Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ebook

ebook

Published by chutipron.auy25, 2018-04-25 13:52:42

Description: ebook

Search

Read the Text Version

การทอผา้ พน้ื เมืองแบบภมู ิปญั ญาชาวบ้านประวตั ิความเป็นมา กลมุ่ ทอผ้าบ้านกกตอ้ ง จดุ เร่มิ ต้นของผลติ ภณั ฑ์ (ภูมปิ ญั ญา) บา้ นกกต้อง หมู่ที่ 3 ตำ�บลฟากทา่ อำ�เภอฟากทา่ จังหวดั อตุ รดิตถ์ เป็นหมูบ่ า้ นหนึง่ ท่อี ย่ใู นเขตชนบทซ่งึมีภูเขาลอ้ มลอ้ มรอบและมลี ำ�น�ำ้ ปาดไหล่ผ่านทางด้านทิศตะวันตกอย่หู ่างจากอ�ำ เภอฟากทา่ 6 กิโลเมตร และอยูห่ ่างจากจังหวัดอตุ รดิตถ์ 120 กโิ ลเมตรจากค�ำ บอกเล่าต่อๆกันมาของบรรพบุรษุ รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย วา่ เมื่อประมาณหนึง่ ร้อยกวา่ ปีทีผ่ า่ นมา เริม่ แรกน้นั มีผู้มาก่อตัง้ รากรกบ้านเรอื นอาศัยอยสู่ ิบกวา่ ครัวเรอื นเท่าน้ัน และสง่ิ ทสี่ ำ�คัญเป็นท่ีมาของช่อื หม่บู า้ นกกต้องเนือ่ งจากชุมชนแห่งนีม้ ตี ้นไมย้ นื ตน้ ชนิดหนง่ึ ขนึ้ เป็นจำ�นวนมากถงึ จำ�นวนรอ้ ยต้นก็คือตน้ กระท้อนน้ันเอง ซ่งึ ภาษาทอ้ งถิน่ เรยี กว่า “ ต้นต้อง ” จึงไดเ้ รยี กช่ือชมุ ชนแหง่ นว้ี า่ ชมุ ชนบ้านกกต้อง มาจนถงึ ปัจจุบนั นี้

สมัยโบราณปยู่ า่ ตายาย จะย้อมสี ฝา้ ยและไหม เป็นสีธรรมชาติ มาทอผ้าใชเ้ อง ตอ้ งการฝ้ายสนี �ำ้ ตาลกจ็ ะว่านตยุ้ ฝ้ายนอ้ ยสขี าว จะว่านปนกับขา้ วไร่ สมนักอ่ นส่วนมากจะทำ�ขา้ วไร่ หยอดขา้ วแล้วกจ็ ะว่านฝ้าย ได้ 2 อยา่ ง ถึงฤดูเก็บเกย่ี วข้าวแลว้ ก็เก็บฝา้ ย ถา้ ทำ�ขา้ วไร่ 3 ไร่ ก็จะได้ฝ้ายประมาณ 10 กระสอบเสร็จจากการเกบ็ ฝา้ ยแลว้ น�ำ ฝา้ ยมาอิว้ หรือหนีบฝ้าย ให้เป็นปยุ แล้วเอามาดดีเสร็จแล้วเอามาลอ้ เปน็ ลอนแล้วเอามาเขน็ หรือปัน่ เป็นเส้น เสรจ็ แลว้ นำ�มาฆ่าหรือบดิ เพ่ือใหเ้ ส้นมันเหนย่ี วหรือ ใหเ้ ส้นมันกลอ่ ม แลว้ นำ�มาย้อมสีธรรมชาติตอ้ งการสีด�ำ ย้อมด้วยมะเกลอื เอาผลมะเกลือมาต�ำ ผสมกับใบสาบเสอื ใช้มะเกลอื 5 กโิ ล ใบสาบเสือ 1 กิโล น�้ำ 5 ลติ ร เสร็จแล้ว เอามากลองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อท่จี ะเอานำ�้ ทไี่ ด้ มายอ้ มสีฝา้ ย หรอื ไหมที่เตรยี มไว้ แลว้ นำ�ไปพงึ่ ลมให้แหง้ การย้อมต้องยอ้ มอยา่ งน้อง 5 คร้ัง ถึง 10 ครง้ั ขึ้นไป จนกว่าจะได้สดี �ำ ทีเ่ ราตอ้ งการ ถา้ เราต้องการสีแดง นำ�คร่งั แห้งมาต�ำ ให้ละเอียด แล้วนำ�มาแชน่ �ำ้ มาขามเปรี้ยวมาเปน็ กะสาย ใช้ คร่งั 3 กิโล มะขามเปียกมาเปน็ กะสาย 2 ขีด น�ำ้6 ลติ ร แชไ่ ว้ 1 คืน ย่งิ ดี น�ำ้ คร่งั จะได้ออกสีเต็มท่ี เสร็จแล้วกน็ �ำ มากลองดว้ ยผ้าขาวบาง เพ่อื ท่ีจะเอานำ�้ ท่ีได้มาย้อมสฝี ้าย หรอื ไหมทเ่ี ตรยี มไว้ จากนน้ั ก็ต้มน�ำ้ครงั่ ให้เดือด เอาเส้นฝา้ ยที่เตรียมไวม้ าย้อมจนกว่าจะได้สีทีพ่ อใจ ย้อมสีน�ำ้ แรกจะเอาไวเ้ ปน็ สพี ื้น ยอ้ มสีครั้งทีส่ อง จะเอาไว้เป็นสีจก ยอ้ มครงั้ ท่ีสาม จะไดเ้ ปน็สชี มพูถา้ หากจะเอาสเี หลืองย้อมด้วยแก่นขนุน ยอ้ มน�้ำ แรกจะไดส้ เี ข้ม ยอ้ มน้�ำสองจะได้สีมอนไข่ ถ้าเราตอ้ งการสีเขยี ว ยอ้ มดว้ ยใบส้มมอ ใช้ใบสม้ มอ 3 กโิ ลจะยอ้ มไหมได้ 1 กิโล น้�ำ แรกยอ้ มแล้วเอามาลงโคลนจะได้สเี ขียวไพร เปน็ ต้น

ประเพณแี ห่ขา้ วพันกอ้ น

ประวตั ิความเปน็ มา ประเพณีแห่ข้าวพันกอ้ นของบ้านกกต้อง หมู่ 3 ตําบลฟากท่า อาํ เภอฟากทา่ จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ คอื การนำ�เอาขา้ วเหนยี วนงึ่ มาทำ�เปน็ ก้อนๆ จำ�นวนพันก้อนไปบชู าพระรตั นตรัยทวี่ ดั กกต้องสามัคคถี งึ ฤดูทำ�นา ถ้าฝนไม่ตกชาวบ้านจะพรอ้ มกนั ทำ�พธิ แี ห่ข้าวพนั ก้อน โดยจดั เคร่ืองสักการะมเี ทียนพนัเล่ม ธปู พันดอกดอกไม้พันดอก ขา้ วเหนยี วนึง่ ปั้นเปน็ กอ้ นขนาดปลายก้อยจำ�นวนพันกอ้ น เมอื่ ผจู้ ะรว่ มพธิ ปี ระเพณีไทยงานบุญแห่ข้าวพันกอ้ นรอมกนั พรอ้ มแลว้ กล่าวคำ�ป่าวรอ้ งเทวดาและคำ�ออ้ นวอนขอฝน เพื่อให้ฝนตกพรอ้ มกันแห่ไปรอบๆหมู่บ้านมกี ารเลน่ สาดน้ำ�กันไปตลอดทางเสรจ็ แล้วนำ�ไปบูชาไวท้ ี่วัดบางทอ้ งถิน่ จะทำ�กนั ในประเพณีไทยวันตรษุ สงกรานต์วนั สดุ ทา้ ยคอื ในคนื วนั ที่ ๑๕ เมษายน หลงั จากเล่นกนัสนุกสนานทัง้ วนั แลว้ ชาวบ้านจะนำ�เอาข้าวสารมาแชร่ วมกันส่วนมากจะเปน็หนุม่ สาวพอคอ่ นคนื จะรวมกลุม่ กันนึ่งและปั้นเปน็ กอ้ นจำ�นวนพันกอ้ นพร้อมกับ แต่งเคร่อื งบชู าเชน่ ดอกไม้ ธปู เทียน เปน็ ต้น ทำ�การคบงนั กนั อย่างครกึ ครน้ื พอใกลส้ วา่ งประมาณตี ๓-๔ ของวันท่ี ๑๖ เมษายน จะรวมกันแห่ข้าวพันกอ้ นไปรอบๆหมูบ่ า้ น ตีฆอ้ งตีกลองหรอื ดนตรีอนื่ ๆบรรเลงไปดว้ ยเสร็จแล้วนำ�ขา้ วพนั ก้อนและดอกไม้ ธปู เทียน ไปบชู าท่วี ดั และมีการนิมนตพ์ ระเทศนฉ์ ลองข้าวพันก้อนด้วย นอกจากจะแห่ไปบูชาทว่ี ัดของตนแล้วบางทียงัแห่ไปบชู าท่วี ดั ใกล้เคียงกม็ ีดว้ ย

เล้ยี งหมอ่ นไหม

ประวตั กิ ารเล้ียงหม่อนไหม การปลูกหมอ่ นเล้ยี งไหมและทอเป็นผืนผ้าไหมของจนี ถอื เปน็ ความลับท่หี วงแหนย่งิ ตราบจนกระท่ังมกี ารนำ�ผ้าไหมไปขายตามเส้นทางสายไหมอนัเล่ืองช่อื ประเทศเพอื่ นบ้านในเอเชยี พยายามจะเรยี นรกู้ ารท�ำ ไหม หลงั จากนัน้ราว 1,000 ปี การท�ำ ไหมจงึ แพรข่ ยายไปยังประเทศเกาหลี ญ่ปี ่นุ ประเทศในคาบสมทุ รอนิ โดจนี และอนิ เดีย ส�ำ หรับเมืองไทย แม้ไมม่ ีหลกั ฐานแน่ชดั วา่ การปลกู หม่อนเล้ียงไหมเกิดข้ึนเม่อื ใด แต่ใน พ.ศ. 2515 ระหว่างการขุดคน้ หาหลักฐานทางโบราณคดคี รงั้ใหญ่ของเจา้ หน้าที่กรมศิลปากร ที่บ้านเชียง จงั หวดั อดุ รธานี ไดพ้ บหลกั ฐานท่ีเปน็ผ้าของสมัยก่อนประวัตศิ าสตรใ์ นประเทศไทย คอื เศษผ้าติดอย่กู ับกำ�ไลสำ�รดิ ผ้าทพ่ี บน้ันคงมอี ายเุ ท่ากับอายขุ องก�ำ ไล คือ ประมาณ 2,400-2,800 ปี ซ่งึ อายจุ รงิของวธิ ที �ำ ผา้ อาจมมี าก่อน แตไ่ ม่มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ นอกจากที่บา้ นเชียงแล้วการขดุ ค้นยังพบหลักฐานเก่ยี วกับผ้าอ่นื ๆ จ�ำ นวนหนึง่ รวมท้งั ไหมด้วย ทบี่ า้ นนาดี จังหวดั อุดรธานี หลักฐานสำ�คญั ที่พบคอื ด้ายที่ใชเ้ ปน็ สายสร้อยคอ ใยปน่ั เป็นเกลยี วทำ�เปน็ ดา้ ย ผา้ เปน็ ผืน พบเพยี งเศษๆ และเสน้ ไหมซึง่ มใี ยขนาดต่างๆ กนัแสดงวา่ มกี ารใชผ้ ้าไหมเปน็ ของพน้ื เมอื งในดนิ แดนแถบน้มี าชา้ นานแล้ว เพราะฉะนน้ั จงึ เป็นไปไดท้ ัง้ สองทางว่าเม่อื มกี ารยา้ ยถิ่นฐานของผู้คน อาจน�ำ วัฒนธรรมการปลกู หม่อนเลย้ี งไหมติดตัวไปด้วย และอาจเรียนร้จู ากคนพื้นเมอื งท่อี าศยั อยู่ก่อนแลว้ ในดินแดนภาคพื้นเอเชยี อาคเนย์ แต่การเล้ยี งไหมในสมัยโบราณคงไม่ไดท้ �ำ กันเปน็ ล�่ำ เปน็ สันจนถงึ กับเปน็ การคา้ นอกจากจะเลี้ยงไหมไวเ้ พ่ือทอเป็นเครือ่ งน่งุ ห่มใชใ้ นครอบครัวเทา่ นนั้ เพราะมหี ลกั ฐานว่ามีการคา้ ขายผา้ ไหมกบั จนีต้งั แต่สมัยสโุ ขทยั อยุธยา สินคา้ ทเี่ รือสำ�เภาจีนบรรทุกมาคา้ ขายกับไทยในสมยั ตน้รตั นโกสินทร์ มผี ้าแพรไหมรวมอย่ใู นบญั ชีสนิ คา้ และในราชส�ำ นกั ไทย เจ้านายทรง พัสตราภรณ์ทตี่ ัดจากผา้ ไหมจีน รวมถึงผ้าไหมญีป่ นุ่ และผา้ ไหมอินเดียดว้ ย 

ประเพณสี ู่ขวญั ขา้ ว

ก�ำ เนิดแมโ่ พสพ เจ้าแม่แหง่ ข้าว แม่โพสพ เปน็ เมลด็ ขา้ วประเสรฐิ สุด เป็นเทพีกลางทอ้ งทุ่งนา ผู้ทรงอานุภาพศกั ดาเรืองฤทธ์ิ ช่วยชบุ ชวี ติ มนษุ ย์ให้ยืนยาง มีนำ้�ไม่นวลผวิ พรรณผ่องใส ชว่ ยส�ำ รองท้องให้อิ่มหมพี ีมนั อกี ทง้ั เสริมเพิ่มพลงั กายามเี รยี่ วมีแรงขมขี มนั แบกหามตรากตร�ำ งานหนักได้ทุกว่ีทกุ วนั ก็ดว้ ยเมลด็ ขา้ วแม่โพสพนีแ่ หละ แมผ่ ูม้ บี ุญคุญลำ�้เลศิ สงเคราะห์ลูกผู้ทุกข์โศก มิตอ้ งอนารร้อนใจ ตราบจนชัว่ ชวี ติ โอม..แมโ่ พศรี แม่โพสพ แม่นพดารา แมจ่ ันทร์เทวี แมศ่ รโี สภาไดเ้ ล้ยี งลูกมาใหญก่ ลา้ เพียงนี้ลูกขอบวงสรวงดว้ ยพวงมาลี ธูปเทยี นอัคคี ตามมีบชู าลูกขอน้ีไซร้ขอยกบญุ คณุ แม่โพสพ ข้ึนนบนอบเหนือเศียรต�ำ นานหนง่ึ เลา่ ว่า มีฤาษมี หากระไลย์โกฏอยู่สันโษในอรัญ บำ�เพ็ญพรหมขนั ธใุ์ นกฏุ ิ เพลาหน่งึ เกดิ อสุนีฟา้ ฟาด อากาศวปิ รติ โกลาหล ฟา้ ฝนกต็ กลงมามิหยุดหย่อนมเี มล็ดขา้ วปลวิ ว่อนกระจาย พอฟา้ ฝนหายฤๅษีกเ็ หน็ เป็นอัศจรรย์ จึงจดั สรรน�ำ ไปปลกู ริมฝัง่ นทสี ระน้�ำ ฝนชะตลอดมา จนขา้ วกลา้ แตกรวง กาลล่วงเขา้ ฤดหู นาว เมล็ดขา้ วกแ็ กจ่ ัด พระฤๅษีก็โสมนสั ยิ่งนกั ครน้ั จะน�ำ มากนิ กก็ รง่ิ เกรงจะเบ่อื เมา อนั ตวั เรากพ็ ่ึงพบคราวนี้ คราวหน่ึงสกลุ ณสี กณุ ามาเปน็หมู่ บนิ จูโ่ จมกนิ ขา้ วสาลี ฤๅษีเหน็ ดงั น้นั พลันรู้ว่า หมปู่ ักษามไิ ด้ตายวายชวี ิต ก็คิดวา่ คงเป็นอาหารอนั โอชารส พระดาบสจึงเก็บพนั ธ์ุข้าวไว้เพาะปลูกกระจายลูกหลานเหลน ได้เป็นอาหารของมนษุ ยส์ ดุ ประเสรฐิ โดยกำ�เนดิ ขององค์ดาบส ตราบเทา่ ทุกวันน้ี

วดั พระแท่นศลิ าอาสน์

ประวตั วิ ัดพระแท่นศลิ าอาสน์ วัดพระแท่นศลิ าอาสน์ เดมิ ชื่อ วัดมหาธาตุ ต้ังอยทู่ ่ีบนเนนิ เขาเตา่ บา้ นพระแทน่ ตำ�บลทุ่งยัง้ อ�ำ เภอลบั แล จังหวัดอุตรดติ ถ์ ติดกบั วัดพระยนื พทุ ธบาทยุคล ซ่งึ ตง้ั อยู่ทางดา้ นทิศตะวนั ออก บนเนนิ เขาลูกเดียวกันแตค่ นละยอดวดั พระแทน่ ศิลาอาสน์เป็นวดั โบราณ ไมป่ รากฏหลกั ฐานวา่ ผใู้ ดสรา้ ง และสรา้ งแต่เม่อื ใด ในศิลาจารกึ คร้งั กรุงสโุ ขทัยไม่ปรากฏขอ้ ความกลา่ วถงึ พระแท่นศลิ าอาสน์ แตเ่ พง่ิ มปี รากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร ในรัชสมยั พระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ พระองค์ได้เสดจ็ นมสั การพระแท่นศลิ าอาสน์ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2283 ได้แสดงวา่พระแท่นศิลาอาสนไ์ ดม้ ีมาก่อนหนา้ น้ีแลว้ จนเปน็ ท่ีเคารพสักการะของคนท่ัวไปอย่างกวา้ งขวาง และทางราชการได้น�ำ พระแทน่ ศลิ าอาสนไ์ ปประดิษฐานไวใ้ นตราประจำ�จังหวดั อตุ รดิตถ์ แสดงถึงความศรัทธาเลอ่ื มใสและความสำ�คญั ขององค์พระแท่นศิลาอาสน์ไดเ้ ปน็ อย่างดี สมเดจ็ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพทรงสันนษิ ฐานวา่ พระแทน่ ศลิ าอาสน์อาจมีมากอ่ นแลว้ ชา้ นาน กอ่ นที่พระเจ้าบรมโกศเสด็จไปบูชา เพราะพระแทน่ ศิลาอาสน์อยูร่ มิ เมืองทงุ่ ยงั้ ซ่งึ มีมาต้ังแต่ครง้ั สมัยอาณาจักรเชียงแสนก่อนสโุ ขทัยและบางทีช่อื ท่งุ ย้ังนนั้ เอง จะเปน็ นมิ ิตใหเ้ กิดมีพระแท่น เปน็ ที่พระพุทธเจ้าประทับยบั ย้ัง เมอื่ เสด็จผา่ นมาทางน้ัน ในทางตำ�นานมคี ตทิ เี่ ช่อื วา่ พระพุทธเจ้าไดเ้ สดจ็ยงั ประเทศตา่ ง ๆ ภายนอกอินเดยี ด้วยอิทธิฤทธฌิ์ านสมาบัติ และไดป้ ระดิษฐานเจดีย์ หรอื ตรสั พยากรณ์อะไรไวใ้ นประเทศเหล่านนั้ เปน็ คติที่เกดิ ในลงั กาทวีปและประเทศอ่นื ได้รบั เอาไปเชอ่ื ถอื ดว้ ย จึงเกิดมเี จดยี ์วตั ถแุ ละพุทธพยาการณ์ ท่ีอ้างว่าพระพทุ ธองคไ์ ด้ทรงประดิษฐานเจดยี ไ์ ว้ มากบา้ ง น้อยบ้างทกุ ประเทศเฉพาะเมอื งไทย มีปรากฏในพงศาวดารโดยลำ�ดบั มาวา่ พบรอยพระพทุ ธบาท ณไหล่เขาสวุ รรณบรรพต เมื่อรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม รัชกาลพระเจา้ เสอื ได้เสดจ็ไปบชู าพระพทุ ธฉาย ณ เขาปถั วี และพระเจา้ บรมโกศ เสดจ็ ไปบูชาพระแทน่ ศลิ าอาสน์

งานเทศกาลนมสั การพระแทน่ ศิลาอาสน์

งานเทศกาลนมัสการพระแทน่ ศลิ าอาสน์ ณ วนั เพญ็ เดือนสาม อันเป็นวนัมาฆบูชา จะเริ่มตง้ั แต่ วนั ขึ้น 8 ค�ำ่ ถึง วนั ขึ้น 15 ค่�ำ เดือนสาม บรรดาพระภกิ ษุสงฆจ์ ะธุดงคม์ าปกั กลดพกั แรมท่บี รเิ วณใกลว้ ัด เมอ่ื ถึงวันมาฆบูชา เวลาประมาณ19.30 น. พระภิกษสุ งฆจ์ ะเข้าไปในพระวหิ าร แลว้ สวดพระพทุ ธมนต์ มพี ระธรรมจักรกัปปวัตตนสตู รเป็นตน้ เม่อื เสร็จพิธแี ล้ว กอ็ อกมาให้ศีลใหพ้ รแก่ผู้ที่มานมัสการพระแทน่ ศิลาอาสน์ ในตอนเช้าของทกุ วนั ในระหว่างเทศกาล บรรดาพระสงฆ์ท่ีธุดงค์มานมัสการ พระแทน่ ศิลาอาสน์ จะเดนิ ทางเขา้ ไปบิณฑบาตตามหมบู่ า้ น และบรรดาชาวบ้านจะนำ�อาหารมาถวายทีว่ ัดอกี เปน็ จำ�นวนมาก เม่ือพระฉนั อาหารเสรจ็ แลว้ ชาวบา้ นก็จะแบง่ ปนั อาหารร่วมรับประทานด้วยกัน รวมท้งั ผู้ทเ่ี ดินทางมานมสั การพระแท่นศิลาอาสนด์ ว้ ย นบั ว่าเปน็ การทำ�บญุ กลางแจง้ ท่ยี ิ่งใหญ่เป็นประจ�ำ ทุกปี เน่ืองจากวัดพระนอนพทุ ธไสยาสน์ และวัดพระยืนพทุ ธบาทยคุ ล มอี าณาบริเวณอยตู่ ิดต่อกนั จึงจัดงานประจ�ำ ปีพร้อมกนั กับวดั พระแทน่ ศิลาอาสน์ เปน็เวลา 8 วัน 8 คนื ท�ำ ให้พทุ ธศาสนิกชนทม่ี าในงานเทศกาลน้ีได้ นมัสการพระบรมธาตุ และพระพุทธบาทดว้ ย เปน็ การไดน้ มัสการพระพทุ ธเจดยี สถาน อนั เปน็ ท่ีเคารพสกั การะ ไดค้ รบถ้วนในโอกาสเดยี วกนั ยากจะหาท่ีใดเสมอเหมือน

วดั พระบรมธาตทุ ุ่งย้งั

ประวตั ิวดั พระบรมธาตทุ ุ่งยง้ั วดั พระบรมธาตุทงุ่ ยัง้ หรือ วดั พระบรมธาตุ ตง้ั อยูท่ กี่ ลางเทศบาลต�ำ บลทงุ่ ยัง้ ตำ�บลทุง่ ยง้ั อำ�เภอลบั แล จังหวัดอตุ รดติ ถ์ เป็นวดั โบราณประดิษฐานพระมหาธาตปุ ระจำ�เมืองทุ่งยง้ั เมอื งโบราณตง้ั แตส่ มยั กอ่ นสโุ ขทัยตามต�ำ นานการสร้างพระบรมธาตุกล่าวว่า สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาลไิ ท ผู้ครองเมืองสโุ ขทยั ไดเ้ ชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตุของสมเดจ็พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า มาบรรจไุ ว้ในถ�ำ้ ใต้ดนิ โดยขุดลงไปเป็นถ้�ำ แล้วกอ่พระธาตไุ ว้ โดยลกั ษณะเดมิ ของพระบรมธาตุเมืองทงุ่ ย้ังคงเป็นรปู เจดีย์พ่มุ ข้าวบณิ ฑ์ แตต่ ่อมามีการบูรณะเพิ่มเติมโดยพญาตะก่าพ่อค้าไม้ชาวพมา่ ในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ช่วงกอ่ นปีพ.ศ. 2444 เปน็ ลกั ษณะเจดยี ์อย่างพมา่ จนใน พ.ศ. 2451 ได้เกิดแผน่ ดินไหวคร้ังใหญท่ �ำ ใหย้ อดพระบรมธาตุเจดียห์ กั พังลงมา หลวงพ่อแกว้ สมภารวดั พระบรมธาตใุ นขณะนน้ั ไดเ้ ป็นหัวหน้าปฏสิ งั ขรณซ์ ่อมเพิม่ เตมิ ดังรปู แบบท่ปี รากฏในปัจจบุ นั วดั พระบรมธาตทุ ุ่งยง้ั ในปจั จบุ นั ไดร้ ับการบรู ณะซ่อมแซมบ�ำ รงุ อยู่เสมอในฐานะวดั สำ�คัญประจ�ำ เมืองทุ่งยง้ั ซ่งึ เมอื งทุ่งย้ังในปจั จบุ ันถือได้ว่าเป็นเมอื งทมี่ ีผ้คู นอาศัยติดต่อกนั มาอย่างยาวนานต้ังแต่สมยั ก่อนการสถาปนาอาณาจักรสโุ ขทัยซง่ึ พิจารณาไดจ้ ากสำ�เนียงการพูดของคนทุ่งย้ังเทยี บกบั กลุ่มคนในชุมชนชาวสโุ ขทัยเดิม ทีอ่ าศยั อยู่ในแถว หมู่ท่ี 10และหลายๆ หมู่บ้านในเขตตำ�บลทุง่ ยงั้ ท่ีมีประวตั ชิ ุมชนว่าเปน็ กลุ่มคนทอี่ พยพไปตง้ั บ้านเรอื นทอ่ี ืน่ ได้วัดพระบรมธาตทุ ุง่ ยง้ั ยังมีประเพณีประจ�ำ ปีท่ีสำ�คัญคอื ประเพณีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ทุกวันแรม 8 คำ่� เดือน 6 ของทุกปี โดยเป็นวนังานสลากภัตของวัดและจะมีการจัดแสดงพุทธประวัตติ อนถวายพระเพลงิ พระบรมศพดว้ ย

วนั อฐั มบี ชู า

ประวตั ิพิธถี วายพระเพลงิ พระบรมศพ พธิ ถี วายพระเพลงิ พระบรมศพมขี น้ึ ในวันท่ี 8 หลงั จากพระผู้มพี ระภาคเจา้ เสดจ็ ปรินิพพานใตต้ ้นสาละในราตรี 15 ค่ำ� เดือน 6 โดยพวกเจา้ มัลลกษตั ริย์จดั บูชาดว้ ยของหอม ดอกไม้ และเคร่ืองดนตรีทุกชนดิ ที่มอี ย่ใู น เมืองกุสินาราตลอด 7 วัน แลว้ ให้เจา้ มัลละระดับหัวหน้า 8 คน สรงเกล้า นุ่งห่มผา้ ใหม่อญั เชิญพระสรรี ะไปทางทศิ ตะวันออก ของพระนคร เพื่อถวาย พระเพลงิ พวกเจ้ามลั ละถามถงึ วธิ ีปฏิบัติพระสรีระกบั พระอานนทเ์ ถระ แลว้ ท�ำตามค�ำ ของพระเถระนั้นคือ หอ่ พระสรรี ะดว้ ยผา้ ใหมแ่ ล้วซับด้วยส�ำ ลี แล้วใช้ผ้าใหม่หอ่ ทบั อีก ท�ำ เช่นนีจ้ นหมดผา้ 500 คู่ แลว้ เชญิ ลงในรางเหลก็ ท่ีเตมิ ดว้ ยน�ำ้ มัน แลว้ ท�ำ จิตกาธานดว้ ยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด จากนน้ั อัญเชิญพวกเจา้ มลั ละระดบั หัวหน้า 4 คน สระสรงเกล้า และนงุ่ หม่ ผ้าใหม่ พยายามจดุไฟทีเ่ ชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จงึ สอบถามสาเหตุ พระอนรุ ทุ ธะ พระเถระ แจ้งว่า \"เพราะเทวดามคี วามประสงค์ใหร้ อพระมหากสั สปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ 500 รปู ผ้กู �ำ ลงั เดนิ ทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสยี ก่อน ไฟก็จะลุกไหม้\" ก็เทวดา เหล่านน้ั เคยเป็นโยมอปุ ัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผใู้ หญ่มากอ่ น จงึ ไมย่ นิ ดีทไี่ มเ่ ห็นพระมหากสั สปะอย่ใู นพธิ ี และเม่ือภกิ ษุหมู่ 500 รปูโดยมีพระมหากสั สปะเป็นประธานเดินทางมาพรอ้ มกนั ณ ทถ่ี วายพระเพลิงแล้วไฟจงึ ลุกโชนขน้ึ เองโดยไม่ต้องมีใครจุด

ข้าวเกรียบว่าวความเป็นมา ขา้ วเกรยี บว่าวเป็นขนมทานเลน่ โบราณของไทยทท่ี �ำ จากข้าวเหนียว สบืเนอ่ื งจากการด�ำ รงชีวติ ของชาวเหนือ ซง่ึ อพยพเข้ามาตง้ั ถิ่นฐานประกอบอาชีพทำ�มาหากินในพ้นื ที่ ส่วนใหญ่จะรบั ประทานขา้ วเหนยี ว เมอ่ื ถงึ คราวงานบุญ งานตามประเพณี จะน�ำ อาหารไปถวายพระก็จะต้องมขี า้ วเหนียวในรูปแบบตา่ งๆ ไปถวายพระ อยา่ งเช่น ขา้ วจี่ ซึ่งชาวบ้านจะน�ำ ขา้ วเหนยี วน่ึงสุกแลว้ มาปน้ั เป็นก้อนใหญ่เล็กตามต้องการแล้วยา่ งไฟเรยี กว่าข้าวจเ่ี พอ่ื ถวายพระภกิ ษสุ ามเณร สำ�หรับข้าวจี่บา้ งกจ็ ะทาดว้ ยไข่ไก่หรือยดั ไส้ดว้ ยกอ้ นน�ำ้ ออ้ ยหรือแจ่วแล้วแตใ่ ครจะชอบรสอะไรบางครัวเรอื นก็น�ำ ขา้ วเหนียวมาปน่ ละเอยี ดแล้วผา่ นกระบวนการทางภูมปิ ัญญาของบรรพบรุ ษุ กลายเป็นขา้ วเกรยี บแผ่นบางๆนำ�ไปยา่ งไฟเพ่ือถวายพระภิกษสุ ามเณรจากน้นั ก็แจกจ่ายกนั รับประทานในครวั เรือนญาตพิ ่ีนอ้ ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook