Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

Description: การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ผู้แต่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุต.โต )
จำนวน 29 หน้า
ขอขอบคุณข้อมูลแหล่งที่มา เพื่อการศึกษาเรียนรู้เท่านั้น

Search

Read the Text Version

การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพ ในการทํางาน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

หนาขอ มลู (ใชตามที่วดั สง ใหในการพิมพใ หมท ุกคร้งั )

หนาอนุโมทนา/คำปรารภ (ใชต ามทว่ี ดั สงใหใ นการพมิ พใ หมทุกคร้งั )

สารบัญ การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการทํางาน................................. ๑ สันโดษไมดี ไมสันโดษจึงดี ...............................................................๒ ความไมส ันโดษ ทเี่ ปนพระจรยิ าวตั รของพทุ ธเจา................................๙ ความอยากทด่ี ี............................................................................... ๑๒ อิทธิบาท ๔: ทางแหงความสําเรจ็ .................................................... ๑๓ ฉันทะทาํ ใหข ยนั ตณั หาทําใหข ี้เกยี จ................................................ ๑๗ สนั โดษท่ีถูกตอ งมธี รรมฉนั ทะ ........................................................ ๒๔

การเพ่ิมประสทิ ธิภาพ ในการทํางาน เรื่องการเพมิ่ ประสิทธิภาพในการทํางานนี้ ความจริงก็เปน เร่ืองท่ีมีชือ่ แบบสมยั ใหม ถาจะจับเขากบั หลกั ธรรมะ กย็ งั นึกไมช ดั วา คาํ วา “ประสิทธิภาพ” นี่จะแปลวา อะไรดี คําวา ประสทิ ธิ ก็หาตวั ศพั ทใ นภาษาบาลไี ดอ ยู แตก ไ็ มใ ชเ ปน คําแบบดั่งเดมิ ทีใ่ ช คอื เอา รูปศพั ทมาประกอบกนั คําวา สิทธิ กแ็ ปลวา ความสาํ เร็จ ถาเติม ‘ป’ เขา ไปขางหนา ก็เปน ‘ปสทิ ธ’ิ แปลวา ความสาํ เรจ็ ทวั่ แลว กม็ ี ภาพ หรอื ภาวะเขา ไป ภาวะแหงความสาํ เรจ็ ทั่ว หรือภาวะท่ีทาํ ให สาํ เร็จผลอยา งดอี ะไรทํานองนี้ แตน่กี เ็ ปน การพูดเชือ่ มโยงไปทาง ภาษาบาลนี ดิ หนอ ยเทา น้นั เอง ความเปนจรงิ ความหมายทว่ั ๆ ไป กเ็ ขา ใจกันอยแู ลว อยางท่ีไดกลาวมาแลววา เรื่องท่ีจะพูดตอไปน้ี คือ เรื่อง ประสทิ ธภิ าพในการทาํ งาน จึงอยากจะโยงเรอื่ งประสิทธภิ าพนไ้ี ปถึง พระพทุ ธเจา พดู ถงึ ประสทิ ธภิ าพการทาํ งานของพระพทุ ธเจา เพราะ ตอนนี้จะพูดถึงธรรมะของพระองคที่ใชเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน การทาํ งาน กต็ อ งแสดงใหเ หน็ วา พระพทุ ธเจา นน้ั ทรงมปี ระสทิ ธภิ าพ

๒ การเพิ่มประสทิ ธภิ าพในการทํางาน ในการทาํ งานมาก ชีวิตของพระองคเปนตัวอยา งของการทาํ งาน อยา งมีประสทิ ธิภาพ เมอ่ื พระองคม ีประสิทธภิ าพในการทํางาน แลว คําสัง่ สอนของพระองคทว่ี า จะชว ยใหม ปี ระสทิ ธภิ าพในการ ทํางานนัน้ จงึ จะนาเชือ่ จรงิ เพราะฉะนัน้ จะเริ่มดว ยขอความที่ แสดงวา พระพทุ ธเจาทรงมีประสิทธิภาพในการทํางาน ในแงทีเ่ ปน ประวตั ิของพระองคเองอยางไรกอ น หรอื วา พระพทุ ธเจาตรัสไว เกยี่ วกบั ผลสาํ เร็จแหงงานของพระองคอ ยา งไร สนั โดษไมด ี ไมส ันโดษจงึ ดี งานของพระพทุ ธเจาอยางแรกท่ีสุด กค็ อื การตรัสรู อะไรทาํ ใหพระองคไดตรสั รู พระองคไดท าํ งาน คอื มคี วามเพียรพยายาม อยา งมปี ระสิทธภิ าพจนประสบความสําเร็จใหตรสั รู บรรลสุ มั มา- สัมโพธญิ าณเปน พระพุทธเจาได และพระองคก็เคยตรัสไว จงึ จะ ขอยกความจากพระสตู รโดยตรง มคี วามตอนหนงึ่ วา “ภิกษทุ ัง้ หลาย เรารูชดั ถึงคุณ (คุณน้ีหมายถงึ คุณ คาก็ได) ของธรรม ๒ ประการ คอื ความเปน ผไู ม สันโดษในกศุ ลธรรมท้ังหลายหนง่ึ ความเปน ผูท ํา ความเพยี รไมร ะยอ ทอ ถอยหนงึ่ ดงั ทเ่ี ปน มา เราตง้ั ความเพยี รไวไ มยอ หยอ นวา จะเหลือแตห นัง เอน็ กระดูก ก็ตามที แมเ นือ้ และเลอื ดในสรรี ะเหอื ดแหง ไปกต็ าม หากยงั ไมบรรลผุ ลท่ีบคุ คลพึงบรรลดุ ว ย เรีย่ วแรง ความเพียรความบากบั่นของบุรษุ แลว จะ ไมหยดุ ความเพียรเสยี

สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓ ภกิ ษุทงั้ หลาย โพธญิ าณเราบรรลดุ ว ยความไม ประมาท ธรรมอนั เปนเคร่ืองปลอดโปรงรอดพนจาก เคร่ืองผกู พนั เราบรรลแุ ลวดวยความไมป ระมาท” น่ีเปนขอความสําคัญในพระสูตรตอนหนง่ึ ทมี่ าในองั คุตตร- นิกาย ตอ จากนพี้ ระองคไดต รสั เตอื นแนะนาํ พระภกิ ษุท้งั หลาย ให บําเพญ็ เพยี รตามอยางท่พี ระองคไ ดเคยทรงมาแลว ขอความตอนน้ีอาจจะไมใชแสดงคุณธรรมท้ังหมดที่พระ พุทธเจา มี ท่ีทําใหพระองคม ปี ระสิทธิภาพในการทาํ งาน แตก็กลา ว ไดว าเปนพน้ื ฐานสําคัญ จุดที่อยากจะชี้ลงไปเพ่ือทําใหเกิดความสะดุดใจเปนท่ี สงั เกตก็ตรงท่ีวา “ความเปนผไู มส นั โดษในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย” อัน นเี้ ปน เร่ืองท่ีตอ งการเนน สว นอันทสี่ องวา ความเปน ผูทาํ ความ เพยี รไมร ะยอ ทอ ถอย อนั นเี้ ปนเร่ืองธรรมดา คือ เร่ืองความเพยี ร น้นั เราก็ทราบกนั อยแู ลว วาเปน หลกั สาํ คญั แตท ีนค้ี วามไมสันโดษ นี่ บางทา นอาจรูส กึ แปลกหรอื ขัดหูหนอย เคยไดย นิ วา ความ สนั โดษนเี่ ปน คุณธรรมสําคัญ มาตอนนพ้ี ระพุทธเจาตรัสวา “คุณธรรมอยา งหน่ึง และเปน ขอ แรกดว ยที่ทําให พระองคต รสั รู คือความเปนผไู มสนั โดษ แตไ มใช สนั โดษเฉยๆ ไมสันโดษในกุศลธรรมทงั้ หลาย” ทีต่ องการชกี้ ค็ อื วา เราเคยนึก เราเคยไดยนิ และพดู กนั มากเรื่องความสนั โดษ กถ็ ือเปน คุณธรรมใหญอ ยา งหนึ่ง แลว เราก็ จะเห็นนกั ธรรมะพดู วา ความไมส ันโดษนีเ่ ปนส่ิงทผ่ี ดิ ไมใชคุณ ธรรม เปนอกศุ ล แตคราวนี้ช้ีมาทางตรงกนั ขาม ถาหากทานไมเคย

๔ การเพิ่มประสทิ ธภิ าพในการทาํ งาน ไดยนิ ก็ตอ งทาํ ใหเกดิ เปนความสงสยั ขึ้นมากอน จะไดม าชวยกนั ชี้ แจงใหเ กิดความชัดเจนตอ ไป เรามาพดู วาความไมสนั โดษกลาย เปน สง่ิ ดีไปแลว พระพุทธเจาเองตรสั วา พระองคไมส ันโดษจึงได ตรสั รู ทนี ้ี ตอไปจะไดพดู ถึงวา พระพทุ ธเจา ตรสั วา ความสันโดษ นี่ไมดี จะใหแปลกใจโดยสรางความฉงนสนเทหกอ น ก็อา งพุทธ- พจนอ ีกแหงหน่ึงท่ีตรสั วา “ดูกอ นนันทิยะ อยางไรอรยิ สาวกชื่อวาเปนอยู ดว ยความประมาท? อรยิ สาวกนนั้ สนั โดษดว ยความเลอื่ มใสอนั มน่ั คง ในพระพทุ ธเจา ในพระธรรม ในพระสงฆ สนั โดษ ดว ยศีลท่อี รยิ ชนยอมรับ ยอมไมเ พียรพยายามใหย่ิง ข้ึนไป…” แลว พระองคก บ็ รรยายตอไป จนในทสี่ ดุ ตรัสวา “… เม่อื เปน เชนนี้ อริยสาวกน้ันก็จึงไมม ปี ญญา รเู ขา ใจธรรมะทั้งหลาย” อันนส้ี ันโดษไมดเี สียแลว น่คี อื ส่ิงทีต่ อ งการชใี้ หเ ห็นแตต น วา มันอาจจะกลบั กันกบั ทเ่ี คยพูดกนั มาวา สันโดษน่ีเปน คุณธรรม สาํ คญั ทดี่ ี ถา ไมส นั โดษละกผ็ ดิ ธรรมะ แตใ นทน่ี พ้ี ระพทุ ธเจา ตเิ ตยี น ความสนั โดษ และทรงยกยอ งความไมส ันโดษ และยกยอ งในฐานะ เปน คณุ ธรรมทีท่ ําใหพ ระองคต รสั รูเสยี ดว ย เพราะฉะนั้นจงึ เห็นวา เรอื่ งน้เี ปน เร่ืองทน่ี าศกึ ษา

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕ ในวงการศกึ ษาธรรมะน้นั อาจมีจดุ พลาดตรงนี้ คอื พดู กัน ไมท ั่วถงึ ไมร อบดาน เมื่อศึกษาไมร อบดานกจ็ ะเกดิ ความผดิ พลาด ข้ึนไดส องแง ฝา ยหนงึ่ กจ็ ะพดู วาสันโดษ น่เี ปนคณุ ธรรมหรอื หลกั ธรรมท่ีไมด ี ทําใหเ กิดผลรา ย เมอื่ คนท้งั หลายมคี วามสนั โดษ ก็ทาํ ใหงอมืองอเทา ไมอยากขวนขวายเพยี รพยายามทาํ สิง่ ท่ีควรทํา ไม อยากสรางตวั สรางหลักฐาน เปน ตน ถา มองในแงพ ัฒนาประเทศชาติ ก็ทาํ ใหประเทศชาติไม พัฒนาหรอื ดอ ยพัฒนา อะไรอยา งนี้ นกี่ เ็ ปน ฝายหนึง่ ซง่ึ ก็เคยมแี ม แตทา นผูใ หญท ีเ่ คยแนะนําวา ไมใหพระสอนสันโดษ เพราะทา น เหน็ วา สันโดษน้เี ปนหลักธรรมทีเ่ ปน อุปสรรคตอ การพัฒนาประเทศ ทนี ้ี อีกฝา ยหน่ึงก็พดู ถงึ แตเรอ่ื งความสันโดษ จะตอ ง สนั โดษเทานั้นจงึ จะดี จึงจะถูกตอ ง ไมสนั โดษเปน ผดิ พลาดหมด สองฝายนี้หาจดุ ยตุ ิไมไดกข็ ดั กัน เพราะฉะนัน้ จึงนา จะมีการศึกษา ใหถ อ งแทวา พทุ ธประสงคเ ปนอยางไรในเร่อื งความสนั โดษ และ ไมส นั โดษนี้ สรุปความที่ยกพุทธพจนมากลาวเม่ือตะกี้ก็ใหเห็นวา ความไมส นั โดษนเี้ ปน คณุ ธรรมอยา งหนึง่ สวนสนั โดษนนั้ กม็ ีหลัก ฐานอยใู นท่ีอื่นแนน อนแลว กเ็ ปนคณุ ธรรมเชนกัน เปน อันวาความ สันโดษเปนคุณธรรมขอหน่ึง ความไมสนั โดษเปนคณุ ธรรมอีกขอ หนึง่ ทําใหเกิดขอ สงสยั วาจะเปน ไดอ ยา งไร...สันโดษก็เปน คุณ ธรรม ไมส นั โดษกเ็ ปนคณุ ธรรม เปน คณุ ธรรมทงั้ คูไดอ ยา งไร? ในทางตรงกันขา มก็บอกวา ความสันโดษกเ็ ปน อกศุ ลธรรม เปน สงิ่ ทไี่ มด ี เปน สงิ่ ทผ่ี ิด เปน ขอ ปฏิบตั ทิ ผี่ ิด ความไมสนั โดษก็

๖ การเพิ่มประสทิ ธิภาพในการทํางาน เปนสง่ิ ทีผ่ ิดเหมือนกนั ผดิ ทั้งคูอ ีก มีถูกท้งั คู และผดิ ท้ังคู ยง่ิ นา สงสยั ไปใหญ จะขอขยายความนดิ หน่ึง คอื ใหสังเกตวาเวลาตรสั วา สันโดษหรือแมจะตรสั วาไมส ันโดษกต็ าม จะไมไ ดตรัสแตเ พียงถอย คําลอยๆ แคนัน้ มันจะตอ งมอี ะไรตามมาอกี อันนแ้ี หละคอื จุดทีว่ า ถา จะพลาดกพ็ ลาดตรงน้ี ท่ีพระพทุ ธเจา ตรสั วา พระองคเ ห็นคณุ คาของธรรมสองประการ ขอแรกก็คอื ความไมสันโดษ ทท่ี ําใหพระ องคตรัสรนู ะ พระองคต รัสตอ ไปวา ความไมสันโดษในกุศลธรรม ทงั้ หลาย ไมส ันโดษในสิง่ ทีด่ ีงาม ส่ิงทีถ่ กู ตอง ส่ิงทเ่ี กอื้ กลู เอาละ...น่กี เ็ ปน แงท่หี นงึ่ ความไมส ันโดษทีเ่ ปน คุณธรรม ในเม่ือตามมาดว ยคําวาในกุศลธรรมท้งั หลาย ไมสันโดษในกุศล ธรรมท้ังหลาย แลวก็เปนสง่ิ ทีด่ งี ามชอบธรรม เปนคณุ ธรรมสําคญั ถาหากวาสันโดษอยางที่อรยิ สาวกเมอื่ ก้ี สนั โดษดวย ศรัทธา สันโดษดว ยศลี สนั โดษในกรณีน้ีคอื สันโดษในกุศลธรรม พอใจแลว มคี ณุ ธรรมแคน ้มี คี วามดีงามแคน ้ี พอแลว อยางน้ีเปน อกุศลเปน ส่ิงท่ีไมถูกตอ ง ทานเรยี กวาเปน ความประมาท เราจะ เห็นชัดวา ในทั้งสองกรณีน้ี ความสนั โดษและความไมส ันโดษจะ เกยี่ วเนอื่ งกบั ความประมาทและความไมประมาท ความไมสันโดษในกุศลธรรมก็มาคูกับความไมประมาท คอื เม่อื ไมสันโดษในกศุ ลธรรม แลว กไ็ มประมาท ก็จะเพยี ร พยายามสรา งบําเพญ็ สงิ่ ที่ดีงามนั้นใหยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ทีน้ี สันโดษ ถา สนั โดษในกุศลธรรม คดิ วาแคนัน้ พอแลว ก็ทาํ ใหเกดิ ความ

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗ ประมาทคอื ไมคดิ ปรับปรงุ ตวั เอง ไมคดิ แกไข ไมค ิดพยายามสรา ง สรรคเรง รดั ตนเองใหกาวหนา ทีน้ี ทวี่ าสันโดษเปนคณุ ธรรม เปนสง่ิ ทด่ี ี สนั โดษอยางไร ก็ จะมพี ทุ ธพจนตรสั ตอไปอีกเหมอื นกนั อาจจะไมไดส งั เกต ในพุทธ พจนท ่ีตรสั เรอื่ งสันโดษ เรียกวาทกุ แหง ถา ไมใชค าถา ถา เปน คาถา บางทีขอ ความถอยคํามันจํากดั เติมอะไรไมไ ด กจ็ ะมแี ตตัวหวั ขอ ธรรมะ แตถาเปนความรอ ยแกวแลว พระพทุ ธเจา กต็ รัสเสมอเลยที เดยี ววา “ภกิ ษเุ ปนผสู ันโดษดวยจวี ร ดว ยบณิ ฑบาต ดวยเสนาสนะ ดว ยคิลานปจ จยั เภสชั บรขิ าร” นีช่ ัดเลย แลวกย็ งั ตรัสตอ ไปอกี วา “เธอเหมอื นอยางนกที่มีแตป ก บินไป ตองการจะไปทไี่ หน เมอื่ ใด กไ็ ปไดเองทันที” พทุ ธพจนน ้ี ถาหากวาอานใหจบ จะเหน็ ชัดถึงความหมาย วา สันโดษคืออะไร และมีความมุงหมายอยทู ไ่ี หน และถาเขาใจ อยา งน้ี ก็จะเห็นทนั ทวี าความสันโดษกับความไมส นั โดษนม่ี ันไป กนั ไดดวย ความสนั โดษนั่นแหละคือเปน เบ้อื งตน ของความไม สันโดษ หรอื เปน ตัวเก้อื หนนุ ความไมสนั โดษ แตจ ะตองจบั ใหถ กู ทนี ี้ สันโดษทเ่ี ปน คุณธรรมน้นั คือ สนั โดษสาํ หรบั พระ ใน ปจ จัยสี่ ถาพูดอยางภาษาญาติโยมชาวบานกค็ อื สันโดษในวัตถุ สง่ิ ท่ีจะเอามาบรโิ ภคใชส อย หรืออาจจะพูดวา วตั ถุทปี่ รนเปรอ บาํ รุงบําเรออํานวยความสะดวกสบายตา งๆ ในแงน้นั ใหส ันโดษ แตทีนีเ้ มือ่ มีความสันโดษแลว เรามีความพอใจ รจู กั อ่มิ รจู กั พอใน ดานวัตถทุ ่จี ะมาบาํ รงุ บาํ เรอปรนเปรอตนเองแลว เราก็จะมีเวลา

๘ การเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการทาํ งาน และมกี ําลงั แรงงานเหลอื ที่จะเอาไปใชท ํากจิ หนา ท่ขี องเรา สง่ิ ที่ เปนกจิ ทเ่ี ปนการงานน้ันน่นั แหละเปนพวกกุศลธรรม พระพทุ ธเจากอ นท่จี ะตรสั รู เปนพระโพธสิ ัตว งานของพระ องคกค็ อื การทําหนา ทีแ่ สวงหาสัจธรรม จะตองใหต รสั รใู หได พระ พุทธเจา ไมทรงเอาใจใสเ ทา ไรวา พระองคจ ะสะดวกสบายเรื่อง ความเปน อยู นน่ั แสดงวา พระองคส ันโดษในเร่อื งวัตถุปจจยั สี่ แต ตอ จากนนั้ พระองคไมส นั โดษแลว คอื ทรงไมสนั โดษในการทจ่ี ะ บาํ เพ็ญกุศลธรรมหรอื ในการทจ่ี ะกาวหนาในการแสวงหาสจั ธรรม ประจักษพยานหลักฐานท่ีแสดงถึงการที่พระพุทธเจาไม สนั โดษอยา งไรนัน้ มีมากมาย ตอนแรกที่พระพุทธเจาทรงออก บรรพชา เสดจ็ ไปแสวงหาความรูกอน ไปสาํ นักอาฬารดาบส กาลามโคตร ตามพทุ ธประวัติวาอยา งนัน้ ไปศกึ ษาจนกระท่ังจบ ความรูอาจารย แลวพระองคไมพอพระทัยในผลสําเรจ็ น้นั อาจารย ชวนบอกวา ทา นนนี่ ะเรยี นเกง มากจบความรขู องขา พเจา แลว ในฐานะ ที่ทา นมสี ติปญ ญาดี ขอเชิญมาชว ยกนั ส่งั สอนอบรมศิษยต อไป พระพทุ ธเจา ไมท รงพอพระทยั ไมอ ม่ิ ไมสนั โดษดว ยผล สําเร็จน้ัน ถือวายังไมบรรลุจุดมุงหมายของพระองค พระองคก็ ขอลาจากสํานักอาฬารดาบส กาลามโคตร แลวก็เสด็จไปสํานัก อทุ ทกดาบส รามบตุ ร ท่มี ชี ื่อเสยี ง แลว กศ็ กึ ษาปฏบิ ัติจนกระทั่ง หมดภูมคิ วามรูของอาจารย เมอ่ื ประสบความสาํ เร็จนน้ั แลว อาจารยก ช็ วนอีกแหละวา เอาละทานกไ็ ดศกึ ษาจนหมดภูมขิ อง ขา พเจาแลว ตอแตน ไ้ี ป มารว มกนั เปนอาจารยส่งั สอนกุลบุตรรุน หลงั ตอ ไปเถดิ

สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๙ พระพทุ ธเจา ก็ไมท รงพอพระทยั คือวา ยงั ไมบ รรลเุ ปา หมายท่ีต้งั ไวก ็ขอลาจากสาํ นักนั้นไปอีก แลวกไ็ ปทรงหาวิธีการ อยา งอนื่ ไปบําเพญ็ ทุกรกริ ิยา ไมเ หน็ วา จะประสบความสาํ เร็จ พระองคกค็ นควาตอ ไปจนกระท่ังไดเ ปนพระพุทธเจา แลวพระองค ก็มาตรสั วา เราเห็นคณุ คา ของธรรมสองประการ คือ ความไม สันโดษในกศุ ลธรรมทัง้ หลาย แลวก็บาํ เพ็ญความเพียรไมระยอ จงึ ไดต รสั รู ไมร ะยอนหี่ มายความวาถา มองเหน็ จุดหมาย แนใ จดวย เหตผุ ลวาจะสาํ เรจ็ ตามนท้ี างนี้ถูกตอง ทําใหไ มกลวั ตายอยา งทวี่ า เม่ือก้นี ้ีวา ตอนที่ประทบั นัง่ ตัง้ พระทยั เลยวา เอาละ...ถา ยงั ไม บรรลุโพธิญาณแลว แมเลือดเน้อื จะเหือดแหง ไป เหลือแตเ สน เอ็น กระดูก พระองคก็จะไมยอมลุกข้ึน น่ีเปนความเด็ดเดี่ยวของพระ ทัย นเ่ี ปน ตัวอยางของความไมสนั โดษเปน เรือ่ งท่ไี มนาจะมองขา ม ความไมสนั โดษ ท่ีเปนพระจรยิ าวตั รของพุทธเจา คุณธรรมคือความไมสนั โดษนี้ ควรจะไดร บั การเนน และยก ยอ งในหมูพุทธศาสนิกชนไดมาก แตตองเปนความไมส นั โดษท่ีถกู ตองตามหลกั พทุ ธศาสนา เพราะเปน พระจรยิ าวัตรของพระพุทธ เจาทเี ดยี ว ทีนี้ ถา เรามองความไมส นั โดษเปน ธรรมสําคัญ เราจะเหน็ วาความสันโดษในเรื่องส่ิงบริโภคท่ีจะเอามาบํารุงบําเรอตัวเอง หมายความวา เอากิจหนาที่การงานวัตถปุ ระสงคทด่ี ีงามนีเ้ ปน ใหญ สว นการดําเนินชวี ิต การมีปจ จยั สี่อะไรตา งๆ นั้น เปน เพยี ง

๑๐ การเพิ่มประสิทธภิ าพในการทํางาน องคป ระกอบเกื้อกูล การมปี จจยั ส่ี การมีวตั ถอุ ํานวยความสะดวก น้นั จะตอ งมเี ปาหมายเพื่อเปนเครือ่ งเก้ือหนุนในการทจ่ี ะบําเพญ็ กจิ หนา ที่ การกระทาํ สิง่ ท่ีดงี ามเพือ่ เขาถึงจดุ ประสงคท ีเ่ ปน ประโยชน ถา อยา งนแี้ ลว รับกนั เลย สันโดษ กบั ไมสันโดษ ความ สันโดษก็เปน ฐานรองรบั แกค วามไมส นั โดษอยา งทีว่ ามาแลว และ ความไมส นั โดษนั้นก็เปนความไมป ระมาท เรอื่ งความสันโดษท่ีพดู กัน ท่ีวา เปนปญหามากก็เพราะไม ไดพูดใหช ดั วา สนั โดษในเรอ่ื งอะไร? มเี ปาหมายหรอื ความมงุ หมายอยางไร? เมื่อเราพยายามอธบิ ายแตเพียงความหมายของ คํา มันกย็ ่ิงพราออกไป สนั โดษที่ตรสั ไวโ ดยไมพ ูดวา สันโดษในเรือ่ ง อะไร กม็ ีแตใ นคาถาอยา งที่พดู มาแลว เชน บอกวา สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ - ความสันโดษเปน ทรพั ยอ ยา งยง่ิ หรือในมงคลสูตรก็บอกวา “สนฺตฏฐี จ กตฺุตา เอตมฺ- มงฺคลมุตฺตมํ -- ความสันโดษ ความกตญั ู (และอะไรตางๆ อีก มากมายในมงคล ๓๘ ความสนั โดษก็เปน มงคลหน่ึงในมงคลเหลา นนั้ ) เปนมงคลอนั อดุ ม” ในคาถาอยา งน้ีไมไ ดบอกไวช ัดเจนวา ใหสันโดษในอะไร แตถ า เปนขอความรอ ยแกวจะบอกชดั ทีเดียววาสนั โดษในอะไร น่ี เปนแงห นง่ึ ทีเ่ กี่ยวกบั การศกึ ษาธรรมะ คอื ตองสะกิดบอกกนั วา ไม ใชพดู แตเ รื่องความหมายของธรรมขอน้นั ๆ เทา น้นั แตจะตอ งทาํ ความเขาใจใหค รบถวนทุกแงดว ย เชน ในแงนี้กค็ อื จะตองมอง ความหมาย โดยสมั พันธก บั จดุ มงุ หมายของธรรมะขอ น้นั ๆ และ โดยสมั พันธกับธรรมะขอ อื่นๆ ดวย อยา งความไมส นั โดษน่ชี ดั เจน

สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๑ วา จะสมั พนั ธก นั กบั ความเพยี รพยายาม เชน ในขอ สองแหง คณุ ธรรม ทีใ่ หต รัสรนู นั้ กจ็ ะตามมาดวยความเพียรท่ไี มยอมระยอ ทอถอย ถาเราสนั โดษผดิ ก็ตาม ไมส นั โดษผดิ กต็ าม กจ็ ะเกิดผล รายขึน้ มาทนั ที ฉะน้ันตองจบั จดุ ใหถกู สันโดษตองสนั โดษในเร่ือง เครื่องอาํ นวยความสะดวกทางวัตถุ แตตองไมสนั โดษในกศุ ลธรรม ถาไปจับสันโดษผิดสันโดษในกุศลธรรมกห็ ยุดเลย เปนผลเสยี เลย ทเี ดยี ว มนั จะเสียอยางไร ถา พระโสดาบันสันโดษในเรอื่ งกศุ ลธรรม พระโสดาบนั นัน้ ก็กลายผูประมาทไมกา วหนา ไมตอ งไดบ รรลเุ ปน สกทาคามี อนาคามี อรหนั ต ตอ ไป ไมตองไปแลว เปน โสดาบันอยู นัน้ เอง เรียกวา เปน อริยสาวกผูประมาท ทีนี้ ถา หากวาไมส ันโดษอยา งผดิ พลาด คอื ไมส ันโดษใน สง่ิ อํานวยความสะดวก มุง หาแตวตั ถบุ ํารุงบาํ เรอตนเอง เขาเรยี ก วา มงุ หาอามสิ ถา เปน อยางน้แี ลวงานก็หยุด งานก็เสีย ใจก็ไมอ ยู กบั งาน เมอ่ื ใจกไ็ มอ ยูกบั งาน ทาํ งานกไ็ มไ ดผลดี งานก็ไมสําเร็จผล ดวยดี แลวดีไมด คี วามไมสันโดษนี่ กส็ นับสนนุ ความโลภ เมอ่ื โลภ แลวไดไมท นั ใจกต็ อ งทจุ รติ อะไรอยา งนี้ เปนตน ตัวไมส ันโดษกน็ าํ มาซ่งึ ความทุจรติ มนั กเ็ ปน เรอื่ งของผลรา ย ในจุดน้ี กส็ รุปแตเพียงวา เรอ่ื งสนั โดษและไมส นั โดษนไ่ี ม ใชค ุณธรรมทีเ่ ราจะเขา ใจเฉพาะตัวลอยๆ แตจ ะตอ งเขาใจโดย สัมพนั ธก ับสิง่ ทเี่ ปนเปา ของมันวา สันโดษในอะไร ไมส ันโดษอะไร แลวกม็ คี วามมุง หมายอะไร อยา งทไี่ ดกลา วมาแลว

๑๒ การเพมิ่ ประสิทธิภาพในการทาํ งาน ถา มีความเขา ใจรว มกันอยา งน้ีแลว กจ็ ะศึกษาใหลกึ ลงไป อกี วา ความสันโดษทดี่ ีและความไมส ันโดษที่ดีนี่ จะตองมีรากฐาน อีกวาเกิดจากอะไร ทาํ อยา งไรจึงจะมสี นั โดษที่ดแี ละไมสนั โดษที่ดี ความอยากทีด่ ี มคี ุณธรรมขอหนึ่งทถ่ี ือวาเปน พนื้ ฐาน ท่จี รงิ เปนพื้นฐาน ของการทีจ่ ะกา วหนา ในคณุ ธรรมท้ังหมดทีเดยี ว คุณธรรมขอนี้ ทา นเรยี กวา “ฉันทะ” ฉนั ทะตัวน้ีเราฟงแลว คนุ หู เพราะทานทีเ่ ปนนกั ศกึ ษาธรรม น่รี ูทนั ที ฉนั ทะเปนขอหนงึ่ ในอทิ ธิบาท ๔ เราแปลกันวา ความพอใจ รักใครในสงิ่ นั้น หมายความวา ถาเรามงี านทีจ่ ะตอ งทํา เราก็รกั งานนั้น เรอื่ งทเ่ี ก่ยี วของกบั ฉันทะ เปน เรอ่ื งทเ่ี ก่ยี วกับการกระทาํ เทานั้น เพราะ อทิ ธบิ าท แปลวา ทางไปสคู วามสาํ เรจ็ หรอื คณุ ธรรม ที่ใหถ ึงความสําเรจ็ เปน เรือ่ งของการกระทํา จะทาํ ใหส าํ เรจ็ ตองมี ฉันทะ มีความรกั ความพอใจในส่งิ ทจี่ ะทํา แปลงา ยๆ วา “มใี จรัก” เมอื่ มใี จรกั แลว ก็มาโยงกับความสันโดษและไมส นั โดษ พอเรามีใจ รกั ในงานทีท่ ํา สิง่ ทเ่ี ปนวตั ถุประสงค สิง่ ทดี่ ีงามขนึ้ มา เราก็จะมีใจ ฝก ใฝอ ยกู บั วัตถปุ ระสงคข องเราน้นั อยกู บั งานทจี่ ะนาํ ไปสวู ตั ถุ ประสงค เราจะไมยอมหยุดถาไมสาํ เรจ็ ผลตามวตั ถุประสงค แลว ผลทีเ่ กิดขึ้นในแตล ะข้ันนัน้ เรายังถือวา ยงั ไมพ อ เราจะตอ งเดนิ หนา ตอไป ในแงน ี้ ก็มีความไมสันโดษเกดิ ข้ึน เรยี กวา “ไมสนั โดษใน กุศลธรรม” และเพราะการท่เี ราเอาใจมาฝกใฝ มามุง อยูก ับงานท่ี

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๓ เปนวตั ถุประสงคน ี่ เราก็จะเกดิ ความสันโดษในเรื่องของเคร่อื ง อาํ นวยความสะดวกสบาย เร่อื งปรนเปรอตางๆ คอื ไมคอ ยเอาใจ ใส จะเห็นวาคนที่ต้ังใจทํางานอยา งจริงจงั แลว ก็ไมว ุน วายกับสงิ่ ปรนเปรอบํารุงบําเรอท้งั หลาย ดงั นนั้ ฉนั ทะนี้เปนธรรมพ้นื ฐานที่ จะนาํ ไปสูส นั โดษ และความไมสันโดษท่ถี กู ตอง อทิ ธิบาท ๔: ทางแหงความสาํ เรจ็ นอกจากการท่จี ะมคี วามไมสนั โดษ และสนั โดษทถ่ี ูกตอ ง แลว เพราะฉนั ทะทาํ ใหใจมาอยกู ับงาน สง่ิ ท่ที าํ ส่ิงทเ่ี ปน เปาหมาย ทาํ ใหเ กิดจิตใจฝกใฝอ ยา งท่วี ามาเมอื่ ก้ี เม่ือใจฝกใฝกท็ าํ งานดว ย ความแนว แนจ ริงจงั สภาพท่ีจติ แนว แนอ ยูก ับส่ิงท่ีกระทาํ น้ัน เรา เรียกวา เปน “สมาธิ” เพราะฉะนั้น ฉนั ทะกน็ าํ ไปสสู มาธิ สมาธิในการทํางานเกิด ไดดว ยการมฉี นั ทะ เมื่อมสี มาธิและใจกร็ ักงานนนั้ ทาํ งานดวยใจ รัก ใจก็เปนสขุ เพราะฉะนัน้ คนทท่ี าํ งานดวยฉนั ทะก็มจี ติ ใจเปน สขุ ใจเปน สมาธิ สมาธิกท็ ําใหเปน สขุ เพราะจติ ใจสงบแนว แน เม่ือ ทําจติ ใจใหเปนสมาธิแนวแน ตง้ั ใจจรงิ จัง ใจรักงานน้นั ต้งั ใจทาํ เตม็ ท่ี มีความเพียรพยายาม ผลสาํ เรจ็ ของงานกเ็ ปนผลสําเรจ็ ท่ดี ี เรยี กวา นําไปสู “ความเปนเลิศ” ของงานน้ัน หมายความวา งานน้นั จะสําเร็จผลอยา งดเี ลิศ อนั นี้ก็เลยพนั กันไปหมด เพราะฉะน้ัน พระ พุทธเจาจึงตรัสวา ฉนั ทะเปน คณุ ธรรมอยางหนึ่งในอิทธบิ าท ๔ คือ ธรรมท่ีเปนเครื่องใหถึงความสาํ เร็จ หรือเรียกงายๆ วา “ทางแหง ความสาํ เร็จ”

๑๔ การเพ่มิ ประสิทธภิ าพในการทาํ งาน เม่อื พูดมาถงึ อทิ ธบิ าทแลว ก็จะตองโยงไปถึงคณุ ธรรมขอ อน่ื ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ งดว ย เพราะอทิ ธบิ าทมี ๔ ขอ คอื ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ วมิ ังสา ฉนั ทะคือ ขอท่ีพดู มาแลว ความพอใจรักใครในส่งิ นัน้ รัก งาน รกั เปา หมาย รักจุดหมายทีด่ ีงาม รกั วตั ถุประสงคของงานนนั้ ขอตอ ไปน้คี ือ วิริยะ ความเพยี ร ความพยายาม จิตตะ ความเอาใจใสในสง่ิ น้ัน วมิ งั สา ความไตรตรองสอบสวนพจิ ารณา หรอื ถาจะพดู ใหส ัน้ จํางา ยๆ ก็บอกวา “มีใจรกั พากเพียรทาํ เอาจติ ฝกใฝ ใชปญญาสอบสวน” นเ่ี ปน อทิ ธบิ าท ๔ ฉันทะเปน ขอ ที่ ๑ ตามปกตถิ ามีฉนั ทะแลว มันก็ชว ยใหเ กิด คุณธรรมขอ อนื่ ในอิทธิบาท ๔ ตามมา มันสัมพนั ธกนั ชว ยเหลือ เก้ือหนุนกนั พอมีฉันทะใจรักแลว มนั กเ็ กดิ ความเพยี รพยายาม เม่ือมีความเพยี รพยายามใจก็ฝกใฝจ ดจออยูกับสิ่งนั้น มีใจจดจอ เอาใจใสแ ลว ก็สามารถจะใชปญ ญาพิจารณาสอนสวนเรื่องราว นน้ั ไตรตรองถึงขอบกพรอง ขอ ที่ควรแกไ ข หาทางทดลองปรับปรงุ อะไรตางๆ เหลา น้ี มนั ก็ตามกนั มา ฉนั ทะ วิรยิ ะ จติ ตะ วิมงั สา เปนชดุ กันทีเดียว แตความจริงนน้ั ไมจาํ เปน จะตอ งตามลาํ ดับนี้ อทิ ธิบาท ๔ นั้นแตละขอมันกเ็ ปนใหญใ นแตล ะตัว พระพุทธเจา ตรัสวา อิทธบิ าท ๔ แตละขอเปนตัวทําใหเกิดสมาธิไดท งั้ นน้ั ใน พระไตรปฎ กจึงมกั จะตรัสเรอ่ื งอิทธบิ าท ๔ ในแงของสมาธิ แลวจะ มสี มาธติ ามชื่อของอทิ ธิบาท ๔ แตล ะขอ พระพุทธเจา ตรัสวา สมาธทิ อี่ าศัยฉันทะเกดิ ข้นึ เรียกวา “ฉนั ทสมาธิ” สมาธิท่ีอาศยั วริ ยิ ะเกดิ ขึน้ เรียกวา “วิรยิ สมาธิ”

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๕ สมาธิที่อาศัยจิตตะ ความเอาใจฝกใฝเ กดิ ขึน้ เรยี กวา “จติ ตสมาธ”ิ และสมาธิท่ีอาศัยวมิ งั สาเกิดขนึ้ เรียกวา “วิมังสาสมาธ”ิ ตกลงมสี มาธิ ๔ แบบ อันนีอ้ าจจะเปนคาํ ท่แี ปลก ที่จรงิ พระไตรปฎก มีคาํ ตรสั ถึงเรื่องสมาธติ ามหลกั อิทธิบาทนีบ้ อยๆ การสรางสมาธิโดยเอาหลักอิทธิบาทมาใชนี่เราจะเห็นวา มันชวยใหไดผลดี แลว ไมจาํ เปนจะตองเปน ไปตามลําดับท่วี า คอื แตละขอ น่ที าํ ใหเ กดิ สมาธิไดท ง้ั นั้น แลว มนั จะสัมพนั ธกับนสิ ยั ของ คน สมาธใิ นแบบอทิ ธิบาทน่มี ันเก้ือกลู แกก ารทํางานมาก สําหรบั ขอ ฉันทะน้ันไดพ ดู มาแลว วา เมอ่ื มีใจรักแลว เรากเ็ กิดความแนวแน เกิดสมาธิในการทาํ งาน อนั นเ้ี ปนเรือ่ งแนนอน แตทนี ีส้ ําหรับคนบางคน ถา เราตองการทจี่ ะนําหรือกระตนุ ใหเ กิดสมาธิ ลักษณะจิตใจของเขาเหมาะแกการกระตุนวริ ยิ ะมาก กวา วิรยิ ะน่ีมาจากคาํ วา วีระ ตามหลกั ภาษา วีระกบั ภาวะ รวมกนั แลวกเ็ ปน วิริยะ แปลวา วรี ภาวะ ภาวะของผแู กลวกลา วริ ยิ ะทแี่ ปล วา ความเพยี รพยายาม นีแ่ ปลตามศพั ทวา ความเปนผแู กลวกลา แกลว กลา คอื ใจสู ไมยอมทอ ถา เหน็ อะไรเปน อุปสรรคหรืองานท่ี มาอยขู างหนาแลว จะตอ งเอาชนะทําใหส าํ เรจ็ คนที่มลี ักษณะ อยา งนี้ จะทาํ อะไรตองใหม ีลกั ษณะทาทาย ถา อะไรเปน เรอ่ื งทา ทายแลวใจสจู ะทําใหได คนท่มี ลี กั ษณะอยา งน้ี ทานวาใหปลูกฝง สมาธดิ วยวริ ิยะ คอื สราง วริ ยิ สมาธิ ถาเราใชจติ วทิ ยากห็ มาย ความวา คนลกั ษณะนจี้ ะตอ งทํางานใหเปน เรอ่ื งท่ที า ทาย ถา ทาํ งานหรอื ส่ิงทเี่ รียนใหเปน เรอ่ื งท่ที าทายแลว คนแบบนจ้ี ะสูแ ละ

๑๖ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน จะพยายามทําใหสาํ เรจ็ แลวสมาธทิ ่ีเปนตวั แกนใหง านสาํ เรจ็ จะ ตามมา คนบางคนเปนคนแบบมจี ติ ตะ ลกั ษณะเปน คนเอาใจจด จอ ถามีอะไรท่เี ขาเกยี่ วของกบั ตัวเขา เรยี กวาเปน เรื่องของเขาแลว เอาใจจดจอไมทอดท้งิ อยางนเี้ ปนลกั ษณะของคนมคี วามรบั ผิด ชอบ คนแบบนี้ ถาทาํ ใหเรอื่ งนัน้ เปน เรอ่ื งเกย่ี วกับตวั เขา อยใู น ความรับผดิ ชอบ เปนเรือ่ งของเขาขึน้ มาแลวเขาจะทํา เรยี กวา สรางสมาธดิ ว ยวิธีของจติ ตอิทธบิ าท ขอที่ ๓ คนอกี พวกหนง่ึ เปน พวกชอบสงสัย ชอบคน ควา ชอบ ทดลอง ถาทาํ อะไรใหเขาเกิดความรสู ึกสงสัย อยากรู อยากเขาใจ ข้ึนมาละก็พวกนี้เอา เพราะฉะนัน้ ถารูจติ วิทยาดใี นแบบน้ี ก็หมาย ความวา ทาํ เรื่องนั้นใหเ ปนเรื่องทน่ี าคน ควา นา ศกึ ษา นา สงสัย นา ทดลอง พออยากลองคราวน้คี นนั้นเอาจรงิ ๆ ไมทิ้ง ไมไปไหน วนุ อยูนัน่ เอง พยายามทาํ ใหไ ดใหสาํ เร็จ อทิ ธิบาทแตล ะขอ นี่เปนวธิ สี รางสมาธิท้งั น้ัน เปนทางนาํ ไป สคู วามสาํ เร็จ ไมจ ําเปนจะตองเรม่ิ ท่ีขอใดตายตัว ตามปกตนิ ้นั เร่มิ ที่ฉันทะมาก ถาเริ่มตวั หน่งึ แลว ตวั อ่นื จะมาหนุนทันที เพราะฉะนน้ั ถา คนมนี ิสัยใจรักชอบอะไรแลว ก็ทําละก็ คนน้นั กต็ องยใุ นแงฉันทะ คนไหนชอบส่ิงท่ีทา ทายก็ตอ งทาํ งานใหเปนเรือ่ งทา ทาย จึงจะเอา จรงิ ใจสู คนไหนมลี กั ษณะเปน คนมคี วามใฝใจรบั ผดิ ชอบ เร่ือง ของตัวเองเกี่ยวของจึงทาํ ก็ใชว ิธีจติ ตะ สว นคนท่ีชอบทดลองคน ควา ก็ทํางานใหเ ปน เรือ่ งที่นา อยากรอู ยากเห็น อยากเขา ใจ นา สงสัยสอบสวนไป มันก็จะไดงานข้นึ มา คือวา ทกุ อยางจะนาํ ไปสู

สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๗ การเกิดสมาธิ เมื่อเกดิ สมาธแิ ลวเขาจะทาํ งานดว ยความพอใจ มี ความสุข เมื่อทาํ ดวยความตง้ั ใจจรงิ ทาํ ดว ยสมาธิ งานน้ันก็สําเร็จ อยา งดี หลักอทิ ธบิ าท ๔ นี่ เปน ธรรมสาํ คญั ท่เี ราอาจจะตองมา ขยายวธิ กี าร คอื จากหลักใหญๆ น่ี นา จะมกี ารเอาไปขยายราย ละเอียดของวิธีการไดในแตล ะขอ เชน วา ในแงฉนั ทะ จะทาํ อยา งไร มเี ทคนคิ อะไรบา งทจี่ ะทําใหคนรักงาน หรอื ทาํ ใหง านนน้ั หรอื เร่อื ง ที่เปน หนา ท่นี ้ันเปนเร่ืองท่คี นชอบ เพราะจะมีคนพวกหนงึ่ ทว่ี า รกั ชอบละก็ทํา ทนี ้ี มีคนอกี พวกหน่งึ ทตี่ องใชธ รรมขอท่ี ๒ คือจะตอ ง สรา งเทคนคิ กนั ขนึ้ มาวา ทําอยางไรจะใหงานหรือหนา ที่นนั้ เปน เรอื่ งทา ทาย แลวคนพวกนก้ี จ็ ะมาทาํ อยา งท่ี ๓ ก็ทําใหรูสกึ เก่ยี ว ขอ งเปน เร่อื งของเขา อันท่ี ๔ ก็ทาํ ใหเ กิดความรสู กึ อยากทดลอง นเี่ ปน วิธกี ารในพุทธศาสนา ซ่ึงเปนหลักใหญๆ แตใ นแง เทคนคิ นีเ่ รายงั ไมคอยไดมีการนาํ เอามาขยาย ถา ขยายอาจจะเปน วิธกี ารท่นี า ศึกษาทีเดียว เอามาเรียนเปนวชิ าการกนั ไดสาํ หรับเพิม่ ประสิทธภิ าพในการทาํ งาน แตจุดแรกทีย่ า้ํ น่ี โยงกลับไปทเี่ กา คอื เร่ืองฉนั ทะ จงึ จะขอผานเร่ืองอทิ ธิบาทนีก่ ลับมาสูขอ ตน ในชุดของ มัน คอื ฉนั ทะ อกี คร้งั หนึง่ ฉนั ทะทาํ ใหขยนั ตณั หาทาํ ใหขเ้ี กียจ ทีนี้ จะขอพดู เร่ืองฉนั ทะอยางเดยี ว ฉันทะนเี้ ปน เรือ่ งที่เรา จะตองศกึ ษาอกี ทพ่ี ดู มาเมอื่ กี้นวี้ า ฉันทะ แปลวา ความชอบ

๑๘ การเพ่ิมประสิทธิภาพในการทาํ งาน ความพอใจ ความรกั หรอื ความมใี จรัก แตค วามจริงฉันทะนนั้ มันมี ๒ แบบ ฉันทะแบบทเี่ ราวา กนั มาเมื่อกี้น้ี ในบางโอกาสจะตองเรยี ก ชอื่ ใหเ ต็มวา “ธรรมฉันทะ” แปลวา ฉันทะในธรรม ธรรมคอื อะไร? ธรรมะนใี่ หค วามหมายกันไดเ ยอะแยะ แตใ นท่นี เ้ี อาเพียง ๒ อยา ง ธรรมะแงหนึ่งแปลวา ความจริง แงที่สองแปลวา ความดีงาม พอ แปลได ๒ ความหมาย น่กี จ็ ะโยงกับเร่อื งเกยี่ วขอ งในท่นี ี้ สําหรบั ธรรมะทแ่ี ปลวา ความจริงนั้น ความจริงคอื ส่ิงทพ่ี ึงรู แลวทนี ค้ี วามดี งาม ความดงี ามคืออะไร ความดีงามคอื ส่งิ ทพ่ี ึงกระทาํ หรอื พึงทํา ใหเ กิดใหม เี ปน จริงขน้ึ มา พอบอกวา ธรรมฉนั ทะ ฉนั ทะในธรรม ความหมายท่ี ๑ คอื ฉนั ทะในความจริง ฉนั ทะในสิ่งท่พี ึงรู ฉนั ทะในแงน กี้ แ็ ปลวา อยาก ในความรู คือใฝรู เพราะฉะน้นั ฉนั ทะแงที่ ๑ กใ็ ฝรู คนมฉี ันทะแงท่ี ๑ คอื มีความใฝร ู อยากจะรู อยากจะศึกษาใหเขา ใจความจริง วา อนั นีน้ น้ั เปน อยางไร เหมือนอยา งพระพทุ ธเจาทไี่ ดต รัสรกู ็เพราะมี ธรรมฉันทะนี้ ตองการรตู องการเขาถึงความจรงิ เพราะฉะนนั้ จงึ ตอ งขวนขวายใหเ กิดความรูใหไ ด ในแงที่ ๒ ท่วี า ฉันทะในความดงี ามที่พึงทาํ ใหเกดิ ใหม ีเปน จรงิ ขึ้น กค็ อื ฉันทะในการกระทํา ความอยากทํา หรอื ใฝท าํ อนั นี้ คอื ตัวที่ทานเรยี กวา “กัตตกุ ัมยตาฉนั ทะ” เปน ฉนั ทะสาํ คัญ เปนราก ฐานของความกา วหนา เปน อันวา ฉนั ทะชอ่ื เตม็ วา ธรรมฉนั ทะ คือใฝร แู ละใฝทํา หรอื อยากรู และอยากทํา หรอื อยากศกึ ษา และอยากสรางสรรค

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๙ อนั นแ้ี หละเปนตัวหลกั สําคญั พระพุทธเจาเรยี กธรรมฉนั ทะน้เี ตม็ ที่ วา “กศุ ลธรรมฉันทะ” แตบ างทเี ราจะเรยี กศพั ทใ หเต็มที่ มันยดื ยาว เกินไป กเ็ ลยตัดกนั วา ธรรมฉนั ทะ หรอื บางทา นกต็ ัดเอาตวั หนา “ธรรม” เอาออก เรยี กวา “กุศลฉันทะ” แตเ รยี กอยา งไรกต็ าม ก็ใหรู วามนั เปน ความหมายน้ี แตบางทีเราเรยี กกันสน้ั ๆ วา ฉันทะเทา น้ัน โดยหมายถึงฉันทะทตี่ อ งการทพ่ี ดู มาแลว เปนอนั วา เปนเรื่องของ ความ “ใฝร ู” และ “ใฝทาํ ” ยงั มีฉันทะอีกอยา งหนง่ึ ไดย ินกันบอยในนวิ รณ ๕ ขอ ๑ วา “กามฉันทะ ฉนั ทะในกาม” ในสิง่ ทอ่ี ยากได คอื ใจคดิ คํานงึ แตว า อยากไดโนน อยากไดน ี่ อยากไดร ปู รส กลนิ่ เสยี ง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณท่นี า พอใจทงั้ หลาย ใจไปอยูกบั สิ่งท่ตี อ งการ อยากโนน อยากน่ี และไมเปน สมาธิ เรยี กงายๆ กค็ อื อยากไดอามสิ นีเ่ รียก วา กามฉันทะ ตกลงวาฉนั ทะมี ๒ อยา ง กามฉนั ทะ กับธรรมฉันทะ ถาเปนกามฉันทะ แลว ก็เปนเรือ่ งของโลภะ เปน เร่อื งของตณั หา ที่ จริงมนั เปน ไวพจนของตณั หาน่นั เองแหละ ตัณหาท่ีเปน กามฉันทะ นีค่ อื ตัวปฏิปกษของธรรมฉนั ทะ หรือฉันทะที่เราตองการ ตอนนกี้ ม็ าถงึ การแยกระหวา งฉนั ทะทเี่ ปน ธรรมฉันทะ กบั ฉนั ทะท่เี ปน กามฉนั ทะ หรอื เปนตณั หา ซึ่งเราจะตอ งแยกใหถ กู ถา มีกามฉนั ทะก็มงุ ไปในทางของตณั หา มุง หาสงิ่ บํารุงบําเรอวัตถุ อํานวยความสะดวกตางๆ ตณั หานน้ี ําไปสคู วามเกียจคราน ไมได ทาํ ใหเ กดิ ความสาํ เรจ็ หลายทา นบอกวา เราจะตองไมสนั โดษ สันโดษแลว ทําใหงอมอื งอเทา บานเมืองพัฒนาไมได ตอ งสง เสริม ใหค นเกิดตณั หา อยากไดโนน ไดน่แี ลวจะไดมคี วามพยายามสราง

๒๐ การเพมิ่ ประสิทธภิ าพในการทาํ งาน โนนสรางน่ี จะไดพ ัฒนา ในท่ีนขี้ อบอกวา ถา ทาํ ใหคนมตี ัณหาแลว คนจะขเี้ กียจ มนั ตรงขา ม ทําไมจงึ วาอยางนั้น? ตณั หาทาํ ใหข เ้ี กยี จ เพราะเขาไมไ ด อยากไดง าน ไมไ ดอยากไดผลสาํ เร็จของงาน เมอื่ เราจะใหค น ทํางาน เราตองทาํ ใหเ ขารกั งาน รักความมงุ หมายของงาน รกั วัตถุ ประสงคของงาน ถา คนรกั งาน รักความมุง หมายของงาน เราเรยี ก วา มีฉันทะ แตท นี ี้ เราบอกวาใหเขาอยากไดวตั ถุ ไดเงนิ อะไรอยางนี้ เราเรยี กวาเราตณั หา ถาหากใหเขาอยากไดเ งนิ ไดว ตั ถุปรนเปรอน่ี เขาไมไดอยากไดผลสาํ เรจ็ ของงาน ไมไดรกั งาน ถาเปนไปไดเขา จะไมทาํ งาน เพราะเขาอยากจะไดเ งิน อยากจะไดว ัตถุเทา น้ัน เพราะฉะนนั้ พวกน้จี ะหาทางลดั วา ทาํ อยางไรจะไดวัตถุ ไดเงนิ โดย ไมตองทํางาน แลว เรากจ็ ะสรางเคร่อื งบบี บังคับ สรา งระบบการ ควบคุมเพ่ือเปน เงอื่ นไขใหเขาตอ งทํางานจงึ จะไดวตั ถุ ไดผ ล ประโยชน ไดเงนิ ทีเ่ ขาตองการ ใชไหม? อนั นี้คอื ระบบของความยุง ยาก จะตอ งปองกนั ความทจุ รติ กันเต็มท่ี ถา หากวาเขาหลกี เลยี่ งไดไมตองทาํ งาน พวกมีตัณหานีจ่ ะ หาทางเอาวิธีลัด ถาทจุ รติ ไดก ท็ จุ รติ พวกนถ้ี าหากวา ไมต อง ทาํ งานไดก ด็ ี ก็เลยข้ีเกยี จ เพราะฉะนัน้ ตัณหาก็สงเสรมิ ใหคนขี้ เกยี จ ถา ตัณหามากขึน้ อีกกข็ ้เี กียจ บวกสุรายาเสพตดิ การพนนั ดัง น้ันจงึ บอกไดว า ตณั หาเปน ธรรมทสี่ ง เสรมิ ความข้ีเกียจ และสง เสรมิ ความทจุ รติ ไมไ ดชวยใหเ กดิ ความดงี าม ความขยันหมนั่ เพยี ร หรือการพฒั นาอะไรเลย

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๑ แตมีอยบู า งทีพ่ ระอานนทเ คยกลา ววา บางทีตองใชเ ทคนิค เหมอื นกัน บอกวาอาศยั ตณั หาละตณั หา หมายความวา บางครงั้ เราตองเอาตณั หาเปน เคร่ืองมอื เพราะวาคนบางคนทาํ ใหเ กิด ฉันทะนีย่ ากเหลอื เกนิ ตองไปกระตนุ ตัณหากอ น ใหอ ยากไดผล ประโยชน อยากไดว ตั ถุ เสร็จแลว จงึ เอาตัณหาความอยากไดว ตั ถุ หรือความโลภนั่นมาเปน เครือ่ งกระตุน ใหเกดิ ฉนั ทะความรกั งานอีก ทีหน่ึง ในกรณีท่ใี ชเ ปน เทคนคิ นี่ทา นยอม แตวา ตอ งระวงั ท่สี ุด เพราะจะไมคอ ยสาํ เร็จตามน้นั เพราะไปยัว่ ยุใหเ กดิ ความโลภ ตณั หาในวัตถุแลว ใจมันแลนไปทางน้นั ก็อยากไดวัตถุ ไมรกั งาน ความสาํ เรจ็ ของงานก็จะไมไ ด กจ็ ะไดแตในทางเกยี จครา นทจุ ริต ความอยากไดท างลัดก็เปนปญหาในการพัฒนาปจจุบันนี้ ฉะน้นั เห็นวาเราจะตองทําใหค นมีฉันทะใหได ตอ งทํา ฉันทะใหน ําไปสคู วามไมสันโดษในกศุ ลธรรมทั้งหลาย ตองใหร ักสงิ่ ท่ดี ีงาม เชน วา ในชุมชนของเรา อะไรเปน เปา หมาย ไดแก ความ สงบ ความอยดู ี ความเรยี บรอย ความสามัคคี ความสะอาด สขุ ภาพ ความปลอดภยั อะไรตางๆ ทเ่ี ปน สิ่งดีงาม สรา งความเราใจ ใหค นเกิดฉนั ทะขึน้ มาแลว การพฒั นากจ็ ะสาํ เร็จได แตถา ไปเรา ตัณหาในทางท่วี า เรามาพฒั นากัน เราจะไดมขี องนนั่ ของนี่ มีวตั ถุ ปรนเปรอ มีโทรทัศน มมี อเตอรไซค มีอะไรตออะไร เอาแตเรือ่ งท่ี เปนวัตถุบํารุงบําเรอสําหรับแตละคนซ่ึงเปนเรื่องสงเสริมความเห็น แกตวั น่ี เห็นวาพฒั นาอยา งนี้ลม เหลวจะเกดิ ปญหาขึ้นมากมาย เพราะฉะนน้ั จุดเรา ของสองอันน้ตี า งกนั คอื จุดเรา ของ ฉันทะกบั ตัณหา ในการพัฒนาจะตองเลือกเปาหมายหน่งึ คอื เปา

๒๒ การเพิม่ ประสิทธิภาพในการทํางาน หมายสาํ หรบั ฉันทะ ไดแก ส่งิ ดีงามท้งั หลายทคี่ นในชุมชนนั้นจะพงึ ต้ังเปน วตั ถปุ ระสงค แลวเอาอนั นั้นแหละยัว่ ยเุ รา ฉนั ทะใหเ กดิ ขนึ้ เปาหมายแบบทสี่ องคือ ตัณหาซึง่ เปน เรื่องของความอยาก ไดสว นตัวของแตล ะคนทอ่ี ยากจะไดวัตถมุ าปรนเปรอตวั เอง ซึ่งจะ ไมม ที างสาํ เร็จผลไดดี จะเกิดปญ หาการเบยี ดเบยี นกัน เกดิ การ เอาเปรยี บกันอะไรตา งๆ นี่ ปญ หาทง้ั หลายจะตามมา ดังนนั้ ถา หากวาจะเราตัณหาตองเราในทางท่ีเปนตัวกระตุนฉันทะอีกทีหน่ึง แตวาผูดําเนินการกระตุนเราจะตองวางวัตถุประสงคของตนเองไว ใหดีทเี ดียว แลวก็ดาํ เนนิ การโดยเขาใจกลวธิ เี ทคนคิ ตางๆ ที่ผานมานี่ขอบอกวาเรามองกันแตเพียงตัณหากับละ ตัณหา เราไมไ ดม องเรื่องฉนั ทะเลย คอื ไปมองตวั บวกแตต ัณหา แลววา ถาไมเอาตณั หากล็ บเทา นัน้ แทนท่ีวามันมตี วั บวก ๒ ดาน บวกฝา ยอกุศล กบั บวกฝา ยกุศล บวกฝายอกุศลกต็ ัณหา บวก ฝา ยดีกฉ็ นั ทะ แทนทเ่ี ราจะบอกวา ไมเอาตณั หาเอาฉนั ทะ เรากลับ บอกวา ไมไดห รอกถาละตณั หาเสียแลว คนจะไมม ีกาํ ลังทาํ งาน ตองเรา ตัณหาเอาไว สว นอกี ฝา ยหนงึ่ ก็วา ตณั หาทําใหยุง ตองให ละตัณหาไมใ หอ ยากได เลยเถยี งกันอยูนนั่ ไมไปไหนเลย เพราะฉะนนั้ ขอตง้ั เปนขอสงั เกตสําหรับแยกอยา งงา ยๆ อยางท่ีพูดแลววา ฉันทะมคี วามรกั งานแลวกร็ ักสิง่ ดีงามทเ่ี ปน วตั ถุ ประสงคของงานนั้น สวนตณั หารกั อามสิ รักผลประโยชนต อบแทน อนั นจี้ ะแสดงออก เชน เวลาประสบพบเหน็ อะไร คนที่เห็น อะไรทแ่ี ปลกตา ทสี่ วยงามดี น่ีอยากจะไดอยากจะเอามา อันนั้น เปน ความอยากแบบตัณหา แตค นทเ่ี ห็นดว ยฉันทะนี่ เวลาเหน็

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๓ อะไรท่ีแปลกที่ดีงามท่ีใหมท่ีนาท่ึงจะเกิดความรูสึกแปลกใจวา เอะ…ของนน่ั มาไดอ ยางไร สาํ เรจ็ ไดอยา งไร แลว อาจมีความรูสกึ วา ทําอยางไรเราถึงจะทาํ ไดอ ยางนั้น ความรูสึกนี้จะเกิดตั้งแต เดก็ ๆ ทีเดียว แลวกอ็ ยทู ่ีการปลูกฝง ของผูใหญดว ย เดก็ ไปเห็น อะไรท่ีสวยงามแปลกตาน่ี เพียงแตวา อยากจะได เอาสิง่ นน้ั มา ถา เราปลกู ฝง ในแนวนี้มนั จะเปน การเสริมตณั หา เรยี กวา เสรมิ กาม- ฉนั ทะ แตเด็กบางคนเราจะเห็นไดว า พอเห็นอะไรแปลกที่นาทงึ่ นี่ แกนกึ ในแงค วามเปนมาเปนไป สงสัยในทางเหตปุ จจัยเลย วา สงิ่ นี้ มันเกิดข้นึ มาอยางไร มันทําไดอ ยา งไร บางคนจะนึกวา ทําอยางไร เราถึงจะทําไดอ ยางน้ี ความรสู ึกอยา งนช้ี วยลดความรสู กึ อยากได อยากเอาลงไป เปน ฉันทะ ทําใหค ดิ สรางสรรค ธรรมดาปถุ ุชนแลว มันก็ตองมีความอยากไดอยากเอาบา ง แตส ําหรับปุถุชนที่เปน กัลยาณะ ก็ควรจะมีฉนั ทะดว ย คอื นอกจาก อยากไดอ ยากเอานี่ มันจะมคี วามทงึ่ อยากจะรูวา นม่ี ันสาํ เร็จมา ไดอยางไร ทาํ ไดอ ยางไร แตส ําหรบั เด็กนี่ สาํ คัญมากท่จี ะปลูกฝงนสิ ัยทจ่ี ะพัฒนา อยางถกู ตอ ง ซึ่งเปน นสิ ัยสําหรับเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการทาํ งาน ตอ ไปดว ย คือวา ผใู หญจะตอ งกระตนุ ตัวฉันทะขน้ึ มา ไมใชก ระตุน ตณั หา ถาเราเขาใจเทคนคิ นี้ตามแนวพทุ ธศาสนาแลว การปลกู ฝง อบรมเด็กกอ็ าจจะเปลีย่ นไป แทนทจ่ี ะคอยสงเสรมิ วา ถาเดก็ เห็น อะไรอยากได ผใู หญก็จะคอยเอาใหต ามท่ีแกตอ งการ ทีนี้ควรจะ ไมใ ชอยา งนนั้ แลว อาจจะชี้แนะแกใหเกดิ ความสงสยั เกดิ ความใฝ รู วาสง่ิ นี้คอื อะไร เกดิ ขนึ้ มาไดอยา งไร

๒๔ การเพิ่มประสทิ ธิภาพในการทํางาน ทําใหแกอยากจะเขา ใจเรอ่ื งนั้น อยากทาํ ได แลวนสิ ยั แบบ ฉันทะจะตามมา สันโดษท่ีถกู ตองมธี รรมฉนั ทะ ขอสรปุ วา ฉนั ทะทีถ่ กู ตองนก่ี ค็ อื ธรรมฉันทะท่จี ะไป สัมพันธก ับความสันโดษ ทําใหเกิดความสันโดษทีถ่ ูกตอง แลว กท็ ํา ใหเกิดความไมส นั โดษทถ่ี ูกตอ งดวย แลว ก็จะทําใหเ กดิ วิรยิ ะ— ความเพยี ร จิตตะ—ความเอาใจใสการงาน วิมังสา—ความคิด พิจารณาไตรตรองสอบสวน เกดิ สมาธแิ ลว กเ็ กิดปญญาความรู ความเขา ใจจรงิ แลวกน็ ําไปสแู มแตจุดมงุ หมายของพระพุทธ ศาสนา ท่ีวาเปน วมิ ตุ ต—ิ ความหลุดพน แตถ า ในทางตรงขามไปเรา ความอยากท่ผี ดิ ไมใชอยากแบบฉันทะ กจ็ ะอยากแบบตณั หา เม่ือ อยากแบบตัณหาจะมคี วามสันโดษท่ผี ดิ พลาด คือ สันโดษในกุศล ธรรมในการงานเสยี แลว งานแคนี้พอแลว ไมเอาแลว วตั ถุประสงค ของงานสาํ เรจ็ แคนี้พอแลว ไมเอาแลวกลายเปนประมาท แตจะไป เสรมิ ความไมสันโดษท่ผี ิดอีก คือ จะไปไมส ันโดษในเรอ่ื งของสิ่ง ปรนเปรอตา งๆ หาวตั ถุอามสิ มาบํารุงบําเรอตัวเอง กค็ ือเกิดความ โลภ แลว เกยี จครา นไมอ ยากทํางาน หาทางลัด เมอื่ เกิดหาทางลดั ก็เลยตอ งทจุ รติ เมอ่ื ทจุ รติ ก็เกิดปญ หาขนึ้ ท้ังสว นตนและสังคม เพราะฉะนั้น จึงมวี ิถีทางอยู ๒ ทาง วถิ ีทางหนึ่งนําไปสู ความไมมปี ระสิทธิภาพในการทํางาน คอื วิธกี ารของตณั หา และ อีกวิถที างหน่ึงนาํ ไปสูประสิทธิภาพในการทํางาน ก็คือ ฉนั ทะ และ มีขอ โยงกนั อยูท ี่วาสาํ หรบั ปถุ ุชนนั้น มนั มตี ณั หาอยเู ปน ธรรมดา

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕ เพราะฉะน้ัน ถา หากวามีตัณหาแลว ใหห ากลวิธที ีจ่ ะทาํ ใหต ณั หา น้ันเปนปจจยั กระตุน ฉันทะตอ ไป แลวฉนั ทะนั้นจะนําไปสกู าร ทํางานดว ยใจรกั มีความสุข มสี มาธิ และนําไปสูความเปน เลิศของ งานนัน้ หรอื ทําใหง านสาํ เรจ็ ผลอยางดเี ลิศ แลวก็นาํ ไปสปู ระโยชน สขุ ทงั้ สวนตน และสังคมประเทศชาติ น่คี ือเรื่องประสิทธภิ าพในการทํางาน ซึ่งเปนเพียงแงหน่ึง ยังไมใ ชตวั ประสทิ ธภิ าพเอง แตเปน ฐานของความมีประสทิ ธภิ าพ วาทจ่ี ริงการเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการทํางานมีหลายแง คอื หลัก ธรรมที่จะเสริมประสทิ ธภิ าพนมี่ หี ลายอยาง วนั นีก้ ็เลอื กมาพดู แง หนงึ่ ซึ่งเห็นวา เปนแงสาํ คญั ถาเรามฉี ันทะมีความไมสนั โดษใน กศุ ลธรรมน่ี เรามฐี านท่จี ะทาํ ใหเ กิดประสทิ ธิภาพในการทาํ งาน ของบุคคล แลว กท็ ําใหเ กิดการพัฒนาประเทศชาติท่ถี กู ตองได อยา งแนนอน หมายเหตุ บรรยายแกชมรมสงเสริมสมรรถภาพจติ สาํ นักงาน ก.พ. ณ หองประชุม ๑ สาํ นักงาน ก.พ. เมื่อวันที่ ๒๖ ตลุ าคม ๒๕๒๕ ตพี ิมพครงั้ แรกใน วารสารขา ราชการ ปท ี่ ๒๘ ฉบับที่ ๑-๒ ม.ค. และ ก.พ. ๒๕๒๖ คร้ังที่ ๒ มทุ ติ าสกั การะ ในวโรกาสพระสงั ฆาธกิ ารรับพระราชทานสมณศักด์ิ ณ มหามงคลสมัยพระราช พิธเี ฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธนั วาคม ๒๕๓๐