Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์

กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์

Published by ห้องสมุดของนายอึ๊ง, 2021-02-05 04:44:30

Description: กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์

Keywords: กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์

Search

Read the Text Version

กรมพระสวสั ดวิ ตั นวศิ ิษฏ์ เจา้ ของผนื แผน่ ดินท่ีต้งั ของช่างกลปทุมวนั พระเจา้ นอ้ งยาเธอพระองคเ์ จา้ สวสั ดิโสภน (สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระสวสั ดิวตั น วิศิษฏ์) พระนามเดิม พระเจา้ น้องยาเธอพระองคเ์ จา้ สวสั ดิโสภน พระราชโอรสองค์ท่ี ๖๐ ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ท่ีประสูติแต่ สมเดจ็ พระปิ ยมาวดีศรีพชั รินทรมาดา (เจา้ จอม มารดาเปี่ ยม) และเป็ นพระอนุชาต่างพระมารดากับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว (รัชกาลท่ี 5) ประสูติเมื่อวนั ศุกร์ เดือนยี่ ข้ึน ๕ ค่า ปี ฉลูสัปตศก จ.ศ. ๑๒๒๗ (๒๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๐๘) สมเด็จกรมพระสวสั ด์ิฯ ทรงมีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดาเดียวกนั น้ี ๑) พระองคเ์ จา้ ชายอุณากรรณอนนั ตนรไชย ๒) สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการฯ (พระองคเ์ จา้ ชายเทวญั อุไทยวงศ)์ ทรงเป็นตน้ ราชสกลุ “เทวกุล” ๓) สมเด็จพระนางเจา้ สุนนั ทากมุ ารีรัตน์ (พระองคเ์ จา้ หญิงสุนนั ทากมุ ารีรัตน์) ๔) สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพนั วสั สาอยั ยิกาเจา้ (พระองคเ์ จา้ หญิงสวา่ งวฒั นา) ๕) สมเดจ็ พระศรีพชั รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพระพนั ปี หลวง (พระองคเ์ จา้ หญิงเสาวภาผอ่ งศรี) ๖) สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระสวสั ดิวตั นวศิ ิษฏฯ์ (พระองคเ์ จา้ ชายสวสั ดิโสภณ) ทรงเป็นตน้ ราชสกลุ “สวสั ดิวตั น์”

ทรงไดร้ ับการศึกษาเบ้ืองตน้ ในพระบรมมหาราชวงั ในวชิ าภาษาไทย ภาษาองั กฤษ รวมท้งั วชิ าคานวณ และวชิ าประกอบอื่น ๆ เหมือนอยา่ งเจา้ นายทุกพระองคใ์ นสมยั น้นั ต่อมาหลงั จากที่ได้ ทรงลาสิกขาจากสามเณรแลว้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชการท่ี ๕ ก็ไดท้ รงพระ กรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ไปศึกษา ณ ประเทศองั กฤษ ภายใตพ้ ระบรมราชูปถมั ภ์ ทรงเขา้ ศึกษาวิชา กฎหมายที่สานกั เบลเลียลแห่งมหาวิทยาลยั อ๊อกซฟอร์ด ทรงศึกษามีความรู้ประมาณช้นั กลางก็ทรง มีพระบรมราชโองการ ฯ ใหเ้ รียกกลบั หลงั จากท่ีเสด็จกลบั ถึงประเทศสยามแลว้ ซ่ึงขณะน้นั มีพระ ชนั ษายา่ งเขา้ ๒๑ ปี พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ก็ไดท้ รงกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหศ้ ึกษา ระเบียบธรรมเนียมประเพณีทางราชการ และกฎหมายไทย พระองคท์ ่านไดพ้ ากเพียรพยายามศึกษา ด้วยพระองค์เองด้วยความสนพระทยั ยิ่ง แล้วนามาเปรียบเทียบกบั กฎหมายของต่างประเทศ โดยเฉพาะขององั กฤษ เป็ นเหตุให้เปล่ียนแนวโนม้ ทางความคิดเห็นและทศั นคติมาเป็ นแบบไทย มากข้ึน เมื่อทรงศึกษาคน้ ควา้ กฎหมายไทยไปไดร้ ะยะหน่ึงแลว้ ปรากฏวา่ ทรงมีความรู้ กฎหมายไทย ดีข้ึนเป็ นลาดบั พระองคท์ ่านมกั จะวางพระองคแ์ ละมีความคิดเห็นอยา่ ง นกั นิติศาสตร์ที่แทจ้ ริงอยู่ เสมอ มักจะทรงพยายามฝึ กสอนอบรมให้ผูท้ ่ีใกล้ชิดพระองค์กร ท่านเป็ นนักกฎหมายหรือมี ความคิดอยา่ งนกั กฎหมาย และชอบศึกษากฎหมายไปดว้ ย ระหวา่ งท่ียงั ประทบั ศึกษาอยูท่ ี่ประเทศ องั กฤษทรงมีชื่อเสียงเล่ืองลือวา่ เป็นผมู้ ีปัญญาเฉียบแหลม ทรงมีความรู้ภาษาองั กฤษดีมาก มีผูก้ ล่าว วา่ ตรัสไดช้ ดั เจนเหมือนฝร่ังทรงเป็ นผขู้ ยนั หมนั่ เพียร กวา้ งขวาง ในทางสังคม ทรงมีความรู้เฉียบ แหลมในทางวชิ าการทรงสันทดั ภาษาองั กฤษและกฎหมายมากเป็ น พิเศษ ในวงสนทนาต่าง ๆ มกั มี ผไู้ ดย้ นิ พระองคท์ ่านรับสั่งอา้ งอิงหลกั กฎหมายอยู่เป็ นเนืองนิจ ดว้ ยพระปรีชาสามารถและความ ปราชญเ์ ปรื่องเป็ นเหตุใหไ้ ดท้ รงร่วมแสดงความคิด เห็นเกี่ยวกบั งานสาคญั ของชาติมากมาย มีอาทิ เช่น ทรงร่วมกบั เจา้ นายและขา้ ราชการสาคญั ในสถานทูตไทยท่ีประเทศองั กฤษและฝร่ังเศส กราบ บงั คมทูลเสนอแนะให้แกไ้ ขราชการแผน่ ดิน เมื่อ ร.ศ. ๑๓๐ (๒๔๒๗) เน้ือหาในขอ้ เสนอแนะมี ความยดื ยาวละเอียดพิสดารหลายสิบหนา้ เตม็ ไปดว้ ยเหตุผลและความเป็ นมา ขอ้ พึงปฏิบตั ิและพึง แกไ้ ข ไดก้ ล่าวสรุปเสนอวา่ ความปฏิรูปการปกครองของสยามประเทศเป็ นคอนสติติวชนั ตาม บนั ทึกของพระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ ซ่ึงทรงกล่าววา่ ไดป้ รึกษาเจา้ นายและขา้ ราชการผูใ้ หญ่หลายท่าน กไ็ ดท้ รงรับรองวา่ เป็นความเห็นของสมเด็จ กรมพระสวสั ด์ิฯ มากขอ้ เม่ือรวบรวมเรียบเรียงคากราบ บงั คมทูลแลว้ สมเด็จกรมพระสวสั ด์ิฯ ยงั ไดท้ รงร่วม แกไ้ ขเปล่ียนแปลงเพ่ิมเติมดว้ ย หากศึกษา เน้ือความในหนงั สือกราบบงั คมทูลโดยละเอียดแลว้ จะพบ ขอ้ คิดเห็นเร่ือง ผลบงั คบั ของกฎหมาย ระหวา่ งประเทศ การยกเลิก แกไ้ ข ต้งั ข้ึนใหม่ ในเร่ืองบทบงั คบั กฎหมายในสยามประเทศ การ เปลี่ยนแปลงแบบธรรมเนียมการปกครองเป็ นคอนสติติวชนั ดว้ ย ซ่ึงในบรรดา ผูล้ งพระนามและ นามในหนงั สือกราบบงั คมทูลท้งั หมดคงมีผศู้ ึกษาวชิ านิติศาสตร์ โดยตรงก็แต่เพียงสมเด็จ กรมพระ สวสั ด์ิฯ พระองคเ์ ดียวเทา่ น้นั

เมื่อเสด็จกลบั ถึงสยามในปี ร.ศ. ๑๐๕ (พ.ศ. ๒๔๒๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ฯ ก็ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเด็จกรมพระสวสั ด์ิ ฯ ทรงผนวชเป็ นนาคหลวงจาพรรษาอยวู่ ดั ราชาธิวาส ระหวา่ งที่ทรงผนวช ทรงขยนั หมนั่ เพียรศึกษาพระปริยตั ิธรรมและเคร่งครัดในพระวินยั อยา่ งย่ิง ทรงสามารถท่องจาและแปลปาติโมกข์ไดอ้ ย่างแคล่วคล่องเม่ือครบพรรษาแลว้ ก็ทรงลา ผนวช และทรงเขา้ รับราชการตอ่ มา ทรงเริ่มรับราชการคร้ังแรกราวปี จุลศกั ราช ๑๒๔๘ ซ่ึงตรงกบั ร.ศ. ๑๐๕ หรือ พ.ศ. ๒๔๒๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ แต่งต้งั เป็ น กอมมิตตี กรมพระนครบาลมีอานาจอยา่ งเสนาบดี งานของกรมพระนครบาลก็คืองานปกครองทอ้ งท่ีในเขตนครหลวงทรงเป็ นตุลาการศาลกรม พระ นครบาลดว้ ย เน่ืองจากไดท้ รงศึกษาวิชากฎหมายมีความรอบรู้มาอยา่ งดีแลว้ ปรากฏวา่ ตลอดระยะ เวลาท่ีทรงเป็ นกอมมิตตีน้นั ไดท้ รงพิจารณาพิพากษาคดีเป็ นที่พอใจแก่คู่ความเป็ นอนั มาก ทาให้ ชื่อเสียงเกียรติคุณดา้ นรักษาความยุติธรรมของพระองคท์ ่านเป็ นที่ ประจกั ษแ์ ก่คนทวั่ ไป ในการ พิจารณาพิพากษาคดีความทรงชงั่ น้าหนกั คา พยานหลกั ฐานอยา่ งละเอียดรอบคอบเป็ นอนั มาก จน เป็นท่ีแน่พระทยั จริง ๆ แลว้ จึงทรงตดั สินช้ีขาดหรือแสดงความคิดเห็นออกไป ดว้ ยเหตุน้ีจึงเป็ นเหตุ ใหข้ อ้ วินิจฉยั ในคาพิพากษาหรือคาตดั สินของพระองค์ ท่านไดร้ ับความเคารพและนบั ถือกนั ทว่ั ไป ในวงการนกั นิติศาสตร์ โดยเฉพาะคดีอาญาแลว้ ทรงยดึ ถือสุภาษิตลาติน ซ่ึงทรงท่องจาไวไ้ ดจ้ นข้ึน พระทยั เสมอวา่ “In criminalibus probationes debent esse luce clariores.” ซ่ึงแปลวา่ “ในคดีอาญา ขอ้ พิสูจน์ควรแจ่มใสยง่ิ กวา่ แสงสวา่ ง” ดว้ ยสุภาษิตบทน้ีเองในการพิจารณาการกระทาความผิดของ จาเลย หากมีขอ้ ท่ียงั เคลือบแคลงสงสัยไม่แน่ชดั ตอ้ งทรงยกประโยชน์ให้จาเลยปล่อยตวั ให้พน้ ขอ้ หาไป และไดท้ รงนามากล่าวเป็นโวหารใหม่ในคาพพิ ากษาศาลกรมพระนครบาลวา่ “ปล่อยผูผ้ ิด เสียสกั สิบคน ก็ยงั จะดีกวา่ จะลงโทษ คนที่หาผดิ มิไดค้ นหน่ึง” วาทะอนั น้ีพระองคท์ ่านเป็ นคาคมใน วงการนักนิติศาสตร์ อนั สาคญั ยิ่ง มีผูห้ ยิบยกกล่าวอา้ งในสมยั หลงั เรื่อยมา จนมีผูเ้ ขา้ ใจวา่ เป็ น สุภาษิตกฎหมายท่ีแปลมาจากภาษาลาตินหรือองั กฤษ แต่ในหนงั สือสุภาษิตกฎหมายหลายเล่มก็ไม่ ปรากฏวา่ มีสุภาษิตบทน้ีเลย นบั ไดว้ า่ พระองคท์ ่านไดส้ ร้างคาคมจนเป็นสุภาษิตของกฎหมายไทยน่า ท่ีจะเป็น ส่ิงหน่ึงท่ีนกั กฎหมายไมค่ วรจะลืม ในระหว่างท่ีทรงรับราชการได้ทรงบาเพ็ญคุณประโยชน์แก่วงการกฎหมายไทยนานัป ประการ อาทิ ทรงเป็ นผูร้ ิเร่ิมจดั วางระเบียบการบริหารงานกระทรวงยุติธรรม ทรงเป็ นเสนาบดี กระทรวงยุติธรรมพระองคแ์ รก ทรงเป็ นอธิบดีศาลฎีกาพระองคท์ ี่หน่ึง ตามแผนงานการปรับปรุง การศาลยุติธรรมใหม่ ประทานกาเนิดการเรียกตาแหน่งประมุขตุลาการ ประทานกาเนิดการเรียก ขานผูท้ รงคุณวุฒิทางกฎหมายวา่ “เนติบณั ฑิต” ประทานกาเนิดชื่อหนงั สือ “บทบณั ฑิต” ของเนติ บณั ฑิตยสภาทรงริเร่ิมและเป็ นกาลงั สาคญั ในการก่อต้งั เนติบณั ฑิตยสภาทรงริเริ่มกรมอยั การ ทรง

ดารงฐานะสมาชิกกิตติมศกั ด์ิแห่งเนติบณั ฑิตยสภาเม่ือวนั ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๔๕๗ ทรงเป็ นอาจารย์ สอนกฎหมาย ทรงเป็นเจา้ ของทศั นคติในการวนิ ิจฉยั คดีจนกลายเป็นแบบอยา่ งของสุภาษิตกฎหมาย ที่ใชม้ าจนปัจจุบนั น้ี ทรงปรับปรุงวางระเบียบให้ระบุช่ือผูแ้ ต่ง ผเู้ ขียนคาคู่ความ คาร้องต่างๆ ที่ใช้ ในการพจิ ารณาคดี สาหรับในส่วนที่เก่ียวกบั งานที่ทรงริเริ่มการจดั วางระเบียบการบริหาร งานกระทรวง ยุติธรรมน้นั สืบเนื่องจากในระหว่างท่ีทรงเป็ นกอมมิตตีกรมพระนครบาลอยู่ไดท้ รงแสดงพระ ปรีชาสามารถอย่างประจกั ษ์ เป็ นท่ีพอพระราชหฤทยั และทรงเช่ือมนั่ ว่า สมเด็จกรมพระสวสั ด์ิฯ ทรงเป็ นผูส้ มควรกบั การที่จะเป็ นผูจ้ ดั การ ราชการศาลยุติธรรมแผนใหม่ได้ ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณกาหนดไวใ้ นเบ้ืองตน้ วา่ จะใหด้ ารงตาแหน่งเสนาบดี กระทรวงยุติธรรมเป็ นกระทรวงที่ จดั ต้งั ข้ึนใหม่ เพ่ือรวมศาลยุติธรรมไวใ้ นท่ีแห่งเดียวกนั แต่ดว้ ยเหตุท่ีกระทรวงยุติธรรม เป็ น กระทรวงที่จะตอ้ งจดั ต้งั ข้ึนใหมท่ ้งั หมด ไม่เคยมีงานในรูปกรมมาก่อนแลว้ ขยายเป็ นกระทรวง เพื่อ จะไดเ้ ห็นแนวแผนงานในเดือนกรกฎาคม ร.ศ.๑๐๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ฯ จึงทรงพระ กรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเด็จกรมพระสวสั ด์ิฯ ร่างแผนงานจดั ต้งั กระทรวงยุติธรรมมาสู่ท่ีประชุม ของคณะเสนาบดีซ่ึงขณะน้นั ยงั ครองตาแหน่งในรูปกรมใหญ่ๆ เพื่อพิจารณาดูก่อน เมื่อไดร้ ับพระ บรมราชโองการฯ สมเด็จกรมพระสวสั ด์ิฯ ก็ไดท้ รงร่างหนงั สือรายงานกราบบงั คมทูลเมื่อวนั ท่ี 3 สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๙ ตามหนงั สือรายงานน้ีไดท้ รงแสดงแนวความคิดอยา่ งกวา้ งขวาง มีแนวเสนอให้ จดั ต้งั หน่วยในกระทรวงกลาง ซ่ึงมีปลดั ทูลฉลองเป็ นหัวหนา้ แบ่งเป็ น 3 กอง คือ กองร่าง กอง รับส่งหนงั สือ กองรายงาน แลว้ มีกรมเก็บรักษาหนงั สือ แบ่งเป็ น ๒ กอง มีกรมคลงั ประกอบดว้ ย กองบญั ชีเงิน กองจ่าย กองเก็บรักษาเงิน มีกรมรับฟ้อง ซ่ึงใหม้ ีอธิบดีบงั คบั บญั ชา แบ่งงานเป็ น 3 กอง มีกรมออกหมายและเก็บรายงานมีเจา้ กรมเป็ นหวั หนา้ ไดท้ รงเสนอแนะใหต้ ้งั กรมอยั การและ เนติบณั ฑิตยสภาดว้ ย นอกน้นั เป็ นขอ้ เสนอเร่ืองต้งั ศาลยตุ ิธรรมต่างๆ พร้อมกบั แนบบญั ชีตาแหน่ง เงินเดือนขา้ ราชการต้งั แต่ปลดั ทูลฉลอง เจา้ กรม ปลดั กรม อธิบดี ผูพ้ ิพากษา เสมียน พนกั งานอีก ดว้ ย ขอ้ เสนอแนะตามหนงั สือกราบบงั คมทูลน้ีไดน้ าเขา้ สู่ที่ประชุมคณะเสนาบดี เม่ือวนั ท่ี ๕ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๙ ที่ประชุมยงั ไม่อนุมตั ิหรือยงั ไม่เป็ นที่ตกลง สมเด็จกรมพระสวสั ด์ิฯ ไดท้ รง พยายามแกไ้ ขขอ้ บกพร่องในแผนงานคร้ังแรกท้งั ไดก้ ราบบงั คมทูลขอพระราช ทานพระบรมราช วินิจฉยั ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ฯ ผลที่สุดไดท้ รงทาหนงั สือกราบบงั คบั ทูลอีกคร้ัง เมื่อวนั ท่ี ๒๔ มีนาคม ร.ศ.๑๑๐ ก่อนหนา้ วนั ออกประกาศจดั ต้งั กระทรวงยุติธรรม ๑ วนั (25 มีนาคม พ.ศ. 2434 (รศ. 110)) ตามหนงั สือกราบบงั คมทูลไดท้ รงแสดงทศั นะการจดั การบริหารกระทรวงยตุ ิธรรม และศาลยุติธรรมตามวธิ ีการใหม่ซ่ึงจะจดั ทาทนั ก่อน ส่วนการต้งั กรมอยั การและเนติบณั ฑิตยสภา น้นั ทรงงดไวด้ าเนินการในภายหลงั คากราบบงั คมทูลฉบบั น้ีดูเหมือนจะทาข้ึนพร้อมกบั ประกาศ จดั ต้งั กระทรวง ยตุ ิธรรม เพราะมีแนวทางและลกั ษณะคลา้ ยคลึงกนั ซ่ึงประกาศจดั ต้งั กระทรวง

ยุติธรรมก็ไดป้ ระกาศในวนั ต่อมาน้นั เอง นอกจากน้ียงั ไดท้ รงแนบบญั ชีอตั ราเงินเดือนขา้ ราชการ ตาแหน่งต่างๆ ต้งั แต่เสนาบดีจนถึงนกั การภารโรง พร้อมกนั น้ีก็ไดเ้ สนอแนะกาหนดตวั บุคคลแนบ มาด้วยหนังสือกราบบังคมทูลฉบบั น้ี จึงเป็ นที่มาแห่งการจดั ต้งั กระทรวงยุติธรรม เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ฯ ไดท้ รงรับหนงั สือกราบบงั คบั ทูลแลว้ ก็ไดท้ รงพระกรุณาโปรด เกลา้ ฯ มีพระราชหตั ถเลขา สัง่ การดว้ ยดินสอ ตามความท่ีไดน้ าเสนอตอนที่แลว้ อน่ึง ภายหลงั จากที่ไดม้ ีการเปล่ียนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ แลว้ สมเด็จกรม พระสวสั ด์ิฯ ไดเ้ สดจ็ ไปประทบั ที่เกาะปี นงั จนสิ้นพระชนมเ์ ม่ือวนั ที่ ๑๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ทรง มีพระชนั ษาได้ ๗๐ ปี ในโอกาสต่อไปจะไดน้ าเสนอ โวหารในการพิพากษาคดีของพระองค์ท่าน ในหลายๆคาพิพากษาที่ละเอียดรอบคอบและเป็ นแบบอยา่ งของคาท่ีใชใ้ นภาษากฎหมาย หรือที่ใช้ เขียนในคาพิพากษามาจนปัจจุบนั น้ี พระองคเ์ จา้ สวสั ดิโสภณ ทรงเป็ นเจา้ นายไทยพระองค์แรก ๆ ที่ไดไ้ ปศึกษาต่อท่ีประเทศ องั กฤษ ทรงศึกษากฎหมายจากเบลเลียลคอลเลจ ในมหาวทิ ยาลยั อ๊อกซฟอร์ด ท่านเป็ นผบู้ ุกเบิกการ จดั ต้งั กระทรวงยตุ ิธรรม 1 เมษายน ร.ศ. 111 มีประกาศให้พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระองค์เจา้ สวสั ดิ โสภน เล่ือนเป็น กรมพระสวสั ดิวตั นวศิ ิษฏ์ (ตน้ ตระกูลสวสั ดิวตั น์) เป็ นเสนาบดีกระทรวงยตุ ิธรรม (พระองค์แรก) พระองค์ทรงเป็ นเจา้ ของวาทะ ท่ีว่า “ปล่อยผูผ้ ิดสักสิบคน ก็ยงั จะดีเสียกว่าจะ ลงโทษคนท่ีหาผดิ มิไดห้ น่ึงคน” ทรงปรับปรุงกิจการศาลแบบเก่า ทรงปรับปรุงงานเป็นลาดบั ดงั น้ี 1 ปรับปรุงดา้ นอตั รากาลงั ผพู้ ิพากษาของศาลในสงั กดั กระทรวงยตุ ิธรรม 2 ต้งั ระเบียบการส่งคดีความเก่ามายงั ศาลในสังกดั กระทรวงยตุ ิธรรม 3 ปรับปรุงระเบียบวธิ ีปฏิบตั ิของศาลเพือ่ ความสะดวกในการพิจารณาพพิ ากษาคดี 4 ช่วยเหลือบุคคลยากจนใหม้ ีโอกาสไดร้ ับความยตุ ิธรรมทางศาล 5 ออกประกาศวา่ ดว้ ยลกั ษณะรับฟ้อง ร.ศ. 111 6 ตราพระราชบญั ญตั ิจดั การศาลในสนามสถิตยย์ ตุ ิธรรม ร.ศ. 111 7 ต้งั ศาลโปริสภาข้ึนในสงั กดั กระทรวงยตุ ิธรรม ต่อมาจึงถวายบงั คมลาออกเพอ่ื ไปราชการในยโุ รป

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ รงกรม เป็ นกรม หม่ืนสวสั ดิวดั นวศิ ิษฎ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงโปรดฯ ใหเ้ ลื่อนข้ึนเป็ น กรมหลวงสวสั ดิวดั นวศิ ิษฎ์ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๖ และเป็ น กรมพระสวสั ดิวดั นวิศิษฎ์ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๖ ทรงรับตาแหน่งอธิบดีศาลฎีกา ทา่ นท่ี ๓ ระหวา่ งวนั ท่ี ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ - ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้เฉลิมพระยศข้ึนเป็ น สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระสวสั ดิวดั นวศิ ิษฎ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ และท่านยงั เป็ นพระราชบิดาในสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชินีใน พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 7 วงั ท่ีประทบั ของ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ สวสั ดิโสภณ กรมพระสวสั ดิวดั น วศิ ิษฎ์ ต้งั อยูร่ ิมคลองบางกะปิ (คลองแสนแสบ) เขตปทุมวนั ใกลก้ บั วงั สระปทุม และวงั วนิ ด์เซอร์ ปัจจุบนั วงั น้ีเป็นที่ต้งั ของ สถาบนั เทคโนโลยปี ทุมวนั สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลท่ี ๘ ณ เกาะปี นัง เม่ือวนั องั คาร เดือนอา้ ย ข้ึน ๑๕ ค่า ปี กุนสัปตศก จ.ศ. ๑๒๙๗ (๑๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๘) พระชนั ษา ๗๐ ปี สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์เจา้ สวสั ดิโสภณ กรมพระสวสั ดิวดั นวิศิษฎ์ ทรงเป็ น ตน้ ราชสกลุ สวสั ดิวตั น์ ทรงอภิเษกสมรสกบั พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อาภาพรรณี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook