Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัย นิทัศน์

วิจัย นิทัศน์

Description: วิจัย นิทัศน์

Search

Read the Text Version

การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ วิชา ศิลปะ โดยใชช้ ุดฝึกทกั ษะการวาดเส้น สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ นายนิทศั น์ อินถานนั ท์ งานวิจยั น้ีเป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษาวจิ ัยในชัน้ เรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ปกี ารศกึ ษา 2563

การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ วชิ า ศิลปะ โดยใชช้ ุดฝึกทกั ษะการวาดเส้น สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ การวิจยั คร้ังน้ีมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ : ใหน้ กั เรียนมีการพฒั นาการในดา้ นวาดภาพและความคดิ สร้างสรรค์ กลมุ่ ตวั อยา่ งประชากรที่ใชใ้ นการวจิ ยั คือ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 จานวน 11 คน โดยพิจารณาจากการ ตดั สินใจของผวู้ จิ ยั เอง ลกั ษณะของกลุ่มที่เลือกเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั การเลือกกลมุ่ ตวั อยา่ ง แบบเจาะจงตอ้ งอาศยั ความรอบรู้ ความชานาญและประสบการณ์ในเร่ืองน้นั ๆของผทู้ าวจิ ยั เครื่องทใ่ี ช้ในการวิจยั ประกอบด้วย 1 สื่อการสอนในดา้ นวาดภาพและความคิดสร้างสรรค์ 2 ชุดฝึกทกั ษะความคดิ สร้างสรรค์ ผลการวจิ ยั พบวา่ นกั เรียนมีพฒั นาการที่ดีข้นึ อยา่ งเห็นไดช้ ดั โดยการสังเกตและจากงานที่นกั เรียน นางานมาส่งในแต่ละคร้ัง สรุปไดด้ งั น้ี 1 นกั เรียนมีความคิดสร้างสรรคม์ ากข้ึน 2 นกั เรียนมีจินตนาการที่ดีข้ึน 3 การระบายสีมีการพฒั นาไปในทิศทางที่ดี 4 นกั เรียนสามารถถา่ ยทอดความคดิ ของตนออกมาเป็นงานศิลปะได้

กติ ตกิ รรมประกาศ การศึกษาคร้ังน้ีสาเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาช่วยเหลือให้คาแนะนาเป็ นอย่างดีจากอาจารย์ กรรมการทุกท่าน ท่ีให้คาแนะนาและร่วมเป็ นคณะกรรมการในการสอบปัญหาพิเศษ ผูศ้ ึกษาขอกราบ ขอบคุณเป็นอยา่ งสูง ณ โอกาสน้ี ขอกราบขอบพระคุณผูอ้ านวยการโรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ท่ีได้ ส่งเสริมและให้ความสะดวกทุกๆด้าน ในการเก็บขอ้ มูลในคร้ังน้ี จนงานศึกษาคร้ังน้ีสาเร็จลุล่วงไดด้ ว้ ยดี และขอขอบคุณนกั เรียนมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ท่ีใหค้ วามร่วมมือในการ ดาเนินงานในการเก็บขอ้ มูลเป็นไปอยา่ งสมบูรณ์ สุดทา้ ยน้ีผูศ้ ึกษาขอขอบคุณคณะครูทุกคนและเหนือสิ่งอื่นใดขอกราบขอบพระคุณบิดามารดาท่ีได้ ใหค้ าแนะนาและใหค้ าปรึกษา ตลอดจนเป็นกาลงั ใจจนทาใหก้ ารศึกษาคร้ังน้ีสาเร็จลุล่วงไปดว้ ยดี นิทศั น์ อินถานนั ท์

สารบญั หนา้ บทคดั ยอ่ ภาษาไทย………………………………………………………………………ง กิตติกรรมประกาศ………………………………………………………………………ฉ สารบญั ……………………………………………………………………………..…...ช สารบญั ตาราง…………………………………………………………………………...ฌ บทท่ี 1 บทนา…………………………………………………………………………………1 1.1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา…………………………………...1 1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั …………………………………………....…….10 1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั ………………………………………………….……10 1.4 นิยามศพั ทท์ ่ีใช…้ ………………………………………………………….10 1.5 ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ……………………………………….……….12 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ยี วข้อง……………………………………………....…....…12 2.1 งานวิจยั ที่เก่ียวชอ้ ง…………………………………………………………… 2.2 เอกสารที่เกี่ยวขอ้ ง……………………………………………………………….. 3 วิธีดาเนนิ การวิจัย…………………………………………………………….………79 3.1 ศึกษารวบรวมขอ้ มลู ………………………………………………………..79 3.2 กลมุ่ ตวั อยา่ งประชากร…………………...…………………………………79 3.3 เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั ……………………………………….…………...80 3.4 ข้นั ตอนในการสร้างเครื่องมือ………………………………….…………...81 3.5 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล………………………………………….…………..83 3.6 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ……………………………………………….………...84 3.7 การนาเสนอผลการวเิ คราะหว์ ิจยั ………………………………….………..84

ช่ือผู้วจิ ยั นายนิทศั น์ อินถานนั ท์ ช่ืองานวจิ ยั การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ วิชา ศิลปะ โดยใชช้ ุดฝึกทกั ษะการวาดเสน้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ ศิลปะ บทคดั ย่อ การจดั การเรียนการสอนเพ่ือพฒั นาการวาดภาพและความคิดสร้างสรรค์ ของ นักเรียนในระดบั มธั ยมศึกษา มีจานวนนกั เรียนกลุ่มวิจยั จานวน 11 คน จากประชากรท้งั หมด 11 คน ทางผูว้ ิจยั ไดจ้ ดั ทา แบบทดสอบ และตวั อยา่ งการร่างภาพระบายสี และแบบฝึกความคดิ สร้างสรรค์ เพือ่ พฒั นาการวาดภาพ และ ฝึ กความคิดสร้างสรรค์ ให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน ด้งั น้ัน ผจู้ ดั ทางานวิจยั จึงหาค่าเปรียบเทียบก่อนและหลงั การฝึกฝนการร่างภาพระบายสีของนกั ศึกษา เพือ่ เป็นขอ้ สรุปของงานวจิ ยั ในคร้ังน้ี เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั มีดงั น้ี รายการที่ 1 สื่อการเรียนรู้การเสริมสร้างจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์ รายการท่ี 2 แบบชุดฝึกการเสริมสร้างจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์

บทที่ 1 บทนา รายงานการวจิ ยั ในช้ันเรียน เร่ือง การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ วชิ า ศิลปะ โดยใชช้ ุดฝึกทกั ษะการวาดเส้น สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ ท่ีมาและความสาคญั การวิจยั คร้ังน้ี มีจุดมุ่งหมายท่ีจะฝึ กทกั ษะการเรียนรู้วิชาทศั นศิลป์ ของ นกั เรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 11 คน ซ่ึงเป็ นนักเรียนท่ีขาดความคิดสร้างสรรค์ ในการปฏิบัติงานศิลปะ ผูว้ ิจัยจึงจัดแนวทาง กิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือแกไ้ ขปรับเปล่ียนพฤติกรรม เพ่ือให้ผูเ้ รียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ ในวิชา ทศั นศิลป์ เพ่ิมมากข้นึ ตลอดจนใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีความภมู ิใจ และเกิดเจตคติที่ดีต่องานศิลปะ อีกท้งั เป็นท่ียอมรับ ของเพ่ือน ๆ ทาให้มีความสุขในการอย่รู ่วมกบั สังคมเพ่ือน ดา้ นการจดั แนวทางกิจกรรมการเรียนการสอน ผวู้ ิจยั ไดจ้ ดั เวลาการเรียนเสริม และใหค้ วามรู้แบบตวั ต่อตวั พร้อมท้งั ดูแลเอาใจใส่ สร้างแรงจูงใจและคอยให้ กาลงั ใจผเู้ รียนตลอดเวลา เพ่ือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผเู้ รียน จนกระทง่ั สามารถเรียนร่วมกบั ผอู้ ่ืนไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม มีความสุข และสามารถ นาศิลปะไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งมีประโยชน์ การจดั การเรียนการสอนมีจุดมุ่งหมายเพ่ือพฒั นาใหน้ กั ศึกษาเกิดทกั ษะการวาดภาพข้นั พ้ืนฐาน และ การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เป็ นทกั ษะที่มีความสาคญั เพ่ือใช้ในการถ่ายทอดผลงานทางศิลปะใน ระดบั สูงต่อไป แต่จากการทดสอบของนกั เรียนโรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ จานวน 11 คน จากนักเรียน 11 คน พบว่า นักเรียนมีพ้ืนฐานการวาดภาพและความคิดสร้างสรรค์ยงั ไม่ดี เท่าที่ควร จึงควรหาทางพฒั นาให้นกั เรียนสามารถวาดภาพไดช้ ดั เจน และถ่ายทอดความคิดสร้างสรรคด์ ีข้ึน ขา้ พเจา้ ในฐานะครูผสู้ อนจึงสนใจที่จะสร้างแบบฝึ กการร่างภาพ การระบายสี และแบบการต่อเติมความคิด สร้างสรรคข์ องนกั เรียน เพอ่ื นาไปใชพ้ ฒั นาความสามารถในการวาดภาพของนกั เรียน ยงั มีความบกพร่องทางดา้ นน้ีอยมู่ าก ส่งผลใหก้ ารเรียนวชิ าทศั นศิลป์ อยใู่ นเกณฑท์ ่ีควร ปรับปรุงแกไ้ ข จึงทาการแยกนกั เรียนออกจากกลุ่มใหญ่และดาเนินการสอนนอกเวลาเรียนแบบใกลช้ ิด เพ่ือพฒั นาปรับปรุง แกไ้ ขความบกพร่องของนักเรียน หวงั ท่ีปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพ่ือให้ผเู้ รียนเกิดทกั ษะความสามารถในวชิ า ทศั นศิลป์ เพ่มิ มากข้ึน ตลอดจนใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีความภมู ิใจและเกิดเจตคติที่ดีต่องานศิลปะ อีกท้งั เป็นท่ียอมรับ ของเพื่อน ๆ ทาให้มีความสุขในการอย่รู ่วมกบั สังคมเพื่อน เกิดทกั ษะการเรียนรู้การปฏิบตั ิในวิชาทศั นศิลป์ อยา่ งมีประสิทธิภาพ ดงั น้นั จึงมีความสนใจในเรื่องน้ี

วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือให้เด็กมีการพฒั นาการท่ีดีข้ึนในการวาดภาพต่อเส้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ก่อนและหลงั เรียน โดยใชแ้ บบฝึกการร่างภาพ การวาดเสน้ 2. เพ่อื ใหน้ กั เรียนวาดเสน้ และมีความความคดิ สร้างสรรคไ์ ปในทางท่ีดีข้ึน กรอบแนวคดิ ในการวิจัย แบบฝึกการร่างภาพวาดเส้น คอื แบบฝึกการวาดเสน้ ที่ผวู้ จิ ยั ไดส้ ร้างข้ึนมา เพื่อเป็นตวั อยา่ ง ความสามารถในการวาดเส้น และมีความคิดสร้างสรรค์ คือ คะแนนท่ีได้จากการฝึ กฝนการ วาดเส้น และฝึกความคดิ สร้างสรรคด์ ว้ ยตนเอง ก่อนและหลงั เรียนที่ผวู้ จิ ยั ไดส้ ร้างข้ึน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นกั เรียนสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั งานศิลปะประเภทตา่ งๆได้ 2. นกั เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ 3. นกั เรียนมีแนวทางเพื่อพฒั นาทกั ษะการวาดเส้น มีสมาธิและความคดิ สร้างสรรค์ ขอบเขตของการวจิ ยั 1. นกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 จานวน 11 คน ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2563 โรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ 2. วิจยั เรื่องการใชช้ ุดฝึกการส่งเสริมและพฒั นาวามคิดสร้างสรรคข์ องนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5

นิยามศัพท์ ในการทาการศึกษาคร้ังน้ีบางคร้ังจาเป็นตอ้ งใชค้ าศพั ทท์ างการศึกษาใหเ้ หมาะสมกบั การทาการศึกษา และการส่ือสารความหมายทางดา้ นภาษาผศู้ ึกษาจึงเสนอคาศพั ทท์ ี่เกี่ยวขอ้ งในการศึกษามาประกอบเพอ่ื ให้ เขา้ ใจมากข้นึ นกั เรียน คอื นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ ความคดิ สร้างสรรค์ หมายถึง กระบวนการที่บคุ คลไวต่อปัญหา ขอ้ บกพร่อง ช่องวา่ งในดา้ นความรู้ สิ่งท่ี ขาดหายไป หรือสิ่งท่ีไมป่ ระสานกนั และไวต่อการแยกแยะ ส่ิงต่างๆ ไวต่อการคน้ หาวิธีการแกไ้ ขปัญหา ไว ตอ่ การเดาหรือการต้งั สมมติฐานเกี่ยวกบั ขอ้ บกพร่อง ทดสอบและทดสอบอีกคร้ังเก่ียวกบั สมมติฐาน จนใน ที่สุดสามารถนาเอาผลที่ไดไ้ ปแสดงใหป้ รากฏแก่ผอู้ ่ืนได”้ จินตนาการ หมายถึง จินตนาการ หมายถึง กระบวนการคิดสร้างภาพในสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ไม่เคย ทราบมาก่อน คลา้ ยกบั การคาดเดา คาดหมายว่าสิ่งน้นั น่าจะเป็นอย่างไร เป็ นการคิดในส่ิงที่แปลกใหม่ท่ีจะ นาไปสู่กระบวนการสร้างสรรคส์ ่ิงใหม่ อาจเป็นการเพอ้ ฝันที่เหนือจริงโดยไม่มีขอ้ มูล หลกั ฐานมาสนบั สนุน หรือ คิดฝันโดยมีหลกั ฐาน ขอ้ มูลหรือขอ้ เท็จจริงเป็ นฐาน แลว้ อาศยั เหตุผลและผลมาประกอบ ซ่ึงแมจ้ ะยงั ไม่เป็นจริงในขณะน้นั แต่กอ็ าจเป็นจริงไดใ้ นอนาคต ทักษะ หมายถึง ความสามารถในการทางานไดอ้ ย่างคล่องแคล่ว ว่องไว รวดเร็ว ถูกตอ้ ง แม่นยา และ ความชานาญในการปฏิบตั ิจนเป็นท่ีเชื่อถือและยอมรับ ศิลปะ หมายถึง การใชค้ วามคิดสร้างสรรคใ์ นการต่อเส้นแบบชุดฝึ กของนักเรียนช้นั มธั ยมปี ที่ 2 โรงเรียน ชุมชนวดั ท่าเด่ือและผลแห่งความคิดสร้างสรรคข์ องมนุษยท์ ี่แสดงออกมาในรูปลกั ษณะต่างๆ ให้ปรากฏซ่ึง สุนทรียภาพ ความประทบั ใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และทกั ษะของบุคคลแต่ ละคน นอกจากน้ียงั มีนกั ปราชญ์ นกั การศึกษา ทา่ นผรู้ ู้ไดใ้ หน้ ิยามความหมายของศิลปะแตกตา่ งกนั ออกไป ศิลปะ คือ การเลียนแบบธรรมชาติ การแสดงออกของบุคลิกภาพทางอารมณ์ของมนุษย์ การส่ือสาร อย่างหน่ึงระหว่างมนุษย์ การระบายความปรารถนาในใจของศิลปิ นออกมา การแสดงออกของผลงาน ดา้ นตา่ งๆที่สร้างสรรค์ จากความหมายและคานิยามทางศิลปะท่ีไดน้ ามากล่าวอา้ งไวข้ า้ งตน้ จะเห็นได้ว่าผลงานที่เรียกกนั ว่าเป็ น งานศิลปะจะตอ้ งเป็ นงานที่มีการสร้างสรรค์ ไม่ใช่เกิดข้ึนมาเองกล่าวคือ “จะตอ้ งมีมนุษยเ์ ป็ นผสู้ ร้างสรรค์ ผลงานน้นั ๆ

บทท่ี 2 เอกสารงานทเี่ กย่ี วข้อง ความคดิ สร้างสรรค์กบั การเรียนรู้ งานวิจยั ที่เก่ยี วช้อง การพฒั นาแผนการเรียนรู้ท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการปฏิบตั ิโดยใชส้ ่ือภาพเคลื่อนไหวเรื่องการเขยี นลาย ไทย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ศิลปะ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 / การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ ของ สุชาติ พิพฒั น์ การพฒั นาแผนการจดั การเรียนรู้ทา่ ราวงมาตรฐานโดยประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีพหุปัญญากลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 / การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ ของ กนกวรรณ จนั สด ผลการเรียนรู้แบบกล่มุ ร่วมมือดว้ ยเทคนิค STAD เร่ืองการวาดภาพเชิงสร้างสรรคก์ ล่มุ สาระการเรียนรู้ ศิลปะช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 / การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ ของ วบิ ูลย์ จรูญพนั ธุ์ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซ่ึงมีความสามารถในการคิดไดห้ ลากหลายและ แปลกใหม่จากเดิม โดยสามารถนาไปประยุกตท์ ฤษฎี หรือหลกั การไดอ้ ยา่ งรอบคอบและมีความถูกตอ้ ง จน นาไปสู่การคิดคน้ และสร้างสิ่งประดิษฐ์ท่ีแปลกใหม่หรือรูปแบบความคิดใหม่ นอกจากลกั ษณะการคิด สร้างสรรค์ดังกล่าวน้ีแล้ว ยงั มีสามารถมองความคิดสร้างสรรค์ในหลาย ซ่ึงอาจจะมองในแง่ท่ีเป็ น กระบวนการคิดมากกว่าเน้ือหาการคิด โดยที่สามารถใชล้ กั ษณะการคิดสร้างสรรคใ์ นมิติท่ีกวา้ งข้ึน เช่นการ มีความคิดสร้างสรรค์ในการทางาน การเรียน หรือกิจกรรมท่ีตอ้ งอาศยั ความคิดสร้างสรรค์ดว้ ย อย่างเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือการเล่นกีฬาท่ีตอ้ งสร้างสรรค์รูปแบบเกมให้หลากหลายไม่ซ้าแบบเดิม เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู่รู้ทนั เป็ นตน้ ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ ่าเป็ นลกั ษณะการคิดสร้างสรรคใ์ นเชิงวิชาการ แต่อยา่ งไรก็ ตาม ลกั ษณะการคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ท่ีกล่าวน้นั ต่างก็อยู่บนพ้ืนฐานของความคิดสร้างสรรค์ โดยที่บุคคล สามารถเช่ือมโยงนาไปใช้ในชีวิตประจาวนั ไดด้ ี ซ่ึงหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ได้กาหนดมาตรฐานตวั ช้ีวดั ด้านความคิดสร้างสรรค์ไวใ้ นกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยไี วห้ ลายประการ ซ่ึงความคดิ สร้างสรรค์ ควรจะประกอบไปดว้ ย 3 ประการ คือ 1. สิ่งใหม่ (new, original) เป็ นการคิดท่ีแหวกวงลอ้ มความคิดที่มีอยู่เดิม ท่ีไม่เคยมีใครคิดไดม้ าก่อน ไม่ไดล้ อกเลียนแบบใคร แมก้ ระทง่ั ความคดิ เดิมๆ ของตนเอง 2.ใช้การได้ (workable) เป็ นความคิดท่ีเกิดจากการสร้างสรรค์ที่ลึกซ้ึง และสูงเกินกว่าการใช้เพียง \"จินตนาการเพอ้ ฝัน\" คือ สามารถนามาพฒั นาใหเ้ ป็นจริง และใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และสามารถ ตอบสนองวตั ถปุ ระสงค์ ของการคิดไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3. มีความเหมาะสม เป็นความคิดท่ีสะทอ้ นความมีเหตุมีผล ท่ีเหมาะสม และมีคุณคา่ ภายใตม้ าตรฐานท่ี ยอมรับกนั โดยทว่ั ไป

การท่ีคนเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ ไดต้ ามลกั ษณะที่กล่าวมาน้นั ข้ึนอยูก่ บั ศกั ยภาพการทางาน และการพฒั นาของสมอง ซ่ึงสมองของคนเรามี 2 ซีก มีการทางานที่แตกต่างกนั สมองซีกซา้ ย ทาหนา้ ที่ใน ส่วนของการตดั สินใจ การใชเ้ หตุผล สมองซีกขวา ทาหนา้ ที่ในส่วนของการสร้างสรรค์ แมส้ มองจะทางาน ต่างกัน แต่ในความเป็ นจริงแลว้ สมองท้ังสองซีก จะทางานเชื่อมโยงไปพร้อมกัน ในแทบทุกกิจกรรม ทางการคิด โดยการคิดสลับกนั ไปมา อย่างเช่น การอ่านหนังสือ สมองซีกซ้ายจะทาความเขา้ ใจ โครงสร้าง ประโยค และไวยากรณ์ ขณะเดียวกนั สมองซีกขวากจ็ ะทาความเขา้ ใจ เก่ียวกบั ลีลาการดาเนินเร่ือง อารมณ์ท่ี ซ่อนอยู่ในขอ้ เขียน ดงั น้นั เราจึงจาเป็นตอ้ งพฒั นาสมองท้งั สองซีกไปพร้อมๆ กนั ไม่สามารถแยกพฒั นาใน แต่ละดา้ นได้ การคน้ พบหนา้ ที่แตกต่างกนั ของสมองท้งั สองส่วน ช่วยให้สามารถใชป้ ระโยชน์จากไดม้ าก ข้ึน ในการพฒั นาสมองของผเู้ รียน ใหใ้ ชไ้ ดอ้ ย่างเตม็ ศกั ยภาพ ผ่านการจดั การเรียนการสอนน้นั ควรจดั อย่างสมดุล ให้มีการพฒั นาสมองท้งั สองซีกไปดว้ ยกนั ในเวลาเดียวกนั เพื่อใหผ้ เู้ รียนเกิดความสมดุลในการ คดิ และคดิ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ไมเ่ อนเอียงไปใน หลกั การเหตุผล มากเสียจนติดอยู่ในกรอบ ของความคิดแบบเดิม และไม่ใช่การคิดดว้ ยการใชจ้ ินตนาการ เพอ้ ฝันมากเกินไป จนไมม่ ีความสัมพนั ธ์กนั ระหวา่ งความฝัน กบั ความสมเหตุสมผล ซ่ึงจะทาให้ไม่สมารถ นามาปฏิบตั ิให้เป็ นจริงได้ ฉะน้ัน จะเห็นไดว้ ่า การคิดสร้างสรรค์ จึงพ่ึงพาท้งั สมองซีกซ้าย และขวาควบคู่ กนั ไป ลกั ษณะความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์เป็ นลกั ษณะความคิดแบบอเนกนัย(Divergent Thinking)คือการคิดหลายๆแง่ หลายๆทาง คดิ ใหม้ ากท่ีสุดเท่าท่ีจะนึกได้ เป็นการมองปัญหาในแนวกวา้ งเหมือนกบั แสงอาทิตยท์ ่ีแผร่ ัศมีออ กรอบดา้ น คนท่ีมีความคดิ สร้างสรรคน์ ้นั จะเป็น คนท่ีมี 1. ความคิดริเริ่ม(Originality) คอื มีความคิดที่แปลกใหม่ต่างจากความคิดธรรมดาของคนทว่ั ๆไป 2. มีความคิดยดื หยนุ่ (Flexibility) คอื มีความสามารถในการคิดหาคาตอบไดห้ ลายทิศทางหลายแง่หลายมุม 3. มีความคิดคล่องแคล่ว(Fluency) คือสามารถคิดหาคาตอบไดอ้ ย่างคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็ว และได้ คาตอบมากที่สุดในเวลาท่ีจากดั 4. มีความคิดละเอียดลออ(Elaboration) คือการคิดไดใ้ นรายละเอียดเพ่ือขยายหรือตกแต่งความคิดหลกั ให้ ไดค้ วามหมายท่ีสมบรู ณ์ยงิ่ ข้นึ กระบวนการคิดสร้างสรรค(์ Creative process) กระบวนการคิดสร้างสรรคค์ ือ วิธีคิดหรือกระบวนการทางานของสมองท่ีมีข้นั ตอนต่างๆในการคิด แกป้ ัญหาจนสาเร็จ ซ่ึงมีหลายแนวคิดเช่น

Wallas ไดเ้ สนอวา่ กระบวนการของความคิดสร้างสรรคเ์ กิดจากการคดิ ส่ิงใหม่ๆโดยการลองผดิ ลอง ถกู ประกอบดว้ ย 4 ข้นั ตอนคอื 1. ข้นั เตรียมการ คือการขอ้ มูลหรือระบุปัญหา 2. ข้นั ความคดิ กาลงั ฟักตวั คือการอยใู่ นความสบั สนวนุ่ วายของขอ้ มลู ท่ีไดม้ า 3. ข้นั ความคิดกระจ่างชดั คือข้นั ท่ีความคิดสับสนได้รับการเรียบเรียงและเชื่อมโยงเขา้ ดว้ ยกัน ทาให้เห็น ภาพรวมของความคิด 4. ข้นั ทดสอบความคิดและพสิ ูจน์ใหเ้ ห็นจริง คือข้นั ท่ีรับความคดิ เห็นจากสามข้นั แรกขา้ งตน้ มาพิสูจน์วา่ จริง หรือถูกตอ้ งหรือไม่ Hutchinson มีความคิดคล้ายๆกันว่าความคิดสร้างสรรค์น้ันเป็ นกระบวนการเชื่อมโยงความรู้ที่มีอยู่เข้า ดว้ ยกนั อนั จะนาไปสู่การแกป้ ัญหาใหมท่ ่ีคิดใชเ้ วลาการคิดเพียงส้ันๆอยา่ งรวดเร็วหรือยาวนานก็อาจเป็นไป ได้ โดยมีลาดบั การคดิ ดงั น้ี 1. ข้นั เตรียมเป็นการรวบรวมประสบการณ์ มีการลองผิดลองถกู และต้งั สมมุติฐานเพอ่ื แกป้ ัญหา 2. ข้นั ครุ่นคดิ ขดั ขอ้ งใจ เป็นระยะท่ีมีอารมณ์เครียด อนั สืบเนื่องจากการครุ่นคิด แต่ยงั คดิ ไม่ออก 3. ข้นั ของการเกิดความคิด เป็นระยะท่ีเกิดความคิดในสมอง เป็นการมองเห็นวธิ ีแกป้ ัญหาหรือพบคาตอบ 4. ข้นั พิสูจน์ เป็ นระยะการตรวจสอบประเมินผลโดยใช้เกณฑ์ต่างๆเพื่อดูคาตอบท่ีคิดออกมาน้ันเป็ นจริง หรือไม่ ความคิดแขง็ น้นั จะมีคาตอบที่ถูกหรือผิดอย่างแน่นอน แต่ความคิดออ่ นน้นั อาจมีคาตอบท่ีถูกหลายอยา่ ง ซ่ึง ฟอนโอชไดก้ ล่าวถึงกระบวนการคิดสร้างสรรคไ์ วว้ ่าประกอบดว้ ย 2 ข้นั ตอนคือ กระบวนการเพาะตวั และ กระบวนการปฏิบตั ิการ โดยกระบวนการเพาะตัวเป็ นการสร้างความคิดใหม่ ในขณะท่ีกระบวนการปฏิบตั ิการเป็ นการใช้ ความคิดท่ีคดิ ข้ึนมาไปปฏิบตั ิงานจริง ความคิดอยา่ งอ่อนเป็นส่ิงท่ีเหมาะสมสาหรับกระบวนการเพาะตวั ซ่ึง เป็นระยะท่ีกาลงั มองหาความคิดใหม่ๆ เป็นการมองท่ีกวา้ งๆเพื่อหาวธิ ีการต่างๆมาใชเ้ พื่อการแกป้ ัญหา ส่วน ความคิดอย่างแขง็ น้นั มกั ใชใ้ นช่วงการปฏิบตั ิงานจริงๆ เมื่อตอ้ งการประเมินความคิดและขจดั สิ่งต่างๆที่ไม่ เก่ียวขอ้ งโดยตรงในการแกป้ ัญหาออกไป ตรวจดูผลดีผลเสียและความเสี่ยงรวมท้งั การเตรียมที่จะเปล่ียน ความคดิ ใหเ้ ป็นการกระทาดว้ ย

ประโยชน์ของความคดิ สร้างสรรค์ · ทาใหเ้ กิดความเปล่ียนแปลง ทาใหเ้ กิดแนวทางใหมๆ่ ในการดาเนินชีวิตและหนทาง ใหม่ๆในการแกป้ ัญหาชีวติ และการทางาน · ก่อใหเ้ กิดความสนุก เป็นธรรมดาของมนุษยท์ ี่ตอ้ งคน้ หาวธิ ีการคิดใหม่ๆข้ึนมาทดแทน ความคิดเก่าๆสาหรับโลกท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว การที่มนุษยต์ อ้ งคิดอะไรใหม่ๆอยู่เสมอยอ่ มเป็น เร่ืองสนุกเพราะทาใหช้ ีวิตไมจ่ าเจ · พฒั นาสมองของคนใหม้ ีความฉลาดเฉียบคม การฝึกการคิดหรือพยายามคดิ เรื่องที่ แปลกๆใหม่ๆเป็นประจา จะทาใหเ้ กิดความเฉียบแหลมในการคิดแกป้ ัญหาตา่ งๆเพมิ่ ข้ึน · สร้างความเชื่อมน่ั ความน่านบั ถือและความพอใจในตวั เองข้ึนมา เม่ือใดกต็ ามท่ีเรา พฒั นาขีดความสามารถในการคิดสร้างสรรคจ์ นสามารถเผชิญหน้าและแกป้ ัญหาต่างๆไดอ้ ย่างราบร่ืน ก็จะ กลายเป็นผนู้ าทางดา้ นความคิดและเกิดความภมู ิใจในตนเอง นอกจากน้ีความคิดสร้างสรรคย์ งั ช่วยยกระดบั ความสามารถ ความอดทนและความคิดริเริ่มของผนู้ าให้เพ่ิม มากข้ึนและยงั เป็ นการพฒั นาความสนใจในงาน พฒั นาการใชเ้ วลาว่างให้เป็ นประโยชน์และพฒั นาชีวิตให้ ทนั สมยั มากข้นึ อปุ สรรคของความคิดสร้างสรรค์ อุปสรรคของความคิดสร้างสรรค์น้ันสามารถแยกได้เป็ น 2 ประเภทคือ อุปสรรคภายนอกและ อุปสรรคภายใน อุปสรรคภายนอกจะหมายถึง ขอ้ จากดั อนั เกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีวฒั นธรรมและ กฏเกณฑข์ องสังคมหรือสภาพแวดลอ้ มภายนอก ส่วนอุปสรรคภายในน้ันจะหมายถึง นิสัยใจคอ ท่าทีและ ทศั นคติของคนแต่ละคน อุปสรรคภายนอกจะเกิดข้นึ ในลกั ษณะเช่น ธรรมเนียมท่ีไมเ่ ปิ ดโอกาสใหเ้ ด็กได้ ซักถามตามความอยากรู้อยากเห็น ธรรมเนียมของการชอบคิดตามอย่างกนั ซ่ึงถา้ คิดแปลกจากคนอ่ืนจะไม่ เป็นที่ยอมรับของสังคม ธรรมเนียมที่เนน้ บทบาทความแตกต่างระหวา่ งเพศอยา่ งชดั เจนในเรื่องหน้าท่ีของ หญิงและชาย วฒั นธรรมสังคมให้ค่านิยมกับความสาเร็จและไม่ยอมรับความลม้ เหลวทาให้คนไม่กลา้ ทดลองทาสิ่งใหม่ๆ การเน้นระเบียบ และกฎเกณฑ์มากเกินไปถ้าเปล่ียนแปลงเพียงเล็กน้อยก็ถือเป็ น ความผิดซ่ึงขาดความยดื หยนุ่ ทาใหไ้ มก่ ลา้ แสดงความคดิ สร้างสรรคอ์ อกมา อุปสรรคภายในท่ีเกิดข้ึนจากตวั เราเองก็ไดแ้ ก่ ความกลวั ท่ีจะถูกตาหนิติเตียนและหาวา่ แปลก ความเคยชิน การคิดแบบเดิมที่เคยทาอยู่เป็ นประจา การมีอคติหรือมีทศั นะที่คบั แคบว่าคาตอบที่ถูกตอ้ งมีเพียงคาตอบ เดียว ความเฉื่อยชาและอืดอาดในการเร่ิมคิดเริ่มทาทาให้ขาดแรงกระตุน้ ที่จะทาส่ิงใหม่ๆ สรุปว่าถา้ เรา ตอ้ งการจะพฒั นาความคิดสร้างสรรคข์ องเราให้เกิดมากข้ึนก็ตอ้ งพยายามกาจดั อุปสรรคท้งั ภายนอกและ ภายในทิ้งไปใหไ้ ดม้ ากที่สุด

การพฒั นาและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ในสมยั ก่อนเราเช่ือกนั ว่าความคิดสร้างสรรคน์ ้ันเป็ นพรสวรรคท์ ่ีติดตวั คนบางคนมาต้งั แต่เกิด แต่ พอมาถึงปัจจุบนั ท่ีเป็ นยคุ แห่งวิทยาการทาให้ความเช่ือด้งั เดิมท่ีมีเคยมีมาปรับเปล่ียนไป เพราะนกั จิตวิทยา ส่วนใหญเ่ ห็นพอ้ งตอ้ งกนั วา่ ความคดิ สร้างสรรคน์ ้นั เป็น ความสามารถท่ีมีอยใู่ นตวั มนุษยท์ ุกคนต้งั แต่เกิด เพียงแต่มีการแสดงออกหรือมีพฒั นาการมากนอ้ ยต่างกนั ไป และยงั สามารถพฒั นาเพ่ิมใหม้ ีมากข้ึนดว้ ยการฝึกฝนอยา่ งสม่าเสมอ การส่งเสริมความคิดสร้างสรรคน์ ้นั อาจทาไดท้ ้งั ทางตรงโดยการสอนและฝึ กอบรม และทางออ้ มก็ สามารถทาไดด้ ว้ ยการจดั บรรยากาศสภาพแวดลอ้ มที่ส่งเสริมความเป็นอิสระในการเรียนรู้อยา่ งเช่น · การส่งเสริมใหใ้ ชจ้ ิตนาการตนเอง · ส่งเสริมและกระตนุ้ การเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่อง · ยอมรับความสามารถและคุณคา่ ของคนอยา่ งไม่มีเง่ือนไข · แสดงใหเ้ ห็นวา่ ความคดิ ของทกุ คนมีคุณคา่ และนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ · ใหค้ วามเขา้ ใจ เห็นใจและความรู้สึกของคนอ่ืน · อยา่ พยายามกาหนดใหท้ กุ คนคิดเหมือนกนั ทาเหมือนกนั · ควรสนบั สนุนผคู้ ิดคน้ ผลงานแปลกใหมไ่ ดม้ ีโอกาสนาเสนอ · เอาใจใส่ความคดิ แปลกๆของคนดว้ ยใจเป็นกลาง · ระลึกเสมอวา่ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคต์ อ้ งค่อยเป็นค่อยไปและใชเ้ วลา เทคนคิ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคน์ ้นั มีเทคนิคท่ีใชก้ นั อยหู่ ลายวิธีการดว้ ยกนั อนั ไดแ้ ก่ · การระดมสมอง(Brainstorming) เป็นเทคนิคเพ่อื รวบรวมทางเลือกและการแกป้ ัญหา โดยให้โอกาสในการคิดอย่างอิสระท่ีสุดและไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆระหว่างการคิด เพราะการ วพิ ากษว์ ิจารณ์จะเป็นการขดั ขวางความคิดสร้างสรรค์ · การปลกู ฝังความกลา้ ท่ีจะทาส่ิงสร้างสรรค์ เป็นเทคนิคที่ใชก้ ารต้งั คาถามงา่ ยๆเพ่ือให้ ให้คิดโดยจดั ให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็ นที่ยอมรับของผูอ้ ่ืน เม่ือฝึ กฝนมากเขา้ ก็จะช่วยในการพฒั นา ความคดิ สร้างสรรคใ์ หม้ ีมากข้ึน · การสร้างความคดิ ใหม่ เป็นอีกเทคนิคหน่ึงโดยใชก้ ารแจกแจงวิธีการในการแกป้ ัญหา ใดปัญหาหน่ึงมาให้ได้ 10 วิธีการ จากน้ันก็แบ่ง 10 วิธีการท่ีไดอ้ อกเป็ นวิธีการย่อยๆลงไปอีก เพื่อให้ได้ ทางเลือกหรือคาตอบท่ีดีที่สุด · การตรวจสอบความคิด เป็นเทคนิคที่ใชก้ ารคน้ หาความคิดหรือแนวทางท่ีใชใ้ นการ แกป้ ัญหาตา่ งๆ โดยการตรวจสอบความคดิ ของผทู้ ่ีเคยทาไวแ้ ลว้

การคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ กิลฟอร์ด ไดก้ ล่าวถึงบุคลิกภาพของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ว่า จะตอ้ งมีความฉับไวที่รู้ปัญหา และมองเห็นปัญหา มีความว่องไวและสามารถจะเปลี่ยนความคิดใหม่ๆได้ง่าย ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าการ แกป้ ัญหาเป้นกิจกรรมที่สาคญั ยงิ่ ของชีวิตท่ีตอ้ งทาให้สาเร็จลุลว่ งจึงจะทาให้ชีวิตสามารถดาเนินไปไดอ้ ย่าง มีความสุข ดงั น้นั จึงมีความจาเป็นที่จะตอ้ งเรียนรู้วิธีการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ โดยปกติคนเราทว่ั ไปมกั เลือกวิธีการท่ีจะเลี่ยงปัญหามากกว่าการเผชิญปัญหา ซ่ึงถ้าคนเรารู้จักท่ีจะเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรคก์ จ็ ะมีชีวิตท่ีสนุกสนานร่าเริงและความสุขมากยง่ิ ข้ึน การคดิ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคน์ ้นั ประกอบไปดว้ ยกระบวนการคดิ 4 ข้นั ตอนคอื · การคน้ หาความหมายของปัญหา ขนั ตอนน้ีจะมีความสาคญั มาก เพราะถา้ เรารู้วา่ อะไร คือปัญหาท่ีแทจ้ ริง ก็สามารถหาหนทางในการแกไ้ ดต้ รงมากข้ึน อีกท้งั ทาใหเ้ กิดความมนั่ ใจมองเห็นปัญหา ไดท้ ะลปุ รุโปร่ง อนั จะทาใหไ้ ดค้ าตอบท่ีชดั เจนและเป็นการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคด์ ว้ ย · การเปิ ดใจกวา้ งเพอื่ นาไปสู่วธิ ีการแกไ้ ขปัญหา นกั คดิ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคจ์ ะทา การคดั เลือกความคิดเห็นและขอ้ มูลต่างๆไวเ้ ป็นจานวนมากก่อนท่ีจะพิสูจน์แยกแยะให้ไดค้ วามคิดเห็นท่ีดี ท่ีสุด ดังน้ันคนเราจึงตอ้ งแสวงหาและเปิ ดประตูสู่ความคิดไมว่าจะเป็ นจากการอ่าน การสังเกตและการ ทางานร่วมกนั · การพสิ ูจน์แยกแยะใหไ้ ดค้ วามคดิ เห็นท่ีดีท่ีสุด การคิดแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคน์ ้นั มกั ตอ้ งใช้วิธีแกป้ ัญหาหรือคาตอบท่ีดีกว่าหรือมากกว่าวิธีการแกป้ ัญหาหรือคาตอบที่ไดม้ าคร้ังแรกเพียง อย่างเดียว เพราะความคิดเห็นและขอ้ มูลท่ีสาคญั ๆน้นั มีอย่อู ย่างมากมาย จึงจาเป็นท่ีจะตอ้ งพยายามให้ไดม้ า ซ่ึงความคิดเห็นท่ีดีท่ีสุดโดยการแยกแยะและคดั เลือกออกมาเพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ีดีที่สุด · การเปล่ียนความคดิ เห็นใหเ้ ป็นการกระทา จุดมงุ่ หมายสาคญั ของการแกป้ ัญหากค็ อื การเปล่ียนแปลงความคิดเห็นไปสู่การปฏิบตั ิจริง คนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์แต่ไม่เคยนาไปสู่การ ปฏิบตั ิ ซ่ึงกระบวนการคิดสร้างสรรคน์ ้นั ไมไ่ ดจ้ บลงแค่คดิ ในใจ การเปล่ียนความคดิ ไปสู่การปฏิบตั ิน้นั ตอ้ ง เอาชนะอุปสรรคหลายอย่าง เช่นความไม่มน่ั ใจในตวั เอง ความขลาดกลวั และตอ้ งมีความมุ่งมนั่ เด็ดเด่ียวใน ความเพียรไม่ว่าจะใชเ้ วลานานสักเท่าใด ก็จะไม่แปรเปล่ียนความคิดสร้างสรรคท์ ี่ไดเ้ พาะตวั เป็นรูปร่างและ ติดตามจนกระทงั่ เกิดความสมบูรณ์ในทางปฏิบตั ิ

การสอนของครูเพื่อพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ ในการสอนของครูเพ่อื พฒั นาความคิดสร้างสรรค์ ควรจดั การเรียนการสอนท่ีใชว้ ิธีการท่ีเหมาะสม ดงั นี้ 1. การสอน (Paradox) หมายถึง การสอนเก่ียวกบั การคิดเห็นในลกั ษณะความคิดเห็นท่ีขดั แยง้ ในตวั มนั เอง ความคิดเห็นซ่ึงคา้ นกบั สามญั สานึก ความจริงท่ีสามารถเชื่อถือหรืออธิบายได้ ความเห็นหรือความเช่ือที่ฝัง ใจมานาน ซ่ึงการคิดในลกั ษณะดงั กลา่ ว นอกจากจะเป็นวิธีการฝึกประเมินค่าระหว่างขอ้ มูลที่แทจ้ ริงแลว้ ยงั ช่วยให้คิดในส่ิงท่ีแตกต่างไปจากรูปแบบเดิมที่เคยมี เป็นการฝึ กมองในรูปแบบเดิมให้แตกต่างออกไป และ เป็ นส่งเสริมความคิดเห็นไม่ให้คลอ้ ยตามกนั (Non – Conformity) โดยปราศจากเหตุผล ดงั น้นั ในการสอน ของครูจึงควรกาหนดให้นักศึกษารวบรวมขอ้ คิดเห็นหรือคาถาม แล้วให้นักศึกษาแสดงทักษะดว้ ยการ อภิปรายโตว้ าที หรือแสดงความคดิ เห็นในกลุ่มยอ่ ยก็ได้ 2. การพิจารณาลกั ษณะ (Attribute) หมายถึง การสอนให้นักศึกษา คิดพิจารณาลกั ษณะต่าง ๆ ท่ีปรากฏอยู่ ท้งั ของมนุษย์ สัตว์ ส่ิงของ ในลกั ษณะท่ีแปลกแตกตา่ งไปกวา่ ท่ีเคยคดิ รวมท้งั ในลกั ษณะท่ีคาดไมถ่ ึง 3. การเปรียบเทียบอุปมาอุปมยั (Analogies) หมายถึง การเปรียบเทียบสิ่งของหรือสถานการณ์การณ์ท่ี คลา้ ยคลึงกนั แตกต่างกนั หรือตรงกนั ขา้ มกนั อาจเป็นคาเปรียบเทียบ คาพงั เพย สุภาษิต 4. การบอกส่ิงที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็ นจริง (Discrepancies) หมายถึง การแสดงความคิดเห็น บ่งช้ีถึงส่ิงที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ผิดปกติไปจากธรรมดาทวั่ ไป หรือส่ิงที่ยงั ไมส่ มบรู ณ์ 5. การใชค้ าถามยวั่ ยแุ ละกระตนุ้ ใหต้ อบ (Provocative Question) หมายถึงการต้งั คาถามแบบปลายเปิ ดและใช้ คาถามท่ียวั่ ยุ เร้าความรู้สึกใหช้ วนคดิ คน้ ควา้ เพอ่ื ความหมายท่ีลึกซ้ึงสมบรู ณ์ที่สุดเทา่ ท่ีจะเป็นได้ 6. การเปล่ียนแปลง (Example of change) หมายถึง การฝึกใหค้ ดิ ถึงการ เปลี่ยนแปลงดดั แปลงการปรับปรุงส่ิงต่าง ๆ ท่ีคงสภาพมาเป็นเวลานานใหเ้ ป็นไปในรูปอ่ืน และเปิ ดโอกาส ใหเ้ ปล่ียนแปลงดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ อยา่ งอิสระ 7. การเปลี่ยนแปลงความเชื่อ (Exchange of habit) หมายถึง การฝึ กให้นักศึกษาเป็ นคนมีความยืดหยุ่น ยอมรับความเปล่ียนแปลง คลายความยดึ มนั่ ต่าง ๆ เพื่อปรับตนเขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ ๆ ไดด้ ี 8. การสร้างสิ่งใหม่จากโครงสร้างเดิม (An organized random search) หมายถึง การฝึ กใหน้ กั ศึกษารู้จกั สร้าง สิ่งใหม่ กฎเกณฑใ์ หม่ ความคิดใหม่ โดยอาศยั โครงสร้างเดิมหรือกฎเกณฑ์เดิมท่ีเคยมี แต่พยายามคิดพลิก แพลงใหต้ า่ งไปจากเดิม 9. ทกั ษะการคน้ ควา้ หาขอ้ มลู (The skill of search) หมายถึง การฝึกเพอื่ ใหน้ กั ศึกษารู้จกั หาขอ้ มูล 10. การคน้ หาคาตอบคาถามท่ีกากวมไม่ชดั เจน (Tolerance for ambiguity) เป็นการฝึ กให้นกั ศึกษามี ความอดทนและพยายามท่ีจะคน้ ควา้ หาคาตอบต่อปัญหาที่กากวม สามารถตีความได้เป็ นสองนัย ลึกลบั รวมท้งั ทา้ ทายความคดิ 11. การแสดงออกจากการหยง่ั รู้ (invite expression) เป็นการฝึ กให้รู้จกั การแสดงความรู้สึก และความคิด ท่ี เกิดจากสิ่งที่เร้าอวยั วะรับสัมผสั ท้งั หา้

12. การพฒั นาตน (adjustment for development) หมายถึง การฝึกให้รู้จกั พจิ ารณาศึกษาดูความ ลม้ เหลว ซ่ึงอาจเกิดข้ึนโดยต้งั ใจหรือไม่ต้งั ใจ แลว้ หาประโยชน์จากความผิดพลาดน้ันหรือขอ้ บกพร่องของตนเอง และผอู้ ื่น ท้งั น้ีใชค้ วามผดิ พลาดเป็นบทเรียนนาไปสู่ความ-สาเร็จ 13. ลกั ษณะบุคคลและกระบวนการคดิ สร้างสรรค์ (creative person and creative) หมายถึง การศึกษาประวตั ิ บุคคลสาคญั ท้งั ในแง่ลกั ษณะพฤติกรรมและกระบวนการคิดตลอดจนวิธีการ และประสบการณ์ของบุคคล น้นั 14. การประเมินสถานการณ์ (a creative reading skill) หมายถึง การฝึ กให้หาคาตอบโดยคานึงถึงผลที่ เกิดข้ึนและความหมายเก่ียวเนื่องกนั ดว้ ยการต้งั คาถามวา่ ถา้ ส่ิงเกิดข้นึ แลว้ จะเกิดผลอยา่ งไร 15. พฒั นาทกั ษะการอ่านอย่างสร้างสรรค์ (a creative reading skill) หมายถึง การฝึ กให้รู้จกั คิดแสดง ความคิดเห็น ควรส่งเสริมและใหโ้ อกาสเด็กไดแ้ สดงความคิดเห็นและความรู้สึกตอ่ เรื่องที่อ่านมากกว่าจะมุ่ง ทบทวนขอ้ ตา่ งๆ ท่ีจาไดห้ รือเขา้ ใจ 16. การพฒั นาการฟังอย่างสร้างสรรค์ (a creative listening skill ) หมายถึง การฝึ กให้เกิดความรู้สึก นึกคิดในขณะท่ีฟัง อาจเป็นการฟังบทความ เร่ืองราวหรือดนตรี เพ่ือเป็นการศึกษาขอ้ มูล ความรู้ ซ่ึงโยงไป หาส่ิงอ่ืน ๆ ต่อไป 17. พฒั นาการเขียนอยา่ งสร้างสรรค์ ( a creative writing skill ) หมายถึง การฝึก ใหแ้ สดงความคดิ ความรู้สึก การจินตนาการผา่ นการเขยี นบรรยายหรือพรรณนาใหเ้ ห็นภาพชดั เจน 18. ทกั ษะการมองภาพในมิติต่างๆ (Visualization skill) หมายถึง การฝึกใหแ้ สดงความรู้สึกนึกคิดจาก ภาพในแงม่ ุม แปลกใหม่ ไมซ่ ้าเดิม หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยี เนน้ เรื่องการให้ผูเ้ รียนมีความคิดสร้างสรรคใ์ นการทางาน และการออกแบบผลิตชิ้นงานท้งั ใน แง่ของความสวยงาม ประโยชนใ์ ชส้ อยและการสร้างมลู ค่าเพ่มิ อยา่ งไรก็ตาม การสอนให้นกั เรียนคิดไดน้ ้นั ก่อนจะคิดไดน้ ักเรียนตอ้ งมีขอ้ มูลเพียงพอที่จะใชเ้ ป็ น ฐานความคดิ ท่ีไดจ้ ากการจา ฉะน้นั การจายงั เป็นสิ่งสาคญั ในการสอนอยเู่ สมอ Edit this page (if you have permission) | Google Docs -- Web word processing, presentations and spreadsheets. งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง การพฒั นาจินตนาการดว้ ยสีน้าของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5 งานวจิ ยั ในช้นั เรียน การส่งเสริมและพฒั นาการวาดภาพและความคดิ สร้างสรรคผ์ วู้ ิจยั ครูนนั ฑกาญจน์ คาสุวรรณ์ ความหมายของความคดิ สร้างสรรค์ ทอร์แรนซ์ กล่าวว่า “ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง กระบวนการที่บุคคลไวต่อปัญหา ขอ้ บกพร่อง ช่องวา่ งในดา้ นความรู้ ส่ิงที่ขาดหายไป หรือส่ิงที่ไม่ประสานกนั และไวต่อการแยกแยะ สิ่งต่างๆ ไวต่อการ

คน้ หาวิธีการแกไ้ ขปัญหา ไวต่อการเดาหรือการต้งั สมมติฐานเกี่ยวกบั ขอ้ บกพร่อง ทดสอบและทดสอบอีก คร้ังเก่ียวกบั สมมติฐาน จนในที่สุดสามารถนาเอาผลที่ไดไ้ ปแสดงใหป้ รากฎแก่ผอู้ ื่นได”้ กิลฟอร์ด กล่าวว่า “ความคิดสร้างสรรค์เป็ นความสามารถทางสมองในการคิดหลายทิศทาง ซ่ึงมี องคป์ ระกอบความสามารถในการริเร่ิม ความคล่องในการคิด ความยดื หยุ่นในการคิด และความสามารถใน การแต่งเติมและใหค้ าอธิบายใหม่ท่ีเป็นการติดตามหลกั เหตุผลเพื่อหาคาตอบท่ีถูกตอ้ งเพียงคาตอบเดียง แต่ องค์ประกอบที่สาคญั ท่ีสุดของความคิดสร้างสรรค์คือความคิดริเร่ิม นอกจากน้ี กิลฟอร์ดเช่ือว่า ความคิด สร้างสรรคไ์ ม่ใช่พรสวรรคท์ ่ีบุคคลมี แตเ่ ป็นคุณสมบตั ิที่มีอยใู่ นตวั บุคคลซ่ึงมีมากนอ้ ยไม่เท่ากนั และบุคคล แสดงออกมาในระดบั ต่างกนั ” นอกจากน้ี กิลฟอร์ด (Guilford, 1959 : 145 – 151, อา้ งจาก กรรณิการ์ สุขุม , 2533 ไดศ้ ึกษาลกั ษณะ พ้นื ฐานของผทู้ ่ีมีความคดิ สร้างสรรค์ ซ่ึงมาท้งั หมด 5 ประการ ดงั น้ี 1. ความรู้สึกไวต่อปัญหา หมายถึง บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมีความสามารถในการจดจา ปัญหาต่างๆ รวมท้ังความสามารถในการเขา้ ถึงหรือการทาความเข้าใจเกี่ยวกับส่ิงท่ีเข้าใจผิด ส่ิงที่ขาด ขอ้ เท็จจริง ส่ิงท่ีเป็ นมโนทศั น์ท่ีผิดหรืออุปสรรคต่างๆ ที่ยงั มืดมนอยู่ ซ่ึงพอจะสรุปไดว้ ่า ความรู้สึกไวต่อ ปัญหาของบุคคลเป็นส่ิงที่สาคญั ท่ีสุด เพราะบุคคลจะไม่สามารถแกป้ ัญหาจนกว่าเขาจะไดร้ ู้วา่ ปัญหาน้นั คือ อะไร หรืออยา่ งนอ้ ยเขาจะตอ้ งรู้วา่ เขากาลงั ประสบปัญหาอยู่ 2. ความคล่องในการคิด หมายถึง บุคคลท่ีมีความคิดสร้างสรรค์จะมีความสามารถในการผลิต แนวความคิดจานวนมากในเวลาอนั รวดเร็ว แลว้ เลือกแนวความคิดที่ดีท่ีสุดมาใช้แก้ปัญหา สิ่งที่แสดง ลักษณะพิเศษของความคล่องในการคิด นอกจากการผลิตแนวความคิดท่ีมากมายและรวดเร็วแล้ว แนวความคิดที่ผลิตข้ึนมาใหม่น้ันควรจะเป็ นแนวความคิดท่ีแปลงใหม่ และดีกว่าแนวความคิดท่ีอยู่ใน ปัจจุบนั นอกจากน้ัน บุคคลท่ีไดช้ ื่อว่ามีความคล่องในการคิด จะตอ้ งมีความสามารถปรับเปล่ียนทิศทางใน การคิดไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3. ความคิดริเร่ิม หมายถึง บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมีความสามารถในการคน้ หาแนวทาง ใหม่ๆ หรือวิธีการแปลงๆ แตกต่างกนั ออกไปมาใชใ้ นการแกป้ ัญหา ความคิดริเริ่มเป็ นส่ิงที่จาเป็ นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวงการธุรกิจ ผูบ้ ริหารจาเป็ นที่จะตอ้ งแสวงหาแนวทางใหม่ๆ มาแก้ปัญหาท่ีเปลี่ยนแปรไป นอกจากจะตอ้ งแสวงหาแนวทางใหม่ๆ แลว้ ยงั จาเป็ นจะตอ้ งปรับปรุงแนวทางใหม่ๆ เหล่าน้ีมาช่วยแกไ้ ข ปัญหาท่ีคิดข้ึนในสภาพการณ์ใหมๆ่ ดงั น้นั นกั บริหารจาเป็นจะตอ้ งสร้าง “ความคิดริเริ่ม” ใหเ้ กิดข้นึ ที่กล่าว ว่าความคิดริเริ่มเป็ นสิ่งท่ีจาเป็ นสาหรับนกั บริหารในวงการธุรกิจ ก็เนื่องมาจากว่าการประกอบธุรกิจน้ันมี การแข่งข้นั กันมาก โดยเฉพาะในด้านการผลิตสินค้าให้เป็ นที่ตอ้ งการของตลาด ให้มีความแปลงกใหม่ คุณภาพดี และราคาถกู ซ่ึงความคิดริเร่ิมจะช่วยแกป้ ัญหาต่างๆ เหลา่ น้ีไดม้ าก 4. ความยดื หยนุ่ ในการคิด หมายถึง บคุ คลที่มีความคิดสร้างสรรคจ์ ะมีความสามารถในการหาวธิ ีการ หลายๆ วิธีมาแกไ้ ขปัญหา แทนท่ีจะใช้วิธีการใดวิธีการหน่ึงเพียงวิธีเดียว บุคคลที่มีความยืดหยุ่นในการคิด จะจดจาวิธีแกป้ ัญหาท่ีเคยใชไ้ มไ่ ดผ้ ลท้งั น้ี เพ่ือท่ีจะไมน่ ามาใชซ้ ้าอีก แลว้ พยายามเลือกหาวิธีการใหมท่ ี่คิดว่า

แกป้ ัญหาไดม้ าแทน ซ่ึงความยดื หยุน่ ในการคิดจะมีความสัมพนั ธ์อย่างใกลช้ ิดกบั ความคล่องในการคิดนนั่ คือ ความยืดหยุ่นในการคิดและความคล่องในการคิดจะเป็ นความสามารถของบุคคลในการหาวิธีการคิด หลายๆ วิธีเพอื่ ใชใ้ นการแกป้ ัญหา เป็นความจริงที่วา่ บคุ คลสร้างแนวความคดิ หรือวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาได้ 20 – 30 วิธี เพื่อใช้ในการแกป้ ัญหาซ่ึงจะได้ผลดีกว่าบุคคลที่หาวิธีการแกไ้ ขปัญหาเพียง 2 – 3 วิธีและใช้ไม่ ไดผ้ ล ดงั น้ัน ถา้ บุคคลจะพฒั นาหรือปรับปรุงความยืดหยุ่นในการคิด ก็จะกระทาได้โดยการพยายามหา วิธีการแกป้ ัญหาหลายๆ วิธีและวเิ คราะห์ปัญหาในหลายมุมมอง ซ่ึงจะช่วยใหเ้ ขาพฒั นาความยดื หยุ่นทางการ คดิ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 5. แรงจูงใจ หมายถึง บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรคส์ ูงมกั มีแรงจูงใจสูง เพราะแรงจูงใจเป็นลกั ษณะ สาคญั ของบุคคลในการที่จะแสงตนว่าเป็ นผูท้ ่ีมีความคิดสร้างสรรค์ แรงจูงใจน้ีสามารถทาให้บุคคลกล่าว แสดงความพิเศษที่ไม่เหมือนใครออกมาอย่างเต็มท่ี หรืออาจจะมากกวา่ คนอื่นๆ บุคคลท่ีมีแรงจูงใจสูงน้ี จะ ใหค้ วามสนใจในการหาแนวทางแกป้ ัญหาดว้ ยความกระตือรือลน้ และสิ่งที่ผลกั ดนั ใหเ้ กิดความกระตือรือลน้ ก็คือ แรงจูงใจ เน่ืองจากแรงจูงใจเป็นสิ่งที่สาคญั ของการตระเตรียมปัญหา เราพบวา่ ความสาเร็จในชีวิตส่วน ใหญจ่ ะข้นึ อยกู่ บั แรงจูงใจ เทยเลอร์และฮอลแ์ ลนด์ ช้ีใหเ้ ห็นวา่ คนท่ีมีความคิดสร้างสรรคม์ กั จะมีแรงจูงใจสูง ในการที่จะทาใหผ้ ลผลิตดีข้ึนดว้ ย ทฤษฎีความคิดสร้างสรรคข์ องทอร์แรนซ์ อี พอล ทอร์แรนซ์ (E. Paul Torrance) นิยามความคิดสร้างสรรคว์ า่ เป็นกระบวนการของความรู้สึกไว ต่อปัญหา หรือสิ่งท่ีบกพร่องขาดหายไปแล้วรวบรวมความคิดต้งั เป็ นสมมติฐานข้ึน ต่อจากน้ันก็ทาการ รวบรวมขอ้ มูลต่างๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานน้นั กระบวนการเกิดความคิดสร้างสรรคต์ ามทฤษฎีของทอร์แรนซ์ สามารถแบ่งออกเป็น 5 ข้นั ดงั น้ี 1. การคน้ หาขอ้ เท็จจริง (Fact Finding) เริ่มจากการความรู้สึกกงั วล สับสนวุน่ วาย แต่ยงั ไม่สามารถ หาปัญหาไดว้ า่ เกิดจากอะไร ตอ้ งคดิ วา่ สิ่งท่ีทาใหเ้ กิดความเครียดคอื อะไร 2. การคน้ พบปัญหา (Problem – Finding) เม่ือคดิ จนเขา้ ใจจะสามารถบอกไดว้ า่ ปัญหาตน้ ตอคืออะไร 3. กลา้ คน้ พบความคิด (Ideal – Finding) คิดและต้งั สมมติฐาน ตลอดจนรวบรวมขอ้ มูลต่างๆ เพื่อ ทดสอบความคดิ 4. การคน้ พบคาตอบ (Solution – Finding) ทดสอบสมมติฐานจนพบคาตอบ 5. การยอมรับจากการค้นพบ (Acceptance – Finding) ยอมรับคาตอบท่ีค้นพบและคิดต่อว่าการ คน้ พบจะนาไปสู่หนทางที่จะทาให้เกิดแนวความคิดใหม่ต่อไปท่ีเรียกว่า การทา้ ทายในทิศทางใหม่ (New Challenge)

บคุ คลท่มี คี วามคดิ สร้างสรรค์ (Creative Person) หมายถึง ลกั ษณะพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกมา แมคินนอน (Mackinnon, 1960) ได้ศึกษา คุณลกั ษณะของผูท้ ่ีมีความคิดสร้างสรรค์ พบว่าผูท้ ่ีมีความคิดสร้างสรรค์จะเป็ นผูท้ ่ีต่ืนตวั อยู่ตลอดเวลา มี ความสามารถในการใชส้ มาธิ มีความสามารถในการพินิจวิเคราะห์ ความคิดถี่ถว้ นเพื่อใชใ้ นการแกป้ ัญหา และมีความสามารถในการสอบสวน คน้ หารายละเอียดเก่ียวกับเรื่ องใดเร่ืองหน่ึงอย่างละเอียดกวา้ งขวาง คุณลักษณะอีกประการหน่ึงก็คือ เป็ นผูท้ ่ีเปิ ดรับประสบการณ์ต่างๆ อย่างไม่หลีกเลี่ยง (Openness to Experience) ชอบแสดงออกมามากกว่าท่ีจะเก็บกดไว้ และยงั กล่าวเพ่ิมเติมว่า สถาปนิกที่มีความคิด สร้างสรรคส์ ูงมกั เป็ นคนที่รับรู้ส่ิงต่างๆ ไดด้ ีกวา่ สถาปนิกท่ีมีความคิดสร้างสรรคต์ ่า กรีสวอลด์ (Griswald, 1966) ยงั พบวา่ บุคคลดงั กล่าวจะมองเห็นลู่ทางที่จะแกป้ ัญหาไดด้ ีกวา่ เนื่องจากมีความต้งั ใจจริง มีการรับรู้ เร็วและง่าย และมีแรงจูงใจสูง ฟรอมม์ (Fromm, 1963) กลา่ วถึงลกั ษณะของคนที่มีความคิดสร้างสรรคไ์ วค้ อ่ นขา้ งละเอียดดงั น้ี 1. มีความรู้สึกท่ึง ประหลายใจที่พบเห็นของใหม่ท่ีน่าท่ึง (Capacity of be puzzled) หรือประหลาดใจ สนใจส่ิงท่ีเกิดข้ึนใหม่ หรือของใหม่ๆ 2. มีสมาธิสูง (Ability to Concentrate) การที่จะสร้างส่ิงใดก็ได้ คิดอะไรออกก็ตอ้ งไตร่ตรองในเรื่อง น้นั เป็นเวลานาน ผทู้ ่ีสร้างสรรคจ์ าเป็นจะตอ้ งมีความสามารถทาจิตใจใหเ้ ป็นสมาธิ 3. สามารถที่จะยอมรับส่ิงท่ีไม่แน่นอนและเป็ นส่ิงที่เป็นขอ้ ขดั แยง้ และความตึงเครียดได้ (Ability to accept conflict and tension) 4. มีความเต็มใจท่ีจะทาส่ิงต่างๆ ที่เกิดข้ึนใหม่ทุกวนั (Wllingness to be born everyday) คือ มีความ กลา้ หายและศรัทธาที่จะผจญต่อสิ่งแปลงใหมท่ กุ วนั บารอนและเวลซ์ (Baron and Welsh, 1952) พบว่า คนที่มีความคิดสร้างสรรค์น้ันชอบคิดอย่าง ซบั ซอ้ น และสนุกตื่นเตน้ กบั การคน้ ควา้ สิ่งตา่ งๆ ตลอดเวลา แกริสัน (Garison, 1954) ไดอ้ ธิบายถึงลกั ษณะของผทู้ ่ีมีความคดิ สร้างสรรคไ์ วด้ งั น้ี 1. เป็ นคนที่สนใจในปัญหา ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ไม่ถอยหนีปัญหาท่ีจะเกิดข้ึน แต่กลา้ ที่จะ เผชิญปัญหา กระตือรือร้น ท่ีจะแก้ไขปัญหาตลอดจนหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฒั นาตนและงานอยู่ เสมอ 2. เป็ นคนมีความสนใจกวา้ งขวาง ทนั ต่อเหตุการณ์รอบด้านตอ้ งการการเอาใจใส่ในการศึกษาหา ความรู้จากแหล่งต่างๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ พร้อมท้งั ยอมรับขอ้ คิดเห็นจากขอ้ เขียนท่ีมีสาระประโยชน์ และนา ขอ้ มลู เหล่าน้นั มาประกอบใชพ้ จิ ารณาปรับปรุงพฒั นางานของตน 3. เป็นคนที่ชอบคิดหาทางแกป้ ัญหาไดห้ ลายๆ ทาง เตรียมทางเลือกสาหรับแกไ้ ขปัญหาไวม้ ากกวา่ 1 วิธีเสมอ ท้งั น้ีเพื่อจะช่วยใหม้ ีความคล่องตวั และประสบผลสาเร็จมากข้ึน เพราะการเตรียมทางแกไ้ วห้ ลายๆ ทางยอ่ มสะดวกในการเลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกบั สถานการณ์ได้ และยงั เป็นการประหยดั เวลาและเพ่ิมกาลงั ใจ ในการแกไ้ ขปัญหาดว้ ย

4. เป็ นคนที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ท้งั ร่างกายและจิตใจ หรือสุขภาพกายดีสุขภาพจิตก็ดีนั่นเอง ท้งั น้ีเพราะมีการพกั ผอ่ นหย่อนใจอย่างเพยี งพอ และมีความสนใจตอ่ สิ่งใหมท่ ่ีพบ และยงั เป็นช่างซักถามและ จดจาไดด้ ี ทาใหส้ ามารถนาขอ้ มูลท่ีจดจามาใชป้ ระโยชน์ไดด้ ี จึงทาใหง้ านดาเนินไปไดด้ ว้ ยดี 5. เป็ นคนที่ยอมรับและเชื่อในบรรยากาศและสภาพแวดลอ้ มวา่ มีผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ ดงั น้นั การจดั บรรยากาศและสภาพแวดลอ้ มว่า มีผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรคด์ งั น้นั การจดั บรรยากาศ สถานที่ สิ่งแวดลอ้ มที่เหมาะสม จะสามารถขจดั สิ่งรบกวนและอุปสรรค ทาใหก้ ารพฒั นาการคิดสร้างสรรค์ เป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ ทอร์แรนซ์ ไดส้ รุปลกั ษณะของบุคคลที่มีความคดิ สร้างสรรคส์ ูง จากผลการศึกษาของ สเตนน์และเฮนซ์ (Stein and Heinze, 1690) ซ่ึงไดศ้ ึกษาบุคลิกภาพของเด็กที่มีความคิดสร้างสรรคส์ ูง โดย เปรียบเทียบกับเกณฑ์ซ่ึงเป็ นแบบวดั บุคลิกภาพ Minnesota Multiphasic Personality Inventory (MMPI), Thematic Apperceprtion (TAT), แบบวัดบุคลิกภาพของรอร์ชาจ (Rorschach) และอ่ืนๆ ซ่ึ งได้สรุ ป บุคลิกภาพท่ีสาคญั ๆ ของบคุ คลท่ีมีความคิดสร้างสรรคส์ ูงไว้ 46 ประการ ดงั น้ี 1. มีความสามารถในการตดั สินใจ 2. มีความเป็นอิสระในดา้ นการคิด 3. มีอารมณ์อ่อนไหวและเป็นคนออ่ นโยน 4. มีความกลา้ ท่ีจะคิดในส่ิงท่ีแปลงใหม่ 5. มีแนวคดิ ค่อนขา้ งซบั ซอ้ น 6. มีความคิดเห็นรุนแรง 7. มีความเชื่อมน่ั ในตนเองสูง 8. มีความพยายามที่จะทางานยากๆ หรืองานที่ตอ้ งแกป้ ัญหา 9. มีความจาแมน่ ยา 10. มีความรู้สึกไวต่อสิ่งสวยงาม 11. มีความซ่ือสตั ยแ์ ละรักความเป็นธรรม 12. มีความเป็นอิสระในการตดั สินใจ 13. มีความต้งั ใจจริง 14. มีความสามารถในการหยงั่ รู้ 15. มกั จะกลา้ หาญและชอบการผจญภยั 16. มกั จะใชเ้ วลาใหเ้ ป็นประโยชน์ 17. มกั จะคาดคะเนหรือเดาเหตกุ ารณ์ล่วงหนา้ 18. มกั จะช่วยเหลือและใหค้ วามรู้แก่ผอู้ ื่น 19. มกั จะตอ่ ตา้ นในส่ิงที่ไม่เห็นดว้ ย 20. มกั จะทาผิดขอ้ บงั คบั และกฎเกณฑ์

21. มกั จะวเิ คราะห์วจิ ารณ์สิ่งท่ีพบเห็น 22. มกั จะทางานผดิ พลาด 23. มกั จะทาในสิ่งแปลกๆ ใหมๆ่ 24. มกั จะรักสันโดษ 25. มกั จะเห็นแก่ประโยชนข์ องผอู้ ื่นมากกวา่ ประโยชนข์ องตนเอง 26. มกั ใหค้ วามสนใจกบั ทุกสิ่งท่ีอยรู่ อบตวั 27. มกั จะอยากรู้อยากเห็น 28. มกั จะยอมรับในสิ่งท่ีไม่เป็นระเบียบ 29. มกั จะไมท่ าตามหรือเลียนแบบผอู้ ่ืน 30. มกั จะหมกมนุ่ ในปัญหา 31. มกั จะด้ือดึงและหวั แขง็ 32. มกั จะช่างซกั ถาม 33. มกั จะไม่สนใจในสิ่งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ 34. มกั จะไม่ยอมรับความคดิ ของผอู้ ื่นโดยง่าย 35. มกั จะกลา้ แสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกบั ผอู้ ื่น 36. มกั จะรักและเตม็ ใจเส่ียง 37. มกั จะไม่เบื่อท่ีจะทากิจกรรม 38. มกั จะไม่ชอบทาตวั เด่น 39. มกั จะมีความสามารถในการหยง่ั รู้ 40. มกั จะพอใจในผลงานที่ทา้ ทาย 41. มกั จะไม่เคยเป็นศตั รูของใคร 42. มกั จะต่อตา้ นกฎระเบียบต่างๆ ท่ีไม่ถกู ตอ้ ง 43. มกั จะวางเป้าหมายใหก้ บั ชีวิตตนเอง 44. มกั จะตอ่ ตา้ นการกระทาที่รุนแรงต่างๆ 45. มกั จะจริงใจกบั ทุกๆ คน 46. มกั จะเล้ียงตนเองไดโ้ ดยท่ีไมต่ อ้ งพ่ึงพาผอู้ ื่น ผลผลิตสร้างสรรค์ (Creative Product) ลกั ษณะของผลผลิตน้ัน โดยเน้ือแท้เป็ นโครงสร้างหรือรูปแบบของความคิดที่ได้แสดงกลุ่ม ความหมายใหม่ออกมาเป็นอิสระตอ่ ความคดิ หรือส่ิงของท่ีผลิตข้นึ ซ่ึงเป็นไปไดท้ ้งั รูปธรรมและนามธรรม นิวเวลล์ ชอว์ และซิมป์ สัน (Newell, show and Simpson, 1963) ไดพ้ ิจารณาผลผลิตอนั ใดอนั หน่ึงท่ี จดั เป็นผลผลิตของความคดิ สร้างสรรค์ โดยอาศยั หลกั เกณฑต์ ่อไปน้ี

1. เป็นผลผลิตท่ีแปลงใหมแ่ ละมีค่าตอ่ ผคู้ ิดสงั คมและวฒั นธรรม 2. เป็นผลผลิตท่ีไม่เป็นไปตามปรากฎการณ์นิยมในเชิงที่วา่ มีการคิดดดั แปลงหรือยกเลิกผลผลิต หรือ ความคดิ ท่ีเคยยอมรับกนั มาก่อน 3. เป็นผลผลิตซ่ึงไดร้ ับจากการกระตนุ้ อยา่ สูงและมนั่ คง ดว้ ยระยะยาวหรือความพยายามอยา่ งสูง 4. เป็นผลผลิตท่ีไดจ้ ากการประมวลปัญหา ซ่ึงคอ่ นขา้ งจะคลุมเครือและไมแ่ จ่มชดั สาหรับเรื่องคุณภาพของผลผลิตสร้างสรรคน์ ้นั เทเลอร์ (Tayler, 1964) ไดใ้ ห้ขอ้ คิดเกี่ยวกบั ความคิด สร้างสรรคข์ องคนวา่ ไมจ่ าเป็นตอ้ งเป็นข้นั สูงสุดยอดหรือการคน้ ควา้ ประดิษฐ์ของใหม่ข้นึ มาเสมอไป แต่ผล ของความคดิ สร้างสรรคอ์ าจจะอยใู่ นข้นั ใดข้นั หน่ึงตอ่ ไปน้ี โดยแบ่งผลผลิตสร้างสรรคไ์ วเ้ ป็นข้นั ๆ ดงั น้ี 1. การแสดงออกอย่างอิสระ ในข้นั น้ีไม่จาเป็ นตอ้ งอาศยั ความคิดริเร่ิมและทกั ษะข้นั สูงแต่อย่างใด เป็นเพยี งแตก่ ลา้ แสดงออกอยา่ งอิสระ 2. ผลิตงานออกมาโดยท่ีงานน้นั อาศยั บางประการ แต่ไม่จาเป็นตอ้ งเป็นสิ่งใหม่ 3. ข้นั สร้างสรรคเ์ ป็นข้นั ท่ีแสดงถึงความคิดใหม่ของบุคคลไม่ไดล้ อกเลียนมาจากใคร แมว้ ่างานน้นั อาจจะมีคนอ่ืนคิดเอาไวแ้ ลว้ กต็ าม 4. ข้นั คดิ ประดิษฐ์อยา่ งสร้างสรรค์ เป็นข้นั ที่สามารถคิดประดิษฐส์ ่ิงใหมข่ ้ึน โดยไม่ซ้าแบบใคร 5. เป็นข้นั การพฒั นาผลงานในข้นั ที่ 4 ใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน 6. เป็ นข้นั ความคิดสร้างสรรค์สูงสุด สามารถคิดส่ิงท่ีเป็ นนามธรรมข้นั สูงได้ เช่น ชาร์ลส์ ดาร์วิน คิดคน้ ทฤษฎีววิ ฒั นาการ ไอสไตน์ คดิ ทฤษฎีสัมพนั ธภาพข้ึน เป็นตน้ เทคนิคการพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ 1. เทคนิคความกลา้ ท่ีจะริเร่ิม จากการวิจยั พบวา่ ความคิดสร้างสรรคต์ ่า สามารถปลูกฝังและส่งเสริม ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์สูงข้ึนได้ ดว้ ยการถามคาถาม และให้โอกาสไดค้ ิดคาตอบในสภาพแวดลอ้ มท่ี ปลอดภยั เป็ นที่ยอมรับของผูอ้ ื่น สามารถพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดข้ึนได้ แมบ้ ุคคลที่มีความคิดว่า ตนเองไม่มีความคิดสร้างสรรคก์ ส็ ามารถสร้างความคดิ สร้างสรรคใ์ หเ้ กิดข้นึ ดว้ ยการฝึกฝน 2. เทคนิคการสร้างความคิดใหม่ เป็นวิธีการหน่ึงท่ีใชก้ ารแกไ้ ขปัญหา สมิท (Smith, 1958) ไดเ้ สนอ วิธีการสร้างความคิดใหม่ โดยการให้บุคคลแจกแจงแนวทางที่สามารถใชใ้ นการแกป้ ัญหาใดปัญหาหน่ึงมา 10 แนวทาง จากน้ันจึงแบ่งแนวทางเหล่าน้ันออกเป็ นแนวทางย่อยๆ ลงไปอีก โดยเหตุผลที่ว่าบุคคลมกั จะ ปฏิเสธไม่ยอมรับความคิดแรกหรือสิ่งแรกผา่ นเขา้ มาในจิตใจ แต่จะพยายามบงั คบั ให้จิตใจแสดงทางเลือก อ่ืนๆ อีก หลกั การของสมิธ มีลกั ษณะเป็นผสมผสานหรือการคดั เลือกคาตอบ หรือทางเลือกต่างๆ แลว้ สร้าง ข้นึ เป็นคาตอบหรือทางเลือกท่ีดีท่ีสุดในการแกป้ ัญหา 3. เทคนิคการระดมพลงั สมอง เป็ นเทคนิควิธีหน่ึงในการแก้ปัญหาของออสบอร์น (Alex Osborn) จุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้บุคคลมีความคิดหลายทาง คิดไดค้ ล่องในช่วงเวลาจากดั โดยการให้บุคคลเป็ น

กลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ จดรายการความคิดต่างๆ ที่คิดไดโ้ ดยๆ ไม่คานึงถึงการประเมินความคิด แต่เน้น ปริมาณความคิด คิดให้ไดม้ าก คิดให้แปลง หลงั จากไดร้ วบรวมความคิดต่างๆ แลว้ จึงค่อยประเมินเลือกเอา ความคิดท่ีดีท่ีสุดมาใชใ้ นการแกป้ ัญหาและจดั ลาดบั ทางเลือกหรือทางแกป้ ัญหารองๆ ไวด้ ว้ ย หลกั เกณฑใ์ นการระดมสมอง 3.1 ประวงิ การตดั สินใจ เมื่อบุคคลเสนอความคิดข้ึนมา จะไม่มีการวิพากษ์ วิจารณ์ หรือตดั สินความคิดใดๆ ท้งั สิ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดท่ีเห็นว่าดี มีคุณภาพ หรืออาจมีประโยชน์นอ้ ยก็ตาม การตดั สินใจยงั ไม่กระทา ในตอนเริ่มตน้ คดิ 3.2 อิสระทางความคิด บุคคลมีอิสระที่จะคิดหาคาตอบ หรือเสนอความคิด ความคิดยงิ่ แปลงแตกต่างจากผอู้ ื่นยง่ิ เป็น ความคดิ ท่ีดี เพราะความคดิ แปลกแยกอาจนาไปสู่ความคดิ ริเริ่ม 3.3 ปริมาณความคิด บุคคลยง่ิ คดิ ไดม้ าก ไดเ้ ร็ว ยง่ิ เป็นท่ีตอ้ งการส่งเสริมและกระตุน้ ใหบ้ ุคคลคดิ มากๆ ไดย้ งิ่ ดี 3.4 การปรุงแตง่ ความคิด ความคดิ ท่ีไดเ้ สนอไวท้ ้งั หมด นามาประมวลกนั แลว้ พจิ ารณาตดั สินจดั ลาดบั ความสาคญั ของ ความคดิ โดยใชเ้ กณฑก์ าหนดในเรื่องของเวลา บุคคลงบประมาณ ประโยชน์ เป็นตน้ จากการทดลองใชว้ ิธีระดมสมองของพานส์ และมีโด ในการหาวิธีการแกป้ ัญหาปรากฏว่า กลุ่มท่ีใช้ เทคนิคระดมพลงั สมอง มีความคิดแกป้ ัญหาไดม้ าก และไดผ้ ลกวา่ กลุ่มท่ีออกความคิดเห็นเฉพาะความคดิ ที่ดี และเก่ียวเน่ืองกันเท่าน้ัน ซ่ึงสอดคล้องกับผลการทดลองของทอร์แรนซ์ ที่ทาการทดลองกับนิสิตระดับ ปริญญาโท จานวน 100 คน โดยให้นิสิตกลุ่มที่ 1 อ่านบทความแลว้ หาที่ติขอ้ บกพร่องของบทความ ส่วน นิสิตกลมุ่ ที่ 2 อ่านแลว้ คิดเพ่ิมเติม หลงั จากน้นั ใหน้ ิสิตท้งั 2 กลุ่ม คิดหาวธิ ีการแกป้ ัญหาจากบทเรียน ปรากฏ วา่ นิสิตกลมุ่ ท่ี 2 มีความคดิ เกี่ยวกบั ปัญหาและโครงงานที่จะทาไดม้ ากและกวา้ งขวางกวา่ กลมุ่ ที่ 1 4. เทคนิคอุปมาอุปไมยความเหมือน เป็ นวิธีการท่ีกอร์ดอน (James Gordon) คิดข้ึนโดยใชห้ ลกั การ คิด 2 ประการ คือ “ทาสิ่งท่ีคุ้นเคยให้เป็ นส่ิงแปลกใหม่” และ “ทาส่ิงที่แปลงใหม่ให้เป็ นส่ิงท่ีคุ้นเคย” กล่าวคือ การคิดจากสิ่งที่บุคคลคุน้ เคย รู้จกั ไม่รู้ส่ิงท่ีแปลกใหม่ หรือยงั ไม่คุน้ เคย และในทานองเดียวกนั ก็ อาจคิดจากส่ิงที่แปลกใหม่ไม่คุน้ เคย ไม่รู้สิ่งธรรมดาหรือคุ้นเคย ซ่ึงจากความคิดลกั ษณะน้ี ทาให้นักคิด สร้างสรรคส์ ามารถสร้างสรรคผ์ ลงานท่ีแปลกใหมไ่ ดม้ าก ตวั อยา่ งเช่น “การคิดเขม็ ฉีดยา” ก็เกิดความคดิ จาก การที่ถูกยงุ กดั และดูดเลือดข้ึนมา เป็นตน้ การคิดจากส่ิงที่คุน้ เคยไปสู่สิ่งแปลกใหม่ และคิดจากสิ่งแปลกใหม่ไปสู่ส่ิงคุน้ เคย ทาไดโ้ ดยใชก้ าร เปรียบเทียบอุปมาอุปไมย จากรูปลกั ษณะหรือหนา้ ท่ีของสิ่งที่คดิ

วิธีการน้ีมักจะเน้นการแสดงความคิดและอารมณ์ผสมผสาน เพ่ือให้เกิดการกระตุ้นความคิด สร้างสรรคโ์ ดยการใชล้ กั ษณะความเหมือนหรือความคลา้ ยคลึงของสิ่งของ ซ่ึงการคิดลกั ษณะเช่นน้ี ทาให้ ความคิดเจริญงอกงาม บุคคลสามารถเขา้ ใจส่ิงใหม่ๆ ไดโ้ ดยการเปรียบเทียบกบั สิ่งเก่าที่เป็นที่รู้จกั กนั ดีแลว้ ตวั อย่างเช่น สมยั ก่อน เราเรียกรถไฟวา่ “มา้ เหลก็ ” และพยายามอา้ งถึงสิ่งท่ีรู้จกั อยตู่ ลอดเวลา เช่น มกั จะพูด วา่ “คอ้ นมีหวั ” “โต๊ะมีขา” “ถนนมีไหล่” เป็นตน้ ตวั อยา่ ง วธิ ีการคิดอปุ มาอุปไมย “สหภาพแรงงาน” ยอ้ นกลบั ไปใน ค.ศ. 1930 สหภาพแรงงานเปรียบเทียบไดก้ บั สาวสวยอายุ 21 ปี เธอมีรูปร่างหนา้ ตาดี บุคลิกชวนมอง และเธอมีแรงดึงดูดใหค้ นเป็นจานวนมากกว่าปกติถึง 40 ปอนด์ ใบหนา้ เห่ียวย่นและรูปร่าง ไมเ่ อาไหนเลย แตป่ ัญหาก็คือ เธอยงั คดิ เธออายเุ พยี ง 21 ปี เท่าน้นั วธิ ีการคิดอปุ มาอปุ ไมย จากลกั ษณะความเหมือนมีดงั น้ี 1. เปรียบเทียบความเหมือนโดยตรง (Direct Analog) เป็ นเปรียบเทียบในรูปลกั ษณะที่เป็ นจริงท้งั ความรู้และเทคโนโลยีในสิ่งท่ีนามาพิจารณา ตวั อย่างเช่น Sir March Isumbard Brunel สังเกตหนอนชนิด หน่ึงที่ขดุ รูอยเู่ ป็นทางยาวคลา้ ยๆ ทอ่ ตามตน้ ไม้ ตวั เขาเองกาลงั คิดสร้างทอ่ น้าใตด้ ินอยู่ จึงคดิ เปรียบเทียบท่อ น้าใหญ่ และรังของหนอนมีลกั ษณะคลา้ ยกนั แต่มีวิธีการสร้างรังของหนอนเป็ นท่ีน่าสังเกต เพราะมนั มี อวยั วะท่ีใชข้ ุดไชเขา้ ไปในเน้ือเป็ นรูปยาวคลา้ ยรังหนอนไดเ้ หมือนกนั การเปรียบเทียบลกั ษณะน้ีทาให้เขา ประดิษฐ์เครื่องขดุ ท่อใตด้ ินไดส้ าเร็จ 2. การเปรียบเทียบความรู้สึกของตนเอง (Personal Analog) การนาเอาส่ิงของสถานการณ์เขา้ มาเป็ น ความรู้สึกของตนเอง โดยทาให้ตนเองเขา้ มามีบทบาทไปตามสถานการณ์น้นั อาจจะทาให้ตวั เราสามารถ หาทางแก้ปัญหาได้ เช่น นักเคมี อาจคิดเทียบตวั เองเป็ นเหมือนโมเลกุลของธาตุชนิดหน่ึงที่พยายามทา ปฎิกิริยาของธาตอุ ื่น ฟาราเดยไ์ ดพ้ ยายามทาความเหมือนของตนเองใหเ้ ขา้ ไปอยใู่ นใจกลางของสารนาไฟฟ้า เพอื่ ที่จะทาใหเ้ ห็นลกั ษณะของอะตอมไดโ้ ดยสร้างภาพความคิด หรือเคคคลู (Kekule) พยายามคิดวา่ ตนเองมี ความรู้สึกเหมือนงูท่ีกาลงั กินหางตนเอง ขณะท่ีเขากาลงั คิดถึงลกั ษณะโมเลกุลของเบนซิงริง ซ่ึงมีความน่าจะ เป็นมากกวา่ โมเลกลุ ของคาร์บอนที่มีอะตอมจบั กนั เป็นลกู โซ่เป็นตน้ 3. การเปรียบเทียบกบั สัญลกั ษณ์ (Symbolic Analog) เป็ นการเปรียบเทียบส่ิงต่างๆ หรือปัญหาหรือ สถานการณ์ให้เป็ นไปในลกั ษณะของสัญลกั ษณ์ ซ่ึงอาจเป็ นการใช้ภาษาแต่งเป็ นโคลง ฉันท์กาพยก์ ลอน หรือ ขอ้ ความบรรยายแสดงออกซ่ึงความมีสุนทรียภาพ การใช้สัญลักษณ์ในการเปรียบเทียบมักจะได้ ความคิดท่ีฉบั พลนั ทนั ที และไดภ้ าพพจนช์ ดั เจน 4. การเปรียบเทียบโดยใชค้ วามคิดฝัน (Fantastic Analog) ทุกคนมีความปรารถนาหรือความใฝ่ฝันใน บางส่ิงบางอย่างซ่อนเร้นอย่ภู ายในใจเสมอ บางคร้ังความคิดฝันน้นั อาจถ่ายทอดออกมาเป็นสิ่งประดิษฐ์ท่ีมี คณุ คา่ ในบางคร้ังความคดิ ฝันอาจนาไปสู่วิธีการแกป้ ัญหาที่แทจ้ ริงได้ โดยเราไม่พะวงว่าความคิดน้นั จะตอ้ ง เป็ นจริ งเสมอไป

การใชก้ ระบวนการอุปมาอุปไมย เพื่อเสริมสร้างพลงั ทางความคิดสร้างสรรคจ์ าเป็นจะตอ้ งมีการฝึ ก เปรียบเทียบความคิดเปรียบเทียบ เพ่ือนาสิ่งที่แปลงใหม่เข้าสู่แนวความคิดในการแก้ไขปัญหา หรือ สร้างสรรคผ์ ลงานที่มนุษยต์ อ้ งการเพอ่ื การดารงชีวิตที่ดีข้ึน ข้นั ตอนการฝึกการคดิ เปรียบเทียบอปุ มาอุปไมย ข้นั ที่ 1 นาเขา้ สู่แนวคดิ เปรียบเทียบส่ิงที่กาหนดใหว้ า่ เหมือนอะไร เช่น คาถาม ที่เหลาดินสอเหมือนกบั อะไร คาตอบ รถตดั หญา้ เครื่องบด ปลาหมึก กวา้ น สมอเรือ ข้นั ท่ี 2 เปรียบเทียบโดยตรงเปรียบเทียบ ไดว้ า่ เหมือนอยา่ งไร เช่น รถตดั หญา้ เหมือนที่เหลาดินสออยา่ งไร ข้นั ท่ี 3 เปรียบเทียบกบั ความรู้สึกของตนเองใชค้ วามรู้สึกตนเอง เช่น ถา้ เป็นตน้ หญา้ ท่านจะรู้สึกอยา่ งไร ข้นั ท่ี 4 เปรียบเทียบวา่ เหมือนอยา่ งหน่ึง แตไ่ ม่เหมือนกบั อีกสิ่งหน่ึง เช่น หยดน้าฝนเหมือนน้าตา แต่ไมเ่ หมือนเมฆ เป็นตน้ 5. เทคนิคการคิดอย่างมีประสิทธิภาพ การคิดอย่างมีประสิทธิภาพเพ่ือสู่การพัฒนาความคิด สร้างสรรค์เป็ นความคิดของ เอด็ เวิด เดอ โบโน (Edward De Bono) นกั จิตวิทยาและศาสตราจารยท์ างเภสัช แห่งมหาวิทยาลยั แคมบริดจ์ ประเทศองั กฤษ ไดเ้ สนอกระบวนการคิดไว้ 7 ข้นั ตอน ปรากฎวา่ เป็นท่ีนิยมใช้ แพร่หลายและใหไ้ ดผ้ ลดี เดอโบโน ยงั ไดก้ ล่าวไวว้ ่า การคิดอย่างสร้างสรรคน์ ้นั เกิดจากการคิดแกป้ ัญหาใน ชีวิตประจาวนั โดยใชเ้ คร่ืองฝึกคดิ 7 ข้นั ก็จะเพ่ิมประสิทธิภาพการคดิ อยา่ งสร้างสรรคข์ องบุคคลได้ และเดอ โบโน ยงั ไดจ้ ดั ใหม้ ีการคิดอยา่ งสร้าง ข้นั ท่ี 1 ให้สนใจท้งั ดา้ นบวกและดา้ นลบ หรือเรียกยอ่ ๆ วา่ PMI ข้นั แรกน้ีให้เริ่มคิด มองส่ิงต่างๆ ให้ กวา้ งขวาง โดยไม่จากดั เฉพาะสิ่งใดสิ่งหน่ึงก่อน ตวั อยา่ งเช่น ให้ทา่ นมองดูรอบๆ หอ้ งท่ีนงั่ อยู่แลว้ บอกวา่ มี อะไรบา้ งท่ีมีสีแดง เสร็จแลว้ ให้หลบั ตาแลว้ ถามตนเองวา่ มีอะไรบา้ งที่เป็ นสีเขียว แลว้ ลืมมองดูรอบๆ อีก คร้ังหน่ึง จะพบว่าบุคคลจะตอบสิ่งที่เป็ นสีเขียวไดน้ อ้ ยมาก ท้งั น้ีเพราะบุคคลไดร้ ับคาสั่งแรกให้ดูสีแดงจึง ไม่สนใจสังเกตสีอื่นๆ ซ่ึงเขากล่าวว่าเป็ นการคิดท่ีไม่รอบคอบ และไม่กวา้ งขวาง จึงไดเ้ สนอเทคนิค PMI โดยการต้งั เป็นปัญหาหรือคาถามข้ึนมา ตวั อย่างเช่น ในการอภิปรายถกเถียงเรื่องของการออกแบบสร้างรถ ประจาทางข้ึนใหม่ โดยมีผูเ้ สนอว่าควรออกแบบชนิดท่ีไม่ตอ้ งมีท่ีนั่งเลย โดยผูโ้ ดยสารไหนก็ได้ ท่านมี ความคดิ เห็นตอ่ ขอ้ เสนอดงั กล่าวอยา่ งไรและทาไม การฝึกความคิดแบบ PMI คอื พยายามคดิ และเขยี นรายการท่ีเป็นรายการท่ีเป็นท้งั ส่วนที่ดี และส่วนที่ ไม่ดีของขอ้ เสนอให้มากท่ีสุดเท่าที่จะมากได้ รวมท้งั ขอ้ คิดท่ีเป็ นกลางๆ แต่น่าสนใจจะพบว่าจะไดท้ ้งั ขอ้ ดี และขอ้ ไม่ดีหลายขอ้ อยา่ งนอ้ ยอาจคดิ ได้ 8 – 10 ขอ้ ในช่อง 3- 4 นาที

จุดมุ่งหมายของการฝึ กคิด PMI ก็เพ่ือให้บุคคลเป็ นคนใจกว้างในการคิด มากกว่าท่ีจะคิดแบบ เฉพาะเจาะจง หรือติดอยู่กบั แนวคิดท่ีเป็ นอคติขิงตน หรือกล่าวอีกอย่างหน่ึงว่า การฝึ ก PMI เป็ นการขยาย ความต้งั ใจ ความสนใจใหก้ วา้ งขวางยงิ่ ข้นึ ป้องกนั ไมใ่ หบ้ คุ คลยดึ มนั่ ในสิ่งหน่ึงส่ิงใด โดยไม่คดิ ถึงส่ิงอ่ืนๆ ข้นั ท่ี 2 ใหพ้ ิจารณาองคป์ ระกอบท้งั หมด (Considering all factors) หรือเรียกยอ่ เรียกวา่ CAF ในข้นั น้ี มีจุดมุ่งหมายให้แน่ใจวา่ ไดค้ ิดถึงทุกๆ สิ่ง คิดถึงทุกๆ ดา้ นที่เห็นว่า สาคญั ที่จะช่วยในการตดั สินใจ ตวั อย่าง เช่น ถา้ จะซ้ือบา้ นใหม่สักหลงั หน่ึง การคิด CAF ก็ดว้ ยการต้งั คาถามกบั องค์ประกอบท่ีเก่ียวขอ้ งกบั บา้ น เป็ นตน้ ว่า ขนาดของบา้ น ราคาทิศทาง บริเวณทาเลที่ต้งั การระบายน้า เป็ นตน้ ซ่ึงคงไม่มองเฉพาะความ สวยงามมีหลายหอ้ งสีสันถูกใจเพียงเทา่ น้นั ข้ันท่ี 3 การพิจารณาถึงส่ิงที่จะเกิดข้ึนตามมา และลาดบั ท่ีจะเกิดข้ึน (Consequences and sequel) หรือ เรียกว่า C&S ทาให้เห็นแนวทางความเป็ นไปไดห้ ลายๆ ทาง หรือหลายแง่มุม กระบวนการน้ีจะช่วยในการ ตดั สินใจวา่ ทางใดดีท่ีสุดเทคนิคที่เดอ โบโน ใชน้ ้นั ก็คือ จินตนาการถึงผลท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต 4 ระยะ คือ ระยะทนั ทีทันใดหลงั กระทา ระยะส้ัน ระยะยาว คือต้ังแต่ 25 ปี ข้ึนไป ตัวอย่างเช่น คาถามว่า “อะไรจะ เกิดข้ึนถา้ เราใชน้ ้ามนั หมดแลว้ ” อะไรจะเกิดข้ึน ถา้ เราใช้เคร่ืองจกั รแทน แรงงานมนุษยใ์ นโรงงานท้งั หมด จึงจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดมาตามลาดบั การฝึก C&S จะเกิดทกั ษะนาไปประยกุ ตว์ ิธีการตดั สินใจในชีวติ ได้ ข้นั ท่ี 4 คิดถึงจุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายปลายทาง หรือวตั ถุประสงค์ เรียกยอ่ ๆ ว่า AGO คือวิธีการที่จะ ให้คดิ ดีข้ึน คือ การฝึกปฏิบตั ิเขียนรายการเหตุผลให้มากกวา่ การกระทาสิ่งใดส่ิงหน่ึงโดยเฉพาะ ตวั อย่างเช่น ในการเล่นเทนนิส ชายผูห้ น่ึงมกั แพเ้ สมอ เพราะเขาพยายามตีลกู ตบอยเู่ สมอ ทาใหล้ กู ติดตาข่ายประจา แมว้ ่า เขาจะคิดถึง “การชนะ” เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางก็ตาม แต่เขากลบั ทาใจในจุดหมายหน่ึง คือ ปรารถนาที่จะ ตีลูกอยา่ งวิเศษหรือให้มองดูว่า “เก่ง” ในการตีลูกตบเป็นตน้ การที่จุดมุ่งหมายอ่ืนเขา้ มาแทรก จึงไม่สามารถ ถึงจุดมงุ่ หมายเดิม คือ การชนะในการเล่นเทนนิสได้ เป็นตน้ ข้ันท่ี 5 ส่ิงสาคญั เป็ นอันดับแรก (First important priority) หรือเรียกย่อๆ ว่า PIP เป็ นการช่วยให้ บุคคลประเมินทางเลือกท่ีมีอยู่หลายทาง แลว้ ตดั สินใจเลือกทางท่ีดีที่สุด เช่น การตดั สินใจซ้ือของบางอย่าง เราก็คงคานึงถึงความจาเป็นท่ีสุดเป็นอนั ดบั แรกจึงตดั สินใจเป็นตน้ ส่วนใหญ่คนเรามกั จะตดั สินใจทาอะไร จากความรู้สึก ซ่ึงไม่ใช่ความคดิ ข้นั ท่ี 6 ทางเลือก ทางที่อาจเป็นไปได้ หรือการเลือก เรียกยอ่ วา่ APC ช่วยคน้ หาทางเลือกที่เป็นไปได้ เช่น ในการคิดคน้ การทาหลอดไฟฟ้าของเอดิสัน แสดงใหเ้ ห็นทางเลือกหลายๆ ทาง คือ เขาพยายามใชว้ สั ดุ แปลกๆ ไปกว่าท่ีคนอื่นเคยคิดวา่ สามารถทาไส้หลอดไฟฟ้าไดน้ ับพนั ๆ ชนิด รวมท้งั จุกไมค้ อร์ก เชือกสาย เบด็ จนในท่ีสุดประสบความสาเร็จจากเสน้ ใยคาร์บอน เป็นตน้ ข้ันท่ี 7 ความคิดเห็นจากด้านอื่นๆ หรือเรียกว่า OPV เป็ นการมองความคิดจากภายนอก หรือทา เสมือนวา่ คนภายนอกคิดอยา่ งไรต่อน้นั ๆ หรือมองปัญหาในแง่ของคนอ่ืน หรือเป็นการมองปัญหาโดย “เอา ใจเขามาใส่ใจเรา” ซ่ึงจะช่วยให้มองปัญหาและแกป้ ัญหาต่างๆ ไดด้ ีข้ึน ตวั อย่างเช่น เจา้ ของรถยนต์ไปซ้ือ วิทยุติดรถยนต์เคร่ืองใหม่ ซ่ึงผูข้ ายแนะนาว่าดีท่ีสุด เหมาะสมท่ีสุด แต่เม่ือนามาติดต้งั จริงๆ แลว้ มิได้มี

คณุ ภาพดีกวา่ เดิม เจา้ ของรถยนตโ์ มโหแลว้ และไปทวงเงินคืน แตเ่ ขาลองสมมติวา่ ถา้ เขาเป็นคนขายวิทยุ เขา จะพบวา่ ในวนั หน่ึงๆ ของคนขายตอ้ งปัญหาเกี่ยวกบั คุณภาพของวิทยุเป็ นจานวนมากราย ซ่ึงอาจผิดพลาด ได้ ดงั น้นั เขาจึงเปล่ียนใจ โดยนาเคร่ืองไปแลกเครื่องใหม่ที่มีคุณภาพดีกวา่ ซ่ึงผขู้ ายก็ไม่ไดค้ ิดเงินเพ่ิม ก็เป็น การแกป้ ัญหาท่ีดี หากไดล้ องคิดอย่างมีประสิทธิภาพ 7 ข้นั คิดถึงทุกๆ ดา้ น มองปัญหาให้ครองคลุม คดิ ถึงผลท่ีจะเกิด ตามมา ยดึ จุดประสงคป์ ลายทางไวใ้ ห้มน่ั ว่าอะไรเป็นสิ่งท่ีสาคญั อนั ดบั หน่ึง คิดถึงทางเลือกท่ีจะเป็ นไปได้ อะไรที่คนอ่ืนเขาคิด แลว้ คงช่วยในการคดิ มีประสิทธิภาพและเกิดความคดิ สร้างสรรคไ์ ด้ ความหมายของศิลปะ 1. ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ 2. ศิลปะคือรูปทรง 3. ศิลปะคือการแสดงออกซ่ึงอารมณ์ 4. ศิลปะคือการแสดงออกทางความรู้สึก คุณค่าและความหมายของศิลปะ ศิลปะเป็นคาที่มีความหมายท้งั กวา้ งและจาเพาะเจาะจง ท้งั น้ียอ่ มแลว้ แต่ทศั นะของแต่ละคน แตล่ ะสมยั ท่ีจะกาหนดแนวความคดิ ของศิลปะใหแ้ ตกตา่ งกนั ออกไป หรือแลว้ แตว่ า่ จะมีใคร นาคาวา่ \"ศิลปะ\" น้ีไปใชใ้ นแวดวงที่กวา้ งหรือจากดั อยา่ งไร ศิลปะ เป็นสิ่งที่มนุษยส์ ร้างข้ึน ในสมยั โบราณ นกั ปราชญไ์ ดใ้ หค้ วามหมายของศิลปะ (Art) ไวว้ ่า ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษยส์ ร้างข้ึน ไม่ไดเ้ ป็นส่ิงที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ เพราะฉะน้นั ตน้ ไม้ ภูเขา ทะเล น้าตก ความงดงามต่าง ๆ ตามธรรมชาติจึงไม่เป็ นศิลปะ ดอกไมท้ ่ีเห็นว่าสวยสดงดงามนักหนา ก็ไม่ไดเ้ ป็ น ศิลปะเลย ถา้ หากเรายึดถือตามความหมายน้ีแลว้ ส่ิงท่ีมนุษยส์ ร้างสร้างข้ึนท้งั หลาย ก็ลว้ นแลว้ แต่เป็ น ศิลปะท้งั สิ้น ไม่วา่ จะเป็น ภาพวาด ภาพพมิ พ์ งานป้ัน งานแกะสลกั เส้ือผา้ อาภรณ์ เคร่ืองประดบั ที่อยู่ อาศยั ยานพาหนะ เครื่องใช้สอย ตลอดจนถึงอาวุธท่ีใช้รบราฆ่าฟันกนั ก็ลว้ นแต่เป็ นศิลปะท้งั สิ้นไม่ว่า มนุษยส์ ร้างส่ิงท่ีดีงาม เลิศหรูอลงั การ หรือน่าเกลียดน่าชังอย่างไรก็ตาม ลว้ นแต่เป็ นงานศิลปะอย่างน้ัน หรือไม่ ? ศิลปะเป็ นผลงานการสร้างสรรคใ์ นสมยั ต่อมา มีผูใ้ ห้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็ นผลงาน การสร้างสรรค์ ซ่ึงในความหมายน้ี เราตอ้ งมาตีความหมายของคาว่า \"การสร้างสรรค\"์ กนั เสียก่อน การ สร้างสรรค์ หรือท่ีภาษา องั กฤษเรียกว่า \"Cerative\" น้นั คือ การทาให้เกิดบางสิ่งบางอย่างข้ึนมา ซ่ึงบาง สิ่งบางอยา่ งน้นั ไม่เคยมีอยมู่ าก่อน ท้งั ท่ีเป็นผลิตผล หรือกระบวนการ หรือความคิด ดงั น้นั ส่ิงท่ีจะเป็นงาน สร้างสรรคไ์ ดจ้ ะตอ้ งเป็นประดิษฐ์กรรมใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก หรือเป็นกระบวนการใหม่ ๆ ที่สร้าง ข้ึนมาเพ่ือกระทาการบางสิ่งบางอย่างให้ประสบผลสาเร็จ หรือเป็ นการสร้างแนวคิดใหม่ที่จะนาไปสู่ วิธีการใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ น้ีเองที่เป็ นจุดเร่ิมตน้ ของการสร้างสรรค์ เพราะแนวคิดใหม่ จะนาไปสู่การ พฒั นากระบวนการ หรือวิธีการใหม่ ๆ ที่จะนาไปสู่ผลผลิตหรือประดิษฐ์กรรมใหม่ ๆ ให้เกิดข้ึนมาในโลก

และตอบสนองความตอ้ งการในด้านต่าง ๆ ของมนุษยไ์ ด้ เพ่ือแทนที่ผลผลิต หรือประดิษฐ์กรรมเดิม ที่ ตอบสนองไดไ้ ม่พอเพียง หรือไม่เป็นที่พอใจ การสร้างสรรคใ์ นอีกความหมายหน่ึงจึงเกิดข้นึ คือ เป็นการทา ให้ดีข้ึนกวา่ เดิม ซ่ึงมีหลาย ๆ วธิ ี โดยอาจเป็นการปรับปรุงกระบวนการใหม่ ให้ไดผ้ ลผลิตมากกว่าเดิม หรือ เป็นการปรับปรุงรูปแบบผลผลิตใหม่ โดยใชว้ ธิ ีการเดิม แต่ผลผลิตมีคุณภาพมากข้ึน แต่ไม่วา่ จะเป็นรูปแบบ ใด ๆ ก็ตาม เป็ นการกระทาให้เกิดข้ึนจากการใช้แนวคิดแบบใหม่ ๆ ท้งั สิ้น และเป็ นผลของวิธีการคิดที่ เรียกวา่ \"ความคิดสร้างสรรค\"์ ความคิดสร้างสรรค์เป็ นสิ่งที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน และสามารถพัฒนาให้เกิดข้ึนได้โดยอาศัย สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมและบรรยากาศที่เอ้ืออานวย ความคิดสร้างสรรคเ์ ป็นความคิดท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั งาน ศิลปะอยา่ งแยกกนั ไมอ่ อก หรืออาจกล่าวไดว้ า่ ศิลปะเป็นผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ ดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้ ว่า ศิลปะเป็ นผลจากความคิดสร้างสรรค์ ดังน้ัน ส่ิงใดก็ตามที่มีความคิด สร้างสรรค์ ก็สามารถสร้างงานศิลปะได้ จากตอนตน้ ท่ีกล่าววา่ ศิลปะเป็ นสิ่งที่มนุษยส์ ร้างข้ึน แสดงว่า มนุษยเ์ ป็นผูม้ ีความคดิ สร้างสรรค์ และสามารถสร้างงานศิลปะได้ แต่นอกเหนือจากมนุษยแ์ ลว้ จะยงั มีส่ิงอื่น ๆ อีกหรือไม่ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ จากประวตั ิศาสตร์ของมนุษย์ และการศึกษา ค้นคว้าทาง วิทยาศาสตร์ เราจะพบวา่ สัตวโ์ ลกหลาย ๆ ชนิดมีความคิด รู้จกั ความรักและมีสัญชาตญาณ แต่สิ่งเหล่าน้นั จะ จดั เป็ นความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ สัตวท์ ้งั หลายสามารถสร้างหรือกระทาสิ่งใหม่ ๆ เพ่ือตอบสนองความ ตอ้ งการไดด้ ีกวา่ เดิมหรือไม่ รู้จกั พฒั นาแนวคิด กระบวนการ และผลผลิตใหด้ ีกวา่ เดิมหรือไม่ หากเราจะเปรียบเทียบยอ้ นหลงั ไปเมื่อหลายหม่ืน- แสนปี ก่อนหนา้ น้ีเมื่อมนุษยย์ งั อยใู่ นถ้า ยงั ไม่ สรวมเส้ือผา้ เก็บผลไมก้ ินหรือไล่จบั สัตวก์ ินเป็ นอาหารซ่ึงมีชีวิตไม่ต่างจากสัตวท์ ้งั หลายในทุกวนั น้ี แต่ ปัจจุบนั มนุษยม์ นุษยม์ ีบา้ นอยสู่ บาย มีเคร่ืองแตง่ กายสวยงาม มีสิ่งอานวยความสะดวก มาก มาย สามารถไปไดท้ ้งั บนน้า ในน้า ในอากาศและอวกาศ มีเมือง มีระบบสงั คม มีระเบียบปฏิบตั ิร่วม กนั มีกระบวนการพฒั นามนุษยท์ ่ีจะสืบทอดดารงเผ่าพนั ธุ์ต่อไป มีจริยศาสตร์ มีศาสนาและพิธีกรรม มี รูปแบบการดารงชีวิตท่ีแตกต่างกันอย่างหลกาหลาย กระจายไปทว่ั โลก ขณะท่ีสัตว์โลกอ่ืน ๆ ยงั คง ดารงชีวิตอยเู่ ดิม ๆ ท่ีมีการเปล่ียนแปลงนอ้ ยมาก ขอ้ แตกตา่ งน้ี บางทีอาจเป็นส่ิง พิสูจน์ได้ว่า มนุษย์ เป็ นผูม้ ีความคิดสร้างสรรค์ เพียงหน่ึงเดียวบนโลกน้ี ดังน้ันศิลปะจึงเป็ นเรื่องของ มนุษย์ สร้างข้ึน โดยมนุษย์ และเพื่อมนุษยเ์ ท่าน้นั จากขอ้ ความขา้ งตน้ ท่ีกล่าวมา เราอาจสรุปไดว้ า่ ศิลปะเป็นสิ่งท่ีเกิดจากการสร้างสรรคข์ องมนุษย์ ซ่ึงในความหมายเช่นน้ี แสดงวา่ ส่ิงตา่ ง ๆ ท่ีมนุษยค์ ิดคน้ กระทาข้ึนมาที่เป็นการกระทาใหม่ ๆ หรือเป็ นการกระทาส่ิงต่าง ๆให้ดีข้ึนกว่าเดิมลว้ นแต่เป็ นงานศิลปะท้งั สิ้น อย่างน้ันหรือไม่ ? ถา้ เป็ น อยา่ ง น้นั แนวคิดใหม่ ๆ วิธีการใหม่ ๆ ประดิษฐ์กรรมใหม่ ๆ ความเชื่อใหม่ ๆ ศาสนาใหม่ ๆ ตลอด จนถึงการ ดารงชีวิตแบบใหม่ อาวุธใหม่ ๆ การสร้างความหายนะให้กบั ผูอ้ ่ืนดว้ ยวิธีการใหม่ ๆ ก็เป็ น ศิลปะอยา่ งน้นั หรือ ? การทาลายลา้ งดว้ ยอาวุธใหม่ ๆ รวดเร็ว รุนแรง สร้างความเสียหายใหญ่หลวง จะถูกยกยอ่ งว่าเป็ น ผลงานศิลปะช้นั เยย่ี มหรือไม่

ศิลปะคือความงาม เมื่อเราพูดถึง ศิลปะ เรามกั จะหมายถึง ความงาม แต่ความงามในที่น้ีเป็นเรื่องของคุณค่า (Value) ที่ เป็ นคุณค่าทางสุนทรียะ แตกต่างจากคุณค่าทางเศรษฐกิจ ท่ีเป็ นราคาของวตั ถุ แต่เป็ นคุณค่าต่อจิตใจความ งามเกิดข้ึนดว้ ยอารมณ์ มิใช่ดว้ ยเหตุผล ความคิด หรือขอ้ เท็จจริง คนท่ีเคร่งครัดต่อเหตุผลหรือเพ่งเลง็ ไปท่ี คุณค่าทางวตั ถุจะไม่เห็นความงาม คนท่ีมีอารมณ์ละเอียดอ่อนไหว จะสัมผสั ความงามไดง้ ่ายและรับไดม้ าก ความงามให้ความยินดี ให้ความพอใจไดท้ นั ทีโดยไม่ตอ้ งมีเหตุผล ความยินดีน้ันเกิดข้ึนเองโดยไม่มีการ บงั คบั ความงามน้นั เก่ียวขอ้ งกบั วตั ถุก็จริง แต่มิไดเ้ ริ่มที่วตั ถุ มนั เริ่มที่อารมณ์ของคน ดงั น้นั ความงามจึง เป็ นอารมณ์ เป็ นสุขารมณ์หรือเป็ นอารมณ์ท่ีก่อให้เกิดความสุข เป็ น1 ใน 3 สิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขกับ มนุษย์ ซ่ึงไดแ้ ก่ ความดี ความงาม และความจริง ผูท้ ่ียอมรับและเห็นในคุณค่าของท้งั สามสิ่งน้ี จะเป็ นผูม้ ี ความสุข เน่ืองจากความงามเป็ นอารมณ์ เป็ นส่ิงท่ีอยู่ในความรู้สึก นึกคิด ความงามจึงเป็ นนามธรรม ดงั น้ัน การสร้างสรรค์งานศิลปะ ก็เป็ นการถ่ายทอดความงามผ่าน สื่อวสั ดุต่าง ๆ ออกมา เพื่อให้ผูอ้ ่ืนได้ สัมผสั ไดพ้ บเห็น ไดร้ ับรู้ สื่อต่าง ๆ จะเป็นตวั กระตุน้ ให้ผชู้ มเกิดอารมณ์ทางความงามท่ีแตกต่างกนั ตาม ค่านิยมของแต่ละบุคคล ความงามไม่ใช่ศิลปะ เน่ืองจากวา่ ความงามไม่จาเป็ นตอ้ งเกิดจากสิ่งที่มนุษยส์ ร้าง ข้ึน ในธรรมชาติก็มีความงามเช่นกนั เช่น บรรยากาศขณะท่ีพระอาทิตยข์ ้ึน หรือตกดิน ความสวยงามสด ช่ืนของดอกไม้ ทิวทศั น์ธรรมชาติต่าง ๆ เป็ นตน้ งานศิลปะที่ดีจะใหค้ วามพึงพอใจในความงามแก่ผชู้ ม ในข้นั แรก และจะให้ความสะเทือนใจท่ีคล่ีคลายกวา้ งขวางยิ่งข้ึนด้วยอารมณ์ทางสุนทรียะของผลงาน ศิลปะน้นั ในข้นั ต่อไป ความงามในงาน ศิลปะออกเป็น 2 ประเภท คือ 1 ความงามทางกาย (Physical Beauty) เป็ นความงามของรูปทรงท่ีกาหนดเร่ืองราว หรือเกิดจาก การประสานกลมกลืนกนั ของทศั นธาตุ เป็นผลจากการจดั องคป์ ระกอบทางศิลปะ 2 ความงามทางใจ (Moral Beauty) ได้แก่ ความรู้สึก หรืออารมณ์ที่แสดงออกมาจากงานศิลปะ หรือ ที่ผชู้ มสมั ผสั ไดจ้ ากงานศิลปะน้นั ๆ ในงานศิลปะชิ้นหน่ึง ๆ มีความงามท้งั 2 ประเภทอยู่ร่วมกนั แต่อาจแสดงออกอย่างใดอย่างหน่ึง มากนอ้ ยข้นึ อยกู่ บั ประเภทของงาน เจตนาของผสู้ ร้างและการรับรู้ของผชู้ มดว้ ย ความงามในศิลปะ เป็ นการสร้างสรรค์ลว้ น ๆ ไม่เกี่ยวขอ้ งกับความงามวตั ถุในธรรมชาติ เป็ น ความงามท่ีแสดงออกไดแ้ มใ้ นสิ่งที่น่าเกลียด หวั ขอ้ เรื่องราว หรือเน้ือหาที่ใชส้ ร้างงานน้นั อาจน่าเกลียด แต่เม่ือเสร็จแลว้ ก็ยงั ปรากฎความงามที่เกิดจากอารมณ์ที่ศิลปิ นแสดงออก ดงั น้นั ความงามจึงเป็นศาสตร์ อยา่ งหน่ึง ที่วา่ ดว้ ยความงามที่ศิลปิ นแสดงออกในงานศิลปะซ่ึงเรียกวา่ \"สุนทรียศาสตร์\" มีขอ้ ความที่ใชก้ นั มาต้งั แตส่ มยั เรอเนซองคจ์ นถึงทกุ วนั น้ีวา่ \"ศิลปะมิไดจ้ าลองความงาม แตส่ ร้างความงามข้นึ \" ดงั น้นั จึงอาจสรุปไดว้ ่า \"ศิลปะเป็ นสิ่งท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนจากความคิดสร้างสรรค์เพ่ือให้เกิดความ งาม และความพึงพอใจ\"ที่มนุษยไ์ ดส้ ร้างสรรค์สืบเน่ืองกนั มาต้งั แต่อดีตอนั ยาวนานจนถึงปัจจุบนั และจะ

สร้างสรรคส์ ืบต่อไปในอนาคตใหอ้ ยคู่ ู่กบั เผ่าพนั ธุ์มนุษยไ์ ปตราบนานเท่านาน โดยมีการสร้างสรรค์ พฒั นา รูปแบบต่าง ๆ ออกไปอยา่ งมากมายไม่มีท่ีสิ้นสุด ศิลปะในความหมายต่าง ๆ ศิลปะ แต่เดิมหมายถึง งานช่างฝี มือ เป็นงานท่ีมนุษยใ์ ชส้ ติปัญญาสร้างสรรคข์ ้ึนดว้ ย ความประณีต วิจิตรบรรจง ฉะน้ัน งานศิลปะจึงไม่ใช่สิ่งท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ แต่เป็ น ผลงานท่ีมนุษยใ์ ช้ปัญญา ความศรัทธา และความพากเพยี รพยายามสร้างสรรคข์ ้นึ มาใหม่ คาวา่ Art ตามแนวสากลน้นั มาจากคา Arti และ Arte ซ่ึงเริ่มใชใ้ นสมยั ฟ้ื นฟูศิลปวิทยา ความหมายของคา Arti น้นั หมายถึงกลุ่มช่างฝี มือในศตวรรษที่ 14 , 15 และ 16 คา Arte มีความหมายถึง ฝี มือ ซ่ึงรวมถึงความรู้ของการใช้วสั ดุของศิลปิ น ดว้ ย เช่นการ การผสมสี ลงพ้ืนสาหรับการเขียนภาพสี น้ามนั หรือการเตรียมและการใชว้ สั ดุอ่ืนอีก การจากดั ความใหแ้ น่นอนลงไปวา่ ศิลปะคอื อะไรน้นั เป็นเร่ือง ยาก เพราะว่า ศิลปะเป็ นงานสร้างสรรค์ ศิลปิ นมีหน้าที่ สร้างงานท่ีมีแนวคิดและรูปแบบแปลกใหม่อยู่ ตลอดเวลา ทฤษฎีศิลปะในสมยั หน่ึงอาจ ขดั แยง้ กบั ของอีกสมยั หน่ึงอยา่ งตรงกนั ขา้ ม และทฤษฎีเหลา่ น้นั ก็ ลว้ นเกิดข้ึนภายหลงั ผลงานสร้างสรรค์ท่ีเปลี่ยนแปลงและก้าวล้าหน้าไปก่อนแลว้ ท้งั สิ้น อย่างไรก็ตาม ทศั นะเกี่ยวกบั ความหมายของศิลปะไดถ้ กู กาหนดตามการรับรู้ และตามแนวคิดต่าง ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง โดย บคุ คลต่าง ๆ ซ่ึงพอยกตวั อยา่ งไดด้ งั น้ี ศิลปะ คือ ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยท์ ่ีแสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ปรากฏซ่ึง สุนทรียภาพ ความประทบั ใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ความอจั ฉริยภาพ พุทธิปัญญา ประสบการณ์ รสนิยมและทกั ษะของแตล่ ะคน เพอ่ื ความพอใจ ความร่ืนรมย์ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีหรือ ความเช่ือทางศาสนา ( พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน, 2530 ) ศิลปะ คอื ผลงานการสร้างสรรคร์ ูปลกั ษณ์แห่งความพึงพอใจข้ึนมา และรูปลกั ษณ์ก่อใหเ้ กิดอารมณ์ รู้สึกในความงาม อารมณ์รู้สึกในความงามน้นั จะเป็นท่ีพึงพอใจไดก้ ็ตอ่ เม่ือ ประสาทสมั ผสั ของเรา ช่ืนชมในเอกภาพ หรือความประสมกลมกลืนกนั ในความสัมพนั ธอ์ นั มีระเบียบแบบแผน ( Herbert Read, 1959) ศิลปะ คือ ส่ิงที่มนุษยส์ ร้างสรรค์ข้ึน เพื่อแสดงออกซ่ึงอารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ความคิด และ/ หรือความงาม ( ชลดู นิ่มเสมอ, 2534 ) ศิลปะ เป็ นผลงานท่ีเกิดจากการแสดงออกของอารมณ์ ปัญญา และทศั นคติ รวมท้งั ทักษะความชานิ ชานาญของมนุษย์ การสร้างสรรค์งานศิลปะในปัจจุบนั มีแนวโน้มไปในทางการสร้างสรรค์ และการ แสดงออกของอารมณ์และความคิด ดงั น้นั งานศิลปะน้นั อยา่ งนอ้ ยที่สุดควรก่อให้เกิดอารมณ์ และ ความคิด สร้างสรรค์ กลา่ วคอื เป็นงานท่ีส่ือใหผ้ ชู้ มเกิดจินตนาการ นอกจากน้นั งานศิลปะท่ีดีควรจะมีคุณค่าทางความ งามซ่ึงเกิดจากการใชอ้ งคป์ ระกอบของสุนทรียภาพ

ประเภทของงานศิลป์ 1. วจิ ิตรศิลป์ (Fine Arts) คอื ศิลปะท่ีงดงามหรืองานสร้างสรรคข์ องมนุษยเ์ พ่ือตอบสนองทางดา้ นอารมณ์และจิตใจเป็นสาคญั ประกอบดว้ ย 6 สาขา คือ 1.1 จิตรกรรม (Painting) 1.2 ประติมากรรม (Sculpture) 1.3 สถาปัตยกรรม (Architecture) 1.4 วรรณกรรม (Literature) 1.5 ดุริยางคศ์ ิลป์ หรือดนตรี (Musical Arts) 1.6 นาฏศิลป์ การละคร การเตน้ รา ภาพยนตร์ (Performing Arts) 2. ประยกุ ต์ศิลป์ (Applied Arts) คือ งานสร้างสรรค์ท่ีสร้างข้ึนโดยมีจุดมุ่งหมายแสดงความงดงามร่วมกับประโยชน์ทางการใช้สอย เพ่ือ สนองตอบความตอ้ งการทางดา้ นร่างกายของมนุษย์ เช่น 2.1 ออกแบบนิเทศศิลป์ (Communication Art) 2.2 อุตสาหกรรมศิลป์ (Commercial Art) 2.3 มณั ฑนศิลป์ (Decorative Art) 2.4 ออกแบบบรรจุภณั ฑ์ (Product Design) 2.5 ออกแบบเครื่องประดบั (Jewelry Design) สิ่งบนั ดาลใจให้เกดิ งานศิลปะ 1. แรงบนั ดาลใจจากความงามของธรรมชาติ 2. แรงบนั ดาลใจจากความเช่ือความศรัทธาในอานาจเหนือมนุษย์ 3. แรงบนั ดาลใจจากอารมณ์สะเทือนใจของมนุษย์ ความสัมพนั ธ์ของศิลปะ งานศิลปะทุกแขนงลว้ นเอ้ืออานวยประโยชน์ซ่ึงกันและกนั และทาให้เกิดความเขา้ ใจมากย่ิงข้ึน เช่น ถา้ ฟังดนตรี โดยมีนาฏศิลป์ วรรณกรรม จิตรกรรมประกอบ จะช่วยให้เขา้ ใจไดม้ ากยิ่งข้ึน ในทานอง เดียวกนั เมื่อชมการแสดง โดยมีดนตรี มีฉากประกอบ กจ็ ะทาใหซ้ าบซ้ึงมากยง่ิ ข้ึน เป็นตน้

จุดมุ่งหมายของศิลปะ จุดมุ่งหมายสาคญั ของการศึกษาศิลปะประการหน่ึง คือ การพฒั นาให้ผเู้ รียนเกิดความซาบซ้ึงใน งานศิลปะทุกแขนงไม่ว่าจะเป็ นทศั นศิลป์ ดุริยางค์ศิลป์ หรือนาฏศิลป์ สุนทรียศาสตร์เป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวขอ้ ง โดยตรงกบั ความซาบซ้ึงในงานศิลปะแขนงต่าง ๆ ซ่ึงสุนทรียศาสตร์เป็นปรัชญาสาขาหน่ึงที่วา่ ดว้ ยเร่ืองของ คุณค่า ดังน้ันสุนทรียศาสตร์จึงเป็ นเรื่องของคุณค่าท่ีได้รับจากความงามซ่ึงเป็ นผลงานทางศิลปะ สุนทรียศาสตร์เป็ นเรื่องที่เก่ียวข้องท้ังทางด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาสุนทรียศาสตร์ ในแง่ของ วิทยาศาสตร์ศึกษาเก่ียวกบั ปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีมีอิทธิพลต่อการรับรู้เก่ียวกบั เรื่องของความสวยความงาม ส่วน สุนทรียศาสตร์ในแง่ของปรัชญา ศึกษาเกี่ยวกบั ธรรมชาติของความสวยความงาม รศ.ดร.ณรุทธ์ สุทธิจิตต์ ได้ให้แนวความคิดเรื่องของความสวยความงาม กล่าวคือ ศึกษาถึงธรรมชาติของสุนทรีวตั ถุ (Aesthetic Object) สุนทรีประสบการณ์ (Aesthetic Experience) และสุนทรีซาบซ้ึง (Aesthetic Appreciation) จะเห็นไดว้ ่า สุนทรีประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนจากกระบวนการทางปัญญาเชิงคุณภาพ ไม่จาเป็นตอ้ ง เป็นสุนทรีซาบซ้ึง แตท่ กุ ประสบการณ์ท่ีเป็นสุนทรีซาบซ้ึงจะเป็นสุนทรียประสบการณ์ กล่าวโดยสรุปได้ว่า สุนทรียภาพจะเกิดข้ึนได้เน่ืองจากผูน้ ้ันได้สัมผสั กับสุนทรียวตั ถุ โดย กระบวนการทางปัญญาเชิงคุณภาพ เมื่อมีผูน้ าเอาการประเมินคุณค่ามาเกี่ยวขอ้ งดว้ ย ก็จะนาไปสู่ ความ ซาบซ้ึงอนั เน่ืองมาจากสุนทรีประสบการณ์น้ัน สุนทรีประสบการณ์ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกับสุนทรียวตั ถุ ผูร้ ับรู้ ประสบการณ์และประสบการณ์ที่เกิดข้ึน เน่ืองจากการรับรู้สุนทรีวตั ถุของ ผูน้ ้ัน สุนทรียวตั ถุคืองาน ศิลปะที่มีคุณลกั ษณะต่าง ๆ ครบถว้ น เป็ นท่ียอมรับว่ามีคุณค่า ผูร้ ับประสบการณ์คือผูท้ ่ีรับรู้ผลงานศิลปะ น้นั ๆ และประสบการณ์คือ กิจกรรมที่ทาให้ผรู้ ับประสบการณ์เกิดความเขา้ ใจและซาบซ้ึงในงานศิลปะน้นั ๆ ในการทาความเขา้ ใจให้ผทู้ ี่ศึกษาหรือช่ืนชมกบั ผลงานทางศิลปะทุกประเภทจะตอ้ งพิจารณาถึง การเลือก ผลงานศิลปะที่มีคุณค่า งานศิลปะทุกชนิดมีคุณค่าท้ังสิ้น แต่บางอย่างให้คุณค่าทางประโยชน์ใช้สอย บางอยา่ งใหค้ ุณค่าทางความงาม ซ่ึงผทู้ ่ีชื่นชมในผลงานทางศิลปะจะตอ้ งมีความรู้ความสามารถในการเลือก บริโภคผลงานศิลปะใหถ้ ูกตอ้ งและเหมาะสมกบั ความตอ้ งการ คุณค่าของงานศิลปะ “ไทเลอร์” นกั พฒั นาหลกั สูตรท่ีมีช่ือเสียง ไดเ้ ขียนเรื่องความสาคญั ของการศึกษาวิชาศิลปะไวใ้ น หนงั สือช่ือ “Basic Principle of Curriculum and Instruction” วา่ ศิลปะมีความสาคญั 5 ประการ คอื 1. ศิลปะช่วยขยายขอบเขตของการรับรู้ของผูเ้ รียนทางด้านการใช้ประสาทสัมผสั โดยศิลปะช่วยให้ คนเรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไดช้ ดั เจนยิ่งข้ึน เพราะเป็นการมองดว้ ยการสังเกต เปรียบเหมือนศิลปิ นมองส่ิงที่ เห็นและเก็บรายละเอียดจากส่ิงที่เห็นแลว้ นาไปถ่ายทอดเป็นงานศิลปะ

2. ศิลปะสามารถทาให้ความคิดและความรู้สึกกระจ่างแจ่มชัดออกมา โดยอาศยั ส่ืออย่างอื่นเพ่ิมเติม นอกเหนือจากคาพูดจะเห็นได้ว่ามีนักเรียนจานวนไม่น้อย ที่สามารถแสดงออกทางศิลปะได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากกวา่ การเขียนหรือการพูด 3. ศิลปะช่วยทาใหค้ นมีความเป็นคนสมบูรณ์แบบยง่ิ ข้ึน กล่าวคือ ศิลปะช่วยใหเ้ กิดความรู้สึกผอ่ นคลาย ความเครียดต่าง ๆ ทางอารมณ์ท่ีสะสมอยู่ในตวั โดยอาศยั การแสดงออกด้วยการทากิจกรรมศิลปะต่าง ๆ เช่นการสร้างงานศิลปะในสตูดิโอ การทางานศิลปะแลว้ นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ใหเ้ กิดประโยชน์ใชส้ อย เช่น การตกแต่ง หรือแมแ้ ต่การแสดงออกทางการร้องเพลง เตน้ นา เล่นดนตรี ส่ิงต่าง ๆ เหล่าน้ีถือว่าเป็ น สิ่งท่ีช่วยใหค้ นเราไดแ้ สดงออกทาใหเ้ กิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยผอ่ นคลายความเครียด เป็ นการ ช่วยส่งเสริมใหเ้ ดก็ และเยาวชนเป็นคนท่ีสมบูรณ์ยงิ่ ข้นึ 4. ศิลปะช่วยพฒั นาความสนใจและค่านิยมต่าง ๆ ของเด็กและเยาวชน การแสดงออกทางศิลปะใน รูปแบบต่าง ๆ ถือว่าเป็ นพ้ืนฐานท่ีจะเอ้ืออานวยให้ผูเ้ รียน เกิดความสนใจและช่วยพฒั นาความเขา้ ใจใน ศิลปะต่าง ๆ ไดช้ ดั เจนยง่ิ ข้นึ 5. ศิลปะเป็ นวิชาท่ีช่วยพฒั นาความสามารถทางเทคนิคได้ เช่น กระบวนการจาทาให้เกิดทกั ษะในการ ระบายสี การวาดภาพคน การเลน่ เคร่ืองดนตรีชนิดตา่ ง ๆ เป็นตน้ จอห์น ดิวอ้ี นกั การศึกษาและผอู้ านวยการฝ่ ายการศึกษาของมูลนิธิบารนส์ (Educational Director of the barnes Foundation) มูลนิธิบารนส์ก่อต้งั โดย Mr.Albert C. Barnes นกั สะสมศิลปวตั ถุคนสาคญั ของโลก มูลนิธิดงั กล่าวไดอ้ อกวารสารทางดา้ นศิลปะและสุนทรียศาสตร์อยา่ งต่อเน่ือง โดยมีดิวอ้ีเป็ นบรรณาธิการ วารสาร ต่อมาดิวอ้ีได้เขียนหนังสือเรื่อง “Art as Experience” (ค.ศ. 1979) ข้ึนในข้อเขียนของเขาได้ ช้ีให้เห็นถึงการพฒั นาสุนทรียภาพโดยผ่านประสบการณ์ทางศิลปะเป็ นสิ่งจาเป็ นท่ีเสริมสร้างสติปัญญา ให้แก่ชีวิตสติปัญญาไม่ไดม้ าจากการเรียนอะไร จากสิ่งภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเขา้ ถึงศิลปะ ของแต่ละบุคคลดว้ ย นอกจากน้ีดิวอ้ียงั เช่ือว่าศิลปะบอกให้เราทราบถึงสภาวะของชีวิตและอารยธรรมของ คนในชาติต่าง ๆ ที่มีววิ ฒั นาการตอ่ เนื่องกนั มาในรูปแบบต่าง ๆ ศิลปะจึงเป็นแกนกลางหรือเป็นสื่อสาคญั ใน การประสานใหเ้ กิดความงามและความกลมเกลียวในสังคม ดงั น้นั ประเพณีและพฤติกรรมของคนในสงั คม จึงมงุ่ ไปสู่การพฒั นาสุนทรียภาพ ดิวอ้ีให้ขอ้ สังเกตวา่ การท่ีเราไม่สามารถจะวิเคราะห์ธาตุแทข้ องสุทรียธาตุ ในศิลปะได้ เป็นเพราะวา่ เราขาดการสัมผสั หรือขาดประสบการณ์ที่ต่อสิ่งต่าง ๆ อยา่ งแทจ้ ริง โดยเฉพาะภูมิ หลงั และสิ่งแวดลอ้ มของเรา ดงั น้ันเราจึงตอ้ งตื่นตวั ให้ทนั กบั เหตุการณ์ และส่ิงแวดลอ้ มที่อยู่รอบตวั เรา เสมอ โดยสรุปแลว้ ดิวอ้ีเช่ือว่าศิลปะคือประสบการณ์ท่ีส่งเสริมสมรรถภาพ ทางด้านสุนทรียภาพของ มนุษย์ และศิลปะไม่สามารถแยกออกไปจากประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ ได้

ความเป็ นมาของศิลปะและการสร้างสรรค์ มนุษยม์ ีความปรารถนาในสิ่งต่าง ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด มีความตอ้ งการท่ีจะได้รับความสุขทางกาย สบายทางใจมกั ไม่ค่อยพอใจในสิ่งท่ีมีอยู่ ชอบแสวงหาส่ิงใหม่ ๆ อยู่เสมอ เม่ือพิจารณายอ้ นหลงั ไปยงั อดีตกาลมนุษยม์ ีความเป็นอยอู่ ยา่ งงา่ ย ๆ และสร้างสิ่งต่าง ๆ ข้ึนมาเพื่อใชส้ อยดว้ ยความจาเป็น ต่อมา มนุษยไ์ ด้ใช้สติปัญญาท่ีมีอยู่เหนือสัตวท์ ้ังปวงสร้างสรรค์ส่ิงต่าง ๆ เพ่ือตอบสนองความตอ้ งการ พ้ืนฐานในการดารงชีพ การต่อสู้กบั สิ่งต่าง ๆ เพ่ือความอยู่รอด และความสะดวกสบายในการดารงชีวิตจน เกิดเป็นส่ิงตา่ ง ๆ ท่ีเราสมั ผสั ไดใ้ นสมยั ปัจจุบนั จุดเริ่มต้นของศิลปะ คือ การที่มนุษยต์ อ้ งประดิษฐ์และสร้างสรรค์สิ่งอานวยความสะดวก และ เพือ่ ความเป็นอยทู่ ่ีปลอดภยั สาหรับการดารงชีพและความอยรู่ อด ไดแ้ ก่ ท่ีพกั อาศยั อยา่ งงา่ ย ๆ อาวุธท่ีสร้าง ข้นึ อยา่ งหยาบ ๆ สร้างภาชนะที่ทาจากเคร่ืองป้ันดินเผาอย่างง่าย ๆ ลว้ นเป็นการใชค้ วามคิดสร้างสรรคเ์ พ่ือ แกป้ ัญหา และตอบสนองความตอ้ งการของมนุษยใ์ นการดารงชีวิต ซ่ึงเป็ นไปในลกั ษณะที่แตกต่างจาก ธรรมชาติ ในระยะต่อมา เม่ือมนุษยไ์ ดส้ ัมผสั กบั ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซ่ึงบางเหตุการณ์เป็นสิ่งท่ีเหนือ คาอธิบายไดใ้ นยคุ น้นั ดว้ ยความเกรงกลวั ในอิทธิฤทธ์ิอานาจของส่ิงท่ีอย่เู หนือธรรมชาติ จึงไดเ้ กิดพธิ ีกรรม ต่าง ๆ พัฒนามาเป็ นลทั ธิ ความเช่ือ จนกลายเป็ นศาสนาในปัจจุบัน ศิลปะจึงได้ถูกสร้างสรรค์ข้ึนเพื่อ ประกอบในพิธีกรรมต่าง ๆ เหล่าน้ีดว้ ย การสร้างสรรคส์ ิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ี เป็นรากฐานและแรงบนั ดาลใจให้ มนุษยใ์ นสมยั ตอ่ ๆ มา สร้างงานที่มีลกั ษณะแปลก แตกตา่ ง และพฒั นาใหเ้ กิด ผลงานท่ีดีข้ึนตอ่ ไป การสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์ เป็ นส่ิงที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ เป็ นการดาเนินการในลกั ษณะต่าง ๆเพ่ือให้ เกิดสิ่งแปลกใหม่ท่ีไม่เคยปรากฏมาก่อน ส่ิงที่มีชีวิตเท่าน้ันท่ีจะมีความคิดอย่างสร้างสรรค์ได้ ความคิด สร้างสรรค์เป็ นความคิดระดับสูง เป็ นความสามารถทางสติปัญญาแบบหน่ึง ที่จะคิดได้หลายทิศทาง หลากหลายรูปแบบโดยไม่มีขอบเขต นาไปสู่กระบวนการคิดเพื่อสร้างสิ่งแปลกใหม่ หรือเพื่อการพฒั นา ของเดิมใหด้ ีข้ึนทาใหเ้ กิดผลงานท่ีมีลกั ษณะเฉพาะตน เป็นตวั ของตวั เอง อาจกลา่ วไดว้ า่ มนุษยเ์ ป็นส่ิงมีชีวิต เพียงชนิดเดียวในโลก ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากต้งั แต่ในอดีตที่ผา่ นมา มีแต่มนุษยเ์ ท่าน้นั ท่ีสามารถ สร้างสิ่งใหม่ ๆ ข้นึ มาเพ่ือใชป้ ระกอบในการดารงชีวิต และสามารถพฒั นาสิ่งตา่ ง ๆใหด้ ีข้ึนกว่าเดิม รวมถึงมี ความสามารถในการพฒั นาตน พฒั นาสังคม พฒั นาประเทศ และรวมถึงพฒั นาโลกที่เราอยูใ่ ห้มีลักษณะที่ เหมาะสมกบั มนุษยม์ ากที่สุด ในขณะท่ีสัตวช์ นิดต่าง ๆ ที่มีวิวฒั นาการมาเช่นเดียวกบั เรายงั คงมีชีวิตความ เป็นอยแู่ บบเดิมอย่างไมม่ ีการเปลี่ยนแปลงมากกวา่ คร่ึงหน่ึงของการพบท่ียงิ่ ใหญ่ของโลกไดถ้ ูกกระทาข้ึนมา โดยผ่าน \"การคน้ พบโดยบงั เอิญ\" หรือการคน้ พบบางสิ่งขณะท่ีกาลงั คน้ หาบางสิ่งอยู่ การพฒั นาความคิด สร้างสรรค์ของมนุษยจ์ ะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การสร้างสรรคอ์ าจไม่จาเป็ นตอ้ งย่ิงใหญ่ถึงขนาดการ พฒั นาบางส่ิงข้ึนมาใหก้ บั โลกแต่มีอาจเกี่ยวขอ้ งกบั พฒั นาการบางอยา่ งใหใ้ หม่ข้ึนมา อาจเป็นสิ่งเล็ก ๆ นอ้ ย

ๆ เพ่ือตวั ของเราเอง เมื่อ เราเปล่ียนแปลงตวั เราเอง เราจะพบวา่ โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกบั เรา และ ในวถิ ีแห่งการเปล่ียน แปลงท่ีเราได้มีประสบการณ์กบั โลก ความคิดสร้างสรรค์จึงมีความหมายท่ีค่อนขา้ งกวา้ งและสามารถ นาไปใชป้ ระโยชน์กบั การผลิต การสร้างสรรคส์ ิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ กระบวนการวิธีการท่ีคิดคน้ ข้ึนมาใหม่ เราคาดหวงั วา่ ความคดิ สร้างสรรคจ์ ะช่วยใหก้ ารดาเนินชีวิตและสังคมของเราดีข้ึนเราจะมีความสุข มากข้นึ โดยผา่ นกระบวนการที่ไดป้ รับปรุงข้ึนมาใหม่น้ีท้งั ในดา้ นปริมาณและคุณภาพ จุดม่งหมายของการสร้างสรรค์ งานศิลปะโดยเฉพาะงานศิลปะสมยั ปัจจุบนั ศิลปะจะสร้างสรรคง์ านศิลปะในรูปแบบที่หลาก หลายมากข้ึนทาใหม้ ีขอบขา่ ยกวา้ งขวางมาก แต่ไมว่ า่ จะเป็นไปในลกั ษณะใดกต็ าม งานศิลปะทกุ ประเภท จะใหค้ ุณคา่ ท่ีตอบสนองตอ่ มนุษย์ ในดา้ นท่ีเป็นผลงานการแสดงออกของอารมณ์ ความ รู้สึกและความคิด เป็ นการสื่อถึงเร่ืองราวที่สาคญั หรือเหตุการณ์ที่ประทบั ใจ เป็นการตอบสนองต่อความ พึงพอใจ ท้งั ทางดา้ นจิตใจและความสะดวกสบายดา้ นประโยชนใ์ ชส้ อยของศิลปวตั ถุ องค์ประกอบของการสร้างสรรค์งานศิลปะ การสร้างสรรค์จะประสบความสาเร็จเป็นผลงานได้ นอกจากตอ้ งอาศยั ความคิดสร้างสรรค์ เป็นตวั กาหนดแนวทางและรูปแบบแลว้ ยงั ตอ้ งอาศยั สามารถท่ียอดเยย่ี มของศิลปิ น ซ่ึงเป็นความ สามารถเฉพาะตน เป็นความชานาญท่ีเกิดจากการฝึกฝนและความพยายามอนั น่าท่ึง เพราะฝีมืออนั เยย่ี มยอดจะสามารถสร้างสรรคผ์ ลงานท่ีมีความงามอนั เยย่ี มยอดได้ นอกจากน้ียงั ตอ้ งอาศยั วสั ดุ อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ มาใชใ้ นการสร้างสรรคด์ ว้ ยเช่นกนั วสั ดุอปุ กรณ์ในการสร้างสรรค์ แบง่ ออกเป็น วตั ถุดิบที่ใชเ้ ป็นส่ือในการแสดงออก และเคร่ืองมือที่ใชส้ ร้างสรรคใ์ หเ้ กิดผลงาน ตามความชานาญ ของศิลปิ นแต่ละคน แนวทางในการสร้างสรรคง์ านศิลปะของศิลปิ นแต่ละคน อาจมีที่มาจากแนว ทางท่ีตา่ งกนั บางคนไดร้ ับแรงบนั ดาลใจจากความงาม ความคดิ ความรู้สึก ความประทบั ใจ แต่ บางคนอาจสร้างสรรคง์ านศิลปะเพื่อแสดงออกถึงฝีมืออนั เยยี่ มยอดของตนเอง เพอ่ื ประกาศความเป็น เลิศอยา่ งไมม่ ีท่ีเปรียบปานโดยไม่เนน้ ที่เน้ือหาของงาน และบางคนอาจสร้างสรรคง์ านศิลปะจาก การใชว้ สั ดุที่สนใจ โดยไมเ่ นน้ รูปแบบและแนวคิดใด ๆ เลยก็ได้ สรุป ศิลปะเป็นส่ิงท่ีอย่รู อบตวั มนุษย์ เป็นสิ่งท่ีใหค้ ุณค่ามหาศาลท้งั ทางดา้ นร่างกายและจิตใจ ศิลปะท่ี ให้คุณค่าทางร่างกายเป็ นศิลปะที่เก่ียวขอ้ งกับการดารงชีวิตประจาวนั ของมนุษย์ เป็ นส่ิงท่ีมนุษยพ์ บเห็น เขา้ ใจและเห็นคุณค่าคุณประโยชน์ไดอ้ ย่างเป็ นรูปธรรม แต่ศิลปะที่ให้คุณค่าทางจิตใจเป็ นงานศิลปะท่ีมี คุณค่าในการพฒั นามนุษย์ ให้มีความเป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์สามารถดารงชีวิตอยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข การนาศิลปะไปใชใ้ นการดารงชีวิตไปใช้ในการพฒั นาทางดา้ นจิตใจจาเป็ นตอ้ งศึกษาลกั ษณะของผลงาน ศิลปะ และเลือกสรรผลงานที่มีคุณคา่ ทางสุนทรีย์ จะทาใหผ้ ทู้ ่ีบริโภคผลงานศิลปะไดร้ ับคุณค่าอยา่ งแทจ้ ริง

ความรู้ ความรัก ประสบการณ์ เป็นพ้ืนฐานในการทาความเขา้ ใจผลงานศิลปะ ถา้ มนุษยเ์ ปิ ดโอกาสในการ เรียนรู้ผลงานศิลปะแขนงต่าง ๆ ใหม้ ากข้ึน จะทาใหศ้ ิลปะมีคณุ ค่ามีการพฒั นาและดารงคงอยกู่ บั มวลมนุษย์ เพ่อื สร้างสรรคค์ วามสุข ความสวยงามใหก้ บั โลกมนุษยต์ อ่ ไป ศิลปะอาจรวมไปถึงงานในรูปแบบต่างๆเช่น งานเขยี น บทกวี การเตน้ รา การแสดง ดนตรี งาน ประติมากรรม ภาพวาด-ภาพเขยี น หรือ อื่นๆ อยา่ งไรกต็ ามส่วนใหญแ่ ลว้ ศิลปะจะหมายถึงงานทาง ทศั นศิลป์ พวก ภาพวาด-ภาพเขยี น งานประติมากรรม งานแกะสลกั รวมถึง Conceptual art และ Installation art

บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั วธิ ีดาเนนิ การวิจัย โดยมีรายระเอียดกาดาเนินงานวจิ ยั ตามข้นั ตอนดงั น้ี ข้นั ตอนการสร้างแบบการร่างภาพระบายสี การตอ่ เติมความคดิ ผวู้ จิ ยั ดาเนินการดงั น้ี 1 ศึกษาวเิ คราะหป์ ัญหาการร่างภาพระบายสี และความคิดของนกั เรียน 2 วเิ คราะหป์ ัญหาและรวบรวมปัญหาของนกั เรียน 3 ใหเ้ พอื่ นครูในหมวดศิลปะตรวจสอบคณุ ภาพของแบบฝึก 4 ปรับปรุงแบบฝึ กและจดั ทาแบบฝึก 5 การใชต้ วั อยา่ งการร่างภาพระบายสี และแบบฝึกความคิดสร้างสรรค์ 6 ประชากรในการวิจยั ไดแ้ ก่ นกั ศึกษาระดบั มธั ยมศึกษา จานวน 11 คน ปี การศึกษา 2563 มี ปัญหาการร่างภาพระบายสีไม่ชดั เจน โดยศึกษากบั ประชากรท้งั หมด 7 เคร่ืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ ผลงานนีกเรียน และแบบทดสอบ 8 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล โดยใหน้ กั เรียนฝึกฝนการร่างภาพ การฝึกความคิดสร้างสรรค์ เพอ่ื การเปรียบเทียบการพฒั นางาน 9 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยการเปรียบเทียบผลงานจากการฝึกฝนคร้ังแรกจนถึงคร้ังสุดทา้ ย

จานวนนักเรียนทใ่ี ช้เป็ นกลุ่มตัวอย่างประชากร นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนชุมชนวดั ทา่ เด่ืออาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ จานวน 11 คน ลำดับ ชือ่ -สกลุ ช้ัน 1 นายธวชั ชัย ดอกดวงพฒุ กิ ุล มธั ยมศกึ ษาปีท่ี5 2 นางสาวพิมพช์ นก มงคลเจริญช่นื มัธยมศึกษาปที ่ี5 3 นางสาววชั รีย์ มฤคมาส มัธยมศกึ ษาปที ่ี5 4 นางสาววรรณพี ร มงคลวิรยิ คุณ มธั ยมศึกษาปีที่5 5 นางสาวนงรตั น์ รักษาวารีเลิศ มธั ยมศึกษาปที ่ี5 6 นางสาวสวุ รรณี มงคลวิรยิ คุณ มธั ยมศึกษาปที ี่5 7 นางสาวอรพิณ สมฤทยั ไพศาล มธั ยมศึกษาปีที่5 8 นางสาวจรสั ศรี วมิ ลสริ พิ กั ตร์ มธั ยมศึกษาปที ี่5 9 นางสาวทาลียา วมิ ลสิรพิ ักตร์ มัธยมศึกษาปที ี่5 10 นางสาวสวุ พร ไพศาลวนาพงค์ มัธยมศกึ ษาปีที่5 11 นายผดุงศักดิ์ สากลบชู า มธั ยมศกึ ษาปีที่5 นักเรียนชาย จานวน 2 คน และนักเรียนหญิงจานวน 9 คน โดย การเลือกกลุ่มตวั อย่างแบบเจาะจงโดย พิจารณาจากการตดั สินใจของผวู้ ิจยั เอง ลกั ษณะของกลุ่มท่ีเลือกเป็ นไปตามวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั การ เลือกกลุม่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจงตอ้ งอาศยั ความรอบรู้ ความชานาญและประสบการณ์ในเรื่องน้นั ๆของผทู้ าวิจยั

เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวิจยั มีดงั นี้ รายการท่ี 1 แบบชุดฝึกทกั ษะความคดิ สร้างสรรค์ รายการที่ 2 สื่อการตอ่ เส้นเพ่ือเสริมสร้างจิตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ ข้นั ตอนในการสร้างเคร่ืองมือ ผูว้ ิจยั ไดส้ ร้างเคร่ืองมือข้ึนเอง โดยมีวิธีการจดั สร้างเคร่ืองมือ เพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มูลการวิจยั ไดด้ าเนินการ ตามข้นั ตอนดงั น้ี ไดศ้ ึกษาเอกสารตารา งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง เพ่ือเป็นขอ้ มลู ในการสร้างเคร่ืองมือ ร่างแบบชุดฝึกเสนออาจารยท์ ่ีปรึกษาเพ่อื ตรวจสอบ แกไ้ ข แลว้ นามาปรับปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ เสนออาจารยท์ ่ีปรึกษาเพอ่ื ปรับปรุงแกไ้ ขเพม่ิ เติมจนถูกตอ้ งสมบูรณ์ แบบสอบถามฉบบั สมบรู ณ์ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 1 ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจาก ตารา เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง เพื่อนามาเป็ นขอ้ มูลพ้ืนฐาน สาหรับทาการศึกษาวิจยั 2 ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มตวั อย่างจากจานวนท่ีกาหนด ซ่ึงการเก็บตวั อย่างทาโดยการให้ นกั เรียนทาแบบฝึกการตอ่ เสน้ พชิ ิตจินตนาการ และไดช้ ้ีแจงขอ้ มูลในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลอยา่ งละเอียด 3 ผูว้ ิจยั ไดเ้ ก็บรวบรวมแบบชุดฝึ กการต่อเส้นพิชิตจินตนาการ ท้งั หมด จานวน 11 ชุด คิดเป็ นร้อยละ 100 เพอ่ื ดาเนินการวิเคราะห์ขอ้ มลู

แบบฝึ กต่อเส้น การใช้ชุดฝึ กทกั ษะคาวามคดิ สร้างสรรค์นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวดั เชียงใหม่ คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนตอ่ เสน้ ท่ีกาหนดใหเ้ ป็นภาพตามจินตนาการและความคดิ สร้างสรรคข์ องนกั เรียน

การวเิ คราะห์ข้อมูล ใหค้ ะแนนตามชิ้นงานโดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนดงั น้ี เกณฑ์ คณุ ภาพ ความคดิ สร้างสรรค์ 10 ดี 7 พอใช้ 3ปรับปรุง แปลกใหม่น่าสนใจ แปลกใหม่ ไมแ่ ปลกใหม่เลย จินตนาการ มีจินตนาการสูงมาก มีจินตนาการ ไมม่ ีจินตนาการเลย ผลงานสวยงาม ผลงานสวยงามมาก ผลงานสวยงาม ผลงานไมส่ วยงามเลย เกณฑ์การสรุปภาพรวม ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ 20-15 ดี 15-7 พอใช้ 3-7 ปรับปรุง

การรวบรวมข้อมูล จากการตรวจงานของนกั เรียนมีพฤติกรรมการวาดภาพไม่มีความคดิ สร้างสรรค์ ในวชิ าทศั นศิลป์ ระหวา่ งวนั ท่ี 20 สิงหาคม – 20 มกาคม 2564 รวม 5 เดือน การวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อเก็บรวบรวมขอ้ มลู เรียบร้อยแลว้ ผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูล ดงั น้ี 1. การวิเคราะหแ์ บบชุดฝึกการใชจ้ ินตนาการความคดิ สรรคส์ รรคว์ ิธีคา่ เฉล่ีย (mean) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) การนาเสนอผลการวเิ คราะห์การวิจยั สถติ ิพืน้ ฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. คา่ เฉลี่ย (Mean) คานวณจากสูตร(บุญชมศรีสะอาด. 2545,105) X̅ = ∑ X N เมื่อ X̅ แทนตวั กลางเลขคณิตหรือค่าเฉล่ีย ∑ X แทน ผลรวมท้งั หมดของคะแนน N แทน จานวนคนท้งั หมด 2.ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)โดยใชส้ ูตรดงั น้ี(บญุ ชมศรีสะอาด.2545,106) S.D. = √������ ∑ ������2−(∑ ������) 2 ������(������−1) เม่ือ S.D. แทน คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน ������แทน คะแนนแตล่ ะตวั X̅ แทน ค่าเฉล่ียของคะแนนกลุม่ ตวั อยา่ ง Nแทน จานวนนกั เรียนในกล่มุ ∑ แทน ผลรวมท้งั หมดของคะแนน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook