Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กำเนิดและโครงสร้างของโลก

กำเนิดและโครงสร้างของโลก

Published by surapon, 2016-07-07 04:25:09

Description: กำเนิดและโครงสร้างของโลก เอกสารประกอบการสอนวิชา
โลกของเรา

Keywords: world

Search

Read the Text Version

บทที่ 2การกาเนดิ และโครงสรา้ งของโลก

จดุ ประสงค์การเรียนรู้1. นสิ ิตสามารถอธิบายกาเนดิ และวิวฒั นาการของโลกได้2. นสิ ิตสามารถอธิบายโครงสรา้ งของโลกได้ 2

I. กาเนิดโลก และวิวฒั นาการของโลก 3

บิกแบง (Big Bang)เอกภพ (Universe) เร่ิมตน้ จากความเปน็ ศนู ย์ ทงั้ ขนาดและเวลา และมีความหนาแนน่ ทอี่ นนั ต์ ไม่มเี วลา ไมม่ แี ม้แต่ความวา่ งเปล่า เอกภพระเบดิ ขึ้น โดยการระเบดิ และหลังจากน้นั เอกภพก็เรมิ่ ขยายตวั ออก สิง่ ตา่ งๆ ค่อยๆ เกิดขนึ้ หลังจากน้ัน เอกภพประกอบดว้ ยดาราจักร (galaxy) จานวนนบั พนั ล้านดาราจกั ร แตล่ ะดาราจกั รมดี าวฤกษ์นบั พันลา้ นดวง 44

เอกภพขยายตวั ออกในอตั ราเรง่ 5

Milky Way Galaxy 6

กาแลก็ ซีทางช้างเผือก กว้าง ประมาณ 100,000 ปี แสง 77

เอกภพ เกิดขึ้นมาไดอ้ ยา่ งไร จากทฤษฎกี ารกาเนิดของดวงดาว ทีย่ อมรบั กันอยู่ในปัจจุบนั สรุปวา่15 พBันigลBา้ นanปgีท่แี ลว้ Expansion Supernova Galaxy, Star Nebula Solar System เมือ่ ราว 5 พันล้านปี 8

โลกเกิดขน้ึ มาได้อยา่ งไรเดมิ มีสมมตฐิ านเก่ียวกบั การกาเนดิ โลก โดยสรปุ ไดเ้ ปน็ 2 แนวทาง• สมมตฐิ านเนบลู าร์ (The Nebular Hypothesis)• สมมติฐานพลาเตตซิ ิมลั (Planetesimal Hypothesis)โดยในปัจจุบันได้มกี ารบูรณาการกฎทางฟสิ ิกส์ และทฤษฏีตา่ งๆแลว้ นาสมมติฐานในอตีดมาพฒั นาเปน็ ทฤษฎที ่ีนา่ เชอื่ ถือ• ทฤษฎรี ว่ มสมัย (Contemporary Theory) 9

Emanuel Swedenborg Immanuel Kant Pierre-Simon LaplaceJanuary 29, 1688 – March 29, 1772 22 April 1724 – 12 February 1804 23 March 1749 – 5 March 1827 Swedish German FrenchThere is evidence that the nebular hypothesis was first proposed in 101734 by Emanuel Swedenborg. Immanuel Kant, who was familiar withSwedenborg's work, developed the theory further in 1755.A similar model was proposed in 1796 by Pierre-Simon Laplace.

The Nebular Hypothesisอธิบายวา่ สารท่เี ป็นต้นกาเนิดของดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ เปน็ กลุ่มของเนบลู าซ่งึ ประกอบด้วยแกส๊ และฝุ่นฝุ่นร้อนในอวกาศ (Nebular) ท่ีมกี ารหมนุ ตวั อย่างชา้ ๆในระยะแรก ตอ่ มาคอ่ ยๆ เยน็ ลงพร้อมๆ กบั เริม่ มีการจับตัวกนั ดว้ ยแรงดึงดูดจากแรงโนม้ ถ่วง มกี ารหมนุ ตัวเร็วข้นึก่อตัวเปน็ แผน่ เนบิวลาทมี่ ลี ักษณะคล้ายจาน ทป่ี ระกอบไปดว้ ย สว่ นทเ่ี ป็นศูนย์กลาง และวงแหวน ต่อมาสว่ นท่ีเปน็ ศูนยก์ ลางไดก้ ลายเปน็ ดวงอาทิตย์ และในส่วนที่เปน็วงแหวนไดม้ กี ารรวมของกลุ่มแก๊สและฝุ่นเปน็ กลุ่มๆ จนในที่สดุ พฒั นาเปน็ ดาวเคราะห์กรณีน้โี ลกอายเุ ทา่ กับดวงอาทติ ย์http://thebeginning.us/Chapters/Ch-8/Ch-8.htm 11

angular momentumหากสมมตุ ฐิ านเนบลู าร์ของคานทแ์ ละลาพลาสเป็นจริงแลว้ ดวงอาทติ ย์ที่อยูต่ รงกลางของระบบสุริยะ และมมี วลมากทีส่ ดุ จะต้องมโี มเมนตมัเชิงมุมมากทีส่ ดุแตใ่ นความจรงิ แลว้ นกั วทิ ยาศาสตร์พบวา่ ดวงอาทติ ยห์ มนุ รอบตวั เองช้ามาก เมอ่ื เทียบกับความเรว็ ของดาวเคราะหท์ ี่หมนุ รอบวงอาทิตย์ ในยุคหนง่ึ ทฤษฎีนี้ก็เสือ่ มความนยิ ม 12

ทฤษฎีพลาเนตตซิ มิ ัล (Planetesimal hypothesis)Thomas Chrowder Chamberlin Forest Ray MoultonSeptember 25, 1843 – November 15, 1928 April 29, 1872 – December 7, 1952สมมติฐานนเ้ี สนอขนึ้ ในปี 1900 อธบิ ายวา่ โลกแยกตวั จากดวงอาทติ ย์ โดยเกดิจากการโคจรผ่านเข้ามาของดาวขนาดใหญ่มากดวงหนง่ึ แรงดงึ ดูดของดาวดวงน้ีได้ดึงเอาสว่ นหน่งึ ของดวงอาทติ ย์แยกออก เกดิ เป็นดาวเคราะหต์ ่างๆ ขนึ้ 13

SUNSTARดาวฤกษท์ ่ีเคลื่อนผา่ นมา ดงึ ดูดมวลสารและกา๊ ซจากดวงอาทิตยถ์ ูกใหพ้ ่งุ ออกมาอย่างรุนแรงเป็นสาย แตกออกเปน็ กลมุ่ ยอ่ ย และรวมตัวเข้าเป็นดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในระนาบเดียวกันแตม่ รี ะยะต่างกัน 14

SUN STARจดุ เดน่ : ทฤษฎนี สี้ ามารถอธบิ ายถงึ การกระจายของของโมเมนตัมเชงิ มุมของ ดาวเคราะหท์ ี่มสี งู มากกว่าดวงอาทิตยไ์ ด้จดุ อ่อน : โอกาสท่มี ดี าวเคล่อื นผา่ นในระยะหา่ งดังกลา่ วมีนอ้ ยมาก และดวง อาทติ ย์จะต้องเกดิ กอ่ นดวงดาวเคราะหน์ านมาก แต่ท่ีเปน็ จริงแล้ว พบว่าดวงอาทิตย์และดาวเคราะหม์ ีอายพุ อ ๆ กนั 15

ทฤษฎรี ว่ มสมยั (Contemporary Theory)เป็นทฤษฎกี ารกาเนดิ ระบบสรุ ิยะทีย่ อมรับในปจั จบุ นั บูรณาการเอาทฤษฏตี ่างๆหลายทฤษฎีเขา้ ดว้ ยกนั โดยใชส้ มมตฐิ านของคานท์และลาพลาสเปน็ หลกั ซ่งึเร่มิ ตน้ จากกลมุ่ ก๊าซและฝุ่นละอองมารวมตัวกนั และหมนุ รอบตัวเองอย่างชา้ ๆ(ปัจจุบันมกี ารพสิ ูจนด์ ว้ ยภาพจากกลอ้ งโทรทัศน์ ซง่ึ ยืนยันได้ถึงกลมุ่ กา๊ ซในอวกาศ) และไดร้ บั การแกไ้ ขปรับปรุงดว้ ยความรู้ทางฟสิ กิ สใ์ หม่ ๆ ที่เพิ่มพูนข้นึโดยทฤษฎีท่มี ีเหตผุ ลเสนอโดย ฮอยล์ (F.Hoyle) และแมคเคลยี (W.H.McCrea) ในชว่ ง ค.ศ. 1955-1960 16

ทฤษฎีร่วมสมยั (Contemporary Theory)ทฤษฎนี ี้จะแยกพิจารณากลุม่ กา๊ ซและฝุน่ ออกเปน็ 2 ส่วนคือ1. ส่วนทีอ่ ยบู่ ริเวณใจกลาง เรยี กวา่ Protosun ตอนแรกจะมีการหมุนรอบตวั เองอย่างชา้ ๆ ต่อมา เม่อื เกดิ ดวงอาทติ ย์แลว้ จะหมนุ รอบตัวเองเร็วขน้ึ ทาให้กลมุ่ กา๊ ซและฝุ่นสว่ นท่ี เหลือรอบๆ แผ่ออกเปน็ วงแหวนลอ้ มรอบ ตามทฤษฎขี องฮอยล์2. สว่ นท่อี ยู่รอบนอก คอื สว่ นท่แี ผ่กว้างออกเปน็ วงแหวนลอ้ มรอบ Protosun สว่ นนี้ เรยี กวา่ เนบิวลารต์ น้ กาเนดิ ของสรุ ยิ จักร (Original solar nebular) มมี วลประมาณ 0.1 เทา่ ของดวงอาทิตย์ และมีอาณาเขตของการแผก่ ว้างเทา่ กบั ขอบเขตของระบบสรุ ยิ ะ ท้ังหมด ซ่ึงสว่ นน้ีจะพัฒนาไปเปน็ ดาวเคราะหแ์ รกเริ่ม (Proto planet)ขณะท่ีส่วนกลางของเนบวิ ลารเ์ กิดเป็นดวงอาทิตยแ์ รกเริ่ม ขณะน้ันมอี ุณหภมู ิสูงมาก ขณะท่ีดวงอาทิตยห์ ดตัวและเรมิ่ หมุนเร็วขึน้ ทาใหเ้ กดิ สภาพแมเ่ หลก็ ในตัวจงึ เกดิ การถ่ายทอดโมเมนตัมให้กบั ดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสรุ ยิ ะ ทาใหโ้ มเมนตัมเชงิ มมุ ของดวงอาทิตย์ลดลงแต่ไปปรากฏที่ดาวเคราะหเ์ พม่ิ ข้ึน 17

สรปุ กำเนดิ ระบบสรุ ยิ ะ • เกิดจากเนบวิ ลาสรุ ิยะ • เป็นกล่มุ หมอกไฮโดรเจน และฮเี ลียม • เม่ือ 5 พันล้านปี เกดิ การ รวมตวั กอ่ รูปเปน็ รปู จาน แบน โดยมีดวงอาทิตย์เกิด ใหม่ (pre-Sun) อย่ตู รงกลาง • โลกเกิดข้ึนพรอ้ มกบั ดาว เคราะหต์ า่ งๆ 18

ขนั้ ตอนการกาเนดิ ระบบสรุ ิยะ กลุม่ หมอก/เนบวิ ลาProtosun การยบุ รวมตวั กนั โดยแรง ดงึ ดดู /แรงโน้มถว่ ง แผน่ จาน Proto-planetary Disk ปฏกิ ริ ยิ า Fusionดวงอาทติ ย์ การควบแน่น โลหะ หนิ กา๊ ซ น้าแข็ง รวมตวั การชน/พอกรวมกนัดาวเคราะห์หนิ วตั ถุสว่ นทเี่ หลือ ดาวเคราะหก์ า๊ ซ วตั ถุสว่ นทเี่ หลือพธุ , ศกุ ร์, โลก, องั คาร ดาวเคราะห์น้อย เสาร์, พฤหสั , มฤตยู Kuiper Belt, เกตุ Oort Cloud

โลกเกดิ ข้นึ มาไดอ้ ย่างไรทฤษฎีที่ยอมรบั กนั อยใู่ นปจั จบุ นั สรุปวา่ เกิดจากเนบวิ ลาสุรยิ ะ เกิดแรงดงึ ดูดทาใหร้ วมตัว และหมุนก่อเป็นดวงอาทติ ยแ์ ละดาวเคราะหต์ า่ งๆ รวมทั้งโลก

กาเนิดและววิ ฒั นาการของโลกโลกกอ่ ตัวข้ึนเมือ่ 4,700 ลา้ นปีกอ่ น มีวิวัฒนาการไดเ้ ปน็ 5 ขน้ั ได้แก่Fe Mg Si 1. ระยะเรม่ิ แรก (initial stage) : 1) เกิดรวมตัวกันของเศษดาวจนเป็นเนื้อ เดยี วกนั เกิดการชนหรอื ขัดสี ทาใหเ้ กดิ พลังงานความรอ้ น 2) เกดิ การหดตัวหลงั จากมีการพอกตวั ทาให้ อณุ หภมู ิโลกสูงมากขน้ึ 3) เกิดการสลายตวั ของสารกัมมันตรงั สี อย่าง ตอ่ เนอ่ื ง ทาใหเ้ กิดความร้อนเพ่ิมข้นึ 21

กาเนิดและววิ ัฒนาการของโลก 2. ระยะก่อเหลก็ (Iron catastrophic stage): 1) ความร้อนทสี่ งู ขึ้น ทาให้เหลก็ เกิดการ หลอมละลายและรวมตัวชน้ั เหล็ก 2) เหลก็ ทห่ี ลอมละลายรวมตวั เกาะกันเปน็ กอ้ นใหญ่ขน้ึ และจมลงสูใ่ จกลางโลก เขา้ จมสู่ แทนท่สี ารท่ีเบากว่า จึงเกิดเป็นแก่นโลก แกนกลาง (Core) ในสภาพของเหลว แกน่ โลก 22

กาเนิดและววิ ฒั นาการของโลก3. ระยะเปล่ียนสภาพช้นั ต่างๆ (Planetarydifferentiation stage)1) มกี ารจมตัวของธาตทุ ี่หนกั และลอยตวั ของธาตุทเี่ บา (กึ่งหลอมเหลว)2) สารหลอมเหลวท่เี บากว่าลอยสผู่ ิว และเยน็ตัว กลายเปน็ เปลือกโลกเริ่มแรกคล้ายเปลอื กไข่3) เกิดเปน็ ชนั้ เนอื้ โลก (mantle) ซึ่งมสี ภาพเปน็ พลาสตกิ ท่ไี มเ่ ป็นของแขง็ มีความร้อนสงู มกี ารปรบั ตวั และเคลอื่ นไหวตลอดเวลา 23

กาเนิดและววิ ฒั นาการของโลก 4. ระยะเกิดใหม่ (earth reborn stage) 1) เกิดการพาความร้อนของของเหลว (Convection) จากแกน่ กลางโลกท่ี รอ้ นจดั สง่ ผ่านเนอ้ื โลกไปสผู่ วิ โลก 2) เกิดเปลอื กโลก (Crust) 3) ช้ันเนื้อโลก แข็งตัว 24

กาเนิดและวิวัฒนาการของโลก5. ระยะเยน็ ตัว (Engine-down Stage) 1) การเคล่ือนตัวของสารกึ่งหลอมเหลวในโลกทาให้ธาตกุ มั มันตรงั สี มาสะสมตัวในช้ันของเปลอื กโลกในรปู ของออกไซดแ์ ละซิลิเกต (สารประกอบระหว่าง Si กบั O) 2) การถา่ ยเทความร้อนของโลกเราจึงเปน็ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว 25

กาเนดิ และววิ ัฒนาการของโลก6. การเกดิ ทวปี ทะเล และบรรยากาศ (Formation of Continents, Oceans and Atmosphere) 1) ลาวาท่เี กดิ จากการระเบดิ ของภูเขาไฟ เยน็ ตัวกลายเกดิ เปลอื ก โลก และถูกหลอมเหลวลงสู่ภายในโลก และหมุนเวยี นข้นึ มา แขง็ ตวั เป็นเปลอื กโลกอีกครั้ง 26

กาเนดิ และววิ ัฒนาการของโลก2) สารตา่ งๆ ภายในโลกไดร้ ับความรอ้ น และสลายตัวเป็นแกส๊ (H, CO, CO2, N2) ฝ่นุ ละออง และไอนา้ ปลอ่ ยสู่บรรยากาศทางภเู ขาไฟ

กาเนิดและวิวฒั นาการของโลก3) ไอนา้ ปกคลมุ และกลน่ั ตวั เปน็ ฝน ไหลไปตามพ้ืนผิว รวมกันจนเกิด มหาสมทุ ร และนา้ ละลายสารตา่ งๆ พดั พาไปสะสมในมหาสมุทร4) เปลือกโลกเกดิ การสกึ กร่อน และถูกพัดพาไปทบั ถม ทาใหเ้ กิดหนิ ตะกอน เกิดวนซา้ ๆ จนเกดิ เป็นแผน่ ดนิ ทลี ะนอ้ ย จนกลายเป็นทวีป

กาเนิดและวิวัฒนาการของโลก7. การกาเนิดสงิ่ มชี วี ติ1) บรรยากาศเร่มิ แรก ประกอบดว้ ย CO2 N2 และไอนา้ ทป่ี ลดปลอ่ ยมา จากภเู ขาไฟ ขณะทไ่ี อน้ากลัน่ ตวั เปน็ ฝน แกส๊ ต่างๆ กถ็ กู ฝนชะลงสู่ ทะเล 29

กาเนดิ และวิวฒั นาการของโลก7. การกาเนดิ สง่ิ มชี วี ติ2) พลงั งานจากภเู ขาไฟระเบดิ และแสง ทาใหแ้ ก๊สกอ่ รปู เป็นโมเลกลุอนิ ทรีย์ เชน่ นิวคลิโอไทด์ กรดอะมโิ น กรดไขมัน กลโู คส ไพรมิ ิดีนพิวรีน ฯลฯ 30

กาเนดิ และววิ ัฒนาการของโลก7. การกาเนดิ สงิ่ มีชวี ิต3) โมเลกลุ อนิ ทรยี ข์ นาดเลก็ รวมตัวกลายเปน็ โปรตนี และกรดนิวคลอิ กิ ต่อมาเกดิ การรวมตวั เป็นเยอ่ื หุ้ม ต่อมาพัฒนากลายเป็นเซลแรกเร่ิม (Protocells) และพฒั นาเป็นเซลที่สามารถเพ่มิ จานวนได้ในทีส่ ุด 31

ทฤษฎกี าเนดิ ของสารอินทรีย์ จากทฤษฎโี อพารนิ และฮอลเดน โอพาริน (Oparin) ชาวรัสเซยี (1924) ฮอลเดน (Haldane) ชาวองั กฤษ (1966) โลกเปน็ ดาวเคราะห์ เกิดประมาณ 5,000 ลา้ นปี บรรยากาศของโลกขณะนน้ั ประกอบดว้ ยกา๊ ซมีเทน (CH4) ไฮโดรเจน (H2) แอมโมเนยี (NH3) ไนโตรเจน (N2) และไอน้า (H2O) รวมตวั กลายเป็น สารประกอบอนิ ทรีย์ 32

สารประกอบ อนนิ ทรีย์ รวมตวั เป็นสารประกอบ อนิ ทรีย์ เชน่protieniod polypeptide จับตวั 33

จากโมเลกุลสารประกอบ (โปรตนี ) จานวนมากรวมตัวกบั น้า ในสภาวะที่เหมาะสมของ ion และความเปน็ กรดเป็นด่าง เกิดเป็นเยอ่ื หุ้ม(membane) ลอ้ มรอบ เรียก Coacervates (Earliest cellularorganization) จากนัน้ เพ่ิมขนาดใหญข่ นึ้ และแบ่งตวั ออกโดยอตั โนมตั ิ 34

Coacervates เพิ่มจานวน/ขนาด ววิ ัฒนาการ สงั เคราะห์แสงการรวมตัวของ บรรยากาศชน้ั ในของโลกออกซเิ จนอิสระ ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต จากดวงอาทติ ย์ 35

การทดลองของมลิ เลอร์ในห้องปฏบิ ัตกิ าร โดยใช้บรรยากาศเทยี ม • มิลเลอร์ ทดลองนาบรรยากาศเทยี ม ประกอบด้วยก๊าซมเี ทน (CH4) ไฮโดรเจน (H2) แอมโมเนีย (NH3) ไนโตรเจน (N2) และไอนา้ (H2O) • ใส่หลอดทดลองในห้องปฏบิ ัติการ • ผา่ นกระแสไฟฟ้าเข้าไปทาปฏกิ ิริยา • ได้สารประกอบอินทรีย์หลายชนดิ ได้แก่ กรดอะมิโน กรดไขมัน และ เบสอนิ ทรยี ์ 36

การทดลองของเคลวินในห้องปฏบิ ตั ิการ โดยใช้บรรยากาศเทยี ม • เคลวนิ (Kelvin) นักชวี เคมีชาว เยอรมัน • ทดลองนาบรรยากาศเทียม เช่นเดียวกบั มิลเลอร์ ใสเ่ ครือ่ งมอื ทดลองในห้องปฏบิ ตั กิ าร ผ่านด้วย รงั สแี กมมา่ • เกิดโมเลกลุ นา้ ตาล กรดอะมโิ น และสารท่ีเป็นองค์ประกอบของกรด นวิ คลอี กิ 37

กาเนิดและวิวฒั นาการของโลก7. การกาเนิดส่งิ มีชีวิตเกดิ เปลอื ก โมเลกลุ โมเลกุล เซล เซลล์โปร เซลล์ยคู าริ สง่ิ มีชีวติ ที่ โลกและ อนิ ทรีย์ อนิ ทรยี ์ เรม่ิ แรกกอ่ คารโิ อต โอตเซล มีหลายเวลบรรยากาศ ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ตวั ในทะเล กอ่ ตวั ใน เดยี ว กอ่ ตวั เกดิ ขนึ้ ใน กอ่ ตวั ใน กอ่ ตวั ใน ในทะเล ทะเล และ ทะเล ทะเล ทะเล พฒั นาสบู่ ก ช่วง 1 พนั ล้านปี ช่วง 3.7 พนั ลา้ นปี เกดิ การววิ ัฒนาการทางเคมี เกิดการวิวัฒนาการทางชวี วิทยา 38

http://rst.gsfc.nasa.gov/Sect19/Sect19_2a.html Evolution timeline 39

ธรณปี ระวัติ (HISTORICAL GEOLOGY)ธรณีประวตั ิ เป็นสาขาวชิ าทางธรณีวิทยาทว่ี ่าด้วย การจัดลาดบัเวลา โดยใชก้ ารคานวณอายุของหิน และซากดกึ ดาบรรพ์(FOSSILS) เป็นหลัก ทาใหส้ ามารถเข้าใจประวัติความเปน็ มาของ โลกได้เปน็ บางสว่ น 40

ระยะเวลาในหนิ ศกึ ษาได้จาก • คานวณอายจุ รงิ • ความสงู ต่าของตาแหน่งซากดกึ ดาบรรพ์HISTORICAL GEOLOGY 41

การจาแนกช่วงเวลาในทางธรณวี ทิ ยาจาแนกหนว่ ยเวลา (TIME UNIT)ของหินออกเปน็EON บรมยุค (ช่วงยาวนานมาก) ERA มหายคุ (ชว่ งยาวนาน) PERIOD ยคุ (แยกจากมหายคุ ) EPOCH สมัย (แยกจากยคุ ) AGE ชว่ งอายุ (แยกจากสมยั ) 42

43

44

ยุค Cretaceous (65 ลา้ นปี )ยุค Triassic (200 ลา้ นปี )ยุค Permian (250 ลา้ นปี )ยคุ Devonian (360 ลา้ นปี )ยคุ Ordovician (444 ลา้ นปี )

46

สตั ว์เล้ียงลกู มนุษยย์ คุ ใหม่ (Homo ดว้ ยน้านม sapiens sapiens)สตั ว์เลื้อยคลาน ปรากฏเมอื่ 2 วนิ าที กอ่ นเทยี งคนื ประวตั ศิ าสตร์ของมนุษย์ เรม่ิ บนั ทกึ เมอื่ ¼ วนิ าที กอ่ นเทยี งคนืแมลงและสคั ว์ครงึ่ บกครง่ึ น้า กาเนิดสง่ิ มชี ีวติ (เกดิ เมอื่ 3.6-3.8 พนั ลา้ นปี )พบฟอสซลิ สตั ว์ครง้ั แรกเรมิ่ เกดิ พืชในพ้นื ทีบ่ กุ เบกิ ชว่ งววิ ฒั นาการ และ ขยายพนั ธ์ของสง่ิ มขี วี ติ 47

II. โครงสร้างของโลก

เรารไู้ ด้อยา่ งไรว่าโลกมโี ครงสร้างภายในอย่างไร ? ศกึ ษาจากการตรวจจบั คลนื่ ท่เี กิดจากแผ่นดนิ ไหว และภูเขาไฟระเบดิ อาศยั คุณสมบตั ขิ องคลืน่ ท่เี คลอ่ื นทไี่ ดแ้ ตกต่างกัน ในตวั กลางตา่ ง ๆ คล่ืนแผน่ ดินไหวมี 2 ชนิด คอื P - wave และ S - wave 49

คล่นื แผ่นดินไหว1. P-wave (Primary หรอื Compressional waves) - เปน็ คล่นื ตามยาว คล้ายคลน่ื เสยี ง หรือคล่นื ทีเ่ กิดในสปริง - เดินทางไดใ้ นตวั กลางทั้งของแข็งและของเหลว2. S-wave (Secondary หรือ Shear waves) - คลื่นตามขวาง เหมอื นกับการสน่ั ของเชือก - ไม่สามารถเคล่ือนที่ผา่ นตวั กลางที่เปน็ ของเหลวได้ 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook