Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรมปักษ์ใต้บ้านเรา

วัฒนธรรมปักษ์ใต้บ้านเรา

Published by akkarabet2000, 2021-12-26 17:08:36

Description: วัฒนธรรมปักษ์ใต้บ้านเรา

Search

Read the Text Version

1

2

3 วัฒนธรรมภาคใต้

4

5 วัฒนธรรมปักษ์ใต้บ้านเรา

6

7 วัฒนธรรมปักษ์ใต้บ้านเรา บัญฑิตา ใฝ่บุญ บรรณาธิการ ภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 25 ธันวาคม 2564

8 วัฒนธรรมปักษ์ใต้บ้านเรา บรรณาธิการ บัญฑิตา ใฝ่บุญ กองบรรณาธิการ ผศ.สมหมาย ป่ ินพุทธศิ ลป์ ลิขสิ ทธ์ ิ ภาษาไทย : กระบ่ี พิมพ์ คร้ังแรก 25 ธันวาคม 2564 สนับสนุน สมาคมชาวภูเก็ต บัญฑิตา ใฝ่บุญ บรรณาธิการ (2564) วัฒนธรรมปักษ์ใต้ บ้านเรา กระบ่ี : ภาษาไทย 25 ธันวาคม 2564, 58 หน้า

9 คำอุทิศ ขอผลบุญท้ ังหมดน้ ีส่ งไปถงึ คุณปู่ธรรมนูญ ใฝ่บุญ ผลบุญใดท่ีข้าพเจ้าท้ังหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสน้ี ข้าพเจ้าขอให้ คุณปู่ธรรมนูญ ใฝ่บุญ เกดิ ในภพภูมิท่ีดี ขอจงอโหสิกรรมให้แกข่ ้าพเจ้าต้ังแต่วันน้ี และขอความกรุณาเป็นบารมี อำนวยให้ท่าน ได้รับความเมตตา ได้รับความกรุณา ยังสุขอันพึงมีในสุคติเทอญ บัญฑิตา ใฝ่บุญ 25 ธันวาคม 2564

10

11 สารบัญ เร่ือง ………………………………………………………………………… หน้า ประวัติวัฒนธรรมภาคใต้……………………..…………………………..15 ประเพณีวันสารทเดือนสิ บ………………………………………………..39 ประเพณีชักพระ…………………………………………………………….40 ประเพณีแหผ่ ้าข้นึ ธาตุ…………………………….………………………43 บรรณานุกรม …………………...………………………………………..47 นามานุกรม ……………………………………………………………….51 ดรรชนี …………………………………………………………………….55

12

13 คำนำ หนังสือ E-book เลม่ น้ี เป็นส่วนหน่ึงของวิชาคติชนวิทยา สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยมีจุดประสงค์ใน การศึ กษา และรวบรวมผลงานท่ีเก่ียวข้องและใช้บอ่ ยในชีวิตประจำวัน เพ่ือให้ผู้ท่ีสนใจได้ศึ กษา รวมถงึ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ได้อย่างเหมาะสม ผู้จดั ทำต้องขอขอบคุณ ผศ.สมหมาย ป่ ินพุทธศิ ลป์ ท่ีให้ คำปรกึ ษา หวังวา่ หนังสือ E-book เลม่ น้ี จะเป็นประโยขน์ต่อผู้อา่ น ต่อไป ผู้จดั ทำ บัญฑิตา ใฝ่บุญ

14

15 ประวัติวัฒนธรรมภาคใต้ ภาคใต้ เป็นดินแดนแหง่ หมู่เกาะและท้องทะเลอันงดงาม อีกท้ังยังมีอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรธรรมชาติมากมาย นอกจากน้ี ศิ ลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวใต้ยัง โดดเด่นมีเอกลักษณ์และเป่ ียมเสน่ห์ชวนให้เข้าไปสัมผัสและเรียนรู้อย่างใกล้ชิด จงึ ไม่น่า แปลกใจวา่ ในแต่ละปีภาคใต้จดั เป็นอีกภาคท่ีมีนักท่องเท่ียวท้ังไทยและต่างชาติมาเท่ียว ชมมากมาย เอาละ่ ค่ะ...วันน้ีกระปุกดอทคอมก็จะนำเสนอเร่ืองราวของวัฒนธรรมและ ประเพณีท่ีน่าสนใจของภาคใต้มาให้เพ่ือน ๆ ทราบกนั ค่ะ สำหรับจงั หวัดในภาคใต้ จากการแบง่ พ้ืนท่ีตามราชบัณฑิตยสถาน มีท้ังส้ิน 14 จงั หวัด ดังน้ี 1. กระบ่ี 2. ชุมพร 3. ตรัง 4. นครศรีธรรมราช 5. นราธิวาส

16 6. ปัตตานี 7. พังงา 8. พัทลุง 9. ภูเก็ต 10. ยะลา 11. ระนอง 12. สงขลา 13. สตูล 14. สุราษฎร์ธานี เพลงพ้ืนบ้านประจำภาคใต้ ดนตรีพ้ืนบ้านภาคใต้ มีลักษณะเรียบงา่ ย มีการประดิษฐ์เคร่ืองดนตรีจากวัสดุ ใกล้ตัวซ่ึงสันนิษฐานวา่ ดนตรีพ้ืนบ้านด้ังเดิมของภาคใต้น่าจะมาจากพวกเงาะซาไก ท่ีใช้ ไม่ไผ่ลำขนาดต่าง ๆ กนั ตัดออกมาเป็นท่อนส้ันบ้างยาวบ้าง แลัวตัดปากของกระบอก ไม้ไผ่ให้ตรงหรือเฉียงพร้อมกบั หุ้มด้วยใบไม้หรือกาบของต้นพืช ใช้ตีประกอบการ ขบั ร้องและเต้นรำ

17 จากน้ันก็ได้มีการพัฒนาเป็นเคร่ืองดนตรีแตร กรับ กลองชนิดต่าง ๆ เช่น รำมะนา ท่ีได้รับอิทธิพลมาจากชาวมลายู กลองชาตรีหรือกลองตุ๊กท่ีใช้บรรเลง ประกอบการแสดงมโนราห์ ซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ตลอดจนเคร่ืองเป่า เช่น ป่ ี นอกและเคร่ืองสี เช่น ซอด้วง ซออู้ รวมท้ังความเจริญทางศิ ลปะ การแสดง และดนตรี ของเมืองนครศรีธรรมราช จนได้ช่ือวา่ ละคอน นอกจากน้ี ยังมีการบรรเลงดนตรีพ้ืนบ้านภาคใต้ประกอบการละเลน่ แสดงต่าง ๆ เช่น ดนตรีโนรา ดนตรีหนังตะลุง ท่ีมีเคร่ืองดนตรีหลักคือ กลอง โหม่ง ฉ่ิง และ เคร่ืองดนตรีประกอบผสมอ่ืน ๆ ดนตรีลิเกป่าท่ีใช้เคร่ืองดนตรีรำมะนา โหม่ง ฉ่ิง กรับ ป่ ี และดนตรีรองเงง็ ท่ีได้รับแบบอย่างมาจากการเต้นรำของชาวสเปนหรือโปรตุเกสมา ต้ังแต่สมัยอยุธยา โดยมีการบรรเลงดนตรีท่ีประกอบด้วย ไวโอลิน รำมะนา ฆ้อง หรือ บางคณะก็เพ่ิมกีตาร์เข้าไปด้วย ซ่ึงดนตรีรองเงง็ น้ีเป็นท่ีนิยมในหมู่ชาวไทยมุสลิมตาม จงั หวัดชายแดนไทย-มาเลเซีย ดังน้ัน อาจกลา่ วได้วา่ ลักษณะเด่นของดนตรีพ้ืนบ้านภาคใต้จะได้รับอิทธิพลมา จากดินแดนใกล้เคียงหลายเช้ือชาติ จนเกดิ การผสมผสานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท่ีแตก ต่างจากภาคอ่ืน ๆ โดยเฉพาะในเร่ืองการเน้นจงั หวะและลีลาท่ีเรง่ เร้า หนักแน่น และ คึกคัก เป็นต้น เพลงพ้ืนบ้านเกดิ จากชาวบ้านเป็นผู้สร้างบทเพลงและสืบทอดกนั มาแบบ

18 ปากต่อปากโดยการจดจำบทเพลงเป็นคำร้องงา่ ย ๆ ท่ีเป็นเร่ืองราวใกล้ตัวในท้องถ่ินน้ัน ๆ จงึ ทำให้เพลงพ้ืนบ้านของไทยในภาคต่าง ๆ มีความแตกต่างกนั ออกไป เพลงพ้ืนเมืองภาคใต้ เพลงพ้ืนบ้านภาคใต้ มีอยู่ประมาณ 8 ชนิด มีท้ังการร้องเด่ียวและการร้องเป็น หมู่คณะ โดยสามารถแบง่ เป็น 2 กลุม่ ใหญ่ ๆ คือ 1. เพลงท่ีร้องเฉพาะโอกาสหรือในฤดูกาล ได้แกเ่ พลงเรือ เพลงบอก เพลงนาคำ ตัก เพลงกลอ่ มนาคหรือเพลงแหน่ าคเป็นต้น 2. เพลงท่ีร้องไม่จำกดั โอกาส ได้แก่ เพลงตันหยง ซ่ึงนิยมร้องในงานบวช งาน แต่งงาน งานข้นึ ปีใหม่ และงานมงคลต่าง ๆ เพลงเด็กท่ีร้องกลอ่ มเด็กให้หลับ และ เพลงฮูลู หรือลิเกฮูลู ท่ีเป็นการร้องคล้าย ๆ ลำตัด โดยมีรำมะนา เป็นเคร่ืองดนตรี ประกอบจงั หวะกบั บทขบั ร้องภาษาท้องถ่ินคือภาษามลายูเป็นกลอน โต้ตอบ เคร่ืองดนตรีพ้ืนบ้านภาคใต้

19 1. ทับ เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีมีความสำคัญ ในการให้จงั หวะ และควบคุมการ เปล่ียนแปลงจงั หวะ 2. กลองโนรา ใช้ประกอบการแสดงโนรา หรือหนังตะลุง โดยท่ัวไปมีขนาด เส้ นผ่าศูนย์กลางของหน้า 3. โหม่ง เป็นเคร่ืองดนตรี ท่ีมีส่วนสำคัญในการขบั บท ท้ังในด้านการให้เสียง 4. ป่ ี เคร่ืองดนตรีชนิดน้ีมีความสำคัญในการเสริมเสียงสะกดใจผู้ชม

20 5. แตระพวงหรือกรับพวง เป็นเคร่ืองประกอบจงั หวะทำจากไม้เน้ือแข็ง 6. กลองหนัง รูปรา่ งลักษณะเป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตี เป็นกลองสองหน้าตัว กลองทำจากไม้เน้ือแข็ง ข้างในกลวงข้นึ หน้าด้วยหนังวัว หรือ หนังแพะท้ังสองด้าน ตีด้วย ไม้ 1 คู่ เวลาตีต้องต้ังกลองไว้ท่ีพ้ืน หรือขาต้ัง เพ่ือให้ตีได้สะดวก ประวัติมีมาแต่โบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานวา่ เร่ิมต้นต้ังแต่เม่ือไหร่ นิยมใช้ในการละเลน่ ของภาคใต้ท่ัวไป จงั หวัดท่ีนิยมบรรเลง ทุกจงั หวัดทางภาคใต้ โอกาสท่ีบรรเลง งานมงคลและงานอวมงคล ท่ัวไป 7. โพน เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตีเป็นกลองสองหน้า ตัวกลองทำด้วยไม้เน้ือ แข็ง ตรงกลางตัวกลองด้านบนมีหูโลหะตรงึ ไว้สำหรับแขวนและตีด้วยไม้ขงึ ด้วยหนังวัว 2 ด้าน ไม่ทราบประวัติท่ีแน่นอน นิยมตีแขง่ ขนั เสียงดังแต่บางคร้ังจะใช้ตีประกอบกบั ฆ้องเด่ียวไม่ใช้ประสมวงดนตรีจงั หวัดท่ีนิยมบรรเลงทุกจงั หวัดในภาคใต้ โอกาสท่ี บรรเลงตีเป็นสัญญาณเวลาพระฉันเพลหรือลงโบสถ์ และใช้ตีในขบวนการแหพ่ ระตลอด จนใช้ตีแขง่ ขนั ความดังกนั เรียกวา่ \"จนั โพน\"

21 8. กลองแขก เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตีเป็นกลองสองหน้ามีลักษณะคล้ายปืด แต่เล็กกวา่ ตัวกลองทำด้วยไม้เน้ือแข็งหน้ากลองทำด้วยหนังนากหรือหนังเสือปลา วิธีตี กลองจะตีด้วยไม้มีลักษณะรูปโค้ง และใช้มือตีอีกด้านของหนัง 9. ฆ้องคู่ จดั เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตีฆ้องแฝด ตัวฆ้องทำด้วยโลหะผสมตี ด้วยไม้หุ้มนวมแขวนอยู่ในกลอง ไม้ส่ีเหล่ียมเจาะรูให้เสียงออกประวัติ มีเลน่ กนั มา ช้านานแล้วใช้บรรเลงในวงดนตรีประกอบด้วย ทับ กลองหนัง ฉ่ิง และป่ ี

22 ภาพจาก slava296 / Shutterstock.com

23 การแสดงพ้ืนเมืองภาคใต้ ศิ ลปะการรำและการละเลน่ ของชาวพ้ืนบ้านภาคใต้อาจแบง่ ตามกลุม่ วัฒนธรรม ได้ 2 กลุม่ คือ - วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลงนา - วัฒนธรรมไทยมุสลิม ได้แก่ รองเงง็ ซำแปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คล้ายลิเกภาคกลาง) และซิละ 1. โนรา เป็นนาฏศิ ลป์ท่ีได้รับความนิยมมากท่ีสุดในบรรดาศิ ลปะการแสดง ของภาคใต้ มีความย่ังยืนมานับเป็นเวลาหลายร้อยปี การแสดงโนราเน้นท่ารำเป็นสำคัญ ต่อมาได้นำเร่ืองราวจากวรรณคดีหรือนิทานท้องถ่ินมาใช้ในการแสดงเร่ือง พระสุธน มโนห์รา เป็นเร่ืองท่ีมีอิทธิพลต่อการแสดงมากท่ีสุดจนเป็นเหตุให้เรียกการแสดงน้ีวา่ มโนห์รา

24 ตามตำนานของชาวใต้เก่ียวกบั กำเนิดของโนรา มีความเป็นมาหลายตำนานในแต่ละ จงั หวัด ท้ังช่ือท่ีปรากฏในเร่ืองและเน้ือเร่ืองบางตอน ท้ังน้ีอาจสืบเน่ืองมาจากความคิด ความเช่ือ ตลอดจนวิธีสืบทอดท่ีต่างกนั จงึ ทำให้รายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละตำนาน แตกต่างกนั จากการศึ กษาท่ารำอย่างละเอียดจะเห็นวา่ ท่ารำท่ีสืบทอดกนั มาน้ัน ได้มาจาก ความประทับใจท่ีมีต่อธรรมชาติ อาทิ ท่าลีลาของสัตว์บางชนิด เช่น ท่ามัจฉา ท่า กวางเดินดง ท่านกแขกเต้าเข้ารัง ท่าหงส์บิน ท่ายูงฟ้อนหาง ฯลฯ ท่าเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ท่าพระจนั ทร์ทรงกลด ท่ากระต่ายชมจนั ทร์ ต่อมาเม่ือได้รับวัฒนธรรมจากอินเดียเข้ามาก็มีท่าพระลักษณ์แผลงศร พระราม น้าวศิ ลป์ และท่าพระพุทธเจ้าห้ามมาร ท่ารำและศิ ลปะการรำต่าง ๆ ของโนรา ท่านผู้รู้ หลายท่านเช่ือวา่ เป็นต้นแบบของละครชาตรีและการรำแม่บทของรำไทยด้วย

25 ท่ารำโนรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้ท่ีฝึกหัดนาฏศิ ลป์ของภาคกลางแล้วจะรำท่าของ โนราไม่สวย เพราะการทรงตัว การทอดแขน ต้ังวงหรือลีลาต่าง ๆ ไม่เหมือนกนั ผู้ท่ีจะ รำโนราได้สวยงามจะต้องมีพ้ืนฐานการทรงตัว ดังน้ี - ช่วงลำตัว จะต้องแอน่ อกอยู่เสมอ หลังจะต้องแอน่ และลำตัวย่ืนไปข้างหน้า ไม่วา่ จะรำท่าไหน หลังจะต้องมีพ้ืนฐานการวางตัวเช่นน้ีเสมอ - ช่วงวงหน้า วงหน้า หมายถงึ ส่วนลำคอกระท่ังศี รษะ จะต้องเชิดหน้าหรือแหงน ข้นึ เล็กน้อยในขณะรำ - ช่วงหลัง ส่วนก้นจะต้องงอนเล็กน้อย การย่อตัวเป็นส่ิงสำคัญย่ิง การรำโนราน้ันลำตัวหรือทุกส่วนจะต้องย่อลง เล็กน้อย นอกจากย่อลำตัวแล้ว เขา่ จะต้องย่อลงด้วย

26 ภาพจาก 1000 Words / Shutterstock.com วิธีการแสดง การแสดงโนราเร่ิมต้นจากการลงโรง (โหมโรง) กาดโรงหรือกาดครู (เชิญครู) \"พิธีกาดครู\" ในโนราถือวา่ ครูเป็นเร่ืองสำคัญมาก ฉะน้ันกอ่ นท่ีจะรำจะต้องไหว้ครู เชิญ ครูมาคุ้มกนั รักษา หลายตอนมีการรำพัน สรรเสริญครู สรรเสริญคุณมารดา เป็นต้น

27 การแต่งกาย การแต่งกายของโนรา ยกเว้นตัวพรานกบั ตัวตลก จะแต่งเหมือนกนั หมด ตาม ขนบธรรมเนียม เดิมการแต่งกายก็ถือเป็นพิธีทางไสยศาสตร์ ในพิธีผูกผ้าใหญ่ (คือพิธี ไหว้ครู) จะต้องนำเทริดและเคร่ืองแต่งกายช้ินอ่ืน ๆ ต้ังบูชาไว้บนห้ิง หรือ \"พาไล\" และ เม่ือจะสวมใส่เคร่ืองแต่งกายแต่ละช้ินจะมีคาถากำกบั โดยเฉพาะการสวม \"เทริด\" ซ่ึงมัก จะต้องใช้ผ้ายันต์สีขาวโพกศี รษะเสียกอ่ นจงึ จะสวมเทริดทับ เทริด คือ เคร่ืองสวมหัวโนรา เดิมน้ันเทริดเป็นเคร่ืองทรงกษัตริย์ทางอาณาจกั ร แถบใต้ อาจเป็นสมัยศรีวิชัยหรือศรีธรรมราช เม่ือโนราได้เคร่ืองประทานจากพระยา สายฟ้าฟาดแล้วก็เป็นเคร่ืองแต่งกายของโนราไป สมัยหลังเม่ือจะทำเทริดจงึ มีพิธีทาง ไสยศาสตร์เข้าไปด้วย วงดนตรีประกอบ เคร่ืองดนตรีโนรามี 2 ประเภท คือ

28 1. ประเภทเคร่ืองตี ได้แก่ กลองทับ โหม่ง (ฆ้องคู่) ฉ่ิง แกระหรือแตระ (ไม้ไผ่ 2 อัน ใช้ตีให้จงั หวะ) 2. ประเภทเคร่ืองเป่า ได้แก่ ป่ ี โอกาสท่ีแสดง การแสดงโนรามีแสดงท่ัวไปในภาคใต้ แต่เดิมได้รับความนิยมมาก จงึ แสดงเพ่ือ ความบันเทิงไม่นิยมแสดงในงานศพและในงานมงคลสมรส ถ้าเป็นงานใหญก่ ็มักจะให้ แขง่ ขนั หรือประชันกนั ซ่ึงทำมากเม่ือ 40 ปีกอ่ น 2. รองเงง็ การเต้นรองเงง็ สมัยโบราณ เป็นท่ีนิยมกนั ในบ้านขุนนาง หรือเจ้า เมืองในส่ีจงั หวัดชายแดน เดิมการเต้นรองเงง็ จะมีลีลาตามบทเพลงไม่น้อยกวา่ 10 เพลง แต่ปัจจุบันน้ีท่ีนิยมเต้นมีเพียง 7 เพลงเท่าน้ัน วิธีการแสดง

29 การเต้นรองเงง็ ส่วนใหญม่ ีชายหญงิ ฝ่ายละ 5 คน โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถว หน่ึงหญงิ แถวหน่ึงยืนหา่ งกนั พอสมควร ความสวยงามของการเต้นรองเงง็ อยู่ท่ีลีลาการ เคล่ือนไหวของเท้า มือ ลำตัว และลีลาการรา่ ยรำ ตลอดจนการแต่งกายของคู่ชายหญงิ และความไพเราะของดนตรีประกอบกนั การแต่งกาย ผู้ชายแต่งกายแบบพ้ืนเมือง สวมหมวกไม่มีปีกหรือใช้หมวกแขกสีดำ นุ่งกางเกง ขายาวกว้างคล้ายกางเกงจีน สวมเส้ือคอกลมแขนยาวผ่าคร่งึ อกสีเดียวกบั กางเกง ใช้ โสรง่ ยาวเหนือเขา่ สวมทับกางเกงเรียกวา่ ซอแกะ เคร่ืองดนตรีและเพลงประกอบ ดนตรีท่ีใช้ประกอบการเต้นรองเงง็ มี 3 อย่าง คือ 1. รำมะนา 2. ฆ้อง 3. ไวโอลิน โอกาสท่ีแสดง

30 เดิมรองเงง็ แสดงในงานต้อนรับแขกเมืองหรืองานพิธีต่าง ๆ ต่อมานิยมแสดงใน งานร่ืนเริง เช่น งานประจำปี งานอารีรายอ ตลอดจนการแสดงโชว์ในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานแสดงศิ ลปวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน 3. ระบำตารีกีปัส ตารีกีปัสเป็นระบำท่ีต้องอาศั ยพัดเป็นองค์ประกอบสำคัญ เป็นการแสดงท่ีแพรห่ ลายในหมู่ชาวไทยมุสลิม โดยเฉพาะในจงั หวัดปัตตานี สำหรับลีลา ของการแสดงอาจจะมีพลิกแพลงแตกต่างกนั ไป สำหรับการแสดงชุดน้ี ได้ปรับปรุงท่า รำ เพ่ือให้เหมาะสมกบั การแสดงท่ีเป็นหญงิ ล้วน ส่วนเคร่ืองดนตรีประกอบการแสดง ได้แก่ ไวโอลิน แมนตาลิน ขลุย่ รำมะนา ฆ้อง มาลากสั บทเพลงท่ีใช้ประกอบการแสดง เพลงตารีกีปัส เป็นเพลงท่ีไม่มีเน้ือร้อง บรรเลงดนตรีล้วน ๆ มีท่วงทำนองไพเราะออ่ นหวาน สนุกสนานเร้าใจ ความไพเราะของ เพลงตารีกีปัส อยู่ท่ีการโซโลเสียงดนตรีทีละช้ิน

31 ภาพจาก budutani.com 4. ลิเกฮูลู หรือ ดีเกฮูลู เป็นการละเลน่ ข้นึ บทเป็นเพลงประกอบดนตรีและ จงั หวะตบมือ มีรากฐานเดิมมาจากคำวา่ ลิเก คือการอา่ นทำนองเสนาะ และคำวา่ ฮูลู ซ่ึง หมายถงึ ทิศใต้ ซ่ึงเม่ือรวมความแล้ว คือ การขบั กลอนเป็นทำนองเสนาะจากทิศใต้ บทกลอนท่ีใช้ขบั เรียกวา่ ปันตน หรือ ปาตง ในภาษามลายูถ่ินปัตตานี ผู้รู้บางท่านได้กลา่ วไว้วา่ ลิเกฮูลู เกดิ ข้นึ เร่ิมแรกท่ีอำเภอรามัน ซ่ึงไม่ทราบ แน่นอนวา่ ผู้ริเร่ิมน้ีคือใคร ชาวปัตตานีเรียกคนในอำเภอรามันวา่ คนฮูลู แต่ชาว มาเลเซียเรียกศิ ลปะชนิดน้ีวา่ ดีเกปารัต ซ่ึง ปารัต แปลวา่ เหนือ จงึ เป็นท่ียืนยันได้วา่ ลิเกฮูลู หรือ ดีเกปารัต น้ีมาจากทางทิศเหนือของประเทศมาเลเซียและอยู่ทางตอนใต้ ของปัตตานี

32 ลักษณะการแสดง ลิเกฮูลูคณะหน่ึง ๆ จะมีประมาณ 10 คน เป็นชายล้วน มีต้นเสียง 1-3 คน ท่ี เหลือจะเป็นลูกคู่ เวทีลิเกฮูลู จะยกพ้ืนสูงประมาณ 1 เมตร เปิดโลง่ ไม่มีม่าน ไม่มีฉาก ลูกคู่ข้นึ ไปน่ังล้อมวงร้องรับและตบมือโยกตัวให้เข้ากบั จงั หวะดนตรี ส่วนผู้ร้องหรือผู้โต้ กลอนจะลุกข้นึ ย่ืนข้าง ๆ วงลูกคู่ ถ้ากรณีมีการประชันกนั แต่ละคณะจะข้นึ น่ังบนเวที ด้วยกนั แต่ล้อมวงแยกกนั พอสมควร การแสดงท่ีผลัดกนั ร้องทีละรอบท้ังรุกและรับเป็น ท่ีครกึ คร้ืนสบอารมณ์ของผู้ชม ลิเกฮูลู เร่ิมต้นด้วยการแสดงด้วยดนตรีท่ีใช้โหมโรงเป็นการเรียกผู้ชม ต่อจาก น้ันนักร้องออกมาร้องเพลงในจงั หวะต่าง ๆ ทีละคน เน้ือร้องกลา่ วถงึ ความประสงค์ใน การเลน่ แล้วจงึ เร่ิมแสดง ซ่ึงอาจจะเป็นเร่ืองราวของเหตุการณ์บ้านเมือง ปัญหาท้องถ่ิน หรือเร่ืองตลกโปกฮา ผู้แสดงจะต้องใช้คารมและปฏภิ าณ ให้ท้ังความรู้และความบันเทิง แกผ่ ู้ชม การแต่งกาย ผู้เลน่ ลิเกฮูลูนิยมนุ่งกางเกงขายาว นุ่งผ้าซอแกะทับข้างนอกส้ันเหนือเขา่ สวม เส้ือคอกลมมีผ้าโพกศี รษะ

33 เคร่ืองดนตรีประกอบ เลน่ ลิเกฮูลู ประกอบด้วยรำมะนา อย่างน้อย ๒ ใบ ใช้ตีดำเนินจงั หวะในการแสดง ฆ้องเป็นเคร่ืองกำกบั จงั หวะ ตีสม่ำเสมอประกอบการร้อง นอกจากน้ียังมีเคร่ืองดนตรีท่ี ใช้ประกอบและเป็นท่ีนิยมกนั วา่ ทำให้ครกึ คร้ืน สนุกสนานไพเราะมากย่ิงข้นึ เช่น ขลุย่ ลูกแซก แต่จงั หวะท่ีใช้เป็นประเพณีในการละเลน่ คือ การตบมือ โอกาสท่ีแสดง ลิเกฮูลูนิยมแสดงในงานมาแกปูโละ พิธีเข้าสุนัต และงานฮารีรายอ การแต่งกายประจำภาคใต้

34 ประชาชนในภาคน้ีมีการแต่งกายต่างกนั ตามเช้ือชาติ ทำให้การใช้วัสดุและรูป แบบมีเอกลักษณ์ไปตามเช้ือชาติ ถ้าเช้ือสายจีนจะแต่งแบบจีน ถ้าเป็นชาวมุสลิม ก็จะ แต่งคล้ายกบั ชาวมาเลเซีย 1. กลุม่ เช้ือสายจีน-มลายู เรียกชนกลุม่ น้ีวา่ ยะหยา หรือ ยอนย่า เป็นกลุม่ ชาว จีน เช้ือสายฮกเก้ียนท่ีมาสมรสกบั ชนพ้ืนเมืองเช้ือสายมลายู ชาวยะหยาจงึ มีการแต่ง กายอันสวยงามท่ีผสมผสานรูปแบบของชาวจีนและมลายูเข้าด้วยกนั อย่างงดงาม ฝ่าย หญงิ ใส่เส้ือฉลุลายดอกไม้ รอบคอ, เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซ่ินปาเต๊ะ ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนด้ังเดิมอยู่ 2. กลุม่ ชาวไทยมุสลิม ชนด้ังเดิมของดินแดนน้ีนับถือศาสนาอิสลาม และมี เช้ือสายมลายู ยังคงแต่งกายตามประเพณี อันเกา่ แกฝ่ ่ายหญงิ มีผ้าคลุมศี รษะ ใส่เส้ือผ้า มัสลิน หรือลูกไม้ตัวยาวแบบมลายูนุ่งซ่ินปาเต๊ะหรือซ่ินทอแบบมลายู ฝ่ายชายใส่เส้ือ คอต้ัง สวมกางเกงขายาว และมีผ้าโสรง่ ผืนส้ัน ท่ีเรียกวา่ ผ้าซองเก็ต พันรอบเอวถ้าอยู่ บ้านหรือลำลองจะใส่โสรง่ ลายตารางทอด้วยฝ้าย และสวมหมวกถัก หรือเย็บด้วยผ้า กำมะหย่ี

35 3. กลุม่ ชาวไทยพุทธ ชนพ้ืนบ้าน แต่งกายคล้ายชาวไทยภาคกลาง ฝ่ายหญงิ นิยมนุ่งโจงกระเบน หรือผ้าซ่ินด้วย ผ้ายกอันสวยงาม ใส่เส้ือสีออ่ นคอกลม แขนสาม ส่วน ส่วนฝ่ายชายนุ่งกางเกงชาวเล หรือ โจงกระเบนเช่นกนั สวมเส้ือผ้าฝ้ายและมี ผ้าขาวม้าผูกเอวหรือพาดบา่ เวลาออกนอกบ้านหรือไปงานพิธีกลับหน้า

36 อาหารพ้ืนบ้านภาคใต้ อาหารพ้ืนบ้านภาคใต้มีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สืบเน่ืองจากดินแดน ภาคใต้เคยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีต ทำให้วัฒนธรรมของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซ่ึงเป็นต้นตำรับในการใช้ เคร่ืองเทศปรุงอาหารได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก อาหารพ้ืนบ้านภาคใต้ท่ัวไป มีลักษณะผสมผสานระหวา่ งอาหารไทยพ้ืนบ้านกบั อาหารอินเดียใต้ เช่น น้ำบูดู ซ่ึงได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกบั เม็ดเกลือ และ มีความคล้ายคลงึ กบั อาหารมาเลเซีย อาหารของภาคใต้จงึ มีรสเผ็ดมากกวา่ ภาคอ่ืน ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลท้ังสองด้าน มีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพ อากาศร้อนช้ืน ฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเคร่ืองจ้มิ จงึ มีรสจดั ช่วยให้ รา่ งกายอบอุน่ ป้องกนั การเจ็บป่วยได้อีกด้วย แกงท่ีมีช่ือเสียงของภาคใต้ คือ แกง เหลือง แกงไตปลา เคร่ืองจ้มิ ก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกวา่ \"ข้าวยำ\" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ

37 นอกจากน้ี ยังมีผักหลายชนิดท่ีคนภาคใต้นิยมรับประทานกนั จนเป็นเอกลักษณ์ ของอาหารภาคใต้ ได้แก่ ฝักสะตอ มีลักษณะเป็นฝักยาว สีเขียว เวลารับประทานต้อง ปอกเปลือกแล้วแกะเม็ดออก ใช้ท้ังเม็ด หรือนำมาห่ันปรุงอาหารโดยใช้ผัดกบั เน้ือสัตว์ หรือใส่ในแกง นอกจากน้ียังใช้ต้มกะทิรวมกบั ผักอ่ืน ๆ หรือใช้เผาท้ังเปลือกให้สุกแล้ว แกะเม็ดออกรับประทานกบั น้ำพริก หรือจะใช้สด ๆ โดยไม่ต้องเผาก็ได้ ถ้าต้องการเก็บ ไว้นาน ๆ ควรดองเก็บไว้

38 เม็ดเหรียง เป็นคำเรียกของคนภาคใต้ มีลักษณะคล้ายถ่ัวงอกหัวโต แต่หัวและหาง ใหญก่ วา่ มาก สีเขียว เวลาจะรับประทานต้องแกะเปลือกซ่ึงเป็นสีดำออกกอ่ น จะนำไป รับประทานสด ๆ หรือนำไปผัดกบั เน้ือสัตว์ หรือนำไปดองรับประทานกบั แกงต่าง ๆ หรือกบั น้ำพริกกะปิ หรือจะนำมาหลนก็ได้ ลูกเนียง มีลักษณะกลม เปลือกแข็งสีเขียวคล้ำเกือบดำ ต้องแกะเปลือกนอก แล้วรับประทานเน้ือใน ซ่ึงมีเปลือกออ่ นหุ้มอยู่ เปลือกออ่ นน้ีจะลอกออกหรือไม่ลอก ก็ได้แล้วแต่ความชอบ ใช้รับประทานสด ๆ กบั น้ำพริกกะปิ หลนแกงเผ็ด โดยเฉพาะแกง ไตปลา ลูกเนียงท่ีแกจ่ ดั ใช้ทำเป็นของหวานได้ โดยนำไปต้มให้สุกแล้วใส่มะพร้าวทึนทึก ขูดฝอย และน้ำตาลทรายคลุกให้เข้ากนั

39 ประเพณีวันสารทเดือนสิ บ ชิงเปรต เป็นประเพณีของภาคใต้ท่ีทำกนั ในวันสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีเมือง มนุษย์ 15 วัน โดยมาในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ซ่ึงถือวา่ เป็นวัน \"รับเปรต\" หรือ วัน สารทเล็ก ลูกหลานต้องเตรียมขนมมาเล้ียงดูให้อ่ิมหมีพีมันและฝากกลับเมืองเปรต ใน วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 น้ันคือวัน \" ส่งเปรต \" กลับคืนเมือง เรียกกนั วา่ วันสารทใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แกห่ ลายคนยืนยันวา่ การชิงเปรตไม่เป็นความอัปมงคลแกผ่ ู้ชิงเปรตแต่ อย่างใด ในทางตรงกนั ข้ามกลับถือวา่ เป็นการได้บุญ เพราะเช่ือกนั วา่ หากลูกหลานของ เปรตใดชิงได้ เปรตตนน้ันย่อมได้รับส่วนบุญส่วนกุศลน้ัน

40 ประเพณีชักพระ ประเพณีชักพระหรือลากพระเป็นประเพณีท่ีพราหมณ์ศาสนิกชนและพุทธศาสนิกชน ปฏบิ ัติสืบต่อกนั มาต้ังแต่คร้ังโบราณ สันนิฐานวา่ ประเพณีน้ีเกดิ ข้นึ คร้ังแรก ในประเทศ อินเดียตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ ท่ีนิยมนำเอาเทวรูปออกแหแ่ หนในโอกาสต่าง ๆ เช่น การแหเ่ ทวรูปพระอิศวร เทวรูปพระนารายณ์ เป็นต้น ต่อมาพุทธศาสนิกชนได้นำเอา คติความเช่ือดังกลา่ วมา แล้วดัดแปลงปรับปรุงให้สอดคล้องกบั ความเช่ือทางพุทธ ศาสนา เม่ือพุทธศาสนาได้เผยแพรถ่ งึ ภาคใต้ของประเทศไทย จงึ ได้นำประเพณีชักพระ เข้ามาด้วย ประเพณีชักพระ มีความเป็นมาท่ีเลา่ กนั เป็นเชิงพุทธตำนานวา่ หลังจาก พระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏหิ าริย์ปราบเดียรถีย์ ณ ป่ามะม่วง กรุงสาวัตถี แล้วได้ เสร็จไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เพ่ือโปรดพุทธมารดา ซ่ึงขณะน้ันทรงจุติเป็นมหามายา เทพ สถิตอยู่ ณ ดุสิตเทพพิภพตลอดพรรษา พระพุทธองค์ทรงประกาศพระคุณของ มารดาแกเ่ ทวสมาคมและแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดา ๗ คัมภีร์ จนพระมหา มายาเทพและเทพยดา ในเทวสมาคมบรรลุโสดาบันหมด ถงึ วันข้นึ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ อันเป็นวันสุดท้ายของพรรษา พระพุทธองค์ได้เสด็จกลับมนุษยโลกทางบันไดทิพย์ท่ีพระ อินทร์นิมิตถวาย บันไดน้ีทอดจากภูเขาสิเนนุราชท่ีต้ังสวรรค์ ช้ันดุสิตมายังประตูนคร สังกสั สะ ประกอบด้วยบันไดทอง บันไดเงนิ และบันไดแก้ว บันไดทองน้ันสำหรับเทพยดา มาส่ งเสด็จอยู่เบ้ ืองขวาของพระพุทธองค์

41 บันไดเงนิ สำหรับพรหมมาส่งเสด็จอยู่เบ้ืองซ้ายของพระพุทธองค์ และบันไดแก้ว สำหรับพระพุทธองค์อยู่ตรงกลาง เม่ือพระพุทธองค์เสด็จมาถงึ ประตูนครสังกสั สะตอน เช้าตรูข่ องวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซ่ึงเป็นวันออกพรรษาน้ัน พุทธศาสนิกชนท่ีทราบ กำหนดการเสด็จกลับของพระพุทธองค์จากพระโมคคัลลาน ได้มารอรับเสด็จอย่าง เนืองแน่นพร้อมกบั เตรียมภัตตาหารไปถวายด้วย แต่เน่ืองจากพุทธศาสนิกชนท่ีมารอ รับเสด็จมีเป็นจำนวนมากจงึ ไม่สามารถจะเข้าไปถวายภัตตาหารถงึ พระพุทธองค์ได้ท่ัว ทุกคน จงึ จำเป็นท่ีต้องเอาภัตตาหารหอ่ ใบไม้ส่งต่อ ๆ กนั เข้าไปถวายส่วนคนท่ีอยู่ไกล ออกไปมาก ๆ จะส่งต่อ ๆ กนั ก็ไม่ทันใจ จงึ ใช้วิธีหอ่ ภัตตาหารด้วยใบไม้โยนไปบ้าง ปา บ้าง เข้าไปถวายเป็นท่ีโกลาหล โดยถือวา่ เป็นการถวายท่ีต้ังใจด้วยความบริสุทธ์ิด้วยแรง อธิษฐานและอภินิหารแหง่ พระพุทธองค์ ภัตตาหารเหลา่ น้ันไปตกในบาตรของ พระพุทธองค์ท้ังส้ิน เหตุน้ีจงึ เกดิ ประเพณี \"หอ่ ต้ม\" \"หอ่ ปัด\" ข้นึ เพ่ือเป็นการแสดงถงึ ความปิติยินดีท่ีพระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์ พุทธศาสนิกชน ได้อัญเชิญ พระพุทธองค์ข้นึ ประทับบนบุษบกท่ีเตรียมไว้ แล้วแหแ่ หนกนั ไปยังท่ีประทับของ พระพุทธองค์ คร้ันเลยพุทธกาลมาแล้วและเม่ือมีพระพุทธรูปข้นึ พุทธศาสนิกชนจงึ นำ เอาพระพุทธรูปยกแหแ่ หนสมมติแทนพระพุทธองค์ ซ่ึงกระทำกนั ในวันแรม๑ ค่ำ เดือน ๑๑ของทุกปีสื บมาจนเป็นประเพณีชั กพระในปัจจุบัน ลากพระหรือชักพระ เป็นประเพณีเน่ืองในพุทธศาสนากระทำหลังจากวันมหา ปวารณาหรือวันออกพรรษา ๑ วัน ตรงกบั วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยพุทธศานาสนิก

42 ชนพร้อมใจกนั อาราธนาพระพุทธรูปข้นึ ประดิษฐานบนบุษบกท่ีวางอยู่เหนือเรือรถ หรือ ล้อเล่ือน แล้วแหแ่ หนชักลากไปตามลำน้ำหรือตามถนนหนทาง ถ้าท้องถ่ินในอยู่ริมน้ำ หรือมีลำคลอง ก็ลากพระทางน้ำ ถ้าหา่ งไกลลำคลองก็ลากพระทางบก แล้วแต่สภาพ ภูมิประเทศเหมาะแกก่ ารลากประเภทไหน ประเพณีลากพระได้ปรับเปล่ียนแตกเติมต่างออกไปจากเดิมหลายอย่าง มีการต้ัง หีบรับเงนิ อนุโมทนา มีเคร่ืองขยายเสียงเชิญชวน บางท้องถ่ินจดั งานบันเทิงอ่ืน ๆ ประกอบมีการประกวดนางงาม งานลากพระก็มีประชาชนท่ีอยู่ใกล้ตลาดนิยมซ้ือต้ม จากตลาดแทนการทำเองก็มีมากข้นึ ปรากฏการณ์ทำนองน้ีพบมากข้นึ ในประเพณี พ้ืนเมืองทุกอย่างและทุกท้องถ่ิน

43 ประเพณีแหผ่ ้าข้นึ ธาตุ ประเพณีแหผ่ ้าข้นึ ธาตุ หมายถงึ การนำผ้าผืนยาวข้นึ ไปหม่ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ ในวันสำคัญทางศาสนา ชาวนครได้รว่ มมือรว่ มใจกนั บริจาคเงนิ ตามกำลังศรัทธานำเงนิ ท่ีได้ไปซ้ือผ้ามาเย็บต่อกนั เป็นแถวยาวนับพันหลา แล้วจดั เป็นขบวนแหผ่ ้าข้นึ หม่ พระ บรมธาตุเจดีย์ ผ้าท่ีข้นึ ไปหม่ องค์พระบรมธาตุเจดีย์เรียกวา่ “ผ้าพระบฎ” (หรือ พระ บต) นิยมใช้สีขาว สีเหลือง สีแดง สำหรับผ้าสีขาวนิยมเขียนภาพเน้ือหาเก่ียวกบั พุทธ ประวัติต้ังแต่ประสูติ เสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ประเพณีแห่ ผ้าข้นึ ธาตุเป็นเอกลักษณ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช แกน่ แท้อยู่ท่ีการบูชา พระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด โดยใช้องค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นตัวแทน ตามตำนานประเพณีแหผ่ ้าข้นึ ธาตุมีวา่ ในสมัยท่ีพระเจ้าสามพ่ีน้อง คือ พระเจ้าศรี ธรรมโศกราช พระเจ้าจนั ทรภาณุ และพระเจ้าพงษาสุระ กำลังดำเนินการสมโภชพระ บรมธาตุอยู่น้ัน คล่ืนได้ซัดผ้าแถบยาวช้ินหน่ึง ซ่ึงมีลายเขียนเร่ืองราวพุทธประวัติ (เรียกวา่ พระบฎ หรือ พระบต) ข้นึ ท่ีชายหาดปากพนัง จงึ นำผ้าผืนน้ันไปถวายพระเจ้า ศรีธรรมโศกราช พระองค์จงึ รับส่ังให้ซักจนสะอาด แต่ลายเขียนพุทธประวัติก็ไม่ ลบเลือนยังคงสมบูรณ์ดีทุกประการ จงึ รับส่ังให้ประกาศหาเจ้าของ ได้ความวา่ ชาวพุทธ กลุม่ หน่ึง จะเดินทางไปลังกา เพ่ือนำพระบฎไปถวายเป็นพุทธบูชาพระทันตธาตุ คือ พระ เข้ียวแก้ว แต่เรือถูกมรสุมซัดแตกท่ีชายฝ่ ังเมืองนครมีรอดชีวิต 10 คน ส่วนพระบฏ ถูกคล่ืนซัดข้นึ ฝ่ ังปากพนัง พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงพิจารณาเห็นวา่ ควรจะนำข้นึ ไป

44 หม่ พระบรมธาตุเจดีย์เน่ืองในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ เจ้าของพระบฎท่ีรอดชีวิตก็ ยินดีด้วย จงึ โปรดให้ชาวเมืองนครจดั เคร่ืองประโคมแหแ่ หนผ้าหม่ โอบฐานพระบรมธาตุ เจดีย์ จงึ เป็นประเพณีประจำเมืองนครสืบมาจนทุกวันน้ี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้มีการแหผ่ ้าข้นึ ธาตุในวันข้นึ 15 ค่ำ เดือน 6 คือ วันวิสาขบูชา เรียกวา่ “แหพ่ ระบฎข้นึ ธาตุ” มีการเวียนเทียนรอบ องค์พระบรมธาตุ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้มี การแหผ่ ้าข้นึ ธาตุ ในวันข้นึ 15 ค่ำ เดือน 3 คือ วันมาฆบูชา เพ่ือให้พุทธศาสนิกชนท่ีอยู่ หา่ งไกลหรือไม่มีโอกาสกระทำพุทธบูชาในวันวิสาขบูชาได้มีโอกาสแหผ่ ้าข้นึ ธาตุในวัน มาฆบูชาตามศรัทธาด้วย ประเพณีแหผ่ ้าข้นึ ธาตุของเมืองนครจงึ มีปีละ 2 คร้ัง คือ ใน วันเพ็ญเดือน 3 (วันมาฆบูชา) และในวันเพ็ญเดือน 6 (วันวิสาขบูชา) สืบมาจนทุกวันน้ี เดิมการแหผ่ ้าข้นึ ธาตุกระทำกนั โดยพร้อมเพรียงเป็นขบวนท่ีเอิกเกริกเพียงขบวน เดียว ต่อมา ประชาชนมาจากหลายทิศหลายทาง แต่ละคนต่างเตรียมผ้ามาเองทำให้ การแหผ่ ้าข้นึ ธาตุไม่พร้อมเพรียงเป็นขบวนเดียวกนั เพราะใครจะแหผ่ ้าข้นึ ธาตุในเวลา ใดก็ได้ตามสะดวกตลอดท้ังวัน เม่ือขบวนแหม่ าถงึ วัดพระบรมธาตุวรมหาวิหาร ก็แห่ ทักษิณาวัตรรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ 3 รอบ แล้วนำผ้าเข้าสู่วิหารม้า ซ่ึงมีบันไดข้นึ สู่ลานภายในกำแพงแก้วล้อมฐานพระบรมธาตุเจดีย์ เพ่ือนำผ้าข้นึ หม่ โอบฐานพระ บรมธาตุเจดีย์ซ่ึงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ถือวา่ เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด

45 บรรณานุกรม

46

47 บรรณานุกรม เกวลี ส่งศรี (2564) วัฒนธรรมขนมพ้ืนเมืองของชาวไทยเช้ือสายจีน ภูเก็ต : ภาษาไทย มรภ.ภูเก็ต ฉัตฑริกา กจิ ผดุง (2564) ความเช่ือและพิธีกรรมเก่ียวกบั การนับถือส่ิง ศั กด์ิสิทธ์ิ กบั บทบาททางสังคม ของ ชาวเทศบาลตำบลท่าง้วิ อำเภอ เมือง จงั หวัดนครศรีธรรมราช ภูเก็ต : ภาษาไทย มรภ.ภูเก็ต ซูรีตา มะยี (2564) การบำบัดรกษาโรคแบบพ้ืนบ้านของชาวไทยมุสลิม อำเภอยะหา จงั หวัดยะลา ภูเก็ต : ภาษาไทย มรภ.ภูเก็ต นันทพร แทนพ่อ (2564) กลวิธีการเลา่ เร่ืองและรูปแบบการนำเสนอขา่ ว ประเภทไวรัลของเพจ Poetry of Bitch : ภาษาไทย มรภ.ภูเก็ต นีตา มูซอ (2564) ภาพสะท้อนท่ีปรากฏในบทเพลงอนาชีดของวง Wseam : ภาษาไทย มรภ.ภูเก็ต ปฏวิ ัติ ทองบุญยัง (2564) วัจนกรรมนัยผกผันในเฟซบุ๊กแฟนเพจอุซามะฮ์ บินลาบีน บังบีน ปนิตา ชูจติ (2564) จนิ ตภาพท่ีปรากฏในนวนิยายเร่ือง ฝูงนกอพยพ ภูเก็ต : ภาษาไทย มรภ.ภูเก็ต ภัณฑิรา ศรีแสง (2564) การนำเสนอขา่ วเชิงคลิกเบทของเว็บไซต์อากดัง ขา่ วดอทคอม สิริยากร ราโชกาญจน์ (2564) โค้ชชีวิต (Life Coach) กลวิธีการใช้ ภาษาและวัจนกรรม เพ่ือสร้างแรงบันดาลใจในแอปพลิเคชัน Tiktok ภูเก็ต : ภาษาไทย มรภ.ภูเก็ต อาริยา เเซ่ด่าน (2564) วัจนกรรมและเน้ือหาในการทำนายดวงชะตาของ แอปพลิเคชันต๊ิกต๊อกช่อง Kiss Koonatta ภูเก็ต : ภาษาไทย มรภ. ภูเก็ต

48

49 มานานุกรม

50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook