ภาพวาดฝพี ระหัตถ์ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รีสนิ ทรมหาวชริ าลงกรณ มหศิ รภมู พิ ลราชวรางกรู กติ สิ ริ สิ มบรู ณอดลุ ยเดช สยามนิ ทราธเิ บศรราชวโรดม บรมนาถบพติ ร พระวชิรเกลา้ เจา้ อย่หู วั
คานา “เศรษฐกจิ พอเพยี ง\" เปน็ แนวพระราชดารใิ นพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ทพี่ ระราชทานมา นานกว่า ๓๐ ปี เปน็ แนวคดิ ทตี่ ั้งอยบู่ นรากฐานของวฒั นธรรมไทย เปน็ แนวทางการพฒั นาท่ตี งั้ บนพื้นฐานของ ทางสายกลาง และความไมป่ ระมาท คานงึ ถึงความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล การสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ใน ตวั เอง ตลอดจนใชค้ วามรแู้ ละคุณธรรม เปน็ พื้นฐานในการดารงชวี ติ ทีส่ าคญั จะตอ้ งมี “สติ ปญั ญา และความ เพยี ร” ซึง่ จะนาไปสู่ “ความสขุ ” ในการดาเนนิ ชวี ติ อยา่ งแทจ้ รงิ การนอ้ มนาศาสตรพ์ ระราชามาเป็นแนวทางใน การขบั เคลอ่ื นการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตตามปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและทฤษฎใี หมป่ ระยกุ ตส์ โู่ คก หนอง นา โมเดล เพอ่ื ใหเ้ กดิ กระบวนการเรยี นรู้ การมสี ว่ นรว่ ม การพึง่ พาตนเอง เพอ่ื ให้สามารถบรหิ ารจดั การตนเองและ ชุมชนใหม้ คี วามสขุ ไดอ้ ยา่ งย่งั ยนื หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวดั ชลบรุ ี ภายใต้การดแู ลของ กศน.อาเภอเมอื งชลบรุ ี และ สานกั งาน กศน.จงั หวดั ชลบรุ ี ได้จดั ทา E- book ในเร่ือง โคก หนอง นาโมเดล ขนึ้ โดยการวบรวมเอกสารจาก หนว่ ยงานตา่ งๆทีไ่ ดเ้ ผยแพรก่ ารทา โคก หนอง นาโมเดล โดยมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื เปน็ การสง่ เสรมิ การอา่ นและ สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจ เกยี่ วกบั โคก หนอง นา โมเดล ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั นโยบายและจดุ เนน้ การดาเนนิ งาน สานกั งาน กศน. ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ในงานการศกึ ษาตอ่ เนอ่ื ง การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ตาม หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งผา่ นกระบวนการเรยี นรู้ตลอดชีวติ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ใหก้ บั ประชาชน เพอ่ื เสรมิ สรา้ ง ภมู คิ มุ้ กนั สามารถยนื หยดั อย่ไู ดอ้ ยา่ งมน่ั คง และมกี ารบรหิ ารจดั การความเสย่ี งอย่างเหมาะสม ตามทศิ ทางการ พฒั นาประเทศสู่ความสมดลุ และยง่ั ยนื หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวดั ชลบรุ ี หวงั เปน็ อย่างย่งิ วา่ E-book เลม่ นจี้ ะใหค้ วามรกู้ บั ผอู้ ่านไม่ มากกน็ อ้ ย หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด หอ้ งสมุดประชาชนจังหวดั ชลบรุ ขี ออภยั มานะโอกาสน้ี หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวดั ชลบุรี
คณะทป่ี รกึ ษา ผอู้ านวยการ สานกั งาน กศน.จงั หวดั ชลบุรี นายอนชุ า พงษเ์ กษม รองผอู้ านวยการ สานักงาน กศน.จงั หวดั ชลบรุ ี นางสาวอไุ รรตั น์ ชนะบารงุ ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอเมอื งชลบรุ ี นายไพรัตน์ เนอ่ื งเกตุ ครชู านาญการพเิ ศษ กศน.อาเภอเมอื งชลบรุ ี นางสาวเอมอร แกว้ กลา่ ศรี คณะผจู้ ดั ทา บรรณารกั ษป์ ฏบิ ตั ิการ หอ้ งสมดุ ประชาชนจั งหวดั ชลบุรี บรรณารกั ษอ์ ตั ราจา้ ง หอ้ งสมดุ ประชาชนจั งหวดั ชลบุรี นายปณั ณวชิ ญ์ สขุ ทวี นายเสกสรรค์ พรมศกั ดิ์
การประยุกต์ใช้ โคก หนอง นา โมเดล เรยี บเรียงโดย ศูนยถ์ ่ายทอดเทคโนโลยกี ารสหกรณ์ที่ ๑๑ สานกั พฒั นาและถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์
ก คานา เน่ืองจากสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการทาการเกษตรเพื่อการพ่ึงพาตนเอง พัฒนาเศรษฐกิจในทอ้ งถน่ิ และชุมชนอยา่ งยั่งยืน ผ่านการดาเนินโครงการหรอื กิจกรรมต่างๆ เพอื่ สรา้ งงาน สร้างอาชีพ ให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น มีความมั่นคงทางอาหาร และการประกอบอาชีพ ด้วยการดาเนินตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง โดยน้อมนาศาสตร์พระราชาของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สู่การประยุกต์ใช้ท่ีดินตามศาสตร์พระราชา “โคก หนอง นา โมเดล” โดย นายวิวัฒน์ ศัลยกาธร ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง และ“อ.โก้” ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกันออกแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” เพ่ือให้เป็น การจัดการพื้นท่ีซึ่งเหมาะกับพ้ืนที่การเกษตร โดยผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่อยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพ้ืนที่นั้นๆ เป็นการที่ให้ธรรมชาติจัดการตัวมันเองโดยมี มนุษย์เป็นส่วนส่งเสริมให้สาเร็จเร็วขึ้นอย่างเป็นระบบ เกิดประโยชน์ในด้านการเกษตรด้วยหลักกสิกรรมธรรมชาติ อยา่ งย่ังยนื จากเหตุผลท่ีกล่าวมานั้น ทาให้เห็นความสาคัญของการทาการเกษตร ด้วยการนาแนวทาง “โคก หนอง นา โมเดล” ไปประยุกต์ใช้ กับผู้สนใจเปน็ แนวทางปฏบิ ตั อิ นั จะเปน็ ประโยชน์ต่อไป ศนู ยถ์ ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ที่ ๑๑ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก สานกั พฒั นาและถ่ายทอดเทคโนโลยกี ารสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สิงหาคม 2563
สารบญั ข เร่อื ง หนา้ คานา ก สารบญั ข บทนา ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ๑ ทฤษฏีบันได 9 ขนั้ สูค่ วามพอเพียง 2 โคก หนอง นา โมเดล 3-6 ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง , การปลกู ปา่ 7 ระดับ 7 หม่ ดิน แห้งชาม นา้ ชาม 8 ตวั แปรท่ีต้องนามาใชใ้ นการออกแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” 9 ขอ้ มลู เบ้ืองตน้ ของการออกแบบ 10 วธิ ีการออกแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” 11 การคานวณปริมาณนา้ 12 ตวั อยา่ งการออกแบบพนื้ ที่ทากิน 13-14 แบบจาลองการจดั การพืน้ ที่กสิกรรม 15-16 พน้ื ท่ตี น้ แบบสาหรับการดูงาน 17 บรรณานกุ รม 18
๑ บทนา การประยกุ ต์ใช้ทดี่ นิ ตามศาสตรพ์ ระราชา “โคก หนอง นา โมเดล” เริ่มต้นจาก “อ.ยักษ์” นายวิวัฒน์ ศัลยกาธร ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและมูลนิธิกสิกรรม ธรรมชาตมิ าบเอื้อง และ “อ.โก้” ผศ.พเิ ชฐ โสวทิ ยสกลุ คณบดคี ณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอม เกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกันออกแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” เพ่ือให้เป็น การจัดการพ้ืนท่ีซึ่งเหมาะกับ พื้นท่ีการเกษตร โดยผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่เข้ากับภูมิปัญญาพ้ืนบ้านที่อยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพื้นท่ี นั้นๆ เป็นการทใี่ หธ้ รรมชาตจิ ัดการตวั มนั เองโดยมี มนุษยเ์ ปน็ สว่ นสง่ เสริมใหม้ ันสาเร็จเร็วขนึ้ อยา่ งเปน็ ระบบ การนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใช้
๒ การพึง่ ตนเอง แบ่งปัน และยัง่ ยืน ร่วมกับทฤษฏีบันได 9 ข้ันสูค่ วามพอเพยี ง 1. เศรษฐกจิ พอเพียงขัน้ พน้ื ฐาน ด้วยการขุดหนอง ทาโคก ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง ทาการเกษตรแบบกสิกรรมธรรมชาติ 2. เศรษฐกิจพอเพยี งข้นั กา้ วหน้า ด้วยการสร้างสังคม ทาบุญ ทาทานก่อนการขาย 3. เศรษฐกจิ พอเพยี งขั้นยั่งยืน ดว้ ยการมเี ครือข่ายท่ีมาจากศรัทธาร่วม 5 ภาคี ไดแ้ ก่ รฐั , วชิ าการ, ประชาชน, เอกชน, ประชาสังคมและสอื่
๓ “โคก หนอง นา โมเดล” ศาสตร์พระราชา ด้านการจัดการดนิ น้า ป่า ตามแนวทางพระราชดารแิ ละปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง เป็น หลักคิดในการทางาน การจดั การออกแบบพื้นทเ่ี พ่ือทาการเกษตรอย่างยง่ั ยนื โดยเนน้ ที่แหล่งนา้ เพอ่ื ใช้ในการเกษตร มีการจดั การเพื่อให้เกิดสมดลุ ของระบบนิเวศ ตลอดจนใชพ้ ื้นท่ใี ห้เกดิ ประสทิ ธิภาพสงู สุด เป็นการออกแบบพื้นทเี่ พ่ือการจัดการน้าตามภมู สิ งั คม : ความแตกต่างของแต่ละพน้ื ที่ ท้งั ทางด้านภมู ิศาสตร์ สงิ่ แวดล้อม ชีวภาพ วถี ชี ีวติ ประเพณี ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม โดยยึดหลกั การสร้าง micro climate หรอื การ สรา้ งระบบนิเวศย่อยๆ ในพืน้ ท่สี ว่ นบคุ คล พืน้ ทีช่ มุ ชน พน้ื ที่สาธารณะ ตามความต้องการของบุคคลและชุมชนในพืน้ ท่ี ดว้ ยการร่วมมือลงแรง ลงแขก ลงขนั กลายเปน็ ความมน่ั คงของชมุ ชน เปน็ สังคมในอนาคต “โคกหนองนาโมเดล” เป็น “หลุมขนมครกเก็บกักน้า” เหมาะสาหรับสภาพพื้นที่ลุ่ม พ้ืนที่ท่ีจะออกแบบ จะเน้นการเก็บน้าเพื่อใช้สอยจากน้าฝนท่ีตกในพื้นที่เป็นหลัก และถ้ามีน้าจากระบบชลประทานหรือแหล่งน้า ตามธรรมชาติ (แม่น้า ลาคลอง) เป็นส่วนเสริม จะย่ิงทาให้พื้นที่มีหลักประกันด้านน้าใช้ ส่วนพ้ืนที่ที่ไม่มีส่วนเสริม ดังกล่าวการวางแผนเพ่ือบริหารการใช้น้าอย่างย่ังยืนจึงเป็นสิ่งท่ีต้องคานึงถึง โดย โคกหนองนาโมเดล จะแบ่งพื้นท่ี ออกเปน็ 3 ส่วนคอื โคก หนอง และ นา
๔ โคก เกดิ จากการนาดินทขี่ ุดเพอื่ ทาบอ่ นา้ หรือหนองน้ามาทาเป็นเนนิ สูงจนเปน็ โคก บนโคกใหป้ ลูกป่า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง โดยรากไม้ท่ปี ลกู จะสานกันหลายระดับ ทาหนา้ ทเ่ี ก็บกกั น้าไว้ในดนิ ควรปลกู แฝกร่วมด้วยเพื่อช่วย เกบ็ นา้ และป้องกนั การพังทลายของดิน รากไม้ต่างๆจะชว่ ย ปา่ 3 อยา่ ง (ไม้กิน ไม้ใชส้ อย ไม้สรา้ ง ซบั นา้ ไวแ้ บบ “หลุมขนมครกใตด้ นิ ” เม่ือตน้ ไมเ้ จริญเตบิ โต บ้านเรือน) โดยปลกู ให้มี 5 ระดบั (ไม้ ป่ามีความสมบรู ณ์ ปา่ บนโคกจะช่วยเกบ็ น้าไวใ้ ต้ดนิ สูง ไมก้ ลาง ไม้เต้ีย ไมเ้ รย่ี ดินและพืชหัว) มากหรือน้อยขน้ึ อยู่กบั ชนดิ ของดนิ ตาแหน่งของโคกควร ประโยชน์ 4 อยา่ ง (พอกิน พออยู่ อยูท่ างทิศตะวันตกเพ่ือช่วยบังแสงอาทติ ย์ยามบา่ ย บริเวณ พ้นื ที่ของโคกจะใชป้ ระโยชน์เปน็ ทีอ่ ยู่อาศยั ปลกู ผกั เลยี้ ง พอใช้และช่วยสรา้ งสมดุลระบบนิเวศ) สตั ว์และกิจกรรมอน่ื ๆ ของเกษตรกร หนอง เกิดจากการขุดบอ่ กักเกบ็ นา้ เพ่ือใช้ในการเพาะปลูก เลยี้ งสัตวน์ ้าหรือปลูกพืชนา้ เพือ่ ใชบ้ ริโภค ส่วนดิน ท่ขี ดุ หนองน้านาไปใช้ทาโคกได้ ตาแหน่งของหนองนา้ ควร อยู่ทางทิศที่ลมร้อนผ่านเพ่อื ใหล้ มเย็นลงก่อนพดั เข้าสบู่ า้ น หนองน้าควรขดุ ให้ขอบและพื้นหนองนา้ มีความคดโค้ง คลองไส้ไก่ (เป็นรอ่ งน้าเล็กๆ ขุดให้ เปน็ ร่องเปน็ แนว มีความลกึ หลายระดับและใหแ้ ดดส่องถงึ วนเวียนในพืน้ ที่ปลูกป่า/ปลูกพชื เพ่ือให้ปลาวางไข่ได้ดี มีการขุด “คลองไส้ไก”่ เพื่อช่วย คลา้ ยลาไสข้ องไก)่ กระจายนา้ ให้ทว่ั พ้ืนที่ เพม่ิ ความชุม่ ชืน้ ในดนิ สง่ ผลดตี อ่ การปลูกพืช สร้าง “ฝายชะลอน้า”และ”หลมุ ขนมครก” ฝายชะลอนา้ (เปน็ คันกั้นนา้ ทาจากดนิ เพ่ือรบั นา้ และชะลอน้าที่ไหลมา ดักตะกอนให้ไหลลง หรอื วัสดุจากธรรมชาติ ติดตัง้ ทห่ี ลมุ หนองน้านอ้ ยลง ชะลอการสูญเสียแร่ธาตุและเปน็ การ ขนมครก) เพ่ิมแหลง่ กักเกบ็ น้าในพื้นที่ ปริมาณนา้ ทเ่ี ก็บในหนองต้อง หลมุ ขนมครก (เปน็ แอง่ รวมน้าเลก็ ๆ คานวณให้เพียงพอต่อการใชง้ านในพ้นื ที่และมนี ้าเหลอื ใช้ รับนา้ จากคลองไส้ไก่) ในหนา้ แล้งหรือฝนทงิ้ ช่วง บริเวณพ้นื ทีข่ องหนองจะใช้ ประโยชนเ์ ป็น แกม้ ลิงเก็บน้าในหน้าฝนและแหล่งนา้ สาหรับ อุปโภคบรโิ ภคในหนา้ แลง้ ฝายชะลอนา้ : ภาพจาก oknation.nationtv.tv
๕ คลองไสไ้ ก่ : ภาพจาก Arif.farm การขุดหลมุ ขนมครกและคลองไส้ไก่ : ภาพจาก Rabbit Daily
๖ นา ควรยกหัวคันนาให้สูงอย่างน้อย 1 เมตร เพ่ือเพิ่มพ้ืนที่เก็บน้าไว้ในนาให้เท่ากับความสูงของคันนาและป้ันคันนา กว้างๆ เพือ่ ปลกู ไม้ผล ไม้สมนุ ไพรและพชื ผักสวนครวั ท่ีสามารถเกบ็ กินและขายสรา้ งรายได้ ในทกุ ๆ วัน จงึ ถูกเรยี กเป็น “หัวคนั นาทองคา” และควรปลกู แฝกเพอ่ื ป้องกนั การพังทลายของคนั นา คนั นาถูกใช้เป็นเครือ่ งมือปรับระดับนา้ เข้านา ตามความสูงของต้นข้าว และยังสามารถใช้น้าเพ่ือควบคุมวัชพืชและแมลงตามภูมิปัญญาท้องถ่ิน โดยปริมาณน้าฝน ส่วนหน่ึงจะซึมลงดินเก็บเป็นน้าใต้ดินช่วยสร้างความชุ่มช้ืนให้แก่ระบบนิเวศในดินต่อไป บริเวณพื้นที่ของนาจะใช้ ประโยชน์เป็น ที่ปลูกข้าว เลี้ยงปลาสาหรับกาจัดศัตรูของข้าวและเป็นอาหาร และปลูกพืชหมุนเวียนอ่ืนๆ ของ เกษตรกร หวั คนั นาทองคา : ภาพจาก facebook มลู นิธิกสกิ รรมธรรมชาติ ภาพตดั หวั คนั นาทองคา : ภาพจาก ข่าวนอกคอก http://outcaststyle.com
7 ป่า ๓ อยา่ ง ประโยชน์ ๔ อย่าง เป็นแนวทางการอนุรักษ์และฟืน้ ฟูทรพั ยากรปา่ ไมท้ ่เี กื้อกลู ตอ่ ความต้องการด้านเศรษฐกิจและสงั คม สามารถปลูกได้ ทกุ ส่วนของพนื้ ที่ ๑. ประโยชนพ์ ออยู่ -การปลกู ไม้เนื้อแข็งอายุยนื เพอ่ื ใชส้ รา้ งทพ่ี กั อาศัยและเครื่องเรือนรวมท้ังยังสามารถรักษาไว้เปน็ ทรัพย์สนิ ในอนาคตได้ ไม้ในกลมุ่ นไ้ี ดแ้ ก่ ตะเคียนทอง ยางนา แดง สกั พะยูง ฯลฯ ๒.ประโยชนพ์ อกิน -การปลกู ต้นไมท้ ่ีใช้เป็นอาหารหรือใช้เปน็ สมนุ ไพรได้ เชน่ แค มะรมุ สะตอ ผักหวาน กลว้ ย ฯลฯ ๓. ประโยชนพ์ อใช้ -การปลูกพืชโตเร็วเพ่อื นามาใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวนั เช่น เผาถ่าน ทาหัตถกรรม ปอ้ งกนั ลม ไม้ในกลมุ่ นไี้ ด้แก่ ไผ่ กระถนิ เทพ หวาย มะคาดีควาย ฯลฯ ๔. ประโยชน์พอร่มเยน็ – การปลกู ปา่ เพ่ือประโยชน์ทัง้ สามอย่างจะนาไปสู่ความรม่ เย็นและระบบนเิ วศน์ท่อี ุดม สมบูรณม์ ากขนึ้ การปลูกปา่ 7 ระดับ เปน็ แนวทางการปลูกพชื อยา่ งผสมผสานเพือ่ ให้เกดิ ความหลากหลายทางชวี ภาพรวมถงึ ประโยชนส์ ูงสุดจากการใช้ พน้ื ทีแ่ ละแสงอาทติ ย์ ๑. ไม้สงู - ไม้ลาตน้ สูงใหญ่และอายุยืน เช่น ยางนา ตะเคยี น พะยงู เป็นตน้ ๒. ไมก้ ลาง - ไม้ลาตน้ ไม่สูงนัก ไมผ้ ล เชน่ มะมว่ ง ขนนุ มังคุด กระท้อน ไผ่ เปน็ ตน้ ๓. ไม้เต้ีย – ต้นไม้ทรงพุม่ เช่น มะนาว มะกรูด มะละกอ มะเขือพวง กล้วย เปน็ ต้น ๔. ไมท้ รงพุ่ม – พืชผกั สวนครัว เชน่ พรกิ มะเขือ กระเพรา ผักหวานบ้าน ตะไคร้ เหรียง เป็นต้น ๕. ไมเ้ ลอ้ื ยเกาะเก่ยี ว - พชื จาพวก พริกไท ตาลงึ มะระ ถว่ั ฝักยาว บวบ รางจืด เป็นต้น 6. ไมห้ วั ใต้ดนิ - พืชจาพวก ขิง ข่า มนั บุก เป็นตน้ 7. ไม้นา้ – พชื จาพวก ผักกะเฉด ผักบุง้ บา้ น บวั กระจบั สาหร่ายนา้ เปน็ ตน้
8 ควรปลูกแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน ช่วยดักตะกอนและช่วยเก็บความชุ่มชื้นของใต้ดิน และควรปลูกพืช ตระกูลถ่ัวท่ีใบร่วงมาก เช่น จามจุรีและทองหลาง เป็นต้น รอบหนองน้าเพ่ือตรึงไนโตรเจนลงดิน ใบไม้ท่ีร่วงลงพ้ืนจะ ช่วยควบคุมวัชพืชและคลุมหน้าดินให้มีความช่มุ ช้นื ส่วนใบไม้ที่ร่วงลงน้าจะช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุและจุลินทรยี ์ ให้กบั นา้ ที่จะนามาใช้เล้ยี งพืช การดักตะกอนของแฝก : ภาพจาก http://www.sudyord.com/ “ห่มดิน” เป็นการนาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรต่างๆ เช่น ฟางข้าว ใบไม้ เป็นต้น มาปิดที่ผิวหน้าของดิน เพื่อให้ ดินไม่ถูกแสงแดดและรังสีความร้อนในเวลากลางวัน ลดความสูญเสียน้าให้แก่พืช ดินจะสามารถเก็บความชื้นจากน้า น้าฝนหรือน้าค้างไวใ้ นดินได้นานขึ้น ดินจะมีความนุ่มไม่แข็งกระด้าง รากพืชสามารถแตกแขนงหาอาหารไดด้ ี พืชและ สัตว์ขนาดเลก็ ที่มปี ระโยชน์ต่อพชื เช่น ไส้เดือน จุลินทรยี ์ต่างๆ เปน็ ต้น สามารถเจรญิ เตบิ โตในดินได้ นอกจากน้วี ัสดุท่ี นามา “ห่มดนิ ” จะปอ้ งกันวัชพชื ไม่ใหเ้ ติบโตมารบกวนพชื ทปี่ ลูก “แหง้ ชาม นา้ ชาม” เป็นการใสป่ ยุ๋ ท่ีเรียกวา่ ใส่ “แห้งชาม” ใชป้ ุ๋ยอินทรยี ์ มาโรยบริเวณโคนต้นพชื เพือ่ ใหพ้ ชื ได้รับ สารอาหารเพ่ิม ส่วนท่ีเรียกว่าใส่ “น้าชาม” เป็นการใส่ปุ๋ยน้าหมัก ผสมน้าตามอัตราส่วน 1:500 ใช้ราดบริเวณโคน ตน้ พชื หลังจากใส่ปยุ๋ แลว้ กต็ ามมาด้วยการหม่ ดนิ เพ่ือลดการสูญเสยี ของปุ๋ยจากแรงลม แรงน้า จากการชะลา้ ง การหม่ ดินและแหง้ ชาม-นา้ ชาม : ภาพจากเว็บไซด์ ศนู ยภ์ ูมิรักษ์ธรรมชาติ
9 ตวั แปร ทตี่ ้องนามาใช้ในการออกแบบ “โคกหนองนาโมเดล” มี 5 ประการคือ 1. ทศิ ควรสารวจทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวนั ตกและทิศทางการขึน้ ของพระอาทิตย์ในฤดตู ่างๆ ในพื้นท่ีน้ันๆ 2. ลม ควรพิจารณาลมตามฤดแู ละลมประจาถนิ่ อย่างฤดฝู นและฤดูร้อนลมจะพดั มาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ฤดู หนาว(ลมหนาวหรอื ลมขา้ วเบา) ลมจะพัดมาจากทิศตะวันออกเฉยี งเหนอื ควรวางตาแหน่งบ้านเรือนและลานตากข้าว ไมใ่ ห้ขวางทิศทางลม และออกแบบบ้านให้มีช่องรับลมตามทศิ ในแต่ฤดกู าล เพ่อื ให้บา้ นเย็นอยู่สบายและลดการใช้ พลังงานในบ้าน 3. ดนิ พจิ ารณาลักษณะของดนิ การอมุ้ น้าของดนิ เพื่อวางแผนการขดุ หนองนา้ และการปรับปรงุ ดนิ ทเี่ หมาะสม ใช้ การฟน้ื ฟูดินดว้ ยการห่มด้วยฟาง ใบไมห้ รือหญา้ ทเี่ รยี กว่า “ไมป่ อกเปลือกเปลอื ยดิน” แล้วเตมิ ปยุ๋ ใหเ้ หมาะสมกับ คุณลกั ษณะของดิน เน้นการใชป้ ยุ๋ อินทรยี ์ทง้ั ชนิดแหง้ และชนดิ น้าแบบทเ่ี รยี กว่า “แหง้ ชามนา้ ชาม” โดยนาฟางวางบน ดนิ สลับดว้ ยปยุ๋ หมักแล้วตามด้วยการราดปยุ๋ น้าจลุ นิ ทรยี ์ ด้วยวธิ ีการ “ห่มดิน” จะช่วยลดการระเหยของน้าบนผวิ ดนิ ช่วยใหส้ ่งิ มีชวี ติ ผวิ ดินและในดินเพม่ิ จานวนได้มากข้ึน ทาให้จุลินทรยี ์ย่อยสลายอนิ ทรียวตั ถไุ ด้ดีข้นึ ปดิ กนั้ ไมใ่ ห้วชั พืช ไดร้ ับแสงแดด ดว้ ยวิธกี ารหม่ ดนิ จะชว่ ยแก้ปญั หาของดินได้ 4. น้า การขุดหนองน้าต้องดูทางไหลเข้าและออกของนา้ ในพน้ื ที่ ควรวางตาแหนง่ หนองน้าในด้านทลี่ มร้อนพัดผ่าน กอ่ นเข้าสูบ่ ้าน จะช่วยให้บ้านเยน็ ข้นึ ควรขุดหนองใหม้ ีความคดเค้ยี วเพื่อเพมิ่ พืน้ ที่เพาะปลกู พชื รมิ ขอบหนองและทา “ตะพกั ” หริอความลดหลั่นของระดับความสูงในหนองให้ไมเ่ ทา่ กนั โดยชัน้ แรกมีความลึกเทา่ ระดบั ท่ีแสงแดดส่องลง ไปถงึ เพื่อเป็นชั้นให้ปลาสามารถวางไข่และอนบุ าลสัตวน์ ้าได้ ควรปลูกพืชนา้ หรือไม้น้าเพื่อให้ปลาใช้เป็นแหล่งวางไข่ ท่ีอยู่อาศัยและเปน็ อาหารใหก้ ับสตั วน์ ้า รวมทั้งทา “แซนวิชปลา” นาหญ้าและฟางกองสลับกบั ปุ๋ยหมักไวท้ ตี่ ้นนา้ เพ่อื สร้างแพลงตอนและไรแดง เป็นการเพ่ิมอาหารให้กบั สัตว์น้า 5. คน หัวใจสาคัญของการออกแบบพน้ื ท่ีใหเ้ หมาะสม ข้ึนอย่กู บั ความตอ้ งการของผู้ที่เป็นเจ้าของเป็นหลัก ซ่ึงจะเป็น ผ้ทู ่ใี ชป้ ระโยชนจ์ ากพ้นื ที่น้ันมากทส่ี ุด
๑0 การออกแบบหลมุ ขนมครก : ภาพจาก มติ ชิ น ขอ้ มูลเบ้อื งตน้ ของพน้ื ท่ีที่ควรรวบรวมกอ่ นการออกแบบ “โคกหนองนา” มดี งั ต่อไปน้ี 1. แผนทอี่ อร์โธสีเชงิ เลขทม่ี เี ส้นช้นั ความสงู 1 เมตร ของพ้ืนทเี่ ปา้ หมายและพืน้ ท่ีโดยรอบรัศมี 1 กิโลเมตร มาตรา สว่ น 1:4000 เป็นขอ้ มูลในรูปแบบ Digital และ PDF 2. ค่าพิกดั ทตี่ ้ังของพน้ื ท่เี ป้าหมาย 3. ข้อมลู อตุ ุนิยมวิทยา เชน่ ปรมิ าณนา้ ฝนรายวนั และรายปี 25 ป,ี ปริมาณนา้ ฝนสูงสุดตดิ ต่อ 3 วนั , จานวนวันท่ฝี น ตก, ปรมิ าณการระเหยของนา้ เป็นตน้ 4. แผนทก่ี ายภาพปจั จุบันบรเิ วณพื้นท่ีเป้าหมาย เช่น แผนทีก่ ารใช้ประโยชนท์ ด่ี นิ , แผนทีก่ ลุ่มชดุ ดิน, แผนที่ภมู ิ ประเทศท่ีมีเส้นช้นั ความสงู 0.25 เมตร เปน็ ตน้ 5. ข้อมูลสารวจท่ใี ช้ในการทาแผนท่ีภมู ิประเทศในขอ้ 4 6. ความตอ้ งการในการใชป้ ระโยชน์ทีด่ ินของเจา้ ของพ้นื ที่ เช่น ชนิดและจานวนพชื ท่ีใช้ปลกู ปา่ , พชื ไร่, พืชสวน, พชื สวนครวั และของสตั ว์เลี้ยง เป็นต้น 7. ข้อมูลความต้องการใชน้ า้ ของพชื และของสัตวเ์ ลี้ยงตามความต้องการของเกษตรกร ที่จะมีในพนื้ ทีเ่ ป้าหมาย 8. จานวนคนของครอบครวั เกษตรกรในพ้นื ที่เปา้ หมาย
๑1 วธิ กี ารออกแบบ “โคกหนองนาโมเดล” (1) นาท่ดี ินของเกษตรกรมาแปลงหนว่ ยจากตารางวามาเป็นตารางเมตร ( 1 ตารางวาเท่ากับ 4 ตารางเมตร) (พน้ื ท่ี 1 ไร่ หรือ 400 ตารางวา เทา่ กับ 1,600 ตารางเมตร) เชน่ มีทดี่ ิน 5 ไร่ เท่ากับ 5 x 1,600 = 8,000 ตารางเมตร (2) คานวณปรมิ าณนา้ ฝนท่ีตกในพ้ืนท่ี (ต้องเก็บน้าใหไ้ ด้ 100%) ปริมาณน้าฝนเฉลยี่ ต่อปีของพ้ืนท่ีนนั้ ๆ (ม.ม.) x พ้ืนทดี่ นิ (ตร.ม.) เชน่ พ้ืนที่น้นั มปี รมิ าณนา้ ฝนเฉล่ยี ตอ่ ปี = 1,200 ม.ม. ปรมิ าณนา้ ฝนต่อปีเท่ากับ 1.20 x 8,000 = 9,600 ลบ.ม. (3) คานวณขนาดของหนองน้าเพอื่ เก็บน้าฝน ใน 1 ปีมีวันทฝี่ นไม่ตก 300 วนั โดยนา้ จะระเหยอยา่ งน้อยวนั ละ 1.25 ซ.ม.(เดิมใช้ 1.0 ซ.ม.) น้าจะระเหยไปต่อปีเท่ากับ 1.25 x 300 = 3.75 ม. ตอ้ งขดุ หนองลึกกว่า 3 + 3.75 = 6.75 ม. หนองนา้ เกบ็ น้า 9,600 ลบ.ม. จะมีขนาดเทา่ กับ 40(กวา้ ง) x 35.6(ยาว) x 6.75(ลกึ ) = 9,612 ลบ.ม. (คิดแบบความลาดชันของขอบหนองน้าสูง) พืน้ ทใ่ี ช้เปน็ หนองน้าเท่ากับ 40 x 35.6 = 1,424 ตร.ม. หรอื 0.89 ไร่ หรือ 3 งาน 56 ตร.วา (4) คานวณปรมิ าณดนิ สาหรับใชท้ าโคก ไดจ้ ากการขดุ หนอง ดินจะฟูข้ึน 30% เท่ากับได้ดินทาโคก 9,612 x 1.30 = 12,495.6 ลบ.ม. (5) คานวณขนาดนา (ครอบครวั เกษตรกรมีสมาชกิ 5 คน) คน 1 คนใช้ข้าวสารหุงขา้ ว 0.3 ก.ก./วนั ดังนั้นคน 5 คนใชข้ ้าวสารเทา่ กับ 5 x 0.3 = 1.5 ก.ก./วนั ในหนึ่งปีใชข้ า้ วสารเทา่ กบั 1.5 x 365 = 547.5 ก.ก. ขา้ วสาร 1 ก.ก. ไดจ้ ากการสีข้าวเปลือก 2 ก.ก. ดงั นน้ั ข้าวเปลอื กที่ใช้ต่อปคี ือ 1,095 ก.ก. โดยเฉลีย่ นา 1 ไร่จะได้ข้าวเปลือกประมาณ 1,000 ก.ก. ดังนั้นใชพ้ น้ื ท่ีทานาเพียง 1.1 ไร่กพ็ อเพยี ง แต่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี งข้ันกา้ วหน้าควรทาทานแจกจ่าย ดงั นัน้ พ้นื ที่ทานาควรทา 2.0 ไร่ และจะมขี า้ วเปลอื กสว่ นเหลือประมาณ 905 ก.ก. เพื่อแบง่ ปัน สรุป พน้ื ที่เหลือเปน็ โคกเท่ากับ 5 - 0.89 - 2 = 2.11 ไร่
๑2 (6) ปรมิ าณนา้ ฝนที่เกบ็ ไวใ้ นนา พ้ืนทนี่ า 2.0 ไร่ 3,200 ตร.ม. ยกขอบคันนาสงู 1.0 ม. เก็บน้าได้ 3,200 x 1 = 3,200 ลบ.ม. (ไม่ไดน้ าการระเหยของน้าในนามาคิด) (7) ปรมิ าณนา้ ฝนทีเ่ ก็บไวใ้ นโคก(ปา่ ) โคก(ปา่ ) จะเก็บน้าไวใ้ ตด้ นิ ได้ครึง่ หน่งึ ของความจหุ นองน้า 9,612/2 = 4,806 ลบ.ม. (8) ปริมาณน้าทเี่ ก็บไวใ้ นคลองไสไ้ ก่และหลมุ ชะลอน้า (ยังไม่นามารวมจนกวา่ จะออกแบบพ้นื ทแี่ ลว้ เสรจ็ ) สรปุ ปรมิ าณนา้ ทเี่ กบ็ ได้ 9,612 + 3,200 + 4,806 = 17,618 ลบ.ม. คิดเป็น 184% ของปริมาณน้าฝนทีต่ กในพน้ื ที่ (9) คานวณปริมาณนา้ ใชส้ าหรับกิจกรรมต่างๆ นา 1 ไร่ใชน้ ้า 1,000 ลบ.ม./ปี นา 2 ไร่จะใชน้ ้า 2 x 1,000 = 2,000 ลบ.ม./ปี ปา่ 3 อยา่ งประโยชน์ 4 อยา่ ง 1 ไรใ่ ช้นา้ 1,000 ลบ.ม./ปี ปา่ 1 ไรจ่ ะใชน้ า้ 1 x 1,000 = 1,000 ลบ.ม./ปี พชื ไรห่ รอื ไมผ้ ล 1 ไร่ใชน้ า้ 1,000 ลบ.ม./ปี พชื ไร่หรือไม้ผล 1 ไรจ่ ะใช้น้า 1 x 1,000 = 1,000 ลบ.ม./ปี พืชสวนครัวและกิจกรรมอนื่ ๆ 1 ไรใ่ ชน้ า้ 1,000 ลบ.ม./ปี พืชสวนครวั และกจิ กรรมอ่ืนๆ 0.11 ไรจ่ ะใชน้ ้า 0.11 x 1,000 = 110 ลบ.ม./ปี นา้ ใช้อุปโภคบริโภคครวั เรอื น 1 คนใชน้ า้ 200 ลติ ร/วัน 5 คนใช้น้า 1,000 ลิตร/วนั (1 ลบ.ม.) ใชน้ า้ รวม 1 x 365 = 365 ลบ.ม./ปี หนองนา้ 0.89 ไร่ น้าระเหยวนั ละ 1.25 ซ.ม. วันทีฝ่ นไมต่ ก 300 วัน น้าระเหยไปต่อปี 3.75 ม. ใช้น้าไป 0.89 x 1,600 x 3.75 = 5,340 ลบ.ม./ปี เหลือน้าใช้ 0.89 x 1,600 x 3.00 = 4,272 ลบ.ม./ปี สรุป ปริมาณนา้ ใช้ 2,000 + 1,000 + 1,000 + 110 + 365 + 4,272 = 8,747 ลบ.ม. หนองนา้ ทเ่ี ก็บได้-นา้ ใช้ เท่ากับ 9,612 - 8,747 = 865 ลบ.ม. (นา้ ทีเ่ กบ็ ในหนองน้ามีเพียงพอ)
๑3
ตวั อยา่ งการออกแบบพื้นท่ที ากิน 10 ไร่ ๑4
๑5 1. พน้ื ทีส่ ูง กรณที ่ีเปน็ พืน้ ราบ 2. พ้ืนที่สงู กรณที ่เี ขามหี บุ เขา สามารถก้ันฝายเกบ็ นา้ ได้
16 3. พนื้ ทสี่ ูง กรณีที่เปน็ สนั เขา ลาดเอียงทางเดียว ไมม่ ีหุบเขา 4. พ้นื ที่สงู กรณที ี่เปน็ สนั เขา ลาดเอยี งสองทาง ไมม่ หี บุ เขา โมเดลโคกหนองนา : ภาพจาก Terrabkk.com
17 พนื้ ทต่ี ้นแบบสาหรบั การดงู าน 1. ศูนย์การเรียนรู้ \"ปา่ สักโมเดล\" ในพน้ื ทห่ี ว้ ยกระแทก 600 ไร่ ของหน่วยบญั ชาการสงครามพเิ ศษ ศนู ย์สงคราม พเิ ศษ คา่ ยเอราวัณ จ.ลพบุรี 2. โรงเรียนสงครามพเิ ศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ค่ายเอราวณั จ.ลพบรุ ี 3. การจดั การน้าบนพน้ื ทีส่ งู บ้านหว้ ยกระทงิ แม่ระมาด จังหวดั ตาก 4. ศนู ย์กสิกรรมธรรมชาตชิ ุมชนต้นนา้ น่าน ต.ศรีภมู ิ อ.ทา่ วังผา จ.นา่ น 5. ศูนย์กสกิ รรมธรรมชาติตลาดน้าสีภ่ าค พัทยา จ.ชลบรุ ี 6. ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอือ้ ง เลขที่ 114/1 หมู่ 1 ต.หนองบอนแดง อ.บา้ นบึง จ.ชลบุรี 20170. 7. โคกหนองนาดาราโมเดล บา้ นดแู่ ละบา้ นหนองบอน ต.หนองบวั บาน อ.รตั นบุรี จ.สุรนิ ทร์ 8. ศูนย์พฒั นาโครงการหลวงห้วยลกึ ตาบลปิงโค้ง อาเภอเชียงดาว จงั หวัดเชียงใหม่ 9. ศูนย์ภมู ริ ักษธ์ รรมชาติ บา้ นทา่ ด่าน ตาบลหนิ ตง้ั อาเภอเมือง จงั หวัดนครนายก 10. ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาทด่ี ินตามแนวเศรษฐกจิ พอเพียง ตาบลหนองโน อาเภอเมอื ง จังหวดั สระบุรี 11. ศูนย์เรยี นรู้เศรษฐกจิ พอเพียงสวนลอ้ มศรรี นิ ทร์ จงั หวดั สระบรุ ี 12. โคกหนองนาโมเดล บ้านสวยสายใยกอ้ นแก้ว ต.ก้อนแก้ว อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชงิ เทรา
18 บรรณานุกรม ทีม่ าของข้อมลู 1. นายไชยยทุ ธ ลยี ะวณชิ และนายดนุ เนยี มฤทธ์ิ . (๒๕๖๑). การประยกุ ต์ใช้ทีด่ นิ ตามศาสตร์พระราชา. กรงุ เทพฯ : กลุ่มสถาปตั ยกรรมและภมู ิสถาปัตยกรรม สานักวิศวกรรมเพือ่ การพัฒนาท่ีดิน กรมพฒั นาทีด่ นิ . 2. เอกสารประกอบการบรรยายโครงการฝึกอบรม “ผูน้ าการขบั เคลอ่ื นปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง กระทรวงเกษตร และสหกรณ์” วันท่ี 11-15 พ.ค. 2559 ณ ศนู ยก์ สกิ รรมธรรมชาติชมุ ชนตน้ น้าน่าน ต.ศรภี มู ิ อ.ทา่ วงั ผา จ.น่าน. 3. กลุ่มภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ และนวัตกรรมด้านการเกษตร กองวจิ ยั และพัฒนางานสง่ เสริมการเกษตร กรมส่งเสรมิ การเกษตร (http://new.research.doae.go.th/?page_id=502) online 4. วิถีพอเพียง (https://sites.google.com/site/vetherporpeanglife/thvsti-bandi-9-khan-su-khwam-phx-pheiyng) 5. เศรษฐกจิ พอเพียง คนรุ่นใหม่หวั ใจพอเพียง http://lugesan25042017.blogspot.com/2015/04/blog- post_6.html online 6. งานออกแบบ โคก หนอง นา โมเดล โดย นกั ศกึ ษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้า คณุ ทหาร ลาดกระบงั 7. โคก หนอง นา โมเดล : การออกแบบ Landscape ทีเ่ หมาะสมกับภูมิสังคม https://www.facebook.com/.../โคก-หนอง-นา-โมเดล-การออกแบบ-landscape-ทเี่ หมาะสมกับภมู สิ งั คม 8. มลู นธิ กิ สิกรรมธรรมชาติ https://th-th.facebook.com/agrinature.or.th/posts/735535473170712 online
1 ศาสตร์พระราชา จากนภา ผ่านภูผา ส่มู หานที ศาสตร์พระราชา คือ แนวทางการพัฒนาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีความลุ่มลึก รอบด้าน มองการณ์ไกล และเน้นความย่ังยืนยาวนาน ก่อนที่ประชาคมโลกจะต่ืนตัวในเรื่องน้ี เป็นแนวทางการพัฒนาท่ีมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ของคนไทยทุกหมู่เหล่า องค์ประกอบของศาสตร์พระราชา คือ การศึกษาและสุขภาพ การเพิ่มผลิตภาพการผลิต การ ค้นคว้าวิจยั การบรหิ ารความเส่ียง การอนรุ ักษ์ธรรมชาติ และปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง แต่ละองคป์ ระกอบลว้ นมีสว่ นชว่ ย ยกระดับคุณภาพชวี ติ ของทุกผทู้ ุกคน โดยเฉพาะ คนจนผ้ยู ากไร้ หลักการทางาน ตามศาสตร์พระราชา เข้าใจ.เข้าถึง.พัฒนา. เปน็ วธิ กี ารแหง่ ศาสตรพ์ ระราชาเพ่อื การพฒั นาที่ย่ังยนื ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมพิ ลอดุลยเดชทรงใชเ้ ป็นวิธีการทรงงานมาตลอดรัชสมัย ศาสตร์พระราชา มีนัยยะกว้างขวางมาก ศาสตร์แปลว่า ความรู้ที่เป็นระบบ เชื่อถือได้ ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ความรู้ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ มีทั้งดา้ นที่เปน็ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ มีท้ังวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มีท้ังสังคมศาสตร์ มีทั้งมานุษยวิทยา มนุษยศาสตร์ คือ มีทุกมิติ ถ้าเราติดตาม/ดูงานท่ีพระองค์ท่านทรงงานมามากว่า 70 ปี พระองค์ทรง ทาเป็นตวั อย่างมาใหด้ ู ท้ังหมด 1,500 กว่าแหง่ มีทุกศาสตร์ มีท้งั จรยิ ธรรมศาสตร์ ศาสนา มีทกุ มติ ิ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนามนุษย์ที่สาเร็จท่ีสุดในโลก มีศาสตร์ว่าด้วยการเกษตร ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องดิน ศาสตร์เรื่องน้า เร่ืองดินพระองค์ท่านทรงมีความเช่ียวชาญ จนท่ัวโลกยกย่อง ให้วันเกิดพระองค์ ทา่ น คือวันท่ี 5 ธันวาคม เป็น “วันดินโลก” หรือแม้แต่น้า ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องน้า “ฝนหลวง” ที่ทรงศึกษาวิจัยในการให้ เมฆรวมตัวกันเป็นก้อนโต แล้วทาให้เป็นฝนตกลงมาได้ พระองค์ทรงทาสาเร็จจนได้รางวัล การสร้างเข่ือน ฝายชะลอน้า ศาสตร์เร่ืองป่าไม้ ที่เป็น “พื้นที่ต้นน้า” ช่วยสร้างความชุ่มชื่น ศาสตร์เรือ่ งการจัดการดิน การป้องกันชะล้างหน้าดิน เก็บ ความสมบูรณข์ องดิน บนเขา บนพื้นทลี่ าดชนั ดว้ ย “หญ้าแฝก ท่ีเปรยี บเสมือนกาแพงที่มีชวี ติ ” พระองค์เขา้ ใจเร่ืองการใช้ หญ้าแฝก อย่างลึกซ่ึง ในการป้องกันความเส่ือมโทรมของดิน เก็บน้าและความอุดมสมบูรณ์ ให้คงอยู่ตลอดไป แม้แต่น้าท่ี ไหลบ่าท่วมบ้านเรือน ทรงคิดวิธีกักเก็บด้วยโครงการ “แก้มลิง” การบาบัดน้าเสียด้วยเคร่ืองกลเติมอากาศ “กังหันชัย พฒั นา” ทรงทางานวิจัยท้งั ในวังและในไร่นาเกษตรกร ทรงคิดค้น “ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง” และ“เกษตรทฤษฎีใหม่” ที่มีการปรับใช้ท้ังในพ้ืนที่ราบลุ่มและบนพื้นท่ีสูงชัน บางคนก็เรียก ศาสตร์พระราชาศาสตร์ ว่าเป็นศาสตร์แห่งการพัฒนา ทย่ี งิ่ ใหญ่ ทรงให้ความสาคัญกับทกุ ปัญหาทกุ ความทกุ ข์ของพสกนิกร จนเกิดศาสตร์พระราชามากกวา่ 4,500 กรณศี กึ ษา
2 โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ คือ การบริหารจัดการท่ีดิน เพ่ือการเกษตร ตามแนวพระราชดาริ แห่งองค์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่ีทรงคิดค้น/วิจัย เกษตรทฤษฎีใหม่ มาต้ังแต่ปี พ.ศ.2532 ในพื้นท่ี ส่วนพระองค์ขนาด 16 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา ท่ี ต.ห้วยบง อ.เมือง จ.สระบุรี และทรงเผยแพร่ต้ังแต่ปี 2537 เพื่อ แก้ไขปัญหา เกษตรกรรมที่ในเขตแห้งแล้ง ขาดแคลนน้าในการเกษตร โดยเฉพาะการเกษตรท่ีอาศัยน้าฝนเป็นหลัก ซ่ึงมี ความเสี่ยงสูงในการขาดแคลนน้า กรณีฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้าฝนไม่เพียงพอในการเพาะปลูก เป็นทฤษฎีแห่งการ บริหารจัดการ ดิน ท่ีดิน น้า และเวลา ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ท่ีมีท่ีดินจานวนน้อย สามารถเลยี้ งตัวเองได้ มีความมนั่ คงด้านอาหาร คอื มขี ้าว มีพชื ผกั และอาหารโปรตนี จากการเลี้ยงสตั ว์ เชน่ ไก่ หมู ปลา ฯลฯ ไว้บริโภคได้ตลอดท้ังปี มีการนาหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ ให้เป็นรูปธรรม อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับ สภาพปัญหาและทรัพยากรที่มี ต้ังแต่การทาการเกษตรแบบพอเพียง เพื่อการเล้ียงชีพ เลี้ ยงครอบครัว ไปจนถึงการ พัฒนาการเกษตรแบบประณีต เพม่ิ มลู ค่า สามารถให้ผลตอบแทนเชงิ เศรษฐกิจทส่ี ูงมากข้ึน ในทุกครา ท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ตามพื้นท่ีต่างๆ ท่ัว ประเทศนั้น ทรงสอบถาม และทอดพระเนตรพบสภาพปัญหากาขาดแคลนน้า เกิดแรงดลพระราชหฤทัย อันเปน็ แนวคิด ขนึ้ วา่ 1. ข้าวเปน็ สิง่ จาเปน็ ในวถิ ีชวี ิตของคนไทย หากได้นา้ เพียงพอ จะสามารถเพม่ิ ปริมาณผลผลิตขา้ วไดม้ ากยิง่ ข้ึน 2. หากเก็บน้าฝนที่ตกลงมาไว้ได้แล้ว นามาใช้ในการเพาะปลูก ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่างๆ ได้มากขึ้น เช่นกัน 3. การสร้างอ่างเก็บน้าขนาดใหญ่ นับวันแต่จะยากท่ีจะดาเนินการได้ เน่ืองจากการขยายตัวของชุมชน มี ข้อจากดั และอาจเกิดผลกระทบหลายอย่าง 4. หากแต่ละครัวเรือน มีสระน้าประจาไร่นาทุกครัวเรือนแล้ว เมื่อรวมปริมาณกันก็ย่อมเท่ากับปริมาณในอ่าง เกบ็ น้าขนาดใหญ่ ทาได้งา่ ย ส้นิ คา่ ใชจ้ ่ายน้อย และเกิดประโยชนส์ ูง โดยตรง มากกว่า ในเวลาต่อมา ได้พระราชทานพระราชดาริ ให้ทาการทดลอง \"ทฤษฎีใหม่\" เกี่ยวกับการจัดการที่ดิน และแหล่ง น้าเพ่ือการเกษตรข้ึน ณ วัดมงคลชัยพัฒนา ตาบลห้วยบง อาเภอเมืองจังหวัดสระบุรี แนวทฤษฎีใหม่กาหนดขึ้น โดยให้
3 แบง่ พ้ืนที่ถอื ครอง ทางการเกษตร ซ่ึงโดยเฉลี่ยแลว้ เกษตรกรไทย มีเน้อื ท่ีดินประมาณ 10-15 ไร่/ครอบครวั แบ่งออกเป็น สัดส่วน 30 – 30 – 30 - 10 คือ กรณที ่ีมี พน้ื ที่ 15 ไร่ จะแบง่ ได้ดงั นี้ สว่ นแรก : ร้อยละ 30 เนือ้ ที่เฉล่ยี 4.5 ไร่ ใหท้ าการขุดสระกักเก็บน้าไว้ใชใ้ นการเพาะปลูก โดยมีความลึก ประมาณ 3 เมตร ซง่ึ จะสามารถรับนา้ ได้จุถึง 20,000 ลูกบาศก์เมตร โดยการรองรับจากน้าฝน ราษฎรจะสามารถนานา้ นไี้ ปใชใ้ นการเกษตร ไดต้ ลอดปีและยังสามารถเลย้ี งปลาและปลกู พืชน้า พืชรมิ สระเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกทาง หนึ่งดว้ ย ส่วนที่สอง : รอ้ ยละ 60 เนอื้ ท่ีเฉล่ยี ประมาณ 9.0 ไร่ เป็นพ้ืนที่ทาการเกษตรปลูกพืชผลต่าง ๆ โดยแบ่งพื้นที่น้ี ออกเป็น 2 ส่วน คือ ร้อยละ 30 ในส่วนท่ีหนึ่ง : ทานาข้าว ประมาณ 4.5 ไร่ ร้อยละ 30 ในส่วนที่สอง ปลูกพืชไร่หรือ พืชสวน ตามแต่สภาพของพื้นท่ีและภาวะตลาด ประมาณ 4.5 ไร่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคานวณ โดยใช้ หลักเกณฑ์ ว่า ในพ้ืนที่ทาการเกษตรน้ี ต้องมนี ้าใช้ในช่วงฤดูแล้ง ประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ ถ้าหากแบ่ง แต่ละ แปลงเกษตรให้มเี น้ือท่ี 4 ไร่ ท้งั 2 แห่งแล้ว ความต้องการนา้ จะต้อง ใชป้ ระมาณ 9,000 ลกู บาศกเ์ มตร ท่ีจะตอ้ งเป็นน้า สารองไวใ้ ช้ ในยามฤดแู ล้ง ส่วนที่สาม : ร้อยละ 10 เป็นพ้ืนท่ีท่ีเหลือ มีเนื้อที่เฉล่ียประมาณ 1.5 ไร่ จัดเป็นทอ่ี ยู่อาศัย ทางลาเลียง คันดิน ป้องกนั นา้ ทว่ ม ร่องคู พืน้ ทีป่ ลกู พืชสวนครวั -หลมุ พอเพียง เล้า/คอก ปศสุ ัตว์ หากมกี ารรวมกลุ่ม หรอื มีการผลิต/จาหน่ายในรปู สหกรณ์ ก็จะเพ่ิมอานาจต่อรองในการซื้อ-ขาย มกี ารเชื่อมโยง/ ประสานงาน ในการจัดหาแหล่งเงินทุน การแปรรูป การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางกาตลาด ทั้งในชุมชนข้างเคียง ตลาดภายในและตลาดตา่ งประเทศ ท้ังในระดับบคุ คล หรือองค์กร ให้ได้รับประโยชนร์ ่วมกัน บนพื้นฐานของคุณธรรม ท่ีมี การสนับสนุนและเกื้อกูลซ่ึงกันและกัน และรองรับการพัฒนาด้านต่างๆ จากราชการหรือภาคเอกชน ได้สะดวกและมี ประสทิ ธภิ าพ มากขึ้น “ ทฤษฎีใหม่จึงเป็นแนวพระราชดาริใหม่ ได้รับการพิสูจน์และยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ในหมู่เกษตรกรไทย แล้ว ว่า พระราชดารขิ องพระองคเ์ กิดข้นึ ดว้ ยพระอจั ฉริยภาพสงู ส่ง ที่สามารถนาไปปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ”
4 เศรษฐกิจพอเพยี ง https://sites.google.com/site/httpssersthkicphxpheiyng/sersthkic-phx-pheiyng พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทาน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิต แก่พสกนิกรชาวไทย มาต้ังแต่ พ.ศ. 2517 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมอ่ื วันท่ี 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ได้ทรงเน้นย้าแนวทางการแกไ้ ข เพื่อให้รอดพ้น และสามารถดารงอยู่ได้อย่าง มั่นคงและยั่งยนื ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลย่ี นแปลงต่างๆ ของโลก อยู่ตลอดเวลา ทรงชี้แนะแนวทางการดาเนนิ ชวี ิตและการปฏิบตั ิแกป่ ระชาชน โดยยึดหลัก “ทางสายกลาง” สรุป ความหมายเศรษฐกิจพอเพยี ง ออกเปน็ หลักสาคญั คือ ปรัชญา/หลกั 3 หว่ ง 2 เงอื่ นไข ดังนี้ ปรัชญา/หลัก 3 ห่วง คือ 1. หลักความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีทไี่ ม่น้อยไป และไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและ ผู้อืน่ เช่น การผลติ การบริโภค การใช้จ่าย ฯลฯ ทอ่ี ยู่ในระดับพอประมาณ 2. หลักความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียง น้นั จะต้องเป็นไปอยา่ งมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัย ท่ีเก่ียวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึนจากการกระทาน้ันๆ อย่าง รอบคอบ 3. หลักการสร้างภูมคิ ุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปล่ียนแปลงดา้ นต่างๆ ท่ี จะเกิดขนึ้ โดยคานึงถึงความเป็นไปไดข้ องสถานการณ์ตา่ งๆ ท่ีคาดว่าจะเกิดขนึ้ ในอนาคต โดยมเี งือ่ นไข ของการตดั สินใจและดาเนนิ กิจกรรมให้อยู่ในระดบั พอเพยี ง ๒ ประการ คอื
5 โดยมีเง่อื นไข ของการตดั สินใจและดาเนินกิจกรรมใหอ้ ยใู่ นระดับพอเพียง ๒ ประการ คือ 1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องรอบด้าน เพ่ือจะนาความรู้ เหล่านั้นมาพจิ ารณาให้เช่ือมโยงกัน เพือ่ ประกอบการวางแผน และระมัดระวังในการปฏบิ ัติ 2. เงอื่ นไขคณุ ธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบดว้ ย มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มีความซ่ือสัตยส์ จุ รติ มี ความอดทน มคี วามเพียร และมีการแบ่งปัน ใช้สติปัญญาในการดาเนนิ ชวี ิต ส่งิ สาคัญของเศรษฐกจิ พอเพยี ง คอื 1. มคี วามเช่ือในแนวคดิ การพง่ึ ตนเอง 2. มีความเขา้ ใจคาวา่ \"บูรณาการ” โดยไม่ยึดเร่อื งใดเร่ืองหนึง่ เป็นสรณะ สามารถเลือกเรื่องทีเ่ หมาะสมมา ประยกุ ตใ์ ช้ และสามารถเปลยี่ นแปลงไดต้ ามสถานการณ์ ซ่งึ ไม่มสี ตู รสาเรจ็ เปน็ การขบั เคล่อื นไปให้สอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มทีเ่ ปลี่ยนแปลง 3. เคารพในภูมิปัญญา โดยเคารพว่าภูมปิ ัญญาเกิดจากการเรียนรู้รว่ มกัน ไม่ใชเ่ ช่ือว่า ส่งิ ที่ตนเองคิดนั้นถกู ต้อง เพราะฉะนัน้ การเรยี นรู้รว่ มกันผ่านศูzนย์เรียนรู้จึงมีความสาคัญ 4. เคารพในระบบนเิ วศ เข้าใจความสมบรู ณแ์ ละให้คณุ ค่ากบั ความอุดมสมบูรณ์ ของทรพั ยากรธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม และระบบนิเวศ 5. มีความเข้าใจแกน่ ของ \"สังคมมีสุข” และใหค้ วามสาคัญกับครอบครวั และชมุ ชน ปจั จยั แหง่ ความสาเรจ็ (ของเกษตรกร) 1. เกษตรกรต้องสมัครใจในการประกอบอาชีพการเกษตร 2. ตอ้ งรจู้ ักตนเองและรศู้ ักยภาพตนเอง 3. มคี วามรู้ สามารถจัดการองค์ความรู้ ทดลอง ทดสอบ รวมถงึ การหาวทิ ยากรทีเ่ หมาะสม 4. รู้จกั ออม ประหยดั 5. มีกลั ยาณมิตร เพ่ือสรา้ งเครือขา่ ย รวมพลงั กนั 6. มคี ณุ ธรรม จริยธรรม 7. มคี วามขยัน และอดทน วิธีการทางานท่ีได้ผล หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปสนับสนุน การปฏิบัติงานของปราชญ์ชาวบ้าน เช่นตามความตอ้ งการในแผนแมบ่ ทชุมชน มากกว่าจะเปน็ ตัวหลกั ในการพฒั นาเหมอื นที่ผ่านมาในอดีต
6 เกษตรทฤษฎีใหม่: ศาสตร์พระราชาสู่โคก หนอง นา โมเดล เทคนิคการสร้างหลุมขนมครกในไร่ คือ การนาศาสตร์พระราชา ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น นามาสู่การ ออกแบบพ้ืนท่ี 1 พื้นท่ี จานวนก่ีไร่ก็ได้ ให้สามารถเก็บน้าฝนในพื้นที่นั้นๆ ไว้ให้ได้ทั้ง 100% โดยต้องมีการคานวณ ปริมาณน้าฝนท่ีตกลงมา น้าสาหรับการบริโภค และปลูกข้าวซึ่งเป็นหลักการสาคัญของเกษตรทฤษฎีใหม่ นอกจากน้ันยัง นาศาสตร์พระราชาด้านการจัดการ ดิน น้า ป่า มาใชเ้ พ่ือฟ้ืนฟูระบบนิเวศในภาพรวม ท้ังการกั้นฝายชะลอน้า ฝายชุ่มช้ืน การบาบัดน้าเสีย การปลูกแฝก และป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ส่วนภูมิปัญญาท้องถิ่นน้ันได้แก่ การนาดินท่ีขุดจาก หนองมาทาโคก การขุดหนองคดโค้งเพื่อเพ่ิมพื้นที่รอบหนอง และเพื่อให้เป็นท่ีอยู่อาศัยของปลา การขุดคลองไส้ไก่เพ่ือ เพ่มิ ความชมุ่ ชื้นในพื้นท่ี การยกหัวคันนาสงู เพ่ือกักเก็บน้าฝน การทานาน้าลึกโดยใช้ระดบั น้าในท้องนาควบคุมวัชพืช และ ศัตรพู ืช หลุมขนมครก เม่อื นามาปฏบิ ัติ จะแตกต่างตามพ้ืนท่ลี ุ่ม และพน้ื ทสี่ งู แบ่งไดเ้ ป็น 2 รูปแบบ คือ ในพนื้ ที่ลุ่มใช้ รปู แบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ในพน้ื ท่ีสงู ใช้การ “เปล่ียนเขาหัวโล้น เปน็ เขาหัวจุก” เช่น 1. พน้ื ท่ลี ุ่ม : โคกหนองนา โมเดล คือ รูปธรรมของหลุมขนมครก ซงึ่ เรียกให้ง่ายต่อการจดจา – โคก การนาดินท่ีได้จากการขุดหนอง นามาถมเป็นโคกเพื่อสร้างท่ีอยู่อาศัย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ รวมทั้งปลูกต้นไม้ตาม แนวทางศาสตร์พระราชา คือ “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ได้แก่ ไม้เพ่ือบริโภค (พอกิน) เพ่ือใช้สอยในครัวเรือน (พอใช้) และเพ่ือสร้างที่อยู่อาศัย (พออยู่) ป่าทั้ง 3 อย่าง ให้ประโยชน์อย่างท่ี 4 คือช่วยสร้างสมดุลระบบนิเวศ (พอ ร่มเย็น) ปลูกเป็นป่า 5 ระดับคือ สงู กลาง เตีย้ เร่ียดิน และพืชหวั ใบไม้ท่ีร่วงหล่นช่วยปกคลุมหน้าดินเพิม่ ความชุ่มชื้น * น้าใต้ดนิ ท่ีสะสมไวใ้ ต้โคก เม่อื ฝนตกลงมาบนโคกทม่ี ีต้นไม้จานวนมาก น้าจะค่อยๆ ไหลซมึ ลงมาเก็บไว้ใต้โคก รากตน้ ไม้ซ่ึง ต่างระดับกันจะช่วยรักษาหน้าดนิ และกกั เก็บน้าไว้ใต้ดินกลายเป็นแหล่งกักเก็บน้าใต้ดิน ชว่ ยสร้างความช่มุ ช้ืน เพิ่มความ อดุ มสมบรู ณใ์ ห้กบั พนื้ ดนิ – หนอง ขุดหนองให้ขอบมีความคดโค้ง เพ่ือให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของปลา ปรับพ้ืนหนองให้มีความลึกหลาย ระดับ ส่วนท่ีแสงแดดส่องถึง ปลาจะสามารถวางไข่ได้ดี * คลองไส้ไก่ ช่วยกระจายน้ารอบพ้ืนท่ี ขุดให้มีลักษณะคดเคี้ยว เพื่อให้น้าไหลผ่านท่ัวพื้นท่ี เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผืนดิน ส่งผลดีต่อการทาเกษตรและการปลูกพืชผล * ฝายชะลอน้า รับ และชะลอน้าท่ีไหลมาจากแม่น้าหรือพื้นท่ีข้างเคียง ช่วยดักตะกอนดินไม่ให้ไหลลงมาสะสมในหนอง คลอง บึง และเข่ือน นอกจากน้ันยังเปน็ การเพิ่มแหล่งกกั เก็บนา้ ในพ้ืนท่ี – นา ยกหัวคันนา เพ่ือเพ่ิมพื้นที่กักเก็บน้าไว้ในนา โดยให้มีความสูงประมาณ 1 เมตร และป้ันหัวคันนาให้มีความกว้าง เพื่อปลูก “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” และปลูกแฝก เพื่อป้องกันการพังทลายของคันนา คันนาจะใช้เป็นเครื่องมือ ในการปรับระดับน้าเข้านาตามความสูงของต้นข้าว เกิดเป็นนาน้าลึก ใช้น้าในการควบคุมวัชพืชและแมลงตามภูมิปัญญา ท้องถ่ิน
7 2. พืน้ ที่สงู : เปลยี่ น “เขาหัวโลน้ ” เปน็ “เขาหวั จกุ ” เม่ือประยุกต์ใช้ โคกหนองนา โมเดล ให้เข้ากับภูมิสังคม พ้ืนที่ภูเขา คือโคกตามธรรมชาติ จึงไม่จาเป็นต้อง สร้างโคกอีก ส่วนหนองนั้นเปลี่ยนเป็นการก้ันฝายในพื้นที่ร่องเขาเพ่ือเก็บน้าไว้ ทานาข้ันบันได โดยยกหัวคันนาสูงและ กว้าง เพ่ือเก็บน้าฝนที่ตกลงมาบนภูเขาให้ได้มากที่สุด สร้างบ่อเก็บน้าจากวัสดุในพ้ืนที่ไว้ด้านบน เพ่ือปล่อยน้าผ่านคลอง ไสไ้ ก่ หรือทีเ่ รียกว่าลาเหมืองกระจายให้ทั่วพน้ื ท่ี และปลูกแฝกเพื่อป้องกนั การพังทลายของดิน ปลูกป่า 3 อยา่ งประโยชน์ 4 อย่าง เพือ่ พอกิน พออยู่ พอใช้ และคืนความร่มเย็นให้ระบบนเิ วศ รูปแบบน้ีจะใช้พ้ืนทีเ่ พียง 10 ไร่ สามารถให้ผลผลิต มากกวา่ การปลกู ข้าวโพดทงั้ ภูเขา – โคก พ้ืนท่ีสูงในลักษณะภูเขาเป็นโคกโดยธรรมชาติ จึงเน้นการปลูก “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” เพื่อช่วยสร้าง สมดุลระบบนิเวศ แต่เน่ืองจากพื้นที่ขาดความชุ่มชื้น จึงต้องเพ่ิมความชุ่มช้ืนให้กลับคืนมาด้วยการสูบน้าจากร่องเขามาที่ บ่อเก็บน้า และกระจายผ่านลาเหมอื งใหท้ ่ัวพื้นที่ “เขาหัวจกุ ” – หนอง เกิดจากการกักน้าไว้ในร่องเขาให้เพมิ่ ระดับสงู ขึ้นด้วยการทาฝายชะลอน้า บ่อเก็บนา้ สร้างบอ่ เกบ็ น้าไว้บนท่ีสูง โดยใช้วัสดุท่ีหาได้ง่ายในพื้นที่ เช่น ไม้ไผ่ ทาบ่อโครงไม้ไผ่ฉาบปูน สูบน้าจากฝายข้ึนบ่อด้วยพลังงานทดแทน เม่ือน้าเกิน ปริมาณกักเก็บของบ่อ ปลอ่ ยน้าไหลลงคลองไส้ไก่ หรือ “ลาเหมือง” ซึง่ ขุดไล่ตามระดับชน้ั ความสูงของพื้นที่ เพ่อื กระจาย ความชมุ่ ช้ืน – นา ทานาข้ันบันได ยกหัวคันนาสูงและกว้าง เพื่อกักเก็บน้าฝนท่ีตกลงมาไวใ้ นท้องนา และปลูกแฝกชะลอการพังทลาย ของดิน ทานาน้าลึกเป็นนาอินทรีย์โดยการใช้น้าควบคุมวัชพืช และเร่งระดับความสูงของต้นข้าว เพิ่มผลผลิต http://kasetklangthong.blogspot.com/2017/04/ep2.html http://www.monmai.com/ เราชาวไทยเปน็ ชนเผ่าทโี่ ชคดที ่สี ดุ ในโลกน้ี ท่มี ีผคู้ ิดแนวการดารงชพี ท่ยี ่ังยนื ให้โดยไมค่ ิดค่าใช้จ่ายลงทะเบียนไป ศกึ ษา เพ่ือให้ไดว้ ิชาน้นั มา มาชมคลิปที่เลา่ เรื่องนี้ครบั แนวทางทั้งหมดสามารถนาไป COPY&PASTE ได้เลยครบั
8 หลักในการทรงงานของในหลวง(ศาสตร์พระราชา) 23 ข้อ หลกั ในการทรงงาน ขอ้ ท่ี 1 จะทาอะไรต้องศึกษาข้อมูลใหเ้ ป็นระบบ อดีตทาอะไรมาบา้ ง ท้ังเอกสาร สอบถามเจ้าหนา้ ทแี่ ละชาวบ้าน เพ่ือนาขอ้ มลู ไปใช้ประโยชนไ์ ด้จรงิ ๆ ข้อท่ี 2 ระเบดิ จากภายใน สร้างความเข้มแขง็ จากภายในใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจ และอยากทา ข้อท่ี 3 แกป้ ัญหาจากจุดเล็ก มองภาพรวมกอ่ นเสมอ แตก่ ารแกป้ ัญหาตอ้ งเริ่มจากจดุ เล็กๆ ไมเ่ ริม่ ทเี ดียวใหญ่ ๆ ขอ้ ท่ี 4 ทาตามลาดบั ข้นั เรม่ิ ทาจากความจาเป็นก่อน สง่ิ ท่ีขาดคือสิ่งทจ่ี าเปน็ ข้อท่ี 5 ภูมิสงั คม ภูมิศาสตร์ สงั คมศาสตร์ การทางานทุกอย่าง ตอ้ งคานึงถึงภมู ศิ าสตรว์ ่า อยู่แถบไหน อากาศเป็น อย่างไร ตดิ ชายแดน ตดิ ทะเล และ สังคมของเราเปน็ อยา่ งไร นับถอื ศาสนาอะไร คนนสิ ยั ใจคอเปน็ อยา่ งไร รวม ไปถึงพวกเรากันเองด้วย ข้อท่ี 6 ทางานแบบองค์รวม โดยคิดความเช่ือมโยง ทรงมองเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นและมีแนวโน้มทางแก้ไขอย่าง เช่ือมโยง องคร์ วม <-------------> ครบวงจร เชื่อมโยง “เด็ดดอกไมส้ ะเทอื นถึงดวงดาว” ข้อที่ 7 ไมต่ ิดตารา ความรูท้ ่วมหัว เอาตวั ไม่รอด บางครง้ั เรายดึ ทฤษฎจี นเกินไปทาอะไรไม่ได้เลย ขอ้ ที่ 8 ประหยัด เรียบงา่ ย ใชเ้ งินน้อย แต่ได้ประโยชน์สูงสดุ ทาได้เอง หาได้เองในทอ้ งถ่นิ ใช้เทคโนโลยีงา่ ยๆ ข้อที่ 9 ทาใหง้ า่ ย ทาอะไรใหง้ า่ ยๆ ทาใหช้ ีวติ งา่ ย โปรดทาสิ่งยากๆ ใหก้ ลายเป็นส่ิงท่ีงา่ ยๆ ข้อที่ 10 การมสี ่วนรว่ ม เปดิ โอกาสให้มีการแสดงความคิดเหน็ ข้อที่ 11 ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม จากพระราชดารัส ใครต่อใครชอบบอกให้นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม ให้ส่วนรวมคือ การช่วยตวั เองด้วย เพราะเม่อื สว่ นรวมได้ประโยชน์ เราเองก็ไดป้ ระโยชน์ ข้อท่ี 12 บริการทีจ่ ดุ เดียว วันนีเ้ ราพูด วนั สตอ๊ ปเซอรว์ ิส แต่ในหลวงตรัสไวเ้ กนิ 20 ปี มาแลว้ ข้อท่ี 13 ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ มองธรรมชาตใิ หอ้ อก กกั น้าตามลาธารชว่ ยให้ปา่ สมบูรณ์ ช่วยใหช้ าวเขามีอาชพี ขอ้ ท่ี 14 ใช้อธรรมปราบอธรรม เชน่ เอาผกั ตบชวาทเ่ี ปน็ ปญั หาของเราในประเทศ มากาจัดนา้ เสยี ข้อที่ 15 ปลกู ป่าในใจคน ตอ้ งปลูกป่าที่จติ สานึกกอ่ น ต้องใหเ้ หน็ คุณคา่ ก่อนท่จี ะลงมอื ทา ข้อที่ 16 ขาดทุนคือกาไร อยา่ มองท่กี าไรขาดทุนท่ีเป็นตวั เงินมากจนเกินไป บางครง้ั เราไดก้ าไรจากการขาดทนุ - ลงทนุ มหาศาล ได้ธรรมชาติกลบั คืนมา - ลงทุนมหาศาล ไดล้ ูกคนื มา - ลงทนุ มหาศาล ไดค้ นดๆี กลับมา - ลงทุนมหาศาล ไดค้ วามรไู้ ว้คอยชว่ ยเหลือ ข้อท่ี 17 การพง่ึ ตนเอง ในหลวงทรงสอนให้พวกเราพึ่งตนเอง เพราสังคมบรโิ ภค จะเป็นทาสของผู้ผลติ การพึง่ ตนเองได้ทาให้ไม่ต้อง เป็นทาสใคร เม่ือแก้ปญั หาเฉพาะหน้าแลว้ พยายามพึ่งตนเองให้ได้ ขอ้ ที่ 18 พออยูพ่ อกนิ พออยพู่ อกินก่อน แล้วค่อยพัฒนา เราขอให้บาบดั ใหไ้ ดก้ ่อน==> ประคับประคอง==> เป็นที่ปรกึ ษา==>เป็น ผชู้ ว่ ยเหลือผูอ้ ื่นตอ่ ไป
9 ขอ้ ท่ี 19 เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการต่อสู้ รบั มือความเปล่ียนแปลงของโลก การขจัดความหวิ โหย ทต่ี ้องคานึงถึงเรื่องความพอดี โดย อาศัยหลกั เศรษฐกิจพอเพียง ขอ้ ท่ี 20 ความซื่อสตั ยส์ ุจริต จรงิ ใจต่อกัน คนทม่ี ีความรู้มาก แตโ่ กง สู้คนที่ไมเ่ ก่ง แตด่ ไี มไ่ ด้ วีรบุรษุ วรี สตรี คือคุณธรรม ท่ที าประโยชนเ์ พอ่ื ผอู้ ่นื พวก เราทท่ี างานยาเสพตดิ คอื วีรบรุ ุษ วีรสตรผี หู้ นงึ่ ข้อที่ 21 ทางานอยา่ งมคี วามสุข “ทางานกับฉัน ฉันไม่มอี ะไรจะให้ ฉันมแี ต่ความสขุ ท่ีร่วมกันในการทาประโยชน์ให้กับผู้อืน่ เท่านั้น” ทาอะไรต้อง มคี วามสขุ ดว้ ย ขอ้ ที่ 22 ความเพียร กวา่ 60 ปีท่ีทรงงาน ในหลวงไม่เคยทรงท้อถอย ไมม่ ีการลาพักร้อน หยุดงานสักเวลาเดียว ข้อที่ 23 รู้ รกั สามคั คี คดิ เพอื่ งาน รู้ = ต้องรปู้ จั จยั รู้ปญั หา รู้ทางออก ของปัญหา รัก = เมอ่ื รู้แล้ว ต้องเกดิ ความอยาก สามัคคี = รว่ มมือ ลงมือปฏิบัติ เพือ่ เกดิ พลงั http://www.crma.ac.th/msdept/knowledgemsd/23king_work.htm
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: