Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Unit2-เอกภพและกาแล็กซี่ (1)

Unit2-เอกภพและกาแล็กซี่ (1)

Published by ภูมินทร์ หวลทรัพย์, 2022-01-30 05:28:41

Description: Unit2-เอกภพและกาแล็กซี่ (1)

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 6 บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 2.1 เอกภพ จักรวาลวิทยา(cosmology) พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง วชิ าที่วา่ ดว้ ยกาเนิดคุณสมบตั ิและววิ ฒั นาการของเอกภพ ดาวฤกษ์ ระบบสุริยะ จดั เป็ นสาขา หน่ึงของวชิ าดาราศาสตร์ เอกภพ (Universe) พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานใหค้ วามหมายไวว้ า่ ระบบซ่ึงเป็ น ผลรวมของกาแลก็ ซีท้งั หมด เอกภพมีระบบกาแลก็ ซีประมาณ 10,000 ลา้ นกาแล็กซี เราสามารถศึกษากาแล็กซีท่ีเห็นได้ ดว้ ยกลอ้ งโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ ภาพท่ี 2.1 กาแล็กซีจานวนมากท่ีปรากฏในภาพถ่ายโดยกลอ้ งโทรทรรศน์อวกาศฮบั เบิล 2.1.1 การเกดิ และอนาคตของเอกภพ ยงั ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเอกภพเกิดข้ึนได้อย่างไร และอนาคตต่อไปจะเป็ นเช่นไร ส่วนใหญ่เช่ือว่าเอกภพเร่ิมตน้ จากการระเบิดคร้ังใหญ่ หรือท่ีเรียกว่า “บิกแบง” เม่ือเกิดเอกภพข้ึนการ ขยายตวั เอกภพกเ็ กิดข้ึนพร้อมกนั เม่ือเอกภพขยายตวั พลงั งานความร้อนจะลดลงเร่ือยๆ อาจเกิดแรงทา ให้การเคลื่อนที่ช้าลง พลงั งานรังสีต่างๆ จะลดลง นักเอกภพวิทยาผูศ้ ึกษาวิวฒั นาการของเอกภพ ไดเ้ สนอทฤษฎีการเกิดและอนาคตของเอกภพไวห้ ลายทฤษฎี ดงั น้ี เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 7 1. ทฤษฎบี กิ แบง(Big-bang Theory) ทฤษฎีน้ีกล่าววา่ กาแล็กซีท้งั หลายและสรรพสิ่งท้งั หลายคร้ังหน่ึงรวมตวั กนั เป็ นกลุ่ม กอ้ นถูกบีบค้นั อดั ตวั หนาแน่นอยา่ งยงิ่ ดว้ ยพลงั งานมหาศาลสูงยง่ิ เอกภพเกิดข้ึนเม่ือเกิดการระเบิดคร้ัง ยงิ่ ใหญ่ หรือท่ีเรียกวา่ “บิกแบง (Big-bang)” มวลสารและพลงั งานมหาศาลถูกปล่อยออกไป การระเบิด ใหญ่มีความร้อนแรงสูงที่สุด สสารและพลงั งานของการระเบิดทาให้เกิดการขยายตวั ออกไป เกิดแรง โนม้ ถ่วงและแรงยึดนิวเคลียสของอะตอม เกิดอะตอมของธาตุและเกิดสรรพสิ่งต่างๆ ดาวฤกษ์ กระจุก ดาว กาแล็กซีต่างๆ พลงั งานความร้อนและรังสีตา่ งๆ ลดลงตามกาลเวลา จากการตรวจวดั และการคานวณการขยายตัวของเอกภพ ทราบว่าเอกภพเกิดข้ึน เม่ือ 14,500 ลา้ นปี มาแลว้ จากผลการคานวณแสดงให้เห็นวา่ ก่อนเกิดการระเบิดใหญ่สสารท้งั หลายใน เอกภพรวมตวั กนั เป็ นสสารกอ้ นเดียวกนั เม่ือสสารก้อนน้นั ไดร้ ะเบิดคร้ังใหญ่ข้ึน ชิ้นส่วนต่างๆ ได้ กระจายออกสู่อวกาศดว้ ยความเร็วต่างๆ เกิดลูกไฟขนาดใหญ่ ซ่ึงเม่ือเยน็ ตวั ลงเกิดเป็ นอนุภาค สสาร อะตอมของธาตุ ดาวฤกษ์ สสารระหวา่ งดวงดาว กระจุกดาว และกาแล็กซีต่างๆ ซ่ึงทุกส่ิงท่ีเกิดข้ึนต่าง เคลื่อนท่ีออกไปจากกนั เอกภพขยายตวั เคลื่อนท่ีออกไปต้งั แต่วนั แรกและปัจจุบนั กย็ งั คงขยายตวั ต่อไป ขณะเกิดบิกแบง มีเน้ือสารเกิดข้ึนในรูปของอนุภาคพ้ืนฐานชื่อ ควาร์ก (Quark) อิเล็กตรอน (Electron) นิวทริโน (Neutrino) และโฟตอน (Photon) ซ่ึงเป็ นพลงั งานดว้ ย เม่ือเกิดอนุภาคก็ จะเกิดปฏิอนุภาค (Anti-particle) ท่ีมีประจุไฟฟ้ าตรงขา้ ม ยกเวน้ นิวทริโนและแอนตินิวทริโน ไม่มี ประจุไฟฟ้ า เม่ือปฏิอนุภาคพบกบั อนุภาคชนิดเดียวกนั จะหลอมรวมกนั เน้ือสารเปล่ียนไปเป็ นพลงั งาน จนหมดสิ้น ถา้ เอกภพมีจานวนอนุภาคเท่ากบั ปฏิอนุภาคพอดี เม่ือพบกนั จะกลายเป็ นพลงั งานท้งั หมด ก็ จะไม่เกิดกาแล็กซ่ี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ โชคดีที่ในธรรมชาติมีอนุภาคมากวา่ ปฏิอนุภาค ดงั น้นั เม่ือ ปฏิอนุภาคพบกบั อนุภาค นอกจากจะไดพ้ ลงั งานเกิดข้ึนแลว้ ยงั มีอนุภาคเหลืออยู่ และนน่ั คืออนุภาคที่ ก่อกาเนิดเป็ นสสารของเอกภพในปัจจุบนั หลงั บิกแบงเพียง 10-6 วนิ าที อุณหภูมิของเอกภพลดลงเป็ นสิบลา้ นลา้ นเคลวนิ ทาให้ ควาร์กเกิดการรวมตวั กนั กลายเป็นโปรตอน (นิวเคลียสของไฮโดรเจน) และนิวตรอน หลงั บิกแบง 3 นาที อุณหภูมิของเอกภพลดลงเป็ นร้อยลา้ นเคลวิน มีผลให้โปรตอน และนิวตรอนเกิดการรวมตวั เป็นนิวเคลียสของฮีเลียม ช่วงแรกๆ น้ีเอกภพขยายตวั อยา่ งรวดเร็วมาก หลงั บิกแบง 300,000 ปี อุณหภูมิลดลงเหลือ 10,000 เคลวิน นิวเคลียสของไฮโดรเจน และฮีเลียมดึงอิเล็กตรอนเขา้ มาอยใู่ นวงโคจร เกิดเป็นอะตอมไฮโดรเจนและฮีเลียม กาแล็กซีต่างๆ เกิดหลงั บิกแบง 1,000 ลา้ นปี ภายในกาแล็กซีมีธาตุไฮโดรเจนและ ฮีเลียมเป็ นสารเบ้ืองตน้ ซ่ึงก่อกาเนิดเป็ นดาวฤกษร์ ุ่นแรกๆ ส่วนธาตุต่างๆ ที่มีมวลมากกวา่ ฮีเลียมเกิด จากดาวฤกษข์ นาดใหญ่ เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 8 เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 9 ภาพท่ี 2.2 แสดงววิ ฒั นาการการเกิดเอกภพ ท่ีเร่ิมตน้ จากการระเบิดคร้ังยง่ิ ใหญ่ (http://www.crystalinks.com/bigbang.html) ปรากฏการณ์ทสี่ นับสนุนทฤษฎบี ิกแบง มี 2 ประการ ไดแ้ ก่ 1) การขยายตวั ของเอกภพ ฮบั เบิล เป็นนกั ดาราศาสตร์ชาวอเมริกาที่คน้ พบวา่ กาแล็กซี จะเคลื่อนที่ไกลออกไปดว้ ยความเร็วที่เพ่ิมข้ึนตามระยะห่าง กาแล็กซีที่อยไู่ กลยิ่งเคลื่อนท่ีห่างออกไป เร็วกวา่ กาแล็กซ่ีที่อยใู่ กล้ นน่ั คือเอกภพกาลงั ขยายตวั จากความเขา้ ใจน้ีทาใหน้ กั ดาราศาสตร์สามารถ คานวณหาอายขุ องเอกภพได้ 2) อณุ หภูมิพนื้ หลงั ของเอกภพปัจจุบันลดลงเหลอื 2.73 เคลวนิ การคน้ พบอุณหภูมิของเอกภพในปัจจุบนั หรืออุณหภูมิพ้ืนหลงั เป็ นการคน้ พบโดย บงั เอิญโดยนกั วทิ ยาศาสตร์ชาวอเมริกา 2 คน ชื่อ อาร์โน เพนเซียส และโรเบิร์ต วิลสัน แห่งหอ้ ง ปฏิบตั ิ การเบลเทเลโฟน เม่ือปี พ.ศ. 2508 ขณะน้นั นกั วิทยาศาสตร์ท้งั สองคนกาลงั ทดสอบระบบเครื่องรับ สัญญาณของกลอ้ งโทรทรรศน์วิทยุ ปรากฏวา่ มีสัญญาณรบกวนตลอดเวลา ไม่วา่ จะเป็ นกลางวนั หรือ กลางคืน หรือฤดูต่างๆ แมเ้ ปล่ียนทิศทางและทาความสะอาดสายอากาศแลว้ ก็ยงั มีสัญญาณรบกวนอยู่ เช่นเดิม ต่อมาทราบภายหลงั วา่ เป็ นสัญญาณที่เหลืออยใู่ นอากาศ เทียบไดก้ บั พลงั งานของการแผร่ ังสี ของวตั ถุดาท่ีมีอุณหภูมิประมาณ 3 เคลวนิ หรือประมาณ –270 องศาเซลเซียส ดงั น้นั การพบพลงั งาน จากทุกทิศทุกทางในปริมาณที่เทียบไดก้ บั พลงั งานที่เกิดจากการแผร่ ังสีของวตั ถุดาท่ีมีอุณหภูมิประมาณ 3 เคลวนิ จึงเป็นขอ้ ที่สนบั สนุนทฤษฎีบิกแบงไดเ้ ป็นอยา่ งดี เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 10 ปัญหาทไ่ี ม่สนับสนุนทฤษฎบี ิกแบง ปัญหาที่ 1 คือวา่ เอกภพมีความความสม่าเสมอหรือแบบเดียวกนั อยา่ งเหลือเช่ือ เช่น อุณหภมู ิช้ีใหเ้ ห็นถึงการแผร่ ังสีหลงั ฉากเอกภพท่ีเหมือนกนั ทุกทิศทุกทาง ไม่รวม 2 สาเหตุ ท่ีไม่มีความ เหมือนกนั คือ การเคลื่อนที่ของกาแล็กซีผ่านเอกภพ และการแปรเปล่ียนความหนาแน่นท่ีเกิดกระจุก กาแล็กซี เอกภพเป็ นเน้ือเดียวกนั หรือเหมือนกนั ไดอ้ ยา่ งไร บิกแบงอาจเร่ิมตน้ จาก “จุด” จึงมีอุณหภูมิ เหมือนกนั ได้ แตบ่ ิกแบงไมใ่ ช่ \"จุด\" ท่ีแทจ้ ริง สมการบิกแบงตน้ ตอที่ยอ้ นกลบั ไปในอดีต พบวา่ เอกภพ ใหญโ่ ตกวา่ ระยะทางที่สัญญาณใดหรือแสงสามารถเดินทางได้ ภายในอายุเอกภพน้นั สภาวะแรกเริ่มยงั ไม่มีเหตุผลสนบั สนุนสภาพเอกภพตอนกาเนิดท่ีเร่ิมจากอุณหภมู ิเท่าน้นั ปัญหาท่ี 2 ที่มาจากทฤษฎีบิกแบงตน้ ตอคือ ไม่มีวธิ ีท่ีจะอธิบายวา่ ทาไมเรขาคณิตจาก เอกภพจึงใกลเ้ คียงกบั ยคู ลิเดียน (นนั่ คือ มีความแบน หมายถึง มุมภายในของสามเหล่ียมบวกกนั ได้ 180 องศา) ไม่นานมาน้ีไดม้ ีการวดั ขนาดเชิงมุมของการแกวง่ อุณหภูมิข้ึนลงในฉากหลงั ไมโครเวฟคอสมิค พบวา่ เรขาคณิตเอกภพแบนจริงๆ ที่เรียกวา่ ปัญหาความแบน แต่ตามสมการท่ีบรรยายววิ ฒั นาการของ เอกภพในทฤษฎีบิกแบงตน้ ตอ แสดงให้เห็นว่าเอกภพตอ้ งแบนมากอยา่ งยิ่งตอนใกลเ้ ร่ิมเกิด มิฉะน้นั เมื่อเอกภพมีอายมุ ากข้ึน จะมีความโคง้ มาแทนท่ีความแบนโดยเร็วเพราะขอบเขตมหาศาล เราไม่น่าวดั ความแบนไดใ้ นปัจจุบนั การท่ีจะเขา้ ใจปัญหาความแบนใหม้ ากข้ึน ใหล้ องพิจารณากรณีที่ไม่น่าเกิดไดใ้ นความ เป็นจริง เช่น เม่ือเราเดินเขา้ ไปในห้องและพบวา่ ดินสอต้งั ตรง เราอาจหวงั จะเห็นตอนดินสอเริ่มอยทู่ ่าน้ี สมดุลต้งั แตต่ น้ ซ่ึงมนั ไม่น่าจะเกิดอยา่ งบงั เอิญได้ น่าจะมีเหตุผลทางฟิ สิกส์อธิบายวา่ ทาไมดินสอจึงต้งั ตรงได้ เช่นเดียวกบั ทฤษฎีบิกแบงตน้ ตอไม่มีคาอธิบายท่ีเหมาะสมวา่ ทาไมเอกภพจึงเริ่มจากความแบน มากได้ ปัญหาที่ 3 คือ นกั ดาราศาสตร์คานวณไดว้ า่ ถา้ เอกภพมีสสารเท่าที่พบแลว้ หลงั จาก การระเบิดใหญ่เอกภพจะตอ้ งขยายตวั อยา่ งรวดเร็วมากจนไม่อาจเกิดกาแล็กซีต่างๆ ได้ ถา้ จะใหท้ ฤษฎี ระเบิดใหญ่เป็ นจริง เอกภพจะตอ้ งมีสสารมากกวา่ ท่ีคน้ พบแลว้ ดงั น้นั จะตอ้ งมีสสารอีกจานวนหน่ึงซ่ึง อาจเรียกวา่ วตั ถุมืด (Missing Matter) มาสนบั สนุนทฤษฎีบิกแบง ดงั กล่าว 2. ทฤษฎสี ภาวะคงตัว ทฤษฎีน้ีสรุปวา่ สสารในกาแล็กซีต่อหน่วยปริมาตรของอวกาศในเอกภพ จะเป็ นค่า คงท่ี ฉะน้นั สภาพของเอกภพจะเป็ นเช่นเดิมโดยไม่มีความสิ้นสุดท้งั อวกาศและกาลเวลา ทฤษฎีน้ีมี ขอ้ จากดั และมีขอ้ ขดั แยง้ เมื่อเกิดเอกภพมีววิ ฒั นาการตามทฤษฎีระเบิดใหญ่แลว้ ยงั หาคาตอบวา่ อนาคต เอกภพจะเป็นอยา่ งไรแน่ จึงเกิดทฤษฎีที่ 3 ข้ึน เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 11 3. ทฤษฎีเอกภพแกว่งกวดั ทฤษฎีน้ี ปรับปรุงมาจากทฤษฎีสภาวะคงตวั เพอื่ สามารถอธิบายอนาคตของเอกภพได้ สรุปไดว้ า่ การขยายตวั ของเอกภพจะมีการชา้ ลงและหยดุ ลงได้ สสารท้งั หลายจะหดตวั กลบั และดึงมวล เขา้ หากนั แล้วจะเริ่มยุบตวั ของสสารลง กล่าวคือกาแล็กซีท้งั หลายจะเคลื่อนท่ีเข้าหากนั และหลอม รวมกนั เป็นกอ้ นเดียวกนั อีก โดยเร่ิมวฏั จกั รใหม่เป็ นรอบๆ ดงั น้นั เอกภพจะเพิ่มและลดรัศมีของมนั เป็ น รอบๆสลบั กนั ไป ทฤษฎีน้ี มีความเป็นไปตามพระสจั ธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ “ชีวติ หรือ สรรพสิ่งเม่ือเกิดข้ึน ต้งั อยแู่ ละแตกดบั ทาลายไปหมุนเวยี นไม่มีท่ีสิ้นสุด” 4. ทฤษฎกี ารขยายตวั ลดลง ถา้ ในเอกภพไม่มีสสารมากไปกวา่ ท่ีพบ เอกภพจะขยายตวั ต่อไปเร่ือยๆ ในสภาวะของ การขยายตวั อยา่ งไมส่ ิ้นสุดน้ีทุกสิ่งทุกอยา่ งจะจางหายไป ดาวฤกษท์ ี่อายุมาก เมื่อถึงวาระสุดทา้ ยจะไม่มี ดาวฤกษใ์ หม่เกิดข้ึน ในท่ีสุดเอกภพท้งั หมดจะเหลือแตเ่ มฆหมอกของอนุภาคที่เยน็ ตวั ลง 5. ทฤษฎีเอกภพหดตวั และขยายตัว นกั วทิ ยาศาสตร์หลายคนคิดวา่ เอกภพมีการขยายตวั และหดตวั คลา้ ยหวั ใจ จึงเชื่อวา่ การ ระเบิดใหญจ่ ะตามมาดว้ ยการรวมกนั คร้ังใหญ่ ซ่ึงเป็นการขยายตวั และหดตวั เช่นน้ีเร่ือยๆ ไป 6. ทฤษฎบี ิกครันซ์ ถา้ เอกภพมีสสารมากกวา่ ท่ีพบ แรงโน้มถ่วงจากสสารจะดึงเอกภพให้เคลื่อนท่ีชา้ ลง และดึงทุกอยา่ งกลบั จนกระทงั่ กาแล็กซีเกิดการชนกนั จึงจะมีการรวมกนั คร้ังยิ่งใหญ่หรือบิกครันซ์ซ่ึง ตรงขา้ มกบั บิกแบง 2.1.2 เอกภพกาลงั ขยายตวั จากการศึกษากาแล็กซีท้งั หลายต้งั แต่อยใู่ กลโ้ ลกท่ีสุดคือ เมฆแมกเจลแลนใหญ่ ท่ีอยู่ ห่างจากโลก 17,000 ปี แสง กาแล็กซีกงั หนั หมุนท่ีใกลท้ ี่สุดคือกาแล็กซีแอนโดรมีดา อยหู่ ่างจากโลก 2,250,000 ปี แสง และกาแล็กซีอื่นๆ พบวา่ มีการเคลื่อนท่ีกระจายตวั ออกไป เทห์ฟากฟ้ าที่ไกลท่ีสุดที่ มนุษยส์ ังเกตและศึกษาได้ ไดแ้ ก่ กาแล็กซีวิทยุอยา่ งแรง ซ่ึงเป็ นกาแล็กซีแผร่ ังสีมี พลงั งานส่วนใหญ่ ของมนั ออกมาในรูปคล่ืนวทิ ยุ กบั ควอซาร์ ซ่ึงเป็ นวตั ถุมีมวลขนาดกาแล็กซีแต่อดั แน่นอยา่ งย่ิง แผร่ ังสี มากเป็ นหลายเท่าของกาแล็กซีธรรมดา และรังสีจากกาแล็กซีท้งั หลายที่ตรวจวดั ได้ แสดงถึงการ เปลี่ยนแปลงเส้นสเปกตรัม ซ่ึงบ่งบอกวา่ มนั กาลงั เคลื่อนที่ออกไปดว้ ยความเร็วสูงมากการกระจายตวั ออกไปและการเคล่ือนที่ออกไปของกาแล็กซีวิทยุและควอซาร์ดงั กล่าวจึงหมายความวา่ เอกภพกาลงั ขยายตวั เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 12 การตรวจสอบวตั ถุเคลื่อนที่ออกไปหรือเคลื่อนที่เขา้ มา สามารถตรวจสอบและ คานวณไดจ้ ากการเปล่ียนแปลงเส้นสเปกตรัมของแสงท่ีไดร้ ับ ตวั วตั ถุเคล่ือนที่ออกไปจากผตู้ รวจวดั เส้นสเปกตรัมแสงที่ไดร้ ับจะมีความยาวคลื่นเพ่ิมข้ึน คือ เส้นสเปกตรัมที่วดั ไดจ้ ะเลื่อนไปทางแถบแสง สีแดง (red shift) ซ่ึงมีความยาวคล่ืนยาวที่สุด (เพราะเส้นสเปกตรัมแสงสีแดงมีความถี่ต่าที่สุด) ในทาง กลบั กนั ถา้ วตั ถุเคล่ือนที่เขา้ มาหาผตู้ รวจวดั เส้นสเปกตรัมแสงท่ีไดร้ ับจะมีความยาวคล่ืนลดลง คือ เส้น สเปกตรัมที่วดั ไดจ้ ะเล่ือนไปทางแถบแสงสีน้าเงิน (blue shift) ซ่ึงมีความยาวคลื่นส้ันมากกวา่ เพราะ เส้นสเปกตรัมแสงสีน้าเงินมีความถี่สูงกวา่ ควอซาร์ (QUASARS) คือวตั ถุอดั แน่นอยใู่ นอวกาศไกลมากปรากฏคลา้ ยจุดของ แสงแต่แผร่ ังสี มีพลงั งานสูงกวา่ กาแล็กซี ปรากฏเส้นสเปกตรัมท่ีวดั ไดเ้ ล่ือนไปทางแถบสีแดงมาก แสดงวา่ กาลงั เคลื่อนที่ออกไปดว้ ยความเร็วสูงยง่ิ และแผค่ ล่ืนวทิ ยทุ ่ีมีความแรงสูงมาก ชื่อไดว้ า่ มาจาก Quasi stellar Source มีความหมายตามรูปศพั ทว์ า่ วตั ถุ เปล่งแสงระหวา่ งดวงดาว ที่ยงั ไม่ทราบแน่นอน วา่ เป็นอะไร ควอซาร์ เป็นเทห์ฟากฟ้ าอดั แน่นขนาดใหญอ่ ยไู่ กลท่ีสุดมนุษยจ์ ะเห็นไดใ้ นเอกภพเห็นเป็ น จุดแสงและคลื่นวทิ ยุ เช่ือวา่ มีขนาดเล็กกวา่ กาแลก็ ซีแตส่ ่งพลงั งานออกมามากกวา่ กาแล็กซ่ีขนาดใหญ่ท่ี ไกลออกไป มากกวา่ เป็ น100 เท่า รังสีท่ีแผอ่ อกมานอกจากเป็ นแสงที่เห็นได้ ยงั มีรังสีใตแ้ ดงคือรัวสี อินฟราเรด รังสีเอกซเรย์ และคล่ืนวิทยปุ ระมาณร้อยละ 10 ปัจจุบนั พบควอซาร์ท่ีมีบญั ชีรายละเอียด มากกวา่ 1,000 ควอซาร์ 2.1.3 สิ่งมีชีวติ บนโลกอน่ื กาแล็กซีทางชา้ งเผือกมีดวงอาทิตย์ 100,000 ลา้ นดวง แต่ค่าเฉลี่ยจานวนดาวฤกษ์ใน แตล่ ะกาแล็กซีในเอกภพมีจานวนดาวฤกษแ์ ต่ละกาแล็กซีประมาณ 1,000 ลา้ นดวงจานวนดวงฤกษห์ รือ ดวงอาทิตยโ์ ดยประมาณในเอกภพจะมี 10 ลา้ นลา้ นลา้ นดวง และมีความเป็ นไปไดท้ ี่จะมีดาวเคราะห์ บริวารเช่นเดียวกบั โลกของเรา ซ่ึงมีสภาพส่ิงแวดลอ้ มเหมาะสมต่อการเกิดส่ิงมีชีวติ ได้ “มีชีวิตที่พฒั นาและเฉลียวฉลาดบนโลกอ่ืนในเอกภพหรือไม่” คาถามน้ีเป็ นปัญหาท่ี มนุษยส์ นใจและอยากรู้ มนุษยเ์ รายงั ไม่เคยมีโอกาสปะสังสรรคก์ บั ส่ิงมีชีวิตนอกโลกอยา่ งมีหลกั ฐาน ยืนยนั ทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นอน ในปัจจุบนั ยงั ไม่สามารถเดินทางไปนอกระบบสุริยะได้ ฉะน้นั การ ติดต่อเพื่อศึกษาในเรื่องชีวิตบนโลกอ่ืนนอกระบบสุริยะจึงยงั ไม่มีโอกาสจะทาได้ เม่ือโลกของเรามี สิ่งมีชีวติ และวิวฒั นาการของส่ิงมีชีวติ ได้ ดาวฤกษท์ ่ีอ่ืนๆ ในเอกภพซ่ึงอย่ภู ายใตก้ ฎแห่งแรงโน้มถ่วง ร่วมกนั จึงน่าจะมีสิ่งมีชีวติ อื่นๆอาศยั อยบู่ า้ ง และถา้ โลกอ่ืนมีส่ิงมีชีวติ ชีวติ ท่ีพฒั นาและเฉลียวฉลาด ซ่ึง ไม่จาเป็ นตอ้ งเหมือนมนุษยใ์ นโลกของเรา เมื่อเกิดชีวิตข้ึนแล้วย่อมมีวิวฒั นาการ ถ้ามีเวลาของการ วิวฒั นาการพอเพียงชีวิตย่อมมีการพฒั นามากข้ึน การพฒั นาของชีวิตย่อมมีอตั ราการพฒั นาต่างๆ กนั ตามสภาพแวดลอ้ มตามหลกั ของเหตุผลแห่งความน่าจะเป็ น อาจสรุปไดว้ า่ น่าจะมีชีวติ ท่ีพฒั นาแลว้ และ เฉลียวฉลาด มีสังคมส่ิงมีชีวติ ท่ีเจริญกา้ วหนา้ บนโลกอ่ืนได้ ซ่ึงมนุษยเ์ รายงั ไมส่ ามารถติดต่อส่ือสารได้ เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 13 2.2 กาแลก็ ซี กาแล็กซีเปรียบเสมือนเป็ นเมืองของดาวฤกษ์ ซ่ึงแต่ละเมืองประกอบดว้ ยดาวฤกษน์ บั พนั ลา้ น ดวง กาแล็กซีมีขนาดใหญ่มาก มีเส้นผ่านศูนยก์ ลางหลายหมื่นถึงหลายแสนปี แสง โลกของเราอยู่ใน ระบบสุริยะซ่ึงเป็ นส่วนเล็กๆ ส่วนหน่ึงท่ีอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือก โดยจะอยู่บริเวณแขนของ กาแล็กซี ซ่ึงอยหู่ ่าจากจุดศูนยก์ ลางประมาณ 30,000 ปี แสง กาแล็กซีทางชา้ งเผือกมีขนาดค่อนขา้ งใหญ่ มาก เม่ือเปรียบเทียบกบั กาแล็กซีอ่ืนๆ คือ มีเส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 100,000 ปี แสง 2.2.1 กาแลก็ ซีและกาแลก็ ซีทางช้างเผอื ก 2.2.1.1 กาแลก็ ซี กาแลก็ ซี (Galaxy) ราชบณั ฑิตยสถานบญั ญตั ิใหเ้ รียกวา่ ดาราจกั ร คาวา่ กาแล็กซี มาจากคา ภาษากรีก หมายความวา่ ทางน้านม กาแล็กซีหรือดาราจกั ร คือ ระบบของดาวฤกษน์ บั พนั ลา้ นดวงอยรู่ ่วมกนั ในขอบเขตแห่งแรง โนม้ ถ่วงของตนเอง เป็นกลุ่มชุมชนร่วมกนั ของดาวฤกษน์ บั พนั ลา้ นดวง พร้อมบริวารไดแ้ ก่ กระจุกดาว แกส๊ ฝ่ นุ ธุลี เนบิวลาและอวกาศแผข่ ยายอาณาเขตกวา้ งใหญ่ กาแล็กซีเป็นหน่วยหน่ึงของเอกภพ ในคืนเดือนมืดทอ้ งฟ้ าปลอดโปร่งแจ่มใสปราศจากแสงรบกวนและเมฆหมอก ถา้ มองดู ดวงดาวบนทอ้ งฟ้ าอาจเห็นแถบสีขาวสลวั มีลกั ษณะเป็ นทางสีขาวสวา่ งจาง พาดไปท่ามกลางดวงดาว บนทอ้ งฟ้ า เรียกทางสีขาวสลวั น้นั วา่ ทางช้างเผือก ซ่ึงช่ือที่เรียกน้นั อาจแตกต่างกนั ตามนิยายหรือคติ นิยมแตล่ ะชาติ กาแล็กซีที่สังเกตไดด้ ว้ ยตาเปล่า นอกจากกาแล็กซีทางชา้ งเผือกของเราแลว้ ไดแ้ ก่ กาแล็กซี แอนโดรเมดา กาแลก็ ซีแมกเจลแลนใหญ่ และกาแล็กซีแมกเจลแลนเล็ก ดงั ภาพท่ี 2.3 ภาพท่ี 2.3 แสดงการกระจายของดาวฤกษใ์ นกาแล็กซีทางชา้ งเผือก โดยการนาภาพถ่ายทอ้ งฟ้ า เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 14 ทุกทิศทุกทางมาตอ่ กนั ตามตาแหน่งที่ใชพ้ ิกดั ซ่ึงมีแกนนอนเป็นเส้นที่ผา่ นทางชา้ งเผอื ก (ท่ีมา : สสวท.) 2.2.1.2 กาแลก็ ซีทางช้างเผอื ก ทางช้างเผือก ตรงกบั ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ “Milky Way” ซ่ึงแปลวา่ “ทางนา้ นม” ซ่ึงเรียกตาม นิยายดาวของกรีกวา่ เฮอร์คิวลิสผทู้ รงพลงั เม่ือคร้ังเป็ นเด็กไดด้ ูดน้านมมารดา แต่เนื่องจากมีพลงั มากจึง ดูดน้านมดว้ ยความรุนแรงน้านมจึงพุ่งหกเปรอะเป้ื อนเป็ นทางยาวบนทอ้ งฟ้ า สาหรับประเทศอินเดีย เห็นเป็ น “พระแม่คงคาสวรรค”์ ส่วนชนชาติไทยเห็นเป็ นทางเดินของชา้ งเผือกบนสวรรค์ จึงเรียกว่า “ทางช้างเผอื ก” ทางช้างเผอื ก หรือกลุ่มของแสงสีขาวสลวั ที่ปรากฏบนทอ้ งฟ้ า คือดาวฤกษจ์ านวนมากที่อยไู่ กล มากจนมองดว้ ยตาเปล่าไม่เห็นเป็ นดวง กาลิเลโอเป็ นคนแรกที่ใชก้ ลอ้ งโทรทรรศน์ดูทางชา้ งเผือก หาก เราใชก้ ลอ้ งสองตาที่มีคุณภาพดีหรือกลอ้ งโทรทรรศน์ส่องดูทางสีขาวสลวั ท่ีเรียกวา่ ทางชา้ งเผือกน้ี จะ เห็นเป็นจุดของแสง คือ ดาวฤกษจ์ านวนมากมาย หากเราสังเกตแถบทางชา้ งเผือกในทอ้ งฟ้ าจะเห็นเป็ น แถบขาวสลวั จากทอ้ งฟ้ าด้านเหนือผ่านกลางทอ้ งฟ้ า เวียนไปทอ้ งฟ้ าซีกใตแ้ ลว้ เวียนรอบผ่านกลาง ทอ้ งฟ้ าไปทอ้ งฟ้ าซีกเหนืออีกกล่าวไดว้ า่ จะเห็นทางชา้ งเผอื กพาดผา่ นกลุ่มดาวต่างๆ เป็ นแถบสีขาวสลวั ไม่กวา้ งนกั เวยี นไปเกือบรอบทรงกลมของทอ้ งฟ้ าคลา้ ยเขม็ ขดั คาดผา่ นทรงกลมของทอ้ งฟ้ า กาแล็กซีที่ระบบสุริยะของเราเป็ นสมาชิกอยเู่ รียกวา่ \"กาแล็กซีทางชา้ งเผือก\" (The Milky Way Galaxy) ประมาณวา่ มีดาวฤกษ์ คือ ดวงอาทิตย์ 100,000 ลา้ นดวง (1011 ดวง) มีมวลรวมนอ้ ยกวา่ 200,000 ลา้ นเท่าของมวลดวงอาทิตย์ บริเวณใจกลางกาแล็กซีมีดาวฤกษ์ กระจุกดาวอยหู่ นาแน่น ดาว ฤกษแ์ ต่ละดวงอยไู่ กลมาก เช่น ดาวฤกษด์ วงท่ีเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่าอยใู่ กลด้ วงอาทิตยข์ องเราท่ีสุดน้นั อยู่ ห่างออกไปโดยแสงเดินทางกินเวลาประมาณ 4.3 ปี ถา้ คืนน้ีเราดูดาวดวงน้ีแสดงวา่ เราเห็นดาวดวงน้ีเมื่อ 4.3 ปี ก่อนเพราะแสงเพ่ิงจะเดินทางมาถึง หรือถา้ จะเดินทางดว้ ยยานอวกาศมีความเร็ว 8 กิโลเมตรต่อ วนิ าที หรือ 28,800 กิโลเมตรต่อชวั่ โมง จะเดินทางถึงดวงดาวน้นั ในเวลาประมาณ 161,123 ปี กาแล็กซีส่วนใหญ่เป็ นกาแล็กซีกงั หนั หมุน รองลงไป คือกาแล็กซีกงั หนั หมุนแบบมีคานหรือ แกน และกาแล็กซีรูปวงรี ส่วนกาแลก็ ซีรูปร่างไมแ่ น่นอนมีนอ้ ยที่สุด ลกั ษณะของกาแล็กซีทางชา้ งเผือก มีรูปร่างคลา้ ยจกั รของนกั กีฬาหรือไข่ดาว มองดา้ นตรงจะ เห็นเป็ นจกั รรูปทรงกลมกาลงั หมุนรอบตวั เอง ถา้ มองดา้ นขา้ งจะเห็นเป็ นคลา้ ยเลนส์นูนหรือจานแบน 2 ใบ ประกบกนั มีเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 100,000 ปี แสง ส่วนหนาป่ องตรงกลางเพียง 15,000 ปี แสง ตาแหน่งของระบบสุริยะในกาแล็กซีทางช้างเผือกอย่ทู ่ีกงั หนั หมุนขอบนอก ซ่ึงอยหู่ ่างจากศูนยก์ ลาง กาแล็กซีประมาณ 30,000 ปี แสง กาแล็กซีทางชา้ งเผอื กเป็ นกาแล็กซีกงั หนั หมุน หมุนรอบตวั เองแบบ ทวนเขม็ นาฬิกา บริเวณใจกลางกาแล็กซีหมุนรอบแกนกลางเร็วกวา่ ขอบนอกและคล่ืนท่ีพากาแล็กซีท้งั ระบบเคลื่อนท่ีไปในอวกาศดว้ ยกนั ดวงอาทิตยพ์ าระบบสุริยะโคจรรอบศูนยก์ ลางกาแล็กซีทวนเข็ม นาฬิกาเคลื่อนที่ไปดว้ ยความเร็ว 274 กิโลเมตรต่อวินาที และโคจรรอบกาแล็กซีทางชา้ งเผอื กครบ 1 รอบ ในเวลา 200-250 ลา้ นปี เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 15 ภาพที่ 2.4 กาแลก็ ซีทางชา้ งเผอื กเม่ือมองดา้ นบน ระบบสุริยะอยหู่ ่างจากจุดกลาง 30,000 ปี แสง (ที่มา : สสวท.) ภาพที่ 2.5 กาแลก็ ซีทางชา้ งเผอื กเม่ือมองดา้ นขา้ ง ตรงกลางหนา 15,000 ปี แสง (ที่มา : สสวท.) 2.2.2 องค์ประกอบของกาแล็กซี องค์ประกอบของกาแล็กซีส่วนใหญ่เป็ นดาวฤกษ์ กระจุกดาว แก๊สและฝ่ ุนธุลี เรียก “สสารระหวา่ งดาว” มีองคป์ ระกอบของกาแลก็ ซีบางอยา่ งท่ีสามารถสงั เกตเห็นได้ ในการศึกษาดวงดาว บนทอ้ งฟ้ า เช่น เห็นดาวฤกษม์ ีความสวา่ งมากนอ้ ยแตกต่างกนั มีสีต่างกนั เห็นทางชา้ งเผอื ก ถา้ ใชก้ ลอ้ ง โทรทรรศน์ดูดาวฤกษแ์ ละทางชา้ งเผอื กจะเห็นดวงดาวเป็ นจุดสวา่ งเท่าปลายเขม็ อาจพบเห็นส่ิงสวยงาม สะดุดตา เช่น กระจุกดาว เนบิวลา ท้งั ในแนวและนอกแนวทางของทางชา้ งเผือก สิ่งท่ีเห็นไดน้ ้นั เป็ น องคป์ ระกอบของกาแลก็ ซีซ่ึงจะยกตวั อยา่ งท่ีสาคญั เช่น 1) กระจุกดาว กระจุกดาว คือ กลุ่มดาวฤกษต์ ้งั แต่จานวนเล็กนอ้ ยนบั สิบดวงถึงสิบลา้ นดวง ท่ีพบแลว้ มีประมาณ 1,000 กระจุก มีมากในบริเวณใกลจ้ ุดในกลางกาแล็กซีทางชา้ งเผอื ก ส่วนในกาแล็กซีอื่นๆ ส่วนกระจุกดาวทรงกลม เป็ นกลุ่มดาวฤกษจ์ านวนต้งั แต่ประมาณแสนดวงถึงสิบลา้ นดวง อยคู่ ่อนขา้ ง เป็ นทรงกลมในกาแล็กซีทางชา้ งเผอื กพบมากในบริเวณรอบๆ จุดศูนยก์ ลางของกาแล็กซี กระจุกดาว เปิ ด เช่น กระจุกดาวลูกไก่ มองดว้ ยตาเปล่าเห็นประมาณ 6 ดวง ถา้ มองดว้ ยกลอ้ งสองตาเห็น 14-15 ดวง เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 16 มองดว้ ยกลอ้ งโทรทรรศน์จะเห็นมากมาย นบั จานวนดาวฤกษไ์ ดไ้ ม่นอ้ ยกวา่ 2,362 ดวง และมีกระจุก ดาวอ่ืนๆ อีก ภาพท่ี 2.6 กระจุกดาว M13 ในกลุ่มดาวเฮอร์คิวริส (ท่ีมา:www.lesaproject.com) 2) สสารระหว่างดาว แมเ้ น้ือที่ส่วนใหญ่ในจกั รวาลน้นั ดูเหมือนจะเป็ นที่วา่ งเปล่ามากมาย หากเปรียบเทียบกบั โลก ของเรา แต่มนั หาไดเ้ ป็ นท่ีว่างเปล่าที่ปราศจากส่ิงใดท้งั สิ้นไม่ ท่ีจริงแลว้ ช่องวา่ งระหวา่ งดวงดาว ยงั มี มวลสารล่องลอยอยูอ่ ยา่ งเจือจาง อนั ประกอบดว้ ย ก๊าซ ซ่ึงส่วนใหญ่แลว้ ก็คือ ก๊าซไฮโดรเจน กบั ก๊าซ ฮีเลียมอีกเลก็ นอ้ ย และฝ่ นุ ผงละเอียดยบิ ที่มีขนาดประมาณ 100-1,000 นาโนเมตร (1 นาโนเมตร = 10-9 เมตร) ฝ่ นุ เหล่าน้ี บา้ งกป็ ระกอบดว้ ยคาร์บอน บา้ งก็เป็นสารจาพวก ซิลิเคต คือคลา้ ยๆกบั ทราย หรือบาง ทีก็มีน้าแขง็ หรือโมเลกลุ ต่างชนิด เกาะรวมตวั กนั อยผู่ สมกนั หลายๆอยา่ ง 3) เนบวิ ลา เนบิวลา คือ แถบหรือบริเวณเมฆของแก๊ส ฝ่ ุนธุลีของสสารระหวา่ งดาวในอวกาศ แพร่กระจายเห็นเป็ นแสงสว่างเรืองสวยงาม หรือจากการถ่ายภาพพบเป็ นแถบดาบงั แสงดาวฤกษห์ รือ วตั ถุอ่ืนท่ีมีอยู่ดา้ นหลงั ในอดีตไม่ทราบว่าแสงสวา่ งเรืองน้นั เป็ นอะไรแน่ จากการตรวจวดั พบว่า องคป์ ระกอบของเมฆแก๊สและฝ่ นุ ธุลีท่ีเห็นเป็ นเนบิวลาน้นั ส่วนใหญ่เป็ นไฮโดรเจน มีฮีเลียมประมาณ ร้อยละ 10 และมีสสารขนาดเลก็ อื่นๆ ปัจจุบนั พบเนบิวลาตา่ งๆ ดงั น้ี เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 17 ภาพท่ี 2.7 (ก) เนบิวลา รูปตาแมว ภาพที่ 2.8 (ข) เนบิวลา รูปนกอินทรีย์ (ท่ีมา: www.astro.umass.edu) 3.1) เนบิวลาสว่าง หรือเนบิวลาสะทอ้ นสวา่ ง เป็นเมฆของกลุ่มแก๊สและฝ่ ุนธุลีสะทอ้ น แสงสวา่ งออกมา เส้นสเปกตรัมของแสงที่เห็นสวา่ งน้นั เป็ นเส้นสเปกตรัมของดาวฤกษแ์ ผร่ ังสีสะทอ้ น เมฆแก๊สและฝ่ นุ ธุลีออกมา ภาพที่ 2.8 (ก) (ข) และ (ค) เนบิวลาสวา่ งใหญ่ (M42) ในกลุ่มดาวนายพราน (ท่ีมา: www.astro.umass.edu) 3.2) เนบิวลาเรืองแสง คือ เมฆของแก๊สและฝ่ นุ ธุลีระหวา่ งดาวท่ีเปล่งแสงสวา่ งของ ตวั เองมามีแสงส่องสวา่ งแพร่กระจายออกมาจากองคป์ ระกอบของแก๊ส เกิดการแตกตวั และเรืองแสงข้ึน โดยการกลบั มารวมกนั ของอิเลก็ ตรอนกบั โปรตอนรวมตวั กนั เป็นอะตอมของไฮโดรเจน 3.3 )เนบิวลามืด เป็ นกลุ่มเมฆของแก๊สและฝ่ นุ ธุลีเยน็ ระหวา่ งดาว มีฝ่ นุ ธุลีจานวนมาก และหนาทึบ กนั แสงหรือดูดกลืนแสงดวงดาวท่ีอยขู่ า้ งหลงั ทาใหม้ องไม่เห็นหรือเห็นเป็นสีดาในอวกาศ ตวั อยา่ งท่ีเห็นไดช้ ดั เจนไดแ้ ก่ เนบิวลามืดรูปหวั มา้ (B33) ในกลุ่มดาวนายพราน (Orion) เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 18 2.2.3 ชนิดของกาแลก็ ซี ชนิดของกาแล็กซีแบ่งตามรูปร่างลกั ษณะท่ีมองเห็นไดจ้ ากโลกแบง่ ไดเ้ ป็ น 4 กลุ่มดงั น้ี ภาพท่ี 2.9 ชนิดของกาแล็กซีแบ่งตามรูปร่างลกั ษณะท่ีมองเห็นไดจ้ ากโลก 1) กาแลก็ ซีแบบก้นหอยหรือรูปเกลยี ว Spiral ลกั ษณะแบบคลา้ ยจานสองใบประกบหากนั จะมีจุดกลางสว่าง แลว้ มีแขนโคง้ 2-3 แขน ลกั ษณะ หมุนวนรอบแกนกลาง กาแล็กซีทางชา้ งเผือก เป็ นกาแล็กซีแบบกงั หันหมุน เปรียบเสมือนจกั รของนกั กีฬา กาลงั หมุนและเคล่ือนไปในอวกาศ กาแล็กซีกงั หันหมุนมีท้งั แบบท่ีแกนกลางมีปลายโค้ง ซ่ึงพบว่า กาแล็กซีกงั หนั หมุนมีมากที่สุดประมาณร้อยละ 75 ของกาแล็กซีท้งั หมดท่ีศึกษาได้ กาแล็กซีที่เห็นได้ ดว้ ยตาเปล่าที่อยใู่ นกลุ่มดาวแอนโดรเมดา ช่ือกาแล็กซีแอนโดรเมดา เป็ นกาแล็กซีกงั หนั หมุนขนาด ใหญท่ ่ีอยใู่ กลโ้ ลกมากที่สุด คืออยหู่ ่างเพยี ง 2.25 ลา้ นปี แสงและมีขนาดใหญก่ วา่ กาแล็กซีทางชา้ งเผอื ก ภาพท่ี 2.10 กาแลกซีแอนโดรเมดา (M31) M31 (NGC224) หรือ กาแลกซีแอนโดรเมดร้า (Andromeda galaxy) เป็ นกาแลกซ่ี รูปเกลียว อยใู่ นกลุ่มดาวแอนโดรเมดา ตาแหน่ง RA 00:42.7 Dec +41.16 ความสวา่ ง 3.5 สามารถเห็น ไดด้ ว้ ยตาเปล่าในคืนฟ้ ามืดสนิท หรือดว้ ยกลอ้ งสองตา หรือกลอ้ งโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ประกอบดว้ ย ดาวฤกษ์ประมาณ 200 ล้านล้านดวง ฝ้ าขวาๆ ด้านล่างคือ M32(NGC221) และด้านบนคือ M110(NGC205) 2) กาแลกซีแบบกงั หนั มีแกน หรือรูปเกลยี วแขนยาว Barred Spiral เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 19 ลกั ษณะ มีแขนออกมาจาก แกนกลางก่อน แบ่งยอ่ ยออกเป็ น SBa SBb SBc โดย พิจารณาจากแขนที่ยาวออกมาจากแกนกลาง ดงั ภาพที่ 2.11 ภาพที่ 2.11 กาแลกซี NGC1365 NGC1365 เป็นกาแลกซี่เกรียวมีแขนแบบ SBb อยใู่ นกลุ่มดาวเตาอบ(Fornax) ตาแหน่ง RA. 03:33.6 Dec -36.08 ความสวา่ ง 9.5 3. กาแลก็ ซีรูปไข่ (Elliptical Galaxies) มีรูปร่างกลมเรียวเหมือนไข่เป็ ด ท่ีหวั ทา้ ยเรียวมีขนาดเท่ากนั ความจริงกาแล็กซีรูปไข่ จดั เป็ นหมวดหมู่ มีต้งั แต่วงกลม กลมรี และยาวรีแบบเม็ดขา้ วกล้อง คือมีดา้ นยาวมากกว่าดา้ นกวา้ ง เปรียบเสมือนจานเปลมองตรงไปท่ีกลางจานจะเห็นกลมรี ถา้ เอาจานเปล 2 ใบประกบกนั มองดา้ นขา้ ง แลว้ ยกข้ึนในระดบั สายตาจะเห็นยาวรีแบบเม็ดขา้ วสาร กาแล็กซีรูปไข่ มีประมาณร้อยละ 20 กาแล็กซี รูปไขม่ ีแกส๊ และฝ่ นุ ธุลีนอ้ ยแต่อดั แน่นดว้ ยดาวฤกษแ์ ละกระจุกดาว ภาพท่ี 2.12 กาแล็กซีรูปไข่(M 60) ภาพท่ี 2.13 กลุ่มเมฆแมคเจลแลนใหญ่ 4. กาแลก็ ซีไร้รูปทรง กาแล็กซีที่ไม่เหมือนกงั หนั หมุน หรือกลมรี โดยปกติมีขนาดเล็กกวา่ กาแล็กซีกงั หัน หมุน กาแล็กซีไร้รูปทรง ท่ีมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่าและอยู่ใกลโ้ ลกมากที่สุดเป็ นกาแล็กซีขนาดเล็กอยู่ ทางทอ้ งฟ้ าซีกใต้ ช่ือ เมฆแมกเจลแลนใหญ่ และเมฆแมกเจลแลนเล็ก ท้งั 2 กาแล็กซีเป็ นบริวารของ กาแล็กซีทางชา้ งเผอื ก ส่วนกาแล็กซีไร้รูปทรงมีประมาณร้อยละ 5 ของกาแลก็ ซีในเอกภพ M (เอม็ ) ยอ่ มาจาก เมสสิแอร์ (Messier) เป็นนกั ล่าดาวหางชาวฝรั่งเศส NGC (เอน็ จีซี) ยอ่ มาจาก The New General Catalogue เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 20 แบบฝึ กหดั ท้ายบทท่ี 2 1) เพราะเหตุใดนกั ดาราศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเห็นดว้ ยกบั ทฤษฎีบิกแบงท่ีใชอ้ ธิบายกาเนิดเอกภพ 2) ธาตุอะไรมีมากท่ีสุดในเอกภพ 3) เอกภพประกอบดว้ ยระบบอะไรบา้ ง 4) เอกภพเม่ืออายปุ ระมาณ 300,000 ปี มีธาตุอะไรเป็นองคป์ ระกอบสาคญั 5) กาแลก็ ซีคืออะไรและเคลื่อนท่ีอยา่ งไร 6) กาแล็กซีทางชา้ งเผอื กมีระยะจากขอบหน่ึงผา่ นจุดศูนยก์ ลางไปยงั อีกขอบหน่ึง ประมาณ 100,000 ปี แสง คิดเป็นระยะทางก่ีกิโลเมตร 7) ทางชา้ งเผอื กกบั กาแลก็ ซีทางชา้ งเผอื ก ตา่ งกนั อยา่ งไร 8) กาแลก็ ซีแมก็ เจลแลนใหญ่ แตกตา่ งจากกาแลก็ ซีแอนโดรเมดาอยา่ งไร เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 21 แนวตอบคาถามแบบฝึ กหัดท้ายบทที่ 2 1) นกั ดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ เห็นดว้ ยกบั ทฤษฎีบิกแบง เน่ืองจากเหตุผล 2 ขอ้ ดงั น้ี 1. ฮบั เบิล นกั ดาราศาสตร์ชาวอเมริกนั พบวา่ กาแล็กซีจะเคลื่อนที่ไกลออกไปดว้ ยความเร็วท่ี เพิ่มข้ึนตามระยะทาง ซ่ึงแสดงวา่ เอกภพมีการขยายตวั ตลอดเวลา 2. อาร์โน เพนเซียสและโรเบริต์ วิลสัน พบวา่ อุณหภูมิพ้ืนหลงั ของอวกาศมีค่าประมาณ 3 เคล วนิ ซ่ึงตรงกบั ขอ้ มูลทางทฤษฎีของโรเบิร์ต ดิกกีและคณะ โดยจอร์จ กามอฟ นกั ดาราศาสตร์รัสเซียผู้ เสนอเป็ นคนแรก 2) ธาตุไฮโดรเจน เพราะเป็ นธาตุท่ีเป็ นส่วนประกอบสาคญั ของดาวฤกษ์ทุกดวงและยงั เป็ นธาตุท่ีอยู่ ระหวา่ งดาวในรูปเนบิวลา (98 % ของธาตุในเอกภพเป็นไฮโดรเจน 75% และฮีเลียม 23% ) 3) เอกภพ ประกอบดว้ ย ระบบกาแล็กซีจานวนมากและที่วา่ งระหวา่ งกาแลก็ ซี ภายในกาแล็กซีแต่ละ แห่งประกอบดว้ ย ระบบดาว กระจุกดาว เนบิวลา ฝ่ นุ แก๊สและท่ีวา่ ง 4) มีธาตุไฮโดรเจนและธาตุฮีเลียมเป็นองคป์ ระกอบสาคญั 5) กาแล็กซี คือ ระบบของดาวฤกษ์ ที่มีเนบิวลาหรือกลุ่มแกส๊ และฝ่ นุ ละอองแทรกอยรู่ ะหวา่ งดาวฤกษ์ โดยดาวฤกษเ์ คลื่อนท่ีรอบหลุมดาที่มีมวลสารสูงยงิ่ ที่อยตู่ รงกลาง 6) ระยะทาง 1 ปี แสง เทา่ กบั ระยะที่แสงใชเ้ วลาในการเดินทาง 1 ปี แสงเดินทางดว้ ยอตั ราเร็ว 3 x 105 กิโลเมตร/วนิ าที หรือ 1 วนิ าทีแสงเดินทางได้ 3 x 105 กิโลเมตร ในเวลา 100,000 x 365 x 24 x 60 x 60 วนิ าที แสงเดินทางได้ = 365 x 24 x 60 x 60 x 3 x 1010 กิโลเมตร ดงั น้นั เส้นผา่ นศูนยก์ ลางของทางชา้ งเผอื ก เท่ากบั 1018 กิโลเมตร 7) ทางชา้ งเผอื กประกอบดว้ ยดาวฤกษ์ ที่เป็ นส่วนหน่ึงของกาแล็กซีทางชา้ งเผอื ก มีลกั ษณะเป็ นรอยฝ้ า ขาวพาดผ่านกลุ่มดาวนายพราน กลุ่มดาวววั กลุ่มดาวหงส์ ส่วนกาแล็กซีทางช้างเผือก ประกอบดว้ ย ระบบดาวฤกษ์ ในทางช้างเผือก รวมท้งั ระบบสุริยะและดาวฤกษ์ท่ีเราสังเกตไดแ้ ละสังเกตไม่ไดใ้ น ทิศทางอ่ืน 8) แตกตา่ งกนั ท่ีรูปทรงของกาแลก็ ซีแมก็ เจลแลนใหญ่ เป็ นกาแล็กซีแบบไร้รูปทรง ส่วนกาแลก็ ซีแอน โดรเมดาเป็นกาแลก็ ซีรูปกงั หนั เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่ www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 22 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 1. ดาราศาสตร์คือวชิ าที่ศึกษาเกี่ยวกบั อะไร ก. ดวงดาว ข. ดวงดาวตา่ งๆ และโลก ค. ระบบสุริยะ ง. ดวงดาว เนบิวลา และกาแลกซี 2. มนุษยส์ งั เกตลกั ษณะตาแหน่งและการโคจรของดาวบางดวงหรือบางกลุ่ม เพอ่ื ใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ น ใด ก. การคานวณหาฤกษย์ าม ข. ใชใ้ นการนาหรือบอกทิศทางการเดินทาง ค. ใชใ้ นการทานายฝัน ง. ถูกทุกขอ้ 3. 1 ปี แสง คือระยะทางท่ีแสงเดินทางในอวกาศเป็นเวลานาน 1 ปี คิดเป็นระยะทางเท่าใด ก. 9.5 × 106 กิโลเมตร ข. 9.5 × 107 กิโลเมตร ค. 9.5 × 1010 กิโลเมตร ง. 9.5 × 1012 กิโลเมตร 4. ปัจจุบนั ทฤษฎีท่ีไดร้ ับการยอมรับในการอธิบายการกาเนิดของเอกภพคือ ทฤษฎีขอ้ ใด ก. สภาวะคงที่ ข. การแกวง่ กวดั ของเอกภพ ค. การระเบิดคร้ังใหญ่ ง. กาลเวลา 5. คากล่าวในขอ้ ใดถูกตอ้ งที่สุด ก. เอกภพเกิดเมื่อประมาณ 15,000 ลา้ นปี มาแลว้ ข. ทฤษฎีสภาวะคงท่ีเป็นทฤษฎีท่ีใชอ้ ธิบายเอกภพไดเ้ ป็นอยา่ งดี ค. เอกภพประกอบดว้ ยกาแลกซีจานวนเป็นแสนลา้ นแห่ง ง. ขอ้ ก. และ ค. ถูก 6. อนุภาคพ้ืนฐานขณะเกิดบิกแบงคือขอ้ ใด ก. ควาร์ก อิเล็กตรอน นิวทริโน และโฟตอน ข. ควาร์ก อิเล็กตรอน นิวเคลียส และโปรตอน ค. ควาร์ก อิเลก็ ตรอน นิวตรอน และโปรตอน ง. ควอซาร์ อิเล็กตรอน นิวทริโน และโปรตอน 7. เม่ืออุณหภูมิของเอกภพลดลงเป็นร้อยลา้ นเคลวนิ มีผลใหโ้ ปรตอนและนิวตรอน รวมตวั เป็นขอ้ ใด ก. ไฮโดรเจน ข. นิวเคลียสของไฮโดรเจน ค. ฮีเลียม ง. นิวเคลียสของฮีเลียม 8. ดาวฤกษร์ ุ่นแรกๆ มีธาตุใดเป็นสารเบ้ืองตน้ ก. ออกซิเจนและไฮโดรเจน ข. ออกซิเจนและฮีเลียม ค. ไฮโดรเจนและฮีเลียม ง. ไฮโดรเจนและไนโตรเจน เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 23 9. หลกั ฐานท่ีสนบั สนุนทฤษฎีการระเบิดคร้ังใหญ่ คือขอ้ ใด ก. การขยายตวั ของกาลเวลา ข. การขยายตวั ของเอกภพ ค. อุณหภมู ิพ้ืนหลงั ของเอกภพ ง. ขอ้ ข และ ค ถูก 10. เอด็ วิน พี ฮบั เบิล ไดท้ าการศึกษาเกี่ยวกบั เอกภพในขอ้ ใด ก. การระเบิดคร้ังใหญ่ ข. การขยายตวั ของเอกภพ ค. อุณหภูมิพ้นื หลงั ของเอกภพ ง. ดาวฤกษแ์ ละเนบิลลา 11. ผทู้ ี่คน้ พบวา่ “ กาแลกซีจะเคล่ือนที่ไกลออกไปดว้ ยความเร็วที่เพมิ่ ข้ึนตามระยะห่าง ” คือขอ้ ใด ก. เฟรด ฮอยส์ ( Fred Hoyle ) ข. เลอแมทร์ ( Georges Lemaitre ) ค. โธมสั โกลด์ ( Thomas Gold ) ง. เอด็ วิน พี ฮบั เบิล ( Edwin Powell Hubble ) 12. ผทู้ ี่คน้ พบอุณหภูมิพ้ืนหลงั ของเอกภพ คือขอ้ ใด ก. อาร์โน เพนเซียส และโรเบิร์ต วลิ สนั ข. เอด็ วนิ พี ฮบั เบิล และโธมสั โกลด์ ค. เฟรด ฮอยด์ และฮานส์ อลั เฟน ง. เลอแมทร์ และอาร์โน เพนเซียส 13. อุณหภมู ิพ้ืนหลงั ของเอกภพ หมายถึงขอ้ ใด ก. อุณหภูมิที่อยไู่ กลถึงอนนั ตข์ องเอกภพ ข. อุณหภูมิของเอกภพในปัจจุบนั ค. อุณหภูมิของเอกภพในอดีต ง. อุณหภมู ิที่อยใู่ จกลางของเอกภพ 14. ผทู้ ่ีทานายวา่ การแผร่ ังสีจากบิกแบงท่ีเหลืออยใู่ นปัจจุบนั น่าจะตรวจสอบไดโ้ ดยใชก้ ลอ้ ง โทรทรรศว์ ทิ ยคุ ือขอ้ ใด ก. โรเบิร์ต ดิกกี และ เดวดิ วลิ คินสัน ข. โรเบิร์ต ดิกกี และ พี.จี.อี. พีเบิลส์ เดวดิ โรลล์ ค. โรเบิร์ต ดิกกี และ พี.จี.อี. พเี บิลส์ เดวดิ โรลลเ์ ดวิด วลิ คินสัน ง. อาร์โน เพนเซียส โรเบิร์ต วลิ สนั และ เดวดิ วลิ คินสัน 15. องคป์ ระกอบที่สาคญั ของกาแลกซี คือขอ้ ใด ก. ดาวเคราะห์ กาแลกซี ข. ดาวเคราะห์ เนบิลลา ค. ดาวฤกษ์ กาแลกซี ง. ดาวฤกษ์ และเนบิลลา 16. หลุมดา หมายถึงขอ้ ใด ก. บริเวณในอวกาศท่ีมีแรงโนม้ ถ่วงสูง ข. บริเวณท่ีไม่มีแสงสวา่ งเนื่องจากไมไ่ ดร้ ับแสงจากดวงอาทิตย์ ค. บริเวณท่ีเป็นหลุมเน่ืองจากการกระแทกของอุกกาบาต ง. ขอ้ ก และ ข ถูก 17. ระบบสุริยะอยใู่ นกาแลก็ ซีใด ก. แมกเจลแลนใหญ่ ข. แมกเจลแลนเล็ก ค. แอนโดรเมดา ง. ทางชา้ งเผอื ก เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 24 18. กาแลกซีในขอ้ ใดที่มองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่าภายในโลกของเรา ก. แอนโดรเมดา ข. แมกเจลแลนใหญ่ ค. แมกเจลแลนเล็ก ง. ถูกทุกขอ้ 19. ขอ้ ใดเป็นความหมายของ “ ทางชา้ งเผอื ก ” ไดถ้ ูกตอ้ ง ก. ดวงดาวตา่ งๆ ท่ีวางตวั ในแนวเดียวกนั ข. ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะท่ีอยใู่ นระนาบเดียวกนั ค. ดาวฤกษจ์ านวนมากที่อยใู่ นแนวเดียวกนั ง. ดาวฤกษแ์ ละดาวเคราะห์จานวนมากที่อยใู่ นทางเดียวกนั 20. เราสามารถมองเห็นทางชา้ งเผอื กในทิศทางของกลุ่มดาวในขอ้ ใด ก. ดาวแมงป่ อง ดาวคนยงิ ธนู ดาวอินทรี ดาวหงส์ ข. ดาวนายพราน ดาวววั ดาวแมงป่ อง ดาวอินทรี ค. ดาวสุนขั เล็ก ดาวลูกไก่ ดาวววั ดาวนายพราน ง. ดาวแมงป่ อง ดาวนายพราน ดาวคนยงิ ธนู ดาวหงส์ 21. ขอ้ ใดเป็นส่วนประกอบของกาแลกซีทางชา้ งเผอื ก ก. ดาวฤกษใ์ นทางชา้ งเผอื ก ดาวเคราะห์ต่างๆ ข. ระบบสุริยะและดาวฤกษ์ ค. ดาวฤกษใ์ นทางชา้ งเผอื ก ดาวฤกษบ์ นฟ้ า และระบบสุริยะ ง. ถูกทุกขอ้ 22. กาแลกซีทางชา้ งเผอื กมีรูปร่างเป็นกาแลกซีแบบใด ก. รูปไข่ ข. กงั หนั ค. กงั หนั บาร์ ง. ไร้รูปทรง 23. กาแลกซีแมกเจลแลนใหญ่และแมกเจลแลนเล็ก จะอยทู่ างขอบฟ้ าทางดา้ นทิศใดของโลก ก. เหนือ ข. ใต้ ค. ตะวนั ตก ง. ตะวนั ออก 24. ขอ้ ความใดอธิบายความหมายของกาแลกซีไดถ้ ูกตอ้ งที่สุด ก. เป็นกระจุกดาวคลา้ ยดาวแมงป่ อง ข. กลุ่มเมฆหมอกกอ้ นกลมมีลกั ษณะคลา้ ยจาน ค. เป็นแถบเรืองๆ สวา่ งขาวพาดไปบนทอ้ งฟ้ า ง. ระบบของกลุ่มดาวตา่ งๆ รวมท้งั โลก ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ และอุกกาบาต 25. ในเอกภพมีรังสีความร้อนกระจายอยทู่ ว่ั ไปอยา่ งค่อนขา้ งสม่าเสมอ รังสีความร้อนที่กระจายอยใู่ น เอกภพถูกคน้ พบโดยใคร ก. อาร์โน เพนเซียส ข. โรเบิร์ต วลิ สนั ค. เอด็ วนิ พี ฮบั เบิล ง. ขอ้ ก และ ข ถูก เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com

เอกสารประกอบการสอน ดาราศาสตร์และอวกาศ บทที่ 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 25 26. จากทฤษฎีการระเบิดคร้ังใหญ่อธิบายวา่ รังสีความร้อนท่ีกระจายอยใู่ นเอกภพมาจากอะไร ก. เป็นพลงั งานความร้อนท่ีดาวฤกษแ์ ผร่ ังสีออกมา ข. เป็นพลงั งานความร้อนท่ีดวงอาทิตยแ์ ผร่ ังสีออกมา ค. เป็นพลงั งานความร้อนท่ีไดม้ าจากการชนกนั ของดวงดาว ง. เป็นพลงั งานความร้อนท่ีเหลือจากการระเบิดคร้ังใหญ่ 27. ขอ้ ใดเป็นขอ้ ความท่ีถูกตอ้ ง ก. หลงั การระเบิดคร้ังใหญ่เพียง 10-6 วนิ าที อุณหภมู ิของเอกภพลดลงเป็น 1012 เคลวนิ ข. หลงั การระเบิดคร้ังใหญ่เพียง 3 วนิ าที อุณหภมู ิของเอกภพลดลงเป็น 106 เคลวนิ ค. พลงั งานท่ีหลงเหลืออยใู่ นอวกาศหลงั การระเบิดคร้ังใหญ่จะมีอุณหภมู ิประมาณ 3 เคลวนิ ง. ขอ้ ก และ ค ถูก 28. กาแลกซีแมกเจลแลนใหญ่ และกาแลกซีแมกเจลแลนเล็กมีลกั ษณะรูปร่างเป็นอยา่ งไร ก. เป็นแบบรูปวงรีหรือกน้ หอย ข. มีรูปร่างกลมคลา้ ยผลส้มตรงกลางป่ องออก ค. มีรูปร่างคลา้ ยจาน 2 ใบคว่าประกบกนั ง. มีรูปร่างไมแ่ น่นอนหรือไร้รูปทรง 29. กาแลกซีแอนโดรเมดา จะอยใู่ นทิศทางของกลุ่มดาวใด ก. ดาวมา้ บิน ข. ดาวคา้ งคาว ค. ดาวแอนโดรเมดา ง. ดาวแมงป่ อง 30. กลุ่มดาวแอนโดรเมดา จะอยรู่ ะหวา่ งกลุ่มดาวใด ก. ดาวมา้ บิน และดาวคา้ งคาว ข. ดาวมา้ บิน และดาวแมงป่ อง ค. ดาวคา้ งคาว และดาวแมงป่ อง ง. ดาวคา้ งคาว และดาวนายพราน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เฉลยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน บทท่ี 2 เอกภพและกาแลก็ ซี 1) ง. 2) ค. 3) ง. 4) ค. 5) ง. 6) ก. 7) ง. 8) ค. 9) ง. 10) ข. 11) ง. 12) ก. 13) ข. 14) ค. 15) ง. 16) ง. 17) ง. 18) ง. 19) ค. 20) ก. 21) ค. 22) ข. 23) ข. 24) ง. 25) ง. 26) ง. 27) ง. 28) ง. 29) ค. 30) ก. --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรียบเรียงและใชป้ ฏิบตั ิการสอนโดย ครูศกั ด์ิอนนั ต์ อนนั ตสุข เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ท่ี www.anantasook.com


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook