เลา เรียน-ทาํ งานกันไป ชวี ติ ไดอ ะไร พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) สพพฺ ทานํ ธมมฺ ทานํ ชนิ าติ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๑
เลา เรยี น-ทํางานกนั ไป ชวี ติ ไดอ ะไร พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ISBN 974-344-395-9 พมิ พคร้ังท่ี ๒+ (ปรับปรงุ ) - ๒๕๔๙ ๒,๐๐๐ เลม (รวมเนอื้ หาท่คี ัดตดั มาจากหนงั สอื ๒ เลม และปรับปรุงเพมิ่ เติมตามควร) พมิ พครั้งท่ี ๑๒ - มกราคม ๒๕๕๑ ๒,๐๐๐ เลม - คุณปย มน พัวพงศกร พมิ พเปน ธรรมทาน แบบปก: พระชัยยศ พุทธฺ วิ โร พมิ พท ี่
อนโุ มทนา
สารบัญ อนโุ มทนา ก เลาเรยี น-ทาํ งานกนั ไป ชีวิตไดอะไร ๑ มนษุ ย คอื สตั วผ ตู อ งศกึ ษา ชวี ติ ทด่ี ี คอื ชวี ติ แหง การศกึ ษา ๑ ทํางานเพื่ออะไร? ๗ ควรทํางานกนั อยางไร? ๑๐ จดุ มงุ หมายของคน หรอื จุดมุงหมายของงาน? ๑๔ ทํางานอยางไร จงึ จะไดค วามสขุ ? ๒๑ ชวี ติ งาน และธรรม: ความประสานสูเอกภาพ ๒๘ ชวี ิต งาน และธรรม: อสิ รภาพภายในเอกภาพ ๓๑
เลา เรียน-ทํางานกันไป ชวี ติ ไดอะไร* -E- มนษุ ย คอื สัตวผูตองศกึ ษา** ชวี ติ ทีด่ ี คอื ชีวติ แหง การศกึ ษา ธรรมชาติของมนุษยเปนอยางไร ธรรมชาตขิ องมนษุ ยก ็คือ เปน สตั วท ตี่ องฝก หรอื ตองศกึ ษา และฝกได หรือศึกษาไดดว ย การที่มนุษยเราจะมีชีวิตท่ีดีงาม เราจะตองศึกษาฝกฝนพัฒนาตัว เองใหด ีขึ้นไป ในระบบการดาํ เนินชีวิตของเรา ซึง่ ประกอบดว ยพฤติกรรม จิตใจ และปญ ญา เมือ่ เราฝก ฝนพฒั นา มกี ารศกึ ษา กท็ ําใหก ารดาํ เนินชวี ติ ของเราดีข้ึน แตถ าเราไมเรยี นรู ไมฝ ก เราจะดําเนินชวี ิตใหดไี มไ ดเ ลย ท้ังน้ี เพราะมนุษยอยูด วยสัญชาตญาณอยา งเดยี วไมพอ สัญชาตญาณนี้มนุษยอาศัยไดนอยเหลือเกิน ไมเหมือนสัตวชนิด อืน่ ทอ่ี าศยั สัญชาตญาณไดมาก จนกระท่ังวามนั แทบไมตองเรยี นรู ไมตอง ฝกฝนอะไรเลย มนั กอ็ ยไู ด แตสัตวน ั้น ถงึ แมมนั จะฝกไดบาง มนั ก็ฝกไดน อยเรยี นรไู ดน อ ย อยางยง่ิ อยา งดกี ต็ องใหม นุษยฝกใหจนพอทําอะไรไดบ า งในขอบเขตทจ่ี าํ กดั * ชอื่ เรอ่ื งใหม สาํ หรบั เนอื้ เรอื่ งทคี่ ดั ตดั ตอนจากหนงั สอื ๒ เลม คอื ถงึ เวลามารอื้ ปรบั ระบบ พฒั นาคนกนั ใหม และ ชวี ติ นเี้ พอ่ื งาน งานนเี้ พอ่ื ธรรม ซงึ่ นาํ มารวมตอ กนั ตามทค่ี ณุ โยมนาม พนู วตั ถุ ไดเ ลอื กและแจง ความประสงคเ พอื่ พมิ พแ จก (ครงั้ แรก มถิ นุ ายน ๒๕๔๘) ** จาก ถงึ เวลามารอ้ื ปรบั ระบบพฒั นาคนกนั ใหม, พมิ พค รง้ั ที่ ๕, พ.ศ. ๒๕๔๓, หนา ๓๐–๓๖
๒ เลาเรยี น-ทาํ งานกนั ไป ชวี ิตไดอ ะไร ยง่ิ ตรงขามกบั มนษุ ยทีอ่ าศยั สญั ชาตญาณแทบไมไดเ ลย การดําเนนิ ชีวิต ตอ งเรียนรตู องฝกท้ังหมด การดําเนินชีวติ ท่ดี ีของมนษุ ยตองอาศยั การลงทนุ คอื ตอ งเรียนรูตองฝก แตพ รอ มกันนัน้ มนษุ ยกเ็ รียนรูและฝกไดอยางแทบ ไมมีขีดจาํ กัด หลกั การของพระพุทธศาสนาสอนตามธรรมชาตวิ า มนษุ ยเปนสตั ว ท่ตี องฝก และฝกได ฝกไปทาํ ไม ก็ฝกใหดาํ เนนิ ชีวิตไดด ยี ่ิงขน้ึ ไป จะไดม ี ชีวิตทีด่ ีงาม มคี วามสขุ เปนอสิ ระ และอยรู ว มกนั ไดอยา งมสี นั ตสิ ุขในสงั คม และในโลก ทาํ ไมจึงตองฝก เพราะชวี ติ ของเราทเ่ี กดิ มาตัง้ แตเ ร่มิ ตน เราได เรยี นรมู า ไดฝ ก ไดหัดมา เราจึงอยูร อดมาได และอยูไดด ว ยดี อยางทเี่ ห็นกนั อยูวา มนุษยเ กิดมาอาศัยสัญชาตญาณแทบไมไ ดเ ลย เราตองเรียนรูและตองฝกตองหัดเอาท้ังนั้น พอเกิดมาก็ตองมีคนอ่ืนอุมชู กอน ตอ งเลีย้ งดเู ปนเวลาหลายป ในระหวา งทเี่ ขาเลี้ยงดนู น้ั ตวั เองทําอะไร ตัวเองกเ็ รยี นรูแ ละฝก หดั ไป ตองเรียนตองฝก ท้ังนน้ั ทง้ั การนัง่ การนอน การยนื การกิน การขบั ถาย จนกระทั่งมาเดิน มาพดู ตอ งฝก ตองหดั หมด จึงบอกวา การดําเนินชีวิตของมนุษยแทบไมมีอะไรไดมาเปลาๆ มนุษยต องลงทนุ ท้ังน้นั ลงทุนดวยการหัด ดว ยการฝก ดวยการเรียนรู เรา จงึ ไดการดาํ เนนิ ชวี ิตท่ดี ีมา การดาํ เนนิ ชวี ติ ทด่ี นี นั้ เราเรยี กลดั สนั้ วา จรยิ ะ สว นการเรยี นรู ก็ เรยี กเปน คาํ ศพั ทว า สกิ ขา (คอื การศกึ ษา) เมอื่ การดาํ เนนิ ชวี ติ ทด่ี นี นั้ เราได มาดว ยการเรยี นรู กจ็ งึ พดู สนั้ ๆ วา จรยิ ะนนั้ เราไดม าดว ยสกิ ขา เพราะฉะน้ัน ชีวิตของมนุษย ถา จะเปน ชวี ติ ทด่ี ี ตอ งมีการศึกษา ตลอดเวลา คือตอ งเปนชวี ติ แหงการศกึ ษา จะพดู วา ชีวติ ทด่ี ี คอื ชวี ติ แหง การศึกษา กไ็ ด เพราะชวี ติ ท่ีดี ตองมีการฝกฝนพฒั นา เราไมสามารถได ชีวิตทด่ี มี าเปลาๆ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓ พรอมกันนน้ั การดาํ เนนิ ชวี ติ กเ็ ปน โอกาสใหม นษุ ยไ ดเรยี นรูห รือได ศึกษา กลา วคอื มนษุ ยก็เรียนรูหรอื ศึกษาจากการดาํ เนินชีวติ น่ีแหละ เพราะ ฉะนั้น การดาํ เนินชีวิตท่ีดี จึงเปนการดาํ เนินชวี ติ พรอมไปดว ยกนั กบั การ เรียนรู และจึงกลา ววา ชวี ติ ที่ดี คือชวี ติ แหงการเรยี นรู (สกิ ขา) และมนุษย ย่งิ เรียนรู กย็ ิง่ มีชีวติ ทดี่ ี (จรยิ ะ) เพราะฉะนัน้ ถาการศึกษาถูกตอ ง ยิ่งศกึ ษา กย็ งิ่ มจี ริยะ แตม นุษยสว นใหญ ไมใสใ จในหลักการที่เปนธรรมชาตนิ ้ี เม่อื การ เรียนรู การฝก การหดั นัน้ จําเปน เพื่อใหตัวดาํ เนินชวี ติ อยูได เขากเ็ รียน กฝ็ ก ก็หัดไปดวยความจําเปนจาํ ใจ แคพอจะใหต วั อยรู อดได แลวกห็ ยุดฝก เขา จงึ ไมพฒั นาเทาท่คี วร ถาใครตระหนักถึงธรรมชาติของชีวิตมนุษยวา ชีวติ ที่ดขี องมนุษย ไดมาดวยการเรยี นรู ฝก ฝน พัฒนา ตองมสี ิกขา ถาเราฝก ฝนพฒั นาเรยี นรู อยูเรอื่ ย ชีวติ ของเราจะดีงาม เขากจ็ ะสกิ ขาตอ ไปเรือ่ ยๆ จนมีชวี ติ ที่ประเสริฐ อยา งนอยกใ็ หอ ยูดี มิใชแ คอ ยรู อด ชีวติ ทีม่ กี ารศกึ ษา คอื เรยี นรู ฝก หัด พัฒนาอยเู รือ่ ย จะเปนชวี ติ ที่ ประเสรฐิ เรยี กวา “ชวี ติ ประเสรฐิ เกดิ จากการศกึ ษา” ดงั พทุ ธพจนท ยี่ า้ํ อยเู รอื่ ย วา ทนโฺ ต เสฏโ มนสุ เฺ สสุ แปลวา ในหมมู นษุ ยน นั้ ผทู ฝี่ ก แลว เปน ผปู ระเสรฐิ ความเปนสตั วพ เิ ศษของมนุษยอยูตรงนี้ คอื การท่ีศกึ ษา เรยี นรู ฝก หดั พฒั นาได และฝกหดั พฒั นาไปไดอ ยา งแทบไมม ีที่ส้นิ สุด จนเปน พทุ ธะก็ ได อกี ทง้ั ฝกตวั เองไดดว ย ดงั วาทะที่วา มนุสสฺ ภูตํ สมฺพทุ ธฺ ํ อตฺตทนตฺ ํ สมาหิตํ แปลวา พระสมั พทุ ธเจา นี้ ทง้ั ทเ่ี ปน มนษุ ย แตฝ ก พระองคแ ลว มพี ระทยั อบรมถงึ ทแี่ ลว แม เทพทง้ั หลายกน็ อ มนมสั การ นี่กลายเปนพลิกกลับเลย แตกอนน้ัน มนุษยตองไหวกราบเคารพ เทวดา แตพ อมนษุ ยฝ ก ตนดแี ลว เทวดากลบั มาไหวม นุษย
๔ เลาเรียน-ทาํ งานกันไป ชีวิตไดอ ะไร พระพุทธศาสนาเกิดในสังคมที่บูชาเทพเจา มนุษยเอาแตหวังพ่ึง อาํ นาจดลบนั ดาลขา งนอก พระพทุ ธเจา ตอ งใหก าํ ลงั ใจวา อยา มวั ไปออ นวอน อยา มวั ไปหวงั พง่ึ ตวั คณุ นแ้ี หละพฒั นาได และถา คณุ พฒั นาตวั ดี เทวดาและ แมแ ตพ ระพรหมก็หันมานบั ถือคณุ นเ้ี ปนการตรสั ใหคนเกิดกําลงั ใจ ไมใ ห มัวงอมืองอเทา ไปหวงั พ่งึ ส่งิ ภายนอก ตกลงวา ในคติพทุ ธศาสนา เร่ืองจริยะหรอื จรยิ ธรรมไมไ ดแ ยกจาก การศกึ ษาเลย แตเ ปน เรอื่ งเดยี วกนั เพอื่ ใหม จี รยิ ะ คอื การดาํ เนนิ ชวี ติ ทดี่ งี าม ทป่ี ระเสรฐิ กต็ อ งมสี กิ ขา คอื ศกึ ษา ฝก ฝน เรยี นรู พฒั นา และเมอ่ื คนมจี รยิ ะ คอื ดําเนินชวี ิตท่ีดีงามไป เขาก็ย่งิ ไดส กิ ขา คือไดเ รียนรฝู ก ฝนพฒั นามากขน้ึ จงึ ไดอ า งพระพทุ ธดาํ รสั ทวี่ า พรหมจรยิ ะ คอื จรยิ ะอนั ประเสรฐิ ได แก ศลี สมาธิ ปญ ญา ซงึ่ ตรงกบั สกิ ขา คอื การเรยี นรู ฝก ฝน พัฒนา ไดแก ศลี สมาธิ ปญ ญา ๓ อยางเหมือนกัน ไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปญ ญา บอกชดั อยูแลว วา ฝก ๓ อยา ง ฝก อะไร ก็ฝก พฤติกรรม ฝกจติ ใจ ฝกปญญา แลว กเ็ กิดจรยิ ะดีงาม (เรยี กวา พรหมจรยิ ะ) คอื การดาํ เนนิ ชวี ติ ทด่ี งี าม ทาํ ใหม พี ฤตกิ รรม จติ ใจ และปญ ญา ทด่ี ยี งิ่ ขนึ้ ไป ฝก อะไรกไ็ ดส ง่ิ นนั้ ฝก ทไ่ี หน กฝ็ ก ทศ่ี ลี สมาธิ ปญญา คติของสัตวชนิดอืน่ วา เกิดมาดว ยสัญชาตญาณใด ก็ตายไปดว ย สญั ชาตญาณนั้น แตของมนุษยไมอยา งน้ัน คติของมนุษยว า ฝก อยา งไรได อยางนั้น จึงเปนหลักการของมนุษยวาจะตองมีการฝก คือเรียนรูฝกหัด พฒั นา เพราะนี่เปนธรรมชาติของมนษุ ย ผเู ปนสัตวทต่ี อ งฝก และฝกได คาํ วา “ตองฝก ” แสดงถึงความเสยี เปรียบของมนษุ ย ท่ีวา สตั วอนื่ มันไมต องฝก ไมตอ งหัด ไมต อ งเรียนรู มนั ก็อยูไ ด สว นมนษุ ยนีแ่ ยกวา ตอ งฝก จึงอยูได แต “ฝกได” แสดงความพิเศษทเ่ี ปนขอ ดีของมนุษยว า มนษุ ยน้ีฝก ได จนกลายเปน สตั วผ ูประเสริฐ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕ นกี่ บ็ อกอยใู นตวั วา มนษุ ยน เี้ ปน สตั วท ป่ี ระเสรฐิ ดว ยการฝก หรอื ฝก แลว จงึ ประเสรฐิ ถา ไมฝ ก กไ็ มป ระเสรฐิ แตตรงขาม ถาคนไมฝกตน จะแยยิ่งกวาสัตวอื่นๆ เพราะโดย สัญชาตญาณ คนสูสตั วอ ่ืนไมได เมื่อคนไมฝ กตน คนกไ็ มม ปี ญญาซึ่งเปน แกนทจี่ ะทาํ ตัวใหป ระเสริฐ สวนสตั วอ ่นื ถงึ จะอยไู ดหรอื เกงดว ยสญั ชาตญาณ แตมนั ฝก ไมไ ด คือสตั วอ นื่ นน้ั มนั ไมตองฝก และมนั ก็ฝกไมไดดว ย (ไมใ ชฝกไมไดเลย มนั เรียนรแู ละฝก ไดใ นขอบเขตจํากัดมาก และตอ งใหมนุษยฝ กให) แตมนษุ ยนี้ ๑. ฝกได ๒. ฝก ตัวเองได ฝก ตนไดน แี่ หละสาํ คญั อยา งยง่ิ การเรยี นรูฝกฝนพฒั นาอยางแทท ี่ ไดผ ลสงู สุด ก็คอื ฝกตวั เอง หมายความวา รจู ักเรียนรู เอาสงิ่ ทัง้ หลายเปน ปจจัยในการฝก ฝนพัฒนาตนเอง แลวจะฝกฝนพัฒนาไปถึงไหนกัน ก็พฒั นาไปจนเต็มสุดศักยภาพ ของความเปนมนุษย หรือเทาท่ีความเปนคนจะใหถึงได อยางที่วาแลว มนุษยศ กึ ษาใหเปน นกั ปราชญ นกั วิทยาศาสตร นักอะไรๆ อกี มากมาย ได ทง้ั น้นั จนกระท่ังฝกใหถ ึงท่สี ดุ มนษุ ยจ ะเปนพุทธะกไ็ ด พูดงา ยๆ วา ไมเ พยี งศกั ยภาพทางรางกาย แตยังมศี กั ยภาพทางจิต และศักยภาพทางปญ ญาอีกมากมายหลายระดบั แมแตความสขุ กย็ ังมีอีก หลายขน้ั ไมใชแคความสขุ จากการเสพทางผัสสทวารทต่ี องพ่งึ พา ขน้ึ ตอตัว ประกอบภายนอก และตองแยง ชงิ กัน แตมีความสขุ ท่ปี ระณตี และเปน อิสระ ท่ีมนุษยจ ะพัฒนาศักยภาพขึ้นไปไดไปถึงยิ่งข้ึนๆ ไป อกี มากมาย ขอยอ นไปหาขอ สรปุ วา ระบบจรยิ ะในพทุ ธศาสนาเปน เรอื่ งของชวี ติ ทงั้ ชวี ติ ทเี่ ปน องคร วม เปน ระบบความสมั พนั ธข องเหตปุ จ จยั ๓ ดา น ทสี่ ง ผลตอ
๖ เลาเรยี น-ทาํ งานกนั ไป ชวี ติ ไดอ ะไร กนั จะไปแยกจากกนั ไมไ ด ตอ งพฒั นาไปดว ยกนั และการทจี่ รยิ ะนน้ั จะเปน พรหมะ (พรหมจรยิ ะ) คอื จะเปน การดาํ เนนิ ชวี ติ ทด่ี งี ามได จรยิ ะกต็ อ งเปน ไป ตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย (ทเ่ี ปน สตั วท ต่ี อ งฝก ตอ งเรยี นร)ู คอื ตอ งศกึ ษา เพราะฉะน้ัน จริยะจึงแยกจากการศึกษาไมไ ด และดังน้ัน เรือ่ ง การศกึ ษา กับเร่อื งจริยะ จึงแทบจะเปน เรือ่ งเดยี วกนั แตเวลานี้เรามองจริยธรรมเปนสวนเศษนิดเดยี วของการศกึ ษา และ การศกึ ษาทเ่ี ราพดู ถงึ กนั นน้ั เมอ่ื มองในแงข องพทุ ธศาสนา กเ็ ปน เศษนดิ เดยี ว ในระบบการศกึ ษาของพทุ ธศาสนา เพราะการศกึ ษาปจ จบุ นั มองพรา แลว การศึกษาในความหมายของคนทั่วไป จะมองเนนไปในเร่ืองของ การเลาเรียนวชิ าทาํ มาหากิน ท้ังๆ ท่ีนกั การศึกษาบอกวาไมใ ชแคนั้น แตเวลาจดั การศกึ ษาในเชิง ปฏิบัติ เรากม็ ักจะเอาอยา งนน้ั หรือแมแตแ คนน้ั จนกระทัง่ ชาวบานกม็ อง เปน อยางน้ันวา การศกึ ษาคืออะไร คือไปเลาเรยี นวิชา เพือ่ จะไดเอามาทาํ มา หาเลีย้ งชีพ ตลอดจนเอาไปเปนเครอ่ื งมือหาผลประโยชน อยา งดีกเ็ อามาพฒั นาเศรษฐกจิ พัฒนาสงั คม จนกระทงั่ ไปๆ มาๆ ตวั คนเองกก็ ลายเปน แคทรพั ยากรมนุษย เม่ือคนมองแคบๆ และเขวกันไป จนการศึกษาเปนแคการรูวิชา เลีย้ งชพี ทํามาหากนิ คนเลาเรยี นไป ทํางานทําเงนิ ไดมา กว็ ายวนอยกู บั ความ วุนวายในการวิ่งแขงแยงกันหาความสุข จนกระท่ังสังขารเห่ียวแหงรวงโรย เทย่ี วหาความสขุ ไมไ หว กเ็ หงาหงอย แลว ชวี ติ กจ็ บไป ในสภาพเชน น้ี ศกั ยภาพของความเปนมนุษยที่มีอยู ถกู ท้ิงสูญเปลา เกดิ มาแลวชีวติ เหมือนวาวา งเปลา อยางนาเสียดาย ไมไดประโยชนจากการมี ชีวิต และไมไ ดใชชวี ิตใหเ ปนประโยชน ใหส มกบั ศกั ยภาพทต่ี นมี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๗ ทํางานเพื่ออะไร?* งานเปน กจิ กรรมสว นสาํ คญั ของชวี ติ เพราะฉะนน้ั ถา จะดใู หล ะเอยี ด วา เราใชช วี ติ กนั อยา งไร กต็ อ งมาดเู รอื่ งการทาํ งานวา ทาํ กนั อยา งไรดว ย คนเรานัน้ มองการทาํ งานตางกันไปหลายอยาง และจากความเขา ใจ เกย่ี วกบั ความหมายของการทํางาน ก็ทําใหเ ขามีพฤตกิ รรมการทํางาน เปน แบบของตนๆ ไปตามความเขาใจนั้น อยางแรกซึ่งเห็นชัดท่ีสุด คนโดยมากมองงานวาเปนเครื่องมือหา เลีย้ งชพี ทําใหมีเงนิ มีทอง สําหรบั เอามาซือ้ หารับประทาน มาจับจายใชสอย หาความสุขอะไรตา งๆ คนจํานวนมากมายมองความหมายของงานแบบน้ี ถาถือตามคติน้ี ก็จะเขา กับคาํ ขวัญที่วา งานคอื เงิน เงนิ คอื งาน บันดาลสุข ตอ งทาํ งานจงึ จะมีเงิน และตองมีเงินจงึ จะไดค นมาทํางาน นค้ี ือความหมายขั้นแรก แตยงั มีความหมายตอไปอีก สาํ หรบั คนอกี จํานวนมาก นอกจากมองความหมายทีห่ น่งึ แลว ยงั มี ความหมายท่ีสองพวงมาดว ย คอื มองขยายกวา งไกลออกไปวา งานนีจ้ ะนํา ชวี ติ ของเราไปสูการมีตําแหนง มีฐานะ เจรญิ กาวหนา รุงเรือง หรือรงุ โรจน และไดรับความนิยมนับถือ ท่ีทางพระเรียกวาโลกธรรม อนั นกี้ เ็ ปนความ หมายท่ีสําคัญเหมอื นกนั คนไมนอยมองงานในความหมายแงน ้ี ตอ ไป งานยงั มคี วามหมายอยางอืน่ อกี และความหมายบางอยา งก็ ชวยใหเ รามองกวา งออกไปนอกตัวเอง ในความหมายทีว่ ามาแลว เรามองจํากัดเฉพาะตัวเอง ที่บอกวา งาน * ตอ แตน ไี้ ปจนจบเลม ปรบั จาก ชวี ติ นเ้ี พอื่ งาน งานนเ้ี พอื่ ธรรม, ฉบบั พมิ พค รง้ั ที่ ๑๔, พ.ศ.๒๕๔๓, หนา ๙–๔๙ (ตรงกบั ครง้ั ที่ ๑๔, พ.ศ.๒๕๔๔ แตไ มต รงกบั ครง้ั ลา สดุ พ.ศ.๒๕๔๗ ซงึ่ พมิ พข นาดจว๋ิ )
๘ เลา เรียน-ทาํ งานกนั ไป ชวี ติ ไดอ ะไร เปน เครือ่ งเล้ยี งชีวติ ก็เปนเร่ืองของตวั ฉนั งานเปน บันไดไตเตา ไปสคู วามรุง เรอื ง หรอื ความสําเร็จ กเ็ พอื่ ตัวฉัน แตทจ่ี รงิ งานไมใ ชแ คเพอ่ื ตัวฉัน งานเปนเร่อื งกวางกวาน้นั งานเปน เร่ืองท่ีเปนไปเพื่อการสรางสรรค เปนไปเพ่ือการพฒั นา เปนกิจกรรมของ สังคม เปนของประเทศ เปน ของโลก โลกจะเปน ไปได สงั คมจะดําเนินไปได ประเทศชาตจิ ะพฒั นาได จะ ตองอาศัยคนทํางาน เพราะฉะน้ัน คนทที่ าํ งานจึงเทา กบั ไดมสี วนรว มในการ สรางสรรคพัฒนาสงั คมประเทศชาติ ตามความหมายของงานในแงนี้ พอเราทํางาน เรากน็ กึ ทเี ดียววา ตอนนเ้ี รากาํ ลังทําการอยา งหนงึ่ ซ่ึงเปนสวนรว มในการพฒั นาสงั คมประเทศ ชาติ หรอื มองวา เรากาํ ลงั ทําอะไรอยา งหน่งึ เพ่ือประโยชนส ขุ ของสังคมหรอื ของประชาชน ตอ ไป งานยงั มคี วามหมายอกี ในแงวาเปนส่ิงที่แปรสภาพชวี ิตของ คน ทําใหคนมชี วี ิตท่ีแตกตา งกันไป ดาํ เนินชวี ติ ตางกนั ไป มสี ภาพความเปน อยแู ตกตา งกนั คนเปนกรรมกรก็มีความเปนอยูแบบหนึ่ง คนเปนนักวิชาการก็มี สภาพชีวิตอกี แบบหน่ึง ทา นท่ีเปนแพทยก ็มีสภาพชีวติ ไปอีกแบบหนึง่ เปน พระภิกษุกม็ สี ภาพความเปนอยอู ีกแบบหน่ึง สภาพความสมั พันธใ นสงั คมก็ แปลกกนั ไป ทง้ั หมดน้ีกเ็ ปน เรอ่ื งของงานท่แี บง สภาพชวี ิตของคนใหแ ตกตาง กัน จึงจดั วาเปนความหมายอีกอยางหนึ่งของงาน สาํ หรับบางคนอาจมองวา งานเปน สิ่งท่ีทาํ ใหชวี ติ มีคุณคา ถึงกบั บอกวา คาของคน อยูทผี่ ลของงาน คนท่กี ลาวคติอยางนม้ี องไปในแงวา งานเปนสงิ่ สาํ คญั ทท่ี ําใหชวี ิตมีคา ถาไมท ํางานทดี่ มี ปี ระโยชน ชวี ติ นก้ี ็ไมมคี า
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๙ ตอไป ความหมายของงานอกี อยางหนงึ่ กค็ ืองานเปน โอกาสทีจ่ ะได พฒั นาตน หรอื วา การทํางาน คือการพัฒนาตน ความหมายของงานในแงท ี่เปน การพัฒนาตนนี้ ไปสัมพนั ธก บั ความ หมายของการใชชีวิตอยางที่วามาเมื่อกี้ ท่ีพูดวาดําเนินชีวิตเพื่อพัฒนาตน หรอื เพอ่ื พฒั นาศกั ยภาพนนั้ ทจี่ รงิ สาระของมนั กอ็ ยทู ง่ี านนเ่ี อง ทเี่ ปน ตวั พฒั นา งานน้แี หละเปน สิ่งท่พี ฒั นาชวี ิตของเรา พฒั นาใหเรามีความสามารถ ทาํ ใหเ รามคี วามเชย่ี วชาญ มคี วามเกง กาจในทางใดทางหนงึ่ แมใ นดา นการฝก ฝนทางจติ ใจหรอื ในทางคณุ ธรรม งานกเ็ ปน เครอ่ื งมอื ฝก ฝนคน ทาํ ใหเ รามีความ ขยัน มคี วามอดทน ทําใหม ีระเบยี บวินยั มีใจเขม แขง็ ทําใหร จู ักสมั พันธก บั เพอ่ื นพองผูรวมงานและคนทวั่ ไป ส่ิงเหลาน้ีลวนอาศยั งานเปนเคร่ืองฝก ถา คนรูจักทาํ งาน คอื ทาํ งานเปน จะสามารถใชง านเปน เคร่อื งมือใน การฝกฝนพัฒนาตนเองไดมากมาย เพราะฉะน้ัน ในแงหนึ่ง นักทาํ งานจะมองวา งานเปนสิง่ ทชี่ ว ยฝก ฝนพัฒนาตวั ของเขา อยางทว่ี าทาํ ใหศกั ยภาพของเขาถงึ ความสมบรู ณ ท้ังหมดนี้เปนความหมายของงานในแงตางๆ ซ่ึงกลาวไดมากมาย หลายนัย นอกจากนี้ ก็อาจมีผูทม่ี องความหมายของงานในแงอนื่ อีก แตใ น แงหลกั ๆ แลวก็จะเปนอยา งนี้
๑๐ เลา เรียน-ทาํ งานกันไป ชวี ติ ไดอ ะไร ควรทาํ งานกนั อยางไร? ทีนี้ เม่อื คนทาํ งานไปตามความหมายและความเขา ใจของเขา ความ หมายของงานตามท่เี ขาเขาใจนนั้ กม็ ีผลตอพฤติกรรมในการทาํ งาน และสง ผลตอความรูสึกและตอสภาพจิตใจในการทาํ งานของเขาดว ย เราเขาใจการทํางานอยา งไร เรากม็ ุง หวงั ผลสนองไปตามความหมาย นัน้ ถาเกิดผลสนองตามความมงุ หมาย เราก็เกดิ ความพงึ พอใจ ถา ไมสนอง ตามความมงุ หมาย กเ็ กิดความเศรา เสยี อกเสยี ใจ เพราะฉะนน้ั ความเขา ใจ ในความหมายของงานจงึ มผี ลกระทบตอชีวติ จิตใจของเรามาก ตัวอยา งเชน คนท่ีทํางานในความหมายทีเ่ ปนเพยี งเคร่ืองมอื หาเลย้ี ง ชพี ใหไ ดผ ลตอบแทน ใหไ ดผ ลประโยชน ถา ไมไ ดผ ลประโยชนมาก หรอื ได มานอ ยไป เขาก็จะรสู ึกไมส มหวัง ไมพ อใจ เกิดความทุกข เพราะวาความมงุ หมายในการทํางานของเขา ไปอยูทผ่ี ลประโยชนตอบแทน คอื เรื่องเงนิ ทอง เปน ตน การที่เขาจะมีความสุขหรือความทกุ ข กอ็ ยแู คน้ัน ทีน้ี ถามองความหมายของงานไปในแงวา เปนการทาํ หนาท่ีหรอื บาํ เพ็ญประโยชนเพ่อื สังคมประเทศชาติ สาํ หรับคนที่มองอยา งน้ี บางทีแมวา ผลประโยชนต อบแทนอาจไมม ากนัก แตค วามพงึ พอใจของเขาอยูท่ีวา งาน น้นั ทําใหเกดิ ประโยชนแ กสังคม ดงั นนั้ ถาเหน็ วางานของเขาไดชว ยสังคม เขาก็มีความสขุ ความรูสกึ ในใจจึงสมั พนั ธกับการมองความหมายของงาน คนท่มี องงานในแงข องการพัฒนาตน หรอื พฒั นาศกั ยภาพ เวลา ทํางานก็จะเพลินไปกับงาน เพราะในเวลาที่ทํางานเราไดฝกตัวของเราอยู ตลอดเวลา เมอ่ื ทํางานไป เรากไ็ ดความรูค วามสามารถ เพม่ิ พูนความชาํ นาญ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๑ มากขน้ึ สว นเรอื่ งทวี่ า จะไดผ ลประโยชนต อบแทนมากนอ ย เราจะไมค าํ นงึ มาก นกั แตเ ราจะมคี วามพงึ พอใจ ในการทไี่ ดพ ฒั นาตนเองใหม ศี กั ยภาพเพม่ิ ขยาย เพราะฉะนน้ั การเขา ใจความหมายของงาน จึงมผี ลสําคัญมากตอ สภาพจิตใจ ตอนน้ี อยากจะพูดถึงความรูสึกพ้ืนฐานทางวัฒนธรรมเก่ียวกับ เรื่องงานสักนดิ หนึง่ เมอื่ พดู ถงึ ความหมายของงาน ถา มองดวู ฒั นธรรมไทยและนาํ ไปเทยี บ กบั วฒั นธรรมตะวนั ตก จะเหน็ วา แตกตา งกนั และความแตกตางนั้นก็แสดงถึง พนื้ ฐานการสั่งสมฝกอบรมจิตใจของวฒั นธรรมท่ตี า งกนั คนไทยเรามองคําวา งานกนั อยา งไร กอ นท่วี ัฒนธรรมแบบตะวนั ตก เขา มา คนไทยเราใชค าํ วา งาน ในความหมายทีไ่ มเหมอื นปจจุบัน เรามงี าน วัด เรามงี านสงกรานต เรามงี านกฐิน เรามงี านทอดผา ปา ฯลฯ คําวางานในความหมายของคนไทย เปนกิจกรรมเพื่อความสนุก สนาน เพ่ือความบนั เทงิ อยางงานวัดกเ็ ปน เร่ืองสนุกทง้ั น้นั มีมหรสพ มี ละครหนงั ลเิ ก ในงานสงกรานตเราก็ไปสนกุ กนั เอานาํ้ ไปอาบใหกัน ไปเลน อะไรตอ อะไรกนั ครกึ ครน้ื แตค วามจริงงานมีความหมายที่ซอนอยูลึกกวา นน้ั คอื เปน เร่อื ง การทําความดี กจิ กรรมทเ่ี ปน หลักเปนแกนของงาน กค็ ือ การทาํ บุญ ทําการ กุศล หรอื บําเพญ็ ความดีบางอยา ง โดยเฉพาะการมารวมกนั ทาํ ประโยชนบ าง อยา งเพื่อสวนรวม แมแตง านสงกรานต กม็ ีกิจกรรมท่เี ปนการทาํ บญุ ทํากศุ ล อยู รวมทัง้ การขนทรายเขา วดั ดังน้ัน การทํางานจึงมีความหมายในเชิงที่เปนกิจกรรมในการทํา ความดบี างอยา ง หรอื เกย่ี วของกบั กิจกรรมทางศาสนา แตส ว นหน่งึ ทปี่ นอยู ดว ยก็คอื ความสนกุ สนานบนั เทงิ ซ่งึ เปน สว นที่หลงเหลอื มาถึงปจจบุ นั ในคน
๑๒ เลา เรียน-ทาํ งานกันไป ชวี ติ ไดอ ะไร ไทยสวนมาก พูดรวบรัดวา ความหมายของงานท่ีเปนไปตามวัฒนธรรมไทยน้ี เหลือมาในรูปของความสนกุ สนานเปนหลกั ทีน้ี ในแงของสงั คมตะวันตก การทํางานแบบตะวันตกเขา มาพรอม กับวฒั นธรรมตะวันตกนัน่ เอง ตามความหมายแบบตะวันตก งานคืออะไร งานในความหมายของตะวันตกนัน้ เรยี กวา work และมีคําสาํ คัญ ท่คี กู ับ work เปนคาํ ตรงขา มกับ work ซ่งึ ชวยใหความหมายของ work เดน ชดั ขนึ้ มาดว ย คอื คําวา leisure แปลวา การพักผอนหยอนใจ งานในความหมายของฝรงั่ เปนคกู นั และตรงขามกบั การพักผอ น หยอนใจ เพราะฉะนัน้ วฒั นธรรมตะวนั ตกจงึ มองงานวาเปน เรอื่ งของความ เหนด็ เหน่ือย ลําบากตรากตรํา เปนเรื่องท่ีตอ งทนทาํ ดวยความทกุ ขยาก และ ก็จงึ ตองมีสิ่งทเ่ี ปนคูกันเพือ่ ทดแทน คอื การพกั ผอนหยอนใจ ตามวัฒนธรรมของฝร่งั นี้ คนเราตอ งทํางาน เสรจ็ แลว ก็ไปพกั ผอน หยอ นใจ เพื่อชว ยทดแทนชดเชยหรือผอนระบาย ดังนัน้ งานจงึ เปนส่ิงที่ทํา ใหเ กดิ ความเครยี ดไดม าก และถา เราตั้งทาไวไ มดี มที า ทีของจิตใจท่ไี มถกู ตอ ง คือไมม คี วามรักงาน เราก็จะทาํ งานดวยความเหน่ือยหนายและอยากจะ หนีงาน งานกลายเปน ส่งิ ทห่ี นกั หนา ตอ งเผชญิ ตอ งผจญ ตองตอสู เมอ่ื มองอยา งนี้ คนกจ็ งึ ตอ งหาทางหลกี เลย่ี งไปเสยี จากงาน ตอ งการ ใหง านเลกิ หรอื จะหนจี ากงานเพอื่ ไปหาการพกั ผอ น อนั เปน สงิ่ ทจี่ ะตอ งแกไข ดวยเหตุน้ี จงึ ตอ งมจี ริยธรรมที่เขา ชดุ เปน คกู นั คือวา คนในวัฒน- ธรรมตะวนั ตก ซึ่งทาํ งานแบบตะวนั ตก จะตอ งสรา งนสิ ัยรกั งานข้ึนมาใหได พอรักงาน ก็มีใจสู และทนตอความหนักความเหนด็ เหนื่อยของงานได
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๓ เปน อนั วา ความหนกั และความเหนด็ เหน่อื ย เปน ลักษณะงานแบบ ตะวนั ตก คนไทยรับเอาความหมายของคําวา “งาน” ในแงทเ่ี ปนความหนัก นา เหนอ่ื ยมาจากตะวันตก โดยไมไ ดรบั เอานสิ ยั รักงานมาดว ย แตเรามีนิสยั รักสนุก ที่ส่ังสมมากบั ความหมายของงานในวัฒนธรรมไทยของเราเอง ในสภาพแหงความนุงนงั และสบั สนของวฒั นธรรมอยางนี้ ถาปรับ ตัวไมดี เราจะเสียทงั้ สองดาน คือ ตวั เองก็รกั ความสนุกสนานตามความ หมายของงานแบบเกา เราจะมุงหาแตความสนุกสนาน พอเจองานแบบ ตะวันตกท่หี นักและไมสนกุ ตวั ไมม ีนสิ ยั รักงาน ก็อยากจะหนีงานไป แตเม่อื ตองทํา หนีไมไ ด กต็ อ งจาํ ใจฝนใจหรือสักวา ทํา ลงทาย ท่ีวา เสยี ทงั้ สองดา น คอื งานกไ็ มไดผล คนก็เปนทกุ ข เพราะฉะนัน้ ถาจะใหดี กต็ องแกไ ขใหถ ูกตอ ง ความหมายท่ดี ีของ เราในวฒั นธรรมเกา วา งานเปน กจิ กรรมเพอ่ื สวนรวม เพ่อื รวมกันสรา งสรรค อะไรสักอยางหนึ่ง โดยมคี วามสนุกสนานเปน ผลพวงมา หรอื เปน ผลพลอย ได เราก็รกั ษาไว และในเวลาเดียวกัน งานในความหมายทยี่ ากท่ีหนัก ตองสู ตอ งทําดวยความเหนด็ เหนอ่ื ยนี้ เรากย็ นิ ดตี อนรับไมถ อยหนี จะตองแกป ญหาใหไดวา ทําอยางไรจึงจะใหก ารทํางานเปน ไปดวยดี ท้ังยังมีน้ําใจเผ่ือแผนึกถึงสวนรวมไว แลวก็มีนิสัยรักงานสูงานมาชวย สนับสนุนดวย ถาแกใหเ ปน อยางนไ้ี ด ก็จะกลบั รา ยกลายเปนดี แทนทีจ่ ะเสยี ทั้ง สองดา น ก็กลายเปนไดท ง้ั สองทาง คือ งานกไ็ ดผ ล คนกเ็ ปน สขุ
๑๔ เลา เรยี น-ทาํ งานกันไป ชวี ิตไดอะไร จดุ หมายของคน หรอื จุดหมายของงาน? จะเหน็ วา ความหมายทางจติ ใจเปน เรื่องสาํ คญั เราจะสงู าน หรอื จะ หนงี าน กอ็ ยทู ภ่ี าวะจติ ใจอยา งทวี่ า มาแลว และในการทจี่ ะมสี ภาพจติ ใจทเี่ ออื้ ตอ การทาํ งานนน้ั สงิ่ หนง่ึ ทจี่ ะสนบั สนนุ ใหค นทาํ งานไดผ ลดี กค็ อื กาํ ลงั ใจ พอพูดถึงกาํ ลังใจก็มีปญหาอกี กําลงั ใจจะมาไดอ ยา งไร กาํ ลงั ใจก็ เปน เรอ่ื งของความสมั พนั ธเชงิ วงจรอกี มนั ยอ นไปยอ นมา ถามีกําลังใจ เราก็ทํางานไดดี แตท ําอยา งไรเราจงึ จะมีกําลังใจ ถา ทาํ งานแลวไดผลดี กม็ กี าํ ลงั ใจ พองานไดผ ลดมี ีกาํ ลังใจ ก็ยง่ิ ทํางาน ยิ่ง ทาํ งาน ก็ยิง่ ไดผ ลดี ยง่ิ ไดผ ลดี ก็ยง่ิ มีกาํ ลังใจ เปน การสงผลยอ นไปยอ นมา กําลงั ใจ เปน เรอื่ งสาํ คญั ในการทาํ งาน แตก ารทจ่ี ะมกี าํ ลงั ใจได กอ็ ยู ทกี่ ารเขาใจความหมายของงานนัน้ แหละ คนท่ีเขาใจความหมายของงานวาจะทําใหไดผลตอบแทน หรือได ผลประโยชนมา ถาเขาไดผลตอบแทน ไดผลประโยชนม า เขากม็ ีกาํ ลังใจ แลวกท็ าํ งาน แตถ าไมไ ดผ ลตอบแทนเปนอตั ราเปน เงนิ ทอง กไ็ มม ีกาํ ลังใจ แตอ ีกคนหน่ึงมองความหมายของงานวาเปนการไดพ ัฒนาตน หรือ เปน การไดบ าํ เพญ็ ประโยชนแ กส งั คม เมอื่ เขาไดท าํ อะไรพอใหร สู กึ วา ไดฝ ก ตน หรอื ไดช ว ยเหลอื สงั คม เขากม็ กี าํ ลงั ใจ แมจ ะไมไ ดผ ลตอบแทนเปน วตั ถสุ กั เทา ไร กาํ ลังใจจึงไปสัมพนั ธก ับผลตอบสนองจากงาน ไมว า จะเปน ผลทาง วัตถุหรอื ผลทางจิตใจ จะเปนผลแกตนเองหรอื ผลแกส วนรวมก็ตาม แลว แต จะมองความหมายของงานอยา งไร รวมความวา กาํ ลงั ใจเปน สิ่งสาํ คัญกจ็ รงิ แตก ไ็ มใ ชเคร่อื งกํากบั ที่
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๕ แนนอนวาจะใหเ กดิ คณุ คา ทเ่ี ปน ประโยชนเสมอไป อยางทวี่ า คนท่ีทํางานมงุ แตผลประโยชนตอบแทนเปนเงินทองวัตถุ ถาผลตอบแทนนอ ยไป ไมได มากมายอยา งทห่ี วงั ก็จะเกดิ ปญหาไมม ีกําลงั ใจในการทาํ งาน เพราะฉะน้ัน เราจะตอ งหาอะไรมาชวยกาํ ลังใจใหไดผลดยี ิ่งข้นึ เพือ่ ใหง านเกดิ คณุ คา อยา งแทจ รงิ สิง่ หน่ึงทจ่ี ะมาหนนุ คุณคา น้ีได ก็คอื ศรทั ธา ศรทั ธาเปน ส่งิ สาํ คัญอยางมาก ศรทั ธา คอื ความเชอื่ ซงึ่ ในความหมายอยา งหนงึ่ กค็ อื การเหน็ คณุ คา ของสง่ิ นน้ั เมอื่ เหน็ คณุ คา ของสง่ิ ใด กพ็ อใจสงิ่ นนั้ มน่ั ใจในสง่ิ นน้ั และใจก็ ยึดเหนยี่ วมุง ไปหาและมุงไปตามสงิ่ นัน้ เมอ่ื มงุ ไปหาหรอื มุง หนา ตอสิ่งนั้น มุง จะทําและมงุ จะตามมันไป กเ็ กิดกาํ ลงั ขน้ึ มา บางทอี ยา งท่วี าถงึ ไหนถึงกนั ศรทั ธาเปนพลัง เมือ่ เรามศี รัทธาตอ ส่ิงใด เราก็จะสามารถอทุ ิศชวี ติ ทัง้ รา งกายและจิตใจ อุทศิ เรี่ยวแรงกาํ ลังของเราใหแ กสง่ิ นั้น เพราะฉะนน้ั การทีจ่ ะใหเ กดิ กําลงั ใจในทางที่ดี ไมตดิ อยูแ คผ ลตอบแทนหรือสง่ิ ทต่ี นจะได จะเอา ก็จึงตองสรา งศรัทธาขึ้นมา ศรัทธาจะเกดิ ขึ้นได ดวยการเขาใจความหมายน่ันแหละ เชน ถาเรา เขา ใจความหมายของงานในแงว า เปน ส่งิ ทมี่ ีคุณคา เปนเคร่ืองสรางสรรคทํา ใหเ กดิ ประโยชนแ กส งั คม เปนตน เราก็เกิดศรัทธาในงาน เพราะมองเห็น คณุ คา ของงานน้นั พอมศี รทั ธาอยา งนแี้ ลว ศรัทธานนั้ กจ็ ะสงเสริมกาํ ลงั ใจ ในลักษณะที่พว งเอาความเปนคณุ เปนประโยชนเขามาดวย ไมใ ชเ ปน กาํ ลงั ใจ ลวนๆ ทเ่ี พียงแตเกดิ จากความสมอยากในการไดว ัตถเุ ทาน้นั เมื่อเขามาถกู ทางอยา งน้ี พอมศี รัทธาแลว กําลังใจท่ีเกดิ ขึ้น ก็จะ เปน กําลังใจทท่ี ําใหเกดิ สงิ่ ทีเ่ รยี กวา ธรรม คอื มีความดงี าม มคี ณุ ประโยชน พวงมาดว ย
๑๖ เลาเรียน-ทาํ งานกันไป ชวี ิตไดอ ะไร นอกจากมีศรัทธาในงานแลว กต็ อ งมีศรัทธาในวิถีชีวิตดว ย เรือ่ งนี้ จึงมีความหมายโยงไปหาชวี ิตดวย วาเรามองชีวิตอยางไร คนทีม่ องความหมายของชีวติ ในแงวา วิถีชีวติ ทด่ี ี คือการหาความ สนุกสนานใหเต็มที่ คนอยางน้ันจะมาศรัทธาในความหมายของงานที่เปน คุณเปนประโยชนแกส ังคม ก็เปน ไปไดย าก เพราะฉะน้ัน ความหมายของงานที่จะทําใหเ กดิ ศรทั ธาจึงตองโยงไป หาความหมายของชีวติ ท่ีดีดว ย เชนมองวา ชวี ติ ที่ดี คือการที่เราไดใชช วี ิตน้ี ใหเ ปนประโยชน มีคุณคา และการที่ไดพ ฒั นาตน เปน ตน พอมองความหมายของงานในแนวเดยี วกนั น้ี ความหมายของงาน น้ันก็มาชวยเสรมิ ในแงท ีเ่ กิดความสัมพนั ธอ ยางสอดคลอ งกนั คือ ความ หมายของงาน กบั ความหมายของชวี ติ มาสมั พันธเสริมยํา้ ซึ่งกันและกัน แลว ศรทั ธาก็จะเกดิ ขึน้ อยา งม่นั คง ทีนี้ มองตอ ไปอกี ใหช ดั เจนยง่ิ ข้นึ เรอื่ งนไี้ มใ ชอยแู คศ รทั ธาเทา นน้ั ถาเราวิเคราะหจิตใจของคนทท่ี าํ งาน จะเห็นวา แมแตศ รทั ธาก็เปนสว นหนึง่ ของส่งิ ทเ่ี รยี กวา แรงจงู ใจ เมื่อมาทํางาน เราก็ตองมีแรงจูงใจทง้ั น้นั ทง้ั หมดทพี่ ูดมากอ็ ยใู น หลกั การของเรือ่ งแรงจูงใจทัง้ สิ้น คนเราจะทาํ กจิ กรรมอะไรก็ตอ งมีแรงจงู ใจ เม่ือมาทํางานเราก็ตองมีแรงจูงใจใหมาทํางาน แรงจูงใจจึงเปนหลักใหญใน การแบง ประเภทของการทาํ งาน แรงจงู ใจ นั้นมีอยู ๒ ประเภทใหญๆ ดวยกนั แรงจงู ใจดานหนง่ึ ท่ีเปนหลักใหญๆ คอื ความตองการผลตอบแทน ตอ งการผลประโยชน ตอ งการเงนิ ทอง อนั นเี้ ปน แรงจงู ใจทม่ี งุ เขา หาตวั เอง เปน ความปรารถนาสว นตวั หรอื เหน็ แกต วั ทางพระเรยี กวา แรงจงู ใจแบบตณั หา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๗ ทีนี้ ตอจากตณั หายังมีอีก เราตอ งการความสาํ เรจ็ แตความสําเร็จ นั้นเปนความสําเร็จของตัวเรา โดยเฉพาะความสําเร็จของตัวเราในรูปของ ความยิง่ ใหญ ในรปู ของการไดต าํ แหนง ไดฐานะเปน ตน อนั นีก้ เ็ ปนแรงจงู ใจ ในแงข องตวั เองเหมอื นกนั คอื ตองการผลประโยชนต อบแทนสว นตวั ในรูป ของความสําคญั ของตนเอง ความโดดเดน เชน มตี ําแหนง ใหญโ ต มีฐานะสงู ขอ น้เี รียกวา แรงจงู ใจแบบมานะ “มานะ” นน้ั ทางพระแปลวา ถอื ตวั สาํ คัญ คอื ความอยากใหตนเอง เปนคนโดดเดน มคี วามสาํ คญั หรือยง่ิ ใหญ ไมใชมานะในความหมายของ ภาษาไทยวา ความเพยี รพยายาม ตกลงวา แรงจูงใจสําคญั ดา นทีห่ นงึ่ นี้ เปน เร่ืองของตัณหาและมานะ ซงึ่ สําหรับมนษุ ยป ุถุชนก็เปนธรรมดาทจ่ี ะตองมี แตจ ะทาํ อยา งไรใหป ระณตี สักหนอ ย เชน วา ถาเปนความตองการผลตอบแทนในข้นั ธรรมดาของมนุษย ก็ขอให อยูในขอบเขตเพียงวาสาํ หรับใหเปนอยูดวยความสะดวกสบายพอสมควรใน โลกนี้ หรอื เปน อยูดีไมข ัดสนในปจ จัยส่ี ถา จะมมี านะ กใ็ หม นั มาในรปู ของความภมู ใิ จในความสาํ เรจ็ ของงาน มีเกียรติมีฐานะเปนที่ยอมรับในสังคมหรือไดรับความนิยมนับถือ คือเอา ความสําเร็จมาโยงกับงาน ไมใชเปนเพียงความสําเรจ็ เพือ่ ความยง่ิ ใหญข อง ตน ทจ่ี ะไปหยามเหยียดขม เหงรงั แกคนอื่น ถาหากวา ความสาํ เรจ็ ไปโยงกบั ตัวงาน มันกย็ งั เปน เรอ่ื งของความดี งามได เร่อื งอยา งนี้ทางพระพทุ ธศาสนาไมไ ดปฏิเสธ ทา นยอมรับความจรงิ ของปถุ ชุ น แตท ําอยา งไรจะใหโยงเขาไปหาแรงจูงใจท่เี ปน ธรรมใหมากข้ึน ทนี ้ี แรงจงู ใจพวกทสี่ อง กค็ อื แรงจงู ใจเชน อยา งศรทั ธาทม่ี ตี อ งานทมี่ ี
๑๘ เลา เรียน-ทาํ งานกันไป ชีวิตไดอะไร คณุ คา เปน แรงจงู ใจทต่ี อ งการใหค วามดงี ามเกดิ มหี รอื ปรากฏขนึ้ ความตอ งการ ความดงี าม ตอ งการความจรงิ ตอ งการสง่ิ ทมี่ คี ณุ คา เปน ประโยชนอ ะไรตา งๆ เหลา นี้ เปน แรงจงู ใจทที่ า นเรยี กดว ยคาํ ศพั ทท างธรรมอกี คาํ หนงึ่ วา \"ฉนั ทะ\" ตัวอยางเชน คนทํางานดวยความตองการใหเกิดความสงบสุข ความเรียบรอย ความเปน ระเบยี บของสังคม ถาทํางานเปน แพทย หรอื ทํางานเก่ียวกับโภชนาการ ก็อยากใหมนุษยในสังคมนี้เปนคนที่มีสุขภาพดี รางกายแข็งแรง อยากใหมีแตอาหารท่ีมีคณุ คา แพรหลายออกไปในสังคมน้ี แรงจูงใจหรอื ความปรารถนาอยา งนี้ ทานเรียกวา เปน แรงจงู ใจแบบฉันทะ แรงจูงใจน้ีสําคัญมาก ถามองอีกแงหนึ่งจะเห็นวา แรงจูงใจนี้ สัมพันธก ับสัมฤทธผิ ลหรือจุดหมาย ซง่ึ อาจแบง ไดเปนจดุ หมายของคน กับ จุดหมายของงาน แรงจูงใจแบบท่ีหน่ึง ท่ีตองการผลตอบแทนเปนเงินเปนทอง ตองการเกียรติฐานะความยิ่งใหญนั้น โยงไปหาจุดหมายของคนท่ีทํางาน สวนแรงจูงใจแบบที่สองจะมุงตรงไปยงั จุดหมายของงาน ตามธรรมดาไมวา เราจะทาํ งานอะไร งานน้ันยอ มมจี ุดหมาย เชน วา การทาํ งานแพทยก็มจี ุดหมายทีจ่ ะบาํ บัดโรค ทาํ ใหค นไขห ายโรค ใหค นมสี ขุ ภาพดี ตวั งานน้ันมคี วามมุง หมายท่ชี ดั เจนและตรงไปตรงมา ถาเราทํางานใหการศึกษา เราก็ตองการผลท่ีเปนจุดมุงหมายของ การศกึ ษา จุดหมายของงานในการใหก ารศึกษา ก็คือ การทีเ่ ด็กและเยาวชน เปนคนดี มีความรูมีความประพฤติดี รูจักดาํ เนินชีวิตอยางถูกตอง ได พฒั นาตนเองยงิ่ ขน้ึ ไป งานทุกอยางมจี ดุ หมายของมัน แตค นท่ีไปทํางานก็มีจุดหมายของ ตัวเองดว ย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๙ ทีนีป้ ญ หากอ็ ยทู ว่ี า เม่อื เขาไปทาํ งานนัน้ เขาจะทาํ งานเพื่อจดุ หมาย ของคน หรอื ทํางานเพอื่ จุดหมายของงาน ถา เขาทาํ งานดวยแรงจงู ใจแบบทห่ี นง่ึ จดุ หมายทีอ่ ยูในใจของเขาก็ จะเปน จุดหมายของคน คือทาํ งานเพอื่ จุดหมายของคน ใหตนไดนั่นไดนี่ แตถาเขาทํางานดวยแรงจูงใจแบบที่สอง เขาก็จะทํางานเพื่อจุด หมายของงาน ใหงานเกิดผลเปน ประโยชนตามคณุ คา ของมนั ทนี ี้ ในการทเี่ ปนปุถชุ น เมื่อยงั มกี เิ ลส ก็ตอ งประสานประโยชน คอื ตองใหจ ุดหมายของคนไปสัมพันธเชอ่ื มโยงกบั จุดหมายของงาน หมายความ วา ตองใหไ ดจ ดุ หมายของงานเปนหลกั ไวกอน แลว จึงมาเปนจุดหมายของ คนทีหลงั คอื ใหจุดหมายของคนพลอยพวงตอมากบั จดุ หมายของงาน ถา เอาแตจุดหมายของคนแลว บางทงี านไมส าํ เร็จ และเสียงานดว ย คือ คนน้ันมุงแตจ ุดหมายของคนอยา งเดียว จะเอาแตตวั ไดเงนิ ไดท อง ไม ไดต องการใหง านสาํ เร็จ ไมไ ดต อ งการเห็นผลดีทจ่ี ะเกิดจากงานนัน้ ไมไดม ี ความคดิ ทีจ่ ะเอาธุระ หรือเห็นความสาํ คญั เกย่ี วกับตัวงาน เพราะฉะน้ันจึง พยายามเลยี่ งงาน หรอื หาทางลัดทีจ่ ะไมตอ งทาํ งาน ขอใหไ ดเงินหรือผลตอบ แทนมากแ็ ลว กนั ตกลงวา แรงจูงใจแบบหนึ่งเปนเร่ืองสัมพันธกับจุดหมายของคน และแรงจูงใจอีกแบบหน่ึงเปน แรงจูงใจท่สี มั พันธก บั จดุ หมายของงาน ซึ่งจะ เหน็ ไดว า เม่ือทาํ งานไปแลว ไดผ ลสําเรจ็ ขน้ึ มา จะเปนผลสาํ เร็จของคน หรือ เปนผลสาํ เรจ็ ของงาน ถา จะทาํ งานใหถ กู ก็ตอ งมองไปทผ่ี ลสําเร็จของงาน ไมใ ชมุงเอาแต ผลสาํ เร็จของคน ถาจะเปนผลสําเร็จของคน ก็ตองใหเปนผลทค่ี วามสําเรจ็ ของงานสง ทอดมาอกี ตอหนงึ่
๒๐ เลาเรยี น-ทาํ งานกนั ไป ชีวติ ไดอ ะไร คนจํานวนไมนอยหวังแตผลสําเร็จหรือผลประโยชนของคนอยาง เดยี ว ถาเปนอยางน้ี กจ็ ะเปน ปญหาตอ การพัฒนาประเทศชาติ การพฒั นา ประเทศชาติ และการแกป ญหาของสังคม ก็ยากทจี่ ะบรรลุความสาํ เร็จ และ จะสงผลตอไปถงึ สภาพจิตใจดว ย ดงั ไดพ ดู มาแลว วา สภาพจติ ใจกบั การทาํ งาน สง ผลยอ นกลบั กนั ไปมา คอื สภาพจติ ใจทดี่ สี ง ผลตอ การทาํ งาน ใหท าํ งานไดด ี และการทาํ งานไดด ีมีผล สาํ เรจ็ กส็ งผลยอ นกลับไปยังสภาพจิตใจ ทําใหมกี าํ ลงั ใจเปนตน อีกทีหน่ึง ดงั ตวั อยา งท่ีพูดมาแลว นี้ ทว่ี า สภาพจิตใจในดา นแรงจูงใจ ทม่ี งุ จุด หมายของคน กบั มงุ จดุ หมายของงาน ซงึ่ จะสง ผลตอ ความสมั ฤทธใ์ิ นการทาํ งาน แลว ก็ยอ นกลับมาบนั ดาลผนั แปรสภาพจติ ใจของคนใหเปนไปตา งๆ กนั
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๑ ทํางานอยางไร จงึ จะไดความสุข? ในสมยั ปจจบุ ัน โดยเฉพาะในสภาพการทํางานแบบตะวนั ตก ไดมี คําพดู สาํ คญั ในทางไมดีคําหนึ่งมาเขา คกู บั การทํางาน คอื ความเครียด ยงิ่ ถา ไมม คี วามบากบน่ั สงู าน ซง่ึ เปน แรงจงู ใจทถี่ กู ตอ งในการทาํ งาน แบบตะวนั ตกนน้ั เขา มาดลุ ดว ยแลว ความเครยี ดจะกอ ปญ หาอยา งมาก ความเครยี ดนี้ กาํ ลังเปน ปญหาสาํ คัญของอารยธรรมของมนุษยใ น โลกยคุ ปจ จุบนั การทาํ งานหาเงนิ หรอื วิถชี ีวติ ท่เี นน ดา นเศรษฐกจิ ของคนยคุ น้ี พว ง เอาความเครยี ดมาดว ย ในสงั คมตะวนั ตกปจ จบุ นั นี้ คนยงั มนี สิ ยั สงู าน ทไี่ ดส ะสมมาแตอ ดตี ยงั ตดิ ยงั ฝง อยู แตม าในระยะหลงั ๆ น้ี ความใฝเ สพเหน็ แกบ รโิ ภคกม็ ากขนึ้ สว นในสงั คมไทยของเรานี้ มผี กู ลา ววา คนไทยมคี า นยิ มบรโิ ภคมาก ไมค อ ยมคี า นยิ มผลติ จงึ จะยง่ิ มปี ญ หาหนกั กวา เขาอกี เพราะคา นยิ มบรโิ ภค ขดั แยง กบั กระบวนการทาํ งาน เนอ่ื งจากการทาํ งานตอ งการความอดทน ตอ งตอ สกู บั ความยากลาํ บาก เมอ่ื ไมม นี สิ ยั รกั งานสงู านเปน พนื้ ฐานรองรบั คนทน่ี ยิ ม บรโิ ภคจะไมส ามารถทนได จะจาํ ใจทาํ ทาํ ดว ยความฝน ใจ จะรอคอยแตเ วลา ทจี่ ะไดบ รโิ ภค ความตอ งการกข็ ดั แยง กนั และเมอื่ ความตองการขัดแยง กัน ก็ เกดิ ภาวะทเี่ รียกวา “เครียด” จงึ ทํางานดวยความเครยี ด คนที่มีคานิยมบริโภคมาก เมื่อตองทํางานมาก ก็ยิ่งเครียดมาก โดยเฉพาะคนท่ีตองการผลตอบแทนทางวัตถุ ทํางานไปก็ทําดวยความ กระวนกระวาย เกดิ ความขดั แยงในจิตใจ มีความกังวลวา ผลตอบแทนท่เี รา
๒๒ เลา เรียน-ทาํ งานกันไป ชวี ิตไดอะไร ตองการจะไดหรอื เปลา จะไดน อยกวาทีต่ ั้งความหวงั หรอื เปลา หรอื วาเรา อาจจะถูกแยง ผลตอบแทนไป หรือถกู แยงตาํ แหนงฐานะไป ความหว งกังวล ตางๆ นท้ี ําใหเ กดิ ความเครยี ด ซ่งึ เปน ปญ หาทางจติ ใจท่สี ําคญั เม่ือขาดความรักงาน ใจไมอยกู ับงาน ความรูสึกรอเงินรอเวลาก็จะ เดนขึ้นมาและกดดันใจนั้น โดยเฉพาะเม่ือจดุ หมายของคน กบั จุดหมายของ งาน ลกั ลนั่ ขัดแยง กัน เชน งานเสรจ็ เงินยงั ไมมา หรือวา ตําแหนง ยงั ไมไ ด แรงกดดันก็ย่ิงมาก เลยยิ่งเครียดหนัก ปญหาตา งๆ รวมทัง้ ความเครยี ดน้นั กเ็ กิดจากแรงจงู ใจประเภท แรกทเ่ี รยี กวา ตณั หา-มานะ โดยเฉพาะคา นยิ มบรโิ ภค และคา นิยมโก หรูหรา ซงึ่ กาํ ลังแพรห ลายอยูใ นสงั คมของเรา และบางทีกถ็ ึงกบั มองกนั วา เปนเรอื่ งท่ีดี สว นแรงจูงใจทถ่ี ูกตอ ง คือทาํ งานดว ยใจที่ใฝส รา งสรรค มองงาน เปนโอกาสท่ีจะไดพัฒนาตน อยากพัฒนาประเทศชาติหรือทาํ ประโยชนแก สังคม ตอ งการผลสาํ เรจ็ ของงานหรือทาํ งานเพอื่ จดุ หมายของงานแทๆ แมจะทํางานดวยแรงจงู ใจทีด่ ีแบบนี้ ถาเกิดความรสู ึกเรงรดั จะรบี รอ นทํา และมีความหว งกังวลเกรงงานจะไมเ สร็จ ก็อาจจะมีความเครียดได ตา งแตวาจะเปนความเครยี ดทีค่ ลายไดงาย (เพราะไมมอี ารมณด านลบท่เี กิด จากตณั หา) เพราะฉะน้ัน ไมว า จะเปน ฝายท่มี แี รงจูงใจไมดกี ็ตาม มแี รงจูงใจท่ดี ี กต็ าม ก็ยงั มคี วามเครียดได ยังอาจมีปญ หา แตเ ราสามารถแยกความแตก ตางไดว า ในฝา ยหนึ่ง แรงจงู ใจเพอื่ จดุ หมายของคน ซงึ่ มงุ เอาประโยชนส ว น ตนดว ยตณั หา-มานะ มโี ทษตอ สงั คมและตอ ชวี ติ มาก สว นฝา ยทสี่ อง แรงจงู ใจเพอ่ื จดุ หมายของงาน มคี ณุ คา มาก มคี ณุ ประโยชนต อ สงั คมมาก พฒั นา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๓ ชวี ติ คนไดด ี ตกลงวา ทั้งสองอยางยังมีปญหาอยู ทําอยางไรจะแกไขใหการ ทํางานมีสวนท่ีเปน คณุ อยางเดยี ว เปน ประโยชนแ กชวี ติ โดยสมบรู ณ อันนี้ เปน ข้นั ตอ ไป ตอไปกม็ าถึงขัน้ ทวี่ า ทง้ั ทํางานดี และมีความสุขดว ย ซ่ึงจะตอ งมี การตัง้ ทาทที ถ่ี ูกตอง และตอนนี้จะเปนเร่ืองของการพฒั นาจิตใจ และพฒั นา ปญญา ควบคไู ปกับการทํางาน เม่อื กีน้ ี้ เราเอางานมาพฒั นาชีวติ จิตใจของเรา แตอ กี ดา นหนง่ึ ใน การทาํ งานน้ัน เราจะตองพัฒนาชีวิตจิตใจของเราไปดวย เพ่ือเอาชีวิตจิตใจท่ี ดีไปพฒั นาการทํางาน การทํางานทีจ่ ะใหไ ดทง้ั ผลดีและมีความสุขดวยน้นั มี อะไรหลายแงท จ่ี ะตองพจิ ารณา แงท ่หี นง่ึ กอ็ ยางทวี่ าเมือ่ กี้ คือ ในการท่ีจะใหเกดิ ผลดีตอชีวิตและ สงั คม เราตองมีแรงจูงใจท่ถี ูกตอง ซ่ึงตองการจุดหมายของงาน มีฉนั ทะ มี ความใฝดี มคี วามใฝส รา งสรรค และพรอมกบั การมฉี นั ทะนัน้ ก็ตอ งมคี วาม รเู ทา ทนั ความจริง ซึ่งเปน เร่อื งของปญ ญาดว ย อยา งนอ ยรูเ ทาทันวาส่ิงทั้ง หลายเปนไปตามเหตปุ จจัย เพยี งต้ังทา ทขี องจติ ใจแบบรเู ทา ทนั ขนึ้ มาแคน เี้ ทา นน้ั เรากจ็ ะเรม่ิ มี ความสขุ งา ยขน้ึ ทนั ที เราจะมองดสู งิ่ ตา งๆ ดว ยสายตาทม่ี องเหน็ ถกู ตอ งมากขนึ้ ในขณะที่เรากาํ ลังเรงงานเต็มท่ี ขยนั เอาใจใสเตม็ ท่ี เรากลับจะมี ความกระวนกระวายนอยลง หรือทาํ งานดวยความไมกระวนกระวาย คอื มี ความรูเทาทันวาส่ิงท้ังหลายเปนไปตามเหตุปจจัย ขณะน้ีเรากําลังทําเหตุ ปจ จัย เรากท็ าํ เหตปุ จ จยั น้นั ใหเตม็ ที่ สว นผลน้ันมันจะเปน ไปตามเหตปุ จจยั ของมัน เราก็ดมู นั ไป ไมม ตี ัวเราทีเ่ ขา ไปวนุ วายดว ย พอวางใจอยา งนีเ้ ราก็
๒๔ เลา เรียน-ทาํ งานกันไป ชวี ิตไดอ ะไร เปน อิสระ สบาย ไมต อ งหว งกงั วลกบั ผล เราทาํ เหตปุ จ จยั ใหดกี ็แลวกนั อันนี้เปน ขอ ท่ีหน่งึ กลาวคือ ควบคกู ับแรงจงู ใจท่ีถูกตองหรอื ฉนั ทะ นั้น ก็ใหม ีการรูเทาทันความจรงิ ดวย อยางนอ ยใหท ําใจวา สง่ิ ทง้ั หลายเปน ไปตามเหตุปจจยั มองไปตามเหตปุ จจัย ขอน้ีเปนทาทีพ้นื ฐานตามหลักธรรม ทีว่ า ใหมองสิง่ ทงั้ หลายวา เปนไปตามเหตปุ จ จยั เปนการทาํ ใจขัน้ ท่ีหนงึ่ ตอไปแงที่สองก็คือ เวลาทํางานเรามักมีความรูสึกแบงแยกหรือ แยกตวั ออกไปวา นต่ี ัวเรา น่ีชีวิตของเรา น่ันงาน เราจะตอ งทาํ งาน ตลอดจน รูส ึกวางานเปน เรอื่ งเหนด็ เหนือ่ ยตองตรากตราํ ไมมองวา งานน้ีแหละเปน เนือ้ แท เปนเนื้อเปน ตัวของชวี ติ ทจ่ี รงิ นน้ั งานไมใ ชส ง่ิ ตา งหากจากชวี ติ งานทเ่ี ราบอกวา เปน กจิ กรรม ของชวี ติ นนั้ ทจี่ รงิ มนั เปน ตวั การดาํ เนนิ ชวี ติ ของเราเลยทเี ดยี ว ในชวี ติ ของเรา ทีเ่ ปน ไปอยนู ้ี งานนน่ั เองคือความเปนไปของชวี ติ เพราะฉะนน้ั การทํางานจึง เปน เน้ือหาหรอื เปน เน้อื ตวั ของชวี ิตของเรา เมื่อทํางาน เราอยาไปมคี วามรสู กึ แยกวา นน่ั เปนงาน เปน กิจกรรม ตางหากจากชีวิตของเรา การท่ีมีความรูสึกวาเราจะตองไปเหน็ดเหนื่อย ตรากตรํา หรือวามันเปนเรื่องหนักเรื่องทนที่เราจะตองทํางานตอไป รอ หนอ ยเถอะ เราทาํ งานเสร็จแลว จะไดไปหาเวลาพกั ผอ น ความนกึ คิดอยา งน้ี จะทําใหเกิดความรูสึกแปลกแยก และเกดิ ความรสู ึกท่ีครุนคดิ เหมือนถกู กด ถกู ทบั อยูอยากจะพน ไปเสีย เกิดความเครยี ด เกดิ ความกงั วล เกดิ ความ หวง เกดิ ความหวงั ในเบื้องตนคนเราตองอยูดวยความหวัง แตพอถึงข้ันหน่ึงแลวไม ตองหวัง เพราะความหวงั สําเรจ็ จบส้นิ อยใู นตวั ตอนนจี้ ะมีความสขุ ยิ่งกวา ตอนแรกทีม่ ีความหวัง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕ คนท่ีไมมีความหวังเลย จะมีความทุกขมาก ในขนั้ ตอ มาเขาจงึ มี ความสุขดว ยการทีม่ ีความหวงั เขามคี วามหวงั วา หลังจากนแี้ ลว เขาจะไดจ ะ พบส่งิ ทีป่ รารถนา แลวเขาก็จะสุข จะสบาย เขามีความหวงั อยา งนี้ และเขาก็ มีความสขุ แตความหวังน้ันคูกับความหวาด เปนคูกันกับความหวงและ ความกงั วล ดังนนั้ พรอ มกับการมคี วามสุขดว ยความหวงั น้ัน เขากม็ คี วาม กังวล เชน เมื่อหวงั วา จะได ก็หวาดระแวงหรือกังวลวา จะมอี ะไรมาขัดขวาง ใหไมเ ปนไปอยางที่หวงั เปน ความทกุ ขอ ยา งหนึง่ ในการรอความหวัง สว นคนอกี พวกหนึ่งนนั้ อยเู หนอื ความหวงั หรอื พนเลยความหวังไป แลว คือไมต องอยูดวยความหวัง ไมตอ งอาศัยความสุขจากความหวัง หรอื วาความสุขของเขาไมตองขึ้นตอความหวัง เพราะชีวิตเปนความสุขตลอด เวลา โดยไมต องหวังเลย และไมตอ งหว งกังวล เพราะฉะนน้ั ถา เราจะทาํ งานใหไดผลดี โดยท่ีวาชีวิตกม็ คี วามสขุ และงานก็ไดผลดดี วย กค็ วรจะมาใหถงึ ข้ันนี้ คอื ข้ันที่วา มองงานกบั ชวี ติ เปนอันหน่ึงอันเดียวกัน มองวางานเปนกิจกรรมที่เปนเนื้อเปนตัวของชีวิต แทๆ แลว เราก็ทํางานไปอยา งท่ีรสู ึกวา มนั เปน การดําเนินชวี ติ ของเราเอง และ ดําเนนิ ชีวิตนัน้ ใหดีท่ีสุด ตอไปอกี ดานหนึ่งก็คอื เมอื่ เราทํางานไป ไมวา จะมองในความหมาย วา เปนการพฒั นาตนเองกต็ าม เปน การกระทําเพอ่ื ประโยชนส ุขของประชาชน หรือของสังคมกต็ าม ในเวลาทที่ าํ อยูน้นั สภาพจติ ใจอยา งหน่งึ ทคี่ วรเกดิ ขึน้ ก็คอื ความรา เริงบนั เทงิ ใจ ความเบิกบานใจ การทํางานในความหมายบางอยางก็เอ้ือตอการเกิดสภาพจิตอยางน้ี อยูแ ลว เชน ถาเราศรัทธาในความหมายของงาน ในคณุ คาของงาน เรา
๒๖ เลาเรียน-ทาํ งานกนั ไป ชีวติ ไดอะไร ทาํ งานไปก็ทําจิตใจของเราใหร าเรงิ ไดง า ย แตการทจี่ ะใหร าเริงนั้น บางทกี ็ตอ งทาํ ตัวทําใจเหมือนกัน ไมใชว า มนั จะเกดิ ขน้ึ มาเฉยๆ เราตอ งตง้ั ทา ทขี องจติ ใจใหถ กู ตอ ง บอกตวั เอง เรา ใจ ตวั เองใหร า เรงิ ทาํ ใจใหเ บกิ บานอยเู สมอ สภาพจติ อยา งนเ้ี รยี กวา มปี ราโมทย ทางพระบอกวา สภาพจิตทีด่ ีของคนนนั้ กค็ อื หนึ่ง ปราโมทย มคี วามราเรงิ เบิกบานใจ สอง ปต ิ มคี วามอม่ิ ใจ ปลาบปลื้มใจ สาม ปสสทั ธิ มคี วามผอนคลาย หรือสงบเยน็ ขอที่สามนีม้ ีความสาํ คญั มากในยุคปจ จบุ นั คือ เมอ่ื ผอนคลาย กไ็ ม เครียด เปนขอท่ีจะชวยแกปญหาสภาพจิตในวัฒนธรรมสมัยใหมของยุค อุตสาหกรรม พอมีปสสัทธแิ ลว ส่ี สขุ มคี วามฉํ่าชนื่ รน่ื ใจ จิตใจคลอ งสบาย แลว ก็ หา สมาธิ มใี จแนว แน อยูตัว แนบสนทิ และมัน่ คง ไมวอกแวก ไมฟงุ ซาน ไมหวัน่ ไหว ไมม ีอะไรรบกวน เรียบ สมํา่ เสมอ อยกู ับกิจ อยูก บั งาน เหมือนดงั กลนื เขาเปนอันหนง่ึ อนั เดียว กบั งาน ซงึ่ หมายถงึ วาสมาธใิ นการทํางานก็เกิดขน้ึ ดว ย องคประกอบ ๕ ตวั นี้ เปนสภาพจติ ของคนท่ปี ฏิบัตธิ รรม ดังนนั้ ในการเปนอยูและในการทํากิจกรรมทุกอยาง เราจึงปฏิบัติธรรมไดท้ังนั้น เมื่อเราดาํ เนินชวี ิตถกู ตอง ทําส่งิ น้นั ๆ ไดถ กู ตอ ง เรามสี ภาพจิตท้งั หา อยา งน้ี ก็เรยี กวา เรากําลงั ปฏบิ ัตธิ รรมตลอดเวลา หลายคนไปมองการปฏบิ ตั ธิ รรมแยกจากชวี ติ ออกไป ตอ งรอไปเขา ปา ไปอยวู ดั การปฏบิ ตั ธิ รรมอยา งนนั้ อาจเปน course แบบ intensive แตใ น ปจ จุบันคือทุกขณะนี้ เราตอ งปฏิบัตธิ รรมตลอดเวลา ถา ใครปฏบิ ัตไิ ดอ ยา งนี้ ตลอดเวลาแลว การปฏิบัติอยา งท่เี รยี กวา intensive course กไ็ มจําเปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๗ สําหรบั บางคนจาํ เปน เพราะเขาไมเ คยฝกตนเลย ทีนี้ ถา เราฝก ตัวเองตลอดเวลาดว ยการทํางานแบบนี้ เราก็ปฏบิ ัติ ธรรมตลอดเวลาอยูแลว เราทํางานไป โดยมีสภาพจติ ดี ซ่ึงจะไมม ปี ญหาสุข ภาพจติ เลย เพราะมันเปนสุขภาพจิตเองอยแู ลว ในตวั ขอใหมีปราโมทย ใหม ปี ต ิ มีปสสัทธิ มสี ขุ มสี มาธเิ ถิด ถาทําอยางน้ี แลวสบาย งานกไ็ ดผ ลดวย จติ ใจก็ดีดวย ถา ทํางานอยางนี้ ก็กลายเปน ทาํ งานเพ่อื ธรรมแลว และคนอยา งนี้ จะไมคอยคาํ นึงถึงผลตอบแทน ไมตองรอความสขุ จากผลตอบแทน คนทมี่ งุ ผลตอบแทนตอ งรอวา เมอ่ื ไรเขาไดผ ลตอบแทนเปน เงนิ เปน ทองแลว เขาจงึ จะมคี วามสขุ แตร ะหวา งนน้ั กท็ กุ ขแ ทบตาย ทาํ งานดว ยความ ทุกขแ ละรอความสุขอยูเร่ือยไป จะไดห รอื ไมไ ดกย็ งั ไมแนนอน ไมม่ันใจ แต การปฏบิ ัติโดยมสี ภาพจิตหา อยางนี้ ไดท ัง้ งานไดท ง้ั ความสขุ เสร็จไปในตวั ทีนี้ พอถึงขน้ั ทํางานอยา งมีความสุขโดยไมต อ งหวัง ไมตองหวงผล ตอบแทนแลว เราทํางานไป ชวี ิตแตล ะขณะกจ็ ะเปนความเต็มสมบรู ณของ ชวี ติ ในทุกขณะน้ันๆ ตอนนแ้ี หละจะถงึ จดุ รวมท่ที กุ อยางมาอยดู วยกนั ทง้ั งาน ท้งั ชีวิต และความสขุ จะสําเรจ็ ในแตล ะขณะ ตรงน้ีแหละเปนหัวใจสําคัญ ในตอนแรกนั้นเปน เหมือนวา เราแยก งาน แยกชีวติ แยกความสุขเปนสวนๆ แตพ อถึงตอนนี้ ทาํ ไปทาํ มา ทุกอยา ง มารวมอยดู วยกนั ทงั้ หมดในขณะเดียว ตราบใดเรายงั แยกเปน สวนๆ และแยกตามเวลา ตราบนัน้ ชวี ติ จะ ตอ งดน้ิ รนคอยหาและหลบหนสี งิ่ เหลา น้นั ทลี ะอยางๆ อยตู ลอดเวลา คือเปน ชีวติ ทตี่ ามหาวันพรุงนี้ ซึง่ ไมมาถึงสกั ที แตถ า ทําใหเ ปนปจ จบุ ันเสีย ทกุ อยา ง ก็ครบถวนอยดู วยกันทนั ที ทุกอยางก็สมบรู ณ
๒๘ เลา เรยี น-ทาํ งานกันไป ชีวติ ไดอ ะไร ชีวิต งาน และธรรม: ความประสานสูเ อกภาพ ในสภาพอยางน้ี เราจะมองเห็นพัฒนาการของคนในการทํางาน มองเหน็ พัฒนาการของชีวิต ในลักษณะท่วี า ตอนตน คนจํานวนมากมองแบบปุถุชนวา งานเพอื่ ชีวิต คือเรา ทาํ งานเพอื่ จะไดผ ลตอบแทนมาเล้ียงชวี ติ ชวี ติ ของเราอาศัยงาน คอื เรา อาศยั งานเพ่อื ใหช ีวิตของเราเปน อยูได ตอ มาจะเหน็ วา มกี ารกา วหนา ไปอกี ขนั้ หนง่ึ คอื กลายเปน งานเพอ่ื งาน ตอนนง้ี านกเ็ พอื่ งานนนั่ แหละ คอื เพอ่ื ใหง านนนั้ สาํ เรจ็ ดว ยดี เพอื่ จดุ มงุ หมาย ของงาน ตรงไปตรงมา ทว่ี า งานเพ่อื ชีวติ นั้นเปน เรื่องของเง่ือนไข ไมใชเ ปน เหตปุ จจัย จะ ตอ งมองความเปนเหตุปจ จยั และการเปน เงือ่ นไขวาเปนคนละอยา ง งานเพื่อชวี ติ นัน้ แทจ รงิ แลว ไมใ ชความสมั พนั ธต ามเหตุปจจยั งาน ไมใ ชเ ปน เหตปุ จ จยั ของชวี ติ แตง านเปน เงอื่ นไขเพอ่ื ใหไ ดผ ลตอบแทนมาเลยี้ ง ชวี ติ แตถ า งานเพอื่ งานแลว กเ็ ปน เรอื่ งของเหตปุ จ จยั โดยตรง งานอะไรกเ็ พอ่ื จดุ หมายของงานอนั นน้ั เชน งานของแพทยค อื การบาํ บดั โรค กเ็ พอ่ื จดุ มงุ หมาย ของงาน คอื ทาํ ใหค นหายโรค ทาํ งานโภชนาการ กเ็ พอื่ ใหค นไดก นิ อาหารดี แลว คนก็จะไดม ีสขุ ภาพดี เปนจุดหมายของงานโดยตรง งานก็เพือ่ งาน เมอ่ื เราทํางานเพ่ืองานแลว ไปๆ มาๆ งานทท่ี าํ น้นั ก็กลายเปนกจิ กรรมหลกั ของชีวติ ของเรา กลายเปน ตวั ชวี ติ ของเรา งานเพือ่ งานก็กลายเปน ชวี ติ เพอ่ื งาน ชวี ติ ของเราก็กลายเปน ชวี ิตเพือ่ งาน ทาํ งานไปทาํ งานมา ชีวติ ของเรากลายเปนชีวิตเพื่องาน อน่ึง พรอมกับทว่ี าเปนงานเพอ่ื งานนนั่ แหละ มนั ก็เปน ธรรมไปใน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๙ ตวั เหมอื นอยา งทบี่ อกวา ทํางานเพ่อื ประโยชนส ขุ แกสังคม หรือวาแพทยทาํ ใหค นไขม ีสุขภาพดี การทาํ ใหเ กิดประโยชนสุขแกส ังคม และการชวยใหค น มีสขุ ภาพดกี เ็ ปน ธรรม การทค่ี รใู หการศกึ ษาแกเ ด็กนกั เรียน ทาํ ใหน กั เรยี นมี การศึกษา มสี ติปญญา การทมี่ ีสติปญญา การทีม่ ชี ีวติ ทด่ี ีงาม กเ็ ปนธรรม เพราะฉะนั้น งานนน้ั ก็เพอื่ ธรรม เม่ือเราเอาชีวิตของเราเปนงาน เอางานของเราเปน ชวี ิตไปแลว ก็ กลายเปน วา ชีวติ ของเราก็เพอื่ ธรรม งานก็เพ่ือธรรม ซง่ึ มองกันไปใหถ ึงทส่ี ดุ แลว ไมใชแคเ พ่ือเทาน้ัน คอื ทว่ี างานเพื่องาน งานเพ่ือธรรม ชีวติ เพือ่ งาน ชีวิตเพ่อื ธรรมอะไรตางๆ น้ี ในทสี่ ุด ท้ังหมดนกี้ ็เปนอันหนง่ึ อนั เดียวกนั เม่อื ถงึ ขน้ั นี้ ก็ไมตอ งใชค ําวา \"เพ่อื \" แลว เพราะทําไปทํามา ชวี ติ ก็ คืองาน งานกค็ อื ชวี ติ และงานก็เปนธรรมไปในตัว เม่ืองานเปนธรรม ชีวิตก็ เลยเปนธรรมดว ย ตกลงวา ทงั้ ชีวิตทัง้ งานก็เปนธรรม ไปหมด พอถึงจุดนี้ก็เขาถึงเอกภาพที่แทจริง ทุกอยางกจ็ ะถึงจุดทสี่ มบรู ณ ในแตล ะขณะอยางที่กลา วแลว ในภาวะแหง เอกภาพ ท่ีชวี ิต งาน และธรรม ประสานกลมกลืนเขา เปนอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น คนทท่ี ํางานกจ็ ะมีชวี ติ และงานและธรรมสมบรู ณ พรอ ม ในแตล ะขณะที่เปนปจ จบุ นั และจะมแี ตชีวติ และงานท่ีมคี วามสุข ไม ใชชวี ติ และงานทมี่ คี วามเศรา นี้เปน ประการทห่ี น่งึ ประการที่สอง ชวี ติ น้ันมีคณุ คา เปนประโยชน ไมม โี ทษ และ ประการที่สาม ชีวิตนี้ และงานน้ัน ดําเนินไปอยางจริงจัง กระตอื รอื รน ไมเฉือ่ ยชา ไมประมาท ลักษณะของงานอยางหนง่ึ ท่เี ปน โทษ กค็ อื ความเฉื่อยชา ความทอ แท ขาดความกระตอื รือรน ซ่ึงโยงไปถึงสภาพจติ ดว ย เม่ือเราไดคณุ ลักษณะ ของการทํางาน และชวี ติ อยา งท่ีวา มาน้ี เรากไ็ ดคุณภาพที่ดที ัง้ สามดา น คอื
๓๐ เลา เรยี น-ทาํ งานกันไป ชีวติ ไดอ ะไร ไดทั้งความสุข ไดคุณประโยชนหรือคุณคา และไดทั้งความจริงจัง กระตือรือรน ซึ่งเปนเนอื้ แทใ นตวั ของงานดวย ถา เปนอยางนีแ้ ลว ชีวิตนนั้ ก็เปนชวี ิตท่มี คี วามสมบูรณใ นตัวเอง ซ่งึ ในแงของงานก็เปนอันหน่ึงอันเดียวกับงาน แลวก็เปนอันหนึ่งอันเดียวกับ ประโยชนสุขท่ีจะเกิดแกชีวิตและสังคมของมนุษยดวย ชีวิตอยางนี้จึงมี ความหมายเทา กับประโยชนส ุขดวย หมายความวา ชวี ติ คอื ประโยชนสุข เพราะการเปน อยขู องชีวติ นน้ั หมายถึงการเกิดขึน้ และการดาํ รงอยูข องประโยชนส ุขดวย คนผใู ดมชี วี ิตอยูอยางน้ี การเปนอยขู องเขาก็คือประโยชนส ุขที่เกิด ขึ้นแกเ พื่อนมนษุ ย แกช วี ิต แกสังคมตลอดเวลา เพราะฉะนัน้ ถา คนอยางนี้ มชี ีวติ ยืนยาวเทา ไร ก็เทากบั ทาํ ใหป ระโยชนส ขุ แกสงั คม แกม นษุ ย แกโลก แผขยายไปไดมากเทา นนั้ ดงั น้ัน อายุทม่ี ากขึน้ ก็คอื ประโยชนสุขของคนที่ มากขน้ึ แพรหลายกวา งขวางยง่ิ ขนึ้ ในสังคม ครง้ั หนง่ึ พระสารบี ตุ ร อคั รสาวกฝา ยขวาของพระพทุ ธเจา ถกู ถามวา ถา พระพทุ ธเจา มอี นั เปน อะไรไป ทา นจะมคี วามโศกเศรา ไหม พระสารบี ตุ รตอบวา ถา องคพ ระศาสดามอี นั เปน อะไรไป ขา พเจา กจ็ ะไมม คี วามโศก เศรา แตข า พเจา จะมคี วามคดิ วา พระองคผ ทู รงมพี ระคณุ ความดี มากมาย ไดล บั ลว งจากไปเสยี แลว ถา หากพระองคท รงดาํ รงอยยู าว นาน กจ็ ะเปน ไปเพอื่ ประโยชนส ขุ แกพ หชู นชาวโลกเปน อนั มาก พระสารบี ตุ รตอบอยางนี้หมายความวา เปนการต้งั ทาทที ี่ถกู ตอ งตอ กนั ทง้ั ตอ ตัวของทา นเอง และตอ ชีวิตของทา นผอู ื่นดว ย ก็อยางที่วามาแลว วา ชีวิตที่ยนื ยาวอยใู นโลกของคนทมี่ ีคุณสมบตั เิ ชนนี้ กค็ อื ความแพรหลาย ของประโยชนส ขุ มากยิ่งข้ึน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓๑ ชีวิต งาน และธรรม: อิสรภาพภายในเอกภาพ เทา ทไี่ ดก ลา วมาในเรอื่ ง \"ชวี ติ นเ้ี พอื่ งาน และงานนเี้ พอื่ ธรรม\" ทงั้ หมด นี้ กเ็ ปน นยั หนง่ึ ของความหมาย แตถ า จะวเิ คราะหอ กี แบบหนง่ึ ชอ่ื หวั ขอ ท่ีตัง้ ไว ไดแ ยกชวี ติ กบั งานออกเปนคํา ๒ คํา เมื่อกี้เราไดดึงเอาชีวิตกับงาน มารวมเปนอันหนึ่งอันเดียวกันแลว แตถึงอยางนนั้ ในแงของความเปนจริง มันก็ยังเปน คําพดู คนละคํา ชีวติ ก็ เปนอันหนึ่ง งานก็เปนอนั หน่ึง เพยี งแตเ รามาโยงใหเปน เอกภาพ ทนี ้ี แงที่ชีวติ กับงานเปนคนละคํา ยังเปน คนละอยาง และยังมี ความหมายท่ตี า งกนั กค็ ือ งานน้นั มลี กั ษณะทจ่ี ะตอ งทํากนั เรอื่ ยไป ไมสนิ้ สุด ยงั ไมมคี วามสมบรู ณเสร็จสน้ิ ทีแ่ ทจ ริง เพราะวา งานนั้นสมั พนั ธกับ ความเปลีย่ นแปลงของกาลเทศะและของชุมชน สังคมมีความเปลยี่ นแปลงอยูเสมอ เมือ่ สงั คมเปล่ยี นแปลงไป งาน ท่ีทําก็เปลี่ยนแปลงไปดวย เพราะฉะน้ันงานจะไมมีความสมบูรณเสร็จสิ้น ตองมกี ารเปลยี่ นแปลงตอไปตามสภาพแวดลอ มของสงั คม แตชวี ิตของคนมี ความจบส้นิ ในตวั จะไมไปกับงานตลอดไป อนั นี้ก็เปนอกี แงห นง่ึ ตามท่พี ูดไปแลว แมว า ชีวิตกบั งานจะเปน เอกภาพกันไดแ ลว แตใ น แงห นึง่ กย็ งั มีความตาง อยา งทวี่ า งานสาํ หรับสังคมนี้คงดาํ เนนิ ตอ ไป แตชวี ติ ของคนมีการจบสน้ิ ได และจะตอ งจบส้ินไป แมว า เราจะไมสามารถทําใหงานมีความสมบูรณเสรจ็ สนิ้ แตชีวิต ของคนเราแตล ะชวี ติ เราควรจะทําใหสมบรู ณ และชวี ติ ของเราในโลกน้ีเราก็ สามารถทาํ ใหสมบรู ณไ ดดว ย ทาํ อยางไรจะใหส มบูรณ
๓๒ เลาเรยี น-ทาํ งานกันไป ชีวติ ไดอ ะไร ในทางพระพุทธศาสนาไดแสดงหลกั เก่ยี วกับจดุ หมายของชวี ิตไว ๓ ขนั้ วา ชีวิตทเ่ี กดิ ขึ้นมานนั้ แมว ามนั จะไมม ีจุดหมายของมันเอง เรากค็ วรทาํ ใหมจี ดุ หมาย เราอาจจะตอบไมไดวา ชีวิตน้เี กิดมามีจุดมงุ หมายหรือไม เพราะ เมอื่ วา ตามหลักธรรมแลว ชวี ติ นเ้ี กดิ มาพรอ มดว ยอวชิ ชา ชีวิตไมไดบอกเราวามันมีจุดมุงหมายอยางน้ันอยางน้ี แตเราก็ สามารถตง้ั ความมุง หมายใหแกม นั ได ดว ยการศกึ ษาและเขา ใจชวี ิต ก็มอง เห็นวา ชวี ติ นจี้ ะเปนอยูดี จะตองมีคุณภาพ จะตองเขา ถงึ ส่ิงหรอื สภาวะทม่ี ี คุณคา หรอื เปน ประโยชนแกมนั อยา งแทจรงิ ดว ยเหตุน้ี ทางพระจงึ ไดแสดงไวว า เมอ่ื เกดิ มาแลว ชวี ิตของเรา ควรเขา ถึงจุดหมายระดับตา งๆ เพ่อื ใหเ ปนชวี ติ ทส่ี มบรู ณ ซ่ึงเปน เรือ่ งทีเ่ รา จะตองทาํ ใหแ กชวี ติ ของเราเอง ใหมนั มีใหม นั เปนไดอยา งนั้น ประโยชนห รือจุดหมายนี้ ทา นแบงเปน ๓ ขน้ั จดุ หมายท่หี นึ่ง เรยี กวา จุดหมายที่ตามองเหน็ จดุ หมายของชีวติ ทตี่ ามองเหน็ โดยพ้นื ฐานท่ีสดุ กค็ ือ การมรี ายได มีทรัพยส นิ เงนิ ทอง มี ปจจยั ๔ พอพงึ่ ตัวเองได การเปน ที่ยอมรับและอยูร ว มกับคนอ่ืนได เรอ่ื งผลประโยชนแ ละความจาํ เปน ตา งๆ ทางวตั ถแุ ละทางสงั คมเหลา น้ี ชวี ติ ของเราจาํ เปน ตอ งพงึ่ อาศยั เราปฏเิ สธไมไ ด พดู งา ยๆ กค็ อื การพ่ึงตวั เอง ไดใ นทางเศรษฐกิจและสังคม เปน หนาทข่ี องเราท่จี ะตองทําใหเ กดิ ใหมี ทุกคนควรท่จี ะตองพจิ ารณาตวั เองวา ในขนั้ ทหี่ น่ึง เกยี่ วกบั การมี ทรพั ยท จี่ ะใชส อย มปี จ จยั ทพ่ี ออยไู ด การมคี วามสมั พนั ธท ดี่ กี บั ผอู นื่ ในสงั คม เร่ืองของความอยูดี พึ่งตนเองไดในทางเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงเปน ประโยชนท ี่ตามองเหน็ นี้ เราทําไดแ คไหน บรรลุผลไหม นค่ี ือขนั้ ท่หี นง่ึ ที่ทาน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓๓ ใหใ ชเ ปนหลกั วัด ตอไปขนั้ ท่ีสอง จดุ หมายทีเ่ ลยตามองเห็น หรือประโยชนซ ่งึ เลย ไกลออกไปขางหนา เลยจากที่ตามองเหน็ ซงึ่ รวมถึงเลยจากโลกน้ีไปดวย ก็ คือดา นในหรอื ดานจิตใจ หมายถงึ การพฒั นาชีวิตจติ ใจ รวมท้งั การมคี วาม สุขในการทํางาน การมองเหน็ คณุ คาของงานในแงค วามหมายท่แี ทจริง วา เปนประโยชนตอเพอ่ื นมนษุ ยห รือเพอ่ื สันตสิ ขุ ความประพฤติสจุ ริต ความมี นา้ํ ใจพรอ มทจี่ ะสละจะทาํ จะใหเ พอื่ ประโยชนส ว นรวมและการชว ยเหลอื ตา งๆ คุณคา และคุณธรรมเหลาน้ี ซ่ึงทาํ ใหเ กดิ ความมั่นใจและเอบิ อิม่ ภาย ในจิตใจ ม่นั ใจถึงขนาดทว่ี าไมตอ งหวน่ั หวาดกลวั ภยั โลกหนา เปน ความสุข ที่ลกึ ซ้ึง เปนส่งิ ที่เลยจากตามองเห็น คนหลายคนแมจะมีประโยชนท่ีตามองเหน็ พรั่งพรอ มบริบูรณ แต ไมม คี วามสขุ ที่แทจ รงิ เลย เพราะพน จากท่ตี ามองเห็นไปแลว จิตใจไมพรอ ม ไมไ ดพฒั นาเพยี งพอ เพราะฉะนน้ั ตอ งมองวา ในสว นทม่ี องไมเห็น คือเลย ไปกวา นั้น ยงั มีอกี สว นหนึ่ง แลว สวนนนั้ เรามีแคไหนเพยี งไร สดุ ทา ย จดุ หมายทพ่ี น เหนอื โลก หรอื จดุ หมายทพ่ี น เปน อสิ ระ เรยี ก วา ประโยชนส งู สดุ คอื ประโยชนเ หนอื ทง้ั ทตี่ ามองเหน็ และทเี่ ลยจากตามองเหน็ ประโยชนในขนั้ ทีส่ องนนั้ แมจะเลยจากทต่ี ามองเหน็ ไปแลว กย็ งั เปนเพียงเร่ืองนามธรรมในระดับของความดีงามตา งๆ ซึง่ แมจะสูง แมจ ะ ประเสริฐ ก็ยังมีความยึดความติดอยูในความดีความงามตางๆ เหลานั้น และยังอยูในขายของความทุกข ยงั ไมพ นเปนอิสระแทจ รงิ สวนจุดมุงหมายขั้นสุดทายน้ี ก็คือการอยูเหนือส่ิงเหลาน้ันข้ึนไป คือความเปนอิสระโดยสมบูรณ ซ่ึงทางพระพุทธศาสนาถือวา ความเปน อสิ ระโดยสมบูรณเปน จดุ มงุ หมายท่ีแทจริงของชวี ิต
๓๔ เลาเรียน-ทาํ งานกันไป ชวี ติ ไดอ ะไร ตอนน้ี แมแ ตงานทวี่ าสาํ คญั เราก็ตองอยเู หนอื มัน เพราะถงึ แมว า งานกบั ชีวติ ของเราจะเปนอันหน่งึ อันเดียวกนั แตตราบใดทเี่ รายงั มคี วามติด ในงานนัน้ อยู ยงั ยึดถือเปน ตวั เรา เปนของเรา งานแมจ ะเปนสิ่งท่ีดีงาม มี คณุ คา เปนประโยชน แตเ รากจ็ ะเกดิ ความทุกขจ ากงานนน้ั ได มันยังอาจจะ เหน่ยี วร้งั ใหเ ราเอนเอยี งได จึงจะตอ งมาถงึ ขนั้ สุดทา ยอีกขนั้ หนึง่ คอื ความ หลดุ พนเปน อิสระโดยสมบูรณ อยเู หนอื ส่งิ ทัง้ ปวง แมแตสิ่งที่เรยี กวา งาน ในข้ันนเ้ี ราจะทาํ งานใหดีทีส่ ดุ โดยท่จี ิตใจไมต ิดคางกังวลอยูกับงาน ไมวาในแงท่ีตัวเราจะไดผ ลอะไรจากงานนัน้ หรือในแงวางานจะทําใหตวั เรา ไดเปน อยา งนัน้ ๆ หรือแมแตในแงวา งานของเราจะตองเปนอยางนน้ั ๆ การมองตามเหตุปจจัยน้ันเปนตัวตนทาง ท่ีจะทําใหเรามาถึงข้ันน้ี ในเวลาท่ที าํ งาน เราทาํ ดว ยความตง้ั ใจอยา งดีทส่ี ดุ มุงแนว เดด็ เด่ียววา ตอ ง ใหสัมฤทธ์ิผลบรรลุจุดหมายนั้นๆ แตพรอมกันน้ันก็มีทาทีของจิตใจที่ ตระหนักรูถึงความเปนไปตามเหตปุ จ จยั ทาํ การใหต รงเหตปุ จจัย มองไป ตามเหตปุ จจยั ถางานนน้ั มนั เปนไปตามเหตุปจ จยั มนั กเ็ ปน เรื่องของเหตุ ปจ จยั ท่ีจะใหเ ปนไป ไมใ ชเ รื่องของตวั เราทจ่ี ะเขาไปรับกระทบ เขาไปอยาก เขาไปยดึ หรือถือคา งไว เรามีหนา ทแี่ ตเพียงทําเหตุปจจยั ใหดที ี่สดุ ดว ยความรทู ีช่ ดั เจนทส่ี ดุ มแี ตต ัวรู คอื รวู า ท่ดี งี ามถกู ตอ งหรือเหมาะควรเปนอยางไร รูวาเหตปุ จ จยั ที่ จะใหเปน อยา งนั้นคอื อะไร แลวทาํ ตามทรี่ ู คอื ทําเหตปุ จจยั ทีร่ วู า จะใหเกดิ ผลเปนความดงี ามถกู ตองเหมาะหรอื ควรอยา งน้นั เมื่อทําเหตปุ จ จยั แลว มนั กเ็ ปนเรือ่ งของเหตุปจจัยนนั้ แหละทจี่ ะทาํ ใหเกิดผลขน้ึ มา เราหมดหนาทแ่ี คน ั้น ไมต อ งมายงุ ใจนอกเหตุปจจัย ไมตอง ไปอยากไปยดึ ตอนนี้ใจของเรากเ็ รียกวา ลอยพน ออกมาไดส วนหน่ึง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๕ เม่ือใดเราเขาถึงความจริงโดยสมบูรณแลว จิตใจของเราก็จะเปน อิสระอยางแทจริง ซงึ่ ทาํ ใหท าํ งานนน้ั ไดผลสมบูรณ โดยท่พี รอมกนั นนั้ ก็ไม ทําใหตัวเราตกไปอยูใตความกดทับ หรือในการบีบค้ันของตัวงานน้ันดวย แตเ รากส็ ขุ สบายโปรงใจอยตู ามปกติของเรา อันน้เี ปน ประโยชนสูงสุดในขั้น สุดทาย ถา สามารถทําไดอยางนี้ ชีวิตกจ็ ะมีความสมบรู ณใ นตัว ดังไดก ลา วแลว วา งานไมใชเปนตวั เรา และกไ็ มใชเปน ของเราจรงิ แตง านนั้นเปนกิจกรรมของชวี ิต เปน กิจกรรมของสงั คม เปน ส่ิงท่ชี ีวติ ของ เราเขาไปสมั พันธเ ก่ียวขอ ง แลว กต็ องผา นกนั ไปในท่สี ดุ งานน้ันเราไมสามารถทาํ ใหสมบูรณแทจรงิ เพราะมันขนึ้ กับผลทมี่ ี ตอสง่ิ อื่น ขน้ึ กบั ปจ จยั แวดลอ ม กาลเทศะ ความเปลยี่ นแปลงของสงั คม คน อื่นจะตอ งมารับชว งทํากันตอไป แตชวี ติ ของเราแตล ะคน เปน สิง่ ทที่ าํ ใหสมบูรณได และเราสามารถ ทําใหสมบูรณไ ดแ มแ ตด ว ยการปฏบิ ตั ิงานน้แี หละอยา งถกู ตอง เมื่อเราปฎิบัติตองานหรือทํางานอยางถูกตอง มีทาทีของจิตใจตอ งานถูกตอ งแลว ชีวิตกจ็ ะเปน ชวี ติ ทส่ี มบูรณใ นตัวในแตละขณะน้นั นั่นเอง นี่ คอื ประโยชนในระดบั ตา งๆ จนถึงขั้นสงู สุดทท่ี างธรรมไดสอนไว รวมความวา ภาวะทีช่ ีวิต งาน และธรรม ประสานกลมกลนื เขา ดวย กันเปน หนึ่งเดยี ว หรือเอกภาพ ทีก่ ลาวมานั้น เมือ่ วเิ คราะหลงไปแลว ยงั แยกไดเปน ๒ ระดับ ในระดับหนง่ึ แมวา ในเวลาทํางาน ชีวติ จะเต็มอิ่มสมบรู ณใ นแตละ ขณะนนั้ ๆ ทุกขณะ เพราะชวี ิตจิตใจกลมกลนื เขา ไปในงานเปนอันเดียวกนั พรอมทง้ั มีความสุขพรอมอยูดว ยในตัว แตล กึ ลงไปในจิตใจ ก็ยงั มีความยึด ติดถอื มั่นอยวู างานของเราๆ พรอ มดว ยความอยากความหวงั ความหมายมน่ั
๓๖ เลา เรียน-ทาํ งานกนั ไป ชวี ติ ไดอะไร และความหวาดหว่นั วา ขอใหเ ปนอยางน้นั เถิด มนั จะเปน อยางนน้ั หรอื ไม หนอ เปนตน จึงยังแฝงเอาเช้ือแหง ความทกุ ขซอนไวล ึกซ้งึ ในภายใน ขัน้ น้ียังเปน เอกภาพทมี่ ีความแยกตา งหาก ซงึ่ สิง่ ทตี่ า งหากกันเขา มา รวมกนั มตี ัวตนท่ีไปรวมเขากบั สงิ่ อ่นื หรือฝง กลืนเขาไปในส่งิ นนั้ ในงานน้ัน ซึ่งเมอื่ มีการรวมเขา ก็อาจมกี ารแยกออกไดอ ีก สวนในอีกระดบั หนงึ่ ความประสานกลมกลืนของชีวิตจิตใจกับงาน ที่ทํา เปน ไปพรอ มดว ยความรเู ทาทนั ตามความเปน จริงในธรรมชาติของชวี ติ และการงานเปน ตน ที่เปน ไปตามเหตปุ จจัย โดยไมต องอยากไมตอ งยึดถือ สาํ คัญมนั่ หมาย ใหนอกเหนอื หรอื เกินออกไปจากการกระทําตามเหตุผล ดวยความต้ังใจและเพยี รพยายามอยา งจรงิ จัง ข้นั นเี้ ปนภาวะของอิสรภาพ ซึ่งเอกภาพเปนเพียงสาํ นวนพดู เพราะ แทจรงิ แลว ไมมอี ะไรแยกตา งหากท่จี ะตองมารวมเขาดว ยกนั เนือ่ งจากไมมี ตัวตนที่จะเขาไปรวมหรือแยกออกมา เปนเพียงความเปนไปหรือดําเนินไป อยา งประสานกลมกลนื ในความสัมพันธข องสง่ิ ท้งั หลาย ทแี่ ทกค็ อื ความโปรงโลงเปน อสิ ระ เรียกวาภาวะปลอดทุกขไรปญ หา เพราะไมม ีชอ งใหความคับขอ งตดิ ขัดบีบคน้ั เกิดข้ึนไดเ ลย ฉะนน้ั พงึ เขา ใจวา ภาวะทชี่ วี ติ งาน และธรรม ประสานกลมกลนื เขา เปน หนงึ่ เดยี ว ดงั ไดก ลา วมากอ นหนา นี้ ซงึ่ ผทู าํ งานมชี วี ติ เตม็ สมบรู ณเ สรจ็ สน้ิ ไปในแตล ะขณะ ทเี่ ปน ปจ จบุ นั นนั้ วา ทจี่ รงิ แลว เมอื่ ถงึ ขนั้ สดุ ทา ย กต็ รง กนั กบั ภาวะของการมชี วี ติ ทเี่ ปน อสิ ระอยพู น เหนอื งาน ทก่ี ลา วถงึ ในทนี่ นี้ น่ั เอง ท้ังน้ีเพราะวา ความเปนอันหนึ่งอันเดียวกันน้ัน หมายถึงความ สมั พนั ธท ก่ี ลมกลนื เสร็จสิ้นผา นไปในแตละขณะ ไมใ ชเ ปนการเขา ไปยึดตดิ ผูกพันอยูด วยกัน ซงึ่ แมจ ะอยใู นขณะเดยี วกนั กก็ ลายเปน แยกตา งหาก จงึ มา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๗ รวมหรอื ยดึ ตดิ กนั แตในภาวะท่ีเปน เอกภาพอยา งสมบรู ณแทจริง ผูทท่ี ํางาน มีชีวติ เปน งาน และมีงานเปนชวี ติ ในขณะน้ันๆ เสร็จสิน้ ไป โดยไมมีตัวตนทจ่ี ะแยก ออกมายึดติดในขณะนั้น และไมมีอะไรคางใจเลยไปจากปจจุบัน จึงเปน อิสรภาพในทามกลางแหง ภาวะทเี่ รียกวา เปน เอกภาพนนั้ ทีเดียว เปน อันวา ชวี ติ นเี้ พอื่ งาน งานนเี้ พอื่ ธรรม และลกึ ลงไปอกี ชวี ิตนี้ก็ เปนงาน และงานนี้ก็เปนธรรม และชวี ติ กเ็ ปนธรรมเองดวย จนกระทัง่ ในที่ สุด ชวี ิตนี้ก็มาถงึ ข้นั สดุ ทาย คอื เปน ชวี ติ ที่เปนอันหนึ่งอันเดียวกับงาน แตก ็ เปน อิสระอยพู น เหนอื แมแตง าน ก็เปนอันวา ถึงความจบส้ินสมบูรณ ถาถึงขั้นนี้ก็เรียกวาเปน ประโยชนสงู สดุ ในประโยชนส ามขน้ั ทเี่ ราจะตองทาํ ใหได พระพทุ ธศาสนาบอกไววา คนเราเกดิ มาควรเขาถงึ ประโยชนใหครบ สามข้นั และประโยชนท ั้งสามข้ันนแ้ี หละคอื เคร่อื งมือ หรอื เกณฑม าตรฐานท่ี ใชว ัดผลของตนในการดาํ เนนิ ชวี ติ ถาเราดาํ เนินชีวิตของเราไปแลว คอยเอาหลักประโยชน หรอื จุด หมายสามขนั้ น้ีมาวัดตวั เองอยเู สมอ เรากจ็ ะเหน็ การพัฒนาของตวั เราเอง ไมวาเราจะมองชีวิตเปน การพฒั นาตนเอง หรือเปน การสะสมสรา ง สรรคค วามดีก็ตาม หลักประโยชนสามข้ันน้ีสามารถนาํ มาใชไดเสมอไป ใชไ ด จนถงึ ขน้ั สมบรู ณเ ปน อสิ ระ จบการพฒั นา อยพู น เหนอื การทจี่ ะเปน ทกุ ข แม แตเ พราะความดี
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: