Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore raphatrada

raphatrada

Published by raphatrada.man, 2019-02-12 23:57:23

Description: raphatrada

Search

Read the Text Version

วนั มาฆบชู า

ควายหมายวันมาฆบูชา วนั มาฆบชู า หมายถงึ การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคลาย วันท่พี ระพุทธเจา ทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข แกพ ระภิกษจุ ํานวน ๑,๒๕๐ รปู

ความสําคัญวนั มาฆบูชา วนั มาฆบูชา เปนวันข้นึ ๑๕ คํ่า เดือน ๓ มีเหตกุ ารณอ ัศจรรยท่ี พระ สงฆส าวกของพระพุทธเจาจาํ นวน ๑,๒๕๐ รปู มาเฝาพระพุทธเจา ณ วัด เวฬวุ ัน เมอื งราชคฤห แควน มคธ โดยมิไดนดั หมายกนั พระสงฆ ท้งั หมดเปน พระอรหันต ผไู ดอ ภิญญา ๖และเปน ผูที่ไดร บั การอุปสมบท โดยตรงจาก พระพุทธเจา ในวันนพ้ี ระพุทธเจา ไดทรงแสดงโอวาทปาติโมกข ในท่ี ประชุมสงฆเ หลานั้น ซึ่งเปนท้งั หลกั การอดุ มการณแ ละวธิ กี ารปฏบิ ัตทิ ่ี นําไป ใชไดทกุ สังคม มีเนื้อหา โดยสรปุ คอื ใหละความชั่วทกุ ชนดิ ทําความดี ใหถ ึง พรอ มและทาํ จติ ใจใหผอ งใส

ความเปนมาวนั มาฆบชู า ๑. สว นที่เกย่ี วกับพระพุทธเจา หลังจากพระพุทธเจา ตรัสรูไ ด ๙ เดอื นขณะนัน้ เมอ่ื เสรจ็ พุทธกจิ แสดงธรรมทีถ่ ้าํ สกุ ร ขาตาแลว เสด็จมาประทบั ท่ีวดั เวฬวุ นั เมืองราชคฤห แควน มคธ ประเทศอนิ เดยี ในปจ จบุ ัน วันนั้นตรงกบั วันเพญ็ เดอื น มาฆะหรือเดอื น ๓ในเวลาบายพระอรหนั ตส าวกของพระพุทธเจา มาประชุม พรอมกัน ณ ที่ประทบั ของพระพทุ ธเจา นบั เปนเหตอุ ศั จรรย ที่มีองคป ระกอบสําคญั ๔ ประการ เรยี กวาวา วนั จาตรุ งคสันนบิ าต คาํ วา \"จาตุรงคสนั นบิ าต\" แยกศพั ทไดด งั น้ี คอื \"จาตุร\" แปลวา ๔ \"องค\" แปลวา สวน \"สันนบิ าต\" แปลวา ประชมุ ฉะนนั้ จาตรุ งคสนั นิบาตจึงหมายความวา \"การประชมุ ดว ยองค ๔\" กลาวคอื มเี หตกุ ารณพ ิเศษที่เกิดข้ึนพรอ มกันในวนั น้ี คือ 1.เปน วนั ที่ พระสงฆส าวกของพระพทุ ธเจา จาํ นวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพรอ มกนั ทเ่ี วฬุวันวหิ ารในกรุงราชคฤห โดย มิไดนัดหมาย 2.พระภิกษุสงฆเ หลานี้ลวนเปน \"เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา\" คือเปนผทู ไ่ี ดรับการอปุ สมบทโดยตรงจากพระพุทธเจาท้ังสนิ้ 3.พระภิกษสุ งฆท กุ องคทีไ่ ดม าประชมุ ในคร้งั นี้ ลวนแตเ ปน ผุไ ดบ รรลุพระอรหันตแลว ทกุ ๆองค

ประวตั วิ นั มาฆบูชา มลู เหตวุ นั มาฆะบูชา หลังจากพระสัมมาสมั พุทธเจาไดต รสั รใู นวนั ขน้ึ 15 คํ่า เดอื น 6 และไดท รงประกาศพระศาสนาและสง พระอรหันตสาวก ออกไปจารกิ เพอ่ื เผยแพรพ ระพุทธศาสนายงั สถานท่ตี า ง ๆ ลวงแลวได 9 เดอื น ในวันท่ีใกลพระจนั ทรเ สวยมาฆฤกษ (วนั ขนึ้ 15 ค่าํ เดือน 3) พระอรหันตทั้งหลายเหลา น้นั ตา งไดร ะลึกวา วนั นเี้ ปน วันสาํ คัญของศาสนาพราหมณ อนั เปนศาสนา ของตนอยูเ ดมิ กอ นท่ีจะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพทุ ธเจา และในลัทธศิ าสนาเดมิ นั้นเมือ่ ถงึ วันเพญ็ เดอื นมาฆะ เหลา ผศู รทั ธาพราหมณลัทธินยิ มนับถือกันวา วันนเี้ ปนวันศวิ าราตรี โดยจะทาํ การบชู าพระศวิ ะดว ยการลอยบาปหรือลาง บาปดว ยนาํ้ แตมาบดั น้ีตนไดเ ลิกลัทธิเดมิ หนั มานับถือพระธรรมวนิ ัยของพระพุทธเจา แลว จงึ ควรเดนิ ทางไปเขาเฝาบชู า ฟงพระสัทธรรมจากพระพุทธเจา พระอรหันตเ หลานัน้ ซงึ่ เคยปฏบิ ัติศิวาราตรอี ยูเดมิ จงึ พรอ มใจกนั ไปเขา เฝา พระพุทธเจาโดยมิไดน ดั หมาย มผี กู ลาววา สาเหตุสาํ คญั ทีท่ ําใหพ ระสาวกทง้ั 1,250 องคม าประชุมพรอ มกันโดยมิไดน ดั หมาย มาจากในวนั เพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ เปนวนั พธิ ศี ิวาราตรี พระสาวกเหลา นน้ั ซึ่งเคยนบั ถอื ศาสนาพราหมณม ากอนจงึ ไดเ ปล่ียนจากการรวม ตัวกนั ทําพิธีชําระบาปตามพธิ พี ราหมณ มารวมกันเขา เฝา พระพุทธเจาแทน

โอวาทปาฏิโมกข หลักคําสอนสําคัญของพระพทุ ธศาสนา หรอื คําสอนอันเปน หัวใจของพระพุทธศาสนา ไดแ ก พระพทุ ธพจน ๓ คาถากงึ่ ทีพ่ ระพทุ ธเจา ตรสั แกพ ระอรหนั ต ๑,๒๕๐ รปู ผไู ปประชมุ กนั โดยมไิ ดน ัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพญ็ เดือน ๓ ทเ่ี ราเรยี กกันวา วนั มาฆบูชา (ถรรถ กถากลาววา พระพุทธเจา ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขน้ี แกทป่ี ระชมุ สงฆต ลอดมา เปนเวลา ๒๐ พรรษา กอ นทจี่ ะโปรดใหสวดปาฏโิ มกขอ ยา งปจ จบุ ันนีแ้ ทนตอมา), คาถาโอวาทปาฏโิ มกข มี ดงั นี้ (โอวาทปาติโมกข กเ็ ขียน)

สพพฺ ปาปสฺส อกรณกํ ุสลสสฺ ูปสมปฺ ทา สจิตตฺ ปริโยทปนเํ อตํ พทุ ธาน สาสนํฯ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีตกิ ขฺ า นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา น หิ ปพพฺ ชโิ ต ปรปู ฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วเิ หฐยนฺโตฯ อนูปวาโท อนปู ฆาโต ปาตโิ มกเฺ ข จ สวํ โร มตฺตฺ ุตา จ ภตตฺ สฺมึ ปนฺตฺจ สยนาสนํ อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พทุ ฺธาน สาสนฯํ แปล : การไมท ําความชัว่ ทงั้ ปวง ๑ การบาํ เพ็ญแตค วามดี ๑ การทาํ จติ ของตนใหผองใส ๑ นเ้ี ปนคําสอนของพระพุทธเจา ท้งั หลาย ขันติ คือความอดกล้ัน เปนตบะอยา งย่งิ , พระพทุ ธเจาทงั้ หลายกลา ววานพิ พาน เปน บรมธรรม, ผูท ํารา ยคนอ่นื ไมชอ่ื วาเปนบรรพชิต,ผูเบียดเบยี นคนอ่ืน ไมชอ่ื วา เปน สมณะการไมก ลา วรา ย ๑ การไมทาํ รา ย ๑ ความสํารวมใน ปาฏโิ มกข ๑ ความเปนผรู ูจ กั ประมาณในอาหาร ๑ ที่นัง่ นอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นเ้ี ปนคําสอนของ พระพุทธเจา ทงั้ หลายท่เี ขา ใจกนั โดยทวั่ ไป และจํากนั ไดมาก กค็ อื ความในคาถาแรกท่วี า ไมท ําชั่ว ทาํ แตค วามดี ทํา จติ ใจใหผองใส

สถานทสี่ ําคญั เน่อื งดวยวนั มาฆบูชา (พทุ ธสงั เวชนียสถาน) พระพุทธรปู ยืนกลางมณฑลมหาสงั ฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬวุ นั มหาวิหาร เมือง ราชคฤห รฐั พิหาร อินเดีย (เปนพระพทุ ธรปู สรา งใหม ปจจบุ ันเปน สถานท่จี ารกิ แสวงบญุ สาํ คญั ของชาวพทุ ธทว่ั โลก)เหตกุ ารณสําคญั ที่เกดิ ในวนั มาฆบชู า เกดิ ภายในบรเิ วณท่ีต้งั ของ \"กลมุ พทุ ธสถานโบราณวัดเวฬุวนั มหาวิหาร\" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวหิ าร ซ่ึงลานจาตรุ งคสนั นบิ าตอนั เปนจดุ ทเ่ี กิดเหตุการณส าํ คัญในวันมาฆบูชานน้ั ยงั คงเปนท่ี ถกเถยี งและหาขอสรปุ ทางโบราณคดไี มไ ดม าจนถึงปจ จุบนั

วดั เวฬุวันมหาวิหาร \"วดั เวฬวุ ันมหาวิหาร\" เปนอาราม (วดั ) แหง แรกในพระพทุ ธศาสนา ต้งั อยใู กลเชงิ เขาเวภารบรรพต บนริมฝง แมน้ําสรสั วดซี ่งึ มตี โปธาราม (บอ นาํ้ รอนโบราณ) ค่นั อยรู ะหวางกลาง นอกเขตกําแพงเมอื งเกา ราชคฤห (อดีตเมอื งหลวง ของแควน มคธ) รัฐพหิ าร ประเทศอนิ เดยี ในปจจบุ นั (หรือ แควน มคธ ชมพูทวปี ในสมัยพุทธกาล) วัดเวฬวุ ันในสมยั พุทธกาล เดมิ วัดเวฬุวนั เปนพระราชอทุ ยานสําหรบั เสด็จพระพาสของพระเจาพมิ พิสาร เปน สวนปา ไผรม ร่นื มรี วั้ รอบและ กําแพงเขาออก เวฬวุ ันมีอกี ชือ่ หนึง่ ปรากฏในพระสตู รวา \"พระวหิ ารเวฬุวนั กลนั ทกนิวาปสถาน\"หรอื \"เวฬุวันกลนั ทกนิ วาป\" (สวนปาไผสถานทสี่ าํ หรบั ใหเ หย่ือแกกระแต) พระเจา พมิ พิสารไดถวายพระราชอุทยานแหง นีเ้ ปนวัดในพระพุทธ ศาสนาหลังจากไดส ดบั พระธรรมเทศนาอนปุ ุพพิกถาและจตุรารยิ สัจจ ณ พระราชอุทยานลัฏฐวิ ัน (พระราชอทุ ยานสวน ตาลหนมุ ) โดยในครง้ั นน้ั พระองคไ ดบ รรลุพระโสดาบัน เปนพระอริยบุคคลในพระพทุ ธศาสนา และหลงั จากการถวาย กลนั ทกนวิ าปสถานไมน าน อารามแหงนก้ี ไ็ ดใชเ ปน สถานทสี่ ําหรับพระสงฆประชุมจาตรุ งคสนั นิบาตครงั้ ใหญในพระ พุทธศาสนา อนั เปน เหตกุ ารณส ําคญั ในวนั มาฆบูชา

วดั เวฬุวนั หลงั การปรนิ ิพพาน หลงั พระพุทธเจา เสดจ็ ปรินพิ พาน วัดเวฬุวนั ไดร บั การดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมลู คนั ธกฎุ ที ่ีมีพระสงฆเ ฝา ดูแลทาํ การปดกวาดเช็ดถปู ลู าดอาสนะและปฏบิ ตั ิตอสถานท่ี ๆ พระพทุ ธเจา เคยประทับอยูทกุ ๆ แหง เหมือนสมัยทพ่ี ระพุทธองค ทรงพระชนมชพี อยมู ิไดขาด โดยมีการปฏบิ ตั ิเชน น้ีติดตอกันกวาพันป แตจ ากเหตกุ ารณยา ยเมอื งหลวงแหงแควน มคธหลายครง้ั ในชว ง พ.ศ. 70 ทเี่ รม่ิ จากอํามาตยแ ละราษฎรพรอมใจกันถอด กษัตริยน าคทสั สกแหง ราชวงศของพระเจา พมิ พสิ ารออกจากพระราชบลั ลังก และยกสุสูนาคอาํ มาตยซง่ึ มีเชอื้ สายเจา ลจิ ฉวีในกรงุ เวสาลแี หงแควน วัชชเี กา ใหเ ปน กษัตริยต้งั ราชวงศใ หมแ ลว พระเจาสุสนู าคจึงไดท าํ การยา ยเมอื งหลวงของ แควน มคธไปยังเมอื งเวสาลีอันเปน เมืองเดมิ ของตน และกษัตริยพระองคต อ มาคือพระเจากาลาโศกราช ผูเปน พระราช โอรสของพระเจาสุสนู าค ไดย ายเมืองหลวงของแควน มคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทําใหเมืองราช คฤหถกู ลดความสาํ คญั ลงและถูกท้ิงรา ง ซึ่งเปน สาเหตสุ าํ คัญทที่ าํ ใหว ัดเวฬวุ นั ขาดผูอุปถัมภแ ละถกู ท้ิงรา งอยา งสนิ้ เชงิ ใน ชว งพนั ปถ ดั มา โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ท่ไี ดเ ขามาสืบศาสนาในพทุ ธภมู ใิ นชว งป พ.ศ. 942 - 947 ในชวงรชั สมัยของพระเจาจันทรคปุ ตท ่ี ๒ (พระเจาวิกรมาทิตย) แหงราชวงศค ุปตะ ซง่ึ ทา นไดบ นั ทกึ ไวว า เมืองราช คฤหอยูใ นสภาพปรักหกั พัง แตยงั ทันไดเหน็ มลู คันธกุฎวี ัดเวฬุวนั ปรากฏอยู และยงั คงมพี ระภกิ ษุหลายรูปชว ยกันดแู ล รักษาปดกวาดอยูเปนประจาํ แตไ มปรากฏวา มกี ารบันทกึ ถงึ สถานทเี่ กิดเหตุการณจ าตรุ งคสนั นิบาตแตประการใด

จุดแสวงบุญและสภาพของวดั เวฬุวันในปจจบุ ัน ปจจุบันหลังถกู ทอดทิง้ เปน เวลากวาพันป และไดร ับการบรู ณะโดยกองโบราณคดีอนิ เดยี ในชว งทอ่ี นิ เดยี ยงั เปน อาณานิคมของอังกฤษ วดั เวฬุวัน ยังคงมีเนนิ ดนิ โบราณสถานทีย่ ังไมไ ดข ดุ คนอีกมาก สถานที่สาํ คัญ ๆ ท่ีพทุ ธศาสนิกชน ในปจ จุบันนยิ มไปนมัสการคอื \"พระมูลคนั ธกุฎี\" ท่ปี จจุบนั ยังไมไ ดทาํ การขุดคน เนอ่ื งจากมีกุโบรของชาวมุสลมิ สรา งทับ ไวข างบนเนินดิน, \"สระกลันทกนวิ าป\" ซึง่ ปจ จบุ ันรฐั บาลอินเดยี ไดท ําการบรู ณะใหมอ ยางสวยงาม, และ \"ลาน จาตุรงคสันนิบาต\" อันเปนลานเลก็ ๆ มซี ุม ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปยนื ปางประทานพรอยกู ลางซุม ลานน้เี ปน จุดสําคญั ที่ ชาวพุทธนยิ มมาทาํ การเวยี นเทยี นสกั การะ (ลานนเ้ี ปน ลานที่กองโบราณคดอี ินเดยี สนั นษิ ฐานวา พระพทุ ธองคท รงแสดง โอวาทปาฏโิ มกขในจุดน้ี)

จดุ ท่เี กดิ เหตุการณส าํ คญั ในวันมาฆบชู า (ลาน จาตรุ งคสนั นิบาต)ถงึ แมวาเหตุการณจาตุรงคสันนบิ าตจะเปนเหตกุ ารณส าํ คญั ยง่ิ ทเ่ี กิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แตทวาไมปรากฏราย ละเอยี ดในบันทึกของสมณทตู ชาวจีนและในพระไตรปฎ กแตอยางใดวาเหตกุ ารณใหญนเี้ กดิ ข้ึน ณ จุดใดของวัดเวฬุวนั รวมทงั้ จากการขดุ คน ทางโบราณคดีก็ไมปรากฏหลักฐานวามีการทําเครอื่ งหมาย (เสาหนิ ) หรอื สถปู ระบุสถานที่ประชุม จาตรุ งคสนั นิบาตไวแตอยางใด (ตามปกตแิ ลว บรเิ วณท่เี กดิ เหตกุ ารณส ําคญั ทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถปู โบราณ หรือเสาหนิ พระเจาอโศกมหาราชสรา งหรือปก ไวเ พ่อื เปน เคร่อื งหมายสําคญั สําหรบั ผแู สวงบญุ ) ทําใหในปจ จุบนั ไม สามารถทราบโดยแนช ดั วาเหตุการณจ าตุรงคสันนบิ าตเกดิ ข้นึ ในจุดใดของวัด ในปจ จบุ ันกองโบราณคดอี ินเดียไดแ ตเ พียงสนั นิษฐานวา \"เหตกุ ารณดังกลา วเกดิ ในบรเิ วณลานดานทศิ ตะวันตกของ สระกลันทกนิวาป\" (โดยสนั นษิ ฐานเอาจากเอกสารหลกั ฐานวา เหตุการณดงั กลา วมีพระสงฆป ระชมุ กนั มากถงึ สองพันกวา รูป และเกดิ ในชว งที่พระพุทธองคพ ึ่งไดท รงรับถวายอารามแหง นี้ การประชุมครง้ั น้ันคงยงั ตองนัง่ ประชุมกนั ตามลานใน ปา ไผ เน่อื งจากเสนาสนะหรอื โรงธรรมสภาขนาดใหญยังคงไมไดสรา งขนึ้ และโดยเฉพาะอยา งย่ิงในปจจบุ ันลานดาน ทิศตะวนั ตกของสระกลันทกนิวาป เปน ลานกวางลานเดยี วในบริเวณวัดทไี่ มม โี บราณสถานอน่ื ตั้งอยู) โดยไดนาํ พระพุทธ รูปยืนปางประทานพรไปประดษิ ฐานไวบ รเิ วณซุมเลก็ ๆ กลางลาน และเรยี กวา \"ลานจาตรุ งคสันนิบาต\" ซงึ่ ในปจ จุบันก็ ยงั ไมม ีขอสรุปแนช ดั วา ลานจาตรุ งคสันนิบาตที่แทจรงิ อยูในจุดใด และยงั คงมชี าวพุทธบางกลมุ สรา งซมุ พระพทุ ธรูปไว ในบรเิ วณอนื่ ของวดั โดยเชือ่ วา จุดทตี่ นสรา งนน้ั เปนลานจาตุรงคสนั นิบาตท่แี ทจ รงิ แตพ ทุ ธศาสนิกชนชาวไทยสวนใหญ ก็เชอ่ื ตามขอ สนั นษิ ฐานของกองโบราณคดีอนิ เดยี ดังกลาว โดยนยิ มนับถอื กันวา ซมุ พระพุทธรูปกลางลานนเี้ ปน จดุ

กิจกรรมตา งๆ ที่ควรปฏิบัติในวนั มาฆบชู า การปฎิบตั ิตนสําหรบั พทุ ธศาสนาในวันนกี้ ค็ ือ การทาํ บญุ ตักบาตรในตอนเชา หรือไมก็จดั หาอาหารคาวหวานไป ทาํ บุญฟง เทศนท่วี ดั ตอนบา ยฟง พระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนําดอกไม ธูปเทียน ไปที่วดั เพอ่ื ชุมนุมกันทําพิธเี วยี นเทียน รอบพระอโุ บสถ พรอ มกบั พระภกิ ษสุ งฆโดยเจาอาวาสจะนําวา นะโม ๓ จบ จากนน้ั กลา วคํา ถวาย ดอกไมธูปเทยี น ทุกคนวา ตาม จบแลวเดิน เวยี นขวา ตลอดเวลาใหร ะลึกถึง พระพทุ ธคณุ พระธรรมคณุ พระ สังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แลว นาํ ดอกไม ธปู เทยี นไปปก บูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว เปนอันเสร็จพธิ ี

การถือปฏบิ ัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย พิธีวนั มาฆบชู าน้ี เดิมทีเดยี วในประเทศไทยไมเ คยทํามากอน พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา เจาอยูห ัวทรง อธิบายไววา เกิดข้ึนในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา เจา อยหู วั รัชกาลที่ ๔ แหงกรุงรตั นโกสนิ ทร โดยทรงถือตาม แบบของโบราณบัณฑิตทไี่ ดน ิยมกนั วา วนั มาฆะบรู ณมี พระจนั ทรเสวยฤกษมาฆะเต็มบรบิ รู ณเปนวันท่ีพระอรหันตส าวก ของ พระพุทธเจา ๑,๒๕๐ รปู ไดประชมุ กนั พรอมดวยองค ๔ ประการ เรียกวา จาตรุ งคสันนิบาตพระพุทธเจา ไดต รัสเทศนาโอวาทปาติโมกข ในท่ปี ระชุมสงฆเปน การ ประชุมใหญ และเปน การ อัศจรรยใ นพระพุทธศาสนา นกั ปราชญ จงึ ถือเอาเหตนุ น้ั ประกอบ การสักการบชู าพระพทุ ธเจา และพระอรหนั ตสาวก ๑,๒๕๐ รปู นน้ั ใหเปนท่ีต้ังแหง ความ เลอ่ื มใสการประกอบพิธมี าฆะบูชา ไดเรมิ่ ในพระบรมมหาราชวงั กอ น ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพธิ ีการพระราชกุศลในเวลาเชา พระสงฆ วดั บวรนเิ วศวิหารและ วัดราชประดิษฐ ๓๐ รปู ฉันในพระ อุโบสถ วัดพระศรรี ตั นศาสดาราม เวลาคา่ํ เสดจ็ ออกทรงจุด ธปู เทียนเคร่ือง มนสั การแลว พระสงฆสวดทาํ วัตรเย็นเสรจ็ แลว สวดมนตตอไปมี สวดคาถาโอวาทปาตโิ มกขด ว ยสวดมนต จบทรงจุดเทยี นรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เลม มกี ารประโคมอีกคร้งั หน่ึงแลว จงึ มีการเทศนา โอวาทปาติโมกข ๑ กัณฑเ ปนทัง้ เทศนาภาษาบาลแี ละ ภาษาไทย เคร่ืองกณั ฑ มจี วี รเนื้อดี ๑ ผืน เงนิ ๓ ตาํ ลงึ และขนมตาง ๆ เทศนาจบ พระสงฆ ซง่ึ สวดมนต ๓๐ รูป สวดรบั การประกอบพระราชกุศลเกยี่ วกบั วันมาฆบชู าในสมัยรัชกาลท่ี ๔ นั้น พระบาท สมเด็จพระจอมเกลา เจาอยูห ัว จะเสด็จออกประกอบพิธดี ว ยพระองคเ องทกุ ปมิไดข าด สมยั ตอ มามีการเวนบาง เชน รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลาเจาอยหู วั ไดเสด็จออกเองบาง มิได เสด็จออกเองบางเพราะมกั เปนเวลาท่ี

หลักธรรมท่ีควรนาํ ไปปฏบิ ตั ิ หลกั ธรรมที่ควรนาํ ไปปฏบิ ตั ิไดแก โอวาทปาตโิ มกข หมายถงึ หลกั คําสอนคาํ สําคัญของ พระพทุ ธศาสนาอันเปนไปเพอ่ื ปอ งกนั และแกป ญ หาตา ง ๆ ในชวี ติ เปน ไปเพื่อความหลุดพน หรอื คาํ สอน อันเปน หวั ใจพระพทุ ธศาสนา หลกั ธรรมประกอบดว ย หลกั การ ๓ อุดมการณ ๔ วิธีการ ๖ ดงั นี้

หลักการ ๓ ๑. การไมท ําบาปทงั้ ปวง ไดแ กการงดเวน การลด ละเลกิ ทาํ บาปทัง้ ปวง ซ่งึ ไดแ ก อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ทางแหงความช่ัว มี สบิ ประการ อนั เปน ความชว่ั ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชว่ั ทางกาย ไดแก การฆาสตั ว การลักทรัพย การประพฤติ ผิดในกาม ความชั่วทางวาจา ไดแก การพดู เท็จ การพูดสอ เสียด การพดู เพอเจอ ความชวั่ ทางใจ ไดแก การอยากไดส มบัติของผอู ืน่ การผกู พยาบาท และความเหน็ ผิดจากทํานองคลองธรรม ๒. การทํากศุ ลใหถงึ พรอ ม ไดแ ก การทําความดีทกุ อยา งซึง่ ไดแก กุศลกรรมบถ ๑๐ เปนแบบของการทาํ ฝา ยดมี ี ๑๐ อยา ง อันเปน ความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ ความดีทางกาย ไดแก การไมฆ าสตั ว ไมทาํ รายเบียดเบยี นผอู ่ืนมีแตช วยเหลอื เก้ือกูลกัน การไมถือเอาสงิ่ ของท่ี เจา ของเขาไมไดใ ห มาเปน ของตน มีความเอ้อื เฟอ เผือ่ แผ และการไมป ระพฤติผดิ ในกาม การทําความดที างวาจา ไดแก การไมพ ูดเท็จ ไมพ ูดสอ เสยี ด ไมพดู คาํ หยาบ และไมพดู เพอเจอพูดแตค ําจรงิ พดู คํา ออนหวานพูดคาํ ใหเ กิดความสามคั คีและพูดถกู กาลเทศะ การทําความดีทางใจ ไดแก การไมโลภอยากไดของของผอู น่ื มแี ตคดิ เสยี สละ การไมผกู อาฆาตพยาบาทมีแตคดิ เมตตาและ ปราถนาดแี ละมคี วามเห็นความรคู วามเขา ใจทีถ่ กู ตอง ตามทาํ นองคลองธรรม เชน เห็นวา ทําดไี ดดี ทาํ ชวั่ ได ช่วั

๓. การทาํ จติ ใหผอ งใส ไดแ ก การทาํ จติ ของตนใหผอ งใส ปราศจากนวรณซ ง่ึ เปนเคร่อื งขัดขวางจิตไมใ หเ ขาถงึ ความ สงบ มี ๕ ประการ ไดแก ๑. ความพอใจในกาม (กามฉนั ทะ) ๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท) ๓. ความหดหทู อ แท งว งเหงาหาวนอน (ถนี ะมทิ ธะ) ๔. ความฟุง ซาน รําคาญ (อุทธัจจะกกุ กจุ จะ) และ ๕. ความลงั เลสงสยั (วิกิจฉา) เชน สงสัยในการทาํ ความดคี วามชว่ั วามผี ลจริงหรือไม วิธกี ารทําจติ ใหป ฏบิ ตั สิ มถะ ผองใส ที่แทจรงิ เกดิ ข้ึนจากการละบาปท้งั ปวง ดวยการถอื ศืลและบําเพ็ญกุศล ใหถึงพรอมดวยการ และวิปสสนา จนได บรรลอุ รหัตผล อันเปน ความผองใสท่ีแทจริง

อุดมการณ ๔ ๑. ความอดทน ไดแ ก ความอดกลัน้ ไมท าํ บาปท้งั ทางกาย วาจา ใจ ๒. ความไมเบียดเบยี น ไดแก การงดเวนจากการทําราย รบกวน หรอื เบยี ดเบยี นผอู น่ื ๓. ความสงบ ไดแก ปฏบิ ตั ิตนใหสงบทง้ั ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๔. นิพพาน ไดแ ก การดบั ทุกข ซง่ึ เปนเปาหมายสูงสดุ ในพระพทุ ธศาสนาเกดิ ข้ึนไดจาการ ดาํ เนินชีวติ ตามมรรคมอี งค ๘

วิธีการ ๖ ๑. ไมว า รา ย ไดแก ไมก ลา วใหรา ยหรือ กลาวโจมตีใคร ๒. ไมท ํารา ย ไดแ ก ไมเ บยี ดเบยี นผูอน่ื ๓. สํารวมในปาติโมกข ไดแก ความเคารพระเบียบวินยั กฎกตกิ า กฎหมาย รวมทง้ั ขนบธรรมเนียมประเพณีอนั ดขี องสังคม ๔. รจู ักประมาณ ไดแ ก รูจกั ความพอดใี นการบรโิ ภคอาหารหรือการใชส อยส่ิงตาง ๆ ๕. อยใู นสถานท่ีทส่ี งัด ไดแ ก อยใู นสถานท่สี งบมีสิ่งแวดลอ มทีเ่ หมาะสม ๖. ฝกหดั จิตใจใหส งบ ไดแกฝก หัดชาํ ระจิตใหส งบมีสขุ ภาพคณุ ภาพและประสทิ ธิ ภาพที่ดี

ปฏทิ ินวนั มาฆบูชา -วนั มาฆบชู า พ.ศ.2552 ตรงกับ วันจันทรที่ 9 กมุ ภาพนั ธ พ.ศ.2552 / วนั จนั ทร ข้นึ ๑๕ คาํ่ เดือนสาม(๓) ปช วด -วนั มาฆบูชา พ.ศ.2553 ตรงกับ วันอาทิตยที่ 28 กมุ ภาพันธ พ.ศ.2553 / วนั อาทิตย ข้นึ ๑๕ คํ่า เดือนสี่(๔) ปฉ ลู -วันมาฆบชู า พ.ศ.2554 ตรงกับ วนั ศกุ รท ่ี 18 กมุ ภาพันธ พ.ศ.2554 / วนั ศกุ ร ข้นึ ๑๕ ค่ํา เดอื นสาม(๓) ปขาล -วันมาฆบชู า พ.ศ.2555 ตรงกบั วันพธุ ท่ี 7 มนี าคม พ.ศ.2555 / วันพธุ ข้ึน ๑๕ คา่ํ เดือนส่ี(๔) ปเ ถาะ -วนั มาฆบูชา พ.ศ.2556 ตรงกบั วันจนั ทรท่ี 25 กุมภาพันธ พ.ศ.2556 / วันจันทร ข้นึ ๑๕ ค่ํา เดอื นสาม(๓) ปม ะโรง -วนั มาฆบชู า พ.ศ.2557 ตรงกับ วันศกุ รท่ี 14 กุมภาพันธ พ.ศ.2557 / วันศุกร ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดือนสาม(๓) ปม ะเส็ง -วันมาฆบูชา พ.ศ.2558 ตรงกับ วนั พุธท่ี 4 มนี าคม พ.ศ.2558 / วันพธุ ข้ึน ๑๕ คํ่า เดอื นส่ี(๔) ปม ะเมยี -วันมาฆบูชา พ.ศ.2559 ตรงกบั วันจันทรที่ 22 กุมภาพันธ พ.ศ.2559 / วันจนั ทร ขนึ้ ๑๕ ค่ํา เดอื นสาม(๓) ปมะแม -วนั มาฆบูชา พ.ศ.2560 ตรงกบั วันเสารท ี่ 11 กมุ ภาพันธ พ.ศ.2560 / วนั เสาร ขึ้น ๑๕ คาํ่ เดอื นสาม(๓) ปวอก -วนั มาฆบชู า พ.ศ.2561 ตรงกบั วนั พฤหสั บดีท่ี 1 มนี าคม พ.ศ.2561 / วนั พฤหสั บดี ข้ึน ๑๕ คํ่า เดอื นสี่(๔) ประกา -วันมาฆบูชา พ.ศ.2562 ตรงกบั วันองั คารที่ 19 กมุ ภาพนั ธ พ.ศ.2562 / วันองั คาร ขน้ึ ๑๕ คํ่า เดือนสาม(๓) ปจอ

ช่อื นางสาวลภัสรดา หมั่นบรรจง ชน้ั ปวส.1/13 เลขท่ี 16


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook