Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Literature Review 62

Literature Review 62

Published by saritchai, 2019-08-27 23:06:11

Description: AllLecture62

Search

Read the Text Version

แหลง่ ขอ้ มูลการคน้ หาวรรณกรรม 51  Scopus - http://www.scopus.com/  ฐานขอ้ มูลทางดา้ นวทิ ยาศาสตร ์เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร ์และอนื่ ๆ

52 แหลง่ สบื คน้ ขอ้ มูล ภายในประเทศที่ เกยี่ วขอ้ งกบั งานวจิ ยั

งานวจิ ยั ดา้ นบรหิ ารธรุ กจิ 53 สามารถสบื คน้ งานวจิ ัยไดต้ งั้ แตป่ ี 2548

งานวจิ ยั ดา้ นการบญั ชี 54 โดยตรง สามารถสบื คน้ งานวจิ ยั ได้ ตง้ั แตป่ ี 2548

งานวจิ ยั ดา้ นบรหิ ารธรุ กจิ และ 55 การบญั ชี ดา้ น บรหิ าร ธุรกจิ และ การบญั ชี สบื คน้ ได้ ตงั้ แตป่ ี 2548

งานวจิ ยั ดา้ นบรหิ ารธรุ กจิ และ 56 การบญั ช ีดา้ นสงั คมศาสตร์ (รวมถงึ การบญั ช)ี สบื คน้ ไดต้ ง้ั แตป่ ี 2546

งานวจิ ยั ดา้ นบรหิ ารธรุ กจิ และ 57 การบญั ชี เนน้ บทความวชิ าการดา้ น สงั คมศาสตร์ (รวมถงึ การ บญั ช)ี สบื คน้ ไดต้ ง้ั แตป่ ี 2549

งานวจิ ยั ดา้ นบรหิ ารธรุ กจิ และ ดา้ นสงั คมศาสตร์ (รวมถงึ การบญั ช)ี การบญั ชี58 งานวจิ ยั ดา้ นสงั คมศาสตร์ (รวมถงึ การบญั ช)ี สบื คน้ ไดต้ ง้ั แตป่ ี 2543

การโจรกรรมทางวชิ าการ (Plagiarism)

รปู แบบ Plagiarism รปู แบบตา่ ง ๆ ของ Plagiarism พอจะสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. Copy and Paste Plagiarism (การคดั ลอก-แปะ) คอื การ นําขอ้ ความจากตน้ ฉบบั มาใชโ้ ดยไมใ่ สเ่ ครอ่ื งหมายคาํ พดู และเขยี น อา้ งองิ 2. Word Switch Plagiarism (การเปลยี่ นคาํ ) คอื การนํา ขอ้ ความตน้ ฉบบั มาเปลย่ี นบางคาํ โดยไมใ่ สเ่ ครอื่ งหมายคาํ พดู และ เขยี นอา้ งองิ 3. Metaphor Plagiarism (การอปุ มา) คอื การนําคาํ อปุ มาของ ตน้ ฉบบั มาใช้ โดยไมไ่ ดอ้ ปุ มาเป็ นอยา่ งอน่ื โดยไมอ่ า้ งองิ 4. Style Plagiarism (สาํ นวน) นําขอ้ ความตน้ ฉบบั ผอู้ น่ื มาใช้ โดยเรยี งประโยคใหมอ่ นั แสดงถงึ รปู แบบสาํ นวนเดมิ

รปู แบบ Plagiarism รปู แบบตา่ ง ๆ ของ Plagiarism พอจะสรปุ ไดด้ งั น้ี 5. Idea Plagiarism (ความคดิ ) คอื การนําทฤษฎตี า่ งๆ มา วเิ คราะห์ หรอื วจิ ารณถ์ งึ ความรทู้ ว่ั ไป หากมผี อู้ นื่ วเิ คราะหด์ ว้ ยทฤษฎี แลว้ ตอ้ งอา้ งองิ หากไมอ่ า้ งองิ จะเป็ น Plagiarism อาจเลย่ี งไดโ้ ดย เขยี นดว้ ยทฤษฎอี น่ื 6. การกระทาํ อนื่ ๆ ทถ่ี อื เป็ น Plagiarism เชน่ การสง่ ผลงานชนิ้ เดยี วกนั ไปยงั สาํ นกั พมิ พ์ 2 แหง่ หรอื ลอกผลงานตวั เอง (Self Plagiarism) 7. การสง่ ผลงานทที่ าํ รว่ มกบั ผอู้ น่ื ไปเผยแพรโ่ ดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากผเู้ ขยี นรว่ ม การลอกการบา้ น การใชบ้ ทความจาก อนิ เทอรเ์ น็ตโดยไมอ่ า้ งองิ การนําคาํ กลา่ ว สนุ ทรพจน์ สถติ ิ ภาพ กราฟ ผอู้ นื่ ไปใชโ้ ดยไมอ่ า้ งองิ

เทคนคิ การหลกี เลยี่ ง Plagiarism เทคนคิ หลกี เลยี่ งการกระทาํ Plagiarism 1. คน้ ควา้ จากหลาย ๆ แหลง่ อา่ นใหเ้ ขา้ ใจถอ่ งแท้ และเขยี น ผลงานดว้ ยสาํ นวนตวั เอง 2. จดบนั ทกึ ยอ่ ทกุ ครง้ั ทอี่ า่ นขอ้ มลู และกาํ กบั แหลง่ อา้ งองิ ทกุ ครง้ั 3. เขยี นผลงานดว้ ยภาษาตนเองไมน่ ําคาํ ของคนอนื่ มาใช้ โดย ทง้ิ เวลาหลงั จากอา่ นขอ้ มลู ตา่ ง ๆ สกั พกั จงึ เขยี นงานตวั เองจะชว่ ยให้ สาํ นวนทเ่ี ขยี นเป็ นภาษาของเราเองอยา่ งแทจ้ รงิ 4. เขยี นโดยใชว้ ธิ ถี อดความ หรอื การสรปุ สาระสาํ คญั แทนการ คดั ลอก และเขยี นอา้ งองิ ใหถ้ กู ตอ้ ง 5. หากจาํ เป็ นตอ้ งนําขอ้ ความนนั้ มาอา้ งองิ ควรเขยี นอา้ งองิ ให้ ชดั เจน และใสเ่ ครอ่ื งหมายคาํ พดู ตรงขอ้ ความทคี่ ดั ลอก

63

64

65

66

67

68

สรปุ 69 การทบทวนวรรณกรรมตอ้ งเป็ นการใหค้ วามรู ้ เพอื่ ขยายหวั ขอ้ การวจิ ยั ปัญหาการวจิ ยั วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั การพฒั นาสมมตฐิ าน การวจิ ยั ตลอดจนระเบยี บวธิ วี จิ ยั และ วธิ ดี าํ เนินการวจิ ยั เพอื่ คน้ หาคาํ ตอบทตี่ อ้ งการ การทบทวนวรรณกรรมทดี่ คี วรใชภ้ าษาของ ผูว้ จิ ยั เองและควรแบง่ ประเด็นหวั ขอ้ ตา่ งๆ ให ้ ชดั เจนและเชอื่ มโยงเรอื่ งราวตา่ งๆ ใหเ้ ป็ นเนือ้ เดยี วกนั

เอกสารอา้ งองิ 70  การทบทวนวรรณกรรม, ดร.สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ ์  การทบทวนวรรณกรรมสาํ หรบั นักวจิ ยั , นพ.เฉวตสรร นามวาท  การทบทวนวรรณกรรมในการวจิ ยั , นิรมล เมอื งโสม  การทบทวนเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง, รศ.ดร.ดษุ ฎี โยเหลา  การวเิ คราะหอ์ ภมิ าน, นงลกั ษณ์ วริ ชั ชยั  คมู่ อื ปฏบิ ตั กิ ารทําวจิ ยั เบอื้ งตน้ สาํ หรบั การทาํ วจิ ยั  Suanders, M., Lewis, P. and Thornhill. Research methods for business students. Fifth edition.

การเขยี นอา งองิ ทางบรรณานกุ รม ตามหลักเกณฑ American Psychological Association Credit : หอ งสมดุ วทิ ยาลยั สหเวชศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา

รูปแบบการเขยี นรายการเอกสารอา งองิ หรอื บรรณานกุ รม เอกสารอา งองิ หรอื บรรณานกุ รมเปน การอางองิ สว นทายบทความ หรอื ทายเลม โดยผูเขยี นบทความจะตอ งรวบรวมรายการเอกสารทง้ั หมด ท่ไี ดใชอ า งองิ ในผลงานของตน เรียกวา รายการเอกสารอา งองิ (References List) หรอื บรรณานุกรม (Bibliography) ซ่ึงมีขอ แตกตางกันคอื

รายการเอกสารอา งองิ หรือ บรรณานกุ รม มขี อแตกตา งกนั คอื 1. เอกสารอา งองิ เปนการรวบรวมเฉพาะรายการเอกสารที่ถกู อา งไวใ นสว นเนอ้ื เรือ่ ง เทาน้นั ดงั นนั้ จํานวนรายการเอกสารทีอ่ า งองิ ในสว นทายเรอื่ งจึงตอ งมจี ํานวนเทากนั กบั ทีถ่ ูกอา งอิงไวใ นสว นเนือ้ เรื่อง 2. บรรณานกุ รม เปนการรวบรวมรายการเอกสารทใี่ ชอางองิ ในสว นเน้ือหาท้ังหมด รวมท้งั รายการเอกสารอนื่ ที่มไิ ดอ า งไวใ นสว นเนื้อเรื่องมารวบรวมไวก ไ็ ด หากเหน็ วา เอกสารนนั้ มคี วามเกย่ี วขอ งกบั เรือ่ งทีเ่ ขยี นและจะเปน ประโยชนแ กผ อู า น ดังน้นั จํานวนรายการเอกสารทอี่ างองิ ในสว นทา ยเร่ือง จึงอาจมีมากกวา จํานวนทีถ่ กู อา งอิงไวใ นสว นเน้ือเรอื่ ง

หลักการเลอื กรปู แบบการลงรายการ • 1. นักศึกษา ควรสอบถามจากผสู อนวา ตอ งการใหใ ชร ปู แบบใด แลวเลอื กใชแ บบทแ่ี นะนาํ นนั้ 2. หากผสู อนไมร ะบรุ ปู แบบใดรปู แบบหนง่ึ ใหเลอื กรปู แบบการลงรายการทางบรรณานกุ รม ทเี่ ปนสากล หรือนยิ มใชก นั ทวั่ ไป ซึง่ สามารถตดั สนิ ใจเลอื กโดยพิจารณาจากสาขาวชิ าท่ี ทา นสงั กดั อยแู ปน แนวทาง • 3. เลือกใชร ปู แบบของสถาบนั กาํ หนด (ถาม)ี ซึง่ สวนใหญศ กึ ษาไดจ าก คูมอื การลง รายการบรรณานกุ รมเอกสารวชิ าการเพ่ือการสาํ เรจ็ การศกึ ษา ไดแ ก วิทยานพิ นธ หรอื การ คนควาอสิ ระ ซึ่งมหาวทิ ยาลยั ตา งๆ ไดกําหนดรปู แบบการลงรายการทเ่ี ปนเอกลกั ษณ เฉพาะสถาบัน เชน มหาวิทยาลยั เชยี งใหม มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล จฬุ าลงกรณม หาวทิ ยาลยั ฯลฯ ทง้ั นี้ แตละสถาบนั ตา งประยกุ ตจ ากรปู แบบการลงรายการบรรณานกุ รมทเี่ ปน สากล

รปู แบบการอา งองิ ทางบรรณานกุ รรม • 1) APA (American Psychological Association) เปนรปู แบบการลงรายการทาง บรรณานุกรมท่เี ปนท่นี ยิ มใชใ นสาขาวชิ า จิตวิทยา การศกึ ษา และสาขาสงั คมศาสตรอน่ื ๆ 2) AMA (American Medical Association) เปนรปู แบบการลงรายการทาง บรรณานกุ รมท่เี ปน ท่ีนยิ มใชในสาขาวชิ าแพทยศาสตร สาธารณสุขศาสตร และ วิทยาศาสตร โดยเฉพาะทางชวี วิทยา • 3) Chicago เปนรปู แบบการลงรายการทางบรรณานกุ รมทเี่ ปนทน่ี ิยมใชใ นทกุ สาขาวชิ า นิยมใชในการลงรายการหนังสอื นติ ยสาร หนงั สอื พิมพ และเอกสารทอ่ี างองิ เปนเอกสารที่ ไมเปน วชิ าการมากนัก •

รูปแบบการอา งองิ ทางบรรณานกุ รรม • 4) MLA (Modern Language Association) หรือ เปน รปู แบบการลงรายการ ทางบรรณานกุ รมท่เี ปน ท่นี ยิ มใชในสาขาวชิ า วรรณกรรม ศลิ ป และสาขา มนุษยศาสตร • 5) Turabian เปนรปู แบบการลงรายการทางบรรณานกุ รมทีเ่ ปน ทน่ี ยิ มใชใน สาขาวชิ าท่ัวไปในระดบั วทิ ยาลยั /มหาวทิ ยาลัย 6) Vancouver เปนรูปแบบการลงรายการทางบรรณานุกรมท่ีนิยมใชใ นสาขา วิทยาศาสตรแ ละการแพทย

การเขียนอา งองิ ในเนื้อหาแบบนาม-ป (APA) 1. การเขยี นอา งองิ แบบแทรกในเน้อื หา (In-Text Citation) 2. การเขยี นอา งองิ แบบเชงิ อรรถ (Footnote Citation)

การเขยี นอา งองิ หนงั สอื ทัง้ เลม ใหเ ขียนระบชุ อื่ ผแู ตง และนามสกลุ ถา ผเู ขียนเปน ชาว ไทย ถาผแู ตง เปน ชาว ตา งประเทศ ใหร ะบนุ ามสกลุ (ชาวไทยถา เขยี นเปน ภาษาองั กฤษใหระบนุ ามสกลุ เชนกนั ) ตามดว ยเครอื่ งหมายจลุ ภาค (Comma) และปพ มิ พ ไวใ นเครอ่ื งหมายวงเล็บ (Parentheses) (ชื่อผแู ตง, ปพ ิมพ) (อมร รักษาสตั ย, 2544) (Poole, 2002) (ชนกภทั ร ผดงุ อรรถ, 2546) (Phadungath, 2003)

การอา งองิ เฉพาะขอ ความบางหนา ใหเ พม่ิ เครือ่ งหมายจุลภาค (Comma) ตอจากปพ มิ พ ตามดว ย ตวั อักษรยอของหนา คือ น. และของ page คอื p. ตามลาํ ดบั และตามดวยเลข หนา อยใู นเครอื่ งหมายวงเล็บ (ชนกภทั ร ผดุงอรรถ, 2546, น. 45) (จํารัส รกั ษาสตั ย, 2544, น. 39-48)

ตัวอยา งการอา งองิ ทา ยเนอื้ หา ยคุ ท่ีขา วสารไรพ รมแดนน้ี หนวยงานจะมภี ารกจิ ทกี่ วา งข้นึ มอี ปุ สงค จากหนวยงานที่ เกย่ี วขอ งสูงขึ้น สภาพแวดลอมของหนว ยงานมีการ เปลี่ยนแปลงและซบั ซอนมากขึ้น หนว ยงาน ตองปรบั ปรงุ กระบวน การทํางาน ประสานงานและบรหิ ารงานใหเกดิ ประสทิ ธภิ าพ รวดเรว็ และ คลอ งตวั รบั สถานการณตางๆ ได การใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทอยางย่ิง เพอ่ื ให หนว ยงานดําเนนิ งานไดอยางมปี ระสิทธิภาพ ทงั้ ในดา นบคุ ลากรท่ีจะทาํ งานจะตอ งมี ความรู ความสามารถในงานหลายดา น มคี วามรับผดิ ชอบ กลา แสดงความคิดเหน็ เนื่องจากการมสี วนรวม ในการตดั สินใจจะมีมากขน้ึ มใี จรักท่ีจะเรยี นรตู ลอดชวี ติ เปนผูมจี รยิ ธรรม คุณธรรม และรูจกั รบั ผดิ ชอบตอสงั คม. (สถาบันบณั ฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร, 2540, น. 2)

การเขยี นระบทุ ม่ี าของเนอื้ หาไวห นา ขอ ความทอี่ า งองิ 1) ในกรณชี อื่ ของผแู ตง ปรากฏในเนอื้ หา แลวใหร ะบปุ พ มิ พ ตามดว ยเครอื่ ง หมาย จุลภาค และคาํ ยอ ของหนา และเลขหนา ทอ่ี า งถงึ ในเครอื่ งหมายวงเลบ็ วราภรณ กจิ วิรยิ ะ (2543, น. 29) พบวาสารสกดั ในหนวดปลาหมกึ ในระดบั พษิ กงึ่ เรอื้ รงั มีความเปน พษิ ตอ เนอ้ื เยอ่ื นอ ยมาก... Gartner (1990) กลาววานกั วชิ าการแบง แนวทางศกึ ษาเกย่ี วกับความเปน ผูประกอบการ ออกเปน 2 กลุม ไดแก ...

การอางอิงแบบแทรกในเนอ้ื หาตามหลกั เกณฑA PA การอางองิ แบบแทรกในเนื้อหาตามหลกั เกณฑ APA (American Psychological Association) พัฒนามาจากนักสงั คมศาสตรแ ละนักพฤตกิ รรม ศาสตรม ากวา 80 ป เพื่อเปน มาตรฐานในการเขียนอยางเปน ระบบสาํ หรบั ภาค นิพนธก ารทาํ วจิ ัย รายงานการวจิ ัย การทบทวนวรรณกรรม บทความและกรณีศกึ ษา ซ่งึ เปนรูปแบบทีน่ ยิ มใชอยางแพรหลายในสาขาวชิ าสงั คมศาสตรและ จิตวทิ ยา กฎเกณฑก ารอางอิงนอ้ี อกแบบมาเพ่ือใหผ ใู ชม ีความชัดเจนในการลง รายการงานเขยี นทเี่ ปน รปู แบบเดียวกนั

การอา งองิ แบบแทรกในเนอื้ หาตามหลกั เกณฑA PA APA 6th edition มกี ารปรบั ปรงุ เนอื้ หาใหท นั สมยั เพ่ือรองรบั ความกา วหนา ทางเทคโนโลยี โดยไดเ พมิ่ แนวทางในการลงรายการ อางองิ สาํ หรบั ส่อื อเิ ลก็ ทรอนกิ สต า ง ๆ ขอ มูลเสรมิ และการอางอิงจากเว็บไซต โดยในบางสว นไดด ดั แปลงให เหมาะสมกบั การนาํ มาใชใ นการอางองิ เอกสารภาษาไทย ซ่งึ อาจมลี กั ษณะและ ขอ มูลบางอยางแตกตา งจากเอกสารในภาษาองั กฤษ

ในกรณงี านนพิ นธท ่นี าํ มาอา งองิ มผี ูแตงตงั้ แต 3 คนขึ้นไป การเขยี นอา งองิ ครัง้ แรกลง ขอมลู เตม็ รูปแบบ คือ ลงชือ่ ผูแตง ทุกคนคั่นดวยเครือ่ งหมายจุลภาค ตามดว ยคาํ วา และ หรอื and หรือ & แลวแตกรณแี ละตามดว ยปพมิ พ แตใ นการเขียนอา งอิงครัง้ ตอมา ใหลงขอ มลู ยอ คือ ชอ่ื ผูแ ตง 1 ตามดวย และ คณะ หรอื et al. คนั่ ดวยจุลภาคตามดวยปพ ิมพ

ในกรณงี านนพิ นธท ่นี าํ มาอางองิ มีผูแตงตงั้ แต 3 คนข้นึ ไป การอางอิงในเนอ้ื หาหนา ขอความคร้งั แรก ผแู ตง 3 คน กันยา สุวรรณแสง, กอบกวี ชน่ื รักสกุล, และดวงรัตน คูหเจริญ (2552) Russell, Richard, and Barnett (2004) ผแู ตง 4คน ทัศนา หาญพล, นวนติ ย เจยี รนยั , ประภสั สร พนู ผล, และภาณี อุบลศรี (2546) Covin, Green, Slevin, and Miles (2006)

ตวั อยางการเขียนรายการเอกสารอา งอิงแบบ APA citation style เครือ่ งหมาย / หมายถึงเวนระยะ 1 ตวั อกั ษร หากเปน ผแู ตงชาวตางประเทศ ใชชือ่ สกุล ตามดว ยอักษร ยอชอื่ ตน และชื่อกลาง โดยใชเ คร่อื งหมายตามตัวอยา ง สาํ หรับชื่อหนังสือภาษาอังกฤษใหใ ชต ัวใหญเ ฉพาะ อักษรตัวแรกของช่ือเรอื่ งและ ชื่อเร่ืองยอ ย ยกเวน กรณีชอ่ื เฉพาะ 1. หนังสือ ผูแตง 1 คน 1.1 รูปแบบ ชือ่ ผูแตง.//(ปท ี่พิมพ) .//ชือ่ หนังสอื /(ฉบับพิมพ).//สถานทีพ่ มิ พ: /ผูจัดพมิ พ. 1.2 ตวั อยา ง บูรชยั ศิริมหาสาคร. (2554). มมุ ทค่ี นไมม อง: มขุ บรหิ ารสกู ารเปนผนู าํ . กรงุ เทพมหานคร: แสงดาว. Rowley, J. E. (1993). Computer for libraries (3rd ed.). London: Library Association Publishing.

ตวั อยา งการเขยี นรายการเอกสารอางอิงแบบ APA citation style 2. หนงั สอื ผแู ตงหลายคน 2.1 รปู แบบ ช่ือผแู ตงคนท่ี 1,/ผูแตงคนที่ 2,/&/ผูแ ตงคนที่ 3.//(ปท ่พี มิ พ).//ชื่อหนงั สอื / ///////(ฉบับพิมพ).//สถานท่พี ิมพ:/ผจู ัดพิมพ. 2.2 ตวั อยา ง ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น, สมชาย หิรญั กติ ต,ิ และธนวรรธ ตัง้ สนิ ทรพั ยศริ ิ. (2550). การจดั การและพฤตกิ รรมองคก าร. กรุงเทพมหานคร: เพชรจรสั แสงแหง โลกธุรกิจ. Gomez-Mejia, L. R., Balkin, D. B., & Cardy, R. L. (2007). Management (3rd ed.). Boston: McGrawHill.

ตวั อยางการเขียนรายการเอกสารอางองิ แบบ APA citation style 3. หนงั สอื ทมี่ บี รรณาธิการรบั ผดิ ชอบ 3.1 รูปแบบที่ 1: ระบชุ อ่ื บรรณาธิการในสวนของผแู ตง (ตอ งการอา งองิ ท้งั เลม หรอื ผแู ตง และบรรณาธกิ ารเปนคนเดียวกนั ) ชื่อบรรณาธิการ,/(บรรณาธิการ).//(ปท พี่ มิ พ) .//ชอ่ื หนงั สอื /(ฉบบั พมิ พ).//สถานท่พี มิ พ: ///////ผูจ ดั พมิ พ. ตัวอยาง วฑิ รู ย สมิ ะโชคดี, และ กาญจนา หงษท อง, (บรรณาธกิ าร). (2550). TQM คมู อื พฒั นาองคก รสูความเปนเลิศ. กรุงเทพมหานคร: เนชน่ั บุค ส อินเตอรเ นชั่นแนล.

ตวั อยา งการเขยี นรายการเอกสารอา งองิ แบบ APA citation style 4. สารสนเทศทสี่ บื คน จากเวบ็ ไซตต า งๆ รูปแบบ (ชอ่ื เอกสารหรือสารสนเทศใชต ัวอกั ษรธรรมดา ไมเ ปนตวั เอน) ผแู ตง .//(ปท ่ีเผยแพร หรอื วนั เดอื น ปท ีเ่ ผยแพร หากมขี อ มลู ครบ กรณไี มป รากฏ ใหใ ช n.d. หรอื ม.ป.ป.).// ///////ชื่อเรอื่ งของเอกสารหรือสารสนเทศ.//สบื คนจาก (ระบุ URL) ตัวอยาง นลนิ ญานศริ ,ิ สรจักร เกษมสวุ รรณ, และ เปย มศักดิ์ เมนะเศวต. (2559). แหลง ทมี่ าของมลพิษทางทะเลในอา วไทย. สบื คน จาก http://www.healthcarethai.com/แหลงท่ีมาของมลพษิ ทางทะเลในอา วไทย Health Central Network. (2016). Heart attack symptoms and warning signs. Retrieved from http://www.healthcentral.com/heart-disease/patient-guide-44510-6.html

รายการอา งองิ ภาษาไทย พรพรรณ จนั ทรแดง. “ความตอ งการและการใชสารสนเทศของอาจารยและนิสติ มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา.” วารสารนเรศวรพะเยา 2, 3 (2552): 175-184. วลิ าวัณย พรพชั รพงศ. การใชท รัพยากรสารสนเทศเพ่ือประกอบการเรียนวิชาศึกษาท่ัวไป. วารสารมนุษยศาสตร และสงั คมศาสตร มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 28, 3 (2552): 131-136. ภาษาองั กฤษ American Psychological Association. Publication Manual of the American Psychological Association. 6th ed. Washington, D.C.: APA, 2010. International DOI Foundation. “The Digital Object Identifier System.” [Online]. Available: http://www.doi.org/ 2010. Retrieved January 6, 2011.

ลิขสิทธิ์ Copyright • ลขิ สทิ ธิ์ คอื ความคุมครองทมี่ ีใหแกเ จา ของผลงาน วรรณกรรม ศลิ ปกรรมทเ่ี กิดขึ้น จากความคิดสรางสรรค การใชสตปิ ญญา ความรคู วามสามารถ ซ่ึงถือวาเปน ทรัพยสนิ ทางปญ ญาประเภทหนึ่งที่มีคณุ คา ทางเศรษฐกิจ เจา ของลิขสทิ ธิจ์ ะมีสทิ ธแิ ต เพียงผเู ดยี วทจ่ี ะทําการใดๆ เกี่ยวกับงานลขิ สทิ ธ์ิของตนโยกฏหมายลิขสิทธ์ิไดให ความคุมครอง

ทรัพยากรสารสนเทศกบั งานอนั มลี ขิ สิทธิ์ • โดยทั่วไป ทรัพยากรสารสนเทศท่ีมใี หหองสมดุ จะเปนประเภทสอื่ ส่งิ พมิ พ สือ่ ไมตีพมิ พ สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส เปนตน ซ่งึ เปนงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ไดร บั ความคมุ ครองตามกฎหมาย ภายใต พระราชบญั ญตั ลิ ิขสิทธ์ิ พ.ศ.๒๕๓๗ เชน ภาพยนตร สง่ิ บนั ทึกเสียง งาน แพรเ สยี งแพรภาพ งานอ่นื ใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร หรือแผนกศลิ ปะ ของผสู รางสรรค • งานดดั แปลง งานทที่ ําขึน้ โดยการดัดแปลงงานของผอู น่ื โดยไดรบั อนุญาต ผูดดั แปลงเปนเจา ของลิขสิทธใ์ิ น งานดดั แปลงตราบเทาทไี่ มกระทบเทอื นตอ สทิ ธขิ องเจาของผลงานเดมิ

งานสรางสรรคโ ดยการรวบรวม • งานท่สี รางสรรคท่ีเกดิ ขนึ้ จากการรวบรวมผลงานของเจา ของผลงานโดยไดร บั อนญุ าต • งานท่ีนาํ เอาขอมูลหรือส่ิงอนื่ ใดทส่ี ามารถอานหรอื ถา ยทอดไดโ ดยอาศยั เครื่องกลหรอื อปุ กรณอน่ื ใดมารวบรมหรือประกอบเขา ดว ยกนั โดยไมไ ดล อกเลยี นงานของบคุ คลอนื่ แตท้ังนต้ี อ งไมก ระทบกระเทอื นตอ สทิ ธขิ องเจา ของผลงานเดมิ

งานในการควบคมุ ของหนว ยงานราชการ • งานท่สี รางสรรคข ้ึนโดยการจา งหรอื โดยคําสงั่ หรอื โดยการควบคมุ ของกระทรวง กรม หรือ หนว ยงานของรัฐ - ลิขสิทธใิ์ นวทิ ยานิพนธ / เอกสารและตํารา / บทความ / ผลงาน วิชาการ

ผลงานและการรบั รอง • ใหเ กยี รติแกแหลงทีม่ าและแสดงเคร่ืองหมายแจง ลิขสทิ ธ์ิ  และขอ มลู ความเปน เจา ของลขิ สิทธส์ิ ําหรับงานทนี่ าํ มาใชท้งั หมด รวมท้งั งานท่เี ตรียมตามแบบการใชอยา ง ถกู ตอ ง • ขอมูลความเปน เจา ของลิขสิทธ์ิ ประกอบดวย  (เครอื่ งหมายแสดงลิขสทิ ธ์ิ) ปของการพิมพครงั้ แรก ช่ือของผูถือครองลขิ สทิ ธิ์ • เชน  2001 ชอื่ บรษิ ทั /บคุ คล

การละเมดิ ลขิ สทิ ธม์ิ โี ทษตามกฎหมายอยา งไร ถาม การละเมิดลิขสทิ ธิม์ ีโทษตามกฎหมายอยางไร ตอบ การละเมิดลขิ สทิ ธ์มิ โี ทษทางอาญาทัง้ จําคุกและโทษปรบั แลว แตก รณี และเจาของ ลิขสทิ ธิ์ยังมีสทิ ธเิ รยี กรองคา เสยี หายในทางแพง ดวย โทษทางอาญา เชน การทําซํา้ ดดั แปลง หรือเผยแพรตอสาธารณชนโดยไมไ ดร ับอนญุ าต มีโทษปรบั ตั้งแตส องหมนื่ บาท ถงึ สองแสนบาท และหากทําเพื่อการคาตอ งระวางโทษจําคุกตั้งแต หกเดอื นถงึ สป่ี  หรอื ปรับต้ังแตห นงึ่ แสนบาทถงึ แปดแสนบาทหรอื ทง้ั จาํ ทงั้ ปรบั ที่มา : กรมทรพั ยส นิ ทางปญ ญา

พฤตกิ รรมการใชส ารสนเทศของนกั ศกึ ษา • คําถาม นกั ศกึ ษา สาขาวิชาวทิ ยาศาสตรส ุขภาพ วิทยาลัยสหเวชศาสตร มพี ฤติกรรมการใชสารสนเทศ เพือ่ การทาํ รายการ , เพือ่ การทาํ วจิ ัย , เพื่อใชส ารสนเทศเชงิ วิชาการ อยางไร • คาํ ตอบ................................. ?

พฤตกิ รรมการใชส ารสนเทศของนกั ศกึ ษา ออเจารูต วั หรือไมวา ออเจา กําลังทําตัวเปน “Plagiarism”

Plagiarism คือ อะไร • Plagiarism คือ การคัดลอกผลงานหรือขโมยความคิดของคนอื่นโดยไมอ างองิ ให ถูกตองตามหลักวชิ าการ หรอื เรียกวา “โจรกรรมทางวิชาการ” ดว ยความทันสมัยของเทคโนโลยีสารสนเทศท่ที าํ ใหเ ราอนิ เทอรเน็ตใช จงึ ทําใหทุกๆคน เขา ถงึ สารสนเทศ ไดงาย สะดวก รวดเร็ว มากกวา การเขาหอ งสมดุ คน ควา โดยนักเรยี น , นสิ ติ นกั ศึกษาสวนใหญ จะใชวธิ ีการ ตัด- แปะ (copy-paste) เพราะทาํ ไดง ายมากๆ เด็กนักเรียนบา นเราก็ชอบมาก โดยทจ่ี ะคน google หรอื ขอ มูลทไ่ี ดจ าก wikipedia เพ่ือทาํ การบานสงครู … นกั ศกึ ษาตัดแปะ ขอความจากบทความคนอืน่ มาใสใ นของตนซึง่ เรียกวาเปน “Cyber- Plagiarism”

“Plagiarism” ในการตีพิมพผลงานวิชาการ การกระทาํ ทีถ่ ือวาเปนความผดิ มี 3 รปู แบบ คอื • 1) Plagiarism คือ การคดั ลอกผลงานคนอน่ื • 2) Duplication คอื การพมิ พซ้ําผลงานของตนเอง • 3) Co-submission คอื ผลงานหลายคน แตม ีการอา งอิงช่ือผแู ตง แตกตา งกัน