รายงาน ประเพณวี ฒั นธรรมภาคอสี าน จัดทาโดย นางสาวอพชั ชา ยะภักดี นักศึกษาช้ันปี ท่ี 3/2 รหัสนักศึกษา 6410540131054 เสนอ ผศ.สาโรช สอาดเอยี่ ม รายงานฉบบั นเี้ ป็ นส่วนหน่งึ ของรายวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการศึกษาค้นคว้า หลกั สูตรศึกษาศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตล้านนา ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566
คานา ศาสนา วฒั นธรรม และภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น เป็ นสิ่งที่มีควบคู่มากบั สังคมไทย และส่ิงเหล่าน้ีถือเป็น มรดกที่สาคญั ของภาคอีสาน ซ่ึงแสดงถึงเอกลกั ษณ์ ความภาคภมู ิใจ ดงั น้นั จึงเป็นหนา้ ที่ของคนในทอ้ งถิ่นท่ี จะตอ้ งร่วมกนั อนุรักษ์ ฟ้ื นฟู เผยแพร่ สืบสานสิ่งเหล่าน้ีสืบไป นางสาวอพชั ชา ยะภกั ดี ที่มีหน้าที่ ในการส่งเสริม อนุรักษ์ และสืบสานส่ิงเหล่าน้ีไม่ให้สูญหาย ดงั น้ันจึงไดจ้ ดั ทารายงานฉบบั น้ีข้ึนเพื่อเผยแพร่เก่ียวกบั ประเพณีวฒั นธรรมภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น ให้เด็กและ เยาวชน ประชาชนไดเ้ ห็นถึงความสาคญั อนั จะเป็นส่วนที่จะช่วยสืบสานใหค้ งอยคู่ ู่ทอ้ งถิ่นอยา่ งยงั่ ยนื นางสาวอพชั ชา ยะภกั ดี ผจู้ ดั ทา
สารบญั เรื่อง หน้า คานา ก สารบญั ข บญุ บ้งั ไฟ 1 ไหลเรือไฟ 8 ผตี าโขน 11 แห่ปราสาทผ้งึ 12 บุญผะเหวด 14 21 บรรณานุกรม
1 บุญบ้งั ไฟ บุญบ้งั ไฟเป็ นประเพณีหน่ึงของภาคอีสานของประเทศไทย ตลอดจนประเทศลาว โดยมีท่ีมาจาก นิทานพ้ืนบา้ นเรื่องพญาคนั คาก เร่ืองผาแดงนางไอ่ ซ่ึงในนิทานพ้ืนบา้ นดงั กล่าวไดก้ ล่าวถึง การที่ชาวบา้ น ไดจ้ ดั งานบญุ บ้งั ไฟข้ึนเพื่อเป็นการบชู า พญาแถน หรือเทพวสั สกาลเทพบุตร ซ่ึง ชาวบา้ นมีความเช่ือวา่ พระ ยาแถนมีหนา้ ที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกตอ้ งตามฤดูกาล และมีความช่ืนชอบไฟเป็นอยา่ งมาก หากหมู่บา้ นใดไม่ จดั ทาการจัดงานบุญบ้งั ไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกตอ้ งตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภยั พิบตั ิกับหมู่บ้านได้ ปัจจุบนั มีการจดั งานประเพณีบุญบ้งั ไฟท่ีมีชื่อเสียงเเละย่ิงใหญ่ในระดบั ประเทศมีท้งั หมด 4 เเห่ง ไดเ้ เก่ ประเพณีบุญบ้งั ไฟยโสธร ,ประเพณีบุญบ้งั ไฟสุวรรณภูมิ ,ประเพณีบุญบ้งั ไฟพนมไพร เเละประเพณีบุญบ้งั ไฟตะไลลา้ นกดุ หวา้ โดยท้งั น้ีการจดั งานประเพณีบุญบ้งั ไฟ ของ จงั หวดั ยโสธร ไดร้ ับการสนบั สนุนจากการ ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการประชาสัมพนั ธ์งานประเพณี เป็นท่ีรู้จกั แก่ชาวไทย และต่างประเทศ นบั แต่ ปี 2523 ซ่ึง งานประเพณีบุญบ้งั ไฟจงั หวดั ยโสธร จะจดั ข้ึนในวนั เสาร์ อาทิตย์ สัปดาห์ท่ีสอง ของเดือน พฤษภาคม ในทุกปี โดยท้งั น้ี ในงานท่ีจดั ของจงั หวดั ยโสธร ยงั มีความโดดเด่น ในวนั ก่อนแห่ มีการประกวด กองเชียร์ จานวนมาก รวมท้งั วนั แห่บ้งั ไฟ จะมีขบวนบ้งั ไฟแบบโบราณ และการราเซิ้งแบบโบราณ จาก ท้งั 9 อาเภอของจงั หวดั ยโสธร เขา้ ร่วมดว้ ย นอกจากน้ียงั พบว่า การจดั งานบ้งั ไฟในอดีต และปัจจุบนั ในพ้ืนท่ี จงั หวดั ร้อยเอ็ด มีความโดดเด่น และเก่าแก่ มานาน อายุไม่ต่ากว่า 300 ปี (ต้งั เเต่ปี พ.ศ. 2256 เป็ นตน้ มา) มี เอกลกั ษณ์เฉพาะตวั โดยเฉพาะที่ อาเภอสุวรรณภูมิ ที่มีการจดั งานในทุกวนั เสาร์ และวนั อาทิตยใ์ นสัปดาห์ แรกของเดือนมิถุนายนในทุกปี ซ่ึงเป็ นงานที่มีบ้งั ไฟเอส้ วยงามขนาดใหญ่มากท่ีสุด (ลายศรีภูมิ หรือ ลาย กรรไกรตดั ) รวมท้งั ขบวนราสวยงามมากท่ีสุดของประเทศ , อาเภอพนมไพร ท่ีมีการจดั งานในทุกวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 7 ของทกุ ปี ตามรูปแบบประเพณีด้งั เดิมตามฮีตสิบสองคองสิบส่ี(งานบุญปรจาเดือนทกุ เดือนในแต่ ละปี )โดยมีการจุดบ้งั ไฟถวายมากที่สุดในประเทศ โดยในแต่ละปี จะมีบ้งั ไฟหม่ืน บ้งั ไฟแสน บ้งั ไฟลา้ น รวมกนั กวา่ 1,000 บ้งั และอีกหน่ึงที่ท่ีน่าสนใจ คือ งานบุญบ้งั ไฟตะไลลา้ น บา้ นกดุ หวา้ ตาบลกุดหวา้ อาเภอ กุฉินารายณ์ จงั หวดั กาฬสินธุ์ เป็นชุมชนภูไทขาวเก่าแก่ ก่อต้งั หมู่บา้ นมาประมาณ 150 ปี เป็นบ้งั ไฟที่ข้ึนใน แนวนอนที่เรียกวา่ ตะไล เป็นตน้ แบบตะไลแห่งแรกของไทย ซ่ึงเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ของบญุ บ้งั ไฟของ บา้ นกุดหวา้ แห่งน้ี เทศกาลจุดตะไลน้ี จะจดั ข้นึ ในวนั เสาร์-อาทิตยส์ ปั ดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ซ่ึงไดร้ ับการสนบั สนุนจากการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทยเช่นเดียวกนั ท้งั น้ีจากขอ้ มูลในปัจจุบนั แหล่งที่มี ช่างในการจัดทา บ้ังไฟเอ้ ตกแต่งสวยงามมากที่สุด คือ จังหวดั ร้อยเอ็ด โดยเฉพาะ อาเภอสุวรรณภูมิ, อาเภอธวชั บุรี, อาเภออาจ สามารถ, อาเภอเสลภูมิ, อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน เป็นตน้ , ส่วนค่าย บ้งั ไฟ ที่มีการทาบ้งั ไฟจุด พบไดจ้ านวนมาก ในเขตอาเภอมหาชนะ
2 ชยั จงั หวดั ยโสธร, อาเภอพนมไพร จงั หวดั ร้อยเอ็ด และเขตจงั หวดั อ่ืน ๆ ทางอีสานเหนือ ไดแ้ ก่ กาฬสินธุ์ โดยเฉพาะอาเภอท่าคนั โท, อดุ รธานี, หนองคาย เป็นตน้ ด้านมิติทางวฒั นธรรม พบว่า งานประเพณีบุญบ้งั ไฟลายศรีภูมิ (การตกแต่งบ้งั ไฟ ประเภท ลาย กรรไกรตดั ) ของ ชาวอาเภอสุวรรณภูมิ จงั หวดั ร้อยเอ็ด มีมิติเชิงอนุรักษ์ และมีความโดดเด่น ดา้ นการสืบ สานผ่านช่างฝี มือ และเป็ นมรดกทางวฒั นธรรม สะทอ้ นวิถี \"เมืองศรีภูมิ หรือ สุวรรณภูมิ\" โดยในปี 2561 สานกั งานเทศบาลตาบลสุวรรณภูมิ จงั หวดั ร้อยเอด็ และนายสมศกั ด์ิ เศรษโฐ นายกเทศมนตรีตาบลสุวรรณ ภูมิ ได้รับรางวลั \"วฒั นคุณาธร\" จากการเป็ นองค์กร และบุคคล ผูส้ ่งเสริม สนับสนุน ศิลปวฒั นธรรม ประเพณีบุญบ้งั ไฟลายศรีภูมิ ระดบั ประเทศ จากกระทรวงวฒั นธรรมดว้ ย นอกจากน้ีแลว้ ในพ้ืนท่ีภาคเหนือ มีการจดั งานประเพณีบุญบ้งั ไฟ ของ ตาบลพุเตย อาเภอวิเชียรบุรี จงั หวดั เพชรบูรณ์ จดั งานประเพณีบุญบ้งั ไฟที่ยง่ิ ใหญ่ โดยการสนบั สนุนของ องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั เพชรบูรณ์ เช่นกนั ท้งั น้ี เน่ืองจากประชากร ในเขตพ้ืนท่ี ส่วนใหญ่ อพยพมาจาก เขตภาคอีสาน ในหลายสิบปี ก่อนหนา้ ส่วนภาคใต้ ยงั สามารถพบการ จดั งานบุญบ้งั ไฟ ในเขตอาเภอสุคิริน จงั หวดั นราธิวาส โดยเป็ นการละเล่นของชาวอีสานที่ยา้ ยถ่ินฐานมา ปักหลกั ทีนี่ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2518 โดยถือเป็นเพียงพ้ืนที่เดียวในภาคใตข้ องไทย นอกจากภาคอีสานท่ีมีการเล่น ประเพณีน้ี ยงั มีงานประเพณีบุญบ้ังไฟในภาคกลางของไทยอีกที่หน่ึง ในพ้ืนท่ี อาเภอแม่เปิ น จงั หวดั นครสวรรค์ และอาเภอลานสัก จงั หวดั อทุ ยั ธานี เน่ืองจากชาวบา้ นในพ้ืนที่ดงั กล่าวร้อยละ 85 เป็นชาวอีสาน ท่ีไดย้ า้ ยถิ่นฐานมาประกอบอาชีพเกษตรกรรม และไดน้ าวฒั นธรรมประเพณีบุญบ้งั ไฟที่ถือเป็นความเชื่อวา่ พระยาแถนมีหนา้ ท่ีคอยดูแลใหฝ้ นตกตอ้ งตามฤดูกาล จึงทาใหป้ ระเพณีบุญบ้งั ไฟใน อ.แม่เปิ น เกิดข้ึน และ ไดอ้ นุรักษไ์ ว้ เมื่อปี พ.ศ. 2532 อาเภอลานสัก จงั หวดั อุทยั ธานี คร้ังแรกในปี 2521 จนกลายเป็นประเพณีท่ีสืบ ทอดกนั มาจนถึงปัจจุบนั โดยมีการจดั ประเพณีเป็นประจาในช่วงเดือน 6-7 หรือประมาณสัปดาห์ที่สองของ เดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายนของทุกปี ซ่ึงที่ผา่ นมา ไดร้ ับความสนใจจากประชาชนในพ้ืนท่ี และจงั หวดั ใกลเ้ คียง เขา้ ร่วมงานกนั เป็นจานวนมาก และนอกจากน้ีในพ้ืนที่ภาคเหนือ ก็มีการละเล่นประเพณีบญุ บ้งั ไฟ เช่นเดียวกนั โดยเป็นหน่ึงในประเพณีของลา้ นนา โดยมีความเช่ือคลา้ ยกบั ภาคอีสาน คือ เป็นการถวายเป็ น พทุ ธบูชาและขอฝน ความเชื่อของชาวบ้านกบั ประเพณีบุญบ้งั ไฟ ชาวบา้ นเช่ือว่ามีโลกมนุษย์ และโลกเทมนุษยอ์ ยู่ใตอ้ ิทธิพลของเทวดา การราผีฟ้าเป็ นตวั อย่างที่ แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็ น อิทธิพลของแถน หากทาให้แถนโปรดปราน มนุษยก์ ็จะมีความสุข ดงั น้นั จึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบ้งั ไฟก็ อาจเป็นอีกวธิ ีหน่ึงท่ีแสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภกั ดีไปยงั แถน ชาวอีสานจานวนมากเช่ือว่าการ
3 จุดบ้งั ไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นน้ีอยทู่ วั่ ไป แตค่ วามเช่ือน้ียงั ไมพ่ บหลกั ฐานท่ี แน่นอน นอกจากน้ีในวรรณกรรมอีสานยงั มีความเช่ืออยา่ งหน่ึงคือ เรื่องพญาคนั คาก หรือคางคก พญาคนั คากไดร้ บกบั พญาแถนจนชนะแลว้ ใหพ้ ญาแถนบนั ดาลฝนลงมาตกยงั โลกมนุษย์ ความหมายของบ้งั ไฟ คาว่า “บ้งั ไฟ” ในภาษาถ่ินอีสานมกั จะสับสนกบั คาว่า “บอ้ งไฟ” แต่ที่ถูกน้ันควรเรียกว่า”บ้งั ไฟ” ดงั ท่ี เจริญชยั ชนไพโรจน์ ไดอ้ ธิบายความแตกต่างของคาท้งั สองไวว้ ่า บ้งั หมายถึง ส่ิงที่เป็นกระบอก เช่น บ้งั ทิง สาหรับใส่น้าดื่ม หรือบ้งั ขา้ วหลาม เป็นตน้ ส่วนคาวา่ บอ้ ง หมายถึง ส่ิงของใด ๆ กไ็ ดท้ ี่มี 2 ชิ้น มาสวม หรือประกอบเขา้ กนั ได้ ส่วนนอกเรียกวา่ บอ้ ง ส่วนในหรือสิ่งท่ีเอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บอ้ งมีด บอ้ งขวาน บอ้ งเสียม บอ้ งววั บอ้ งควาย ดงั น้นั คาว่า บ้งั ไฟ ในภาษาถ่ินอีสานจึงเรียกว่า บ้งั ไฟ ซ่ึงหมายถึง ดอกไมไ้ ฟชนิดหน่ึง มีหางยาวเอาดินประสิวมาควั่ กบั ถ่านไมต้ าให้เขา้ กนั จนละเอียดเรียกว่า หมื่อ (ดินปื น) และเอาหมื่อน้นั ใส่กระบอกไมไ้ ผ่ตาใหแ้ น่นเจาะรูตอนทา้ ยของบ้งั ไฟ เอาไผท่ ่อนอื่นมดั ติดกบั กระบอกให้ ใส่หมื่อโดยรอบ เอาไมไ้ ผ่ยาวลาหน่ึงมามดั ประกบต่อออกไปเป็ นหางยาว สาหรับใชถ้ ่วงหัวให้สมดุลกนั เรียกว่า “บ้งั ไฟ” ในทศั นะของผูว้ ิจยั บ้งั ไฟ คือการนาเอากระบอกไมไ้ ผ่ เลาเหล็ก ท่อเอสลอน หรือเลาไม้ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงมาบรรจุหมื่อ (ดินปื น) ตามอตั ราส่วนที่ช่างกาหนดไวแ้ ลว้ ประกอบท่อนหวั และท่อนหาง เป็ นรูปต่าง ๆ ตามที่ตอ้ งการ เพ่ือนาไปจุดพุ่งข้ึนสู่อากาศ จะมีควนั และเสียงดงั บ้งั ไฟมีหลายประเภท ตาม จุดม่งุ หมายของประโยชนใ์ นการใชส้ อย ส่วนประกอบของบ้ังไฟ บ้งั ไฟ ลายศรีภูมิ สุวรรณภูมิ จงั หวดั ร้อยเอด็ เลาบ้งั ไฟ เลาบ้งั ไฟคือส่วนประกอบท่ีทาหนา้ ที่บรรจุ ดินปื น มีลกั ษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาว มีความยาวประมาณ 1.5 - 7 เมตร ทาดว้ ยลาไมไ้ ผแ่ ลว้ ใชร้ ิ้วไม้ ไผ่ (ตอก) ปิ ดเป็นเกลียวเชือกพนั รอบเลาบ้งั ไฟอีกคร้ังหน่ึงให้แน่น และใชด้ ินปื นที่ชาวบา้ นเรียกวา่ \"หม่ือ\" อดั ใหแ้ น่นลงไปในเลาบ้งั ไฟ ดว้ ยวธิ ีใชส้ ากตาแลว้ เจาะรูสายชนวน เสร็จแลว้ นาเลาบ้งั ไฟ ไปมดั เขา้ กบั ส่วน หางบ้งั ไฟ ในสมยั ต่อมานิยมนาวสั ดุอื่นมาใชเ้ ป็นเลาบ้งั ไฟแทนไมไ้ ผ่ ไดแ้ ก่ ท่อเหลก็ ท่อพลาสติก เป็นตน้ เรียกวา่ เลาเหลก็ ซ่ึงสามารถอดั ดินปื นไดแ้ น่นและมีประสิทธิภาพในการยงิ ไดส้ ูงกวา่ หางบ้งั ไฟ หางบ้งั ไฟถือ เป็นส่วนสาคญั ทาหนา้ ท่ีคลา้ ยหางเสือ ของเรือคือสร้างความสมดุลใหก้ บั บ้งั ไฟคอยบงั คบั ทิศทางบ้งั ไฟใหย้ งิ ข้ึนไปในทิศทางตรงและสูง บ้งั ไฟแบบเดิมน้นั ทาจากไมไ้ ผท่ ้งั ลา ต่อมาพฒั นาเป็นหางท่อนเหล็กและหาง ท่อนไมไ้ ผ่ติดกนั หางท่อนเหล็กมีลกั ษณะเป็ นท่อนกลม ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร ทา หนา้ ที่เป็นคานงดั ยกลาตวั บ้งั ไฟชูโด่งช้ีเอียงไปขา้ งหนา้ ทามุมประมาณ 30-40 องศากบั พ้ืนดิน โดยบ้งั ไฟจะ ยน่ื ไปขา้ งหนา้ ยาวประมาณ 7-8 เมตร ปลายหางดา้ นหน่ึงต้งั อยบู่ นฐานที่ต้งั บ้งั ไฟ
4 ลูกบ้งั ไฟ เป็นลาไมไ้ ผท่ ่ีนามาประกอบเลาบ้งั ไฟโดยมดั รอบลาบ้งั ไฟ บ้งั ไฟลาหน่ึงจะประกอบดว้ ย ลูกบ้งั ไฟประมาณ 8-15 ลูก ข้นึ อยกู่ บั ขนาดของบ้งั ไฟ เดิมลกู บ้งั ไฟมีแปดลูกมีช่ือเรียกเรียงตามลาดบั คู่ขนาด ใหญ่ไปหาคู่ท่ีมีขนาดเล็กกว่าไดแ้ ก่ ลูกโอ้ ลูกกลาง ลูกนางและลูกกอ้ ย ลูกบ้งั ไฟช่วยให้รูปทรงของบ้งั ไฟ กลมเรียวสวยงาม นอกจากน้ีลูกบ้งั ไฟยงั เป็ นพ้ืนผิวรองรับการเอห้ รือการตกแต่งลวดลายปะติดกระดาษ ( โดยที่นิยมทวั่ ไป คือ ลายสับ ส่วนที่เป็นเอกลกั ษณ์เพียงหน่ึงเดียวที่มีการกาหนดมาตรฐาน ลายกรรไกรตดั ในประเทศไทย คือ \"ลายศรีภมู ิ\" พบมีการทาในเขตอาเภอสุวรรณภมู ิ จงั หวดั ร้อยเอด็ ) องค์ประกอบการตกแต่งบ้ังไฟ หรือ การเอ้บ้ังไฟ การเอบ้ ้งั ไฟ เอ้ ในภาษาลาวหรือ ภาษถ่ินอีสาน น้นั แปลวา่ ตกแตง่ ประดบั ใหส้ วยงาม โดย นอกจากใช้ กบั การตกแต่งรถบ้งั ไฟสวยงาม หรือ ตวั บ้งั ไฟให้สวยงามแลว้ ยงั ใช้รวมถึง กบั นางราในขบวนฟ้อน เช่น \"นางเอ\"้ หมายถึง นางรา หรือ ช่างฟ้อน ท่ีหนา้ ตาสวย โดดเด่น หรือ ราสวยงาม เอาไว้ ประดบั ขบวน หรือ ราในแถวหนา้ ของขบวนฟ้อน เป็นตน้ โดยปกติ การเอบ้ ้งั ไฟ ในสมยั ก่อน ในแต่ละชุมชน จะมีการตกแต่ง บ้งั ไฟ และการตกแต่งเครื่องประกอบ ในรถที่ใชแ้ ห่บ้งั ไฟ (เกวียน) หรือ รถยนตใ์ นปัจจุบนั เรียกว่า \"เครื่อง ล่าง\" โดยเคร่ืองล่าง หมายถึง ส่วนองคป์ ระกอบอ่ืน ๆ ท่ีนอกเหนือ จาก ตวั บ้งั ไฟ โดย ในชุมชน คุม้ วดั ใน เขต เทศบาลเมืองยโสธร มีการจดั ทาและตกแต่งบ้งั ไฟเอ้ ของชุมชน (ในราว 30 ปี ก่อน) และ อาเภอสุวรรณ ภูมิ จงั หวดั ร้อยเอ็ด ที่นิยมตกแต่งบ้งั ไฟ และเครื่องล่าง ดว้ ยลายกรรไกรตดั (มากกว่า 200 ปี ) ซ่ึงมีคุม้ วดั และ ชุมชนในเขตเทศบาลตาบลสุวรรณภูมิ (เมืองศรีภูมิ) มีบ้งั ไฟของตนเองในแต่ละชุมชน นอกจากน้ี ยงั พบวา่ ในหลายหมู่บา้ น ในเขตพ้ืนท่ีจงั หวดั ร้อยเอ็ด จงั หวดั ยโสธร จงั หวดั กาฬสินธุ์ มีการจดั ทาบ้งั ไฟเอ้ ตกแต่ง สวยงาม ในแต่ละชุมชน มาแต่ยุคก่อนท่ี จะมีการประชาสัมพนั ธ์ ให้งานประเพณีบุญบ้งั ไฟจงั หวดั ยโสธร เป็ นงานประเพณีประจาจงั หวดั และโปรโมทโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในปี 2523 ซ่ึงในปัจจุบนั หลงั ปี 2530 เป็นตน้ มา พบว่า การทาบ้งั ไฟเอต้ กแต่งสวยงาม เร่ิมมีขนาดใหญ่ข้ึน ใชง้ บประมาณเป็นจานวน มาก โดยระยะหลงั ในเขตเทศบาลเมืองยโสธร ไม่มีการทาบ้งั ไฟเอห้ รือการตกแต่งบ้งั ไฟโดยคนในชุมชน แลว้ แตน่ อกเขตพ้ืนท่ี ในอาเภอของจงั หวดั ยโสธร ยงั คงมีการจดั ทาและตกแตง่ เอบ้ ้งั ไฟ อาทิ อาเภอทรายมูล และอาเภอคาเขื่อนแกว้ โดยเป็นบ้งั ไฟเอ้ ขนาดเลก็ และขนาดกลาง ส่วนที่อาเภอสุวรรณภูมิ พบว่า ยงั คงมี การจดั ทาและตกแตง่ บ้งั ไฟ โดยคนในชุมชน และช่างในพ้ืนที่เรียกวา่ \"บ้งั ไฟลายศรีภมู ิ\" ส่วนบ้งั ไฟเอข้ นาด ใหญ่ และเครื่องล่าง (ตวั รถบ้งั ไฟ) ท่ีมีขนาดใหญ่ และสวยงามน้ัน พบว่า มีการทาและพฒั นาต่อเน่ือง ใน หมู่บา้ น โดยช่างพ้ืนบา้ น โดยเฉพาะ อ.ครุฑ ภูมิแสนโคตร บา้ นทรายขาว ตาบลนาเมือง อาเภอเสลภูมิ จงั หวดั ร้อยเอ็ด ที่ได้รับรางวลั ชนะเลิศ ในการจดั งานประเพณีบุญบ้งั ไฟในพ้ืนท่ีจังหวดั ยโสธร, อาเภอ สุวรรณภูมิ, อาเภอพนมไพร จงั หวดั ร้อยเอ็ด และในเขตภาคอีสาน ต่อเน่ือง และ อ.เลื่อน สามาลา ช่างบ้งั ไฟ ตกแต่งสวยงาม แห่ง บา้ นแคน ตาบลโหรา อาเภออาจสามารถ จงั หวัดร้อยเอ็ด ที่มีบ้งั ไฟสวยงาม ไดร้ างวลั
5 ชนะเลิศ ท้งั ในงานประเพณีบุญบ้งั ไฟจงั หวดั ยโสธร อาเภอสุวรรณภมู ิ จงั หวดั ร้อยเอด็ รวมท้งั เขตพ้ืนท่ีอื่น ๆ ในภาคอีสาน และภาคกลางดว้ ย โดยท้งั น้ี ช่างที่จดั ทาบ้งั ไฟและตกแต่งบ้งั ไฟสวยงาม ในรูปแบบเอกลกั ษณ์ ลายกรรไกรตดั หรือ \"ลายศรีภูมิ\" น้นั ที่มีชื่อเสียงและเป็ น ปราชญ์แห่งทอ้ งทุ่งกุลา คือ อ.เลียบ แจง้ สนาม ภูมิลาเนา บา้ นเลา้ ขา้ ว ตาบลหินกอง อาเภอสุวรรณภูมิ จงั หวดั ร้อยเอด็ (ปัจจุบนั พานกั ในเขต อาเภอเกษตร วิสัย จงั หวดั ร้อยเอด็ ) โดยรายละเอียดของบ้งั ไฟและการตกแต่งบ้งั ไฟลายสับ หรือ ทว่ั ไป รวมท้งั เครื่องล่าง จะประกอบดว้ ย ลายบ้งั ไฟ : ใชล้ ายศิลปไทย คือ ลายกนก อนั เป็นลายพ้ืนฐานในการลบั ลายบ้งั ไฟ โดยช่าง จะนิยมใช้กระดาษดงั โกทองดา้ นเป็ นพ้ืนและสีเม็ดมะขามเป็นตวั สับลาย (ยกเวน้ ลายศรีภูมิ ในเขตอาเภอ สุวรรณภูมิ จงั หวดั ร้อยเอ็ด ที่เป็น ลายกรรไกรตดั และนิยมใชส้ ีแดงเลือกนก ตดั สีเหลืองทอง) เพื่อให้ลาย เด่นชดั ในการตกแตง่ เพอื่ ใหค้ วามสวยงาม 1. ตวั บ้งั ไฟ : มีลูกโอจ้ ะใชล้ ายประจายาม ลายหนา้ เทพพนม ลายหนา้ กาล ลกู เอใ้ ชล้ ายประจายาม กา้ มปู เปลว และลายหนา้ กระดาน ฯลฯ 2. กรวยเชิง : เป็นลวดลายไทยที่เขียนอยเู่ ชิงยาบท่ีประดบั พริ้วลงมาจากช่วงตวั บ้งั ไฟ 3. ยาบ : เป็นผา้ ประดบั ใตเ้ ลาบ้งั ไฟ จะสับลายใดข้ึนอยูก่ บั ช่างบ้งั ไฟน้นั เช่น ลายกา้ นขดู ลายกา้ น ดอก ใบเทศ 4. ตวั พระนาง : เป็นรูปลกั ษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่ หรือตวั ละครในเร่ืองรามเกียรต์ิ พระลกั ษณ์ พระราม เป็ นตน้ 5. กระรอกเผือก : ทา้ วพงั คี แปลงร่างมาเพ่ือใหน้ างไอ่หลงใหล 6.ปลอ้ งคาด : ลายรักร้อย ลายลกู พดั ใบเทศ ลายลูกพดั ขอสร้อย เป็นตน้ 7. เกริน : เป็นส่วนท่ีย่นื ออกสองขา้ งของบุษบก เป็นรูปรอนเบ็ดลายกนก สาหรับต้งั ฉัตรทา้ ยเกริน ราช รถประดบั ส่วนทา้ ยของหางบ้งั ไฟ 8. บษุ บก : เป็นองคป์ ระกอบไวบ้ นราชรถ เพอื่ สมมุติใหเ้ ป็นปราสาทผาแดงนางไอ่ 9. ตา้ งบ้งั ไฟ : ลายกระจงั ปฏิญาณ ลายกา้ นขด ลายพุ่มขา้ วบิณฑ์ 10. ลายประกอบตกแต่งอื่น ๆ : ลายกระจงั ต้งั กระจงั รวน กระจงั ตาออ้ ย ลายน่องสิงห์ บวั ร่วน กลีบขนุน
6 ประเภทของบ้ังไฟ 1. บ้งั ไฟโหวด บ้งั ไฟโบดหรือโหวดเป็นบ้งั ไฟขนาดเลก็ ตวั กระบอกจะยาวข้ึน ประมาณ 4-10 นิ้ว บรรจุ หมื่อหนกั ประมาณ 1 ส่วน 8 ถึง 1 ส่วน 2 กิโลกรัม ใชห้ างยาวประมาณ 1-4 เมตร มีกระบอกไมไ้ ผเ่ ลก็ ๆ มดั วางรอบตวั บ้งั ไฟ นิยมทาประกอบกนั ในบ้งั ไฟใหญ่ (บ้งั ไฟหมื่น, บ้งั ไฟแสน) ปัจจุบนั ไมค่ ่อยนิยมทา เพราะ ไม่มีช่างบ้งั 2. ไฟมา้ บ้งั ไฟชนิดน้ีเป็ นบ้ังไฟขนาดเล็กจุดไปตามทิศทางท่ีกาหนดใช้เส้นลวดเป็ นวิถีตรึงไปยงั เป้าหมายท่ีตอ้ งการ ลกั ษณะทวั่ ไปเป็นบ้งั ไฟที่ทาจากกระบอกไมไ้ ผ่ 1 ปลอ้ ง ขนาดแลว้ แต่ตอ้ งการโดยทว่ั ไป เส้นผ่าศูนยก์ ลางประมาณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 1 ฟุตทางภาคกลางและภาคอีสานเรียกวา่ “ลูกหนู” คลา้ ยมา้ ที่ กาลงั วิ่ง ถา้ ติดรูปอะไรก็เรียกช่ือไปตามน้ัน เป็ นคนขี่มา้ รูปววั แลว้ แต่จะทารูปอะไร บางคร้ังภาคเหนือ เรียกวา่ บอกไฟยงิ 3. บ้งั ไฟชา้ ง บ้งั ไฟชนิดน้ีไม่มีหาง มีชื่ออีกอยา่ งหน่ึงว่ากระโพกหรือตะโพก เวลาจุดไม่ตอ้ งการให้พุ่ง ข้ึนไปแต่ตอ้ งการมีเสียงร้องคลา้ ยกบั ชา้ งร้อง วิธีทาบ้งั ไฟให้ใชก้ ระบอกไมไ้ ผท่ ี่มีขนาดใหญ่ท่ีสุดยาวเพียง ป้องเดียวใหม้ ีขอ้ ปิ ดท้งั 2 ดา้ น ทุบไมไ้ ผใ่ หแ้ ตกเลก็ นอ้ ย เจาะรู เพ่อื บรรจุหมื่อแลว้ ต่อชนวนเขา้ รูแท่งหมื่อทา จากหมื่อถ่าน 3-4 อดั ลงในไมไ้ ผ่ขนาดเล็กให้แน่น แลว้ ผ่าเอาแท่งหม่ือออกมาคลา้ ยขา้ วหลาม ให้ไดแ้ ท่ง ประมาณ 3 นิ้ว การจุดน้นั นิยมต่อพ่วงชนวนบ้งั ไฟใหญ่ เวลาจุดชนวนผา่ จะเกิดเสียงดงั เหมือนเสียงชา้ งร้อง นิยมวางต่อกนั เป็นช่วง ๆ กระบอก ถา้ ตอ้ งการจะใหม้ ีเสียงดงั อยา่ งไรก็จะมีเทคนิคในการทาใหเ้ กิดเสียงน้นั ๆ 4. บ้งั ไฟแสน บ้งั ไฟชนิดน้ีเป็นบ้งั ไฟขนาดใหญท่ ี่สุด บรรจุดินปื นหนกั 120 กิโลกรัมข้นึ ไป บ้งั ไฟขนาด น้ีทายากท่ีสุดจะตอ้ งอาศยั ความชานาญเป็ นพิเศษ เพราะบ้งั ไฟขนาดน้ีหากแตกแลว้ จะเป็ นอนั ตรายมาก เพราะฉะน้นั ก่อนทาบ้งั ไฟจะตอ้ งมีพธิ ีกรรมบวงสรวงใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การทาบ้งั ไฟแสนเสียก่อนจึงจะลง มือทา เม่ือตกบ้งั ไฟเสร็จเรียบร้อยแลว้ จะมีการตกแต่งประดบั ประดาบ้งั ไฟ 5. บ้งั ไฟตะไล บ้งั ไฟชนิดน้ีก็คือบ้งั ไฟจินายขนาดใหญ่นนั่ เอง มีความยาวประมาณ 9-12 นิ้ว รูปร่างกลม มีไมบ้ าง ๆ แบน ๆ เป็นวงกลมครอบหวั ทา้ ยบ้งั ไฟเมื่อพงุ่ ข้ึนสู่ฟ้าไปโดยทางขวาง 6. บ้งั ไฟต้ือ บ้งั ไฟต้ือหรือบ้งั ไฟกระแตนั่งตอ เป็ นบ้งั ไฟขนาดเล็กมีหางส้ัน วิธีทา ตดั กระบอกไมไ้ ผ่ ขนาด 1 นิ้วคร่ึงยาวประมาณ 3 นิ้ว อดั หมื่อใหแ้ น่นประมาณ 2 นิ้ว ใชห้ มื่อถ่านสามหรือถ่านสี่อดั ดว้ ยเถียด ไมใ้ หแ้ น่น ตอ่ หางซ่ึงทาจากไมไ้ ผ่ เหลาเป็นแท่งเลก็ ๆ ใชเ้ ลื่อยตดั มมุ ขอ้ ออกจนเห็นหม่ือ เจาะใหเ้ ป็นรูเลก็ ๆ แลว้ ติดชนวน เวลาจะจุดเอาหางเสียบลงในแท่นท่ีต้งั พอใหต้ ้งั ได้ จุดชนวนจากดา้ นบน บ้งั ไฟจะพงุ่ และหมุน
7 ข้ึนสู่อากาศ เกิดเสียงดงั ตือ ๆ เวลาหมุนจะไม่ค่อยมีทิศทาง ใช้จุดในงานศพ เวลาจุดมีอนั ตรายมากไม่ค่อย นิยมทากนั 7. บ้งั ไฟพลุ บ้งั ไฟพลุ เป็นบ้งั ไฟท่ีนิยมจุดในเทศกาลตา่ ง ๆ เช่น งานกฐิน งานบุญมหาชาติ หรือ งานเปิ ด กีฬา ฯลฯ เป็นบ้งั ไฟท่ีจุดแลว้ ทาใหเ้ กิดเสียงดงั ในอดีตนิยมจุดในงานกฐิน เพ่ือเป็นการบอกข่าวไปยงั พนี่ อ้ ง ประชาชนทวั่ ไปใหท้ ราบ
8 ไหลเรือไฟ ไหลเรือไฟ เป็ นประเพณีท่ีสาคญั ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ นบั เป็ นอีกหน่ึงฮีตท่ีถือปฏิบตั ิกนั ในฮีตสิบสองหรือประเพณีสิบสองเดือน และเป็นประเพณีท่ียดึ ถือปฏิบตั ิกนั มาชา้ นาน นอกจากน้นั ประเพณี ไหลเรือไฟยงั เป็ นวฒั นธรรมท่ีคลา้ ยคลึงกนั หลายจงั หวดั แตกต่างกนั ออกไปในแต่ละทอ้ งถิ่น แต่ที่มีความ โดดเด่นคือประเพณีไหลเรือไฟของชาวจงั หวดั นครพนม ความเช่ือสู่วิถชี ีวติ ไหลเรือไฟของชาวจงั หวดั นครพนมเป็ นพิธีกรรมที่เกี่ยวเน่ืองในพุทธศาสนา และเป็ นพิธีกรรมที่ ยดึ ถือปฏิบตั ิกนั มาจนเกิดเป็นประเพณีเฉพาะทอ้ งถิ่นข้ึน บางคร้ังเรียกวา่ ลอยเรือไฟ หรือล่องเรือไฟ แต่ใน ปัจจุบนั เรียกวา่ “ไหลเรือไฟ” ประเพณีไหลเรือไฟเป็นพธิ ีกรรมหน่ึงในงานบุญออกพรรษา เป็นประเพณีฮีต สิบสองของชาวอีสาน จดั ข้ึนในวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 11 เชื่อกนั ว่า การไหลเรือไฟในแมน่ ้าโขงคือการขอขมา และราลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา พร้อมกบั บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจา้ นอกจากน้ันยงั มีความเช่ือท่ี ช้ีใหเ้ ห็นถึงภมู ิปัญญาในเชิงสร้างสรรคท์ างดา้ นการเกษตรกรรม เช่ือวา่ การไหลเรือไฟจะทาใหฝ้ นในปี ต่อไป ดี เพราะการไหลเรือไฟเป็นการปล่อยไฟลงน้า ทาใหพ้ ญานาคท่ีอยใู่ นน้าไดร้ ับความเดือดร้อนแลว้ หอบน้า หนีข้นึ ไปอยบู่ นฟ้า พอถึงเดือนหกน้าในโลกมนุษยจ์ ะแหง้ ผคู้ นเดือดร้อน จึงพากนั จุดบ้งั ไฟขอฝน พอมนุษย์ จุดบ้งั ไฟข้ึนไป พญาแถนจะสั่งให้พญานาคนาน้าท่ีหอบข้ึนมาไปคืนในโลกมนุษย์ จึงตกลงมาเป็ นน้าฝน ประเพณีไหลเรือไฟจึงมีการเก่ียวโยงสมั พนั ธก์ นั หลายความเช่ือ ท้งั ความเชื่อเก่ียวกบั ศาสนาในการบูชารอย พระพุทธบาท ความเช่ือเกี่ยวกบั วนั พระเจา้ เปิ ดโลก ความเช่ือเกี่ยวกบั การขอขมาและราลึกถึงพระแม่คงคา รวมไปถึงความเชื่อเกี่ยวกบั การขอฝน ถือไดว้ า่ ชาวนครพนมไดผ้ สมผสานความเช่ือของการไหลเรือไฟไว้ เป็นท่ียดึ ถือปฏิบตั ิต่อกนั มาไดอ้ ย่างเหนียวแน่น นอกจากน้นั การไหลเรือไฟยงั สะทอ้ นให้เห็นถึงอตั ลกั ษณ์ เฉพาะตนและวิถีชีวิตของชาวลุ่มแม่น้าโขงท่ีอาศยั น้าในการหล่อเล้ียงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการอุปโภคบริโภค การทาการเกษตร การประมง รวมถึงการคมนาคมน้า และยงั แสดงถึงการมีวฒั นธรรมร่วมกนั ของชาวไทย- ลาว ที่ให้ความสาคญั กบั แม่น้า เป็ นประเพณีท่ีปฏิบตั ิร่วมกนั ของคนท้งั สองฝ่ังแม่น้าโขง เป็ นการอนุรักษ์ ประเพณีวฒั นธรรมร่วมกนั ทาใหม้ ีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ จึงทาใหป้ ระเพณียงั คงสืบต่อไป แมค้ วามเช่ือความ
9 ศรัทธาอาจจะนอ้ ยลงไปหรือเปลี่ยนแปลงตามยคุ สมยั เพราะการเขา้ มาของค่านิยมสมยั ใหม่ ที่ทาให้คนส่วน ใหญ่หนั ไปมองความสวยงามตระการตา และการแข่งขนั เพ่ือชิงรางวลั มากกวา่ ความศรัทธาท่ีมีมาต้งั แตอ่ ดีต พธิ ีกรรมและรูปแบบจากอดีตถึงปัจจบุ ัน งานประเพณีไหลเรือไฟของชาวนครพนมเป็นเทศกาลงานประเพณีที่ยงิ่ ใหญข่ องผคู้ นแถบล่มุ แม่น้า โขง ท้งั ชาวไทยและชาวลาวจะมาร่วมงานกนั อย่างเนืองแน่น ความโดดเด่นของงานอยู่ที่เรือไฟซ่ึงส่องแสง สวา่ งสวยงามยามค่าคืนกลางลาน้าโขง ในงานเตม็ ไปดว้ ยผูค้ นจากทุกสารทิศ ในอดีตมีการทาเรือไฟดว้ ยไม้ ไผ่และตน้ กลว้ ย ยาวเพียง 5-6 วาเท่าน้นั ความสูง ไม่เกิน 1 เมตร และเป็นรูปเรือธรรมดา ทาราวไวส้ องขา้ ง เพื่อวางข้ีกะไต้ ตะเกียง หรือโคมไฟ มีการจดั ขา้ วปลาอาหารขนมนมเนย ฝ้ายไน ไหมหลอด เสื่อผืน บรรจุ ไวข้ า้ งใน พอเวลาประมาณ 5 โมงเยน็ จะเริ่มทาพิธี โดยนิมนตพ์ ระมาสวดและหลงั การรับศีล ฟังเทศน์ ไหว้ พระเรียบร้อยแลว้ จึงใหญ้ าติโยมตกแต่งเรือดว้ ยดอกไมธ้ ูปเทียนท่ีถือไปบาเพญ็ กุศลน้นั เอง พอย่าค่ากน็ าเรือ ไฟออกไปกลางแมน่ ้าโขงแลว้ จุดไฟปลอ่ ย ใหเ้ รือไหลไปตามลาน้าส่งแสงระยบิ ระยบั ทอดยาวไปไกลจนสุด สายตา ปัจจุบนั มีการพฒั นารูปแบบของเรือไฟที่แตกตา่ งกนั ออกไปตามยคุ สมยั หรือตามกระแสนิยมที่เขา้ มา มีบทบาทในช่วงเวลาน้นั ๆ เทคโนโลยีจึงเป็นอีกส่วนหน่ึงท่ีเขา้ มาอยใู่ นกรอบแนวคิดของเจา้ ของวฒั นธรรม ซ่ึงไดก้ ลายมาเป็นแนวคิดใหม่ท่ีทาให้ประเพณีพิธีกรรมมีการเปล่ียนแปลงไปจากเดิม ประเพณีไหลเรือไฟ ของชาวจงั หวดั นครพนมจึงมีการฟ้ื นฟูเพื่อจดั ทาเป็ นประเพณีในอีกรูปลกั ษณะหน่ึงตามกระแสของการ ส่งเสริมการทอ่ งเที่ยว เพือ่ ใหถ้ ือเป็นประเพณีท่ีใหญ่ระดบั ประเทศ เป็นการพฒั นางานประเพณีใหส้ อดคลอ้ ง และเหมาะสมกบั สภาพสังคมปัจจุบนั เน้นรูปแบบเรือไฟที่นาเสนอความสวยงาม แต่อย่างไรก็ตามชาว นครพนมยงั สืบทอดวิธีการด้งั เดิมเอาไวโ้ ดยจดั ทาเรือไฟแบบเก่าให้เป็ นตน้ แบบหลกั ให้ไหลไปก่อนที่จะ ตามมาดว้ ยเรือไฟท่ีเนน้ ความสวยงาม ปัจจุบนั ชาวจงั หวดั นครพนมไดจ้ ดั ทาเรือไฟข้ึน โดยการหนั มาเนน้ ใน เรื่องของดวงไฟที่จะใหป้ รากฏเป็นภาพเรือไฟที่งดงาม ส่วนประกอบยงั เป็น 2 ส่วนใหญๆ่ เช่นเดิมคือ ส่วนที่ เป็นทุ่นสาหรับลอยน้าทาดว้ ยลาไมไ้ ผร่ วมเป็นกลุ่มมดั เขา้ ดว้ ยกนั วางไวใ้ นน้าเป็น 2-3 แถวเพื่อรับน้าหนกั ส่วนท่ี 2 คือโครงร่างท่ีใช้เหลก็ เส้นดดั - ตดั เช่ือมต่อกนั เป็ นรูปร่างตามท่ีตอ้ งการ อาจเป็นรูปสัตว์ ปราสาท เจดีย์ ฯลฯ ในบางหน่วยงานหรือบางอาเภอที่จดั ทาเรือไฟส่วนท่ีเป็นทนุ่ จะทาดว้ ยการใชถ้ งั น้ามนั ท่ีไมใ่ ชแ้ ลว้ ขนาด 200 ลิตรเป็นถงั เปล่า วางลอยทาเป็นลกั ษณะคลา้ ยแพ ดา้ นบนถงั วางเป็นแผน่ เรียงติดกนั 3 ระยะ คือ ตน้ แพกลางแพและทา้ ยแพ ท้งั น้ีดว้ ยจุดประสงค์ท่ีตอ้ งการให้แพน้ีรับน้าหนักของโครงร่างที่เป็ นเหล็กได้ และยงั สามารถนาถงั น้ามนั เปลา่ น้ีมาใชไ้ ดใ้ นการจดั สร้างเรือไฟในปี ตอ่ ไป จะเห็ นได้ว่าการไหล เ รื อไฟ ในปั จจุ บันไ ด้มี กา ร เปลี่ ยน แปลงไ ปหลาย อย่าง ท้ ังด้าน รู ป แ บ บ จุดมุ่งหมายและพิธีการ ความแตกต่างของยุคสมยั ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลง ประเพณีไหลเรือไฟที่นับถือ
10 และปฏิบตั ิกนั มาเป็ นเวลาช้านานโดยต้งั อยู่บนความศรัทธาและความเชื่อ ไดถ้ ูกสอดแทรกดว้ ยเทคโนโลยี สมยั ใหม่กบั กระแสนิยมบนการส่งเสริมวฒั นธรรมการท่องเท่ียว สมยั ก่อนเราจะเห็นถึงความอ่อนนอ้ มถอ่ ม ตนท่ียดึ มน่ั ต่อส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ และความเคารพบชู าต่อแมน่ ้าแหล่งชีวิตที่อยอู่ าศยั รวมถึงการทาเรือไฟเราจะเห็น ว่าในอดีตจะใชไ้ มท้ ี่สามารถลอยน้าได้ เช่น ไมง้ ิ้ว ไมไ้ ผ่ เป็ นตน้ ต่อมาพฒั นาใชถ้ งั น้ามนั เป็ นทุ่นลอยและ ปัจจุบนั เปล่ียนเป็นการใชเ้ รือจริงๆ ส่วนการตกแต่งเมื่อก่อนน้ันไม่เนน้ เร่ืองความสวยงาม แต่จะใชด้ อกไมธ้ ูปเทียน ขนม ขา้ วตม้ และ เคร่ืองใช้ ฯลฯ ใส่ลงไปในเรือเพ่ือเป็นการทาบุญ ปัจจุบนั เรือไฟมีการเนน้ เรื่องความสวยงามมากข้ึนเพื่อการ ประกวด และไม่นิยมใส่ของลงไปในเรือ เมื่อปล่อยเรือเสร็จก็จะนามาเก็บไวเ้ พ่ือใชป้ ระกวดในคราวต่อไป ส่วนในด้านของประชาชนที่มาร่วมงาน ก่อนน้ันมาร่วมพิธีกรรมด้วยพ้ืนฐานของความศรัทธาในพุทธ ศาสนา เป็นการบูชาส่ิงต่างๆท่ีเชื่อถือกนั มานาน เช่นการบูชารอยพระพุทธบาท ฯลฯ ปัจจุบนั มีประชาชน เพียงส่วนนอ้ ยท่ียงั คงมีความเช่ือถือและศรัทธาในพิธีกรรมแบบเดิม เพราะประชาชนส่วนใหญ่ขาดความรู้ เกี่ยวกบั ที่มาและความสาคญั ของประเพณีน้ี ขาดศรัทธาที่จะทา ท้งั น้ีอาจจะเป็นเพราะปัจจุบนั จุดประสงคใ์ น การทาจะออกมาในรูปแบบของการประกวดเพ่ือชิงรางวลั และตอบสนองค่านิยมท่ีส่งเสริมการท่องเท่ียวเป็น หลกั จากการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนยงั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความแตกต่างของการจดั สร้างเรือไฟท่ีไดห้ ันมา เน้นด้านความใหญ่โตเป็ นสาคญั ทาให้ค่าใช้จ่ายในการจดั สร้างสูงข้ึนในบางปี เพ่ือเน้นเรื่องชื่อเสียงของ หน่วยงานอาเภอที่ส่งเขา้ ประกวดในงาน ทาใหง้ บประมาณคา่ จดั สร้างสูงกว่าท่ีจงั หวดั ต้งั ไวเ้ ป็นรางวลั สูงสุด อย่างไรก็ดียงั หากมองความเปลี่ยนแปลงในด้านบวก ทาให้เรามองเห็นความแตกต่างท่ีมีการพฒั นาข้ึน ประเพณีท่ีสืบทอดมาเป็นเวลานานสะทอ้ นให้เห็นถึงความรักในวฒั นธรรมของชาวจงั หวดั นครพนม และท่ี สาคญั คือ เห็นถึงความเสียสละ ความร่วมมือร่วมแรงของกลุ่มคนในหน่วยงาน อาเภอ การแข่งขนั ทาเรือไฟ แมว้ ่าจะอยภู่ ายใตก้ ติกากาหนด แต่ความคิดสร้างสรรคไ์ ม่อาจหยดุ ได้ การคิดคน้ เทคนิคเพื่อนาเสนอผชู้ มจึง เป็นส่ิงที่ทาใหช้ ่างทาเรือไฟตอ้ งหาสิ่งแปลกใหม่มาเพิ่มให้เรือของตนมีความโดดเด่นเหนือเรือลาอื่นๆ เพื่อ สร้างความประทบั ใจให้แก่ผูช้ ม ศิลปะในการจดั สร้างเรือไฟของชาวนครพนมไดผ้ ่านการเรียนรู้สะสม สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงวฒั นธรรมที่ถา่ ยทอดออกมาอยา่ งน่าท่ึง และศิลปะเหลา่ น้ียงั คงจะตอ้ งวิวฒั นาการต่อไป
11 ผีตาโขน ผตี าโขน เป็นเทศกาลที่จดั ข้ึนในอาเภอด่านซา้ ย จงั หวดั เลย ซ่ึงต้งั อยทู่ างภาคอีสาน ของประเทศไทย เป็ นเทศกาลท่ีเกิดข้ึนในเดือน 7 ซ่ึงมกั จดั มากกว่าสามวนั ในบางช่วงระหว่างเดือนมีนาคม และกรกฎาคม โดยจดั ข้นึ ในวนั ที่ไดร้ ับเลือกให้จดั ข้ึนในแตล่ ะปี โดยคนทรงประจาเมือง ซ่ึงงานบุญประเพณีพ้ืนบา้ นน้ีมีชื่อ เรียกว่า บุญหลวงโดยแบ่งออกเป็ นเทศกาล ผีตาโขน, ประเพณีบุญบ้งั ไฟ และงานบุญหลวง (หรือ บุญผะ เหวด) ผีตาโขน น้นั เดิมมีชื่อเรียกวา่ ผีตามคน เป็นเทศกาลที่ไดร้ ับอิทธิพลมาจากมหาเวสสันดรชาดก ชาดก ในทางพระพุทธศาสนา ที่ว่าถึงพระเวสสันดร และพระนางมัทรี จะเดินทางออกจากป่ ากลบั สู่เมืองหลวง บรรดาสัตวป์ ่ ารวมถึงภูติผีที่อาศยั อยู่ในป่ าน้ัน ไดอ้ อกมาส่งเสด็จดว้ ยอาลยั ซ่ึงวนั แรกจะเป็ นเทศกาลผีตา โขน ซ่ึงเรียกวนั น้ีวา่ วนั รวม (วนั โฮม) โดยจะมีพิธีเบิก พระอุปคุตต์ ในบริเวณระหว่างลาน้าหมนั กบั ลาน้า ศอก ส่วนวนั ที่สองของเทศกาลดงั กล่าวจะมีพธิ ีจุดบ้งั ไฟบูชา พร้อมดว้ ยเคร่ืองแต่งกายที่หลากหลาย รวมถึง การแข่งขนั เตน้ ราตลอดจนขบวนพาเหรด ส่วนในวนั ที่สามและวนั สุดทา้ ยจะมีการให้ชาวบา้ นฟังเทศน์ นอกจากน้ี ผีตาโขนยงั ได้รับการนามาใช้เป็ นสัญลกั ษณ์ และฉายาประจาสโมสรฟุตบอลเลย ซิต้ี และ ประเพณียงั คงมีความเช่ือกนั ว่า สาหรับคนท่ีเล่นหรือมีการแต่งตวั เป็นผีตาโขนใหญ่ ตอ้ งถอดเคร่ืองแต่งกาย ผีตาโขนใหญ่ออกให้หมดและนาไปทิ้งในแม่น้าหมนั ห้ามนาเขา้ บา้ น เป็ นการทิ้งความทุกข์ยากและส่ิง เลวร้ายไป และรอจนถึงปี หนา้ จึงคอ่ ยทาเล่นกนั ใหม่
12 แห่ปราสาทผงึ้ ประเพณีการแห่ปราสาทผ้งึ ประเพณีของชาวอีสาน ถือวา่ การทาบญุ ดว้ ยการถวายตน้ ผ้ึง เป็นบญุ กุศลสูงส่ง ดงั น้นั ในการถวายทานใหแ้ ก่ผตู้ ายในงานแจกขา้ ว (งานทาบุญใหผ้ ตู้ าย) เมื่อถวายภตั ตาหารแก่พระสงฆแ์ ลว้ กถ็ วายหอผ้ึงเพือ่ อทุ ิศส่วนกศุ ลแก่ผวู้ ายชนม์ ตอ่ มา ประเพณีดงั กลา่ วไดม้ ีกลุ่มคนจดั ข้นึ มาอยา่ งใหญ่โตดว้ ย ความศรัทธาในเทศกาลออกพรรษา พระพทุ ธเจา้ จะเสด็จลงมาจากสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ เพ่ือมาโปรดเวนยั สัตว์ ในโลกมนุษยใ์ หพ้ น้ ทุกขด์ ว้ ยประเพณีดงั กลา่ ว กลุม่ ชาวเมืองสกลนครที่มีคุม้ วดั ตา่ ง ๆ จึงไดจ้ ดั ทาหอผ้งึ หรือปราสาทผ้งึ ถวายที่วดั พระธาตุเชิงชุมเป็นประจาทกุ ปี ดว้ ยมีความเชื่อหลายประการ คอื 1. พุทธศาสนิกชนเช่ือกันว่า การทาบุญในวนั ออกพรรษา เป็ นวนั ท่ีพระพุทธเจา้ เปิ ดโลกท้งั สามให้ มองเห็นความเป็นอยซู่ ่ึงกนั และกนั และโดยพุทธานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ชาวบา้ นไดม้ องเห็นหอ ผ้ึงที่ตนทาถวาย 2. วดั พระธาตเุ ชิงชุมเป็นสถานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ เป็นที่พระพุทธเจา้ มาประชุมรอยพระพทุ ธบาทถึง 4 พระองค์ และไดม้ ีการสร้างพระธาตเุ ชิงชุมครอบรอบพระพุทธบาทน้นั ไว้ การนาหอผ้งึ มาถวายเป็นพทุ ธบูชารอยพระ พุทธบาทยอ่ มเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง 3. เป็ นการทาบุญที่ญาติพ่ีน้องท่ีอยู่ห่างไกลไดม้ าพบกนั ไดม้ ีโอกาสทาบุญร่วมกนั และร่วมประเพณี แข่งเรืออยา่ งสนุกสนาน ปราสาทผ้งึ ของจงั หวดั สกลนคร ไดพ้ ฒั นารูปแบบของการทาปราสาทผ้งึ ออกเป็น 3 ระยะดงั น้ี 1. ระยะแรกยุคตน้ ผ้ึงหรือหอผ้ึง เป็ นตน้ กาเนิดของปราสาทผ้ึงในปัจจุบนั ทาจากตน้ กลว้ ย ตดั ให้ยาว พอสมควรทาขาหยงั่ สามขายึดตน้ กลว้ ยเขา้ ไว้ จากน้ันจะนาข้ีผ้ึงมาเค่ียวให้หลอมเหลวใส่ลงในแม่พิมพ์ เรียกวา่ ดอกผ้ึง แลว้ นามาติดท่ีกา้ นกลว้ ยหรือกาบกลว้ ย ซ่ึงตอ่ มาไดท้ าเป็นหอผ้งึ มีลกั ษณะเป็นทรงตะลมุ่ ทา โครงดว้ ยไมไ้ ผ่ผูกเสริมดว้ ยกาบกลว้ ย กา้ นกลว้ ย จะเป็ นรูปทรงสี่เหลี่ยมสองช้นั ต่อกนั คลา้ ยเอวขนั ธ์หรือ เอวพาน การตกแตง่ ยงั นิยมประดบั ดว้ ยดอกผ้ึง ตามโครงกาบกลว้ ย 2. ระยะที่สองยุคปราสาทผ้ึงทรงหอ-ทรงสิมหรือศาลพระภูมิ ไดม้ ีพฒั นาการทาโครงเป็นโครงดว้ ยไม้ โดยใช้ไมเ้ น้ืออ่อนทาเป็ นเสาสี่ตน้ พนั ด้วยกระดาษสี เคร่ืองบนทาเป็ นหลกั คลา้ ยหมาก แต่งหน้าจวั่ ดว้ ย หยวกกลว้ ยประดบั ดอกผ้ึง ในส่วนปราสาทผ้ึงทรงสิมจะลดความสูงลง ทาหน้าจว่ั ทรงจตุรมุขตามแบบสิ มพ้ืนบา้ นของภาคอีสานโดยทว่ั ไป การประดบั ตกแต่งใชว้ ิธีการแทงหยวกประดบั ป้านลม ช่อฟ้า ใบระกา ดว้ ยดอกผ้งึ ตามส่วนต่าง ๆ
13 3. ยคุ ปราสาทผ้ึงเรือนยอด เป็นการทาปราสาทผ้งึ โดยการพฒั นารูปแบบลวดลายองคป์ ระกอบใหว้ ิจิตร พิศดารยง่ิ ข้ึน ดว้ ยโครงไม้ ใหเ้ ป็นทรงปราสาทจตรุ มุขมีเรือนยอดเรียวหรือที่เรียกวา่ “กฎาคาร” ตวั อาคารท้งั ส่ีดา้ นต่อเป็ นมุขยื่นออกไปมีขนาดเท่ากบั บางแห่งสร้างปราสาทสามหลงั ติดกัน นอกจากน้ียงั เน้นความ ประณีตในการตกแต่งผ้ึงใหง้ ดงาม เช่นกาแพงแกว้ หนา้ บนั ช่อฟ้าใบระกา นาคสะดุง้ โดยใชศ้ ิลปกรรมไทย หรือผสมผสานระหว่างศิลปะอีสานกับไทยภาคกลาง เป็ นการสร้างปราสาทที่เลียนแบบท่ีประทับ พระมหากษตั ริย์ เพ่ือถวายแด่องคพ์ ระสัมมาสัมพุทธเจา้ ประดบั ตกแต่งมีท้งั แบบหล่อแกะลาย และแบบติด พมิ พส์ มยั ใหม่ การแห่ปราสาทผ้ึงจะมีอยู่ 2 ส่วน คือในวนั ข้ึน 14 ค่าเดือน 11 จะเป็ นการนาปราสาทผ้ึงไปชุมนุมกนั เพื่อฉลองคบงนั 1 วนั 1 คนื ในวนั รุ่งข้นึ เป็นวนั ข้นึ 15 ค่า เดือน 11จะเป็นวนั แห่ปราสาทผ้ึงไปทอดถวาย ณ วดั พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ซ่ึงจะมีขบวนแห่อย่างสวยงาม ประกอบดว้ ยการแสดงพ้ืนบา้ นต่าง ๆ ของสภา วฒั นธรรมอาเภอทุกอาเภอ เช่น การแต่งกาย 6 เผ่า การรามวยโบราณการฟ้อนถูไท(ผไู้ ทย) การแสดงดนตรี พ้ืนเมืองการแสดงถึงวิถีชีวิตของคนสกลนครซ่ึงเป็ นประเพณีท่ีมีความสนุกสนานแต่ในขณะเดียวกนั ได้ แสดงออกถึงความเชื่อในพระพุทธศาสนาเป็ นสาคัญและถือเป็ นเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมของจงั หวดั สกลนคร
14 บุญผะเหวด บญุ ผะเหวด บญุ พระเวส หรือบุญมหาชาติ บุญประจาเดือนสี่ตามฮีตสิบสองที่ชาวอีสานยงั สืบสาน เป็นงานบุญใหญป่ ระจาปี ของทอ้ งถิ่น มีระเบียบวธิ ีปฏิบตั ิแบบด้งั เดิมแตกตา่ งไปจากปัจจุบนั อยา่ งไร บญุ ผะ เหวด มีความเก่ียวขอ้ งกบั ชาดกเร่ือง พระมหาเวสสันดร ชาดกท่ีแสดงบารมี 10 ประการของพระชาติสุดทา้ ย ของพระพทุ ธเจา้ ท่ีไดท้ รงเพยี รบาเพญ็ เพ่ือจะไดต้ รัสรู้เป็นพระพุทธเจา้ ในภาษาอีสานจะออกเสียง “พระเวส” เป็น “ผะเหวด” จึงเป็นช่ือเรียกบญุ น้ีวา่ “บุญผะเหวด” บา้ งกเ็ รียก “บญุ มหาชาติ” เพราะเป็นชาติกาลที่สาคญั ท่ีสุดของพระพทุ ธเจา้ สวงิ บญุ เจิม (2539) กลา่ ววา่ ชาวอีสานมีความเชื่อที่ถูกบนั ทึกไวใ้ นหนงั สือเทศนม์ าลยั หม่ืนมาลยั แสนวา่ พระผจู้ ะมาตรัสรู้เป็นพระพทุ ธเจา้ ในอนาคต คือ พระศรีอริยเมตไตย์ ใครอยากจะพบเห็นท่านและ ร่วมในศาสนาของทา่ น จะตอ้ งไมฆ่ ่าพ่อฆา่ แม่ ฆ่าสมณชีพราหมณ์ ทาลายสงฆใ์ หแ้ ตกกนั และจะตอ้ งฟัง เทศน์ผะเหวด หรือเทศน์พระเวสสนั ดรชาดกท้งั 13 กณั ฑใ์ หจ้ บในหน่ึงวนั ถือวา่ ไดผ้ ลานิสงส์มากแมแ้ ต่ น้ามนตท์ ี่ต้งั ไวใ้ นขณะเทศน์ก็จะนามาประพรมเพ่ือกนั เสนียดจญั ไรได้ การจดั งานบุญผะเหวด จะนิยมจดั ในช่วงเดือน 3-4 หรือราวเดือนกมุ ภาพนั ธ์-มีนาคม ใชเ้ วลาในการจดั งานราว 3 วนั หมู่บา้ นหรือชุมชนใดจะ จดั งานบุญน้ีก็จะมีการบอกกล่าวพ่ีนอ้ ง หรือหมู่บา้ นใกลเ้ คยี งใหม้ าช่วยและร่วมบุญกนั ทาใหเ้ กิดสาย สมั พนั ธแ์ ละความสามคั คีกนั พระอริยานุวตั ร เขมจารี (2506) ไดร้ วบรวมระเบียบการจดั งานประเพณีทาบุญผะเหวดของภาค อีสานไว้ ซ่ึงประกอบดว้ ยข้นั ตอนต่าง ๆ ดงั น้ี ก่อนถึงวันรวมบญุ ผะเหวด 1. กาหนดวนั จดั งานบุญผะเหวด โดย ผนู้ าชุมชน ผนู้ าวดั ทายกทายกิ าผเู้ ก่ียวขอ้ งจะมาประชุมหารือกนั เพ่ือ กาหนดวนั จดั งานบุญผะเหวดประจาชุมชนข้ึน ซ่ึงจะนิยมทากนั ในเดือน 3-4 ไมจ่ ากดั ว่าเป็นวนั ข้ึนหรือวนั แรม เอาความสะดวกเป็นสาคญั ปัจจุบนั จึงเห็นวา่ จะมีการจดั งานบุญผะเหวดข้ึนในวนั เสาร์หรือวนั อาทิตย์ เป็ นส่วนใหญ่
15 2. หนงั สือชาดกเรื่องพระมหาเวสสนั ดรที่ถกู บนั ทึกลงในใบลานดว้ ยอกั ษรธรรม ซ่ึงมีท้งั หมด 14 ผกู 13 กณั ฑ์ จะถกู แบ่งและกาหนดพระสงฆส์ ามเณรใหเ้ ป็นผเู้ ทศน์ในแตล่ ะกณั ฑ์ 3. ทาหนงั สือบอกบุญ ฎีกานิมนตพ์ ระจากวดั ตา่ ง ๆ มาเทศนแ์ ละมาร่วมงาน พร้อมนาส่งหนงั สือเทศนก์ ณั ฑ์ ตา่ ง ๆ ตามที่ไดร้ ะบุไวไ้ ปยงั พระสงฆส์ ามเณรท่ีถกู นิมนตใ์ หม้ าเทศนก์ ณั ฑน์ ้นั ๆ ส่วนพระสงฆส์ ามเณรของ วดั ท่ีจดั งาน รูปที่มีความชานาญในการเทศนก์ อ็ าจจะถกู นิมนตใ์ หม้ าเทศนเ์ ฉพาะกณั ฑพ์ เิ ศษดว้ ยกไ็ ด้ นอกจากน้นั แลว้ ก็จะมีการป่ าวประกาศใหช้ าวบา้ นในชุมชนตา่ ง ๆ ที่อยใู่ กลเ้ คยี งกนั มาร่วมงานบุญดว้ ย วนั รวมบุญผะเหวด หรือวันโฮมบุญผะเหวด 1. จดั สถานที่เพ่ือตอ้ นรับ โดยผนู้ าชุมชน ชาวบา้ น พระสงฆส์ ามเณรในวดั จะร่วมแรงร่วมใจช่วยกนั จดั สถานท่ี จดั เตรียมสิ่งของสาหรับร่วมในงานบุญและสาหรับตอ้ นรับผมู้ าร่วมงานบญุ ประกอบดว้ ย 1.1 ทาธุงชยั หรือธุงหางยาวผูไ้ วก้ บั ปลายไมไ้ ผ่ ปักไวท้ ้งั 4 ทิศ ทาท่ีวางขา้ วพนั กอ้ นบูชาติดกบั หลกั ธุง 8 อนั ฉตั รใหญ่ 8 อนั ฝังติดกบั หลกั ธุง ฉตั รนอ้ ย 8 อนั ต้งั ไวบ้ ริเวณรอบธรรมาสน์ ขนั หมากเบง็ 8 อนั ต้งั ไวต้ ิดหลกั ธุงรอบบริเวณ ขนั หมากเบง็ 2 อนั ต้งั ไวท้ ่ีหออปุ คุต ธุงช่อทาใหไ้ ดจ้ านวนเท่ากบั ธุงชยั 1.2 ฝานตน้ โสนใหเ้ ป็นริ้ว (ฝานดอกโน) เพอ่ื นามายอ้ มสีทาเป็นดอกไมส้ ีสนั ต่าง ๆ ใชป้ ระดบั ตกแต่งธรรมาสนส์ าหรับให้พระสงฆส์ ามเณรข้ึนไปนง่ั เทศนก์ ณั ฑต์ า่ ง ๆ ทาพวงมาลยั ดว้ ยดอกสะแบง หมากหวาย หมากเดือย หมากลิ้นฟ้า ตดั กระดาษเป็นพวงมาลยั พวงมาลยั ขา้ วตอก แขวนหอ้ ยยอ้ ยในบริเวณ ศาลาการเปรียญ 1.3 รอบธรรมาสน์เทศนใ์ หต้ ้งั โอ่งน้าไว้ 4 โอง่ สมมติเป็นสระ 4 สระ แต่ละสระมีจอก แหน บวั เผอ่ื น ใบบวั หลวง ปลา กงุ้ เหนี่ยว (ตวั อ่อนแมงปอ) ปู หอย ใส่ใหค้ รบทุกโอง่ ทาตาข่ายลอ้ มใหด้ ี 1.4 ทารูปสัตวต์ ่าง ๆ แขวนไวใ้ นศาลาการเปรียญ เช่น รูปนกกระจิบ นกกระจาบ เสือ สิงห์ แรด ชา้ ง นกยงู นกเคา้ แมว เตา่ ปลา มงั กร จรเข้ รวงผ้งึ รวงมิ้ม เป็นตน้ 1.5 นาตน้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย ผกู มดั ติดตน้ เสาช้นั ในใหไ้ ด้ 8 ทิศ ทะลายมะพร้าว ทะลายตาล เครือกลว้ ย ผกู แขวนห้อยไวบ้ นขือ่ ของศาลาการเปรียญ 1.6 ขึงแขวนผา้ ผะเหวด หรือผา้ ท่ีเขยี นรูปเกี่ยวกบั ชาดกมหาเวสสันดร ไวโ้ ดยรอบศาลาการเปรียญ เม่ือฟังเทศนจ์ ะไดม้ องดูภาพ ทาใหเ้ ขา้ ใจและไดอ้ รรถรสยงิ่ ข้นึ 1.7 ในช่วงเยน็ ของวนั รวม อาจจะหาดอกไมจ้ ากป่ า เช่น ดอกจาน ดอกงวงสุ่ม ดอกลาดวน ดอก คดั เคา้ ดอกพยอม หรือดอกรัง มามดั ติดไวต้ ามเสาของศาลาการเปรียญ
16 2. จดั หาเคร่ืองกิริยาบชู าผะเหวดใหค้ รบ เรียกวา่ เคร่ืองฮอ้ ยเคร่ืองพนั (เครื่องร้อยเครื่องพนั ) หรือเคร่ืองคุรุ พนั ประกอบดว้ ย ธูป 1000 ดอก เทียน 1000 เล่ม ดอกบวั หลวง 1000 ดอก บวั อีแบ(้ บวั เผือ่ น) 1000 ดอก บวั ทอง 1000 ดอก ดอกผกั ตบ 1000 ดอก ดอกกางของ(ดอกกาสลอง) 1000 ดอก เหมี่ยง 1000 ดอก หมากพลู 1000 คา มวนยา 1000 มวน ขา้ วตอกใส่กระทงนอ้ ยใหญ่ 1000 กระทง ขา้ วพนั กอ้ น 1000 กอ้ น ธุงกระดาษ 1000 อนั โบราณอีสานเช่ือวา่ ถา้ แตง่ เคร่ืองกิริยาบชู ามหาชาติไมถ่ ูกหรือไม่ครบมกั เกิดอุบาทวต์ า่ ง ๆ เช่น เกิด ความแหง้ แลง้ หรือฟ้าผา่ แลง้ ไมม่ ีความสงบสุข จึงใหค้ วามสาคญั กบั ในการจดั เตรียมเคร่ืองกิริยาบชู า มหาชาติน้ีมากและรักษาจารีตน้ีไวอ้ ยา่ งเหนียวแน่น 3. จดั ทาหออุปคุต สวิง บญุ เจิม (2539) กล่าววา่ โบราณอีสานมีความเช่ือวา่ พระอุปคตุ เป็นพระอรหนั ตผ์ มู้ ี ฤทธ์ิมากรูปหน่ึง เกิดสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช ในการทาบุญใหญ่อะไรก็ตามมารท่ีเป็นคเู่ วรของ พระพุทธเจา้ มกั จะมาขดั ขวางเสมอ ไม่มีใครสามารถปราบได้ นอกจากทา่ นพระอปุ คุตมหาเถระรูปน้ีเทา่ น้นั ซ่ึงท่านเป็นลกู ของนางมจั ฉา ทา่ นจึงมีวดั ของท่านอยทู่ ่ีสะดือทะเล ดงั น้นั เวลาเชิญพระอุปคุต จึงนิยมไปเชิญ ในที่ที่มีน้า (สมมุติ) ไมว่ า่ จะเป็นแมน่ ้า หนองน้า สระน้า หรือบ่อน้ากไ็ ด้ บุญผะเหวดเป็นงานบญุ ใหญ่ เพื่อ ป้องกนั เกิดเหตุร้ายจากพญามารดงั กลา่ วมากลนั่ แกลง้ ท่านจึงใหอ้ าราธนาพระอปุ คุตมาคมุ้ ครองดว้ ย การทาหอพระอุปคุต มีระเบียบประเพณีที่พงึ ปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 3.1 ยกเสาไมไ้ ผ่ 4 เสา สูงประมาณ 1 เมตร สานไมไ้ ผล่ ายขดั ปิ ดลอ้ ม 3 ดา้ น จะมุงหลงั คาหรือไม่ก็ ได้ จดั หาตน้ กลว้ ยตน้ ออ้ ยผกู ติดไวก้ บั เสา 3.2 การปลูกหออุปคุตน้นั ให้ปลูกไวด้ า้ นทิศตะวนั ออกของศาลาการเปรียญ ห่างออกไปประมาณ 6- 7 เมตร เพอ่ื ใหส้ ามารถแห่กณั ฑเ์ ทศน์หรือกณั ฑห์ ลอนรอบศาลาการเปรียญได้ และใหป้ ลกู หนั หนา้ ไปทาง ทิศตะวนั ตกเสมอซ่ึงจะทาใหห้ ออุปคุตหนั หนา้ ไปตรงกบั ศาลาการเปรียญพอดี 3.3 เตรียมเคร่ืองอฐั บริขาร ไดแ้ ก่ บาตร ไตรจีวร มีดโกน ร่ม รองเทา้ ผา้ กรองน้า อาสนะ หมอนพิง ขนั น้า หรือแกว้ น้า ไวใ้ หเ้ รียบร้อย 3.4 การเชิญพระอปุ คุตน้นั ก่อนเชิญใหเ้ ขียนคาถาพระอุปคตุ ลงใบลานหรือกระดาษ และวนาไปวาง ไวใ้ นหออุปคุต 1 แผน่ และเขียนอีก 8 แผน่ ไปผกู ติดไวต้ ามเสาหลกั ธุงท้งั 8 ทิศทกุ เสา 3.5 การเชิญพระอปุ คุตเขา้ สู่หอน้นั นิยมเชิญในวนั เร่ิมงานหรือวนั รวมบุญผะเหวด ประมาณบา่ ย 3- 4 โมง โดยธรรมเนียมเดิมน้นั จะแตง่ ขนั ธ์ 5 ขนั ธ์ 8 ไปเชิญพระอปุ คุตท่ีท่าน้า สระน้า บ่อน้า หว้ ยหนอง คลองบึง ก่อนจะอาราธนาเช้ือเชิญใหพ้ ร้อมกนั กล่าวคาบูชาพระรัตนตรัย ไหวพ้ ระ ต้งั นโม 3 จบ ป่ าวสคั เค ชุมนุมเทวดา แลว้ จึงกลา่ วคาอาราธนาเช้ือเชิญ
17 3.6. แห่พระอุปคุตเขา้ สู่หอน้นั ใหต้ ีฆอ้ ง กลอง นาหนา้ ก่อนโดยแห่ทกั ษณิ าวตั รรอบศาลาการเปรียญ จึงนิมนตข์ ้ึนหอ โดยเอาขนั ธ์ 5 ขนั ธ์ 8 วางพร้อมถวายเครื่องอฐั บริขาร จดั ภตั ตาหารเชา้ -เพล พร้อมน้า ขา้ วตม้ ขนม ถวายจนตลอดงาน งานบุญก็จะสงบสุขดี 4. การเชิญพระเวสสันดรเขา้ เมือง จะเร่ิมพิธีในเวลาประมาณ 15.00 น. ซ่ึงอาจจะดาเนินการแบบเต็มรูปแบบ หรือบางส่วนก็ได้ ดงั น้ี 4.1 สมมตุ ิตวั ละคร คอื เตรียมผชู้ าย 1 คน แสดงเป็นพระเวสสนั ดร และผหู้ ญิง 1 คน แสดงเป็นนาง มทั รี ใหท้ ้งั สองคนแต่งกายเหมือนกษตั ริยส์ มยั ก่อนและใหไ้ ปรออยทู่ ี่ป่ าตรงท่ีเคยไปเชิญพระเวสสันดรเขา้ เมืองทุกปี 4.2 จดั เตรียมการเชิญ เช่น ขนั เชิญ ซ่ึงนิยมทาขนั หมากเบง็ 1 คู่ บางแห่งกเ็ อาขนั ธ์ 5 ขนั ธ์ 8 และ เตรียมคนเชิญเป็นผชู้ าย 1 คน และผหู้ ญิง 1 คน ท้งั สองคนจะเป็นผเู้ อาขนั ดอกไมไ้ ปเชิญพระเวสสันดรเขา้ เมือง 4.3 จดั ขบวนเชิญซ่ึงประกอบดว้ ย 4 ขบวน คือ ขบวนเสนาชา้ ง เสนามา้ เสนารถ และเสนาทางเทา้ ดงั น้ี 4.4 เสนาชา้ ง เป็นขบวนชา้ งซ่ึงจะมีพระเจา้ กรุงสญชยั พระนางผสุ ดี ชาลี และกณั หา ทรงนงั่ ออกไป เชิญพระเวสสันดรเป็ นขบวนหนา้ 4.5 เสนามา้ แต่งตวั เป็นทหารข่มี า้ เป็นองครักษต์ ิดตามขบวนชา้ ง เป็นขบวนท่ี 2 4.6 เสนารถ จะมีเกวียนหรือรถอยา่ งนอ้ ย 2 คนั คนั ท่ี 1 ให้พระสงฆน์ ง่ั เพ่ือไปเชิญพระเวสสนั ดร คน ที่ 2 ใหผ้ เู้ ชิญนงั่ พร้อมท้งั ขนั เชิญก็ใหอ้ ยบู่ นรถคนั น้ี 4.7 เสนาเทา้ เป็นขบวนแห่ของชาวบา้ นผเู้ ดินเทา้ ถือราชวตั ร ฉัตร ธง เดินกนั เป็นแถว 4.8 ขบวนดนตรี เช่น กลอง ฉาบ พณิ ขลยุ่ แคน และขบวนฟ้อน หรือกลมุ่ ที่ชอบความสนุกสนาน ใหอ้ ยใู่ นขบวนน้ี ซ่ึงจะเป็นขบวนร้ังทา้ ย การจดั ขบวนเชิญน้ีสามารถจดั แค่บางขบวนก็ได้ แตส่ ่วนท่ีขาดไม่ไดค้ อื พระเวสสนั ดร นางมทั รี และชาวเมืองท่ีไปอญั เชิญพระเวสสนั ดรเขา้ เมือง เม่ือไปถึงที่พานกั ของพระเวสสันดรแลว้ ใหผ้ เู้ ชิญชายหญิง เขา้ ไปเชิญพระเวสสนั ดรและนางมทั รีออกมานง่ั ยงั ที่เตรียมไว้ เร่ิมพิธีเชิญ โดยผชู้ ายจะนงั่ คุกเข่ายกขนั ดอกไมแ้ ละกล่าวเชิญพระเวสสนั ดร เม่ือพระเวสสันดรตกลงกลบั เขา้ เมืองแตข่ อฟังฉกั ขตั ติยบ์ ้นั เชิญจากพระ อาจารยก์ ่อน จึงนิมนตพ์ ระเทศน์ฉกั ขตั ติยบ์ ้นั เชิญ พอเทศนจ์ บ ผถู้ ือขนั เชิญจึงยกขนั ดอกไมเ้ ขา้ ไปหาพระ
18 เวสสนั ดรและนางมทั รี ท้งั สองพระองคร์ ับขนั ผไู้ ปแห่พระเวสสันดรกส็ าธุการข้ึนพร้อมกนั 3 คร้ัง และลน่ั ฆอ้ งชยั 3 คร้ัง จากน้นั จดั ขบวนกลบั โดยใหพ้ ระเวสสนั ดร นางมทั รี กณั หา ชาลี พระเจา้ สญั ชยั และพระนาง ผสุ ดีนงั่ รถคนั เดียวกนั 5. พธิ ีกรรมในตอนเยน็ ของวนั รวมบุญ ผเู้ ขา้ ร่วมงานจะมารวมกนั ที่วดั เพอ่ื สวดมนตบ์ ชู าพระรัตนตรัยและ อาราธนาพระสงฆเ์ ทศนม์ าลยั หมื่นมาลยั แสน โดยพระสงฆผ์ เู้ ทศน์จะใชท้ านองเทศน์มหาชาติธรรมวตั ร จน เวลาประมาณ 18.00-19.00 น. จึงต้งั บาตรน้ามนต์ โยงดา้ ยสายสิญจร์ อบศาลาการเปรียญ และนิมนตพ์ ระ เจริญพระปริตมงคลสวดชยั นอ้ ยชยั ใหญ่ จบแลว้ จึงอาราธนาเทศน์ธรรมดา เทศนพ์ ระโพธิสตั วบ์ ้นั ตน้ อิติปิ โส ฯลฯ เทศน์จบจึงจดั ใหม้ ีมหรสพตลอดคืนซ่ึงหนุ่มสาวจะสนุกสนานกนั มาก วนั งานบุญผะเหวด วนั งานบุญผะเหวด จะเร่ิมงานกนั ต้งั แต่เชา้ มืดเพือ่ พระสงฆจ์ ะไดเ้ ทศน์จบทกุ กณั ฑภ์ ายในหน่ึงวนั โดยเวลาประมาณ 04.00-05.00 น. ชาวบา้ นผรู้ ่วมงานจะพร้อมกนั แห่ขา้ วพนั กอ้ นรอบศาลาการเปรียญ ขณะที่แห่น้นั จะตีฆอ้ งตีกลองเป็นจงั หวะไปดว้ ย ขา้ วพนั กอ้ นท่ีถือมาแห่จะถกู นาไปบชู าไวต้ ามตน้ เสาธงท้งั 8 ทิศบา้ ง บชู าท่ีหอพระอุปคุตบา้ ง ถือข้ึนบนศาลาการเปรียญเพื่อบูชากณั ฑเ์ ทศน์บา้ ง การแห่ขา้ วพนั กอ้ นจะแห่กนั 3 รอบแลว้ จึงข้ึนไปที่ศาลาการเปรียญ เพื่อกลา่ วคาบชู าขา้ วพนั กอ้ น ป่ าวสคั เคชุมนุมเทวดา อาราธนาสังกาศเพ่ือใหพ้ ระเทศน์สงั กาสโดยใชท้ านองสีทนั ดร เทศนจ์ บใหก้ ลา่ ว ประกาศอญั เชิญเทวดาและหวา่ นขา้ วตอกดอกไมร้ ับเหลา่ เทวดา จึงกลา่ วคาอาราธนาผะเหวด พระสงฆ์ ผรู้ ับผิดชอบการเทศนใ์ นแต่ละกณั ฑก์ ็จะข้ึนธรรมาสน์และเทศนไ์ ปทีละกณั ฑต์ ามลาดบั เร่ิมจากกณั ฑท์ ศพร ไปจนถึงกณั ฑน์ ครซ่ึงเป็นกณั ฑส์ ุดทา้ ย ทานองเทศน์ผะเหวด ทานองการเทศนผ์ ะเหวดน้นั มีมาก แต่มีทานองเก่าแก่ที่นิยมกนั 3 ทานอง คือ 1. ทานองกาเตน้ กอ้ น 2. ทานองลมพดั พร้าว หรือ พดั ชายเขา 3. ทานองชา้ งเทียมแม่ การฟังเทศน์ผะเหวด ในขณะที่มีการเทศนผ์ ะเหวดจะมีแนวปฏิบตั ิต่าง ๆ ดงั น้ี
19 1.ในขณะที่ฟังเทศน์ผะเหวดจะตอ้ งคอยจุดธูปเทียนประจากณั ฑเ์ ทศน์น้นั ๆ เพ่ือบชู าคาถาเทศน์ ดงั น้ี 1.1 กณั ฑท์ ศพร ธูป 19 ดอก เทียน 19 เล่ม เทียนง่าม 1 เลม่ 1.2 กณั ฑห์ ิมพานต์ ธูป 134 ดอก เทียน 134 เลม่ เทียนง่าม 2 เลม่ 13. กณั ฑท์ านกณั ฑ์ ธูป 209 ดอก เทียน 209 เลม่ เทียนงา่ ม 3 เล่ม 1.4 กณั ฑว์ นปเวส ธูป 57 ดอก เทียน 57 เลม่ เทียนงา่ ม 4 เลม่ 1.5 กณั ฑช์ ูชก ธูป 79 ดอก เทียน 79 เล่ม เทียนงา่ ม 5 เล่ม 1.6 กณั ฑจ์ ุลลพน ธูป 35 ดอก เทียน 35 เล่ม เทียนงา่ ม 6 เล่ม 1.7 กณั ฑม์ หาพน ธูป 80 ดอก เทียน 80 เลม่ เทียนง่าม 7 เลม่ 1.8 กณั ฑก์ ุมาร ธูป 101 ดอก เทียน 101 เล่ม เทียนงา่ ม 8 เล่ม 1.9 กณั ฑม์ ทั รี ธูป 90 ดอก เทียน 90 เล่ม เทียนง่าม 9 เล่ม 1.10 กณั ฑส์ ักกะบรรพ ธูป 43 ดอก เทียน 43 เลม่ เทียนง่าม 10 เล่ม 1.11 กณั ฑม์ หาราช ธูป 69 ดอก เทียน 69 เลม่ เทียนงา่ ม 11 เล่ม 1.12 กณั ฑฉ์ ขตั ติ ธูป 36 ดอก เทียน 36 เล่ม เทียนง่าม 12 เล่ม 1.13 กณั ฑน์ คร ธูป 49 ดอก เทียน 49 เลม่ เทียนง่าม 13 เล่ม 2. ใหต้ ้งั กระถางธูปใบใหญ่ 2 ใบ หมอ้ น้ามนตใ์ บใหญ่ 2 หมอ้ ไวท้ ี่หนา้ ธรรมาสน์เทศน์ บนปากหมอ้ น้ามนต์ ใหท้ าราวเทียนวางพาดกลาง เพื่อวางเทียน 3. เมื่อเร่ิมเทศนก์ ณั ฑท์ ศพร ก็ใหจ้ ุดธูปเทียนประจากณั ฑท์ ศพร ซ่ึงประกอบดว้ ย ธูป 19 ดอก เทียน 19 เลม่ เทียนงา่ ม 1 เล่ม โดยใหจ้ ุดใหห้ มดในระหวา่ งการเทศน์กณั ฑน์ ้นั ๆ อยา่ จุดปะปนกบั กณั ฑอ์ ่ืน กณั ฑต์ ่อมาก็ ใหจ้ ุดธูปเทียนเท่ากบั จานวนท่ีกาหนดไวต้ ามลาดบั ไป ฉะน้นั จะตอ้ งเตรียมธูปเทียมใหเ้ พยี งพอสาหรับจุดใน แตล่ ะกณั ฑ์ 4. การเทศนแ์ ตล่ ะกณั ฑอ์ าจใชพ้ ระผเู้ ทศน์มากกวา่ 1 รูป เม่ือแตล่ ะรูปเทศน์จบจะมีการหวา่ นขา้ วตอก ดอกไม้ ขา้ วสาร ผูจ้ ุดธูปเทียนและเทียนงา่ มและผทู้ ่ีหวา่ นขา้ วตอก ดอกไม้ หรือขา้ วสาร ตอ้ งนง่ั ประจาจุด เพื่อปฏิบตั ิหนา้ ที่ดงั กล่าว
20 5. น้ามนต์ ดา้ ย หรือสิ่งของต่าง ๆ ท่ีใชใ้ นพธิ ีการเทศนผ์ ะเหวดแลว้ ถือวา่ มีความศกั ด์ิสิทธ์ิ จะถูกแจกจ่ายให้ ผฟู้ ังเทศนเ์ พ่ือนาไปบูชา รวมท้งั หนงั สือใบลาน กน็ ิยมนาไปป้องกนั เสนียดจญั ไรและอนั ตรายตา่ ง ๆ การถวายกณั ฑ์เทศน์ ผทู้ ี่เป็นเจา้ ของกณั ฑเ์ ทศน์ มีแนวปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1.นาเครื่องกณั ฑเ์ ทศน์ไปที่วดั เพ่ือถวายพระประจากณั ฑเ์ ทศน์ท่ีได้ จองไว้ 2.ก่อนถวายเครื่องกณั ฑใ์ หจ้ ุดธูปเทียนไหวพ้ ระ และกล่าวคาถวาย ประเคน พระผรู้ ับเคร่ืองกณั ฑจ์ ะกลา่ วอนุโมทนาวา่ ยถา เจา้ ของ เคร่ืองกณั ฑก์ จ็ ะกรวดน้า จนจบก็กราบเป็นอนั เสร็จพธิ ี 3.กณั ฑห์ ลอน คือ เคร่ืองกณั ฑข์ องผมู้ ีศรัทธานามาถวายในวนั ฟังเทศน์ผะเหวดท่ีไมเ่ จาะจงวา่ จะถวายรูปใด รูปหน่ึง ใหพ้ ระรูปที่กาลงั เทศนอ์ ยบู่ นธรรมาสน์น้นั เป็นผรู้ ับประเคนกณั ฑห์ ลอน พระผรู้ ับกณั ฑห์ ลอนน้นั จะเรียกวา่ “ถูกกณั ฑห์ ลอน” โยมผนู้ ากณั ฑห์ ลอนมาน้นั เรียกวา่ “เจา้ ของกณั ฑห์ ลอน”
21 บรรณานุกรม กนกวรรณ โสภณวฒั นวิจิตร. (2543). ไหลเรือไฟนครพนม. (สืบคน้ เมื่อวนั ที่ 9 สิงหาคม 2566). จากเวบ็ ไซต์ https://shorturl.asia/QuoKr . วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2566). บญุ บ้งั ไฟ. (สืบคน้ เม่ือวนั ที่ 9 สิงหาคม 2566). จากเวบ็ ไซต์ https://shorturl.asia/sPABj . วกิ ิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2566). ผีตาโขน. (สืบคน้ เม่ือวนั ที่ 9 สิงหาคม 2566). จากเวบ็ ไซต์ https://shorturl.asia/QuoKr . สารสนเทศทอ้ งถิ่นอีสาน ณ อุบลราชธานี. (2564). บุญผะเหวด. (สืบคน้ เมื่อวนั ที่ 9 สิงหาคม 2566). จาก เวบ็ ไซต์ https://shorturl.asia/ZjoF7 . สานกั งานประชาสมั พนั ธจ์ งั หวดั สกลนคร. (2564). แห่ปราสาทผ้งึ . (สืบคน้ เม่ือวนั ที่ 9 สิงหาคม 2566). จาก เวบ็ ไซต์ https://shorturl.asia/dReFh .
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: