้ี ประเสริฐ แซ่อ๊ึง ผศู้ ึกษำคน้ ควำ้ และเรียบเรียง ลูกพระวษิ ณุกรรม ช่ำงกลปทุมวนั รุ่น 50 ปวช ช่ำงวทิ ยแุ ละโทรคมนำคม สำรพดั ช่ำงพระนคร หลกั สูตรซ่อมโทรทศั น์ 2524 วทิ ยำลยั เทคนิคกรุงเทพ ฯ ช่ำงอีเล็กโทรนิคส์ รุ่น 31 ช่ำงกลพระนครเหนือ ป.ตรี ครุอุตสำหกรรม อิเลก็ ทรอนิกส์ – สื่อสำร 2536 25 มิถุนำยน 2563
วนั อำทิตยท์ ่ี 28 กรกฎำคม 2562 ศำสตรำจำรย์ Kirin narayan (ศำสตรำจำรยค์ ิริน นำรำยนั ท่ำนมีเช้ือสำยอินเดีย) และ ศำสตรำจำรย์ Ken George (ศำสตรำจำรยเ์ คน จอร์จ) เป็ นอำจำรย์ จำกมหำวิทย ำลัยแห่ งชำติ ออสเตรเลี ย (National University of Australia) ท่ำนทำ วิจัยเร่ื องพระวิษณุ กรรมในอินเดีย ไทย กมั พูชำ ไดม้ ำคุยแลกเปลี่ยนขอ้ มูลเร่ืองพระ วิษณุกรรม กบั ขำ้ พเจำ้ โดยมี ดร แอนโธนี โลเวนไฮม์ เออร์วิน (Anthony Irwin) อำจำรยม์ หำวิทยำลยั มิชิแกน เป็นล่ำม วนั องั คำรที่ 30 มิถุนำยน 2562 มำคุยแลกเปลี่ยนขอ้ มูลเร่ืองพระวิษณุกรรมช่ำงกลปทุมวนั กบั ท่ำน รองอธิกำรบดี อำจำรยส์ ืบพงษ์ ม่วงชู ณ สถำบนั เทคโนโลยปี ทุมวนั
สำรบัญ หน้ำ บทนำ 1 ตำนำมพระวษิ ณุกรรม 3 ผลงำนพระวษิ ณุกรรม 11 กำรนบั ถือพระวษิ ณุกรรม 13 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมของไทย 16 คติกำรจดั สร้ำงพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย 32 จำนวนเทวรูปพระวษิ ณุกรรมในไทย 33 ปำงเทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย 33 พระคำถำบูชำขอพรพระวษิ ณุกรรมและเครื่องสงั เวยพระวษิ ณุกรรม 70 เพลงสรรเสริญและบูชำพระวษิ ณุกรรม ของอินเดีย 83
ตำนำนพระวษิ ณกุ รรม มหำคุรุเทพแห่งงำนช่ำงและควำมสำเร็จท้งั ปวง รูปท่ี 1 พระวษิ ณุกรรมของอินเดีย ณ บดั น้ี ขออญั เชิญทำ้ วไทยเทเวศร์ทว่ั ทิศำ จะขออญั เชิญพระวิษณุกรรมก่อน ขอยกกรประณมกม้ เกศำ เพรำะวำ่ ท่ำนเป็นผทู้ ี่รอบรู้งำนกำรช่ำงกล ศิลปกรรมและโยธำ ขอเชิญใหท้ ่ำนเสด็จลงมำดว้ ยเพื่อจะได้ ช่วยสร้ำงโรงรำชพิธี ยำวรีสำมสิบหกห้องซ่ึงจะไดเ้ ป็ นท่ีรับรองปวงเทพไทเทวำ ท่ีจะไดอ้ ญั เชิญมำประชุม กนั ในวนั น้ี น่ี...คือคำกล่ำวในพระรำชพิธีและพิธีบวงสรวงต่ำง ๆ จะเห็นไดว้ ำ่ องคพ์ ระวษิ ณุกรรมเป็ นเทพ แห่งบรมครูช่ำงเพือ่ สร้ำงสรรคง์ ำนตำ่ ง ๆ ... “ขำ้ มิงอใคร ๆ ขำ้ ซ่อมสร้ำงไดด้ ว้ ยมือของขำ้ ขำ้ ลูกศิษยพ์ ระวษิ ณุกรรมเทวำ ทำ่ นสร้ำงขำ้ มำพฒั นำชำติไทย” พระวิษณุกรรม หรือพระวิศวกรรม विश्वकर्मा เป็ นเทพผูส้ ร้ำงสรรค์ส่ิงต่ำง ๆ คุรุเทพองค์หน่ึง ของท้งั ศำสนำพรำหมณ์ , ศำสนำฮินดู และศำสนำพุทธ เป็ นเทพท่ีรอบรู้งำนกำรช่ำงทุกแขนง ท้งั งำน ช่ำงฝี มือ กำรประดิษฐ์ วิศวกรรม ก่อสร้ำง ช่ำงไม้ (วฒั กี) ช่ำงกล สถำปัตยกรรม ช่ำงสำรวจ สถำปนิก ช่ำง เขียนแบบ ศิลปกรรม หตั ถกรรม ปฎิมำกรรม ช่ำงตดั เส้ือผำ้ ช่ำงทอง ช่ำงเครื่องประดบั นำฎศิลป์ และดุริย ศิลป์ ผสู้ ร้ำงโลก สร้ำงสวรรค์ และสร้ำงจกั รวำล ก่อใหเ้ กิดส่ิงต่ำง ๆ ผสู้ ร้ำงพระรำชวงั และรถรบ ตลอดจน อำวธุ วิเศษให้เหล่ำทวยเทพ ผปู้ ระทำนชื่อแก่เหล่ำทวยเทพ ใน Hindu Mythology ของ Wilkkins หนำ้ 75 ยงั
2 กล่ำววำ่ เทพเป็ นผบู้ นั ดำลให้คู่สมรสเกิดบุตรธิดำ ยงั เป็ นเทพแห่งศิลปะกำรพูด กำรเจรจำ ดำ้ นกำรคำ้ ใน คมั ภีร์ฤคเวทตอนหน่ึงกล่ำวไวว้ ่ำพระวิษณุกรรม เป็ นผูส้ ร้ำงดำวเหนือ ดำวท่ีสำดส่อง นำทำงให้ผูค้ นยำม เดินทำงค่ำคืน และเป็ นเทพท่ีเปิ ดเผยคำภีร์สถำปัตยเวทให้ปรำกฎในโลก ตลอดจนเป็ นผูป้ ระสำทวทิ ยำกำร งำนช่ำงทุกแขนงใหป้ รำกฏแก่ชำวโลก คือครูช่ำงของมนุษย์ พระวษิ ณุกรรมมีสิทธ์ิมีส่วนรับเครื่องสังเวยใน พิธีบตั รพลีบูชำร่วมกับเทพพยำดำองค์ต่ำง ๆ (สังเกตจำกคำอญั เชิญเทพยดำต่ำงๆ จะต้องอญั เชิญพระ วษิ ณุกรรมดว้ ย) รูปท่ี 2 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมศิลปลพบุรี ตำนำนเกี่ยวกบั พระวิษณุกรรม (นำมในภำษำบำลี : วิสฺสุกมฺม Vishnukarman)) มีหลำกหลำยที่มำ ท้งั ในศำสนำพรำหมณ์ , ศำสนำฮินดู ศำสนำพุทธ และในตำนำนอื่น ๆ นำมของพระองคใ์ นภำษำสันสกฤต คือ พระวศิ วกรรมำ , พระวิศวกรรม หรือพระวศิ วกรรมนั (อ่านว่า Visva-karman ) \"วิศฺวกรฺมำ\" ซ่ึงเป็ นรูปที่ แจกวภิ ตั ติแลว้ ของคำวำ่ \"วศิ ฺวกรฺมนฺ\" (Vishvakarman วศิ วกรรมนั ) หรือ Bishnukarm ตำมหลกั ไวยำกรณ์ สันสกฤต) แปลว่ำ ผูส้ ร้ำงหรือผูท้ ี่ทำให้เกิดควำมสำเร็จอนั มำจำกกำรสร้ำง \"ผูท้ ำทุกส่ิงทุกอยำ่ ง\" (The Universal Doer) คือเป็น \"นำยช่ำงแห่งจกั รวำล\" มีควำมชำนำญงำนช่ำงทุกแขนง คอยเอ้ืออำนวยควำมสำเร็จ นฤมิตรประสิทธ์ิประสำทพระพรชยั ใหห้ มู่บรรดำช่ำงทำงำนสำเร็จสมประสงค์ ยงั มีกำรเรียกนำมของพระวษิ ณุกรรมในพระนำมอื่น ๆ อีก เช่นพระตวษั ฎฤ (Tvasti นำมของท่ำนใน สมยั พระเวท) พอในสมยั ปุรำณะจึงเรียกพระองคว์ ำ่ พิษณุกรรม , พระเวสุกรรมหรือพระเวสสุกรรม (นำม ของท่ำนในฐำนะเทพทำงนำฎศิลป์ ) , พระวสิ สุกรรม (พระวศิ ุกรรมนำมของท่ำนในฐำนะเทพทำงกำรคำ้ ขำย (ตรำประจำกระทรวงพำณิชย์ รูปพระวิสสุกรรมยืนบนเรือ ท่ำรำสองหตั ถ์ ถือหำงนกยงู ) ในหนงั สือนิทำน ธรรมพ้ืนถ่ินภำคเหนือออกนำมท่ำนวำ่ “พระวสิ ุก๋ำ หรือ พระวสิ กรรม” , พระเพชรฉลูกรรม หรือพระฤำษี เพชรฉลูกรรม (นำมของท่ำนในฐำนะครูดุริยศิลป์ , ครูกระบ่ีกระบอง หอกดำบ , ครูดำ้ นกีฬำ , เวทมนตค์ ำถำ
3 และเจำ้ ตำรับตำรำพิชยั สงครำม มีพำหนะเป็ นเสือ ชื่อ พยคั ฆำนิลกำฬ) , พระเพชรฉลูกนั นำมของท่ำนที่ ปรำกฏในบทชุมนุมเทวดำ ของพิธีไหวค้ รูนำฎศิลป์ กรมศิลปำกร สมยั รัชกำลที่ 6, พระวิสสะนุกญั (วิสส นุกญ) นำมของท่ำนที่ปรำกฏในพระคำถำทำน้ำมนต์ “ธรณีสำรเล็ก” (คำถำทำน้ำมนตส์ ำหรับไล่ส่ิงอุบำทว์ ปัดเป่ ำเสนียดจญั ไร) วรรคที่ 3 หนำ้ 20 “ปำทำวสิ สนุกญเจวะ” พธิ ีไหวค้ รูครอบครูโขนละคร สมยั รัชกำลท่ี 4 , ปชำบดี (Prajapati ผเู้ ป็ นใหญ่ในหมู่ชน) , กำรุ (Karu ผทู้ ำงำน) , ตกั ษะกะ (Takshska ผตู้ ดั ไม)้ , เทวะวรรธิ กะ (Devavardhika ผูส้ ร้ำงอำวุธแก่ทวยเทพ) , สุธนวนั (Sudhanwan ผมู้ ีคนั ศรอนั ดีงำม) เป็ นตน้ ที่ประเทศ พม่ำเรียกพระองค์ว่ำ พิสสุกรรม ที่ประเทศกมั พูชำ (ขอม) เรียกพระองค์ว่ำ โปปูสนูกรรม คนไทยนิยม เรียกวำ่ พระองคว์ ำ่ \"พระวษิ ณุกรรม\" และมกั เรียกกร่อนเสียงลงเหลือเพียง 'พระวิษณุ' เฉย ๆ เลยไปคลอ้ งกบั พระวิษณุ (พระนำรำยณ์ เทพผูค้ ุม้ ครองโลก) ทำให้คนไทยทวั่ ไปเขำ้ ใจผิดคิดว่ำพระวิษณุกรรมคือองค์ เดียวกนั กบั พระวิษณุ (พระนำรำยณ์) ท่ีคนไทยเรำรู้จกั กนั ดี ในฐำนะท่ีเป็ นหน่ึงใน ๓ เทพ (ตรีมูรติ) องค์ สำคญั ของศำสนำฮินดู (ไดแ้ ก่ พระพรหม พระวษิ ณุ (พระนำรำยณ์) และพระศิวะ) ซ่ึงเป็นควำมเขำ้ ใจที่ผดิ เข้ำใจตรงกนั ว่ำพระวษิ ณุกรรม เทพคนละองค์กบั พระวษิ ณุ (พระนำรำยณ์) นะครับ รูปที่ 3 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมศิลปขอม ตำนำมพระวษิ ณกุ รรม ในคมั ภีร์ฤคเวทตำนำนกล่ำวไวว้ ำ่ พระองคเ์ ป็นหน่ึงใน 7 ฤำษี ท่ีมีหนำ้ ท่ีใหก้ ำรก่อสร้ำงส่ิงต่ำง ๆ แต่ ดว้ ยควำมท่ีพระองคเ์ ป็ นผมู้ ีวิสัยทศั น์กวำ้ งไกลและมีสติปัญญำเฉียบแหลม อีกท้งั มีควำมแข็งแกร่งเป็ นเลิศ (supreme strength and vision) มีอำนำจพิเศษท่ีสำมำรถมองเห็นอนำคต มีพลงั ที่สำมำรถจะปกป้อง สถำปัตยกรรมที่สร้ำงไวใ้ ห้พน้ จำกภัยพิบตั ิต่ำง ๆ ได้อีกด้วย และคำดกำรณ์ถึงส่ิงก่อสร้ำงต่ำง ๆ กำร เคล่ือนยำ้ ย กำรขยบั ขยำยในอนำคต จึงทำให้พระองค์ได้รับพระนำมว่ำ \" เทพเจำ้ แห่งสถำปัตยะกรรม\"
4 ในคมั ภีร์ปุรำณะไดก้ ล่ำวไวว้ ำ่ พระวิษณุกรรมเป็ นโอรสของพระประภำส (Prabhasa) และ พระนำง โยคสิทธำ (โยกสิฏฐำ แปลวำ่ ผมู้ ีควำมงำมน่ำรักใคร่) ท้งั บิดำและมำรดำของพระวิษณุกรรมน้นั เป็ นผูท้ ่ีใหญ่ ท่ีมีอิทธิพลมำก พอสมควรเลยทีเดียว เพรำะว่ำพระประภำสเป็ นหน่ึงในวสุเทพ (Vasu Deva) บริวำรของ พระอินทร์ วสุเทพน้ี มีดว้ ยกนั 8 องค์ คือ 1) ธรณี (ดิน) 2) อำป (น้ำ) 3) อนิล (ลม) 4) อนล (ไฟ) 5) องคโ์ สม (จนั ทร) 6) ธรุระ (ดำว) 7) ประรัตยูร (รุ่ง) และ 8) ประภำส (แสง) ส่วนพระนำงโยคสิทธำน้นั ก็เป็ นนอ้ งสำว ของพระพฤหสั บดี เป็นมหำคุรุเทพผเู้ ป็นครูของเทวดำท้งั หลำยในกลุ่มของเทวดำนพเครำะห์ท้งั หมด จะเห็น ไดว้ ำ่ ท่ีคนไทยทำพิธีไหวค้ รูในวนั พฤหสั บดีน้นั ก็คืออิทธิพลของพระพฤหสั บดี พระวิษณุกรรมมีพระชำยำ ช่ือพระนำงฆฤตำจี ซ่ึงไดช้ ่ือวำ่ เป็น ๑ ใน ๑๑ นำงฟ้ำเหล่ำท่ีสวยที่สุดบนสวรรค์ มีบุตรชำยช่ือ วศิ วรูป มีสำม เศียร และนลวำนร (ในรำมเกียรติ เป็นลิงผจู้ องถนน (สร้ำงถนน) ไปกรุงลงกำ) สำหรับลูกสำว 2 คนของพระวษิ ณุกรรม คนแรก คือนำงสัญชญำ หรือ สันชนำ หรือสัญญำ หรือ ศรันยำ (Sanjana , Sangna, Sandhaya , Suvarchala , Sauri , Randal , Ravi Randal , Saranya หรือ Saranyu นำงเป็ นเทพีแห่งเมฆและพลบค่ำ) เป็ นบุตรของพระวษิ ณุกรรมกบั ชำยำท่ำนท่ีชื่อ นำงฆฤตำจี\" นำงสัญชญำ เป็นพระชำยำของ เทพววิ สั วตั (Vivasvat) หรือ สูรยเทพ (พระอำทิตย)์ เม่ือคร้ังนำงสัญชญำจะไปบำเพญ็ ศีล จึงทูลขอพระวิษณุกรรมให้สร้ำงนำงฉำยำ (Chhaya เงำหรือภำพสะทอ้ นของนำงสัญชญำ นำงเป็ นเทพีแห่ง เงำ) ข้ึนจำกเงำของนำงสัญชญำ (โคลนน่ิงของนำงสญั ชญำ) มำเป็นชำยำของพระอำทิตยแ์ ทน ยงั มีอีกตำนำนวำ่ ทำ่ นมีลูกชำย 5 คน (ในรูปพระวษิ ณุกรรมของอินเดียจะมีรูปลูกท้งั 5 ของท่ำนดว้ ย) ลูกชำยแต่ละคนมีควำมชำนำญเฉพำะดำ้ น ถือวำ่ เป็นบรรพบุรุษของช่ำงตีเหล็ก, ช่ำงไม,้ ช่ำงทองเหลือง, ช่ำง แกะสลกั และช่ำงทองตำมลำดบั ที่รู้จกั กนั ในนำม “the sons of Vishwakarma” ดงั น้นั ผูท้ ่ีทำงำนช่ำงท้งั 5 ดำ้ นในอินเดียจะถือวำ่ ตนเป็นลูกของพระวษิ ณุกรรม รูปท่ี 4 ภำพพระวษิ ณุกรรมของอินเดียตะวนั ตก และภำพพระวษิ ณุกรรมของอินเดียตะวนั ออก
5 และท่ำนยงั มีลูกชำยอีก 9 คน ท่ีเกิดจำกผูห้ ญิงที่อยู่ในวรรณะศูทร ที่มีควำมชำนำญด้ำน ร้อย พวงมำลยั (malakara) , ช่ำงเหล็ก (karmakara), ช่ำงขดั เงำหอยมุก (shankakara), ช่ำงทอผำ้ (kuvindaka), ช่ำง ป้ัน (khumbhakara), จิตรกร (chitrakara) และช่ำงทอง (svarnakara) (Danielou, 2001:30) แต่ตำรำมำนสำร (manasara) ซ่ึง เป็ นตำรำวำ่ ดว้ ยศิลปะศำสตร์ของอินเดียตอนตน้ กล่ำวว่ำพระ พรหมผสู้ ร้ำงทรงทรงบนั ดำลใหเ้ กิดมีเทพสถำปนิก 4 องค์ ออกมำจำกพระพกั ตร์ท้งั 4 คือ วศิ วกรรม , มำยะ , ตวษั ฎฤ , และมนู เทพท้งั ส่ีองคน์ ้ีต่ำงมีโอรสช่ือ สถบดี , สูตรครำหินะ , วรรธกี และตกั ษกะ ซ่ึงนบั วำ่ เป็ นตน้ วงศข์ องช่ำงบนสวรรค์ แต่นบั ถือวำ่ สถบดี บุตรพระวศิ วกรรม ทรงเกียรติยศสูงกวำ่ องคอ์ ื่น ๆ เพรำะเป็ นเทพ สถำปนิกช้นั ยอดเยยี่ ม (Master – Builder) หนงั สือ A Classical Dictionary of hindu Mythology ของ Dowson กล่ำว วำ่ คำวำ่ วิศวกรรมน้นั เดิม เป็ นฉำยำของเทพยดำที่มีอำนำจองค์ใด ๆ ก็ได้ เช่นพระอินทร์ , พระสุริยะ เป็ นตน้ ต่อมำภำยหลงั คำว่ำ วศิ วกรรม หมำยถึงพระวิษณุกรรมเทพผูม้ ีอำนำจบนั ดำลให้ส่ิงต่ำง ๆ บงั เกิด ในงำนสถำปนิก งำนช่ำงและ กำรก่อสร้ำงของสำกลโลก บำงตำนำนวำ่ พระวษิ ณุกรรมเป็ นโอรสของ \"ภูวนะ\" (Bhuvana) มี อีกนำมหน่ึงวำ่ ทวสั ตริ เป็ นเทพ อีกองค์หน่ึงที่เป็ นศัตรูตวั สำคัญของพระอินทร์ และได้ตำยไปเพรำะหลงคำสำบของพระอินทร์ แต่ แลว้ ทวสั ตริไดป้ รำกฏข้ึนมำใหม่อีกในนำมของพระวศิ วกรรม กลำยเป็นผชู้ ่วยท่ีใกลช้ ิดที่สุดของพระอินทร์ รูปที่ 5 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมศิลปอินเดียตอนเหนือและศิลปเบงกอล ในคมั ภีร์อรรถกถำธรรมบทในทำงพระพุทธศำสนำ (อำ้ งจำกหนงั สือชุมนุมนิพนธ์ อ.น.ก. ของพระ ยำอุปกิตศิลปสำร และพระไตรปฎิกภำษำไทยฉบบั หลวง) กล่ำวถึงตำนำนของพระวษิ ณุกรรมวำ่ เมื่ออดีตภพ
6 พระอินทร์เกิดเป็ น มนุษยม์ ีนำมวำ่ \"มฆมำณพ\" อำศยั อยทู่ ่ีตำบลจุลคำม แควน้ มคธ มฆมำณพไดด้ ำเนินชีวติ ไปในทำงบุญกศุ ลตลอดเร่ิมดว้ ยกำรแผว้ ถำงทำงเดิน ซ่ึงในขณะที่สร้ำงไดม้ ีบุรุษมำไต่ถำมถึงควำมประสงค์ เร่ือย ๆ มฆมำณพ ตอบวำ่ สร้ำงทำงไปสวรรค์ บุรุษน้นั ๆ ก็มำร่วมดว้ ยจนมีจำนวนได้ 33 คน ต่อมำบุรุษท้งั 33 คนน้นั ไดพ้ ำกนั ไปสร้ำงศำลำที่ทำงใหญ่สี่แพร่ง ดว้ ยควำมมุ่งหมำยเพ่ือสร้ำงทำงไปสวรรคต์ ่อไป ในกำร สร้ำงศำลำน้ีมฆมำณพ พร้อมดว้ ยบุรุษท้งั 33 คนไดไ้ ปเชิญนำยช่ำงไมท้ ี่มีควำมสำมำรถผหู้ น่ึงมำเป็ นนำยงำน นำยช่ำงไมผ้ นู้ ้ีไดแ้ สดงควำมสำมำรถเป็ นที่ประจกั ษใ์ นท่ีสุดศำลำน้นั ก็สำเร็จลุล่วงเป็ นประโยชน์แก่ผูส้ ัญจร ไปมำดว้ ยกำรกระทำของมฆมำณพซ่ึงเป็ นผูก้ ำกบั กำร นำยช่ำงไมท้ ่ีเป็ นนำยก่อสร้ำง และบุรุษท้งั 33 คน ท่ี เป็ นคนงำน ดว้ ยอำนิสงส์ของกุศลดงั กล่ำวเม่ือมฆมำณพและเหล่ำบุรุษท้งั หลำยถึงแก่กรรมก็ไดไ้ ปบงั เกิด เป็ นเทพยำดำในสรวงสวรรค์ท้งั หมด มฆมำนพไปเกิดเป็ นสมเด็จจอมรินทรำชำธิรำช (พระอินทร์) แห่ง ดำวดึงส์ภิภพเป็นใหญ่กวำ่ เทพยดำในสองช้นั ฟ้ำ บุรุษท้งั 33 คนน้นั ก็ไปบงั เกิดเป็ นเทพยดำ สำหรับนำยช่ำง ไมไ้ ปเกิดเป็ นพระวิษณุกรรมนำยช่ำงใหญ่แห่งเทวโลก เป็ นเป็ นเทพ \"ช้นั ผูใ้ หญ่\" ท่ีสถิตยอ์ ยูบ่ นสวรรคช์ ้นั ดำวดึงษ์ เป็ นนำยช่ำงใหญ่ขององค์สมเด็จจอมรินทรำชำธิรำช (พระอินทร์) เพ่ือสร้ำงเครื่องมืออุปกรณ์ สิ่งของอำคำรต่ำง ๆ ใหเ้ กิดข้ึนท้งั ในสวรรคแ์ ละบนโลกมนุษย์ และเป็นผนู้ ำวชิ ำช่ำงมำสอนแก่มนุษย์ เร่ืองพระวิษณุกรรมใน \"กำเนิดมนุษย์ ในอุษำคเนย์ จำกพงศำวดำรลำ้ นชำ้ ง (ตำนำนน้ำเตำ้ ปุง) ท่ี กล่ำวถึงตำนำนกำรเกิดมนุษยเ์ ผ่ำพนั ธุ์ต่ำง ตำนำนกำรเกิดโลกของบรรพชนคนพ้ืนเมืองในดินแดนต้งั แต่ แม่น้ำแยงซี (ฉำงเจียง) ลงมำจนถึงอุษำคเนยท์ ้งั ภำคพ้ืนดินและภำคสมุทร วำ่ ไวเ้ มื่อโลกเกิดใหม่ ๆ มีมนุษย์ 3 คน ที่สำมำรถติดต่อกบั พญำแถน (เทวดำบนสวรรค์) คือป่ ูลำงเชิง ขุนเค็ก ขนุ คำน ซ่ึงอำศยั อยู่เมือง ลุ่ม (โลกมนุษย์ ) ตอ่ มำไม่นำอำหำรมำเซ่นไหวพ้ ญำแถนดงั่ ที่เคยปฏิบตั ิ พญำแถนโกรธจึงดลบนั ดำลให้น้ำ ท่วมโลก ผคู้ นบริวำรของขุนท้งั สำมลม้ ตำยหมด คงเหลือแต่ขุนท้งั สำมและลูกเมีย ไดอ้ ำศยั แพลอยไปตำม น้ำจนถึงเมืองแถนจึงไดเ้ ขำ้ เฝ้ำพญำแถน และขอขมำพญำแถน พญำแถนยกโทษให้และให้กลบั ไปอยูเ่ มือง ลุ่มตำมเดิม โดยไดม้ อบควำยใหต้ วั หน่ึงเพอ่ื มำช่วยทำนำ 3 ปี ตอ่ มำควำยตำย ไดเ้ กิดมีตน้ น้ำเตำ้ ปุ้งงอกออกมำ จำกรูจมูกซำกควำย มีออกผลมำ 3 ผล แต่ละผลใหญม่ ำก ป่ ูลำงเชิงไดเ้ อำเหล็กเผำไฟแลว้ เจำะรูน้ำเตำ้ ท้งั สำม ผล กม็ ีคนไหลออกมำจำกผลน้ำเตำ้ มำกมำย ฝงู คนที่ออกมำมีผวิ สีดำ เรียกวำ่ ขำ่ ส่วนขนุ คำนไดใ้ ชส้ ิ่วเจำะผล น้ำเตำ้ ท้งั สำม เจำะเสร็จกม็ ีคนออกมำมำกมำย ฝงู คนที่ออกมำมีผวิ สีขำว เรียกวำ่ ไท ฝูงคนเหล่ำน้นั ไดม้ ำเป็ น บริวำรของขุนท้งั สำม ภำยหลงั เมื่อคนมำกข้ึน ขนุ ท้งั สำมสอนใหผ้ คู้ นเหล่ำน้นั รู้จกั ทำมำหำกิน แรก ๆ ก็อยู่ กนั ดีมีสุข แตต่ อ่ มำขนุ ท้งั สำมไม่สำมำรถอบรมส่ังสอนและปกครองผคู้ นเหล่ำน้นั ได้ จึงข้ึนไปเฝ้ำพญำแถน เพื่อขอควำมช่วยเหลือ พระยำแถนจึงใหข้ นุ ครูแลขนุ ครอง ลงมำปกครอง แต่ก็ยงั จดั กำรไม่ไดด้ ี พญำแถนจึง ไดส้ ่งขุนบรมและเหล่ำขนุ นำงมำจดั กำรกำรปกครองจนเรียบร้อยดีแลว้ ขุนบรมคิดท่ีใหผ้ คู้ นมีกินดีอยูด่ ี จึง ไปขอร้องพญำแถนอีก พระยำแถนจ่ึงส่งวิษณุกรรมลงมำสอนกำรสร้ำงบำ้ นแปลงเมืองให้รุ่งเรือง สั่งสอน กำรทำไร่ทำนำ ปลูกขำ้ วปลูกผกั ปลูกลูกไมห้ วั มนั ไวก้ ิน สอนกำรทอผำ้ สอนใหร้ ู้จกั พืชพรรณที่เป็ นอำหำร
7 และยำรักษำโรค และยงั สอนกำรฟ้อนรำและดนตรีใหม้ นุษยอ์ ีกดว้ ย เพรำะตอ่ จำกน้ีพญำแถนจะไม่ลงมำช่วย อีก มนุษยต์ อ้ งทำเอง ในวิทยำนิพนธ์เร่ืองเทพยดำพระเวท ของอุดม รุ่งเรืองศรี อธิบำยเร่ืองน้ีไวว้ ่ำ ในคมั ภีร์ฤคเวท (ซ่ึง เป็ นคมั ภีร์โบรำณของอินเดีย แต่งข้ึนเมื่อรำว 3000 ปี ก่อนคริสตกำล เป็ นตำรำทำงศำสนำท่ีเก่ำแก่ท่ีสุดใน โลกก็วำ่ ได้ เน้ือหำในคมั ภีร์ส่วนมำกจะเป็ นบทสวดสรรเสริญคุณและอำนำจของเทวะ และกล่ำวถึงประวตั ิ กำรสร้ำงโลกและจกั รวำล) มีบทสดุดีพรรณนำถึงพระวิศวกรมนั โดยเฉพำะและนำมของพระองคม์ ีกล่ำวไว้ ในตอนท่ีสิบ ของคมั ภีร์น้ีอีกห้ำแห่งดว้ ยกนั เป็ นผูเ้ ห็นสรรพสิ่ง ทรงไวซ้ ่ึง ดวงตำ ใบหน้ำ แขนและขำอยู่ รอบขำ้ ง เป็ นผูส้ ร้ำงสวรรคแ์ ละแผน่ ดินโดยใชพ้ ระกรและปี ก (หำงนกยูง เป็ นเคร่ืองมือเพ่ือโบกเนรมิตให้ เกิดส่ิงท่ีจะสร้ำง) โบกหรือก่อให้เป็ นรูปข้ึน และยงั ทรงสร้ำงสรรคท์ ุกสิ่งทุกอยำ่ งท่ีอยบู่ นโลก และคอยปก ปักรักษำส่ิงท่ีทรงสร้ำงไวด้ ว้ ย (หนำ้ 75 Hindu Mythology ของ Wilkins) พระองคจ์ ึงเป็ นเทพผสู้ ร้ำงสรรค์ และปกปักรักษำ มำในยุคพรำหมณ์ถือว่ำเป็ นองค์เดียวกบั ประชำบดี แต่คร้ังถึงสมยั หลงั พระเวทแล้ว พระองคถ์ ูกลดควำมสำคญั ลงมำเป็นเทพแห่งกำรช่ำงเทำ่ น้นั คอยรับบญั ชำจำกพระผูเ้ ป็ นเจำ้ ท่ีสูงศกั ด์ิกวำ่ ยก ดำ้ นผสู้ ร้ำงสรรคใ์ หพ้ ระพรหมและพระนำรำยณ์เป็นผปู้ กปักรักษำ ชำวไทยไดร้ ับอิทธิพลทำงวฒั นธรรมและกำรสืบทอดประเพณีบำงอย่ำงมำจำกอินเดีย ซ่ึงนบั ถือวำ่ พระวศิ วกรรมำเป็นเทพแห่งช่ำง เป็นผสู้ รรคส์ ร้ำง หรือเป็นผดู้ ลบนั ดำลใหเ้ กิดกำรสรรคส์ ร้ำงประดิษฐ์กรรม ต่ำง ๆ ในโลก เรำจึงบญั ญตั ิศพั ทใ์ นภำษำไทยวำ่ \"วิศวกรรมศำสตร์” ศำสตร์ที่มีพระวศิ วกรรมำ (เทวดำแห่ง ช่ำง ) เป็นครู มำแปลคำวำ่ \"ENGINEERING\" ในภำษำองั กฤษ ในหนงั สือเทพเจำ้ และสิ่งน่ำรู้ พระรำชนิพนธ์ในพระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกลำ้ เจำ้ อยูห่ วั รัชกำลที่ 6 กล่ำววำ่ พระวิศุกรรม ฤำเรียกตำมภำษำสันสกฤกตวำ่ วศิ วกรรม และ ตวสั ตฤ ก็เรียก นบั วำ่ เป็ นศิลปิ นเอก ในหมูเ่ ทวดำ ลกั ษณะพระวษิ ณุกรรมของอินเดีย มีพระเนตร 3 ดวง มีกำยสีขำว ทรงชฎำและอำภรณ์สีทอง มี สร้อยคอและทองกร และมี 4 พระกร โดยพระกรหน่ึงจะถือหมอ้ น้ำหรือน้ำเตำ้ พระกรท่ีสองทรงบ่วงบำศ พระกรที่สำมทรงหนงั สือ ส่วนพระกรสุดทำ้ ยจะถือไมว้ ดั มีหงส์ (ห่ำน) หรือชำ้ ง เป็นสตั วพ์ ำหนะ ลกั ษณะของพระวษิ ณุกรรมไทย มีพระเนตร 3 ดวง มี 2 กร ถือคทำ และถือหำงนกยูง (เป็ นเครื่องมือ เพ่ือโบกเนรมิตให้เกิดส่ิงท่ีจะสร้ำง) กำยสีเขียว มีพระโลหิตเป็ นสีเลือดหมู ทรงอำภรณ์สีทองอยำ่ งเทวดำ ทรงชฎำยอดเทริดน้ำเตำ้ นุ่งภูษำไม่สวมฉลองพระองค์ (เส้ือ) นุ่งผำ้ รัดเขม็ ขดั ทองลงยำ ใส่สนบั เพลำ ประดบั ทองกรกรองคอ สวมสงั วำลเตม็ สวมกำไลท่ีขอ้ แขน ตน้ พระหตั ถ์ และท่ีขอ้ พระบำท ลกั ษณะของหัวโขนพระวิษณุกรรมไทยมี 2 แบบ คือ แบบที่ ๑ ทำเป็ นหนำ้ มนุษย์ สีเขียวแก่ หรือ เขียวใบแค สวมเทริด หรือมงกฎุ ยอดน้ำเตำ้ เป็นหวั โขนพระวษิ ณุกรรมท่ีหมู่ช่ำงโขนบูชำ
8 แบบท่ี 2 เม่ือทรงงำน ทำเป็ นหนำ้ มนุษย์ สีเขียวแก่ หรือเขียวใบแค ศีรษะโลน้ มีกระบงั หนำ้ หรือ โพกผำ้ สีขำว หรือ โพกผำ้ เขียนลำยดอกไมบ้ ริเวณผม เป็นนยั วำ่ เป็ นช่วงท่ีทำงำนช่ำงจึงไม่ทรงเคร่ืองประดบั แต่แบบหลงั น้ีพบเห็นไดน้ อ้ ยกวำ่ เป็นหวั โขนพระวษิ ณุกรรมท่ีหมู่นกั แสดงบูชำ รูปที่ 6 หวั โขนพระวษิ ณุกรรมไทย รูปที่ 7 หวั โขนพระวษิ ณุกรรมไทยขณะทรงงำน ชำวดุริยศิลป์ นำฏดุริยำงค์และนำฏศิลป์ นบั ถือวำ่ พระวิศวกรรมเป็ นหน่ึงในดุริยเทพ หรือครูเทพ ฝ่ ำยดนตรีองคห์ น่ึง เพรำะมีตำนำนเล่ำสืบกนั มำวำ่ ในคร้ังหน่ึงเมืองมนุษยท์ ้งั เด็กและผูใ้ หญ่จะร้อง จะเล่น แสดงอะไรไม่เป็ นระเบียบ มีถ้อยคำที่หยำบโลนควำมรู้ไปถึงพระอินทร์ จึงสั่งกำรให้พระวิษณุกรรมให้ จำแลงองคเ์ ป็น ชีปะขำวเท่ียวจำริกไปถึงทอ้ งถิ่นใดก็สั่งสอนเด็ก ๆ และชำวเมืองใหร้ ู้จกั ร้อง รู้จกั เล่นให้เป็ น ระเบียบ นอกจำกน้ียงั ดลบนั ดำลใหเ้ ครื่องดนตรีมีลกั ษณะถูกตอ้ ง และมีเสียงอนั ไพเรำะเป็นแบบฉบบั ในกำร สร้ำงเคร่ืองดนตรีและกำรบรรเลงสืบมำ
9 ในคมั ภีร์ตอนท่ีพระภรตฤษีรับเทวโองกำรจำกพระมหำพรหม ใหเ้ ริ่มวธิ ีกำรแสดงละคร พระภรต ฤษีไดข้ อใหพ้ ระวษิ ณุกรรมสร้ำงโรงละคร พระวษิ ณุกรรมจึงออกแบบสร้ำงโรงละคร และสอนใหช้ ำวเมือง มนุษยร์ ู้จกั ร้องรำทำเพลง รูปที่ 8 ศีรษะโขนพระวษิ ณุกรรมของชำวดุริยศิลป์ นำฏดุริยำงค์ พระเพชรฉลูกรรม หรือพระฤษีเพชรฉลูกรรม หรือ เพชรฉลูกณั ณ์ ก็คือ องคพ์ ระวิษณุกรรมผูถ้ ือศีล เป็ นท่ีเคำรพนบั ถือของนกั ไสยศำสตร์กนั มำก ก็เน่ืองดว้ ยพระองคเ์ ป็ นผูส้ ร้ำงอำวธุ อนั ร้ำยกำจให้แก่บรรดำ ทวยเทพท้งั หลำย ไวป้ ระหำรควำมชวั่ ร้ำย อยำ่ งศรอำคเนยำสตร์ (อคั นิวำต) ของพระรำม ตำนำนกำรสร้ำง พระขรรคช์ ยั ศรีก็เช่ือวำ่ พระวษิ ณุกรรมเป็นผสู้ ร้ำงดว้ ยและยงั เป็นผใู้ หค้ วำมคุม้ ครองคนดีมีศีลธรรมดว้ ย รูปท่ี 9 พระเพชรฉลูกรรม หรือพระฤษีเพชรฉลูกรรม หรือ เพชรฉลูกณั ณ์ พระวศิ วกรรมหญิง ที่เป็นครูช่ำงเยบ็ ปักถกั ร้อย ดอกไมบ้ ำยศรี รวมถึงงำนคหกรรม และเทพีแห่งโชค ลำภทรัพยส์ ินสมบตั ิ มีช่ือว่ำ “นำงนิลบรรพตเทพสุดำ” (ลูกสำวของป่ ูเจำ้ เขำเขียว) ซ่ึงมีตำนำนคลำ้ ยกบั นำงกวกั ซ่ึงเป็ นเทพีแห่งโชคลำภทรัพยส์ ินสมบตั ิ และก็เป็ นลูกสำวของป่ ูเจำ้ เขำเขียวเช่นกนั จึงคำดว่ำนำง ท้งั สองอำจจะเป็ นเทพีองค์เดียวกนั แต่อำจำรยอ์ รุณศกั ด์ิ ก่ิงมณี นักโบรำณคดีกรมศิลปำกร ไม่ยืนยนั ว่ำ นำงกวกั กบั นิลบรรพตเทพสุดำเป็ นเทพีองค์เดียวกนั ในบทไหวค้ รูช่ำงมีบทหน่ึงท่ีกล่ำวถึงนำงนิลบรรพต เทพสุดำควำมวำ่ “ อน่ึงไซร้ขำ้ ขอเคำรพนบนำงนำมปรำกฏ นิลบรรพตเทพสุดำ กวกั มำซ่ึงสุวรรณรัตน์
10 สรรพสมบตั ิโอฬำร จะแจง้ กำรพิธี มำรับพลีท้งั หลำยไซร้ แลว้ ใหพ้ ระศรีสวสั ด์ิ ปัดสรรพภยั ทุกประกำร นำ ศฤงคำรโภคำทว่ั ทุกส่ิงมำ เพ่ิมพูนประมูลมำกธนสำร นำนมำโดยเนืองนิตย์ ประสิทธิแต่ปวงขำ้ พเจำ้ ตำม ขนบเคำ้ แบบบรรพ.์ ..\" รูปท่ี 10 นำงนิลบรรพตเทพสุดำ (พระวศิ วกรรมหญิง) ภำพวำดจำก อ.จกั รพนั ธ์ โปษยกฤต ตำนำนพระวิศวกรรมในพงศำวดำรขอม แมข้ อมได้อิทธิผลจำกอินเดีย แต่กลับมีตำนำนพระ วศิ วกรรมท่ีแตกต่ำง โดยเช่ือวำ่ พระวษิ ณุกรรมน้นั เป็ นบุตรของชำวจีนจำกเซียงไฮท้ ่ียำกจนคนหน่ึง ชื่อหลิม เสงกบั นำงทิพยสุดำจนั ทร์ผเู้ ป็นนำงฟ้ำท่ีพระอินทร์ สำปใหม้ ำเป็นภรรยำของนำยหลิมเสง ต่อมำนำงทิพสุดำ จนั ทร์ไดเ้ หำะกลบั สวรรคแ์ ละนำพระวสิ สุกรรม (นำยหลิมเสง) กลบั ข้ึนไปเขำ้ เฝ้ำพระอินทร์ดว้ ย พระอินทร์ เห็นวำ่ วสิ สุกรรม หรือ โปปูสโนกำร ชอบงำนทำงช่ำงจึงโปรดใหเ้ ทพบุตรสอนงำนช่ำงให้ พร้อมท้งั อนุญำต ใหน้ ำควำมรู้ไปเผยแพร่สั่งสอนมนุษยท์ ่ีนบั ถือศำสนำพุทธ รูปท่ี 11 เทวรูปพระวษิ ณุกรรมโบรำณ ที่ขุดพบในเขตดินแดนอำณำจกั รขอมโบรำณ ไดแ้ ก่ประเทศ กมั พูชำ ดินแดนภำคกลำงของไทย
11 รูปท่ี 12 ภำพพระวษิ ณุกรรมไทย ผลงำนของพระวษิ ณกุ รรม ผลงำนของท่ำนมีมำกมำยเหลือคณำนบั ในตำนำนของพระฉตั รกะนำด กล่ำววำ่ ทำ่ นเป็ นผสู้ ร้ำงโลก สร้ำงแผน่ ดิน สร้ำงสวรรค์ สร้ำงจกั รวำล ในรุกขเวช กล่ำววำ่ ท่ำนเป็นเทพท่ีควบคุมสำยฟ้ำและลมฝน ผลงำนดำ้ นสร้ำงอำวุธในตำนำนฮินดู ไดว้ ำ่ นำงสัญชญำ (สัญญำ หรือ ศรันยำ หรือสันชนำ มำรดำ พระยม) ชำยำของพระอำทิตย์ ธิดำของพระวษิ ณุกรรม มำเล่ำใหพ้ ระวษิ ณุกรรมฟังวำ่ นำงทนแสงรัศมีของ พระอำทิตยไ์ ม่ไหว เขำ้ ใกลไ้ ม่คอ่ ยได้ พระวษิ ณุกรรมสงสำรลูกสำว จึงช่วยเหลือโดยกำรไปกลึงพระอำทิตย์ ดว้ ยหินกอ้ นหน่ึง จนทำให้ควำมร้อนแรงลดลงไดห้ น่ึงในแปด (หน้ำ 34 Hindu Mythology ของ Wilkins และหนงั สือวษิ ณุปุรำณะ เล่ม 3 บทท่ี 2) พระวษิ ณุกรรมไดน้ ำรัศมีพระอำทิตยท์ ี่ตดั ออกมำไดน้ ้นั ไปจดั สร้ำง เป็นอำวธุ ทรงอำนุภำพ ตำ่ ง ๆ ใหเ้ หล่ำเทพพำยดำใช้ ไดแ้ ก่ \"จกั รำวุธ\" (กงจกั ร) ถวำยพระนำรำยณ์ , \"ตรีศูล\" (สำมง่ำม) ถวำยพระอิศวร } \"วชิรำวธุ \" (สำยฟ้ำ) ถวำยพระอินทร์ , \"คทำวธุ \" (กระบอง) ถวำยทำ้ วกุเวร (เทพ แห่งควำมมนั่ คง) , ขวำนเหล็กถวำยพระอคั นี (พระเพลิง) และ \"โตมรำวธุ \"(หอก) ถวำยพระขนั ทกุมำร (เทพ แห่งสงครำม) ทำศรอำคเนยำสตร์ (อคั นิวำตของพระรำมในเรื่องรำมเกียรต์ิ) เป็นตน้ ผลงำนดำ้ นช่ำงตดั เส้ือและออกแบบแฟชน่ั ในคร้ังเม่ือกวนเกษียรสมุทร ไดก้ ำเนิดพระลกั ษมี (ชำยำ พระนำรำยณ์) ผดุ ข้ึนมำ โดยไมม่ ีอำภรณ์นุ่งห่ม พระวษิ ณุกรรมจึงไดส้ ร้ำงอำภรณ์ใหพ้ ระลกั ษมีสวมใส่
12 ผลงำนดำ้ นปฎิมำกรรม เป็นผปู้ ้ันนำงติโลตตมำ นำงฟ้ำที่สวยท่ีสุดนำงหน่ึงบนสวรรค์ สวยจนทำให้ พระอินทร์ผูป้ รำรถนำเห็นนำงติโลตตมำอยำ่ งจุใจ กลำยเป็ น \"ทำ้ วสหสั นยั น์\" มีดวงตำ ๑,๐๐๐ ดวง และทำ ใหพ้ ระพรหมผปู้ รำรถนำเห็นนำงติโลตตมำจำกทุกดำ้ น กลำยเป็ น \"ทำ้ ว จตุรพกั ตร์\" มี ๔ หนำ้ แสดงวำ่ พระ วศิ วกรรมำ ก็เป็นปฏิมำกรดว้ ย ชำยำท่ำนหน่ึงของพระวศิ วกรรมำ คือ นำงฆฤตำจี น้นั ก็ไดช้ ื่อวำ่ เป็ นหน่ึงใน ๑๑ นำงฟ้ำเหล่ำที่สวยท่ีสุดบนสวรรค์เช่นกนั (เหล่ำนำงฟ้ำแถวหนำ้ รูปงำมนำมเพรำะ ที่วำ่ น้ี รวมเรียกว่ำ เหล่ำ \"เทพกญั ญำ\" มี ๑๑ นำงไดแ้ ก่ นำงเมนะกำ ๑ นำงสหชนั ยำ ๑ นำงกรรณิกำ ๑ นำงปุญชิกำสถำลำ ๑ นำง ฤตุสถำลำ ๑ นำงฆฤตำจี ๑ นำงปูรวจิตตี ๑ นำงอุลโลจำ ๑ นำงปรัมโลจำ ๑ นำงอุรวศี ๑ และ นำงวิศวำจี และ สร้ำงเทวรูปองคใ์ หญ่ของพระรำชคนั นำถะ (พระชคนั นำถ จำ้ วแห่งจกั รวำล Jagannatha) ซ่ึงเป็ นอวตำรปำง หน่ึงของพระนำรำยณ์หรือพระกฤษณะ ผลงำนดำ้ นสถำปัตยกรรมและช่ำงก่อสร้ำง พระวษิ ณุกรรมเป็ นผูอ้ อกแบบและสร้ำงพระรำชวงั และ เมืองให้เหล่ำเทพยดำ เช่น สร้ำงกรุงลงกำมอบใหแ้ ก่พระศิวะและนำงปำรำวตี(พระแม่อุมำ) แต่ตอนทีพระ ศิวะเชิญทศกณั ฐใ์ ห้ทำพิธี Grihapravesh (พิธีของชำวฮินดูเทียบกบั กำรทำบุญบำ้ นใหม่ของชำวพุทธ) หลงั เสร็จพิธี พระศิวะไดก้ ล่ำววำจำจะมอบทุกสิ่งที่ทศกณั ฐ์ทูลขอเพื่อตอบแทนที่ทศกณั ฐม์ ำทำพิธีให้ ทศกณั ฐ์ หลงใหลชื่นชมจำกควำมงำมและควำมยงิ่ ใหญ่ของกรุงลงกำจึงพร้อมทูลขอกรุงลงกำ พระศิวะจำเป็ นตอ้ ง ยอมตำมควำมปรำรถนำของทศกณั ฐ์ พระวิษณุกรรมจึงสร้ำงนครอมรำวดีให้พระศิวะแทนกรุงลงกำ ใน เรื่องมหำกำพยร์ ำมำยณะ ท่ำนยงั ไดส้ ร้ำงกรุงทวำรกำให้แก่พระกฤษณะ (ซ่ึงเป็ นอวตำรปำงหน่ึงของพระ นำรำยณ์) สร้ำงเมืองอินทรปัตถ์สำหรับพวกปำณฑพในเรื่องมหำกำพยม์ หำภำรตะ สร้ำงวิมำนให้แก่พระ วรุณ (เทพแห่งน้ำ) และพระยม (เทพแห่งควำมตำย) ผลงำนด้ำนเครื่องกล เป็ นผูส้ ร้ำงรำชรถเคลื่อนท่ีเองไดถ้ วำยเทพพำยดำ สร้ำงรำชรถบุษบกเป็ น พำหนะให้แก่ทำ้ วกุเวร ร่วมมือกบั เทพริภุ (Ribhu) ซ่ึงเป็ นเทพมนุษยต์ ระกูลช่ำงในกำรสร้ำงรำชรถและมำ้ ให้กบั พระอินทร์ สร้ำงวำฬสังฆำตยนต์ ซ่ึงเป็ นกงลอ้ หมุนรอบองคพ์ ระสถูปที่พระเจำ้ อชำตศตั รูสร้ำงเพื่อ อญั เชิญพระบรมสำรีริกธำตุพระพุทธเจำ้ ไปประดิษฐำนไว้ เพื่อป้องกนั กำรมำขโมยแยง่ ชิง ในสมยั ต่อมำ คร้ันเม่ือพระเจ้ำอโศกมหำรำช องค์มหำเอกอคั รพุทธศำสนูปถัมภก เสด็จมำเพ่ือจะอญั เชิญพระบรม สำรีริกธำตุไปประดิษฐำนไวใ้ นพระวิหำรท่ีพระองค์ ทรงสร้ำงข้ึน พระวิษณุกรรมก็ไดใ้ ชธ้ นูยิงลูกศรเขำ้ ไป ขดั เฟื องใหก้ งลอ้ ยนตน์ ้นั หยุดหมุน ทำให้พระเจำ้ อโศกมหำรำช สำมำรถเขำ้ ไปอญั เชิญพระบรมสำรีริกธำตุ ได)้ ในตำนำนพระพุทธศำสนำ พระวษิ ณุกรรมมีหนำ้ ท่ีทำงำนตำมบญั ชำพระอินทร์ เม่ือพระอินทร์ใคร่ จะสร้ำงเทวำลยั สถำนหรือสิ่งหน่ึงส่ิงใด พระวษิ ณุกรรมกม็ ีหนำ้ ที่รับภำระสนองจดั สร้ำงใหต้ ำมท่ีพระอินทร์ ตอ้ งกำร เป็นผสู้ ร้ำงอำศรมใหแ้ ก่พระโพธิสัตวห์ ลำยพระองค์ (ก่อนท่ีจะอุบตั ิเป็นพระพุทธเจำ้ ) เมื่อตอนพระ เวชสันดรได้พำพระนำงมทั รีและสองกุมำรมำถึงเขำวงกต ไม่มีศำลำที่อำศยั องศ์พระวิษณุกรรมก็ลงมำ
13 เนรมิตอำศรมถวำยใชเ้ ป็นท่ีพกั บำเพญ็ ศีลภำวนำให้ ดงั ควำมในนิบำตชำดกตอนหน่ึงกล่ำวไวว้ ำ่ \"ในขณะน้นั พภิ พทำ้ วสักกเทวรำช (พระอินทร) พระแท่นที่นง่ั แขง็ กระดำ้ ง จึงไดต้ รวจสอบพบวำ่ พระมหำโพธิสัตวเ์ สด็จ สู่ประเทศหิมวนั ต์ ทำ้ วเธอควรจะไดส้ ถำนท่ีประทบั อำศยั จึงตรัสเรียกพระวสิ สุกรรมเทวบุตร มำตรัสสั่งวำ่ แน่ะพ่อ เธอจงไปนิรมิตอำศรมบทในท่ีเป็ นรัมณียสถำนใกลเ้ วิ้งวงกต แลว้ ทรงส่งวิสสุกรรมเทพบุตรไป เทพบุตรน้นั กร็ ับเทวบญั ชำวำ่ สำธุ แลว้ ลงจำกเทวโลกไปถึงท่ีน้นั นิรมิตบรรณศำลำ 2 หลงั ท่ีจงกรม 2 แห่ง กบั ที่พกั กลำงคืน และกลำงวนั จดั สรรกอไมด้ อกอนั วิจิตรดว้ ยบุปผชำตินำนำพรรณ และสวนกลว้ ยไมใ้ น สถำนน้ันๆ ณ ท่ีสุดแห่งจงกรม แล้วจดั บรรพชิตบริขำรไวค้ รบถ้วน จำรึกอกั ษรไวว้ ่ำ ผูใ้ ดปรำถนำจะ บรรพชำ ผนู้ ้นั จงถือเอำบริขำรเหล่ำน้ีเถิด แลว้ ก็กำจดั เหล่ำอมนุษย์ และเสียงอนั น่ำสยดสยองฝงู มฤคปักษีให้ ปลำตหนีไปเสีย จึงกลบั สู่สถำนท่ีของตน คร้ังพระพุทธเจำ้ เสด็จข้ึนไปโปรดเทศน์พระมำรดำบนสรวง สวรรคน์ ้นั พระวษิ ณุกรรมไดส้ ร้ำงทำงเดินบนั ไดเงิน บนั ไดทอง บนั ไดแกว้ เพ่ือเป็ นทำงทอดจำกสวรรคช์ ้นั ดำวดึงส์กลบั มำยงั โลกมนุษยท์ ่ีเมืองสังกสั สนคร (ในวนั ออกพรรษำ) กำรนับถือพระวษิ ณกุ รรม กำรนบั ถือพระวิษณุกรรมในอินเดียปัจจุบนั คนอินเดียทุกคนที่เป็ นช่ำง วิศวกร นกั เรียนนกั ศึกษำ สำยเทคโนโลยแี ละวศิ วกรรมจะเคำรพศรัทธำและนบั ถือพระวษิ ณุกรรม มีควำมเชื่อวำ่ ทุก ๆ อยำ่ งที่เกี่ยวกบั เทคโนโลยนี ้นั พระวษิ ณุกรรมเป็ นผูม้ อบใหเ้ รำ เป็ นผูค้ วบคุมงำนของวิศวกร สถำปนิก ผูส้ ร้ำง ช่ำงไมแ้ ละ ช่ำงฝี มือทุกคน ดงั น้นั ตำมโรงงำนและร้ำนช่ำงจะมีรูปเคำรพหรือเทวรูปพระวิษณุกรรม คนอินเดียถือวำ่ ทุก เครื่องมือช่ำงและเครื่องจกั รจะมีองคพ์ ระวิษณุกรรมสถิตอยูเ่ สมอ กำรใชเ้ คร่ืองไมเ้ ครื่องมือจึงใชด้ ้วยควำม เคำรพนอบน้อมและระมดั ระวงั อย่ำงยิ่ง เพรำะถือว่ำมีครูจึงมีควำมหมำยท่ีเกินกว่ำแค่เคร่ืองมือธรรมดำ ๆ พวกเขำจึงรักหวงแหนเครื่องมือที่เขำมีและเกบ็ รักษำตลอดชวั่ ชีวิต สิ่งที่แสดงใหเ้ ห็นควำมศรัทธำต่อพระ วิษณุกรรมของชำวอินเดีย คือวดั พระวษิ ณุกรรมโดยเฉพำะ (เช่น วดั วษิ ณุกรรม สีชมพูในเมืองปำลำมปุระ) และบทเพลงบูชำสรรเสริญพระวษิ ณุกรรมมำกมำยหลำยเพลง วนั ท่ี 17 กนั ยำยน ในประเทศอินเดียกำหนดเป็ นวนั วิษณุกรรมบูชำ หรือท่ีเรียกวำ่ Bishwakarma Diwas (Vishwakarma Jayanthi) หรือ Vishwakarma Puja มกั จะตรงกบั วนั สุดทำ้ ยของเดือน Bhado (ช่วง เดือนมรสุม) ถูกกำหนดเป็นวนั หยดุ รำชกำร ในรัฐโอริศำ, พิหำร และเบงกอลตะวนั ตก สำหรับในรัฐคุชรำต และบำงส่วนของรัฐรำชสถำน กำหนดวนั วิษณุกรรมบูชำ ในเดือนกุมภำพนั ธ์ วนั วษิ ณุกรรมบูชำเป็ นวนั ที่ อุทิศให้กับกำรนมสั กำรและเฉลิมฉลองให้กบั พระวิษณุกรรม เป็ นประเพณีสำหรับช่ำงฝี มือท่ีจะบูชำ เครื่องมือของพวกเขำ จะงดกำรใชเ้ ครื่องมือเคร่ืองจกั รในวนั น้นั พิธีกรรมจะจดั ข้ึนภำยในเขตอุตสำหกรรม ต่ำง ๆ ในโรงงำนหรือร้ำนคำ้ ที่ประดบั ประดำอยำ่ งสวยงำมดว้ ยดอกไม้ พนกั งำน คนงำน และครอบครัว จะ ร่วมกนั สวดออ้ นวอนขอกำรทำงำนในปี ต่อไปให้ปลอดภยั และประสบควำมสำเร็จดงั ประสงค์ กำรทำงำน
14 ของเครื่องจกั รต่ำง ๆ ใหร้ ำบรื่น หนำ้ รูปป้ันหรือเทวรูปที่ต้งั อยูภ่ ำยในโรงงำน เมื่อพิธีกรรมเสร็จสมบูรณ์ จะ นำของถวำยมำแจกจ่ำยใหผ้ รู้ ่วมพิธีทุกคนรับประทำนเพ่อื เป็นศิริมงคลกบั ตน นอกเหนือจำกอินเดียแลว้ ยงั มี กำรเฉลิมฉลองวนั Vishwakarma ในเนปำล รูปที่ 13 วนั วษิ ณุกรรมบูชำในอินเดียและเนปำล กำรนบั ถือวำ่ พระวษิ ณุกรรมของคนไทย คงไดร้ ับอิทธิพลเรื่องคติควำมเชื่อศำสนำฮินดูจำกขอม ซ่ึง ในตน้ พุทธศตวรรษท่ี 18 จำรึกขอมไดก้ ล่ำวถึง พระวิษณุกรรม เป็ นคร้ังแรก ในจำรึกของพระเจำ้ ชยั วรมนั ที่ 7 ท่ีประสำทพระขรรคใ์ นบริเวณเมืองพระนคร ไดก้ ล่ำวถึงพระวษิ ณุกรรม วำ่ เป็ นเทพช่ำง ไดร้ ับกำรบูชำท้งั จำกชำวพุทธและพรำหมณ์ เป็ นบุคลำธิษฐำนให้เกิดควำมสำเร็จลุล่วง ปรำศจำกอุปสรรค์ ประติมำกรรม (เทวรูป) พระวิษณุกรรมท่ีพบไม่เก่ำไปกว่ำพุทธศตวรรษที่ 17 โดยพระหตั ถ์จะถือขวำนเล็ก ๆ หรือผ่ึง (เครื่องมือขดุ ซุงเป็ นเรือ มีลกั ษณะคลำ้ ยจอบ) หรือไมส้ ำหรับวดั (มำนทณฑ) ทรงมีพระเนตร 3 พระเนตร (จำกหนงั สือศำสนำพรำหมณ์ในอำณำจกั รขอม ของศ. ม.จ. สุภทั รดิศ ดิศกุล หนำ้ 110 มิ.ย. 2516 โรงพิมพ์ พิฆเณศ) จำกกำรศึกษำกำรนบั ถือพระวิษณุกรรมของคนไทยสมยั ก่อนรัตนโกสินทร์จะนบั ถืออยูใ่ นเฉพำะ หมู่ช่ำงเท่ำน้นั ซ่ึงสมยั น้นั วชิ ำช่ำงจะสั่งสอนกนั ต่อ ๆ เฉพำะในหมู่เครือญำติ มิไดม้ ีกำรเผยแพร่กนั อย่ำง กวำ้ งขวำ้ งโดยระบบโรงเรียนแบบปัจจุบนั เพรำะหวงวิชำไวเ้ ฉพำะคนในตระกูล ดว้ ยเกรงผูอ้ ื่นจะนำวิชำ ควำมรู้น้นั ไปหำเล้ียงชีพแข่ง สมยั ก่อนรัตนโกสินทร์น่ำจะไม่มีกำรสร้ำงเทวรูปพระวิษณุกรรมเพื่อต้งั สักกำรบูชำ แต่บูชำดว้ ยกำรเอยนำมในบทไหวค้ รูช่ำง อำ้ งจำกหลักฐำนเทวรูปพระวิษณุกรรมที่พบใน ประเทศไทย จะเป็นศิลปแบบลพบุรีและขอม เทำ่ น้นั
15 วนั ที่ 21 เมษำยน 2325 พระบำทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช รัชกำลที่ 1 หลงั จำกท่ีทรง ปรำบดำภิเษกข้ึนเป็ นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งรำชวงศจ์ กั รี ทรงโปรดเกลำ้ ฯ ให้ยำ้ ยรำชธำนีจำกฝ่ังธนบุรีมำท่ีฝ่ัง ตะวนั ออกของแมน่ ้ำเจำ้ พระยำ แลว้ จดั พิธี ยกเสำหลกั เมือง พร้อมท้งั พระรำชทำนนำมดงั ปรำกฏในหนงั สือ “พระรำชพงศำวดำรกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบบั หอสมุดแห่งชำติ” วำ่ “กรุงเทพมหำนคร บวรรัตนโกสินทร์ มหิ นทรำยธุ ยำ มหำดิลกภพ นพรัตนรำชธำนีบูรีรมย์ อุดมรำชนิเวศนม์ หำสถำน อมรพมิ ำนอวตำรสถิต สักกะทตั ติยวิษณุกรรมประสิทธ์ิ” ต่อมำในรัชสมยั พระบำทสมเด็จพระจอมเกลำ้ เจำ้ อยู่หวั โปรดเกลำ้ ฯ ให้แปลง สร้อยท่ีวำ่ “บวรรัตนโกสินทร์” เป็ น “อมรรัตนโกสินทร์” ซ่ึงมีควำมหมำยวำ่ “เมืองของเทวดำ มหำนครอนั เป็นอมตะ สง่ำงำมดว้ ยแกว้ ๙ ประกำร และเป็ นท่ีประทบั ของพระเจำ้ แผน่ ดิน เมืองท่ีมีพระรำชวงั หลำยแห่ง ดุจเป็ นวิมำนของเทวดำ ซ่ึงมีพระวิษณุกรรมสร้ำงข้ึนตำมบญั ชำของพระอินทร์” ที่มำ : จดหมำยข่ำว รำชบณั ฑิตยสถำน ปี ท่ี ๓ ฉบบั ที่ ๓๑ ธนั วำคม ๒๕๓๖ น้ีก็ แสดงวำ่ คนไทยในยคุ น้นั จะตอ้ งรู้จกั และนบั ถือ ท่ำนวำ่ เป็นเทพแห่งงำนช่ำงจึงนำชื่อท่ำนมำอำ้ งวำ่ เป็น ผเู้ นรมิตรำชธำนีแห่งน้ี ในสมยั พระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รัชกำลเม่ือที่ 5 ทรงจดั ระเบียบกำรบริหำรรำชกำร ใหม่ โปรดให้ กรมช่ำงตำ่ ง ๆ ที่ข้ึนกบั ทหำรเหล่ำต่ำง ๆ ใหย้ ำ้ ยมำรวมกนั ต้งั เป็ นกรมข้ึนกบั ฝ่ ำยพลเรือน ชื่อ กรมช่ำงสิบหมู่ มีพระองค์เจำ้ ประดิษฐ์วรกำร (หม่อมเจำ้ ดิศ) เป็ นอธิบดี มำสมยั พระมงกุฎเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รัชกำลท่ี ๖ ใหก้ รมช่ำงสิบหมูร่ วมกบั กรมมหรสพ ต้งั เป็ นกรมศิลปำกร จึงทำใหก้ ำรนบั ถือพระวิษณุกรรมที่ เคยเป็ นกลุ่มย่อย ๆ รวมเป็ นกลุ่มใหญ่ข้ึน กำรนบั ถือพระวิษณุกรรมขยำยวงข้ึนจนมีกำรจดั ทำตำรำไหวค้ รู ช่ำงศิลปกรรม (พระวิษณุกรรม) โดยพระวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนปรำบปรปักษ์ ฯ (พ.ศ. 2358 – 2441) (ตน้ ตระกูล มำลำกุล) ผูก้ ำกบั กรมช่ำงสิบหมู่ ท่ำนไดร้ วบรวมขนบธรรมเนียมโบรำณรำชประเพณี รวมท้งั ระเบียบแบบแผนในพิธีไหวค้ รูตำมแบบโบรำณไวอ้ ยำ่ งถูกตอ้ งและครบถว้ น เป็ นแบบแผนแบบที่สำนกั ช่ำง สิบหมู่ใชท้ ำพิธีไหวค้ รูช่ำง ต้งั แต่สมยั พระบำทสมเด็จพระจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รัชกำลท่ี 4 มีกำรเอำรูปแบบ ของศิลปะและกำรช่ำงอยำ่ งตะวนั ตกเขำ้ มำผสมผสำนกบั กำรช่ำงไทย เพรำะมีช่ำงต่ำงชำติจำกยุโรปเขำ้ มำ ทำงำนช่ำงต่ำง ๆ ในไทย จึงทำใหง้ ำนช่ำงไทยเจริญกำ้ วหนำ้ และเปล่ียนแปลงมำเป็ นแบบสำกลมำกยิ่งข้ึน จำกกำรศึกษำวชิ ำช่ำงสิบหมู่แผนโบรำณในวงั วดั และบำ้ นมำสู่กำรศึกษำระบบนกั เรียนฝึ กหดั ในปี พ.ศ. 2450 โดยสโมสรช่ำง สโมสรสำขำหน่ึงในสำมคั ยำจำรยส์ มำคม เร่ิมรับนกั เรียนฝึ กหดั สำขำช่ำงเขียนและ ช่ำงแกะไมภ้ ำพพิมพ์ และขยำยกำรสอนในสำขำช่ำงป้ัน ช่ำงกลึง ช่ำงประดบั มุก ช่ำงถม และกำรฝึ กหดั ครู เพ่มิ ในปี ต่อ ๆ มำ เพ่อื สร้ำงครูช่ำงศิลปหตั ถกรรมไปสอนตำมโรงเรียนสำมญั
16 ในปี พ.ศ. 2453 พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกลำ้ เจำ้ อยูห่ วั รัชกำลท่ี 5 ทรงห่วงใยในศิลปะกำรช่ำง ของไทยจะถูกอิทธิพลของศิลปวฒั นธรรมตะวนั ตกที่แพร่หลำยอย่ำงกวำ้ งขวำงในไทยเขำ้ ครอบงำ จึงมี พระรำชดำริในอนั ที่จะทรงทำนุบำรุงศิลปะกำรช่ำงและหัตถกรรมไทยให้เจริญพฒั นำอยำ่ งถำวร จึงโอน โรงเรียนของสโมสรช่ำง มำข้ึนกบั กระทรวงธรรมกำร จดั ต้งั เป็ นโรงเรียนหัตถกรรมวดั รำชบูรณะ จดั กำร สอนสำขำวชิ ำพณิชยกรรม เกษตรกรรมและศิลปกรรม แต่ยงั หำไดส้ ำเร็จสมดงั พระรำชหฤทยั ไม่ ดว้ ยเสด็จ สวรรคตเสียก่อน พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รัชกำลท่ี 6 จึงไดส้ ืบทอดพระรำชเจตนำรมณ์ของ สมเด็จพระบรมชนกนำถ (รัชกำลที่ 5) ไดจ้ ดั สร้ำงอำคำรเรียนเพิ่มให้กบั โรงเรียนหตั ถกรรมรำชบูรณะ และ ทรงเสด็จพระรำชดำเนินมำทรงเปิ ดอำคำรเรียนหลงั ใหม่ และบวงสรวงพระวิษณุกรรม โดยพระรำชทำน นำมโรงเรียนหัตถกรรมรำชบูรณะ ให้ใหม่ว่ำ “โรงเรียนเพำะช่ำง” เม่ือวนั องั คำรท่ี 7 มกรำคม พ.ศ. 2456 เพื่อส่งเสริมวิชำช่ำงหัตถกรรมต่ำง ๆ ดงั ปรำกฏควำมตอนหน่ึงของ คำกรำบบงั คมทูลต่อพระบำทสมเด็จ พระมงกุฎเกลำ้ เจำ้ อยู่หวั ในพระรำชพิธีเปิ ดโรงเรียนเพำะช่ำงว่ำ “หวงั ดว้ ยเกล้ำฯ วำ่ วิชำช่ำงท่ีไดเ้ พำะปลูก ข้ึนในโรงเรียน คงจะแตกดอกออกผลงอกงำมให้เป็ น ประโยชน์แก่ประชำชน...ประดุจนำมโรงเรียนซ่ึง โปรดเกลำ้ พระรำชทำนน้นั ” เทวรูปพระวษิ ณุกรรมของไทย พระวิษณุกรรมโรงเรียนเพำะ เป็ นพระวิษณุกรรมศิลปไทยองคแ์ รก (ยงั ไม่เคยพบท่ีเก่ำกวำ่ น้ี) พระ ดำริพระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกลำ้ เจำ้ อยูห่ วั ใหท้ รงจดั สร้ำงเพื่อนำมำประดิษฐำนให้ครูและนกั เรียนเคำรพ บูชำในฐำนคุรุเทพดำ้ นช่ำง ดง่ั พระพิฆเนศ คุรุเทพดำ้ นศิลปวิทยำ ที่พระองคท์ รงเคำรพนบั ถือ และใหส้ ร้ำง เทวรูปพระพิฆเนศวร ประดิษฐำน ณ พระรำชวงั สนำมจนั ทร์ จงั หวดั นครปฐม ในฐำนะศำลเทพำรักษ์ ประจำพระรำชฐำนแห่งน้นั ก็คร้ังแรกท่ีมีกำรสร้ำงเทวรูปพระพิฆเนศวรขนำดใหญ่ข้ึนในกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงกำหนดรูปพระพิฆเนศวรเป็นดวงตรำของวรรณคดีสโมสร กบั ตรำประจำกรมศิลปำกร พระวษิ ณุกรรมเพำะช่ำงองค์แรก คือ องคท์ ำงซำ้ ยของอำคำรหลงั กลำงปัจจุบนั (มองเขำ้ ไป) ปฎิมำ กรรมพระวษิ ณุกรรมเพำะช่ำง ปำงประทบั บนแท่นก่ออิฐถือปูน พระบำทดำ้ นซำ้ ยนง่ั รำบ พระบำทดำ้ นขวำ หอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ (เครื่องมือสำหรับถำกไมช้ นิดหน่ึง รูปร่ำงคลำ้ ยจอบ แต่มีดำ้ มส้ันกวำ่ ใชข้ ุดไมซ้ ุง ทำเรือ) พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือลูกดิ่ง ทรงชฎำดอกกุหลำบ ป้ันตวั องคด์ ว้ ยปูนผสม แท่นที่ประทบั สร้ำงจำกกำรก่อ อิฐถือปูน เม่ือป้ันเสร็จไดท้ ำองคส์ ีเขียว และทำแท่นสีครีม ป้ันโดยอำจำรย์ 3 ท่ำน คือ
17 1. นำยหมอ ตอนน้นั ยงั ไม่มีนำมสกุล) เป็ นนกั เรียนนอกจบกำรศึกษำจำกยุโรป ป้ันส่วนพระเศียร ทำ่ นเป็นครูช่ำงป้ันของโรงเรียนเพำะช่ำง 2. ขนุ ศรีศุภหตั ถ์ (สมนึก สิทธิเพยี ร) ป้ันส่วนลำตวั ลงมำ ท่ำนเป็นครูช่ำงเขียน โรงเรียนเพำะช่ำง 3. หลวงวิศำลศิลปกรรม (รองอำมำตยต์ รี นำยเช้ือ ปัทมจินดำ) ป้ันส่วนล่ำงลงมำและช่วยกนั ป้ัน ส่วนประกอบอื่น ๆ จนเสร็จ ทำ่ นเป็นครูช่ำงขียน พระวิษณุกรรมองคแ์ รกน้ีไดส้ ร้ำงเสร็จสมบูรณ์ทนั ตำมกำหนดรับเสด็จลน้ เกลำ้ ฯรัชกำลท่ี 6 เสด็จ มำเปิ ดโรงเรียนเพำะช่ำง ในวนั ท่ี 7 มกรำคม พ.ศ. 2456 พระวิษณุกรรมเพำะช่ำงองค์ที่สอง ไดจ้ ดั สร้ำง ในปี พ.ศ. 2462 องค์ทำงขวำของอำคำรหลงั กลำง ปัจจุบนั (มองเขำ้ ไป) เพ่ือให้เจ้ำนำยเช้ือพระวงศ์และครูอำจำรย์ในฝ่ ำยโรงงำนเคำรพบูชำ โดยจำลอง ลกั ษณะเดียวกนั กบั องคแ์ รก แตเ่ ดิมประดิษฐำนอยดู่ ำ้ นหลงั อำคำรถนนตรีเพชร ต่อมำช่วงสงครำมโลกคร้ังที่ 2 อำคำรเรียนโรงเรียนเพำะช่ำงถูกระเบิดทำลำยลงสิ้น คงเหลือแต่องค์พระวิษณุกรรมท้งั สององค์ ท่ี ประดิษฐำนอยูอ่ ยำ่ งเดิม ท่ำมกลำงซำกปรักหกั พงั ของอำคำรเรียน โดยมิไดม้ ีรอยบุบสลำยแมแ้ ต่นอ้ ย จนปี พ.ศ. 2500 เมื่อสร้ำงอำคำรศิลปกรรม (อำคำรกลำง) เสร็จ จึงได้อญั เชิญพระวิษณุกรรมท้งั สององค์มำ ประดิษฐำน ณ ที่ ปัจจุบนั (ขอ้ มูลจำกหนงั สือ เพำะช่ำง 100 ปี 7 มกรำคม 2556) รูปท่ี 14 พระวษิ ณุกรรมของเพำะช่ำง องคแ์ รก (ดำ้ นซำ้ ย เม่ือมองเขำ้ สถำบนั )
18 รูปที่ 15 พระวษิ ณุกรรมของเพำะช่ำง องคท์ ี่สอง (ดำ้ นขวำ เม่ือมองเขำ้ สถำบนั ) รูปท่ี 16 พระวษิ ณุกรรมของเพำะช่ำง องคท์ ่ีสำมที่ป้ำยสถำบนั พระวษิ ณุกรรมของเพำะช่ำง องคท์ ่ีสำมท่ีป้ำยสถำบนั ไดน้ ำมำประดิษฐำนประมำณปี 2515 ป้ันโดย อำจำรยเ์ ฉลิม นำคีรักษ์ ผอู้ ำนวยกำรวทิ ยำลยั เพำะช่ำงในขณะน้นั และ อำจำรยป์ ุ้ย พร้อมวงศ์
19 รูปท่ี 17 พระวษิ ณุกรรมหนำ้ กรมศิลปำกร สนำมหลวง พระวิษณุกรรมที่หน้ำกรมศิลปำกร น่ำจะเป็ นพระวิษณุกรรมองคท์ ่ีสำมของประเทศไทย เป็ นรูป หล่อสำริด ปำงประทบั บนแท่น พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทดำ้ นซำ้ ยหอ้ ยลง ทรงชฎำ พระหตั ถข์ วำถือ ผ่ึง พระหัตถ์ซ้ำยถือด่ิง มีชำยผำ้ ห้อยลงถึงฐำนท่ีประทับ ประทับนั่งอยู่บนแท่นฐำนเหนือป้ำยชื่อกรม ศิลปำกร ประตูทำงเขำ้ หน้ำอำคำรตึกกรมศิลปำกร ผูป้ ้ันเป็ นช่ำงจำกบำ้ นช่ำงหล่อชื่อนำยก็อก (ไม่ทรำบ นำมสกุล) นำข้ึนประดิษฐำนในสมยั ท่ีหลวำงวิจิตรวำทกำร เป็ นอธิบดีกรมศิลปำกร (ท่ำนเป็ นอธิบดีกรม ศิลปกรคนแรก ช่วง พ.ศ. 2477 – 2483) ขอ้ มูลจำกหนงั สือ 84 ปี กรมศิลปำกร และบุษบกธรรมำสน์ 27 มีนำคม 2538 พระวิษณุกรรมของช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย น่ำจะเป็ นพระวิษณุกรรมองค์ท่ีส่ีของประเทศไทย นำมำประดิษฐำนใหเ้ คำรพบูชำ ต้งั แต่ 23 มีนำคม 2481 มีที่มำดงั น้ี ในปี พ.ศ. 2477 ในจดหมำยเหตุของโรงเรียนช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำยบนั ทึกวำ่ เม่ือโรงเรียนเพิ่งแยก มำจำกโรงเรียนเพำะช่ำง จะจดั งำนทำบุญฉลองวนั อิสรภำพและข้ึนครู ในวนั พฤหสั บดีที่ 21 มีนำคม 2477 ทำงโรงเรียนไดข้ อร้องพระเทวำนิมมิต (ฉำย) บรมครูช่ำงที่ดีเด่น และไดร้ ับกำรนบั ถือในวงกำรช่ำงขณะน้นั เป็ นผกู้ ำหนดองคเ์ ทพำจำรยแ์ ห่งช่ำงประจำโรงเรียนข้ึน เพื่อเป็ นองคป์ ระธำนสำหรับบูชำในพิธีข้ึนครูของ ช่ำง พระเทวำนิมมิตจึงวำดภำพพระวิษณุกรรม ขนำดของภำพมีส่วนกวำ้ ง 13 นิ้ว และมีส่วนสูง 20 - 1/2 นิ้ว เป็ นภำพเขียนที่งดงำมมำก องค์ร่ำงมีทรวดทรงสัดส่วนท่ีสูงสง่ำสมองค์ แววพระเนตรค่อนขำ้ งดุ ตำม ลกั ษณะของช่ำงท่ีเอำจริงเอำจงั ต่องำน เป็ นภำพเขียนท่ีมีวญิ ญำณ มีชีวติ จิตใจที่แสดงออกถึงควำมเป็ นช่ำง ในขณะเดียวกนั มีควำมอ่อนชอ้ ย สละสลวย ดว้ ยช้นั เชิงทำงศิลปะ ปำงประทบั ยนื ในกลุ่มเมฆในรูปลกั ษณ์ ของเทพ พระหตั ถท์ ้งั ซำ้ ยและขวำ ทรงเครื่องมือช่ำง ท่ีสำคญั คือพระหตั ถข์ วำทรงไมว้ ำ พระหตั ถ์ซ้ำยทรงไม้ ฉำกและลูกดิ่ง และถำ้ จะพจิ ำรณำจำกเครื่องมือช่ำงที่พระเทวำภินิมมิตไดก้ ำหนดใหเ้ ป็ นเคร่ืองมือคู่พระหตั ถ์
20 นบั ว่ำท่ำนไดเ้ ลือกไวใ้ ห้อย่ำงถูกตอ้ งเหมำะสมเป็ นอย่ำงย่ิง อนั เป็ นเครื่องมือของช่ำงก่อสร้ำงมำแต่สมยั โบรำณ อนั เป็ นเครื่องมือวดั ระยะ , วดั ควำมเที่ยงตรง ท่ีแฝงปรัชญำชีวิตช่ำงท่ีตอ้ งมีควำมแม่นย่ำ เท่ียงตรง เพรำะกำรทำงำนเป็นช่ำงกด็ ี หรือกำรตรวจสอบควำมถูกตอ้ งของงำนช่ำงท่ีทำไวแ้ ลว้ ก็ดี จะตอ้ งใชเ้ คร่ืองมือ ท้งั สำมชิ้นน้ีเป็ นหลกั เคร่ืองมือที่ช่ำงทุกคนจะตอ้ งมีติดประจำกำยมำแต่สมยั โบรำณ แมป้ ัจจุบนั อำจมี เครื่องมืออื่น ที่พฒั นำให้ทนั สมยั ใชง้ ำนไดง้ ่ำยข้ึน แต่ยงั คงหนำ้ ที่ของกำรใช้แบบเดิม เคร่ืองมือท้งั สำมน้ีจึง ถูกยกใหเ้ ป็นเครื่องมือครู รูปที่ 18 ภำพเขียนพระวษิ ณุกรรมของโรงเรียนช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย ฝีมือท่ำนพระเทวำภินิมิต (ฉำย) ภำพพระวษิ ณุกรรม วำดเสร็จวนั ที่ 19 มีนำคม 2477 เสร็จก่อนงำนทำบุญฉลองวนั อิสรภำพและข้ึน ครู 2 วนั ปัจจุบนั น้ี ภำพเขียนพระวษิ ณุกรรมฝีมือทำ่ นพระเทวำภินิมมิต ยงั ประดิษฐำนอยใู่ นหอ้ งประชุม ช้นั 2 ตึกหนำ้ ของมหำวทิ ยำลยั รำชมงคลตะวนั ออก วทิ ยำเขตอุเทนถวำย สำหรับเทวรูปพระวษิ ณุกรรมของโรงเรียนช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย พระพรหมพิจิตรเป็ นผูอ้ อกแบบ ให้ไวเ้ มื่อ พ.ศ.2480 โดยอำศยั เคำ้ โครงของภำพเขียนของพระเทวำภินิมมิต ผูป้ ้ันองค์พระวิษณุกรรมคือ อำจำรยส์ ิทธิเดช (บุญเจือ) แสงหิรัญ จบช่ำงป้ันจำกโรงเรียนเพำะช่ำง กบั อำจำรยท์ องอยู่ ช่ืนชอบ ศิษยเ์ ก่ำ ช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย รุ่น 2 พ.ศ. 2477 ท้งั 2 ท่ำนเป็ นครูของโรงเรียนช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย กำรป้ันองค์ พระวษิ ณุกรรม โดยมีโครงเป็ นเหล็กเส้น ใชซ้ ีเมนตผ์ สมทรำยหล่อหุ้ม แต่งข้ึนเป็ นรูปองค์ อำจำรยส์ ิทธิเดช เป็ นผูก้ ำหนดสัดส่วนต่ำง ๆ และให้กำรตกแต่งรำยละเอียด สำหรับงำนปูนส่วนใหญ่ อำจำรยท์ องอยู่ เป็ น ผจู้ ดั ทำ ซ่ึงก็เป็ นไปตำมฝี มือควำมถนดั ของอำจำรยท์ ้งั สอง อำจำรยส์ ิทธิเดชเป็ นช่ำงป้ัน ท่ำนก็ยอ่ มถนดั งำน ป้ันดินเหนียว แตพ่ ระรูปคร้ังน้ีใชว้ สั ดุเป็ นปูน ซ่ึงอำจำรยท์ องอยูถ่ นดั กวำ่ และ กำรใชป้ ูนป้ันยอ่ มทำใหส้ ่วน รำยละเอียดของงำนแตกต่ำงไปจำกตน้ แบบ โดยอำจำรยส์ ิทธิเดช แสงหิรัญ เป็ นผูร้ ่ำงขยำยแบบบนกระดำษ
21 ก่อน เท่ำขนำดของจริงท้งั 3 ววิ คือรูปดำ้ นหนำ้ ดำ้ นขำ้ งและดำ้ นหลงั สำหรับแท่นประดิษฐำน อำจำรยแ์ ป๊ ะ ฉัตรกุล ท่ำนไดเ้ ป็ นผูอ้ อกแบบ และมีอำจำรยส์ ะอำด เพช็ รตระกูล ซ่ึงเป็ นหวั หนำ้ โรงงำนช่ำงปูน พร้อม นกั เรียนช่วยกนั ดำเนินกำรจดั สร้ำง ใชเ้ วลำประมำณ 2 เดือน เพรำะวสั ดุท่ีใชท้ ำหำยำกในสมยั น้นั (ขอ้ มูลจำก ประวตั ิพระวษิ ณุกรรมช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย https://www.oocities.org/uthenwebmaster/pravissanu.html) รูปท่ี 19 องคพ์ ระวษิ ณุกรรมของ โรงเรียนช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย องคพ์ อ่ พระวษิ ณุกรรมอุเทนถวำยทำจำกปูนป้ัน โครงดำ้ นในเสริมดว้ ยเหล็กเส้น เป็ นประติมำกรรม กลำงแจง้ ตำกแดดตำกฝน จึงยอ่ มมีสภำพที่ชำรุด ปูนกะเทำะออกมำก็หลำย ๆ คร้ัง กำรซ่อมแซมในคร้ังก่อน มกั ใชก้ ำรสกดั และโบกปูนกลบั ลงไป จนบำงส่วนขององคม์ ีสัดส่วนท่ีผิดแผกไปจำกเดิม จนไดม้ ีกำรบูรณะ คร้ังล่ำสุด ท่ีไดร้ ะดมควำมรู้และปรึกษำนำยช่ำงผูช้ ำนำญท้งั จำกศิษยเ์ ก่ำของโรงเรียน และจำกกรมศิลปำกร จนไดม้ ีกำรบูรณะปรับปรุงจนอยู่ในสภำพที่ดี และมีสัดส่วนที่ถูกตอ้ งเหมือนเมื่อคร้ังท่ีสร้ำงเสร็จใหม่ ๆ (ขอบคุณขอ้ มูลจำก อำจำรยณ์ ฐั วรรธน์ ปภำเทพ ก.ส. 52)
22 รูปท่ี 20 พระวษิ ณุกรรมท่ีสูงที่สุดในโลก ควำมสูง 11 เมตร ยนื บนบนอำคำร (รูปทรงเดียวกบั ตึกอธิกำรบดี ของอุเทนถวำย)สูง 4 เมตร ท่ีวดั สจั จธรรมอุเทนถวำย (สำนกั สงฆส์ จั จธรรมเขำเขียว เดิม) ตำบลบำงพระ อ. ศรีรำชำ จ.ชลบุรี โดยทำ่ นพระอำจำรยส์ จั จจำ สุสัจโจ เจำ้ อำวำส (ก.ส. 39) กล่ำววำ่ องคย์ นื ใหญ่คือดวงธรรม ส่วนองคย์ นื เล็กคือดวงใจ (องคน์ ้ีมีขนำดเทำ่ คนจริง) พระวษิ ณุกรรมของช่ำงกลปทุมวนั น่ำจะเป็นพระวษิ ณุกรรมองคท์ ่ีหำ้ ของประเทศไทย ปำงประทบั นงั่ หอ้ ยพระบำทขำ้ งซำ้ ย ท่ีเรียกวำ่ ปำงมหำรำชลีลำ คือท่ำนง่ั ของกษตั ริยห์ รือเทวดำ พระหตั ถข์ ำ้ งขวำวำงอยู่ บนหวั เขำ่ พระหตั ถข์ ำ้ งซำ้ ยถือดอกบวั จำกกำรวเิ ครำะห์ของนำยช่ำงสำนกั ช่ำงสิบหมูผ่ ดู้ ำเนินกำรบูรณะองค์ พระวิษณุกรรม วำ่ เป็ นศิลปะยุคตน้ รัตนโกสินทร์ ประมำณรัชกำลที่ 3 – 4 สกุลช่ำงบำ้ นช่ำงหล่อ โดยแบบ หล่อเทดินไทย พระวษิ ณุกรรมของช่ำงกลปทุมวนั มิไดจ้ ดั สร้ำงข้ึนเอง มีพอ่ คำ้ ขำยของเก่ำหำบของเก่ำมำเร่ ขำย อำจำรยส์ ิทธิผล พลำชีวิน เหลือบเห็นองคพ์ ระวิษณุกรรมในหำบประทบั ใจในองค์พระวิษณุเทพดูมี มนตข์ ลงั น่ำเลื่อมใสศรัทธำ จึงเจรจำขอซ้ือไวด้ ว้ ยเงินส่วนตวั และนำไปไวท้ ่ีหอ้ งทำงำน ต่อมำอำจำรยส์ ิทธิ
23 ผล พลำชีวิน คิดท่ีจะนำพระวิษณุกรรมออกมำประดิษฐำนให้ครูและนกั เรียนเคำรพบูชำ จึงให้อำจำรยธ์ นู แสวงศกั ด์ิ ท่ำนเป็ นศิษยเ์ ก่ำช่ำงกลปทุมวนั จบ ปี พ.ศ. 2489 เลขประจำตวั 760 ออกแบบเขียนแบบทงั่ มำ เป็ นท่ีประทบั ขององคพ์ ระวิษณุกรรม ดำเนินกำรหล่อโดยครูทรัพย์ คลำ้ มวงษ์ ครูเวก สมศรีร่ืน และครูชื่น แซ่เหลียง หลงั หล่อเสร็จทำกำรปรับแต่งผิวโดยครูสังวำลย์ ไล่มณทิล ร่วมกบั นกั เรียนช่ำงฝึ กฝี มือ หน่ึงใน น้นั คือ นกั เรียนช่ำงฝึกฝีมือ ช่ือโฮวงว้ ง แซ่แต้ (ปัจจุบนั เปล่ียนชื่อเป็ นนำยสงวน ช่ำงทอง) เลขประจำตวั 269 ทำพิธีอญั เชิญออกมำประดิษฐำนท่ีฝั่งขวำของตึกอำนวยกำร โดยท่ำนอำจำรยส์ ุดสำย จำกกรมศิลปำกร ในปี พ.ศ. 2498 สำหรับแนวคิดในกำรสร้ำงทง่ั มำเป็ นแท่นวำงพระวษิ ณุกรรมของอำจำรยส์ ิทธิผล พลำชีวนิ ดว้ ย เพรำะทงั่ เป็ นเครื่องมืองำนช่ำงกลโลหะ ท่ีเปลี่ยนโลหะธรรมดำ เมื่อผำ่ นกำรเคำะข้ึนรูปก็จะได้ชิ้นงำนท่ี สวยงำมและเป็ นเครื่องใชส้ อยไดห้ ลำกหลำย จึงเป็ นสัญลกั ษณ์ของกำรสอนนกั เรียนช่ำงกลจำกเด็กท่ีเขำ้ มำ เรียนตอนแรกยงั ไมร่ ู้วชิ ำใด ๆ เม่ือไดเ้ ล่ำไดเ้ รียน ถูกส่ังถูกสอนและฝึกฝน ก็จะมีควำมรู้วชิ ำช่ำงติดตวั ประมำณ ปี 2499 อำจำรยส์ ิทธิผล พลำชีวินกบั ครูและนกั เรียนนำถงั น้ำมนั ๒๐๐ ลิตร เป็ นโครงก่อ อิฐถือปูนเป็นภูเขำ อญั เชิญทง่ั และองคพ์ ระวษิ ณุกรรมมำประทบั บนยอดเขำ ประมำณปี 2501 อำจำรยส์ ิทธิผล พลำชีวนิ ไดจ้ ดั สร้ำงดอกบวั ซ่ึงเป็ นสัญลกั ษณ์ของช่ำงกลปทุมวนั ใหท้ ำ่ นถือ (ดอกบวั คือสัญลกั ษณ์ของ สถำบนั เทคโนโลยีปทุมวนั (ช่ำงกลปทุมวนั ) หมำยถึงหลกั แห่งธรรม เป็นอำวธุ ที่ใหเ้ หล่ำศิษยช์ ่ำงกลปทุมวนั ตอ้ งใช้ คือปัญญำที่อยบู่ นพ้นื ฐำนของหลกั ธรรม) รูปท่ี 21 พระวษิ ณุกรรมของช่ำงกลปทุมวนั ก่อนบูรณะ และหลงั บูรณะ ปี 2555 กนั ยำยน 2551 ศิษยเ์ ก่ำคณะรักษช์ ่ำงกล ไดน้ ำรำยไดจ้ ำกตูบ้ ริจำคในพิธีไหวค้ รูครอบครูช่ำงกลปทุม วนั คร้ังท่ี 1 เม่ือวนั ท่ี 1 สิงหำคม 2551 มำปรับปรุงภูมิทศั น์และภูเขำท่ีประทบั องคพ์ ระวษิ ณุกรรม วนั ท่ี 5 – 12 กรกฎำคม 2555 ไดท้ ำกำรบูรณะพระวษิ ณุกรรม
24 ประมำณ 2501 อ.สิทธิผล พลำชีวนิ สมยั ท่ีท่ำนเป็ นอำจำรยใ์ หญ่ 4 โรงเรียนช่ำงกล คือ ช่ำงกลปทุม วนั ช่ำงกลลพบุรี ช่ำงกลนนทบุรี และช่ำงกลพระนครเหนือ ที่เรียกวำ่ 4 เฟื องทอง ท่ำนประสำนอำจำรย์ โรงเรียนเพำะช่ำงหล่อพระวษิ ณุกรรมข้ึน 3 องคเ์ พ่ือประดิษฐำน ณ ช่ำงกลลพบุรี ช่ำงกลนนทบุรี และช่ำงกล พระนครเหนือ ตน้ ปี พ.ศ. 2511 พระวิษณุกรรมของช่ำงกลพระนครเหนือ ถูกขโมยไป จึงมีกำรสร้ำงใหม่ พร้อมกบั พระวษิ ณุกรรมของช่ำงกลอุตสำหกรรมหมูบ่ ำ้ นครู ในปี พ.ศ. 2512 รูปท่ี 22 องคพ์ ระวษิ ณุกรรมที่ช่ำงกลนนทบุรี รูปท่ี 23 องคพ์ ระวษิ ณุกรรมท่ีช่ำงกลลพบุรี
25 รูปท่ี 24 องคพ์ ระวษิ ณุกรรมท่ีช่ำงกลพระนครเหนือองคป์ ัจจุบนั รูปท่ี 25 องคพ์ ระวษิ ณุกรรมโรงเรียนช่ำงกลอุตสำหกรรมหมู่บำ้ นครู
26 พระวษิ ณุกรรม ท้งั ๓ องค์ ของเทคนิคกรุงเทพ ฯ (มหำวทิ ยำลยั รำชมงคลกรุงเทพ ฯ) รูปที่ 26 พระวษิ ณุกรรม กลโลหะ ของวทิ ยำลยั เทคนิคกรุงเทพ พระวษิ ณุกรรม เทคนิคกรุงเทพ ฯ (องค์กลโลหะ) พระวิษณุกรรม (องค์กลโลหะ) ประจำวิทยำลัยเทคนิคกรุงเทพ ฯ เดิมเป็ นพระวิษณุกรรมที่ ประดิษฐำนอยู่หนำ้ แผนกช่ำงกลโลหะ ซ่ึงสร้ำงจำกควำมร่วมมือของคณะช่ำงอุตสำหกรรมทุกสำขำ เป็ น กรรมกำรหลกั และคณะอ่ืน ๆ เป็นกรรมกำรร่วม โดยมีแผนกช่ำงกลโรงงำนและช่ำงโลหะ เป็ นแม่งำน งำน พิธีเททอง พระวิษณุกรรม ณ วิทยำเขตเทคนิคกรุงเทพ วนั อำทิตยท์ ่ี 10 กุมภำพนั ธ์ 2523 เวลำ 9:09 น. ออกแบบองคพ์ ระวิษณุกรรมโดยอำจำรยจ์ ินดำ สุขโพธ์ิ เสร็จสมบูรณ์ในปี 2524 ในปี 2535 อำจำรย์ สกุล เวชกร ผอู้ ำนวยกำรคนที่ 10 (ท่ำนเป็นศิษยเ์ ก่ำช่ำงยนต์ รุ่น 2 พ.ศ. 2497 – 2498) ไดอ้ ญั เชิญมำประดิษฐำนอยู่ ขำ้ งตึกกลำง สำนกั อธิกำรบดี เป็นพระวษิ ณุกรรมประจำสถำบนั https://www.youtube.com/watch?v=W9PyUXJB70A วดิ ีทศั น์ กำรหล่อพระวษิ ณุกรรม ประจำวทิ ยำเขตเทคนิคกรุงเทพ ฯ
27 พระวษิ ณุกรรมแผนกช่ำงเคหภัณฑ์ เทคนิคกรุงเทพ ฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อำจำรยว์ รี ะ เหมือนโพธ์ิ อำจำรยเ์ พำะช่ำง ไดม้ ำเรียนประกำศนียบตั รประโยคครู มธั ยม (ปม.) ที่เทคนิคกรุงเทพฯ ท่ำนมีควำมประสงค์จะป้ันพระวิษณุกรรมให้เป็ นอนุสรณ์กบั เทคนิค กรุงเทพ ฯ โดยมีนำยนิกร เรียนอยู่ท่ีแผนกเทคนิคอุตสำหกรรมเป็ นผูช้ ่วยในกำรป้ัน ทำกำรป้ันจำกปูนซิ เมนต์ เสร็จสมบูรณ์เม่ือวนั ที่ ๑ เมษำยน พ.ศ.๒๕๐๘ ช่วงแรกยงั มิไดน้ ำมำต้งั บูชำถูกเก็บไวใ้ นหอ้ งพสั ดุ จน กระท้งั ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นำยบุญสม เอกภรำดร ประธำนนกั ศึกษำ และนำยนิรันดร์ เสมอสันทดั เป็ นผรู้ ิเริ่ม อญั เชิญพระวษิ ณุกรรมจำกหอ้ งพสั ดุมำประดิษฐำน เป็ นพระวิษณุกรรมประจำแผนกช่ำงเคหภณั ฑ์ (ปัจจุบนั คือสำขำเทคโนโลยเี คร่ืองเรือนและกำรออกแบบ) โดยมีอำจำรยส์ ุรเดช โชติกะเป็นที่ปรึกษำ รูปที่ 27 พระวษิ ณุกรรม แผนกเคหภณั ฑ์ เทคนิคกรุงเทพ พระวษิ ณกุ รรมแผนกช่ำงก่อสร้ำง เทคนิคกรุงเทพ ฯ ในปี ๒๕๓๒ คณะนกั ศึกษำรุ่น ๓๗ ท่ีประกอบดว้ ยนำยบญั ชำ สำโรงวฒั นำ น.ส.นิติพร สุขศิริ นำย ชินวฒั น์ บุญพูน นำยสัญชัย อรุณสุริยะ ริเริ่มที่จะจดั สร้ำงพระวิษณุกรรมประจำแผนก จึงไดไ้ ปปรึกษำ อำจำรยส์ ุทศั น์ และอำจำรยเ์ สนอ ซ่ึงเป็นลูกศิษยท์ ำ่ นหน่ึงของอำจำรยศ์ ิลป์ พีระศรี เมื่อนำงสำวนิติพร (ออย)
28 สุขศิริ ไดอ้ อกแบบพระวษิ ณุกรรมเสร็จ นำไปติดตอ่ ห.จ.ก.พทุ ธรังศี ปฎิมำ ที่บำ้ นช่ำงหล่อ แต่ไม่สำมำรถหำ ทุนจดั สร้ำงไดพ้ อและคณะนกั ศึกษำรุ่น ๓๗ จบกำรศึกษำ จนปี พ.ศ. ๒๕๓๖ นกั ศึกษำรุ่น ๓๙ และ ๔๐ ทรำบเร่ืองที่รุ่นพ่ีคิดจะจดั สร้ำงองคพ์ ระวษิ ณุกรรมประจำแผนก จึงปรึกษำและดำเนินกำรต่อจนสำเร็จโดย อญั เชิญทำ่ นประทบั ท่ีดำดฟ้ำของอำคำรแผนกช่ำงก่อสร้ำง รูปท่ี 28 พระวษิ ณุกรรม แผนกก่อสร้ำง เทคนิคกรุงเทพ รูปที่ 29 พระวษิ ณุกรรม ท้งั ๓ องค์ ของเทคนิคกรุงเทพ ฯ (มหำวทิ ยำลยั รำชมงคลกรุงเทพ ฯ)
29 เชื่อวำ่ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเทวรูปพระวษิ ณุกรรมมำกที่สุดในโลก เพรำะท่ำนเป็ นสัญลกั ษณ์ และสิ่งเคำรพบูชำในฐำนะคุรุเทพของนักเรียนนักศึกษำอำชีวะศึกษำ จึงมีกำรสร้ำงเทวรูปท่ำนตำม สถำนศึกษำทำงช่ำงแทบทุกสถำบนั (เฉพำะวทิ ยำลยั เทคนิคและวิทยำลยั กำรอำชีพกำรมีไม่ต่ำกวำ่ 300 องค)์ แมแ้ ต่ตำมหน่วยงำนรำชกำรที่ปฎิบตั ิงำนสำยช่ำงหลำยแห่ง ก็จะมีเทวรูปทำ่ นประดิษฐำนเพ่ือเคำรพบูชำ เช่น กรมช่ำงโยธำทหำรเรือ กรมช่ำงโยธำทหำรบก กรมช่ำงโยธำทหำรอำกำศ ฝ่ ำยฝึ กอบรม กฟผ แม่เมำะ กรมอู่ ทหำรเรือ เป็ นตน้ และยงั ถูกใชเ้ ป็ นตรำประจำหน่วงงำนรำชกำรหลำยหน่วยงำน เช่นตรำกระทรวงพำณิชย์ ตรำกรมทำงหลวงชนบท ตรำสภำวศิ วกรสถำนแห่งประเทศไทย เป็นตน้ รูปที่ 30 พระวษิ ณุกรรมกรมช่ำงโยธำทหำรบก รูปท่ี 31 พระวษิ ณุกรรมกรมช่ำงโยธำทหำรเรือ
30 รูปที่ 32 พระวษิ ณุกรรมกรมช่ำงโยธำทหำรอำกำศ รูปท่ี 33 พระวษิ ณุกรรมสภำวศิ วกร
31 รูปท่ี 34 ตรำสภำวศิ วกรและตรำกรมทำงหลวงชนบท รูปที่ 35 ตรำกระทรวงพำณิชยแ์ ละตรำกรมยทุ ธโยธำทหำรบก รูปท่ี 36 พระวษิ ณุกรรมศิลป์
32 คติกำรจัดสร้ำงพระวษิ ณกุ รรมในประเทศไทย กำรสร้ำงเทวรูปพระวษิ ณุกรรมในประเทศไทย จะสร้ำงอยู่ 2 ปำงคือ ปำงยนื และปำงนง่ั 1 ปำงยืน ตน้ แบบมำจำกพระวิษณุกรรมของโรงเรียนช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย (มหำวิทยำลยั รำช มงคลตะวนั ออก วิทยำเขตอุเทนถวำย) ดังน้ันสถำบนั ท่ีเปิ ดสอนวิชำชีพช่ำงก่อสร้ำงจะสร้ำงองค์พระ วษิ ณุกรรมปำงยนื เพรำะครูอำจำรยแ์ ละผบู้ ริหำรของโรงเรียนหรือสถำบนั ที่เปิ ดสอนวิชำชีพช่ำงก่อสร้ำง รุ่น ก่อต้งั ส่วนใหญ่จบจำกช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย จึงพบว่ำวิทยำลยั เทคนิคในภูมิภำค มกั มีรูปหล่อองค์พระ วษิ ณุกรรมปำงประทบั ยนื เพรำะเดิมวทิ ยำลยั เทคนิคเหล่ำน้นั เป็ นโรงเรียนช่ำงไม้ โรงเรียนช่ำงก่อสร้ำง หรือ โรงเรียนกำรช่ำง ที่สอนวชิ ำช่ำงไมช้ ่ำงก่อสร้ำงมำก่อน (หลงั พ.ศ. 2504 เป็ นตน้ มำ นโยบำยกรมอำชีวศึกษำ ขยำยเปิ ดสอนแผนกช่ำงกลในโรงเรียนกำรช่ำงต่ำง ๆ และเปลี่ยนช่ือโรงเรียนกำรช่ำงเหล่ำน้นั เป็ นโรงเรียน เทคนิค วิทยำลยั เทคนิค) จึงสร้ำงองค์พระวิษณุกรรมประจำโรงเรียนแบบประทบั ยืนแบบพระวิษณุกรรม ของช่ำงก่อสร้ำงอุเทนถวำย 2 ปำงนง่ั ที่เรียกวำ่ ปำงมหำรำชลีลำ คือท่ำนง่ั ของกษตั ริยห์ รือเทวดำ มีตน้ แบบอยู่ 3 แห่งคือ 2.1 พระวิษณุกรรมที่มหำวิทยำลยั รำชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยำลยั เพำะช่ำง ที่ห้อยพระบำทขำ้ งขวำ พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ ถือด่ิงดว้ ยพระหตั ถซ์ ำ้ ย 2.2 พระวิษณุกรรมที่หนำ้ กรมศิลปำกร ที่ห้อยพระบำทขำ้ งซ้ำย พระหตั ถ์ขวำถือผ่งึ ถือดิ่งดว้ ยพระหตั ถ์ ซำ้ ย 2.3 พระวษิ ณุกรรมของสถำบนั เทคโนโลยีปทุมวนั (ช่ำงกลปทุมวนั ) ท่ีหอ้ ยพระบำทขำ้ งซ้ำย พระหตั ถ์ ขำ้ งขวำวำงอยบู่ นหวั เข่ำ พระหตั ถข์ ำ้ งซำ้ ยถือ ดอกบวั โดยสถำบนั ท่ีสอนวิชำชีพช่ำงกล ช่ำงอุตสำหกรรม ช่ำงศิลปกรรม ส่วนใหญ่จะสร้ำงองค์พระ วษิ ณุกรรมในปำงนงั่ สำหรับโรงเรียนกำรอำชีพท่ีก่อต้งั ในช่วงปี พ.ศ. 2535 - 2540 ช่วงน้นั อำจำรยอ์ มั พร ภกั ดีชำติ ท่ำน เป็นศิษยเ์ ก่ำช่ำงกลปทุมวนั ปี 2500 ขณะน้นั ท่ำนดำรงตำแหน่งผูอ้ ำนวยกำรกองกำรศึกษำอำชีพ เป็ นช่วงที่มี กำรปรับโรงเรียนสำรพดั ช่ำงท่ีเคยสอนหลกั สูตรระยะส้ันมำสอน ระดบั ปวช. และเป็ นช่วงที่มีกำรจดั ต้งั วิทยำลัยกำรอำชีพอย่ำงกวำ้ งขวำง ท่ำนได้เป็ นผูใ้ ห้จดั สร้ำงองค์พระวิษณุกรรมแบบช่ำงกลปทุมวนั ไป ประดิษฐำนตำมโรงเรียนเหล่ำน้นั
33 จำนวนเทวรูปพระวษิ ณุกรรมในไทย จำกกำรสำรวจ ช่วงเดือนสิงหำคมถึงธนั วำคม 2563 มีขอ้ มูล ดงั น้ี สถำบันกำรศึกษำของรัฐในระดบั อำชีวศึกษำ จำนวนวทิ ยำลยั อำชีวศึกษำที่สอนวชิ ำช่ำงกล ช่ำงก่อสร้ำง และศิลปกรรม ทวั่ ประเทศมีท้งั หมด 390 สถำบนั จำนวนวทิ ยำลยั อำชีวศึกษำที่มีเทวรูปพระวษิ ณุกรรมใหค้ รูอำจำรยแ์ ละนกั ศึกษำเคำรพบูชำมี 360 สถำบนั จำนวนวทิ ยำลยั อำชีวศึกษำที่ไม่มีมีเทวรูปพระวษิ ณุกรรมใหค้ รูอำจำรยแ์ ละนกั ศึกษำเคำรพบูชำมี 30 สถำบนั มีจำนวนพระวษิ ณุกรรม 391 องค์ (บำงวทิ ยำลยั มีพระวษิ ณุกรรมมำกกวำ่ 1 องค)์ สถำบนั กำรศึกษำของเอกชนในระดับอำชีวศึกษำ จำนวนเทวรูปพระวษิ ณุกรรม สถำบนั กำรศึกษำของเอกชนในระดบั อำชีวศึกษำ ทว่ั ประเทศมี 92 สถำบนั มีจำนวนพระวษิ ณุกรรม 98 องค์ (บำงวทิ ยำลยั มีพระวษิ ณุกรรมมำกกวำ่ 1 องค)์ สถำบันกำรศึกษำของเอกชนในระดบั มหำวทิ ยำลยั จำนวนเทวรูปพระวษิ ณุกรรม คณะวศิ วกรรม อุตสำหกรรม ในระดบั มหำวทิ ยำลยั ทวั่ ประเทศมี 27 สถำบนั มีจำนวนพระวษิ ณุกรรม 31 องค์ (บำงวทิ ยำลยั มีพระวษิ ณุกรรมมำกกวำ่ 1 องค)์ หน่วยงำนและวดั จำนวนเทวรูปพระวษิ ณุกรรม ตำมหน่วยงำน ทว่ั ประเทศมี 18 หน่วยงำน จำนวนเทวรูปพระวษิ ณุกรรม ตำมวดั ทว่ั ประเทศมี 19 วดั ปำงเทวรูปพระวิษณุกรรมในประเทศไทย จำกกำรสำรวจสืบคน้ ขอ้ มูลในช่วงสิงหำคม – ธนั วำคม 2563 เทำ่ ท่ีสืบคน้ พบ มีอยู่ 2 ปำง คือ
34 1 ปำงยืน มีดงั น้ี 1.1 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือไมว้ ำ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือไมฉ้ ำกและลูกด่ิง มี 137 องค์ 1.2 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือไมว้ ำ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือลูกดิ่ง มี 6 องค์ 1.3 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือไมว้ ำ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือฉำก มี 3 องค์ 1.4 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือไมว้ ำ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือเฟื องและลูกดิ่ง มี 1 องค์ 1.5 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือไมว้ ำ พระหตั ถซ์ ำ้ ยมิไดถ้ ือส่ิงใด มี 2 องค์ 1.6 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือลูกดิ่ง มี 3 องค์
35 1.7 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ยมิไดถ้ ือสิ่งใด มี 2 องค์ 1.8 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือไมฉ้ ำกและด่ิง พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือไมว้ ำ มี 1 องค์ 1.9 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือไมฉ้ ำก พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือไมว้ ำ มี 1 องค์ 1.10 ปำงยนื พระหตั ถข์ วำถือมิไดถ้ ือส่ิงใด พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือไมว้ ำ มี 2 องค์ 1.11 ปำงประทบั ยนื พระหตั ถข์ วำถือไมว้ ำ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือเฟื อง มี 1 องค์
36 2 ปำงน่ัง มีดงั น้ี 2.1 ปำงน่ัง พระบำทด้ำนขวำน่ังรำบ พระบำทข้ำงซ้ำยห้อยลง ยงั มีหลำกหลำยรูปแบบตำมสิ่งของที่ ถือ 2.1.1 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ ำ้ งขวำวำงอยบู่ นพระชำนุ (หัวเข่ำ) พระหัตถ์ขำ้ งซ้ำยถือดอกบวั แบบพระวิษณุกรรมช่ำงกลปทุมวนั แบบท่ี 1 ที่ดำริจดั สร้ำงโดย อำจำรยอ์ มั พร ภกั ดีชำติ ท่ำนเป็นศิษยเ์ ก่ำช่ำงกลปทุมวนั ปี 2500 ขณะน้นั ท่ำนดำรงตำแหน่งผูอ้ ำนวยกำรกอง กำรศึกษำอำชีพ เพ่ือนำไปประดิษฐำนให้เป็ นที่เคำรพบูชำกบั ครูอำจำรยแ์ ละนกั เรียนวิทยำลยั กำรอำชีพ ท่ี จดั ต้งั ในช่วงปี 2536 – 2540 และวิทยำลัยสำรพดั ช่ำงที่เปิ ดสอนเพ่ิมในระดบั ประกำศนียบตั ร วชิ ำชีพ (ปวช.) และประกำศนียบตั รวชิ ำชีพช้นั สูง (ปวส.) ในช่วงปี 2536 – 2540 มี 114 องค์
37 2.1.2 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือ ลูกดิ่ง มี 87 องค์ 2.1.3 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหัตถ์ขวำถือผ่งึ ร้อยจกั ร พระ หตั ถซ์ ำ้ ยถือลูกดิ่ง มี 1 องค์
38 2.1.4 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือ ลูกด่ิงและไมบ้ รรทดั มี 1 องค์ 2.1.5 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทดำ้ นซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ย ถือคำภีร์ มี 2 องค์
39 2.1.6 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือ เฟื อง มี 1 องค์ 2.1.7 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือ ลูกดิ่งและเฟื อง มี 1 องค์
40 2.1.8 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือผ่งึ พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือ ดอกบวั มี 1 องค์ 2.1.9 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือลูกด่ิง พระหตั ถซ์ ำ้ ย ถือผ่งึ มี 27 องค์
41 2.1.10 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือลูกด่ิง พระหตั ถ์ ซำ้ ยถือเฟื อง มี 1 องค์ 2.1.11 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ ำ้ งขวำวำงอยบู่ นพระ ชำนุ (หวั เขำ่ ) พระหตั ถข์ ำ้ งซำ้ ยถือลูกด่ิง มี 1 องค์
42 2.1.12 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำยกระดบั อก พระ หตั ถซ์ ำ้ ยถือตำรำ มี 1 องค์ 2.1.13 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือดอกบวั พระหตั ถ์ ซำ้ ยจีบนิ้วพระหตั ถไ์ วเ้ สมอพระอุระ (อก) เป็ นกิริยำทรงประทำนพร มี 1 องค์
43 2.1.14 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทดำ้ นซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือดอกบวั พระหตั ถ์ ซำ้ ยถือผ่งึ มี 1 องค์ 2.1.15 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือดอกบวั พระหตั ถ์ ซำ้ ยถือหลำวสำมง่ำม มี 1 องค์
44 2.1.16 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือเฟื อง พระหตั ถ์ ซำ้ ยถือด่ิง มี 3 องค์ 2.1.17 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนง่ั รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือเฟื อง พระหตั ถ์ ซำ้ ยถือตะไบ มี 1 องค์
45 2.1.18 ปำงนงั่ พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทดำ้ นซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือคีมคีบเบำ้ เป็น อุปกรณ์หล่อพระ ใชค้ ีบเบำ้ ทองเหลืองออกจำกเตำหลอมทอง พระหตั ถซ์ ำ้ ยถือตะไบใชใ้ นกำรขดั แต่งองค์ พระ มี 1 องค์ 2.1.19 ปำงนง่ั พระบำทดำ้ นขวำนงั่ รำบ พระบำทขำ้ งซำ้ ยหอ้ ยลง พระหตั ถข์ วำถือไมว้ ำ พระหตั ถ์ ซำ้ ยถือด่ิง มี 1 องค์
Search